The101.world The101.world | creative knowledge media for social change
(1)

The101.world คือสื่อความรู้สร้างสรรค์ (creative knowledge media) ของทีมงาน The 101 Percent เราพยายามทำสื่อความรู้สร้างสรรค์ที่มีแก่นชีวิตและความคิด ดังนี้

- เป็นสื่อที่ชวนสังคมตั้งคำถามที่ ‘ใช่’ ในเรื่องสำคัญต่อชีวิต และมีส่วนร่วมในการกำหนดวาระสาธารณะ วาทกรรมสาธารณะ และข้อถกเถียงสาธารณะในสังคม

- เป็นสื่อที่บอกเล่าเบื้องลึกเบื้องหลังของสถานการณ์การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมวัฒนธรรม ที่ประชาชนกำลังใ

ห้ความสนใจ อย่างครบถ้วน รอบด้าน ถูกต้อง ลึกซึ้ง แตกต่าง และน่าเชื่อถือ

- เป็นสื่อที่มองวัฒนธรรมรอบตัวและไลฟ์สไตล์ในแง่มุมใหม่ที่ไม่มีใครเคยมอง เท่าทันโลกร่วมสมัย และมองเห็นมิติเชิงสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองที่ทำงานอยู่เบื้องหลังวัฒนธรรมรอบตัวและไลฟ์สไตล์ร่วมสมัย

- เป็นสื่อที่เชื่อม ‘โลกความรู้’ เข้ากับ ‘โลกความคิดสร้างสรรค์’ นำเสนอความรู้พื้นฐานด้านต่างๆ ที่สำคัญอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ และเผยแพร่สู่สาธารณะให้เข้าถึงผู้คนวงกว้างที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ทั้งในโลกออนไลน์และออฟไลน์

- เป็นสื่อที่ทำหน้าที่ด้วยความเป็นมืออาชีพ กล่าวคือ มีความเป็นอิสระ ตรงไปตรงมา เปิดกว้างทางความคิดเห็น เชื่อมั่นในความหลากหลาย มีความสมดุลและรอบด้าน มีความรับผิดชอบ คำนึงถึงประโยชน์สาธารณะ และเชื่อมั่นในสิทธิเสรีภาพ

- เป็นสื่อที่ร่วมสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ และร่วมเป็นพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้นบนฐานความรู้

- เป็นสื่อที่ทำหน้าที่ ‘สื่อสาร’ ความรู้สู่สังคม โดยใช้ช่องทางทุกรูปแบบที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นสื่อออนไลน์ ออฟไลน์ สื่อมัลติมีเดีย สื่อกระดาษ หรือการร่วมแลกเปลี่ยนระหว่างผู้คนด้วยวิธีต่างๆ เพื่อให้เกิดการปะทะสังสรรค์ทางความคิดที่ไม่สิ้นสุด

“วิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบา เป็นการเผชิญหน้าทางทหารระหว่างสหรัฐอเมริกากับสหภาพโซเวียตในช่วงสงครามเย็น ถือเป็นหนึ่งในช่วงเวล...
25/07/2025

“วิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบา เป็นการเผชิญหน้าทางทหารระหว่างสหรัฐอเมริกากับสหภาพโซเวียตในช่วงสงครามเย็น ถือเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่เกิดความตึงเครียดระหว่างประเทศมากที่สุดในประวัติศาสตร์โลก เพราะเกือบนำไปสู่การใช้อาวุธนิวเคลียร์ระหว่างสองมหาอำนาจ”
จิตทิพย์ มงคลชัยอรัญญา เขียนถึงวิกฤตและความพยายามคลี่คลายสถานการณ์ตึงเครียดในวิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบา เพื่อชวนกลับมาทบทวนสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา และตั้งคำถามว่า ในฐานะประชาชนคนหนึ่ง เราสามารถมีส่วนช่วยลดระดับความตึงเครียดนี้ได้อย่างไร
อ่านได้ที่: https://www.the101.world/cuban-crisis-lessons-thai-cambodia-conflict/
“ผู้นำทั้งสองต้องเผชิญกับข้อจำกัดอย่างหนักจากแรงกดดันภายในประเทศ ทั้งจากกระแสสาธารณชนในทั้งสองประเทศที่ล้วนมองอีกฝ่ายเป็นศัตรู ความคาดหวังจากพันธมิตร และแรงต้านจากภาคส่วนต่างๆ เช่น กองทัพ นักการเมืองสายเหยี่ยวในคณะบริหาร หรือคู่แข่งทางการเมือง”
“หากผู้นำแสดงท่าทีว่า ‘ยอมถอย’ หรือส่งสัญญาณต้องการลดความขัดแย้งต่อสาธารณชน ท่าทีเหล่านั้นมักถูกตีความว่าเป็นความอ่อนแอ หรือบ่งชี้ถึงความไร้ความสามารถในการบริหารประเทศ ซึ่งอาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาพลักษณ์และเส้นทางทางการเมืองของผู้นำ โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตการณ์ที่การยอมอ่อนข้อให้ฝ่ายตรงข้ามมักถูกมองว่าเท่ากับการยอมจำนนต่อศัตรู”
“สิ่งที่ผู้นำทั้งสองประเทศพยายามทำเพื่อลดความตึงเครียดระหว่างประเทศในขณะที่รักษาภาพลักษณ์ความเข้มแข็งของตน คือการไม่แสดงออกอย่างชัดเจนในที่สาธารณะว่าจะยอมอ่อนข้อให้อีกฝ่าย ตัวอย่างหนึ่งคือการส่งข้อความผ่านตัวกลางที่ไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่รัฐโดยตรง เช่น ฝั่งโซเวียตได้รับข่าวจากนักข่าว (ที่โซเวียตเชื่อว่าใกล้ชิดกับเคนเนดี) ว่าสหรัฐอเมริกาต้องการลดความตึงเครียด และพร้อมจะถอนขีปนาวุธจากตุรกีอย่างลับๆ หากโซเวียตยอมถอนขีปนาวุธออกจากคิวบา”
“ท่ามกลางการเผชิญหน้าระหว่างไทย–กัมพูชาที่ตึงเครียดจนส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บเสียชีวิต หนึ่งในประเด็นสำคัญเร่งด่วนที่สังคมควรให้ความสำคัญ คือ แนวทางการลดความตึงเครียดในความขัดแย้งระหว่างประเทศ”

