ชาวนาสุรินทร์

ชาวนาสุรินทร์ การเกษตรอินทรีย์ เกษตรธรรมชาติ เกษตรยั่งยืน เกษตรรักษ์โลก

🌾 พี่น้องชาวนาสุรินทร์ครับ! ช่วงนี้ใกล้เวลาเตรียมแปลงทำนาแล้ว หลายคนคงกำลังคิดว่าปีนี้จะ “นาดำ” หรือ “นาหว่าน” ดี? แต่ละ...
14/11/2025

🌾 พี่น้องชาวนาสุรินทร์ครับ! ช่วงนี้ใกล้เวลาเตรียมแปลงทำนาแล้ว หลายคนคงกำลังคิดว่าปีนี้จะ “นาดำ” หรือ “นาหว่าน” ดี? แต่ละวิธีก็มีข้อดีข้อเสียต่างกันไป “ชาวนาสุรินทร์” เลยมาสรุปให้ฟังกันครับ

นาดำ: คือการเตรียมกล้าข้าวไว้ก่อน แล้วค่อยย้ายลงแปลงนา

ข้อดี:
✅ ข้าวแตกกอดี: ต้นข้าวแข็งแรง แตกกอเยอะ ทำให้ผลผลิตต่อไร่สูง
✅ หญ้าน้อย: ด้วยวิธีปักดำ ทำให้หญ้าขึ้นยาก ลดปัญหาการกำจัดวัชพืชไปได้เยอะ
✅ ควบคุมคุณภาพกล้าได้: เราสามารถคัดเลือกกล้าที่แข็งแรง สมบูรณ์ มาปลูกได้

ข้อเสีย:
😔 ใช้แรงงานเยอะ: ตั้งแต่เตรียมแปลง เตรียมกล้า จนถึงปักดำ ต้องใช้คนเยอะพอสมควร
😥 ใช้เวลาเตรียมนาน: กว่าจะได้ลงมือทำนาจริงๆ ก็ต้องใช้เวลาพอสมควรในการเตรียมกล้า

นาหว่าน: คือการหว่านเมล็ดข้าวลงแปลงนาโดยตรง

ข้อดี:
🚀 รวดเร็ว: ทำได้ง่าย ทำได้เร็ว เหมาะกับคนที่มีพื้นที่นาเยอะ หรือต้องการทำนาให้เสร็จทันเวลา
💰 ประหยัดแรงงาน: ไม่ต้องเสียเวลาเตรียมกล้า ไม่ต้องปักดำ ประหยัดค่าแรงไปได้เยอะ
🌱 เหมาะกับนาพื้นที่ราบ: ทำได้ง่ายในพื้นที่นาที่ราบเรียบ ไม่ต้องปรับพื้นที่มาก

ข้อเสีย:
🌿 ต้องคุมหญ้าให้ดี: หญ้าจะขึ้นง่ายกว่านาดำ ต้องกำจัดหญ้าอย่างสม่ำเสมอ
🌾 ผลผลิตอาจไม่สูงเท่า: ต้นข้าวอาจไม่แข็งแรงเท่านาดำ ทำให้ผลผลิตต่อไร่ลดลงได้

💡สรุปง่ายๆ ครับ:

ถ้ามีแรงงานพร้อม และต้องการผลผลิตสูง เน้นคุณภาพ “นาดำ” ตอบโจทย์ครับ
แต่ถ้าต้องการความรวดเร็ว ประหยัดแรงงาน และพื้นที่นาค่อนข้างราบเรียบ “นาหว่าน” ก็เป็นตัวเลือกที่ดีครับ

🤔 พี่น้องชาวนาสุรินทร์ มีใครเคยลองทำทั้งสองวิธีแล้วบ้างครับ? ปีนี้ตั้งใจจะทำแบบไหนกัน? มาแชร์ประสบการณ์กันหน่อยเด้อ!

#ชาวนาสุรินทร์ #นาหว่าน #นาดำ #เกษตรสุรินทร์ #ข้าวหอมมะลิสุรินทร์ #เทคนิคการทำนา

☀️อากาศร้อนๆ แบบนี้ จะทำยังไงให้มีผักสดๆ กินตลอดปี โดยไม่ต้องพึ่งน้ำเยอะๆ? "ชาวนาสุรินทร์" มีคำตอบครับ!วันนี้จะมาแนะนำ "...
14/11/2025

☀️อากาศร้อนๆ แบบนี้ จะทำยังไงให้มีผักสดๆ กินตลอดปี โดยไม่ต้องพึ่งน้ำเยอะๆ? "ชาวนาสุรินทร์" มีคำตอบครับ!

