08/06/2025
ตัดกำลังเครือข่าย 'ตระกูลฮุน'
คนใกล้ชิดมีเบื้องหลังธุรกิจสีเทา
โยงแก๊งคอลเซ็นเตอร์กัมพูชา
วิธีลดความแข็งกร้าวของ 'ฮุน เซน-ฮุน มาเนต' ผู้นำกัมพูชา อาจไม่ได้หมายถึงการใช้ยุทธการทหารอย่างเดียว แต่ยังมีอีกแนวทาง ที่จะสั่นคลอนไปถึงฐานอำนาจของผู้นำกัมพูชาโดยตรง
นั่นคือการจัดการคนใกล้ชิดของทั้งคู่ ซึ่งล่าสุด มีการเปิดโปงว่า คนที่อยู่รอบตัวผู้นำกัมพูชาหลายคน เชื่อมโยงกับธุรกิจสีเทา โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่กำลังย้ายฐานกลับไปเฟื่องฟูในกัมพูชาอีกครั้ง
รายงานล่าสุดแฉถึงขั้นว่า คนใกล้ชิดในที่นี้ บางคนเป็นถึงคนสนิท เป็นมือขวา และกล่าวหาไปถึงรัฐมนตรีมหาดไทยของกัมพูชา ว่าเกี่ยวพันกับเครือข่ายสีเทาด้วย
นี่เป็นสิ่งที่สามารถทำได้ทันที ไม่ต้องตอบคำถามเรื่องความชอบธรรม เพราะมันเป็นสิ่งที่ต้องทำอยู่แล้ว ในฐานะการปราบปราบอาชญากรรมข้ามชาติที่กำลังกัดกินคนทั้งโลก
['คอลเซ็นเตอร์' กลับฐานกัมพูชา โครงสร้างพื้นฐานเอื้อ ทุจริตเป็นระบบ]
เมื่อเดือน พ.ค. มีรายงานฉบับหนึ่งเผยแพร่ออกมา พูดถึงการหลอกลวงออนไลน์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่พุ่งเป้าไปยังกัมพูชาเป็นหลัก
รายงานฉบับนี้ มีชื่อว่า 'Policies and Patterns: State-Abetted Transnational Crime in Cambodia as a Global Security Threat' ซึ่งเนื้อหาก็เป็นไปตามชื่อเรื่อง คือพูดถึงอาชญากรรมข้ามชาติ ในฐานะที่เป็นภัยคุกคามของโลก ที่พึ่งพิงอิงแอบในระดับรัฐของกัมพูชา
รายงานเขียนโดย 'จาค็อบ ซิน' ผู้เชี่ยวชาญด้านอาชญากรรมระหว่างประเทศฉบับนี้ ภายใต้หน่วยงานที่มีชื่อว่า 'Humanity Research Consultancy' ถึงขั้นบอกว่า การก่ออาชญากรรมออนไลน์ที่กำลังใช้กัมพูชาเป็นฐานที่มั่นนั้น กลายเป็นอุตสาหกรรมใหญ่ของประเทศ สร้างเม็ดเงินมากกว่าอุตสาหกรรมสิ่งทอและการผลิตเสื้อผ้า ที่เคยเป็นอุตสาหกรรมใหญ่ในกัมพูชาไปแล้ว
แถมเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลอกลวงออนไลน์ที่ฝังรากลึกในกัมพูชา ยังกลายเป็นอุตสาหกรรมที่ใหญ่เกินกว่าจะล้มอีกด้วย
ที่ผ่านมา อุตสาหกรรมหลอกลวงออนไลน์ กลายเป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจขนาดใหญ่ในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง รายงานชิ้นนี้ชี้ว่า ความเสียหายที่คนกลุ่มนี้หลอกลวงคนทั้งโลก มีมูลค่าสูงกว่า 50,000-75,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 1.6-2.4 ล้านล้านบาทต่อปี เทียบเท่า 40-60% ของจีดีพีในประเทศแถบนี้ทีเดียว