#ขีปนาวุธคิวบา #ไทยกัมพูชา #วันโอวัน

🎧 101 In Focus EP.287: ‘ลาไปบอกลา’ เมื่อการร่ำลาคนรักครั้งสุดท้ายต้องเป็นสิทธิของทุกคนในขณะที่คนที่เรารักจากโลกนี้ไปเพีย...
25/07/2025

🎧 101 In Focus EP.287: ‘ลาไปบอกลา’ เมื่อการร่ำลาคนรักครั้งสุดท้ายต้องเป็นสิทธิของทุกคน
ในขณะที่คนที่เรารักจากโลกนี้ไปเพียงครั้งเดียว การได้ใช้ช่วงเวลาสุดท้ายร่วมกันอาจเป็นของขวัญล้ำค่าที่สุดในชีวิตสำหรับผู้ที่กำลังจะจากไปและผู้ที่ยังอยู่ต่อ แต่ในปัจจุบันคนจำนวนไม่น้อยในสังคมไทยกลับไม่มีโอกาสแม้แต่จะอยู่เคียงข้างคนรักในวาระสุดท้าย เพราะประเทศไทยยังไม่มีสิทธิ ‘ลาไปดูแล’ หรือ ‘ลาไปบอกลา’ อย่างเป็นทางการ หลายคนจึงต้องเลือกระหว่างหน้าที่การงานกับช่วงเวลาสุดท้ายที่ไม่มีวันหวนคืน
แม้สิทธิเหล่านี้อาจดูเป็นเรื่องเล็กน้อยในระบบแรงงาน แต่ในมุมของความเป็นมนุษย์ มันคือโอกาสในการเยียวยาความสัมพันธ์ และเติมเต็มคุณภาพชีวิตในช่วงท้ายให้สมบูรณ์ที่สุด ถึงเวลาแล้วหรือไม่ที่สังคมไทยจะเริ่มต้นพูดคุยเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพราะสิทธิดังกล่าวไม่ควรเป็นเพียงแค่ ‘ความโชคดี’ หรือ ‘ความเมตตา’ ของบริษัทใดบริษัทหนึ่งเท่านั้น
101 In Focus ตอนนี้ ชวนสำรวจความหมายของสิทธิ ‘ลาไปดูแล’ หรือ ‘ลาไปบอกลา’ ต่อมนุษย์ ระบบแรงงาน และระบบสาธารณสุขไทย พร้อมมองไปข้างหน้าถึงก้าวต่อไปที่สังคมไทยควรร่วมกันผลักดัน
🎧 รับฟังรายการได้ที่
🔹 https://youtu.be/MVuTy2eBbtU
🔹 https://www.the101.world/101-in-focus-ep-287/
🎙️ ดำเนินรายการโดย
ศุภวิชญ์ ศิริสวัสดิ์วัฒนา กองบรรณาธิการ The101.world และ
ชลธิชา ทักษิณาเวศน์ กองบรรณาธิการ The101.world
#ลาไปบอกลา #วันโอวัน

:: เดิมพันครั้งใหม่ของกัมพูชา ในราคาที่ต้องจ่ายน้อยลง ::ความขัดแย้งตามแนวพรมแดนไทย–กัมพูชากลับมาปะทุอีกครั้งนับตั้งแต่ปี...
25/07/2025

:: เดิมพันครั้งใหม่ของกัมพูชา ในราคาที่ต้องจ่ายน้อยลง ::
ความขัดแย้งตามแนวพรมแดนไทย–กัมพูชากลับมาปะทุอีกครั้งนับตั้งแต่ปี 2554 โดยมีจุดน่าสนใจอยู่ที่ท่าทีของกัมพูชาที่แข็งกร้าวขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
จนวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 ก็เกิดการปะทะกันด้วยอาวุธขึ้นมาอย่างจริงจัง สร้างความสูญเสียทั้งชีวิตและเศรษฐกิจโดยไม่จำเป็น
101 PUB ชวนคิดจากมุมมองเศรษฐศาสตร์การเมืองว่า เหตุใดท่าทีของกัมพูชาในความขัดแย้งระลอกใหม่จึงดูขึงขังและแตกต่างจากสถานการณ์เมื่อปี 2554? โดยชี้ให้เห็นถึง ‘ราคาความขัดแย้ง’ ที่ลดลงสำหรับกัมพูชา ภายใต้บริบทของโลกาภิวัตน์และการแข่งขันเชิงภูมิรัฐศาสตร์ในระดับโลกที่เข้มข้นขึ้น
ถึงจะเกิดความรุนแรงขึ้น แต่ไทยและกัมพูชาก็จะยังต้องเป็นประเทศเพื่อนบ้านกันต่อไป ดังนั้น จึงต้องกลับมาคิดใหม่เรื่องนโยบายการต่างประเทศอย่างมียุทธศาสตร์และมองไกลกว่าการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เพื่อลดความสูญเสียและสร้างผลประโยชน์ร่วมกันในระยะยาว
อ่านบทวิเคราะห์ฉบับเต็ม: https://www.the101.world/cambodia-conflict-costs/
เรื่อง: ชานนทร์ เตชะสุนทรวัฒน์
ภาพประกอบ: ปทิตตา วาสนาส่งชูสกุล