วันนี้จะมาแนะนำ "ผักสวนครัวทนแล้ง" 5 ชนิด ที่ปลูกง่าย แถมยังช่วยประหยัดน้ำ เหมาะกับบ้านเราที่จังหวัดสุรินทร์เป็นที่สุดเลยครับ:

1️⃣ ชะอม: ปลูกครั้งเดียวเก็บกินได้นาน เป็นผักที่ชอบแดด ทนร้อน และต้องการน้ำน้อยมาก ใบอ่อนๆ นำมาทำอาหารอร่อยหลายอย่าง ทั้งแกงต้มยำ ผัด หรือกินสดกับน้ำพริก

2️⃣ มะเขือเปราะ: ปลูกง่าย โตเร็ว แถมยังออกผลดกตลอดทั้งปี ชอบอากาศร้อน และทนแล้งได้ดี เป็นผักที่ขาดไม่ได้ในครัวเรือนเลยครับ

3️⃣ พริก: ไม่ว่าจะเป็นพริกขี้หนู พริกจัมโบ้ หรือพริกหวาน ปลูกง่าย ทนร้อน และต้องการน้ำไม่มากนัก หากรดน้ำบ้างในช่วงที่ออกผล จะช่วยให้พริกมีขนาดใหญ่และรสชาติเข้มข้นขึ้น

4️⃣ กะเพรา: ปลูกง่ายมาก! แถมยังใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย ทั้งใช้ทำอาหาร หรือใช้ไล่แมลง กะเพราชอบแดดจัด และทนแล้งได้ดีเยี่ยม

5️⃣ ตะไคร้: ปลูกง่าย ชอบแดดจัด และต้องการน้ำน้อยมาก นำมาใช้ประกอบอาหาร หรือไล่ยุงได้สารพัดประโยชน์ ปลูกไว้ใกล้บ้าน รับรองว่าอุ่นใจแน่นอนครับ

💡เคล็ดลับ: ผักเหล่านี้ชอบดินร่วน ระบายน้ำได้ดี และต้องการแสงแดดเต็มที่ หากปลูกในช่วงฤดูร้อน ควรคลุมดินด้วยฟางหรือหญ้าแห้ง เพื่อช่วยรักษาความชุ่มชื้นในดิน

🌿ลองนำผักเหล่านี้ไปปลูกไว้หลังบ้านดูนะครับ รับรองว่ามีผักสดๆ กินตลอดปี แถมยังช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าได้อีกด้วย

💬 พี่น้องชาวนา มีผักอะไรที่ปลูกง่าย ทนแล้ง แล้วอยากแนะนำบ้างไหมครับ? มาแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันได้เลย! #ผักสวนครัว #ทนแล้ง #ปลูกง่าย #สุรินทร์ #เกษตรอินทรีย์

🌿 ใครว่าต้องพึ่งสารเคมีอย่างเดียว ถึงจะกำจัดแมลงในแปลง! วันนี้ "ชาวนาสุรินทร์" จะมาแชร์ "สูตรลับ" ภูมิปัญญาไทย ที่ช่วยไล...
14/11/2025

🌿 ใครว่าต้องพึ่งสารเคมีอย่างเดียว ถึงจะกำจัดแมลงในแปลง! วันนี้ "ชาวนาสุรินทร์" จะมาแชร์ "สูตรลับ" ภูมิปัญญาไทย ที่ช่วยไล่แมลงศัตรูพืชแบบปลอดภัย ไร้สารเคมี แถมทำเองได้ง่ายๆ ด้วยครับ

สูตรนี้ คือ “น้ำหมักสะเดา” (หรือจะใช้ ข่า/ตะไคร้หอม ก็ได้) ครับ หลักการคือ ดึงสารจากสมุนไพรเหล่านี้มา "ไล่" ไม่ใช่ "ฆ่า" แมลง ทำให้แมลงไม่กล้าเข้ามาทำลายพืชของเรานั่นเอง

🌱 ส่วนผสม:

ใบสะเดา (หรือ ข่า/ตะไคร้หอม) 1 กิโลกรัม
น้ำสะอาด 10 ลิตร
กากน้ำตาล 250 กรัม (หรือน้ำตาลแดงก็ได้)

🛠️ วิธีทำ:

1. นำใบสะเดา (หรือ ข่า/ตะไคร้หอม) มาล้างน้ำให้สะอาด แล้วนำมาโขลก หรือตำ ให้แหลก (ถ้าใช้ข่า/ตะไคร้หอม ให้ทุบพอแตกก็พอครับ)
2. นำใบสะเดา (หรือ ข่า/ตะไคร้หอม) ที่โขลกแล้ว ใส่ลงในถังน้ำ
3. เติมกากน้ำตาลลงไป คนให้เข้ากัน
4. ปิดฝาถังน้ำ หมักทิ้งไว้ประมาณ 3-7 วัน (คนวันละครั้ง) ระหว่างหมักจะมีฟองเกิดขึ้น ถือว่าเป็นเรื่องปกติ
5. เมื่อหมักได้ที่ กรองเอาเฉพาะน้ำมาใช้

💧 วิธีใช้:

ผสมน้ำหมักสะเดา (หรือข่า/ตะไคร้หอม) กับน้ำสะอาด ในอัตราส่วน 1:10 (น้ำหมัก 1 ส่วน ต่อน้ำ 10 ส่วน)
นำไปฉีดพ่นบนใบและลำต้นของพืช ที่กำลังโดนแมลงทำลาย
ควรฉีดพ่นในช่วงเช้า หรือเย็น (หลีกเลี่ยงช่วงแดดจัด)

💡 ข้อดีของการใช้น้ำหมักสมุนไพร:

ปลอดภัยต่อผู้ใช้ และสิ่งแวดล้อม
ไม่ตกค้างในผลผลิต
ช่วยลดต้นทุนการผลิต
เป็นภูมิปัญญาที่สืบทอดกันมา

