31/05/2025
ยุคที่ความเปลี่ยนแปลงทางสังคม การเมือง วัฒนธรรม และเทคโนโลยีเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว วรรณกรรมร่วมสมัย หรือ ณ ที่นี้เราขอเรียกว่า Contemporary Voice คือเสียงสะท้อนสำคัญที่จับชีพจรของยุคสมัยผ่านถ้อยคำและเรื่องเล่า
เสียงร่วมสมัยนั้นมิได้จำกัดอยู่เพียงรูปแบบหรือแนวทางใดแนวทางหนึ่ง หากแต่เป็นการรวบรวมเสียงเล็กเสียงน้อยมาสะท้อนความหลากหลายของสังคม ทั้งความหวัง ความเจ็บปวด ความกล้า และความเปราะบางของชีวิตมนุษย์—ในยุคที่ความซับซ้อนและความหลากหลายทางอัตลักษณ์กำลังกลายเป็นแก่นกลางของการสื่อสาร
วรรณกรรม ในฐานะพลังสร้างสรรค์แห่งความเปลี่ยนแปลง Contemporary Voice จึงช่วยให้เราเข้าใจความจริงที่มักไม่ถูกเล่าผ่านสายตาหลัก วรรณกรรมเหล่านี้เป็นทั้งกระจกเงาที่ท้าทายภาพจำเดิม ๆ และพื้นที่แห่งการตั้งคำถามต่อความหมายของชีวิต การเปลี่ยนผ่านของสังคม และความเป็นมนุษย์
เพจ “วรรณกรรมสังคม” และ “ถนนส่วนบุคคล”
จึงขอเชิญทุกท่านรับชมการถ่ายทอดสด สุนทรียะเสวนา ในหัวข้อ “วรรณกรรมร่วมสมัย Contemporary Voice” โดยนักเขียนและกวี 7 ท่าน จากพื้นที่จังหวัดตรัง สตูล พัทลุง และสงขลา
ใน วันอาทิตย์ ที่ 1 มิถุนายน 2568 ตั้งแต่เวลา 19.30 น. เป็นต้นไป ท่านจะได้พบกับ...
1. วิสุทธิ์ ขาวเนียม
กวีร่วมสมัยผู้เปล่งเสียงอันเป็นอิสระ หนึ่งในผู้ถือธงแห่งถ้อยคำที่ซื่อสัตย์ต่อผืนดินและความเปลี่ยนแปลง เกิดและเติบโตในครอบครัวชาวสวนยาง จังหวัดตรัง ด้วยบทกวีที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งในด้านภาษา จังหวะ และทัศนคติ ทำให้เขาได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในฐานะหนึ่งในกวีร่วมสมัยที่ทรงพลังที่สุดของภูมิภาคอันดามัน และได้รับการเชิดชูเกียรติเป็น “ศิลปินร่วมสมัยดีเด่น” สาขาวรรณศิลป์ ประจำปี 2567 จากรางวัลศิลปาธร โดยสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม
เส้นทางวรรณศิลป์ของเขาเริ่มต้นจากโรงเรียนวิเชียรมาตุ ใต้การปลูกฝังของครูกวีอย่าง เทือกบรรทัด และ พันดา ธรรมดา ก่อนจะขยับสู่เวทีระดับประเทศเมื่อบทกวี “การมาเยือนของหายนะ” ได้รับรางวัลจากสมาคมภาษาและหนังสือฯ ในปี 2539 จุดนั้นคือประกายแรกของกวีผู้ไม่หยุดนิ่งในการถามหาความหมายของความจริง ความเศร้า และอนาคต
ผลงานเด่นในหลายช่วงเวลา:
เสียงผีเสื้อ (2543): กวีนิพนธ์เล่มแรกที่เปิดเสียงกระซิบของโลกภายใน
คนโง่ปลูกดอกไม้ (2547): บทกวีที่เผยแพร่ผ่านรูปแบบหนังสือทำมือ สะท้อนจิตวิญญาณอิสระของผู้เขียน
ลมมลายู (2551): คว้ารางวัลชนะเลิศ เซเว่นบุ๊คอวอร์ด และเป็นหนึ่งในเล่มที่สำคัญที่สุดในยุค
ในตาของโคเสี่ยงทาย (2552): ได้รับรางวัล นายอินทร์อะวอร์ด
มรสุมประเทศนี้ยังยาวนาน (2553) และ หน้าตู้แช่เครื่องดื่ม (2554): ภาพแทนของยุคสมัยที่สับสน