“เด็กบางคนกลัวมากจนทำอะไรไม่ถูก ถามครูว่า ‘เขาจะยิงหนูไหม’ ‘เขาจะระเบิดตรงหนูไหม’ และ ‘เขาจะยิงพ่อแม่หนูไหม’ ” สงครามคือ...
25/07/2025

“เด็กบางคนกลัวมากจนทำอะไรไม่ถูก ถามครูว่า ‘เขาจะยิงหนูไหม’ ‘เขาจะระเบิดตรงหนูไหม’ และ ‘เขาจะยิงพ่อแม่หนูไหม’ ”
สงครามคือพื้นที่ที่เลวร้ายที่สุดสำหรับเด็ก - ท่ามกลางการสนับสนุนให้เกิดการปะทะและทำสงครามเต็มรูปแบบ เราอาจต้องไม่ลืมว่ามีประชาชนในพื้นที่ที่ประสบอันตรายจริง เจ็บจริง และตายจริง หนึ่งในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบทั้งที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่คือเด็กและเยาวชนในพื้นที่
วันโอวันสนทนากับครูชายแดนสองราย โดยทั้งคู่ตัดสินใจไม่อพยพจนกว่าลูกศิษย์ทุกคนจะออกจากโรงเรียนอย่างปลอดภัย อ่านฉบับเต็มที่: https://www.the101.world/thai-cambodia-clashes-effect-on-children/
"อีกวันที่ควรจะปกติธรรมดา ระหว่างที่นักเรียนโรงเรียนนาจะหลวย อ.นาจะหลวย จ.อุบลราชธานี กำลังเรียนหนังสืออยู่ในห้อง เสียง ‘ปัง!’ ซึ่งเป็นเสียงดังคล้ายปืนใหญ่ก็ดังขึ้น แม้กระสุนจะไม่ได้ตกที่โรงเรียนและไม่อาจยืนยันได้ว่าเสียงนั้นมาจากจุดใด แต่ทุกคนเข้าใจในทันที การปะทะเกิดขึ้นไม่ไกลแน่"
"จังหวะที่เรียกนักเรียนมารวมตัวกัน รองวัฒนาเล่าว่าเด็กจำนวนมากวิ่งพล่านไปมาและตื่นตระหนก ขณะที่บางคนก็ร้องไห้ด้วยรู้สึกถึงบรรยากาศที่กดดันและบีบคั้น เธอเล่าว่าเด็กบางคนร้องไห้เพราะพ่อแม่หรือสมาชิกครอบครัวไม่สามารถมารับได้เนื่องจากกำลังหลบอยู่ในหลุมหลบภัย หรือไม่ก็หลบหลีกการปะทะอยู่"
" “ตอนรวมนักเรียนแล้วเสียงปืนดังตลอด ขนก็ลุก ครูทุกคนกังวลหมด เราเองก็ตกใจ แต่เราต้องทำหน้าที่ให้เสร็จเรียบร้อย ท่านผู้อำนวยการคอยกำกับดูแลช่วยเหลือนักเรียน คณะครูตกลงกันว่าเราต้องอยู่ดูจนเด็กทุกคนออก แล้วครูค่อยออกคนสุดท้าย บทบาทหน้าที่ครูคือแบบนั้น” "
- วัฒนา อ่อนประทุม รองผู้อำนวยการโรงเรียนนาจะหลวย อ.นาจะหลวย จ.อุบลราชธานี
..

"เมื่อทราบข่าวการปะทะและเห็นเค้าลางความรุนแรง โรงเรียนของครูเอจึงเริ่มอพยพเด็กออกจากโรงเรียนทันที โดยเป็นการอพยพตามแผนที่เคยซักซ้อมกันก่อนหน้าแล้ว ครูเอเล่าว่าโรงเรียนแถบชายแดนนั้นวางแผนซักซ้อมสำหรับเหตุการณ์ความรุนแรงตั้งแต่เริ่มมีข่าวปิดด่าน"
" “เด็กประถมในห้องตกใจมาก ไม่รู้จะทำอย่างไร บางคนก็วิ่งไปหลุมหลบภัย บางคนก็โหวกเหวก บางคนก็ตกใจ บางคนก็ร้องไห้ สถานการณ์สับสนมาก” "
" “เราตกใจนะ แต่ต้องคุมตัวเองไม่ให้แตกตื่นเพื่อให้เด็กสงบ เราต้องวิ่งเช็กเด็กและต้องแข่งกับเวลา เราไม่รู้เลยว่ากระสุนปืนจะลงใส่หรือไม่ แต่ตอนนั้นเป็นห่วงเด็กมากที่สุดเลย กลัวเด็กเป็นอะไรมากๆ ตอนปะทะไม่ได้คิดถึงชีวิตตัวเองเลย คิดแต่เพียงว่าเป็นตายอย่างไรเด็กต้องปลอดภัย เป็นตายอย่างไรเด็กต้องถึงมือผู้ปกครอง” ครูเอว่าอย่างนั้น"
" “พอเด็กไม่ได้เรียนหนังสือก็ต้องกลับมาเริ่มปูพื้นใหม่ ยิ่งเด็กบางคนที่ไม่ค่อยมีสมาธิก็อาจยิ่งยาก ดังนั้น เมื่อเกิดเหตุแบบนี้ อยากให้ สพฐ. สนับสนุนเรื่องการเรียนการสอนก่อน สนับสนุนการเตรียมพร้อมให้เด็กรับการเรียนรู้ก่อน อย่าเพิ่งให้งานครู เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่ครูต้องเชื่อมเนื้อหาเดิมเข้ากับเนื้อหาใหม่ และต้องฟื้นฟูสภาพจิตใจเด็กด้วย” ครูเอกล่าว"
“อยากให้ทุกคนเข้าใจว่าความรุนแรงไม่ช่วยแก้ปัญหา แต่ทำให้คนที่อยู่ใกล้การปะทะสูญเสียมากกว่าที่คิด อยากให้เข้าใจหัวอกคนในพื้นที่หน่อย คนในพื้นที่ไม่อยากได้สถานการณ์นี้ ไม่อยากทิ้งชีวิตที่บ้าน”