ผู้เขียนรายงานชิ้นนี้ชี้ว่า กัมพูชากำลังเป็นฐานของขบวนการหลอกลวงออนไลน์เจเนอเรชันใหม่ในปี 2025 หลังหลายชาติในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ซึ่งประกอบไปด้วยเมียนมา ไทย ลาว กัมพูชา หรือแม้แต่เวียดนาม เดินหน้าปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์อย่างหนัก
รายงานฉบับนี้ชี้ว่า การปราบปรามในประเทศลาวที่ประสบความสำเร็จ เช่นเดียวกับไทยที่จับมือกับจีน จัดการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ซึ่งตั้งฐานริมชายแดนประเทศเมียนมา หรือแม้กระทั่งการปรับแก้กฎหมายเพื่อแบนการตั้งฐานพนันออนไลน์อย่างเด็ดขาดในฟิลิปปินส์ ทำให้ขบวนการหลอกลวงออนไลน์ กลับเข้าไปตั้งฐานในกัมพูชาอีกครั้ง
โดยปัจจัยสนับสนุนให้กัมพูชาเหมาะเป็นที่ตั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ มีตั้งแต่ลักษณะทางภูมิศาสตร์ โครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการก่ออาชญากรรมออนไลน์ ไปจนถึงการทุจริตคอรัปชั่นอย่างเป็นระบบ
และที่สำคัญ รายงานฉบับนี้ ยังระบุชื่อนักการเมืองระดับสูง ซึ่งมีความใกล้ชิดกับพรรคประชาชนกัมพูชา (CPP) รวมถึงสนิทสนมกับ 'ฮุน เซน-ฮุน มาเนต' ด้วย
[นักการเมืองถึงระดับรัฐมนตรี พัวพัน 'คอลเซ็นเตอร์' กัมพูชา]
รายงานฉบับนี้พบว่า ปัจจุบันมีนักธุรกิจและนักการเมืองระดับสูงหลายคนของพรรครัฐบาลกัมพูชา เกี่ยวพันกับขบวนการหลอกลวงออนไลน์
เป็นที่ทราบกันดีว่า กัมพูชาเป็นประเทศที่มีปัญหาทุจริตคอรัปชันรุนแรง อยู่ในลำดับแทบจะรั้งท้ายในดัชนีคอรัปชันโลก และที่ผ่านมามีข่าวออกมาตลอดว่า นักการเมืองระดับสูงในพรรคประชาชนกัมพูชาหลายคน พัวพันกับการทุจริต ตั้งแต่การลักลอบตัดไม้ผิดกฎหมาย ไปจนถึงการยึดที่ดิน
โดยมีการระบุชื่อ เช่น ตรี พรีบ (Try Pheap) มหาเศรษฐีชาวกัมพูชา ซึ่งถูกทางการสหรัฐฯ ประกาศคว่ำบาตร หรืออีกชื่อคือ ลี ยง พัต (Ly Yong Phat) สมาชิกวุฒิสภากัมพูชาจากพรรครัฐบาล ซึ่งเป็นคนสนิทของทั้งอดีตนายกฯ ฮุน เซน และนาฮุน มาเนต นายกฯ คนปัจจุบัน ซึ่งรายงานชี้ว่า เขามีส่วนพัวพันกับฐานการพนันและหลอกลวงออนไลน์ ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดอุดรมีชัยและเกาะกง
เช่นเดียวกับ สว.ก๊ก อัน (Kok An) จากพรรคประชาชนกัมพูชาเช่นกัน ที่ในรายงานกล่าวหาว่า สว.คนนี้ เป็นเจ้าของฐานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในปอยเปตและสีหนุวิลล์
นอกจากนี้ ยังสาวไปถึงรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยคนปัจจุบัน คือ 'ซาร์ สกคา' (Sar Sokha) ซึ่งเป็นลูกชายของ 'ซาร์ เคง' (Sar Kheng) อดีตรัฐมนตรีมหาดไทยกัมพูชา ว่าเขาเป็นผู้ร่วมลงทุนก่อสร้างหนึ่งในฐานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในกัมพูชา
รัฐมนตรีมหาดไทยกัมพูชา ยังร่วมลงทุนในกาสิโนจินเป่ย ซึ่งหนึ่งในหุ้นส่วนของกาสิโนนี้คือ 'เฉิน จือ' (Chen Zhi) ซีอีโอของ Prince Holding Group ที่ผ่านมามีรายงานว่า ซีอีโอคนนี้ถูกทางการจีนสอบสวนถึงความร่ำรวยผิดปกติ ที่อาจมาจากกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย
ปรากฎว่า ซีอีโอคนนี้เป็นผู้อุปถัมภ์รายใหญ่ของพรรคประชาชนกัมพูชา และมีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาคณะรัฐมนตรี ทั้งในรัฐบาลชุดปัจจุบันของฮุน มาเนต และในอดีตรัฐบาลของสมเด็จฮุน เซน
รายงานฉบับนี้ยังอ้างถึงการสอบสวนที่พุ่งเป้าไปยัง 'Huione Guarantee' ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น 'Haowang' ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นตลาดหลอกลวงไซเบอร์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งสำนักงานใหญ่ในกรุงพนมเปญ เมืองหลวงของกัมพูชา
'Haowang' ถูกมองว่าเป็นดาร์กเน็ต คือตลาดซื้อขายคริปโตเคอเรนซีและดิจิทัลผิดกฎหมาย ที่มีกลุ่มลูกค้าเกือบทั้งหมดเป็นคนจีน มีตัวเลขผู้ใช้งานบนแพลตฟอร์มดังกล่าวเกือบ 1 ล้านคน
สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) คาดการณ์ว่า แก๊งสแกมเมอร์ใช้แพลตฟอร์มนี้ฟอกเงินจากการหลอกลวงและพนันออนไลน์ โดยเชื่อว่ามีเงินไหลเวียนถึง 24,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือกว่า 780,000 ล้านบาท ตั้งแต่ปี 2022
สิ่งที่น่าตกใจก็คือ แพลตฟอร์มที่เชื่อว่าเป็นแหล่งฟอกเงินใหญ่ของขบวนการคอลเซ็นเตอร์นี้ มีชื่อของ 'ฮุน โต' (Hun To) ลูกพี่ลูกน้องของนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต นั่งเป็นบอร์ดอำนวยการของ 'Huione Guarantee'
[กัมพูชาปฏิเสธ บอกเป็นรายงานเกินจริง หวังผลการเมือง]
อย่างไรก็ตาม กระทรวงมหาดไทยกัมพูชาออกมาปฏิเสธรายงานดังกล่าว โดยระบุว่านี่เป็นรายงานที่เกินจริง
กระทรวงมหาดไทยกัมพูชาชี้ว่า งานวิจัยชี้นนี้ตีพิมพ์โดยบรรดานักวิชาการต่างชาติ ที่มีเนื้อหาเกินจริง มีเป้าหมายทางการเมืองและขาดหลักฐานที่น่าเชื่อถือ
โฆษกกระทรวงมหาดไทยกัมพูชายังกล่าวหาผู้จัดทำรายงานวิจัยนี้ว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังงานวิจัยนี้เคยถูกตัดเงินสนับสนุนมาก่อน เพราะขาดการบริหารจัดการที่โปร่งใส พร้อมกล่าวหาว่า นักวิจัยกลุ่มนี้ต้องการนวติดของฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองที่มีวาระสุดโต่ง
