ฤๅ - Lue History

ฤๅ - Lue History Talk 'True' History

01/12/2025

เพราะการเสด็จสำเพ็งของ ร.๘ คือจุดกำเนิด "รวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย" ที่แท้จริง
เป็นสิ่งที่นโยบายรัฐนิยมเพียรพยายามสร้างมาหลายปีแต่ไม่สำเร็จ

ท่ามกลางหน้าประวัติศาสตร์ไทยที่มักถูกจดจำด้วยเหตุการณ์ทางการเมืองและการเปลี่ยนแปลงการปกครอง มีเรื่องราวบทหนึ่งที่มักถูกเล่าขานในฐานะ “จุดเปลี่ยน” ของความมั่นคงแห่งชาติ เรื่องราวของพระมหากษัตริย์หนุ่มวัยเพียง ๒๐ พรรษา ผู้ทรงทำในสิ่งที่อำนาจรัฐและนโยบาย “รัฐนิยม” ของจอมพล ป. พิบูลสงคราม เพียรพยายามปลูกฝังมาหลายปีแต่ไม่สัมฤทธิ์ผล นั่นคือการหลอมรวมผู้คนต่างเชื้อชาติ ศาสนา ให้กลายเป็น “เนื้อเดียว” กับความเป็นไทยอย่างแท้จริง

เรื่องราวนี้ถูกถ่ายทอดผ่านสารคดี “ทิศไท ตอน เรื่องที่ไม่เคยเล่า” ที่พาเราย้อนกลับไปมองรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร (รัชกาลที่ ๘) ในมิติใหม่ ไม่ใช่แค่เรื่องราวโศกนาฏกรรมหรือปริศนาการสวรรคต แต่คือเรื่องราวของ “พระราชกรณียกิจ” ในช่วงเวลาสั้นๆ ที่ส่งผลสะเทือนเลื่อนลั่นไปถึงหัวใจของราษฎรทุกหมู่เหล่า

เมื่อ “รัฐนิยม” สร้างรอยร้าว แต่ “พระบารมี” ช่วยสมาน

หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ สิ้นสุดลง ประเทศไทยตกอยู่ในสภาวะเปราะบางอย่างยิ่ง ทั้งจากสถานะผู้แพ้สงครามและความขัดแย้งภายใน นโยบายสร้างชาติของจอมพล ป. ที่เน้นความเป็นไทยอย่างเข้มข้น ในด้านหนึ่งกลับสร้างกำแพงกั้นระหว่างคนไทยเจ้าของพื้นที่ กับกลุ่มชาวไทยเชื้อสายจีน อินเดีย และมุสลิม

ในช่วงเวลานั้นสังคมไทยเต็มไปด้วยความขัดแย้ง โดยเฉพาะกรณี “สำเพ็ง” ย่านการค้าของชาวจีน ความขัดแย้งนี้รุนแรงถึงขั้นมีการปะทะกัน สาเหตุหลักมาจากการที่ไทยเข้าร่วมกับญี่ปุ่นในสงคราม ขณะที่ชาวจีนในไทยเจ็บแค้นญี่ปุ่นที่รุกรานแผ่นดินแม่ ความรู้สึก “แปลกแยก” และถูกมองเป็นคนอื่น ก่อตัวขึ้นอย่างหนาแน่นในหมู่คนเชื้อสายจีน

เสด็จสำเพ็ง : ดับไฟขัดแย้งด้วยน้ำพระทัย

สุเมธ ตันธนาศิริ ทายาทประธานมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เล่าถึงบรรยากาศความตึงเครียดในยุคนั้นว่า ชาวจีนรู้สึกว่ารัฐบาลไทยเป็นพวกเดียวกับญี่ปุ่น จึงเกิดความไม่พอใจ แต่แล้วในวันที่ ๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๙ รัชกาลที่ ๘ พร้อมด้วยพระอนุชา (รัชกาลที่ ๙) ทรงตัดสินพระทัย “เสด็จพระราชดำเนินเยือนสำเพ็ง”