👍 พี่น้องชาวนา เคยลองทำน้ำหมักสมุนไพรใช้เองบ้างไหมครับ? สูตรที่ใช้เป็นยังไง มาแลกเปลี่ยนกันหน่อยเด้อ! ถ้ามีคำถาม หรือข้อสงสัย ถามมาได้เลยครับ "ชาวนาสุรินทร์" ยินดีตอบเสมอ

☀️ ช่วงนี้ราคามันสำปะหลัง หรือข้าวเปลือกบางช่วงตกต่ำ ทำให้หลายครัวเรือนเริ่มหนักใจกันแล้วนะครับ "ชาวนาสุรินทร์" เข้าใจดี...
11/11/2025

☀️ ช่วงนี้ราคามันสำปะหลัง หรือข้าวเปลือกบางช่วงตกต่ำ ทำให้หลายครัวเรือนเริ่มหนักใจกันแล้วนะครับ "ชาวนาสุรินทร์" เข้าใจดีเลยว่าการพึ่งพารายได้จากพืชชนิดเดียวมันเสี่ยงขนาดไหน

💡 วันนี้อยากชวนพี่น้องมาคุยเรื่อง “เกษตรผสมผสาน” ครับ แนวคิดง่ายๆ คือการทำหลายอย่างในที่เดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นการปลูกพืชหลากหลายชนิด หรือเลี้ยงสัตว์ควบคู่ไปด้วย

แล้วทำไมต้องทำหลายอย่าง? เพราะมันช่วย “ลดความเสี่ยง” ได้ครับ ลองคิดดูนะครับ ถ้าปีไหนข้าวราคาตก เรายังมีรายได้จากพืชชนิดอื่น เช่น มันสำปะหลัง ถั่วลิสง หรือผักสวนครัว หรือถ้าเลี้ยงสัตว์ เช่น ไก่ หมู หรือวัว ก็ยังมีรายได้จากตรงนี้เข้ามาช่วยพยุง

หลักการง่ายๆ ของเกษตรผสมผสานมีประมาณนี้ครับ:

✅ ปลูกพืชหลายชนิด: สลับกับการปลูกข้าวบ้าง ปลูกพืชผักบ้าง เพื่อให้ดินได้พักฟื้น และกระจายความเสี่ยง
✅ เลี้ยงสัตว์ควบคู่: ขี้สัตว์เป็นปุ๋ยให้พืช พืชเป็นอาหารสัตว์ เป็นการลดต้นทุนไปได้อีกทาง
✅ ใช้พื้นที่ให้คุ้มค่า: ทำรั้วเป็นโรงเรือนปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ในสวนยาง หรือทำแปลงผักระหว่างแถวข้าว
✅ ลดการใช้สารเคมี: การปลูกพืชหลากหลายชนิด ช่วยลดการระบาดของโรคและแมลง ทำให้เราลดการใช้สารเคมีได้

การทำเกษตรผสมผสาน อาจจะต้องใช้ความขยัน และการเรียนรู้มากกว่าเดิม แต่เชื่อเถอะครับ มันเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว เพราะมันช่วยให้เรา “พึ่งพาตนเองได้” และ “อยู่รอด” ได้ในทุกสถานการณ์

💬 พี่น้องชาวนาสุรินทร์ มีใครทำเกษตรผสมผสานอยู่แล้วบ้างครับ? มีเทคนิคอะไรดีๆ มาแบ่งปันกันหน่อยเด้อ! หรือใครกำลังสนใจอยากเริ่มทำบ้าง…มาสอบถามกันได้เลยครับ

🌾 หน้าฝนมาเยือน ระวัง! 'โรคไหม้คอรวง' คุกคามข้าวในทุ่ง! 🌾พี่น้องเกษตรกรครับ ช่วงนี้ฝนตกชุก ความชื้นสูง เป็นสภาวะที่เอื้อ...
11/11/2025

🌾 หน้าฝนมาเยือน ระวัง! 'โรคไหม้คอรวง' คุกคามข้าวในทุ่ง! 🌾

พี่น้องเกษตรกรครับ ช่วงนี้ฝนตกชุก ความชื้นสูง เป็นสภาวะที่เอื้อต่อการระบาดของ "โรคไหม้คอรวง" ในนาข้าวของเรา 😥 โรคนี้ร้ายแรงถึงขั้นทำให้รวงข้าวหักเสียหาย เก็บเกี่ยวไม่ได้เลยนะครับ

แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าข้าวเราติดโรคไหม้คอรวง? 🤔 ลักษณะสำคัญคือ จะมี "จุดสีน้ำตาลเข้ม" หรือ "สีดำ" ปรากฏขึ้นที่ "คอรวง" หรือส่วนที่เชื่อมต่อระหว่างรวงข้าวกับต้นข้าวครับ จุดเหล่านี้จะค่อย ๆ ลุกลาม ทำให้คอรวงอ่อนแอ และหักโค่นลงมาในที่สุด 🌾 ทำให้ข้าวที่เคยตั้งใจไว้ ผลผลิตลดลงอย่างน่าเสียดาย

แล้วจะป้องกันได้อย่างไร? มาดูวิธีง่าย ๆ ที่ทำได้กันครับ:

1. เลือกพันธุ์ข้าวต้านทาน: ปัจจุบันมีพันธุ์ข้าวหลายชนิดที่ได้รับการปรับปรุงพันธุ์ให้มีความต้านทานต่อโรคไหม้คอรวง ลองสอบถามจากร้านค้าหรือหน่วยงานส่งเสริมการเกษตรในพื้นที่ของเราดูนะครับ

