CK Marketing สร้างแบรนด์ให้ปัง

CK Marketing สร้างแบรนด์ให้ปัง รับทำการตลาดออนไลน์ทุกรูปแบบ การันตีผลลัพธ์ด้วยความจริงใจ

เริ่มต้นธุรกิจ อยากวางแผนทำการตลาด ต้องการที่ปรึกษา อยากทำให้ธุรกิจเติบโต แต่ยังคิดไม่ออกว่า ต้องเริ่มจากอะไรจุดไหนที่คว...
21/10/2022

เริ่มต้นธุรกิจ อยากวางแผนทำการตลาด ต้องการที่ปรึกษา อยากทำให้ธุรกิจเติบโต แต่ยังคิดไม่ออกว่า ต้องเริ่มจากอะไร
จุดไหนที่ควรให้ความสำคัญเป็นพิเศษ
Ck8 Online Marketing รวมทุกขั้นตอน และ เทคนิคสำคัญมาไว้ให้คุณแล้วในที่เดียว
#คุ้มมาก “จ่ายแค่หนึ่ง เหมือนจ้างทั้งทีม”
OnlineMarketing ที่ปรึกษาด้านการตลาดออนไลน์
ครบวงจรแบบฉบับคนรุ่นใหม่ ทันสมัย ใช้ได้จริง 📈📊💻

• ให้คำปรึกษาและวางแผนธุรกิจบนช่องทางออนไลน์
• เพื่อการเข้าถึง และ เพิ่มยอดขาย บนโลกออนไลน์
• วางกลยุทธ์การตลาด ให้เหมาะสมกับธุรกิจ เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน

บริการทำสื่อโฆษณา ตามแนวทางธุรกิจ
บนแพลตฟอร์มออนไลน์ทุกช่องทาง

เพิ่มการเข้าถึงสินค้า และเป็นที่รู้จักในวงกว้าง
เพิ่มความมั่นใจให้ลูกค้า และ เพิ่มยอดขายให้คุณ

CK8 เรายินดีที่จะเป็นแรงขับเคลื่อน
การตลาดออนไลน์ในธุรกิจของคุณ
_____________________________
ติดต่อปรึกษาด้านการตลาดกับ CK Online Marketing✨
tel : 0956144066
tel : 0652545424
#ที่ปรึกษาการตลาด #สินค้าและบริการ
#รับทำการตลาดครบวงจร

"วิล สมิธ" เจ้าของรางวัลออสการ์ปีล่าสุด ออกแถลงการณ์เมื่อวานนี้ว่า เขาจะลาออกจากการเป็นสมาชิกสถาบันศิลปะและวิทยาการภาพยน...
02/04/2022

"วิล สมิธ" เจ้าของรางวัลออสการ์ปีล่าสุด ออกแถลงการณ์เมื่อวานนี้ว่า เขาจะลาออกจากการเป็นสมาชิกสถาบันศิลปะและวิทยาการภาพยนตร์ ซึ่งเป็นผู้จัดพิธีมอบรางวัลออสการ์ หลังก่อเหตุฉาวตบหน้า "คริส ร็อก" เพื่อนนักแสดงที่กล่าวล้อเลียนเจดา พิงเก็ตต์ สมิธ ภริยาของเขาที่ป่วยด้วยโรคผมร่วงเป็นหย่อม บนเวทีประกาศรางวัลสมิธยังบอกด้วยว่า เขาจะยอมรับผลการตัดสินจากคณะกรรมการออสก้าร์จากการกระทำของเขา

ขอบคุณที่มา : เรื่องเล่าเช้านี้

เคล็ดลับในการบริหารองค์กรของบริษัท IKEA ✔✔IKEA เป็นร้านเฟอร์นิเจอร์สัญชาติสวีเดน ก่อตั้งเมื่อปี 1943โดยปัจจุบันมีสาขากระ...
21/03/2022

เคล็ดลับในการบริหารองค์กรของบริษัท IKEA ✔✔

IKEA เป็นร้านเฟอร์นิเจอร์สัญชาติสวีเดน ก่อตั้งเมื่อปี 1943
โดยปัจจุบันมีสาขากระจายอยู่กว่า 464 แห่งทั่วโลก
และมีพนักงานในมืออยู่ราว 170,000 คน

ซึ่งปัจจุบันอยู่ภายใต้การดูแล ของผู้หญิงที่ชื่อว่าคุณ Ulrika Biesèrt
หัวหน้าฝ่ายบุคคลและวัฒนธรรมองค์กรของ IKEA

แล้วเธอมีวิธีอย่างไรให้พนักงานมีความสุขในการทำงาน ?

1. หาคนที่ฟิตกับวัฒนธรรมองค์กร
IKEA นั้นมีวัฒนธรรมการทำงานแบบชาวสวีเดน ซึ่งมีลักษณะคือ มีความตรงไปตรงมา เรียบง่าย ติดดิน สัมผัสได้

ดังนั้น ในการคัดเลือกพนักงาน ทาง IKEA จึงมองที่บุคลิกภาพของผู้สมัครเป็นหลัก ว่ามีทัศนคติ แนวทางการใช้ชีวิต ที่เหมาะกับวัฒนธรรมองค์กรหรือไม่

เพราะ IKEA มองว่า ตัวตนข้างในของพนักงานนั้นสำคัญไม่แพ้กับความสามารถที่พวกเขามีเลย

ดังนั้นในเวลาที่ IKEA รับสมัครพนักงาน จึงไม่ได้มองแค่ว่าคนคนนั้นทำอะไรได้บ้าง แต่มองว่าพวกเขามีวิธีทำมันอย่างไรมากกว่า แล้ววิธีการเหล่านั้น เหมาะกับวัฒนธรรมองค์กรของ IKEA แค่ไหน

2. ปฏิบัติกับทุกคนด้วยความเท่าเทียม
เวลาที่มีพนักงานมาสมัครงาน พวกเขาไม่ได้มองแค่ว่า พนักงานคนนั้นสามารถทำอะไรได้บ้าง แต่ดูว่าพนักงานคนนั้นมีวิธีในการทำงานอย่างไร
เพราะพวกเขาเชื่อว่าแต่ละคนมีความรู้ความสามารถที่ไม่เหมือนกัน และไม่ตัดสินคนจากภายนอก

นอกจากนี้ IKEA ในบางประเทศ ยังมีนโยบายส่งเสริมในด้านความเท่าเทียมอื่น ๆ เช่น การให้พนักงานชาย สามารถลาไปดูแลบุตรที่เพิ่งคลอดได้ หรือการจัดสวัสดิการที่ครอบคลุมสำหรับคู่ครองของพนักงาน LGBT

หรือแม้แต่เรื่องของการปฏิบัติต่อเพศหญิงอย่างเท่าเทียม ที่ปัจจุบัน IKEA ยังมีพนักงานหญิง ในระดับผู้บริหารมากถึง 50% ซึ่งต่างจากเมื่อ 20 ปีก่อน ที่มีเพียงหยิบมือ

และสุดท้ายนี้ คุณ Ulrika ยังเคารพทุกคนในองค์กร โดยการเรียกพนักงานของเธอทุกคนว่า เพื่อนร่วมงาน และพยายามปลูกฝังวัฒนธรรม ในการกล้าที่จะลองผิดลองถูก และกล้าที่จะพูดในสิ่งที่ถูกต้อง

3. ทำให้พนักงานรู้สึกว่า ได้รับการสนับสนุนในด้านต่าง ๆ อย่างเหมาะสม
อย่างในช่วงที่เกิดวิกฤติโควิด 19 ในช่วงแรก IKEA ก็มีการสนับสนุนด้านค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้กับพนักงานที่มีภาระต้องดูแลลูกอ่อน และไม่สามารถออกมาทำงานข้างนอกได้อย่างสะดวกใจ

ซึ่งคุณ Ulrika เชื่อว่า ถ้าคุณดูแลเพื่อนร่วมงานของคุณเป็นอย่างดี พวกเขาก็จะดูแลลูกค้าของคุณเป็นอย่างดีเช่นกัน และจากการสำรวจความพึงพอใจของพนักงาน ในช่วงที่เกิดโรคระบาด พบว่ากว่า 93% ของพนักงานรู้สึกพึงพอใจ และรู้สึกว่าได้รับการดูแลอย่างดีจากบริษัท

ทั้งหมดนี้ ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ IKEA บริษัทเฟอร์นิเจอร์ สัญชาติสวีเดน กลายเป็นบริษัทที่หลายคนหลงรักและอยากร่วมงานด้วย นั่นเอง..