การเสด็จฯ ครั้งนั้นไม่ใช่แค่พิธีการ แต่เป็นการ “เดินเข้าหา” ปัญหา พระองค์ทรงใช้เวลากว่า ๓-๔ ชั่วโมง ท่ามกลางอากาศร้อนอบอ้าว ทรงพระดำเนินเยี่ยมเยียนราษฎรชาวจีนอย่างใกล้ชิด การกระทำนี้มีความหมายทางการเมืองและสังคมอย่างมหาศาล มันคือสารที่ส่งออกไปว่า “ไม่ว่าท่านจะมาจากไหน ท่านคือพสกนิกรของข้าพเจ้า”

ผลลัพธ์ที่ได้คือปาฏิหาริย์ ความขัดแย้งที่ดูเหมือนจะลุกลามบานปลาย สงบลงเพียงชั่วข้ามคืน ความหวาดระแวงถูกแทนที่ด้วยความจงรักภักดี ชาวจีนในไทยเริ่มรู้สึกว่าแผ่นดินนี้คือ “บ้าน” ที่พวกเขาสามารถอาศัยอยู่ใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารได้อย่างสนิทใจ

จาก “สำเพ็ง” สู่ “มัสยิดต้นสน” : การเปลี่ยนผ่านสู่ความเป็นไทยด้วยหัวใจ

ปรากฏการณ์การหลอมรวมชาติไม่ได้หยุดอยู่แค่ชาวจีน ดร.พัฒนา หลังปูเต๊ะ เล่าถึงเหตุการณ์สำคัญในปีเดียวกัน เมื่อรัชกาลที่ ๘ เสด็จฯ เยือนมัสยิดต้นสน พระองค์ทรงใช้เวลาพูดคุย ซักถาม และแสดงความสนพระราชหฤทัยในวิถีชีวิตของชาวมุสลิมอย่างแท้จริง นานเกือบ ๓ ชั่วโมง

ผลกระทบจากเหตุการณ์นั้นลึกซึ้งเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด ดร.พัฒนา ระบุว่า หลังจากนั้น การแสดงธรรมเทศนา (คุตบะห์) ในวันศุกร์ ซึ่งเดิมใช้ภาษาอาหรับหรือยาวี ได้เริ่มเปลี่ยนมาใช้ “ภาษาไทย” นี่คือสัญลักษณ์ของการยอมรับอัตลักษณ์ความเป็นไทยเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของวิถีศรัทธาอย่างเต็มใจ ไม่ใช่การบังคับ ข้ามพ้นกำแพงทางศาสนา กลายเป็น "รายอกีตอ" หรือ "พระราชาของเรา" ในหัวใจชาวไทยมุสลิม

ทรงเป็น “เสาหลัก” ในยามที่การเมืองไร้ที่พึ่ง

คุณยศ สังขะเวส นักธุรกิจไทยเชื้อสายอินเดีย ถ่ายทอดเรื่องราวจากคำบอกเล่าของปู่ว่า ในยามที่การเมืองไทยไร้เสถียรภาพ รัฐบาลทหารหรือนักการเมืองไม่สามารถเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจได้ การมีอยู่ของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่เข้าถึงประชาชน กลายเป็น “เสาหลัก” ที่ทำให้คนต่างเชื้อชาติรู้สึกปลอดภัยและมั่นคง

สิ่งที่รัชกาลที่ ๘ ทรงกระทำในระยะเวลาอันสั้น คือการวางรากฐาน "New Kingship" หรือรูปแบบพระมหากษัตริย์สมัยใหม่ ที่ไม่ได้ปกครองด้วยพระเดช แต่ปกครองด้วยพระคุณและการเข้าถึงจิตใจมนุษย์

ขณะที่จอมพล ป. พยายามสร้างความสามัคคีด้วยกฎหมายและวัฒนธรรมบังคับ รัชกาลที่ ๘ ทรงสร้างความสามัคคีด้วยการ “ให้เกียรติ” และ “ยอมรับ” ความแตกต่าง