2. ใส่ปุ๋ยอย่างสมดุล: การใส่ "ปุ๋ยไนโตรเจน" มากเกินไป ทำให้ต้นข้าวอ่อนแอ และเสี่ยงต่อการติดโรคได้ง่าย ควรใส่ปุ๋ยตามปริมาณที่เหมาะสม และคำนึงถึงสภาพดินในแปลงของเราด้วย

3. ระบายน้ำในแปลง: ถ้าน้ำท่วมขังในแปลงนาน ๆ จะทำให้เกิดความชื้นสะสม และเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรค ควรมีการระบายน้ำออกจากแปลงอย่างสม่ำเสมอ

4. กำจัดเศษซากพืช: เศษซากพืชที่เหลืออยู่หลังเก็บเกี่ยว อาจเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคได้ ควรทำความสะอาดแปลงนาให้เรียบร้อย

💡 โรคไหม้คอรวง ป้องกันได้ ถ้าเราใส่ใจ และเฝ้าระวังตั้งแต่เนิ่น ๆ ครับ อย่าปล่อยให้รวงข้าวที่ตั้งใจปลูกต้องเสียหายนะครับ!

💬 พี่น้องเกษตรกรเคยเจอปัญหาโรคไหม้คอรวงในแปลงนาบ้างไหมครับ? มีวิธีจัดการหรือป้องกันโรคนี้กันอย่างไรบ้าง? มาแชร์ประสบการณ์กันหน่อยนะครับ! #โรคไหม้คอรวง #ข้าว #เกษตร #สุรินทร์ #หน้าฝน #ป้องกันโรคพืช

☀️ พี่น้องเกษตรกรผู้เลี้ยงวัวในสุรินทร์ครับ ช่วงนี้ต้องเฝ้าระวัง "โรคลัมปี สกิน" (Lumpy Skin Disease) ให้ดี ๆ ครับ เพราะ...
11/11/2025

☀️ พี่น้องเกษตรกรผู้เลี้ยงวัวในสุรินทร์ครับ ช่วงนี้ต้องเฝ้าระวัง "โรคลัมปี สกิน" (Lumpy Skin Disease) ให้ดี ๆ ครับ เพราะโรคนี้กำลังระบาดในหลายพื้นที่

โรคนี้ติดต่อได้ง่าย และสร้างความเสียหายให้กับฝูงวัวของเราได้มากทีเดียวครับ เรามาเรียนรู้วิธีสังเกตอาการเบื้องต้นกันดีกว่า:

อาการสำคัญที่ต้องสังเกต:

ไข้สูง: วัวจะเริ่มมีอุณหภูมิร่างกายสูงกว่าปกติ (เกิน 39 องศาเซลเซียส)

ตุ่มนูนตามผิวหนัง: จะมีตุ่มนูนเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นตามผิวหนังทั่วตัว โดยเฉพาะบริเวณหัว, คอ, เต้า, และขา ตุ่มเหล่านี้จะค่อย ๆ กลายเป็นแผล และอาจมีหนองไหลออกมา

น้ำลายไหลมาก: วัวอาจมีอาการน้ำลายไหลมาก และมีแผลในช่องปาก

เบื่ออาหาร: วัวจะกินอาหารน้อยลง หรือไม่กินเลย

ลดน้ำหนัก: วัวจะค่อย ๆ ซูบผอมลง

สิ่งที่สำคัญที่สุดในการป้องกันโรคลัมปี สกิน คือ "การฉีดวัคซีน" ครับ! วัคซีนจะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้วัวของเรา ไม่ให้ป่วย หรือถ้าป่วยก็จะอาการไม่รุนแรง

นอกจากนี้ อย่าลืม "แยกสัตว์ป่วย" ออกจากฝูงทันที เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรค และทำความสะอาดคอกฆ่าเชื้อโรคอย่างสม่ำเสมอ

พี่น้องเกษตรกรที่มีวัวในฝูงเริ่มมีอาการผิดปกติ อย่ารอช้า รีบแจ้งสัตวแพทย์ในพื้นที่ทันที เพื่อทำการตรวจวินิจฉัย และให้การรักษาที่ถูกต้อง

💪 ร่วมมือกันเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุม "โรคลัมปี สกิน" เพื่อรักษาฝูงวัว และสร้างรายได้ให้กับครอบครัวของเรานะครับ!

💬 พี่น้องเกษตรกรมีคำถามหรือข้อสงสัยเกี่ยวกับ "โรคลัมปี สกิน" สามารถสอบถามกันได้เลยครับ เรามาช่วยกันแบ่งปันความรู้และประสบการณ์กันเด้อ!

#โรคลัมปีสกิน #วัว #ปศุสัตว์ #สุรินทร์ #เกษตรกร #ป้องกันโรค #สัตวแพทย์

☀️ เตรียมบ่อ…ก่อนปล่อยลูกปลา! 🐟 ชาวนาสุรินทร์ที่อยากเพิ่มรายได้จาก "ปลาในนา" ต้องไม่มองข้ามเรื่อง "การเตรียมบ่อ" เด้อครั...
11/11/2025

☀️ เตรียมบ่อ…ก่อนปล่อยลูกปลา! 🐟 ชาวนาสุรินทร์ที่อยากเพิ่มรายได้จาก "ปลาในนา" ต้องไม่มองข้ามเรื่อง "การเตรียมบ่อ" เด้อครับ!