ขอบคุณอ้างอิงจาก : BrandCase

#การตลาด #การโฆษณา #การตลาดออนไลน์ #สร้างธุรกิจ #ธุรกิจ

โปรโมชั่นตั๋ว 0 บาท สายการบินได้อะไร 🤔🤔เคยสงสัยไหมว่า สายการบินที่ออกโปรโมชันตั๋วโดยสาร 0 บาท เขาได้อะไร ?แน่นอนว่า โปรโ...
20/03/2022

โปรโมชั่นตั๋ว 0 บาท สายการบินได้อะไร 🤔🤔

เคยสงสัยไหมว่า สายการบินที่ออกโปรโมชันตั๋วโดยสาร 0 บาท เขาได้อะไร ?

แน่นอนว่า โปรโมชัน “ตั๋ว 0 บาท” มักทำให้ลูกค้าถูกอกถูกใจ และพยายามหาทางจองตั๋วเครื่องบินลักษณะนี้ เพราะขึ้นชื่อว่า ของถูก เป็นใครบ้างจะไม่ชอบ

ยิ่งถ้าเป็นคนชอบเดินทางด้วยเครื่องบิน และเป็นเส้นทางที่เราต้องการเดินทางไปอยู่แล้ว แทบไม่ต้องคิดอะไรมาก

แต่อีกมุมหนึ่ง เราอาจสงสัยว่า แล้วสายการบินที่ออกตั๋ว 0 บาท จะมีกำไรตรงไหน และทำไมเขาจึงยอมที่จะขายตั๋วราคานี้

เรื่องนี้เราวิเคราะห์ได้เป็น 3 ประเด็นหลัก ๆ

ประเด็นที่ 1 ตั๋ว 0 บาท มาพร้อมกับการขายบริการเสริมอื่น ๆ
ถ้าเราลองจองตั๋วเครื่องบินภายใต้โปรโมชันนี้ เราจะพบว่า จริง ๆ แล้วเราไม่ได้จ่ายค่าตั๋วที่ราคา 0 บาท

เพราะสายการบินจะมีหมายเหตุระบุไว้ว่า ราคาบัตรโดยสาร จะไม่รวมค่าภาษีสนามบิน บริการเสริม และค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ที่ต้องจ่ายแยกต่างหาก
นั่นหมายความว่า จริง ๆ แล้ว ราคาที่เราต้องจ่ายจะไม่ได้เป็น 0 บาท อย่างที่เราเข้าใจ ซึ่งในทางการตลาดนั้น กลยุทธ์ที่ว่านี้ มีชื่อเรียกว่า “Add-on Business Model”

ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ผู้ขาย ซึ่งในกรณีนี้คือ สายการบิน พยายามเสนอขายสินค้าราคาถูก บางทีถึงขนาดตั้งราคาไว้ที่ 0 บาท แล้วค่อยมาเพิ่มขายสินค้าและบริการอื่น ๆ ตามมา

โดยค่าบริการเสริมหลายอย่าง เป็นสิ่งจำเป็น
ทำให้ถ้าลูกค้าซื้อตั๋วเครื่องบินภายใต้โปรโมชัน 0 บาท พวกเขาก็จำเป็นและเต็มใจที่จะจ่ายค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมเหล่านั้น

ประเด็นที่ 2 เพื่อกระตุ้นยอดขายในเส้นทางการบินที่ไม่ค่อยมีคนเดินทาง
หลายครั้งเราจะเห็นว่า ตั๋วเครื่องบินที่มาพร้อมกับโปรโมชัน 0 บาท มักมีจำนวนจำกัด และยังมีให้บริการในบางเส้นทางและบางช่วงบางเวลาเท่านั้น
โดยเฉพาะในเส้นทางที่ได้รับความนิยมน้อย รวมไปถึงช่วงเวลาที่คนไม่ค่อยเดินทาง หรือ “Low season”

ที่เป็นแบบนี้เนื่องจาก การที่สายการบินจะมีต้นทุนค่าใช้จ่ายคงที่ หรือ Fixed cost เช่น ค่าน้ำมัน ที่ไม่ต่างกันมากนัก ไม่ว่าจะบินด้วยจำนวนคนเต็มเครื่องหรือไม่เต็มเครื่อง

ดังนั้น การปล่อยให้มีที่นั่งว่างเยอะ ๆ ถือเป็นค่าเสียโอกาสของสายการบิน
พอเรื่องเป็นแบบนี้ จึงทำให้ที่ว่างบนเครื่องเหล่านั้นถูกนำมาจัดเป็นโปรโมชันตั๋ว 0 บาท แทนที่จะปล่อยให้ที่ว่างไปแล้วไม่มีรายได้แม้เล็กน้อย จากที่นั่งเหล่านั้นเลย

ประเด็นที่ 3 ได้เงินสด มาหมุนเวียนในกิจการ
ข้อนี้ถือว่าสำคัญมาก เพราะส่วนใหญ่การจองตั๋วประเภทนี้ล่วงหน้า ลูกค้ามักต้องจองล่วงเวลานานพอสมควร หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ “จ่ายก่อน บินทีหลัง”
ซึ่งมองอีกมุมหนึ่งหมายความว่า สายการบินนั้นมีการรับเงินค่าโดยสารล่วงหน้ามาก่อน ทำให้สายการบินสามารถนำเงินก้อนดังกล่าว มาหมุนเวียนใช้ในบริษัท โดยไม่จำเป็นต้องไปกู้แล้วต้องจ่ายดอกเบี้ย

เพราะเงินที่ได้จากการจองตั๋วล่วงหน้าของลูกค้านั้น แทบจะไม่มีต้นทุนเลย
ยังไม่รวมผลพลอยได้อื่น ๆ เช่น การสร้าง Brand awareness ให้แก่สายการบินที่จัดโปรโมชัน เพราะจะทำให้ลูกค้ามีการแชร์ข้อมูลดังกล่าว มีการพูดถึงเกี่ยวกับสายการบินที่จัดโปรโมชันกันมากขึ้น

ขอขอบคุณอ้างอิงจาก : BrandCase

#การตลาด #การโฆษณา #การตลาดออนไลน์ #สร้างธุรกิจ #ธุรกิจ

กรณีศึกษา “ยุโรป” ทวีปที่เน้นขาย “เรื่องราว และ ยา” 💊ปี 2021 ยุโรปทั้งทวีป รวมรัสเซีย มี GDP คิดเป็นสัดส่วน 25% ของโลกน้...
19/03/2022

กรณีศึกษา “ยุโรป” ทวีปที่เน้นขาย “เรื่องราว และ ยา” 💊
ปี 2021 ยุโรปทั้งทวีป รวมรัสเซีย มี GDP คิดเป็นสัดส่วน 25% ของโลก
น้อยกว่า GDP ของสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ที่มีสัดส่วน 26%
และ GDP ของจีน รวมกับญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไต้หวันที่ 27%
ทวีปยุโรปที่ประกอบไปด้วยประเทศที่มั่งคั่งร่ำรวย เป็นเจ้าอาณานิคมไปทั่วโลกในช่วงต้นศตวรรษที่ 20
วันนี้เหลือความสำคัญในแง่เศรษฐกิจเพียงแค่ 1 ใน 4 ของโลก
สิ่งที่น่าสนใจก็คือ หากสังเกตจากบริษัทในตลาดหุ้นที่มีมูลค่าสูงสุด 10 อันดับแรกของทวีปนี้
นอกจากจะบอกว่า กิจการในทวีปนี้กำลังให้ความสำคัญกับอะไรในอนาคต
นั่นก็คือ “เรื่องราว และ ยา”