พระองค์ทำให้คำร้องในเพลงชาติท่อนที่ว่า “ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย” กลายเป็นความจริงขึ้นมาได้ ไม่ใช่ด้วยการบังคับให้ทุกคนเหมือนกัน แต่ด้วยการทำให้ทุกคนรู้สึกว่า แม้จะต่างที่มา แต่ทุกคนล้วนมี “พ่อ” คนเดียวกัน และมี “แผ่นดิน” เดียวกันให้รักและหวงแหน

แม้รัชสมัยของพระองค์จะสั้นนัก แต่ร่องรอยแห่งพระราชกรณียกิจในการผสานรอยร้าวของชาติ ยังคงเด่นชัดและเป็นรากฐานของสังคมพหุวัฒนธรรมที่สงบสุขของไทยมาจนถึงทุกวันนี้.

30/11/2025

ประวัติศาสตร์การเมืองกัมพูชา: จากอาณานิคมสู่การปกครองโดยพรรคเดียว

ก่อนที่จะเข้าสู่สถานการณ์ปัจจุบัน กัมพูชาเคยอยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรสยาม และต่อมาได้เปลี่ยนผ่านไปอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศส
ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศส มีความพยายามที่จะหลอมรวมประวัติศาสตร์และเรื่องราวของปราสาทหินเข้ามาอยู่ในสายเลือดของคนกัมพูชา ปราสาทหินถูกใช้เป็นความภาคภูมิใจของเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศส ในฐานะที่ฝรั่งเศสเป็นเจ้าของและเป็นผู้สร้างอารยธรรมอันยิ่งใหญ่มาก่อน แนวคิดนี้ได้ตกทอดมาถึงคนเขมรรุ่นต่อๆ มา

ในยุคของการปกครองของฝรั่งเศส (ช่วงเปลี่ยนรัชกาลจากพระนโรดมไปสู่พระศรีสุวัฒน์) ฝรั่งเศสได้มีการปรับปรุงพระราชวังใหม่ รูปแบบที่สร้างใหม่ด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กตามที่เห็นในปัจจุบัน เริ่มมีความแตกต่างและห่างจากศิลปะไทยมากขึ้น ซึ่งอาจถูกตีความว่าเป็นกุศโลบายอย่างหนึ่งในการประกาศว่ากัมพูชาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับไทย

ต่อมาในรัชสมัยของพระบาทศรีมุณีวงศ์ ท่านเริ่มมีความขัดแย้งกับฝรั่งเศส เนื่องจากพระเจ้ากรุงกัมพูชาจะทำอะไรต้องเป็นไปตามความประสงค์ของข้าหลวงฝรั่งเศส
เมื่อสิ้นรัชกาล ฝรั่งเศสต้องการหาผู้ที่สามารถควบคุมได้ จึงกลับไปหาเชื้อสายราชสกุลเดิมคือ นโรดม โดยเลือกพระสีหนุ แต่ฝรั่งเศสคิดผิด เพราะพระสีหนุได้ขับเคลื่อนเรื่องเอกราชมาโดยตลอด จนกระทั่งฝรั่งเศสต้องมอบเอกราชให้กัมพูชาไป

พระสีหนุได้ปกครองกัมพูชาในฐานะกษัตริย์ของประเทศเอกราชได้ไม่นาน ก่อนที่จะสละราชสมบัติให้พระราชบิดาและลงมาเล่นการเมือง โดยตั้งพรรคการเมือง นโยบายของพรรคนี้คือชาตินิยมจัดและเน้น เชื้อชาติชาตินิยมเขมร

ในยุคนั้น มีกรณีการกดขี่เบียดเบียนคนไทยที่จังหวัดเกาะกง โดยห้ามใช้ภาษาไทย ซึ่งเกิดจากการกีดกันและบังคับให้มีความเป็นเขมร ประเด็นปราสาทเขาพระวิหารกับไทยก็เป็นตัวละครสำคัญในประเด็นชาตินิยมช่วงนั้นด้วย