หลายคนอาจคิดว่าแค่ขุดบ่อแล้วปล่อยลูกปลาลงไปก็พอ แต่จริงๆ แล้วมีขั้นตอนสำคัญหลายอย่างที่เราต้องทำ เพื่อให้ลูกปลาอยู่รอด โตไว และไม่ป่วยครับ

ขั้นตอนแรก: "ตากบ่อ" ให้แห้งสนิท 🌞 หลังจากขุดบ่อเสร็จ อย่าเพิ่งรีบปล่อยน้ำเข้าไปทันทีนะครับ เราต้องตากบ่อให้แห้งสนิทเสียก่อน (อย่างน้อย 3-7 วัน ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ) การตากบ่อจะช่วยฆ่าเชื้อโรค แบคทีเรีย และไข่ของปรสิตต่างๆ ที่อาจอยู่ในดิน

ขั้นตอนที่สอง: "โรยปูนขาว" ฆ่าเชื้อโรค ⚪️ เมื่อบ่อแห้งสนิทแล้ว ให้โรยปูนขาวลงไปในอัตราส่วนที่เหมาะสม (ประมาณ 1-2 กิโลกรัมต่อไร่) ปูนขาวจะช่วยปรับสภาพดินให้เป็นด่าง และฆ่าเชื้อโรคต่างๆ ที่อาจหลงเหลืออยู่ จากนั้นไถพรวนดินให้เข้ากันดี

ขั้นตอนที่สาม: "ปรับสภาพน้ำ" ก่อนปล่อยลูกปลา💧 หลังจากนั้นให้เริ่มสูบน้ำเข้าบ่อ ค่อยๆ สังเกตค่า pH ของน้ำ (ถ้ามีเครื่องวัด) ควรอยู่ที่ประมาณ 6.5 - 8.5 ถ้าค่า pH ต่ำเกินไป หรือสูงเกินไป ให้ใช้ปูนขาว หรือโดโลไมท์ ปรับสภาพน้ำให้เหมาะสม

ขั้นตอนที่สี่: "พักน้ำ" และ "เร่งการเกิดแพลงก์ตอน"🌿 ก่อนปล่อยลูกปลา ควรปล่อยน้ำเข้าบ่อให้เต็ม แล้วพักน้ำไว้ประมาณ 3-5 วัน เพื่อให้เกิดการสะสมของแพลงก์ตอน ซึ่งจะเป็นอาหารธรรมชาติของลูกปลาในช่วงแรก

💡 เคล็ดลับเพิ่มเติม: ถ้าเราอยากให้ลูกปลาโตไวเป็นพิเศษ อาจจะใส่ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยอินทรีย์ลงไปในปริมาณเล็กน้อย เพื่อเร่งการเจริญเติบโตของแพลงก์ตอน

พี่น้องชาวนาที่เลี้ยงปลาในนาข้าว มีเทคนิคอะไรดีๆ ในการเตรียมบ่อบ้างครับ? มาแชร์ประสบการณ์กันเด้อ! อย่าลืมบอกด้วยว่าชอบเลี้ยงปลาชนิดไหน เพราะแต่ละชนิดก็มีวิธีการดูแลที่แตกต่างกันไปครับ! 🐟🌾

#เลี้ยงปลาในนาข้าว #ชาวนาสุรินทร์ #ปลาดุก #ปลานิล #เทคนิคการเลี้ยงปลา #เพิ่มรายได้ #เกษตรผสมผสาน

☀️ อ้อยเริ่มออกรวง สัญญาณว่าใกล้เก็บเกี่ยว แต่ระวัง! อย่าให้ "หนอนกออ้อย" มาทำลายผลผลิตของเรานะครับ!หลายครั้งที่ชาวไร่อ้...
04/11/2025

☀️ อ้อยเริ่มออกรวง สัญญาณว่าใกล้เก็บเกี่ยว แต่ระวัง! อย่าให้ "หนอนกออ้อย" มาทำลายผลผลิตของเรานะครับ!

หลายครั้งที่ชาวไร่อ้อยสุรินทร์เจอปัญหา “อ้อยไส้แดง” นั่นคือผลจากหนอนกออ้อยกัดกินเนื้อเยื่อภายในลำต้น ทำให้เกิดความเสียหายอย่างมาก วันนี้ “ชาวนาสุรินทร์” จะมาแนะนำวิธีสังเกตและจัดการเจ้าตัวเล็กอันตรายนี้กันครับ

🔎 สังเกตยังไงว่ามีหนอนกออ้อย?

อาการที่บ่งบอกว่าอ้อยของเราติดหนอนกอแล้วคือ “ยอดเหี่ยว” ครับ จะสังเกตได้ว่าใบอ้อยเริ่มจากใบแก่ด้านล่างจะเหี่ยวเฉา แล้วลามขึ้นไปเรื่อย ๆ ถ้าผ่าลำต้นดู จะเห็นร่องรอยการกัดกินเป็นโพรงสีน้ำตาล หรือมีเศษมูลของหนอนอยู่

🐛 จัดการยังไงดี?