บริษัทในตลาดหุ้นที่มีมูลค่าสูงสุด 3 อันดับแรกของสหรัฐอเมริกา
คือ Apple, Microsoft และ Alphabet (บริษัทแม่ของ Google และ YouTube) ซึ่งล้วนแต่เป็นบริษัทเทคโนโลยี
หันมามองที่ฝั่งเอเชียตะวันออก บริษัทที่มีมูลค่าสูงสุด 3 อันดับแรก คือ TSMC, Tencent และ Samsung ซึ่งก็เป็นบริษัทเทคโนโลยี และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์
หันมามองที่ยุโรป บริษัทที่มีมูลค่าสูงสุด 3 อันดับแรก กลับไม่ใช่บริษัทเทคโนโลยี หรือสินค้าอิเล็กทรอนิกส์อย่างสหรัฐอเมริกาหรือเอเชีย
แต่เป็นบริษัท Nestlé ของสวิตเซอร์แลนด์ ผู้นำด้านอาหารและสินค้าโภชนาการของโลก
ตามมาด้วยอันดับ 2 บริษัท Roche ผู้นำด้านยารักษาโรคและเครื่องมือแพทย์จากสวิตเซอร์แลนด์
และอันดับ 3 คือ LVMH ผู้นำสินค้าแบรนด์หรูของฝรั่งเศส
เรียกได้ว่าบริษัทมูลค่าสูงสุด 3 อันดับแรกของฝั่งยุโรป
มีความแตกต่างจากฝั่งสหรัฐอเมริกา และเอเชียพอสมควร
แล้วสิ่งนี้จะชัดเจนมากขึ้นเมื่อดูมูลค่าของบริษัทอันดับต่อ ๆ มา..
อันดับ 4 เป็นบริษัท Novo Nordisk ของเดนมาร์ก ผู้ผลิตฮอร์โมนอินซูลิน
ครองส่วนแบ่งอันดับ 1 ของโลกในแง่ของมูลค่ายารักษาโรคเบาหวาน
อันดับ 5 เป็นบริษัทเกี่ยวกับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ต้นน้ำของการผลิตชิป อย่าง ASML ของเนเธอร์แลนด์
อันดับ 6 Shell บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่จากเนเธอร์แลนด์
อันดับ 7 คือ L'Oréal บริษัทเครื่องสำอางของฝรั่งเศส ที่ครองตลาดเครื่องสำอาง เวชสำอาง
และเครื่องสำอางหรูจากทั่วโลก
อันดับ 8 AstraZeneca บริษัทยาสัญชาติอังกฤษ-สวีเดน ซึ่งเป็นผู้นำด้านยารักษาโรค และเป็นหนึ่งในผู้ผลิตวัคซีนป้องกันโควิด 19
อันดับ 9 Prosus บริษัทจากเนเธอร์แลนด์ ที่ถือครองบริษัทเทคโนโลยี และถือหุ้นบริษัทสตาร์ตอัปเทคโนโลยีมากมายจากทั่วโลก
และอันดับ 10 คือ Novartis บริษัทยาชั้นนำจากสวิตเซอร์แลนด์
เรียกได้ว่า ในบริษัทมูลค่าระดับ Top 10 ของยุโรป หากไม่นับ ASML และ Prosus
ที่เหลือก็ล้วนเป็นบริษัทที่ไม่ใช่กลุ่มเทคโนโลยีหรืออิเล็กทรอนิกส์
โดยเป็นบริษัทยาถึง 4 บริษัท และบริษัทแบรนด์หรู 2 บริษัท
พูดง่าย ๆ ถ้ามองจากมูลค่าของบริษัทระดับ Top 10 ก็บอกได้เลยว่า
ธุรกิจในทวีปยุโรปกำลังหากินกับ “เรื่องราว” ของความหรูหรา และ “ยา” ที่จะช่วยทำให้อายุยืนยาวขึ้น
แล้วการขายแต่ เรื่องราว กับ ยา กำลังบอกอะไรเรา ?
เริ่มจากการขาย เรื่องราว..
หากเรามองรอบตัวให้ดี ไม่ว่าจะเป็นภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส หรือภาษาสเปน ที่ผู้คนใช้กันทั่วโลก งานศิลปะ สถาปัตยกรรม เพลงคลาสสิก ปรัชญา แฟชั่น แม้แต่เรื่องราว ทุกอย่างล้วนมีต้นกำเนิดมาจากยุโรป
การมีพื้นฐานทางประวัติศาสตร์ที่แข็งแกร่งและมีวัฒนธรรมที่น่าค้นหา ทำให้ชาวยุโรปสามารถนำสิ่งเหล่านี้มาเป็นจุดขาย สร้างสินค้าทั้งเสื้อผ้า กระเป๋า นาฬิกา เครื่องสำอาง น้ำหอม เพื่อขายให้กับผู้คนทั้งโลก ซึ่งประเทศฝรั่งเศส อิตาลี และสวิตเซอร์แลนด์ เชี่ยวชาญเรื่องพวกนี้เป็นอย่างดี
นอกจากขายสินค้าแล้ว การบริการอย่างการท่องเที่ยว ก็เป็นที่มาของรายได้เป็นกอบเป็นกำ ยุโรปเป็นทวีปที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุด มีมรดกโลกทางวัฒนธรรมมากที่สุด และรายได้หลักของหลาย ๆ ประเทศ เช่น สเปน กรีซ และโครเอเชีย ก็ล้วนมาจากภาคการท่องเที่ยว
ยุโรปที่เคยเป็นจุดกำเนิดของการปฏิวัติอุตสาหกรรม เป็นที่ตั้งของโรงงานมากมาย
แต่ในวันนี้ ยุโรปเปลี่ยนจากการเป็นโรงงานของโลก มาเป็นผู้กำหนด “ต้นแบบ” ในการผลิต
เป็นนักออกแบบ ดีไซเนอร์ และนักวิจัย
ต่อมาคือ ยา..
ยุโรปก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในวงการเภสัชกรรมของโลก เพราะมีองค์ความรู้ด้านเคมี และวิทยาการทางการแพทย์ที่แข็งแกร่งมาอย่างยาวนาน
แต่อีกด้านหนึ่ง ก็ต้องใช้คนจำนวนมากสำหรับการทำการทดลองทางคลินิก โดยเฉพาะยารักษาโรคเรื้อรัง จะต้องมีผู้ป่วยมากพอ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่มีอายุตั้งแต่วัยกลางคนขึ้นไป
แน่นอนว่า ยุโรป เป็นทวีปที่ “แก่” ที่สุดในโลก !
อายุกลาง หรือ Median Age ของผู้คนในทวีปยุโรปอยู่ที่ 42 ปี
หมายความว่า ผู้คนครึ่งหนึ่งของทวีปนี้ มีอายุมากกว่า 42 ปี
ยิ่งในบางประเทศ ตัวเลขอาจเพิ่มสูงกว่านี้ เช่น เยอรมนี มีอายุกลางอยู่ที่ 47 ปี
อิตาลี 45 ปี ออสเตรีย 44 ปี และเนเธอร์แลนด์ 43 ปี
ซึ่งมากกว่าชาวอเมริกันที่มีอายุกลางอยู่ที่ 38 ปี และชาวจีนที่มีอายุกลางอยู่ที่ 37 ปี
นอกจากผู้คนส่วนใหญ่จะมีอายุเลยเลข 4 แล้ว
20% ของชาวยุโรปยังมีอายุมากกว่า 65 ปี
และสัดส่วนนี้จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นเกือบ 30% ในปี 2050
ยุโรปกำลังจะเต็มไปด้วยผู้สูงอายุ และจะเป็นทวีปเดียวที่จะมีประชากรลดลงในปี 2050 หากเทียบกับประชากรในปี 2020 ซึ่งเรื่องนี้อาจจะทำให้การบริโภค และการเติบโตทางเศรษฐกิจลดลงอย่างมีนัยสำคัญได้
แล้วอนาคตของทวีปยุโรป จะเป็นอย่างไรต่อไปในวันที่ประชากรลดลง ?
อย่างไรก็ตาม จำนวนผู้สูงอายุทั่วโลกที่กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งในเอเชีย สหรัฐอเมริกา ไปจนถึงแอฟริกา ก็นับว่าเป็นโอกาสที่น่าสนใจ สำหรับการเติบโตของเหล่าบริษัทยาในยุโรป
เช่นเดียวกับสินค้าแบรนด์หรูของยุโรป ที่ยังคงเป็นที่นิยมของลูกค้าทั่วโลก
ก็เป็นไปได้ว่า มูลค่าทางเศรษฐกิจของยุโรป จะลดลงเหลือเพียง 1 ใน 4 และอาจน้อยลงไปอีกในอนาคต แต่ในขณะเดียวกัน ประชากรของยุโรปที่ลดลงไปด้วยนั้น ก็จะยังทำให้ผู้คนในยุโรปมีความมั่งคั่งร่ำรวยอยู่ เพราะขนาดของสินทรัพย์ต่อประชากรหนึ่งคนยังอยู่ในระดับที่สูง
ถึงแม้ยุโรปจะไม่ได้โฟกัสไปที่การขายสินค้าอิเล็กทรอนิกส์เหมือนอย่างสหรัฐอเมริกา หรือเอเชีย แต่ยุโรปก็อาศัยองค์ความรู้ด้านยา การแพทย์ หรือเทคโนโลยีเฉพาะทาง เพื่อสร้างสินค้าคุณภาพสูงอีกมากมาย
ไม่ต่างกับสินค้าแบรนด์หรู ที่ยังคงมีคุณค่ามากขึ้นตามวันเวลา
อนาคตของทวีปที่เต็มไปด้วยผู้คนที่ผ่านวันเวลามามากที่สุด ก็อาจจะเป็นเช่นเดียวกัน..