อาณานิคมของความเศร้า (2556) และ พลัดหลงไปในห้วงเวลาของนักมายากล (2557): เข้ารอบ Longlist ซีไรต์
ผลงานล่าสุด: “ดินแดนบันไดงู” (Land of Snake Ladders) และ “ตารางธาตุของความรักและสารประกอบของความเศร้า” คือบทกวีแห่งนิเวศสำนึก ความลึกซึ้งทางอารมณ์ และภาษาที่สะท้อนเสียงโลกปัจจุบันได้อย่างทรงพลัง
2. อนุสรณ์ มาราสา
นักเขียนมากประสบการณ์ผู้สร้างสรรค์ผลงานวรรณกรรมเยาวชน เรื่องสั้น และนวนิยาย ที่มีเนื้อหาสะท้อนชีวิตชนบท ความเหลื่อมล้ำทางสังคม และจินตนาการอันลุ่มลึก เขาคือหนึ่งในนักเขียนร่วมสมัยที่มีบทบาทสำคัญในวงวรรณกรรมไทย โดยมีผลงานตีพิมพ์ในสื่อวรรณกรรมชั้นนำและได้รับการยอมรับมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน
อนุสรณ์ มาราสา เป็นชื่อจริงและนามปากกา เกิดและเติบโตในจังหวัดสตูล สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากคณะการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา และระดับปริญญาโทจากคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเวสเทิร์น มีประสบการณ์การทำงานในองค์การของรัฐ (บมจ. กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน)) ยาวนานถึง 37 ปี ก่อนเข้าร่วมโครงการเออร์ลี่รีไทร์ในปี พ.ศ. 2566
เส้นทางวรรณกรรมของเขาเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2538 ด้วยความหลงใหลในเรื่องเล่าและชีวิตของผู้คน เขาฝึกเขียนเรื่องสั้นและส่งผลงานเผยแพร่ในสื่อหลากหลาย เช่น ดอกเบี้ยการเมือง, สยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์, เนชั่นสุดสัปดาห์, มติชนสุดสัปดาห์, ช่อการะเกด, ช่อปาริชาต เป็นต้น จนถึงปัจจุบัน เขามีผลงานรวมเล่มกว่า 10 เล่ม ทั้งในรูปแบบวรรณกรรมเยาวชน เรื่องสั้น และนวนิยาย
ผลงานสำคัญและรางวัลที่ได้รับ:
พ.ศ. 2540: เด็กปอเนาะ เข้ารอบสุดท้ายรางวัลต้นอ้อ–แกรมมี่
พ.ศ. 2547: คนบ้าบนภูเขา ได้รับการคัดเลือกจากบรรณาธิการ, ได้รับรางวัลช่อปาริชาต และได้รับการยกย่องเป็นศิลปินร่วมสมัย สาขาวรรณศิลป์ โดยสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดสตูล
พ.ศ. 2550–2556: หลายเรื่องสั้นได้รับรางวัลชมเชยจากโครงการ พานแว่นฟ้า
พ.ศ. 2564: นวนิยาย ภูเขาน้ำตา เข้ารอบสุดท้ายรางวัล ซีไรต์
พ.ศ. 2566: รวมเรื่องสั้น โลกบนเขาวัว ได้รับรางวัลชมเชยจากสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ
พ.ศ. 2567: นวนิยาย เสียงร่ำไห้หนึ่งพันครั้ง เข้ารอบ Longlist รางวัลซีไรต์
พ.ศ. 2568: ภูเขาน้ำตา ได้รับการแปลเป็นภาษามลายู โดยสำนักพิมพ์ Nusa Center
ผลงานล่าสุด: ธิดาจากฮาเร็มสุลต่านอาบูฮาซัน (นวนิยาย)
อนุสรณ์เป็นนักเขียนที่หลอมรวมภาษาสละสลวยกับการเล่าเรื่องอย่างร่วมสมัย ผลงานของเขาสะท้อนความผันผวนของชีวิตและสังคมในระดับฐานราก พร้อมเปิดพื้นที่ให้กับเสียงเล็กๆ ที่ถูกหลงลืม