- ครูเอ ครูโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดศรีสะเกษ
ขอบคุณภาพถ่ายจาก ผศ.พัชรี เขตต์จะโป๊ะ
เรื่อง: ชลธิชา ทักษิณาเวศน์
ภาพประกอบ: ณัฐพล อุปฮาด

ลำพังแค่การใช้ระเบิดและอาวุธหนักจนทำให้ประชาชนสองฝั่งชายแดนไทย-กัมพูชาได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ก็เลวร้ายมากพออยู่แล้ว แ...
25/07/2025

ลำพังแค่การใช้ระเบิดและอาวุธหนักจนทำให้ประชาชนสองฝั่งชายแดนไทย-กัมพูชาได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ก็เลวร้ายมากพออยู่แล้ว แต่การรณรงค์ของกองทัพภาคที่ 2 ที่ชวนให้ใช้แฮชแท็ก ‘กัมพูชายิงก่อน’ และทวิตเตอร์ (X) ของคุณ ทักษิณ ชินวัตร ที่สนับสนุนให้ทหาร ‘สั่งสอน’ ฮุน เซน ยิ่งทำให้สถานการณ์ทรุดหนักลงไปอีก
สงครามประสาทที่สั่งสมมาหลายเดือนกำลังลุกลามกลายเป็นความรุนแรงที่ส่งผลต่อชีวิตจริงของผู้คนริมชายแดน ผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งเหตุการณ์ปะทุรุนแรงในเช้าวันพฤหัสบดีที่ 24 กรกฎาคม 2568 โดยการปะทะเริ่มตั้งแต่เวลา 07.00 น. จากข้อมูลเท่าที่รู้ในฝั่งไทย พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากระเบิดครอบคลุมจังหวัดศรีสะเกษ สุรินทร์ อุบลราชธานี และบุรีรัมย์ มีผู้เสียชีวิตแล้ว 14 ราย และบาดเจ็บ 46 ราย (ข้อมูล ณ เวลา 23.57 น. ของวันที่ 24 กรกฎาคม 2568)
เรายังขาดข้อมูลที่รอบด้าน จึงไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าฝั่งกัมพูชาต้องเผชิญอะไรบ้าง เรารู้ว่าเราบาดเจ็บ เราโกรธ แต่เรารู้ไม่มากพอว่าอีกฝ่ายเจ็บปวดเพียงใด
สิ่งที่น่ากังวลในการปะทะครั้งนี้คือ ‘พื้นที่ที่ระเบิดตก’ เป็นเขตชุมชน เป็นโรงพยาบาล เป็นร้านค้า เป็นที่อยู่อาศัยของประชาชน
วิวาทะที่ตามมาคือ ต่างฝ่ายต่างกล่าวหาว่าอีกฝ่ายเป็น ‘ผู้เริ่มก่อน’ ทั้งไทยและกัมพูชาต่างแย่งกันเป็น ‘ผู้ถูกกระทำ’ เพื่อสร้างความชอบธรรมในเวทีระหว่างประเทศ และใช้กำลังโต้ตอบ ซึ่งโหมความรุนแรงให้ทวีขึ้นไปอีก
ไทยกับกัมพูชาเป็นเพื่อนบ้านที่มีพรมแดนติดกันอย่างแนบแน่น ในทุกวันนี้มีแรงงานกัมพูชาราว 5 แสนคน เข้ามาทำงานในประเทศไทย ด้วยความหวังว่าจะได้งานและชีวิตที่ดีกว่า ไม่ต่างจากแรงงานไทยจำนวนมากที่ย้ายไปทำงานต่างประเทศด้วยเหตุผลเดียวกัน
แรงงานข้ามชาติจากพม่า ลาว และกัมพูชา คือแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะในสายงานที่ขาดแคลนแรงงาน เช่น เกษตรกรรม ก่อสร้าง และประมง โดยเฉพาะงานที่ขาดแคลนแรงงาน แต่เมื่อความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาเริ่มทวีความรุนแรงตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา สื่อกัมพูชารายงานผ่านการอ้างอิงข้อมูลจากกรมตรวจคนเข้าเมืองว่ามีชาวกัมพูชาราว 5,400 คน เดินทางกลับประเทศทุกวัน
ทั้งแฮชแท็กของกองทัพ คำพูดยุยงของคุณทักษิณ และการแสดงความฮึกเหิมของอินฟลูเอนเซอร์สายชาตินิยม ล้วนส่งผลต่อการปลุกอารมณ์ร่วมของสังคมไทยที่กำลังเดือดดาล กล่าวคือแม้การกระทำเหล่านั้นจะเป็นเพียงการสะกิดเบาๆ แต่ผู้คนก็พร้อมโกรธ ว่าไปแล้วอาจกล่าวได้ว่ากระบวนการปลุกระดมความเกลียดชังกำลังขยายวงไปยังประชาชนทั่วไป
เรามองเห็นความโกรธผ่านหน้าจอโซเชียลมีเดีย แต่ต้องไม่ลืมว่าความโกรธนั้นมีตัวตนจริง อยู่ในชีวิตประจำวันของผู้คน ความตึงเครียดที่ชายแดนลุกลามออกมาสู่สังคม ผ่านการเลือกปฏิบัติและการแสดงความเกลียดชังที่เริ่มเกิดขึ้นในที่ทำงาน ร้านอาหาร ตลาด หรือแม้แต่ในพื้นที่ก่อสร้าง นี่คือด้านหนึ่งของสงครามที่น่ากลัวไม่แพ้จำนวนผู้เสียชีวิต
ในยามปกติ แรงงานข้ามชาติคือกำลังสำคัญของเศรษฐกิจ แต่ในสถานการณ์แห่งความขัดแย้ง หากไม่ระวัง หลายคนอาจมองพวกเขาในฐานะ ‘ตัวแทนของศัตรู’ โดยไม่ตั้งใจ
ในช่วงเวลาเช่นนี้ เราทุกคนมีหน้าที่ร่วมกันป้องกันไม่ให้บรรยากาศแห่งความเกลียดชังผลักให้ประชาชนตกเป็นเชื้อไฟของสงครามทางอารมณ์ ต้องช่วยกันดึงสติ แยกแยะให้ได้ว่า ความรักชาติสามารถเกิดขึ้นได้โดยไม่จำเป็นต้องทำร้ายกัน และร่วมกันหยุดยั้งการแพร่กระจายความเกลียดชัง เพื่อรักษาความเป็นมนุษย์ของกันและกันไว้ให้ได้
สำหรับรัฐบาลและกองทัพ ประเทศไทยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องพยายามทุกทางที่จะไม่เติมเชื้อไฟให้กับสถานการณ์ที่เลวร้ายอยู่แล้ว มุ่งหน้าลดระดับความตึงเครียด หากจำเป็นต้องเผชิญหน้าในสถานการณ์ความมั่นคงก็ควรดำเนินการอย่างมีวุฒิภาวะ และวางแนวทางสู่การเจรจาเพื่อลดข้อพิพาท รวมถึงเตรียมการฟื้นฟูเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้น
ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่สิ่งที่ควรทำและทำได้ทันทีคือ ‘การหยุดปลุกกระแสความเกลียดชัง’ ก่อนที่ความรุนแรงจะบานปลายไปมากกว่านี้
กองบรรณาธิการ The101.world