ขอบคุณที่มา : ลงทุนแมน
#การตลาด #การโฆษณา #การตลาดออนไลน์ #สร้างธุรกิจ #ธุรกิจ

กลยุทธ์ของ AMD แบรนด์ที่เติบโตเร็วที่สุดในด้านเทคโนโลยี ติด1ใน10 อันดับในสหรัฐฯ 🧐🧐AMD หรือ Advanced Micro Devices นับว่า...
18/03/2022

กลยุทธ์ของ AMD แบรนด์ที่เติบโตเร็วที่สุดในด้านเทคโนโลยี ติด1ใน10 อันดับในสหรัฐฯ 🧐🧐

AMD หรือ Advanced Micro Devices นับว่าเป็นแบรนด์เทคโนโลยีที่มีประสบการณ์การเติบโตอย่างมากทั้งในด้านธุรกิจและมูลค่าของแบรนด์ ซึ่งกลยุทธ์ที่สำคัญที่ทำให้มาได้ไกลอย่างทุกวันนี้ก็คือ มุ่งเน้นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่มีความต้องการสูงในตลาด ไม่ว่าจะเป็น ชิปประมวลผล, การ์ดจอ, คอมพิวเตอร์, คอลโซลเกม, กราฟิก และบริการคลาวด์ ที่ครอบคลุมให้กับนักเล่นเกมไปจนถึงร่วมมือกับธุรกิจองค์กร อย่าง Tesla, Samsung, Google, Amazon, Microsoft ฯลฯ

ที่สำคัญ AMD ยังไม่ใช่แค่ให้ความสำคัญกับการสร้างผลิตภัณฑ์ที่ยอดเยี่ยมเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับการกระชับความสัมพันธ์กับลูกค้า และปรับปรุงทุกสิ่งที่ทำมาอย่างต่อเนื่อง และยังมุ่งเน้นในการเสริมสร้างแบรนด์ ขยายชุมชน รวมถึงสร้างความร่วมมือในอุตสาหกรรมอย่างลึกซึ้งด้วย

นอกจากนี้ อีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญที่ทำให้ AMD เติบโตอย่างก้าวกระโดด คือ การเข้าซื้อกิจการ “Xilinx” หนึ่งในบริษัทผู้ผลิตไมโครชิปที่ใหญ่ที่สุด เชี่ยวชาญด้านซอฟต์แวร์, ปัญญาประดิษฐ์ AI, Adaptive SoCs ฯลฯ ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านการประมวลผลประสิทธิภาพสูงและการปรับตัว แต่การรวมกันของ AMD และ Xilinx ถือเป็นการรวมกันของผลิตภัณฑ์ เทคโนโลยี ลูกค้า ตลาด และทรัพย์สินทางปัญญา ที่ช่วยให้ AMD กลายเป็นแบรนด์ที่มีผลงานที่แข็งแกร่งที่สุดในอุตสาหกรรมนี้ของโลก และยังได้รับส่วนแบ่งที่มากขึ้นของโอกาสทางการตลาดประมาณ 1.35 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 4.45 ล้านล้านบาท ภายในปี 2023

โดยปัจจุบัน AMD สามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์การประมวลผลประสิทธิภาพสูงที่ครอบคลุมตั้งแต่ CPU, GPUs, FPGA และ Adaptive SoC ทั้งยังสามารถนำเสนอโซลูชั่นที่แตกต่างสำหรับระบบคลาวด์, เอดจ์ หรืออินเทอร์เน็ตไร้สาย รวมถึงอุปกรณ์อัจฉริยะ พร้อมกับรับตำแหน่งการเป็นศูนย์กลางของแนวโน้มสำคัญ ๆ ที่จะเกิดขึ้นใหม่อย่างหลากหลายทั้งในปัจจุบันและในอนาคต

ตั้งแต่ AI, เครือข่ายอัจฉริยะ, โครงสร้างพื้นฐานที่กำหนดโดยซอฟต์แวร์และเทคโนโลยี ซึ่งทั้งหมดถือเป็นการช่วยให้ AMD สามารถขยายขอบเขตการวิจัยและพัฒนาให้ใหญ่ขึ้น เสริมศักยภาพด้านเทคนิคและแผนงานด้านผลิตภัณฑ์ในระยะยาว ขยายขีดความสามารถของ AMD โดยเฉพาะในด้านการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง พัฒนาบริษัท วิศัยทัศน์ และที่สำคัญ AMD จะได้รู้จักกับตลาดใหม่ และได้ร่วมมือกับลูกค้าใหม่ ๆ มากยิ่งขึ้น เพราะ AMD มีความเชื่อที่ว่า “ความก้าวหน้าที่ดีที่สุด คือ ความก้าวหน้าที่ทำร่วมกัน”

ขอบคุณที่มา : อายุน้อยล้าน

#การตลาด #การโฆษณา #การตลาดออนไลน์ #สร้างธุรกิจ #ธุรกิจ

กรณีศึกษา ทำไม แบรนด์หรู ถึงออกคอลเลกชั่นที่ร่วมกับตัวการตูน🤔ถ้าเป็นการ์ตูนฝรั่งบางคนอาจนึกถึง พาวเวอร์พัฟฟ์เกิลส์, มิกก...
17/03/2022

กรณีศึกษา ทำไม แบรนด์หรู ถึงออกคอลเลกชั่นที่ร่วมกับตัวการตูน🤔

ถ้าเป็นการ์ตูนฝรั่งบางคนอาจนึกถึง พาวเวอร์พัฟฟ์เกิลส์, มิกกี้ เมาส์, บักส์ บันนี หรือซูเปอร์แมน

ส่วนด้านการ์ตูนจากญี่ปุ่น ก็อาจนึกถึงโดราเอมอน, โปเกมอน, เซเลอร์มูน หรือโคนัน

ซึ่งส่วนใหญ่ เราน่าจะนึกถึงการ์ตูน ที่อยู่ในดวงใจตอนวัยเด็กกัน

จริง ๆ แล้ว กลยุทธ์ Brand Collaboration หรือ Co-Brand ไม่ใช่เรื่องใหม่ และยังนับเป็นหนึ่งในเครื่องมือการตลาดที่เป็นที่นิยม

เพราะการร่วมมือกับแบรนด์อื่น นอกจากจะช่วยสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้กับลูกค้าแล้ว

ยังเป็นการเปิดเส้นทางสู่ลูกค้ากลุ่มใหม่ ที่อาจไม่เคยสนใจตัวแบรนด์มาก่อนด้วย

แต่ไม่ใช่ว่าแบรนด์จะสามารถร่วมมือกับใครก็ได้ เนื่องจากควรเป็นแบรนด์ที่มีจุดยืนไม่ต่างกันเกินไป

หรือก็คือ เป็นแบรนด์ที่จะช่วยส่งเสริมให้การร่วมมือเป็นแบบ Win-Win ทั้งสองฝ่าย

โดยที่ผ่านมา เราก็ได้เห็นการร่วมมือกันระหว่างแบรนด์หรูมาบ้างแล้ว อย่าง Gucci x Balenciaga

หรือการร่วมมือกันระหว่างแบรนด์หรูกับแบรนด์สตรีต อย่าง Louis Vuitton x Supreme

ซึ่งทั้งสองกรณี แต่ละแบรนด์ก็สามารถส่งเสริมภาพลักษณ์ของกันและกัน ได้เป็นอย่างดี

และที่สำคัญคือ ยังสามารถเรียกกระแสฮือฮาได้จากกลุ่มแฟนคลับด้วย
อย่างไรก็ตามพอเป็นการร่วมมือกันระหว่างแบรนด์แฟชั่นกับการ์ตูน โดยเฉพาะแบรนด์หรู

ไม่ว่าจะเป็น Gucci x มิกกี้ เมาส์,
Loewe x My Neighbor Totoro
หรือ Longchamp x โปเกมอน

ทำไมแบรนด์เหล่านี้ ถึงเลือกร่วมมือกับตัวการ์ตูน แทนที่จะเป็นแบรนด์ที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน ?

อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า การร่วมมือกันระหว่างแบรนด์ จะช่วยเปิดเส้นทางสู่ลูกค้ากลุ่มใหม่ได้

ดังนั้น การร่วมมือกับตัวละครจากการ์ตูนเรื่องต่าง ๆ ก็จะทำให้แบรนด์แฟชั่นได้กลุ่มลูกค้า ที่เป็นแฟนการ์ตูนเรื่องนั้น ๆ มาได้ แบบ Uniqlo ที่มักจะออกเสื้อผ้าร่วมกับตัวละครต่าง ๆ อยู่บ่อยครั้ง

แต่พอเป็นแบรนด์ที่มีระดับราคาสูงขึ้น การร่วมมือกับตัวละครต่าง ๆ อาจไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อขยายกลุ่มลูกค้าไปสู่แฟนการ์ตูนอย่างเดียวเสมอไป
เพราะสิ่งที่แตกต่างคือ แบรนด์หรูไม่ได้ทำแบบนี้บ่อย ๆ

สำหรับเรื่องนี้ ศาสตราจารย์ด้านการตลาดแบรนด์หรู คุณ Thomai Serdari จากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก

ได้ให้มุมมองเอาไว้ว่า
การที่แบรนด์หรูออกคอลเลกชันร่วมกับแครักเตอร์การ์ตูน เป็นเหมือนการ “ทดลองสินค้า”
โดยที่แบรนด์ไม่ต้องคำนึงถึงผลกระทบในระยะยาว เพราะเป็นเพียงคอลเลกชันพิเศษ หรือจำหน่ายในปริมาณจำกัดเท่านั้น

แต่เรื่องนี้กลับช่วยเพิ่มโอกาสตีตลาดกลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะคน Gen Z
เนื่องจากความสนใจของกลุ่มคนรุ่นใหม่นั้น ค่อนข้างกระจัดกระจาย และไม่ยึดติดกับกรอบเดิม ๆ แบรนด์จึงพยายามที่จะหาช่องทางเพื่อเข้าไปอยู่ในสายตาของคนเหล่านี้

และหนึ่งในช่องทางนั้น ก็คือ การใช้ตัวละครจากการ์ตูน ซึ่งสัมพันธ์กับประสบการณ์ในอดีตของเด็กทุกคน

นอกจากนั้นยังมีประเด็นเรื่องการสร้างความโดดเด่นจากแบรนด์หรูอื่น เพื่อดึงส่วนแบ่งตลาดที่กำลังเติบโตมาอยู่ในมือ

อย่างตลาดของประเทศจีน ข้อมูลจาก Bain & Company บริษัทที่ปรึกษาระดับโลกได้คาดการณ์ว่า ภายในปี 2025 หรืออีก 3 ปีจากนี้ ยอดขายแบรนด์หรูทั่วโลกเกือบ 50% จะมาจากชาวจีนซึ่งในปี 2019 ที่ผ่านมา ยอดขายแบรนด์หรูทั่วโลก 1 ใน 3 ก็มาจากชาวจีนแล้ว

ดังนั้น แบรนด์หรูต่าง ๆ จึงมีการหาหนทางใหม่ ๆ เพื่อเอาใจคนรุ่นใหม่ในจีนโดยเฉพาะ เช่น กรณีการร่วมมือของ Loewe x My Neighbor Totoro ซึ่งถือว่าเรียกเสียงฮือฮาให้กับแบรนด์ได้เป็นอย่างดี

โดยข้อมูลจาก China Daily แอนิเมชันญี่ปุ่นเรื่อง “Spirited Away” ถือเป็นผลงานชิ้นเอก ในสายตาของชาวจีน รวมถึงผลงานอื่น ๆ ของ Studio Ghibli ก็ตราตรึงใจพวกเขาไม่แพ้กัน

เรื่องนี้จึงทำให้ Loewe ได้ใจแฟน ๆ ที่ยังชื่นชอบความน่ารัก และรู้สึกคิดถึงแอนิเมชันที่ตัวเองเคยดูไปไม่น้อย

ในขณะเดียวกัน ก็ไม่ใช่ว่าแบรนด์หรู จะสามารถเลือกไปจับมือกับตัวการ์ตูนไหนก็ได้ เพราะก็ต้องเลือกแครักเตอร์ที่จะส่งเสริมภาพลักษณ์ของแบรนด์ด้วย

อย่างในกรณีของ Loewe กับ Studio Ghibli ก็เป็นเช่นนั้น
อย่างแรกคือ ภาพลักษณ์ของ Loewe และ Studio Ghibli ขึ้นชื่อในด้าน “งานฝีมือ” เหมือนกัน โดย Loewe ถือเป็นแบรนด์เครื่องหนัง ที่โด่งดังด้านงานฝีมือเครื่องหนัง

ส่วน Studio Ghibli ก็โด่งดังด้านงานภาพแอนิเมชันที่ต้องใช้ฝีมือและความใส่ใจในรายละเอียด เมื่อทั้งสองมาร่วมมือกัน ผลลัพธ์ที่ออกมาจึงไม่ได้ขัดแย้งกันจนรู้สึกว่า มันเข้ากันไม่ได้ และอีกหนึ่งปัจจัยที่น่าคิด ก็คือ
แม้ Loewe จะเป็นแบรนด์เก่าแก่ที่มีอายุถึง 176 ปี แต่ปัจจุบันแบรนด์ก็เป็นส่วนหนึ่งของเครือ LVMH บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งน่าจะต้องรักษาผลประกอบการ ให้เป็นไปตามความคาดหวังของผู้ถือหุ้นอยู่เสมอ
แบรนด์จึงเหมือนมีแรงกดดันในการทำการค้า และต้องหาเส้นทางใหม่ ๆ อยู่เสมอ

สอดคล้องกับ Gucci ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเครือ Kering บริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์เช่นเดียวกัน ก็เคยออกคอลเลกชันร่วมกับโดราเอมอน, โดนัลด์ ดั๊ก รวมถึง มิกกี้ เมาส์ มาแล้ว

ต่างจาก Chanel หรือ Hermès ที่แม้จะเป็นแบรนด์เก่าแก่เหมือนกัน
แต่ Chanel ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

ส่วน Hermès ถึงจะเป็นบริษัทมหาชน แต่ผู้ถือหุ้นใหญ่ก็ยังเป็นการถือครองโดยทายาทของผู้ก่อตั้งอยู่

ดังนั้นแบรนด์เหล่านี้ จึงอาจมีมุมมองว่า ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีนี้ในการปรับตัว และเลือกที่จะรักษาความคลาสสิกหรูหราแบบดั้งเดิมเอาไว้มากกว่า
อ่านมาถึงตรงนี้ สิ่งที่เรื่องนี้กำลังบอกเรา ก็คงจะเป็น “ไม่มีความสำเร็จใดที่ยั่งยืน”

อย่างแบรนด์หรูเก่าแก่ ที่อยู่มาได้นับร้อยปี ก็เป็นเพราะมีการปรับตัวอยู่เสมอ ซึ่งการปรับตัวที่ว่านี้ ก็ไม่จำเป็นว่าจะมีวิธีที่ถูกต้อง เพียงคำตอบเดียว
เพราะบางแบรนด์ ก็อาจเลือกปรับภาพลักษณ์ให้เข้าถึงง่ายขึ้น เพื่อจับกลุ่มคนรุ่นใหม่ ในขณะที่บางแบรนด์อาจจะเลือกหยิบความดั้งเดิมในอดีต มาใช้ดึงดูดลูกค้า

เรียกได้ว่า “ความสำเร็จ” คงเป็นสิ่งที่ไม่มีสูตรตายตัว
และสุดท้าย คนที่จะตัดสินว่าอะไรเหมาะกับแบรนด์ ก็คือ “ลูกค้า” นั่นเอง..
ปิดท้ายด้วยเรื่องที่น่าสนใจ