3. อภิชาติ จันทร์แดง
กวี นักเขียน และนักวิชาการ ผู้หล่อหลอมบทกวีด้วยความรู้สึกทางสังคมและการเมือง ถ่ายทอดความเปราะบางของชีวิตผ่านถ้อยคำเรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง อภิชาติเป็นนักเขียนร่วมสมัยที่มีบทบาทโดดเด่นทั้งในเวทีวรรณกรรมและการศึกษาทางสันติภาพ
เขาเกิดที่อำเภอบางแก้ว จังหวัดพัทลุง เริ่มต้นเส้นทางการศึกษาจากโรงเรียนบ้านต้นสน โรงเรียนตะโหมด วิทยาลัยเทคนิคพัทลุง เปลี่ยนเส้นทางสู่ศาสตร์มนุษย์โดยศึกษาด้านสื่อสารมวลชนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง และปริญญาโทด้านสังคมสงเคราะห์ทางการศึกษาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
เริ่มต้นงานเขียนในช่วงปี พ.ศ. 2538 ระหว่างเรียนที่รามคำแหง โดยเป็นหนึ่งในสมาชิก “กลุ่มกวีหน้าราม” ที่มีบทบาทขับเคลื่อนวรรณกรรมกวีในยุคประชาธิปไตยเบ่งบาน เขามีผลงานรวมบทกวีที่โดดเด่น เช่น
หากตุ๊กตาสักตัวอยากหัวเราะ (2544)
พูดความจริงกับเด็กเลี้ยงแกะ (2547)
ประเทศของเราและเรื่องเล่าหลายๆ เรื่อง (2553)
ประวัติศาสตร์ท่องเที่ยวไปตามทาง (แล้วเราก็รอวัน) (2556)
แล้วเราจะไปเซลฟี่กันอีก (Once Again, We Shall Freeze Time in a Frame)
ผลงานเล่มล่าสุดรางวัลและการยอมรับ:
รางวัลชนะเลิศ พานแว่นฟ้า (2553)
รางวัล เซเว่นบุ๊คอวอร์ด
รางวัล เปลื้อง วรรณศรี
อีกทั้งผลงานบางส่วนได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส ลาว และเยอรมัน
นอกจากงานวรรณกรรม อภิชาติยังมีบทบาทในการเขียนบทภาพยนตร์ และเป็นผู้บรรจบสะพานระหว่างศิลปะกับการศึกษาสันติภาพ ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง อาจารย์ประจำ สถาบันสันติศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ โดยมุ่งใช้ศิลปะและวรรณกรรมในการปลูกฝังการเห็นคุณค่าของความเป็นมนุษย์
4. ชนะ จันทร์ฉ่ำ
นักเขียน นักวิจัย และนักวิพากษ์วรรณกรรม ผู้เดินทางข้ามพรมแดนระหว่างโลกของวิทยาศาสตร์และศิลปะอย่างมีเอกลักษณ์ ผลงานของเขาสะท้อนการไต่ถาม ความเปราะบางของมนุษย์ และการเชื่อมโยงระหว่างปัจเจกกับโครงสร้างสังคม
แม้จะจบการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ และใช้เวลากว่า 17 ปีในระบบการศึกษากระแสหลัก แต่ตลอดเส้นทางการเรียนรู้ เขาไม่เคยละทิ้งพื้นที่ของวรรณกรรมและกิจกรรมทางสังคม โดยมีผลงานตีพิมพ์ในนิตยสารวรรณกรรมมาตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 2540 ก่อนจะหายไปในโลกของบทความวิชาการและงานวิจัย
เมื่อโลกการเรียนรู้เริ่มคลี่คลาย ชนะได้หวนคืนสู่สนามวรรณกรรมอีกครั้ง โดยเฉพาะงานเรื่องสั้นที่เริ่มเผยแพร่ตามสื่อต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เขาได้รังสรรค์ภาษาด้วยจังหวะและโครงสร้างที่ท้าทาย พร้อมทั้งสอดแทรกการตั้งคำถามเชิงปรัชญาและวิทยาศาสตร์ไว้ในวรรณศิลป์