💛 101 SUPPORT — ร่วมซัพพอร์ต ร่วมส่งพลัง ร่วมสร้างสรรค์สื่อ
👉 ร่วมสนับสนุน ‘วันโอวัน’ ได้ที่: https://www.the101.world/101support



#วันโอวัน

ภาพถ่ายโดย: LILLIAN SUWANRUMPHA / AFP

“บทกวีที่ใช้คำน้อย ให้พลังงานมหาศาลอย่างคาดไม่ถึงกับเช้าวันนั้น เพียงเพราะผมเลือกที่จะ ‘อ่าน-ออก-เสียง’ ดังๆ”จากการอ่านบ...
25/07/2025

“บทกวีที่ใช้คำน้อย ให้พลังงานมหาศาลอย่างคาดไม่ถึงกับเช้าวันนั้น เพียงเพราะผมเลือกที่จะ ‘อ่าน-ออก-เสียง’ ดังๆ”
จากการอ่านบทกวีที่เติมพลังให้เช้าวันทำงาน สู่การขบคิดถึงวัฒนธรรมการอ่านออกเสียงที่เติมความรุ่มรวยให้ชีวิต
คอลัมน์ ‘Phenomenon’ สัปดาห์นี้ โตมร ศุขปรีชา พาสำรวจว่า ‘การอ่านออกเสียง’ ส่งผลดีอย่างไรต่อความคิดและอารมณ์ พร้อมชวนคิดว่าทำไมสังคมไทยควรส่งเสริมวัฒนธรรมนี้ให้งอกงาม
อ่านได้ที่: https://www.the101.world/why-we-should-read-aloud/
“การ ‘อ่าน-ออก-เสียง’ เป็นสิ่งสำคัญ เป็นวัฒนธรรม และเป็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ในวิถีชีวิตของผู้คน“
“วรรณกรรมไม่จำเป็นต้องเป็นเพียงการอ่านเงียบๆ แต่สามารถสร้างประสบการณ์ทางเสียงและอารมณ์ให้เกิดขึ้นได้ และนี่คือการส่งต่อจินตนาการที่ลึกซึ้งให้กับเด็กๆ ทั่วโลก”
“ยิ่งถ้าเรา ‘ฟัง’ สิ่งที่คนอื่นอ่าน เราก็อาจได้รับรู้ถึง ‘การตีความ’ คำนั้นๆ ที่แตกต่างออกไปจากต้นทุนของเราอีก ผลลัพธ์ก็คือเราจะจดจำถ้อยคำเหล่านั้นได้ดียิ่งขึ้น การอ่านออกเสียงจึงทำให้เรา ‘รุ่มรวย’ ใน ‘คลังคำ’ มากกว่าการอ่านเงียบๆ”
“คำถามก็คือ แล้ว ‘วัฒนธรรม’ การ ‘อ่าน-ออก-เสียง’ ในไทย – มันหายไปไหน?”
ภาพประกอบ: ณัฐพล อุปฮาด

🟡 101 One-on-One วันอังคารที่ 29 กรกฎาคม📌 บทที่ยังไม่ได้เขียน ของ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์หนึ่งปีหลังยุบพรรคก้าวไกล แม้สถานะท...
25/07/2025