พร้อมย้ำว่า กระทรวงมหาดไทยกัมพูชา ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต เดินหน้าปราบปรามอาชญากรรมในประเทศ ผ่านกลไกทั้งการวางเป็นยุทธศาสตร์ชาติ การปฏิรูปกฎหมาย และการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อจัดการกับขบวนการหลอกลวงออนไลน์ การลักพาตัว การฟอกเงิน
โดยโฆษกกระทรวงมหาดไทยกัมพูชา ย้ำว่า ทางการกัมพูชาได้จัดตั้งหน่วยงานพิเศษ และเปิดช่องทางที่ประชาชนสามารถสื่อสารได้โดยตรง ไม่ว่าจะเป็นช่องทางโซเชียลมีเดีย และสายด่วนของตำรวจ และย้ำว่า ที่ผ่านมากัมพูชาคำมั่นที่จะร่วมมือกับนานาชาติ
ความน่าสนใจก็คือ เนื้อหาช่วงหนึ่งยังระบุถึงข้อกล่าวหาที่ระบุว่า รัฐมนตรีมหาดไทยกัมพูชา ซา สกคา มีความเชื่อมโยงทางการเงินกับกาสิโนแห่งหนึ่งในสีหนุวิลล์
โดยแถลงการณ์ฉบับนี้ได้ออกมาประณาม โดยชี้ว่าเป็นการอ้างข้อมูลผิดๆ พร้อมย้ำว่า นี่เป็นเพียงความพยายามดิสเครดิตรัฐบาลจากฝ่ายตรงข้ามที่มีแนวคิดสุดโต่ง
[ปราบคอลเซ็นเตอร์กัมพูชา 'ชนะโดยไม่ต้องรบ']
รังสิมันต์ โรม สส.พรรคประชาชน เสนอยุทธศาสตร์ 'ชนะโดยไม่ต้องรบ' ผ่านโพสต์เฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 3 มิ.ย. ที่ผ่านมา โดยในตอนหนึ่ง เขาเสนอว่า แทนที่จะรบทางการทหาร มาชนะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ด้วยกันดีกว่า
ที่สำคัญ สส.พรรคประชาชนเสนอว่า ต้องกำจัดบรรดาข้าราชการสีเทาที่มีอยู่ทั้งสองฝั่งให้หมด โดยเฉพาะไปตรวจสอบบรรดา 'ออกญากัมพูชา' ว่าเกี่ยวข้องกับขบวนการคอลเซ็นเตอร์มากน้อยแค่ไหน
คำว่า 'ออกญา' ในที่นี้ เป็นคำเรียกมหาเศรษฐี ที่อาจมีความใกล้ชิดกับขั้วอำนาจกัมพูชา ซึ่งก็อาจเป็นคนกลุ่มเดียวกันกับที่รายงานล่าสุดแฉออกมา
สส.รังสิมันต์ ซึ่งติดตามกรณีแก๊งคอลเซ็นเตอร์มาตลอด ยังเสนอให้รัฐบาลพิจารณาเรื่องการตัดหรือไม่ตัดไฟฟ้าที่ส่งไปขายที่ปอยเปต รวมทั้งการใช้เครือข่ายอินเทอร์เน็ตจากฝั่งไทยในกัมพูชาด้วย ซึ่งจุดนี้ก็ตรงกับในรายงานที่แฉว่า มีคนใกล้ชิดสมเด็จฮุน เซน มีธุรกิจในปอยเปตเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม รังสิมันต์ย้ำว่า แม้ข้อเสนอของเขาจะมุ่งเน้นในเรื่องของการใช้วิธีการอื่นที่ไม่ใช่การรบเพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้ง แต่การเตรียมความพร้อมในกรณีที่เลวร้ายที่สุดก็เป็นเรื่องจำเป็น
โดยย้ำว่า รัฐบาลต้องทุ่มงบประมาณ การจัดการ การเตรียมพร้อม และการประสานงานเพื่อให้มั่นใจว่าบังเกอร์เรามีความพร้อม ศูนย์พักพิงมีความพร้อม อาหารมีความพร้อม การสื่อสารมีความพร้อม การเคลื่อนย้ายกลุ่มเปราะบางมีความพร้อม เพื่อจะไม่เกิดความโกลาหลเด็ดขาด
สำนักข่าว TODAY
สำนักข่าวออนไลน์ เปิดความรู้ ดูทูเดย์
#สำนักข่าวทูเดย์