รางวัลและผลงานที่สำคัญ:
พ.ศ. 2563: ผลงานวิจารณ์วรรณกรรมชิ้นแรกได้รับ รางวัลชมเชย "ดวงใจวิจารณ์"
พ.ศ. 2567: เรื่องสั้น กระจกครอบเหนือคลองราหูบิน ได้รับการประทับตราดีเด่น "ลูกโลกสีเขียว"
ปัจจุบัน กำลังรวบรวมผลงานเพื่อจัดพิมพ์ รวมเรื่องสั้นชุดใหม่ ที่สื่อถึงภาวะร่วมสมัยผ่านเลนส์วิทยาศาสตร์และจินตนาการ
ทำหน้าที่เป็น บรรณาธิการรวมบทกวี “แล้วเราจะไปเซลฟี่กันอีก” (Once Again, We Shall Freeze Time in a Frame) ผลงานล่าสุดของอภิชาติ จันทร์แดง
นอกจากบทบาทนักเขียน ชนะยังเป็น นักวิจัยในโครงการด้านวิทยาศาสตร์ พลังงาน สิ่งแวดล้อม และการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยยังคงรักษาจุดยืนของการใช้ความรู้เป็นเครื่องมือในการเข้าใจโลกอย่างลึกซึ้ง ทั้งผ่านสายตาของนักวิทยาศาสตร์และจินตนาการของนักเขียน
5. วิโรจน์ รัตนะ (นามปากกา: อะบูฮาซัน)
นักกวีและนักขับเคลื่อนวรรณกรรม ผู้ใช้บทกวีเป็นพื้นที่ของการแสวงหา สะท้อนสังคม และประคองจิตวิญญาณของผู้คนในโลกที่แหลกสลาย
เกิดและเติบโตในอำเภอตะโหมด จังหวัดพัทลุง อะบูฮาซัน เติบโตมาท่ามกลางเสียงลมหายใจของชุมชนชายขอบ ด้วยความรักในหนังสือ เขาเริ่มต้นเขียนกวีนิพนธ์ตั้งแต่เยาว์วัย และได้ร่วมก่อตั้งกลุ่ม วรรณกรรมสังคม เพื่อเป็นเวทีสร้างสรรค์และแลกเปลี่ยนทางความคิดของนักเขียนรุ่นใหม่ในพื้นที่ภาคใต้
ผลงานเด่น:
ในเงาฝัน (กวีนิพนธ์): ได้รับ รางวัลมติชนอวอร์ด ประจำปี พ.ศ. 2557
ในห้วงคำนึง (รวมเล่มกวีนิพนธ์): ตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2558
ไม่เหลือเศษเสี้ยวของวันเวลา: ผลงานกวีนิพนธ์ล่าสุด เผยแพร่ผ่านเพจ วรรณกรรมสังคม
เสียงของอะบูฮาซันในบทกวีมักเงียบงันแต่ทรงพลัง เต็มไปด้วยร่องรอยของความทรงจำ การยืนหยัด และความละมุนละไมทางศรัทธา เขาเชื่อว่ากวีนิพนธ์ไม่เพียงทำหน้าที่ปลอบโยน แต่ยังเปิดเผยร่องรอยของความเป็นจริงที่ถูกลืม
บทบาทในปัจจุบัน:
อะบูฮาซันปฏิบัติหน้าที่รับราชการในพื้นที่ชายแดนใต้ พร้อมกับมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมงาน ศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม ในชุมชนท้องถิ่น โดยยังคงเขียนบทกวีและขับเคลื่อนกลุ่ม วรรณกรรมสังคม อย่างต่อเนื่อง เพื่อเปิดพื้นที่ให้เสียงจากชายขอบได้ก้าวสู่ใจกลางของสังคม
6. วาริส วารินทร์กวี
นามปากกาของ วาริส หลังเมือง เป็นนักเขียนมุสลิมที่มีเสียงสะท้อนของชายหนุ่มผู้มองโลกจากสายตาแห่งความอ่อนโยนและความจริง
เกิดเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2543 ณ บ้านอุใดเหนือ ตำบลอุใดเจริญ อำเภอควนกาหลง จังหวัดสตูล—ดินแดนพหุวัฒนธรรมที่หลอมรวมศรัทธา ประวัติศาสตร์ และชีวิตสามัญไว้อย่างกลมกลืน วาริสเติบโตมาในโลกที่เต็มไปด้วยเรื่องเล่า เขาเริ่มต้นเขียนจากการฟัง ฟังเสียงทะเล ฟังเสียงเด็กในโรงเรียน ฟังเสียงลมหายใจของความเงียบ และบันทึกสิ่งเหล่านั้นลงบนกระดาษด้วยความละเอียดอ่อนราวบทกวีที่เดินได้