มีหลายวิธีครับ แต่ “ชาวนาสุรินทร์” ขอเน้นวิธีที่เป็นมิตรต่อธรรมชาติและปลอดภัยต่อตัวเราเอง:

1. ใช้ "แตนเบียน" (ชีววิธี): แตนเบียนเป็นศัตรูตามธรรมชาติของหนอนกออ้อยครับ โดยตัวแตนจะเข้าไปวางไข่ในตัวหนอน เมื่อไข่ฟักออกมา ตัวอ่อนของแตนจะกัดกินเนื้อตัวหนอนจนตาย วิธีนี้ปลอดภัยต่ออ้อยและไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม แต่ต้องปล่อยแตนเบียนในปริมาณที่เหมาะสม และดูแลให้แตนเบียนขยายพันธุ์ได้

2. จัดการตออ้อยหลังเก็บเกี่ยว: หลังเก็บเกี่ยวอ้อย อย่าปล่อยตออ้อยทิ้งไว้ในแปลงนานเกินไป เพราะเป็นแหล่งเพาะพันธุ์หนอนกออ้อยได้อย่างดี ควรไถพรวนตออ้อยให้ละเอียด หรือกำจัดทิ้ง เพื่อทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยของหนอน

3. ตรวจแปลงอย่างสม่ำเสมอ: หมั่นเดินตรวจแปลงอ้อยเป็นประจำ เพื่อสังเกตอาการผิดปกติ หากพบอ้อยที่มีอาการเหี่ยวเฉา ควรรีบตรวจสอบและจัดการทันที

💡 ข้อควรจำ: การป้องกันเป็นสิ่งสำคัญที่สุดครับ! การดูแลอ้อยให้แข็งแรง มีสุขภาพดี จะช่วยลดความเสี่ยงจากการระบาดของหนอนกออ้อยได้

💬 พี่น้องชาวไร่อ้อยมีวิธีจัดการหนอนกออ้อยแบบไหนที่ได้ผลบ้างครับ? มาแชร์ประสบการณ์กันได้เลยนะครับ! เพื่อช่วยกันปกป้องอ้อยของเราให้ได้ผลผลิตที่ดี!

#หนอนกออ้อย #อ้อยไส้แดง #ชาวไร่อ้อย #สุรินทร์ #การเกษตร #ศัตรูพืช #ชีววิธี #แตนเบียน #ป้องกันศัตรูพืช

เกษตรกรปลูกมันฯ ต้องรู้! สัญญาณ 'โรคใบด่างมันสำปะหลัง' (และวิธีป้องกัน)พี่น้องเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังครับ ช่วงนี้ต้องร...
01/11/2025

เกษตรกรปลูกมันฯ ต้องรู้! สัญญาณ 'โรคใบด่างมันสำปะหลัง' (และวิธีป้องกัน)

พี่น้องเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังครับ ช่วงนี้ต้องระวัง "โรคใบด่างมันสำปะหลัง" เป็นพิเศษนะครับ โรคนี้ระบาดได้เร็ว และสร้างความเสียหายให้กับผลผลิตของเราได้มากทีเดียว

แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่ามันสำปะหลังของเราเป็นโรคใบด่าง? สังเกตง่ายๆ ครับ ดูที่ “ใบ” เป็นหลัก อาการสำคัญคือ ใบจะมีสีเหลือง เป็นด่างๆ ไม่สม่ำเสมอ มองดูแล้วไม่สบายตา ยิ่งถ้าอาการเป็นมาก ใบจะเหลืองซีดทั้งใบเลยครับ นอกจากนี้ สังเกตดูที่ “ยอด” ของต้นมันด้วยนะครับ ถ้าเป็นโรค ยอดจะหงิกงอ ไม่แข็งแรง และมีแนวโน้มที่จะเหี่ยวเฉา

โรคใบด่างมันสำปะหลัง เกิดจากการติดเชื้อไวรัสครับ ไวรัสนี้จะแพร่กระจายได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผ่าน "ท่อนพันธุ์" ที่ไม่สะอาด ดังนั้น วิธีป้องกันที่ดีที่สุด และสำคัญที่สุด ก็คือ การใช้ “ท่อนพันธุ์สะอาด” เท่านั้นครับ!

ท่อนพันธุ์สะอาด คืออะไร? คือท่อนพันธุ์ที่ได้มาจากแหล่งที่เชื่อถือได้ มีการตรวจสอบคุณภาพ และรับรองว่าปราศจากเชื้อไวรัสโรคใบด่างมันสำปะหลัง รวมถึงโรคอื่นๆ ที่อาจเป็นอันตรายต่อมันสำปะหลังของเรา

คำแนะนำเพิ่มเติม:

- เลือกท่อนพันธุ์จากแหล่งที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน
- ก่อนปลูก ควรแช่ท่อนพันธุ์ในสารละลายป้องกันเชื้อรา เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
- หากพบต้นมันสำปะหลังที่เป็นโรค ให้รีบกำจัดทิ้งทันที เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด

จำไว้ว่า "ป้องกันดีกว่าแก้" ครับ การลงทุนกับท่อนพันธุ์สะอาด อาจจะดูเหมือนมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น แต่คุ้มค่ากว่าการต้องเสียผลผลิตทั้งหมดให้กับโรคใบด่างอย่างแน่นอน

พี่น้องเกษตรกรท่านใด มีประสบการณ์ในการป้องกันโรคใบด่าง หรือมีข้อสงสัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรคนี้ สามารถสอบถาม หรือแบ่งปันความรู้ได้เลยนะครับ เรามาช่วยกันสร้างความมั่นคงให้กับอาชีพเกษตรกรของเรากันเถอะ