🟡 101 One-on-One วันอังคารที่ 29 กรกฎาคม
📌 บทที่ยังไม่ได้เขียน ของ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์
หนึ่งปีหลังยุบพรรคก้าวไกล แม้สถานะทางการเมืองของ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จะถูกพรากไปตามกติกา แต่เขาไม่เคยหายไปจากบทสนทนาสาธารณะ ในฐานะบุคคลที่ ‘เกือบจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี’ – ทุกท่าที ทุกถ้อยคำของเขายังมีส่วนต่อการกำหนดวาระการเมืองเสมอ
แต่ในอีกด้านหนึ่ง ‘พิธา’ ก็ถูกหล่อหลอมโดยกระแสและความผันผวนทางการเมืองไม่แพ้กัน—ประสบการณ์การถูกบังคับให้อยู่นอกสนามในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา ทำให้พิธาเห็นอะไร เรียนรู้อะไร และตีความการเมืองในมิติใหม่อย่างไรบ้าง
วันโอวันชวน ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ มาสนทนาถึงบทต่อไปของหนังสือ The Almost Prime Minister – บันทึกทางการเมืองของเขา เพื่อหาคำตอบว่าเนื้อหาเหล่านี้จะมีส่วนในการกำหนดอนาคตทางการเมืองไทยอย่างไร
🎙️ ดำเนินรายการโดย อินทร์แก้ว โอภานุเคราะห์กุล
🗓️ วันอังคารที่ 29 กรกฎาคม 2568 เวลา 18.00 น.
🔴 สดทาง Facebook และ YouTube วันโอวัน ‘The101.world’
#พิธาลิ้มเจริญรัตน์ #วันโอวัน

"เราเคยสงสัยเหมือนกันนะว่าเวลาสุนัขโดนทำร้ายยังมีคนช่วย แต่พวกเราเป็นคนนะ ทำไมไม่มีใครมาช่วยพวกเราเลย”วันโอวัน ชวนฟังเสี...
25/07/2025

"เราเคยสงสัยเหมือนกันนะว่าเวลาสุนัขโดนทำร้ายยังมีคนช่วย แต่พวกเราเป็นคนนะ ทำไมไม่มีใครมาช่วยพวกเราเลย”
วันโอวัน ชวนฟังเสียงชาวบ้านจากตำบลจำปาหล่อ อำเภอเมือง จังหวัดอ่างทอง ที่เผชิญปัญหามลพิษทางกลิ่นจากโรงงานเส้นใยทุนอินเดียที่ดำเนินการมายาวนานกว่าสี่ทศวรรษ
อ่านได้ที่: https://www.the101.world/champalo-documentary/
แม้เราจะเดินทางออกมาไกลจากตัวโรงงานเพียงใด แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงปรากฏเด่นชัดอยู่เสมอคือ ‘ปล่องควันของโรงงาน’ ที่สูงและยืนตระหง่านไม่ไหวติงจากแรงลม ราวกับมันกำลังจับตากลุ่มคนแปลกหน้าอย่างเราอยู่ตลอดเวลา
สำหรับชาวอ่างทองจำนวนไม่น้อย โรงงานแห่งนี้ไม่ใช่เพียงโรงงานปกติทั่วไป แต่เป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำร่วมในชีวิตบางคนอาศัยอยู่ตั้งแต่โรงงานกำลังก่อร่างสร้างตัว และบางคนต้องอาศัยแม่น้ำร่วมกับโรงงานแห่งนี้ตั้งแต่วันแรกของชีวิต
ช่วงปลายฤดูร้อนก่อนเข้าฤดูฝน เราตัดสินใจเดินทางมาถึงที่นี่ – สถานที่ที่สายน้ำของแม่น้ำเจ้าพระยายังคงรินไหล ไม่ต่างจากน้ำตาของชาวบ้านตำบลจำปาหล่อที่กำลังร่ำไห้
เรื่อง: ศุภวิชญ์ ศิริสวัสดิ์วัฒนา
ภาพถ่าย: ธีรพัฒน์ แก้วชำนาญ

24/07/2025

🟡 The Last War - แยกวัดใจ ‘ทักษิณ’ | ค.การเมือง EP.73

การเมืองไทยกลับมามีสีสันทุกครั้งเมื่อ ‘ทักษิณ ชินวัตร’ กลับเข้ามามีบทบาทในการเมืองฉากหน้า และในวิกฤตรัฐบาลและส่วนตัวรอบนี้ยิ่งฉูดฉาดเมื่อทักษิณส่งสัญญาณว่าจะกลับมาแบบเต็มตัวในฐานะ ‘เสมียนประเทศ’ แต่การกลับมาครั้งนี้ก็เต็มไปด้วยความเสี่ยง และในฐานะคนไม่กลัวเสี่ยง ทักษิณก็เลือกที่จะวัดใจ

ทำไมทักษิณจึงต้องเลือกออกจากหลังฉาก และการเคลื่อนไหวรอบนี้จะส่งผลต่อเสถียรภาพและอนาคตการเมืองอย่างไร

#ทักษิณชินวัตร #พรรคเพื่อไทย #การเมืองไทย #คอการเมือง #วันโอวัน

“มีคนเคยบอกว่า ในสงคราม สิ่งแรกที่ถูกฆ่าตายคือความจริง”“คนในพื้นที่อยากให้สถานการณ์จบโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และ...
24/07/2025