อำนาจของพระสีหนุในบทบาทนายกรัฐมนตรี (หลังจากสละราชสมบัติแต่ยังคงดำรงตำแหน่งทางการเมืองอยู่ โดยให้พระมารดาเป็นสัญลักษณ์ของระบอบกษัตริย์) สนิทสนมกับจีน ขณะเดียวกันก็มีขั้วคอมมิวนิสต์ที่ได้รับการสนับสนุนจากจีนเช่นกันเริ่มก่อตัวขึ้น อีกขั้วหนึ่งคือ ขั้วอเมริกา ซึ่งมองการเติบโตของสองกลุ่มนี้อย่างไม่สบายใจนัก สหรัฐฯ จึงเข้าไปยุยงให้ทหารและนักการเมืองกลุ่มหนึ่งนำโดย ลอน นอล (Lon Nol) ทำรัฐประหารล้มระบอบกษัตริย์ทิ้งไป

หลังการรัฐประหาร กัมพูชาเข้าสู่ยุค สาธารณรัฐเขมร ซึ่งมีอายุมาจนถึงปี พ.ศ. 2518 (1975) เมื่อ เขมรแดง ยึดอำนาจได้ ในช่วงรัฐบาลลอน นอลนั้น อำนาจถูกจำกัดอยู่เพียงในพื้นที่เมือง ขณะที่ชนบทส่วนใหญ่ถูกควบคุมโดยเขมรแดง

ความสำเร็จของเขมรแดงมาจากการที่พระสีหนุไปจับมือกับเขมรแดง ทั้งสองฝ่ายมีเป้าหมายเดียวกันคือการโค่นล้มฝ่ายลอน นอล และมีพี่ใหญ่คนเดียวกันคือจีน แม้อุดมการณ์จะแตกต่างกันอย่างมาก แต่สุดท้ายเขมรแดงก็ยึดพนมเปญได้สำเร็จ ซึ่งถือเป็นปฐมบทของสมัยเขมรแดง
การแตกหักของเขมรแดงและการบุกของเวียดนาม

เขมรแดง นำโดย พลพจน์ (Pol Pot) ได้ปกครองกัมพูชา และดำเนินการปฏิรูปต่าง ๆ เช่น การล้มล้างสถาบันทางทุนนิยม และการย้ายคนไปอยู่ชนบท มีการสังหารศัตรูทางชนชั้นและศัตรูทางการเมือง อย่างไรก็ตาม พลพจน์กลับมีความขัดแย้งและเริ่มกำจัดพวกเขมรแดงด้วยกันเอง (เช่น ข้อหาไม่ภักดี) ทำให้เกิดความระส่ำระสายในองค์กรปกครองกลาง ของเขมรแดง

เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดกลุ่ม เขมรแดงแปรพัก นำโดย เฮง สำริน และ ฮุน เซ็น กลุ่มนี้ได้ดึงเอาคอมมิวนิสต์อีกขั้วหนึ่งเข้ามาช่วยคือ เวียดนาม ในขณะนั้น เวียดนาม (คอมมิวนิสต์สายโซเวียต) และจีน (คอมมิวนิสต์สายจีน) ต่างก็ขัดแย้งกันอยู่ เวียดนามที่เพิ่งชนะสงครามเวียดนามมา กำลังฮึกเหิม จึงบุกเข้ากัมพูชาเพื่อล้มล้างรัฐบาลพลพจน์ ทำให้พนมเปญแตกอีกครั้ง

การบุกครั้งนี้ส่งผลให้เกิดกระแสผู้ลี้ภัยจำนวนมากหนีเวียดนามและเขมรแดง พวกเขมรแดงต้องถอยร่นไปติดชายแดนไทย ขณะที่พื้นที่ส่วนใหญ่ยังถูกปกครองโดยฝ่ายเวียดนาม เวียดนามได้ตั้ง รัฐบาลหุ่น ซึ่งนำโดย เฮง สำริน และ ฮุน เซ็น พร้อมทหารเวียดนามประจำการอยู่ รัฐใหม่นี้ถูกเรียกว่า สาธารณรัฐประชาชนกัมพูชา
เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดสงครามกลางเมืองระหว่างฝ่ายประชามิชย (ขั้วของฮุน เซ็น) กับฝ่ายเขมร 3 ฝ่าย สงครามกลางเมืองในยุคนี้เป็นที่มาของทุ่นระเบิดจำนวนมากที่ถูกทิ้งไว้ทั่วกัมพูชา
ยุคสันติภาพและการรวมอำนาจของฮุน เซ็น