นอกจากการร่วมมือกับการ์ตูนแล้ว ก็มีบางแบรนด์เลือกที่จะสร้างตัวการ์ตูนของตัวเองขึ้นมาแทนด้วย เช่น Louis Vuitton ในคอลเลกชัน The Adventures Of Zoooom With Friends ที่ออกแบบโดยคุณ Virgil Abloh อดีตหัวหน้าฝ่ายออกแบบเครื่องแต่งกายผู้ชายของแบรนด์ และผู้ก่อตั้งแบรนด์ Off-White

อ้างอิงจาก : ลงทุนเกิร์ล

#การตลาด #การโฆษณา #การตลาดออนไลน์ #สร้างธุรกิจ #ธุรกิจ

Gaming Bed เกมเมอร์ถูกใจสิ่งนี้ เก้าอี้ที่นั่งนอนเล่นได้ทั้งวันมีฟังก์ชันครบ ตอบโจทย์ทุกอย่างให้กับเกมเมอร์ 🥰🥰เกมเมอร์ต้...
16/03/2022

Gaming Bed เกมเมอร์ถูกใจสิ่งนี้ เก้าอี้ที่นั่งนอนเล่นได้ทั้งวันมีฟังก์ชันครบ ตอบโจทย์ทุกอย่างให้กับเกมเมอร์ 🥰🥰

เกมเมอร์ต้องถูกใจสิ่งนี้! เมื่อญี่ปุ่นประเทศแห่งความครีเอทได้ผลิต Gaming Bed ที่มีฟังก์ชันครบ ตอบโจทย์ทุกอย่างให้กับเกมเมอร์ ให้สามารถนั่งเล่น นอนเล่นเกมแบบไม่ต้องลุกไปไหนกันเลยทีเดียว

Gaming Bed หรือเตียงนอนเกมเมอร์ ถูกออกแบบขึ้นโดยบริษัท Bauhutte ผู้ผลิตโต๊ะและเก้าอี้เกมมิ่ง ที่มีไม่หยุดไอเดียอยู่แค่ เก้าอี้ โต๊ะปรับระดับได้ หรือชั้นวางของ ที่เข้าเซ็ตกันสำหรับเกมเมอร์ เพราะไอเดียนั้นพัฒนาไปถึงจุดที่สามารถนอนเล่นเกมได้บนเตียงแบบสะดวกสบาย!

เตียงถูกดีไซน์ออกมาให้ดูเท่มีสีดำตัดกับสีแดงสไตล์เกมมิ่ง โดยที่มีฟังก์ชั่นและอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอย่างครบครัน เริ่มจากที่วางจอคอมจะถูกวางคร่อมทางด้านปลายเตียงเพื่อไว้ใช้สำหรับวางหน้าจอและอุปกรณ์คอมพิวเจอร์อาทิเช่น เมาส์ คีย์บอร์ด หรือลำโพงเป็นต้น ซึ่งที่วางจอนี้สามารถขยับปรับตำแหน่งเพื่อให้เหมาะกับเวลานอนเล่น หรือนั่งเล่นได้อีกด้วย

ทั้งนี้ยังมีโต๊ะด้านข้างที่สามารถวางคีย์บอร์ด หรืออุปกรณ์เกมมิ่งอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น คอนโทรลเลอร์ หรือหูฟัง แถมยังมีชั้นสำหรับวางขนมและเครื่องดื่มเพื่อเอาไว้หยิบทานตอนเล่นเกมได้อย่างสะดวกสะบาย ทางด้านหัวเตียงก็จะมีที่ชั้นวางของเอาไว้เก็บขนมหรือวีดีโอเกมตามแต่ความต้องการ พร้อมทั้งที่วางมือถือให้สามารถนอนดูวิดีโอก่อนนอนได้โดยไม่ต้องถือให้เมื่อย นอกจากนี้ยังมีดีเทลเล็กๆ น้อยๆ อีกไม่ว่าจะเป็นแท่นวางของด้านข้าง หรือที่รองวางแก้วน้ำ เบาะพิงเอาไว้นั่งเล่นเกมบนเตียง หรือใครจะเพิ่มชั้นวางสำหรับวางเครื่องดื่มโดยเฉพาะที่ปลายเตียงก็ได้เช่นกัน

สำหรับใครที่สนใจเจ้าเตียงเกมเมอร์นี้วางขายรวมเซ็ตอยู่ที่ราคา 113,350 เยน หรือประมาณ 32,800 บาทเท่านั้น เรียกได้ว่าเป็นเตียงที่ถูกออกแบบมาให้คนที่ชอบเล่นเกมนั้นสามารถเล่นเกมได้ทั้งวันทั้งคืนโดยไม่ต้องลุกไปไหนกันเลยทีเดียว ยกเว้นแต่ต้องลุกไปอาบน้ำหรือเข้าห้องน้ำบ้างนะ แอดเป็นห่วง

อ้างอิงจาก : อายุน้อยร้อยล้าน

#การตลาด #การโฆษณา #การตลาดออนไลน์ #สร้างธุรกิจ #ธุรกิจ

จะประชดลูกค้าแต่ดันขายดี‼️ Chipotle ร้านอาหารเม็กซิกัน....ทำสบู่จากผักชี🌱🌿ผักชีเป็นสิ่งที่ถกเถียงกันอย่างมากในต่างประเทศ...
14/03/2022

จะประชดลูกค้าแต่ดันขายดี‼️ Chipotle ร้านอาหารเม็กซิกัน....ทำสบู่จากผักชี🌱🌿

ผักชีเป็นสิ่งที่ถกเถียงกันอย่างมากในต่างประเทศ โดยเฉพาะโซนยุโรป-อเมริกาว่าควรนำมาใส่อยู่ในอาหารหรือไม่ เพราะว่าคนที่ชอบก็จะรู้สึกฟินเมื่อได้กิน แต่สำหรับคนที่ไม่ชอบแค่เห็นก็ร้องยี้แล้ว

Chipotle ร้านอาหารเม็กซิกัน ในอเมริกาที่มีมากกว่า 2,900 สาขา เกิดปิ๊งไอเดียจากการบ่นของลูกค้าบางคนเกี่ยวกับผักชีว่า “กินผักชีเหมือนกินสบู่” (เป็นคำพูดที่ฝรั่งเขามักจะพูดเปรียบเทียบว่า รสชาติผักชี เหมือนกับการกินสบู่) จนเกิดเป็นประเด็กถกเถียงกันในโลกออนไลน์เป็นจำนวนมากว่าผักชีนั้นเหมือนสบู่จริงไหม ซึ่ง 4-14% ของผู้สนใจประเด็นนี้บอกว่าเหมือนผักชีเหมือนสบู่จริงๆ

ทำให้ Chipotle ร้านอาหารเม็กซิกันซึ่งมีผักชีเป็นองค์ประกอบอยู่เป็นจำนวนมากนั้นก็ ไม่รู้จะแก้ปัญหาให้ลูกค้ายังไง ในเมื่อบอกว่ากินผักชีแล้วเหมือนกินสบู่มากนัก ก็ทำให้เป็นผักชีเป็นสบู่ซะเลย! พร้อมตั้งสโลแกนสุดกวนโอ๊ยว่า
“สบู่ที่เพอร์เฟ็คที่สุดสำหรับคนที่รักและคนที่เกลียดผักชี XD”
ตัวสบู่นั้นจะนำผักชีเอามาสกัดทำน้ำมันหอมระเหยแล้วผสมลงในในสบู่ก้อน โดยหลังจากเปิดตัวก็ขายดิบขายดีจนของหมดเกลี้ยง แถมยังเรียกเสียงฮือฮาจากชาวเน็ตได้เป็นอย่างมาก เพราะไม่คิดว่าจะใครจะบ้าเอาผักชีมาทำเป็นสบู่จริงๆ ซึ่งบางคนซื้อไปเพราะชอบผักชี เพราะแปลกดี แต่บางคนก็ซื้อไปแกล้งเพื่อนที่เกลียดผักชีโดยเฉพาะ

ซึ่งตัว Chris Brandt ประธานฝ่ายการตลาดก็ได้บอกว่า “เราเคยเห็น Meme ตลกในเน็ตที่เขียนหน้ากล่องสบู่ว่า “ผักชี” เราจึงหยิบเอาสิ่งนั้นมาทำให้เกิดขึ้นจริงเสียเลย” เรียกได้ว่าเป็นการเล่นกับเทรนด์ที่คนสนใจได้เป็นอย่างดี แถมยังเรียกคะแนนความนิยมจากเหล่าผู้บริโภคให้ชื่นชอบในตัวแบรนด์ได้มากขึ้นอีกด้วย