หยุดเผาตอซัง! 3 เหตุผลที่ไม่ควร 'เผาฟาง' (และวิธีไถกลบให้เป็นปุ๋ย)พี่น้องชาวนาสุรินทร์ครับ ช่วงหลังเก็บเกี่ยวข้าว หลายคน...
01/11/2025

หยุดเผาตอซัง! 3 เหตุผลที่ไม่ควร 'เผาฟาง' (และวิธีไถกลบให้เป็นปุ๋ย)

พี่น้องชาวนาสุรินทร์ครับ ช่วงหลังเก็บเกี่ยวข้าว หลายคนอาจกำลังคิดถึงการ 'เผาฟาง' เพื่อเตรียมดิน แต่เดี๋ยวก่อน! การเผาฟางนั้น ส่งผลเสียมากกว่าที่เราคิดนะครับ "ชาวนาสุรินทร์" อยากชวนพี่น้องมาทำความเข้าใจ และหาทางเลือกอื่นที่ยั่งยืนกว่าครับ

เหตุผลที่ "ไม่ควรเผาฟาง":

1. ฝุ่น PM2.5 อันตรายต่อสุขภาพ: การเผาฟางปล่อยควันและฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) จำนวนมาก ซึ่งเป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจของพวกเรา และคนในครอบครัว แถมยังส่งผลกระทบต่อคุณภาพอากาศโดยรวมของจังหวัดอีกด้วย 😷

2. ทำลายชีวิต จุลินทรีย์ดีในดิน: ดินของเรามีจุลินทรีย์มากมายที่เป็นประโยชน์ ช่วยบำรุงดิน และส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืช การเผาฟางทำลายจุลินทรีย์เหล่านี้ ทำให้ดินเสื่อมโทรม และต้องใช้ปุ๋ยเคมีมากขึ้น 🦠

3. เสียธาตุอาหาร กลับไปเป็นศูนย์: ฟางข้าวเต็มไปด้วยธาตุอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อพืช เช่น ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม การเผาฟางคือการทิ้งธาตุอาหารเหล่านี้ไปโดยเปล่าประโยชน์ ทำให้ดินขาดความอุดมสมบูรณ์ และเราต้องเสียเงินซื้อปุ๋ยเพิ่มขึ้น 🌾

แล้วเราจะจัดการกับตอซังหลังเก็บเกี่ยวอย่างไรดี? "ชาวนาสุรินทร์" แนะนำ 2 วิธีนี้ครับ:

ไถกลบ: เป็นวิธีที่ง่ายที่สุด เพียงใช้รถไถไถกลบตอซังลงดิน ฟางข้าวจะค่อยๆ ย่อยสลาย กลายเป็นอินทรียวัตถุ ช่วยบำรุงดินให้ร่วนซุย เก็บความชื้นได้ดี และเป็นแหล่งอาหารของจุลินทรีย์ดี

ทำปุ๋ยหมัก: นำตอซังมาทำปุ๋ยหมักร่วมกับวัสดุอื่นๆ เช่น ฟางข้าว เศษใบไม้ มูลสัตว์ จะช่วยเพิ่มธาตุอาหาร และจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ ทำให้ปุ๋ยหมักมีคุณภาพสูง สามารถนำไปใช้บำรุงดินได้อย่างเต็มที่

💡จำไว้ว่า ดินดี ข้าวก็ดี! การดูแลดินคือการลงทุนเพื่ออนาคตของเรา และลูกหลานครับ

💬 พี่น้องชาวนาสุรินทร์ มีใครมีวิธีการจัดการกับตอซังหลังเก็บเกี่ยวแบบไหนบ้างครับ? มาแลกเปลี่ยนความรู้กันครับ!

☀️ อากาศร้อนๆ แบบนี้ ทำให้นึกถึง "น้ำ" ที่เป็นหัวใจของการทำนาเลยครับ หลายๆ ท่านคงกำลังกังวลว่าปีนี้จะแล้งหนักเหมือนปีที่...
01/11/2025

☀️ อากาศร้อนๆ แบบนี้ ทำให้นึกถึง "น้ำ" ที่เป็นหัวใจของการทำนาเลยครับ หลายๆ ท่านคงกำลังกังวลว่าปีนี้จะแล้งหนักเหมือนปีที่แล้ว

วันนี้ "ชาวนาสุรินทร์" อยากชวนพี่น้องมาคุยกันเรื่อง "การขุดสระเก็บน้ำ" ในที่นาของเราครับ หลายคนอาจจะคิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ ต้องลงทุนเยอะ แต่จริงๆ แล้วมันเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า แถมยังช่วยเพิ่มรายได้ให้กับครอบครัวเราได้อีกด้วย

แนวคิดนี้เป็นส่วนหนึ่งของ "เกษตรทฤษฎีใหม่" ที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงแนะนำไว้ครับ หลักง่ายๆ คือ การแบ่งพื้นที่ของเราออกเป็นส่วนๆ อย่างมีสัดส่วน แล้วขุดสระเก็บน้ำไว้ประมาณ 20-30% ของพื้นที่ทั้งหมด

แล้วการขุดสระมันดีอย่างไร?