ในที่สุด ก็เกิดข้อตกลงสันติภาพขึ้น โดยให้สหประชาชาติ (UN) เข้ามาจัดการเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2536 (1993) ฝ่ายเขมรแดงบอยคอร์ดการเลือกตั้งจึงถูกปัดทิ้งจากสมการทางการเมืองไป
ฝ่ายที่เหลือคือฝ่ายพระสีหนุ (แปลงร่างเป็น พรรคฟุนซินเปค หรือ ฝุ่นซิงเป) และฝ่ายฮุน เซ็น (แปลงเป็น พรรคประชาชนกัมพูชา หรือ CPP) ได้ลงเลือกตั้ง ผลการเลือกตั้งปรากฏว่า ฝ่ายพระนโรดมสีหนุ (โดยมีพระนโรดม รณฤทธิ์ เป็นตัวแทนทางการเมือง) ชนะได้เป็นนายกฯ แต่ ฮุน เซ็น ได้เอาตำแหน่งนายกฯ คู่ไปด้วย ทำให้กัมพูชามีนายกรัฐมนตรีสองคน (นายกฯ รณฤทธิ์ กับ นายกฯ ฮุน เซ็น)

ต่อมา ฮุน เซ็น ได้ยุยงให้เกิดรัฐประหารเพื่อโค่นล้มพระรณฤทธิ์ นับตั้งแต่นั้นมากัมพูชาจึงมีนายกฯ เพียงผู้เดียวคือ ฮุน เซ็น กลไกต่างๆ ของรัฐบาลและพรรค CPP ได้เริ่มผนวกองค์คาพยพต่างๆ ในกัมพูชาไว้ ฝ่ายค้าน (พรรคฟุนซินเปคของพระรณฤทธิ์) ถูกบีบด้วยกลไกทางกฎหมายและการเมืองให้อ่อนแอลงเรื่อยๆ ปัจจุบัน สภาล่าง (ส.ส.) ของกัมพูชา 100% เป็นของพรรค CPP ของฮุน เซ็น แม้จะมีหลายพรรคการเมือง แต่ที่นั่งในสภามีเพียงพรรคเดียว

ปมในใจและความเกลียดชังไทย
ประเด็นความเกลียดชังที่ชาวกัมพูชามีต่อไทยมีรากฐานมาจากการปลูกฝังในตำราเรียน ซึ่งมีการกำหนดให้คนไทยเป็นเสมือนกลุ่มคนนอก (กลุ่มคนอพยพที่มาจากตอนใต้ของจีน) และเมื่อเข้ามาแล้วก็ถูกมองว่ามาสร้างความปั่นป่วนและเป็นตัวการที่ทำให้ประวัติศาสตร์เขมรไม่กลับไปเป็นเหมือนเดิม

กัมพูชาถูกปลูกฝังให้มองไทยในลักษณะที่มองว่า ไทยเป็นกลุ่มคนที่ด้อยกว่าและเป็น "ขโมย" (Thief) ที่มาขโมยอารยธรรมและรู้สึกว่าไทยเห็นแก่ตัวตลอดเวลา ความรู้สึกเหล่านี้ทำให้เกิดความพยายามเรียกคืนสิ่งที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นของตนตลอดเวลา

ความรู้สึกดังกล่าวอาจเรียกได้ว่าเป็น ปม (complex) ทางประวัติศาสตร์ ซึ่งเกิดจากข้อเท็จจริงที่ว่า ตั้งแต่สิ้นสมัยพระนครเป็นต้นมา กัมพูชาต้องอยู่ตรงกลางระหว่างมหาอำนาจสองฝ่าย (ไทยบ้าง เวียดนามบ้าง) มาโดยตลอด และยังถูกปกครองโดยมหาอำนาจภายนอกอย่างฝรั่งเศสด้วย
ผู้สนทนาท่านหนึ่ง (ในมุมมองของไทย) ได้ชี้ให้เห็นว่า แม้ประเทศรอบข้างในภูมิภาคจะมีประวัติศาสตร์ที่บอบช้ำ แต่ประเทศไทยสามารถอยู่รอดได้อย่างร่มเย็นเป็นสุข ส่วนหนึ่งเป็นเพราะประเทศไทยอยู่ภายใต้สถาบันพระมหากษัตริย์