สำหรับสบู่มาในรูปทรงสี่เหลี่ยม สีเขียวและมีลวดลายเหมือนผักชีปั่นผักชี และมีขนาด 4 ออนซ์ หรือประมาณ 113 กรัม โดยวางขายบนเว็บไซต์ chipotlegoods.com ในราคา 8 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 400 บาท

ขอบคุณเนื้อหาจาก : อายุน้อยร้อยล้าน

#การตลาด #การโฆษณา #การตลาดออนไลน์ #สร้างธุรกิจ #ธุรกิจ

อำพันทะเล(อ้วกวาฬ) ในวงการน้ำหอม เป็นของล้ำค่ามากที่สุด ✔👍ถ้าพูดถึงคำว่า อ้วก แค่ได้ยินหลายคนก็คงขยะแขยงแล้วแต่รู้ไหมว่า...
13/03/2022

อำพันทะเล(อ้วกวาฬ) ในวงการน้ำหอม เป็นของล้ำค่ามากที่สุด ✔👍

ถ้าพูดถึงคำว่า อ้วก แค่ได้ยินหลายคนก็คงขยะแขยงแล้ว

แต่รู้ไหมว่า ถ้าพูดถึง “อ้วกวาฬ” มันกลับกลายเป็นของล้ำค่า ที่บรรดาแบรนด์แฟชั่นและน้ำหอมต่างหมายปอง..

อ้วกวาฬ มีอีกชื่อเรียกว่า “อำพันทะเล (Ambergris)”

เป็นอ้วกของ วาฬสเปิร์ม หรือที่หลายคนรู้จักในชื่อของ วาฬหัวทุย ซึ่งเมื่อโตเต็มวัยจะมีขนาดยาวประมาณ 15-18 เมตร

โดยอาหารหลักที่วาฬชนิดนี้ชอบกินที่สุดก็คือ หมึกยักษ์
แล้วเจ้าหมึกยักษ์นี้ มีความเกี่ยวข้องอะไรกับ อ้วกวาฬ ?

เนื่องจากปากของหมึกยักษ์มีความคมและแข็งมาก จนกระเพาะของวาฬหัวทุยไม่สามารถย่อยสลายได้ และอาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อกระเพาะของวาฬหัวทุย

พอเป็นแบบนี้ ระบบร่างกายของมันจึงสร้างสารซึ่งมีส่วนประกอบของคอเลสเตอรอล และไขมันประมาณ 80% ขึ้นมาบริเวณลำไส้ เพื่อห่อหุ้มเศษซากที่เหลือของหมึกที่ทำให้ท้องมันระคายเคือง

ในเวลาต่อมา ซากที่เหลือของหมึกก็จะถูกสำรอกหรือขับถ่ายออกมา ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมักออกมาโดยการสำรอกจึงเรียกว่า “อ้วกวาฬ”
แต่ก็มีบางครั้งที่ออกมาตามอุจจาระของมันก็จะเรียกว่า “ขี้วาฬ”

โดยช่วงแรกอ้วกของมันจะมีกลิ่นเหม็นที่รุนแรงมากทีเดียว แถมยังมีลักษณะเป็นก้อนไขมันนิ่ม ๆ ที่ลักษณะคล้ายกับเศษของเสียทั่วไป

แต่เมื่อเวลาผ่านไปเป็นร้อยเป็นพันปี เจ้าก้อนอ้วกวาฬที่ลอยอยู่ในทะเลจะเปลี่ยนเป็นก้อนที่แข็งขึ้น และมีสีที่แตกต่างกันออกไป โดยจะมีตั้งแต่สีดำ เทา ไล่ระดับสีอ่อนลงไปถึงสีขาวเลยก็มี

นอกจากนี้สีของมันก็ยังบ่งบอกได้ถึงคุณภาพอีกด้วย โดยก้อนอ้วกวาฬสีขาวจัดว่ามีคุณภาพดีที่สุด และมีราคาแพงที่สุด

ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า ยิ่งอ้วกวาฬลอยอยู่ในทะเลนานเท่าไร มันก็จะยิ่งให้สารที่ชื่อว่า Ambrein ออกมามากเท่านั้น

ซึ่งสารที่ว่านี้ เป็นแอลกอฮอล์ ที่มีคุณสมบัติในการตรึงกลิ่น
และจากผลการทดสอบก็พบว่า ก้อนอ้วกวาฬที่มีสีขาว มีปริมาณของ Ambrein สูงกว่าสีดำหรือสีที่เข้มกว่า

แล้วทำไม อ้วกวาฬ ถึงเอามาเป็นวัตถุดิบในการทำหัวเชื้อน้ำหอมได้ ?
เมื่อเวลาผ่านไป อ้วกของวาฬที่สำรอกออกมา จะทำปฏิกิริยากับอากาศ แสงแดด และน้ำทะเล จนทำให้ก้อนอ้วกเกิดการแห้งและแข็ง จนมีกลิ่นที่ซับซ้อน น่าหลงใหล และเป็นเอกลักษณ์เฉพาะออกมา

เช่น บางก้อนจะให้กลิ่นที่มีความหอมหวาน กลิ่นดิน กลิ่นมัสก์ หรือกลิ่นสดชื่นของทะเล

จริง ๆ แล้ว อ้วกวาฬ ถูกนำมาใช้เป็นส่วนผสมของน้ำหอมมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว ไม่ว่าจะเป็นชาวอียิปต์โบราณ ชาวโรมัน ชาวกรีก หรือชาวอาหรับ ต่างก็ใช้ทำเป็นหัวเชื้อน้ำหอม

แต่ในฝั่งของเอเชีย จะนิยมนำไปทำเป็นเครื่องเทศเสียมากกว่า
ต้องบอกว่า ที่อ้วกวาฬมีราคาแพงมาก

เพราะคุณสมบัติในการป้องกันการระเหยของกลิ่น เมื่อนำมาผ่านกระบวนการทำเป็นหัวเชื้อน้ำหอม ก็จะช่วยให้น้ำหอมติดทนนาน

นั่นจึงทำให้อ้วกวาฬ เป็นส่วนผสมของน้ำหอมชื่อดัง อย่างเช่น
- CREED Aventus
- YVES SAINT LAURENT L'Homme Parfum Intense
- BURBERRY Mr. Burberry Element EDT
- BVLGARI Le Gemme Opalon

โดยมูลค่าของอ้วกวาฬ ก็จะขึ้นอยู่กับหลาย ๆ ปัจจัย
ทั้งขนาด น้ำหนัก ความสมบูรณ์ และสีของก้อนอ้วก

โดยก้อนอ้วกวาฬ 1 กิโลกรัม ก็มีมูลค่าตั้งแต่หลักหมื่นบาท ไปจนถึงหลักล้านบาท

โดยก้อนอ้วกวาฬที่ว่านี้ ก็มักจะพบได้ตามชายหาด หรือตามโขดหิน เพราะถูกคลื่นซัดมาถึงฝั่ง

ซึ่งในไทยเมื่อปี 2563 ก็เคยมีชาวประมง จ.สุราษฎร์ธานี พบอ้วกวาฬขนาดใหญ่หนักถึง 30 กิโลกรัม และขายได้มูลค่ามากถึง 39 ล้านบาท เลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันได้มีการสังเคราะห์สารที่ให้กลิ่นและมีคุณสมบัติคล้ายกับอ้วกวาฬขึ้นมา

แต่ก็ยังไม่สามารถสร้างกลิ่นที่ซับซ้อนได้เท่าอ้วกวาฬที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติได้อยู่ดี

ด้วยความหายาก มีคุณสมบัติในการป้องกันการระเหยของกลิ่น
และมีกลิ่นเป็นเอกลักษณ์ชวนหลงใหล
จึงทำให้ อ้วกวาฬ กลายเป็น “แรร์ไอเทม”
และเป็นของล้ำค่า ของวงการน้ำหอม นั่นเอง..