“มีคนเคยบอกว่า ในสงคราม สิ่งแรกที่ถูกฆ่าตายคือความจริง”
“คนในพื้นที่อยากให้สถานการณ์จบโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และไม่มีใครอยากให้เกิดสงครามทั้งสิ้น”
ช่วงเช้าของวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 มีรายงานว่าเกิดเหตุปะทะบริเวณพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา หลายจุดในเขตจังหวัดสุรินทร์ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ จนมีประชาชนได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต แถลงการณ์จากทางการไทยระบุว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายเปิดฉากยิงก่อนที่บริเวณปราสาทตาเมือน ขณะที่กัมพูชากลับอ้างว่าไทยเป็นฝ่ายโจมตีก่อนเช่นเดียวกัน
วันโอวัน สรุปข้อมูลจากทางการไทย และกัมพูชา พร้อมความเห็นจากนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ผู้ติดตามสถานการณ์ในพื้นที่อย่างใกล้ชิด
อ่านได้ที่: https://www.the101.world/thai-cambodia-recent-tension
🇹🇭 ไทยชี้ ฝั่งกัมพูชายิงก่อน
🔹 “เมื่อเวลาประมาณ 08.20 น. ฝ่ายกัมพูชาได้เปิดฉากยิงเข้ามาบริเวณตรงข้ามฐานปฏิบัติการทางทิศตะวันออกของปราสาทตาเมือน ในระยะประมาณ 200 เมตร ขณะนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของกองทัพบกกำลังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด” - กองทัพบก
🔹 “กัมพูชาโจมตีใส่แหล่งชุมชนและโบราณสถาน ปราสาท ปั๊มน้ำมัน และศูนย์พัฒนาพื้นที่ชายแดน” - กองทัพภาคที่ 2
🔹 “การปะทะกันของทั้งสองฝ่ายนี้ ฝ่ายกัมพูชาเป็นฝ่ายริเริ่ม ขอให้ประชาชนมั่นใจว่าเราจะประท้วงเพื่อปกป้องผลประโยชน์และอธิปไตยของประเทศไทยในเวทีระหว่างประเทศอย่างเต็มที่ที่สุด” - มาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศและรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ
🔹 “รัฐบาลไทยเรียกร้องให้กัมพูชายุติการกระทำที่ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรงซ้ำๆ ซึ่งเป็นการขัดต่อหลักการความเป็นเพื่อนบ้านที่ดีและความสุจริตใจ อีกทั้งจะยิ่งเป็นการบ่อนทำลายชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของกัมพูชาในประชาคมโลก” - กระทรวงการต่างประเทศ
🔹 “ดิฉันขอประณามกัมพูชาต่อการใช้ความรุนแรงที่เกิดขึ้นบริเวณชายแดนไทย ตามข้อเท็จจริง ทางฝ่ายกัมพูชาเริ่มใช้อาวุธก่อน และมีการยิงในวิถีไกลเข้าสู่เขตแดนไทย ถือว่าเป็นการละเมิดหลักปฏิบัติสากลตามกฎหมายระหว่างประเทศ” - แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม
🇰🇭 กัมพูชาโต้ ฝั่งไทยยิงก่อน
🔹 “กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ขอเรียนประชาคมระหว่างประเทศและสาธารณชนให้ทราบว่า ช่วงเช้าของวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 กองทัพไทยได้เปิดฉากโจมตีโดยไตร่ตรองไว้ล่วงหน้า” - กระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศ (กัมพูชา)
🔹 “การเผชิญหน้าต่อการรุกรานที่โจ่งแจ้งนี้ กองกำลังกัมพูชาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องตอบโต้เพื่อป้องกันตนเอง อันเป็นการพิทักษ์อธิปไตยของกัมพูชา กัมพูชาเรียกร้องให้ไทยยุติการกระทำอันเป็นปรปักษ์ทั้งปวงโดยทันที ถอนกำลังทหารกลับไปยังฝั่งของตน และละเว้นจากการกระทำที่ยั่วยุซึ่งอาจทำให้สถานการณ์บานปลายต่อไปได้” - ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา
💬 เสียงจากชายแดนไทย-กัมพูชา
🔹 “มีคนเคยบอกว่า ในสงคราม สิ่งแรกที่ถูกฆ่าตายคือความจริง”
“คนในพื้นที่อยากให้สถานการณ์จบโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และไม่มีใครอยากให้เกิดสงครามทั้งสิ้น” - ดร.ธนเชษฐ วิสัยจร หัวหน้าสาขาวิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
เรื่อง: กองบรรณาธิการ
#กองทัพบก #ไทยกัมพูชา #วันโอวัน

"โดยภาพรวมกว้างๆ ไกลๆ ผมคิดว่า ซามันตา ชเวบลิน (ผู้เขียนเรื่อง Distancia de Rescate) มีคุณสมบัติและความเหมาะสมที่จะเป็นท...
24/07/2025

"โดยภาพรวมกว้างๆ ไกลๆ ผมคิดว่า ซามันตา ชเวบลิน (ผู้เขียนเรื่อง Distancia de Rescate) มีคุณสมบัติและความเหมาะสมที่จะเป็นทายาทหรือลูกหลานด้านวรรณกรรมของเชอร์ลีย์ แจ็กสัน โดยไร้ข้อกังขา"
คอลัมน์พิสูจน์-อักษร 'นรา' แนะนำนวนิยายสยองขวัญของซามันตา ชเวบลิน Distancia de rescate (ระยะต้านภยันตราย) ที่ให้ความรู้สึกหลอนประหลาด น่าสะพรึงกลัวแบบไม่โจ่งแจ้ง
อ่านได้ที่ : https://www.the101.world/distancia-de-rescate/
"ซามันตา ชเวบลินเก่งกาจในการเล่าเรื่องราวสยองขวัญชวนขนหัวลุก ท่ามกลางบรรยากาศฉากหลังที่ปกติทั่วไป และดูเผินๆ เหมือนไม่มีพิษมีภัย ดำเนินเรื่องและใช้สำนวนการเขียนที่กระชับรัดกุม เข้มข้นชวนติดตาม และที่สำคัญคือแสดงออกแต่น้อย ทว่ากินความเยอะ ทำให้พล็อตเรื่องที่เรียบง่ายเต็มไปด้วยเหตุการณ์มากมายที่ไม่ได้ถูกกล่าวถึงออกมาตรงๆ แต่ซ่อนแฝงไว้อย่างแนบเนียน"
"Distancia de rescate เป็นนิยายที่ยิ่งอ่านซ้ำก็ยิ่งเจอรายละเอียดที่น่าสนใจ ยิ่งพบการเล่าเรื่องและการเขียนที่แยบยล และเป็นนิยายที่ยิ่งอ่านซ้ำเท่าไร ก็ยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ มากเท่านั้น"