เก็บน้ำฝนไว้ใช้: ในช่วงฤดูฝน น้ำฝนที่ตกลงมาจะถูกเก็บไว้ในสระของเรา ทำให้มีน้ำไว้ใช้ทำนาในช่วงหน้าแล้ง ไม่ต้องพึ่งพาน้ำจากแหล่งอื่นมากนัก

เลี้ยงปลาเสริม: นอกจากเก็บน้ำแล้ว เรายังสามารถเลี้ยงปลาในสระได้อีกด้วยครับ เช่น ปลากระพง ปลายี่สก หรือปลาอื่นๆ ที่ตลาดต้องการ จะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับเราอีกทางหนึ่ง

ปรับปรุงดิน: ดินที่ขุดขึ้นมาจากสระ สามารถนำมาปรับปรุงดินในพื้นที่อื่นๆ ของเราได้ ทำให้ดินอุดมสมบูรณ์ขึ้น

สร้างระบบนิเวศ: สระเก็บน้ำยังเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำและพืชน้ำต่างๆ ทำให้เกิดความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ของเรา

💡 ข้อควรพิจารณา: การขุดสระต้องมีการวางแผนอย่างรอบคอบ เลือกพื้นที่ที่เหมาะสม คำนึงถึงขนาดของสระ ความลึก และระบบระบายน้ำ เพื่อให้สระเก็บน้ำใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

หลายๆ ท่านในสุรินทร์เริ่มหันมาทำ "โคกหนองนา" แบบนี้กันมากขึ้นแล้วครับ นอกจากจะช่วยแก้ปัญหาภัยแล้งแล้ว ยังช่วยให้เราพึ่งพาตัวเองได้มากขึ้น ลดต้นทุนในการผลิต และสร้างความมั่นคงให้กับชีวิตของเรา

💬 พี่น้องท่านไหนที่เคยขุดสระเก็บน้ำในที่นาบ้างครับ อยากจะมาแชร์ประสบการณ์ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมกันได้นะครับ มาช่วยกันสร้างความอุดมสมบูรณ์ให้กับแผ่นดินของเราครับ

สวัสดีครับพี่น้องชาวนาสุรินทร์!วันนี้มีเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่สำคัญมาก อยากมาแนะนำกันครับ นั่นคือการ "ลับคมจอบ/เสียม" แล...
29/10/2025

สวัสดีครับพี่น้องชาวนาสุรินทร์!

วันนี้มีเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่สำคัญมาก อยากมาแนะนำกันครับ นั่นคือการ "ลับคมจอบ/เสียม" และ "ดูแลเครื่องมือเกษตร" หลังเลิกใช้งาน ฟังดูเหมือนเรื่องธรรมดาใช่ไหมครับ? แต่รับรองว่าช่วยให้เราทำงานได้ง่ายขึ้น ประหยัดแรง และเครื่องมืออยู่กับเราได้นานขึ้นแน่นอน

หลายครั้งที่เราแบกจอบเสียมไปทำนา พอถึงเวลาใช้งานจริง กลับต้องออกแรงมากกว่าเดิม เพราะคมจอบเสียมมันทื่อไปแล้ว! วิธีแก้ก็ง่ายนิดเดียวครับ หาหินลับมีด หรือตะไบ มาลับคมจอบเสียมให้มันกลับมาคมกริบเหมือนใหม่ รับรองว่าเวลาขุดดิน หรือไถแปลง จะเบาแรงขึ้นเยอะเลยครับ

แต่แค่นั้นยังไม่พอครับ หลังจากเลิกใช้งานแล้ว อย่าเพิ่งทิ้งจอบเสียมไว้กลางดินกลางทรายแบบนั้น! สิ่งที่เราควรทำคือ:

1. ล้างโคลนดินออกให้หมด: ใช้แปรง หรือน้ำฉีดล้างเอาโคลนดินที่ติดอยู่ตามตัวเครื่องมือออกให้หมดครับ จะได้ไม่เป็นสนิม
2. เช็ดให้แห้ง: หลังจากล้างทำความสะอาดแล้ว ให้ใช้ผ้าสะอาดเช็ดให้แห้งสนิทเลยครับ
3. ทาน้ำมันกันสนิม: ขั้นตอนนี้สำคัญมาก! ใช้น้ำมันเครื่องเก่า น้ำมันพืช หรือน้ำมันก๊าซโซลีน ทาน้ำมันให้ทั่วทั้งตัวเครื่องมือ จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดสนิม และยืดอายุการใช้งานได้นานขึ้นครับ

ลองคิดดูนะครับ เครื่องมือพวกนี้เราลงทุนซื้อมาก็เงินทั้งนั้น ถ้าเราดูแลรักษาให้ดี มันก็อยู่กับเราได้เป็นปี ๆ เป็นสิบปี ช่วยให้เราทำนา ทำไร่ ได้อย่างราบรื่น คุ้มค่า คุ้มเงินที่ลงทุนไป

พี่น้องชาวนาสุรินทร์ของเรา เคยมีเทคนิคดูแลรักษาเครื่องมือเกษตรแบบไหนเป็นพิเศษบ้างครับ? มาแชร์กันหน่อยเด้อ! บางทีอาจจะมีเคล็ดลับดี ๆ ที่เราไม่เคยรู้ก็ได้นะครับ

ที่อยู่

214
Amphoe Chom Phra
32180

เบอร์โทรศัพท์

0814705287

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ชาวนาสุรินทร์ผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์