ในวันธรรมดา เขาคือ คุณครูประจำโรงเรียนประถม แห่งหนึ่งในบ้านเกิด คอยบ่มเพาะคำถามและจินตนาการในใจของเด็ก ๆ
ในวันศุกร์ เขาคือคนขับรถไปรับภรรยาที่ท่าเรือเจ๊ะบิลัง เฝ้าดูแสงตะวันสีส้มบนฟ้าสตูลแล้วตั้งคำถามกับตัวเองว่า "วัยหนุ่มเหลือเวลาอีกเท่าไหร่"
ผลงานของเขาเผยแพร่ในหลากหลายพื้นที่ ทั้ง มติชนสุดสัปดาห์, ช่างเขียนพยัญชนะ, บางกอกไลฟ์นิวส์, ต่วยตูนพ็อกเก็ตแมกกาซีน, นิตยสารประกายรุ้ง, GLISS, Lanner, สาธารณรัฐกวีนิพนธ์, เครือข่ายกวีสามัญสำนึก, ถนนส่วนบุคคล, ประชาไท, และพื้นที่อิสระทางวรรณกรรมอีกมากมาย
ผลงานล่าสุด:
เรื่องสั้น "วันหาปลาเฟสติวัล"—ตีพิมพ์ใน มติชนสุดสัปดาห์ เดือนพฤษภาคม 2568
บทกวี "เรืออับปางกับฝูงเพรียงทะเล"—เผยแพร่ในคอลัมน์ กวีประชาไท เดือนพฤษภาคม 2568
น้ำเสียงของวาริสในงานเขียนเปี่ยมด้วยความละเอียดอ่อน มองเห็นความงามในชีวิตธรรมดา เขาเชื่อว่าการเขียนคือการบันทึกเศษเสี้ยวของความเป็นมนุษย์อย่างไม่ตัดสิน เพื่อส่งต่อให้ผู้อื่นได้รู้สึกและเข้าใจ
ด้วยปากกาเรียบง่ายและหัวใจอ่อนโยน เขากำลังเดินทางในโลกของเรื่องเล่าอย่างเงียบงาม
7. พิเชษฐ์ เบญจมาศ (คนชวนคุย)
นักเขียนร่วมสมัยที่มีพื้นเพจากแดนอีสานใต้ ผู้บอกเล่าความจริงจากท้องนา สู่เสียงสะท้อนในวรรณกรรมสิ่งแวดล้อม
พิเชษฐ์ เบญจมาศ เติบโตในครอบครัวชาวนาเชื้อสายแขมร์ที่จังหวัดสุรินทร์—ดินแดนชายขอบที่เปี่ยมด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่นและวัฒนธรรมที่เร้นลับ เขาเริ่มรู้จักการอ่านและการเขียนอย่างจริงจังในรั้วมหาวิทยาลัย โดยได้รับการประคับประคองและจุดไฟสร้างสรรค์จากครูนักเขียนผู้ทรงอิทธิพล "ไพฑูรย์ ธัญญา"
จากแรงบันดาลใจเหล่านั้น เขาเริ่มต้นสร้างสรรค์วรรณกรรมที่หยั่งรากในดิน วิถีชีวิต และความเจ็บปวดของผู้คนเล็ก ๆ ที่มักถูกลืม
ผลงานรวมเรื่องสั้นเล่มแรกของเขาคือ "มานิ ฮามิ" – งานเขียนที่สานเรื่องเล่าชายขอบและความทรงจำพื้นถิ่นเข้ากับโครงสร้างเรื่องอย่างร่วมสมัย
ผลงานเด่นล่าสุด:
เรื่องสั้น "ศพของเพื่อนส่งกลิ่นทั่วท้องทะเล" ได้รับรางวัลดีเด่น ประเภทงานเขียน: นิเวศสำนึก จาก รางวัลลูกโลกสีเขียว ครั้งที่ 23 – นับเป็นเสียงสะท้อนสำคัญที่โยงร้อยระหว่างวรรณกรรมและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยไม่ละเลยมิติของมนุษยธรรม
พิเชษฐ์เขียนด้วยน้ำเสียงซื่อตรง เรียบง่าย แต่ทรงพลัง—งานของเขาเปรียบเสมือน “เสียงของดิน” ที่ไม่โกรธใคร แต่บอกเล่าความจริงอันไม่อาจปฏิเสธได้
ปัจจุบันอาศัยอยู่ในจังหวัดสตูล และยังขับเคลื่อนงานสังคมและวรรณกรรมอย่างต่อเนื่อง
โปรดติดตามรับชมและฟังด้วยกัน
ด้วยไมตรี
Sea Breeze
#วรรณกรรมร่วมสมัย #วรรณกรรมสังคม #ถนนส่วนบุคคล