อรอนงค์ ทิพย์พิมล เขียนถึง ‘ปัญจศีลา’ กล่าวคือหลักการแห่งชาติ อันนอกจากจะเป็นคุณค่าที่ถูกยึดถือแล้ว ยังเป็นเครื่องมือทาง...
24/07/2025

อรอนงค์ ทิพย์พิมล เขียนถึง ‘ปัญจศีลา’ กล่าวคือหลักการแห่งชาติ อันนอกจากจะเป็นคุณค่าที่ถูกยึดถือแล้ว ยังเป็นเครื่องมือทางการเมืองจวบจนปัจจุบัน
อ่านได้ที่: https://www.the101.world/pancasila-indonesia/
"หากใครเคยไปอินโดนีเซีย แล้วเห็นรูปปั้นการูดา (garuda) หรือก็คือครุฑสยายปีก หันหน้าไปทางขวา มีโล่ประดับที่ตรงหน้าอก และถือป้ายคำขวัญประจำชาติตรงเท้า นั่นคือสัญลักษณ์ของปัญจศีลา ตรงโล่คือปัญจศีลาทั้งห้าข้อ ตราปัญจศีลานี้ปรากฏอยู่ทั่วไป โดยเฉพาะตามสถานที่ราชการ"
"เรียกได้ว่าเป็น ‘รูป(ปั้น)ที่มีทุกย่าน’ ปัญจศีลาเป็นที่รู้จักในฐานะอุดมการณ์ของชาติ มีบทบาทสำคัญในสังคมการเมืองอินโดนีเซียตั้งแต่กำเนิดจนถึงปัจจุบัน ไม่มีคนอินโดนีเซียคนไหนไม่รู้จักปัญจศีลา"
"ปัญจศีลาถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองมาโดยตลอดตั้งแต่ยุคประธานาธิบดีซูการ์โน ในช่วงต้นของยุคซูการ์โนได้นำระบบประชาธิปไตยแบบรัฐสภามาใช้มีการเลือกตั้งครั้งแรกในปี 1955 แต่ทว่าด้วยความขัดแย้งทางความคิดและการเมือง ทำให้การเมืองไร้เสถียรภาพและเกิดขบวนการที่ต้องการแยกตัวออกจากอินโดนีเซียหลายที่ ในที่สุดซูการ์โนประกาศยุบสภาและประกาศใช้ประชาธิปไตยแบบชี้นำ ซึ่งซูการ์โนอ้างว่ามีรากฐานมาจากอุดมการณ์ปัญจศีลา โดยเฉพาะข้อที่สี่คือประชาธิปไตยที่นำโดยภูมิปัญญาแห่งการปรึกษาหารือระหว่างผู้แทน"
"ยุคระเบียบใหม่ (1966-1998) ประธานาธิบดีซูฮาร์โตนำปัญจศีลามาใช้อย่างเข้มข้น ดำเนินการปลูกฝังปัญจศีลาอย่างเป็นระบบผ่านกฎหมายและการศึกษาภาคบังคับ และเรียกประชาธิปไตยในยุคระเบียบใหม่ว่าประชาธิปไตยแบบปัญจศีลา เดือนมีนาคม 1979 รัฐบาลได้ก่อตั้งหน่วยงานกำกับดูแลการศึกษา เพื่อการปฏิบัติตามแนวทางเพื่อความเข้าใจและการปฏิบัติปัญจศีลา (Badan Pembina Pendidikan Pelaksanaan Pedoman Penghayatan dan Pengamalan Pancasila)"
"รัฐบาลได้ขยายความของหลักการแต่ละข้อเพื่อปลูกฝังและให้ประชาชนยึดถือ เด็กนักเรียนต้องท่องปัญจศีลาทุกวันจนจำได้ขึ้นใจ ปัญจศีลาข้อแรกคือศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว คุณค่าของหลักการข้อแรกนี้ตีความได้ว่าเป็นความเชื่อและความศรัทธา ชาวอินโดนีเซียมีอิสระที่จะนับถือศาสนาและปฏิบัติตามพันธกรณีต่อพระเจ้าองค์เดียวที่ตนเองนับถือ อย่างไรก็ตาม ศาสนาที่ได้รับการรับรองในรัฐธรรมนูญในยุคระเบียบใหม่มีห้าศาสนาได้แก่ อิสลาม คริสต์นิกายโรมันคาทอลิก คริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ ฮินดู และพุทธ (หลังจากยุคระเบียบมีเพิ่มศาสนาขงจื๊อ)"
ภาพประกอบ: จิราภรณ์ บุญเย็น

ที่อยู่

Amphoe Dusit

เบอร์โทรศัพท์

+6622970821

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ The101.worldผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง The101.world:

แชร์