ขอบคุณข้อมูลจาก : BrandCase

#การตลาด #การโฆษณา #การตลาดออนไลน์ #สร้างธุรกิจ #ธุรกิจ

ทำไมราคาน้ำมันในไทยถึงแพง....แล้วเอาไปจ่ายใครบ้าง ?กับโครงสร้างราคาน้ำมันไทย 🤔🤔เคยสงสัยไหมว่า น้ำมัน 1 ลิตร ที่เราจ่ายไป...
12/03/2022

ทำไมราคาน้ำมันในไทยถึงแพง....แล้วเอาไปจ่ายใครบ้าง ?
กับโครงสร้างราคาน้ำมันไทย 🤔🤔

เคยสงสัยไหมว่า น้ำมัน 1 ลิตร ที่เราจ่ายไปนั้น เงินได้กระจายไปอยู่ที่ใครบ้าง ?

ราคาขายปลีกนั้น แบ่งได้เป็น 3 ส่วนใหญ่ ๆ

ส่วนแรกที่เราจ่ายก็คือ “ต้นทุนสินค้า” ซึ่งเป็นราคาของน้ำมันสำเร็จรูป โดยคิดจากราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นนั่นเอง ตรงนี้จะอ้างอิงตามราคาตลาดสิงคโปร์ ซึ่งเป็นตลาดนำเข้าใหญ่ของภูมิภาคเป็นหลัก

ส่วนนี้ราคาจะขึ้นลงตามราคาน้ำมันดิบโลกและค่าการกลั่นของโรงกลั่นน้ำมัน

ส่วนต่อมาก็คือ “ส่วนที่เราต้องจ่ายให้กับรัฐ” ในรูปแบบของภาษีและเงินสมทบทุนกองทุนต่าง ๆ ประกอบไปด้วย 6 ส่วนด้วยกัน ซึ่งมักเป็นอัตราคงที่ มีการปรับบ้างตามนโยบายในแต่ละช่วง

- ภาษีสรรพสามิต
- ภาษีเทศบาล
- กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
- กองทุนอนุรักษ์พลังงาน
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม(VAT)

และส่วนสุดท้ายก็คือ “ค่าการตลาด” ซึ่งจะมี VAT ของค่าการตลาดอีกด้วย
ค่าการตลาดก็คือ ส่วนต่างของราคาน้ำมันค้าปลีก หักค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่กล่าวมา ซึ่งนับเป็นผลตอบแทนของผู้ประกอบการสถานีบริการน้ำมัน

ซึ่งถ้าถามต่อไปอีกว่า ส่วนนี้คือกำไรสุทธิของสถานีบริการน้ำมันเลยไหม ก็ต้องตอบว่ายังไม่ใช่

เนื่องจากต้องนำมาหักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการดำเนินธุรกิจก่อน อย่างเช่น ค่าเช่าที่ดิน ต้นทุนสิ่งปลูกสร้าง ค่าขนส่ง ค่าน้ำไฟ ค่าจ้างพนักงาน และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ถึงจะเหลือเป็นกำไรสุทธิของผู้ประกอบการ

ทีนี้เรามาดูตัวโครงสร้างของราคาน้ำมันในความเป็นจริง
ตัวแรก ก็คือ ดีเซล
ซึ่งเป็นที่นิยมใช้กันอย่างมากในภาคการขนส่ง
ณ วันที่ 10 มีนาคม 2565 ราคา 29.94 บาท
ราคาหน้าโรงกลั่น 37.06 บาท
ภาษีสรรพสามิต 3.2 บาท
ภาษีเทศบาล 0.32 บาท
กองทุนน้ำมัน -11.29 บาท
กองทุนอนุรักษ์ 0.005 บาท
ภาษีมูลค่าเพิ่ม 2.05 บาท
ค่าการตลาดของผู้ค้า -1.315 บาท
ภาษีมูลค่าเพิ่มค่าการตลาด -0.09 บาท

ทีนี้ เรามาดูโครงสร้างราคาน้ำมันเบนซิน กันบ้าง
คราวนี้จะเทียบให้ดูสองตัวคือ แก๊สโซฮอล์ 95 และ E85
น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 ณ วันที่ 10 มีนาคม 2565 ราคา 40.15 บาท
ราคาหน้าโรงกลั่น 30.5 บาท
ภาษีสรรพสามิต 5.85 บาท
ภาษีเทศบาล 0.585 บาท
กองทุนน้ำมัน 1.02 บาท
กองทุนอนุรักษ์ 0.005 บาท
ภาษีมูลค่าเพิ่ม 2.66 บาท
ค่าการตลาดของผู้ค้า -0.4460 บาท
ภาษีมูลค่าเพิ่มค่าการตลาด -0.03 บาท
น้ำมัน E85 ณ วันที่ 10 มีนาคม 2565 ราคา 32.34 บาท
ราคาหน้าโรงกลั่น 26.84 บาท
ภาษีสรรพสามิต 0.975 บาท
ภาษีเทศบาล 0.0975 บาท
กองทุนน้ำมัน -4.53 บาท
กองทุนอนุรักษ์ 0.005 บาท
ภาษีมูลค่าเพิ่ม 1.64 บาท
ค่าการตลาดของผู้ค้า 6.84 บาท
ภาษีมูลค่าเพิ่มค่าการตลาด 0.48 บาท

ทั้งหมดนี้ก็เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับโครงสร้างราคาน้ำมันที่ขายหน้าสถานีบริการน้ำมันในบ้านเรา

ซึ่งเราก็สามารถสรุปได้ว่า แม้ว่าราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกจะพุ่งขึ้นไปสูงอย่างรวดเร็ว

ถ้าไม่นับสต็อกน้ำมันเดิมในสถานีบริการน้ำมันที่ค้างอยู่
การค้าปลีกน้ำมันในช่วงนี้ มันก็อาจไม่ได้สร้างกำไรอย่างมหาศาลให้กับเจ้าของสถานีบริการน้ำมันแต่อย่างใด.. แถมผลลัพธ์ของมันอาจตรงข้ามเสียอีก

ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ
ล่าสุดเงินในกองทุนน้ำมันที่ช่วยอุดหนุนราคาน้ำมัน “ได้หมดลงแล้ว” และอยู่ในฐานะการเงินที่มีมูลค่าติดลบประมาณ 20,000 ล้านบาท กล่าวคือ กองทุนต้องกู้ยืมเงินจากรัฐบาลมาช่วยอุดหนุนราคาน้ำมันเพิ่มเติม

หมายความว่าในอนาคต ถึงแม้ว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกได้ลดลงแล้ว ราคาน้ำมันค้าปลีกในบ้านเราก็อาจไม่ได้ลดลงตามอีกสักระยะ เพราะต้องคอยชดใช้ในสิ่งที่กองทุนได้กู้ยืมเงินมา

ซึ่งก็น่าคิดว่าหากสถานการณ์ความขัดแย้งยังคงไม่สิ้นสุด
ราคาน้ำมันก็มีแนวโน้มจะยังคงแพงอย่างนี้ต่อไปเรื่อย ๆ
รัฐบาลจะตัดสินใจอย่างไรกับกองทุนน้ำมันนี้
และถ้ากองทุนน้ำมันนี้แบกรับหนี้สินต่อไปไม่ไหว
ในวันนั้น ราคาน้ำมันค้าปลีกในบ้านเรา จะแพงขึ้นขนาดไหน..

ขอบคุณข้อมูลจาก : ลงทุนแมน

#การตลาด #การโฆษณา #การตลาดออนไลน์ #สร้างธุรกิจ #ธุรกิจ

"ทำ โดย ไม่คิด" = ฝันร้าย"คิด แล้ว ไม่ทำ" = ฝันกลางวัน #การตลาด  #การโฆษณา  #การตลาดออนไลน์  #สร้างธุรกิจ  #ธุรกิจ
11/03/2022

"ทำ โดย ไม่คิด" = ฝันร้าย

"คิด แล้ว ไม่ทำ" = ฝันกลางวัน

#การตลาด #การโฆษณา #การตลาดออนไลน์ #สร้างธุรกิจ #ธุรกิจ

ที่อยู่

Chiang Mai

เวลาทำการ

จันทร์ 09:30 - 17:30
อังคาร 09:30 - 17:30
พุธ 09:30 - 17:30
พฤหัสบดี 09:30 - 17:30
ศุกร์ 09:28 - 17:30
เสาร์ 09:30 - 17:30
อาทิตย์ 09:30 - 17:30

เบอร์โทรศัพท์

+66956144066

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ CK Marketing สร้างแบรนด์ให้ปังผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง CK Marketing สร้างแบรนด์ให้ปัง:

แชร์