ในหลวง พระราชทานเงิน 100 ล้านบาท แก่ รพ.หาดใหญ่ เพื่อฟื้นฟูโรงพยาบาล ทรงพระเจริญ
29/11/2025

ในหลวง พระราชทานเงิน 100 ล้านบาท แก่ รพ.หาดใหญ่ เพื่อฟื้นฟูโรงพยาบาล

ทรงพระเจริญ

29/11/2025

ภูมิหลังความขัดแย้ง ไทย-กัมพูชา จากอานามสยามยุทธ สู่ยุคอาณานิคม
ความซับซ้อนของเพื่อนบ้านในอดีต
ก่อนการก่อตั้งเป็นประเทศอย่างชัดเจนในยุคปัจจุบันนี้ ภูมิภาคอาเซียนของเราอาจมีพื้นที่ที่ชนกลุ่มที่อาศัยอยู่ยังไม่ได้มีการแบ่งแยกเป็นประเทศอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นนั้น หนีไม่พ้นเรื่องราวระหว่างไทยกับกัมพูชา หรือ "เขมร" นั่นเอง
ในอดีตนั้น ละแวก (กัมพูชา) ถูกมองว่า "ดังหอกข้างแคร่" และการกระทำต่าง ๆ ของพวกเขามักเกิดจากการ "พันแข้งพันขา" ของเขาเอง

จากตำนานที่แทรกอยู่ในประวัติศาสตร์ของสงครามสมัยพระนเรศวรตีละแวก มีความเชื่อกันว่าพระนเรศวรได้นำสิ่งสำคัญของเขมรไป 2 สิ่ง คือ รูปพระโคและรูปพระแก้ว พระโคเป็นรูปวัว ซึ่งชาวเขมรเชื่อว่าในท้องของพระโคมีศิลปวิทยาการอยู่ เมื่ออยุธยาเอาสิ่งเหล่านี้ไป จึงมีความเชื่อว่าความเจริญของเขมรก็เลยดรอปลง

โดยภูมิศาสตร์แล้ว กัมพูชา (ซึ่งเคยอยู่ที่ละแวกและต่อมาย้ายไปเมืองอุดงค์) ตั้งอยู่ระหว่างกลางของสองมหาอำนาจ ปัญหาจึงอยู่ที่การเลือกข้างว่าจะเกาะข้างไหน บางครั้งกษัตริย์ก็เลือกข้างสยาม และบางครั้งกษัตริย์ก็เลือกข้างญวนหรือเวียดนาม บางครั้งถึงขั้นมีการใช้กำลัง ล้มล้าง หรือแม้แต่ปลงพระชนม์กษัตริย์กันเองก็มี

ความขัดแย้งครั้งสำคัญได้นำมาสู่การจัดการเรื่องนักองค์เอง ซึ่งเป็นเจ้าชายเขมร เจ้าฟ้ามหาแบนเป็นผู้พานักองค์เองมายังกรุงเทพฯ และเมื่อฝ่ายเจ้าฟ้ามหาแบนชนะการจัดการภายในหมู่ขุนนางแล้ว จึงอัญเชิญ นักองค์เอง กลับไปปกครองกัมพูชาในฐานะ ประเทศราช ของกรุงรัตนโกสินทร์ นี่จึงถือเป็นปฐมบทที่ไทยถูกมองว่าเป็นผู้สถาปนากษัตริย์เขมร

หลังจากนั้น ท่านแบน ซึ่งต่อมาได้รับบรรดาศักดิ์เป็นเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ ได้ขอแบ่งเอาเขมรส่วนใน ซึ่งได้แก่ เมืองพระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ มงคลบุรี ซึ่งเป็นกลุ่มที่ติดกับฝั่งไทย มาอยู่ใต้การปกครองของตน

ดังนั้น กัมพูชาจึงถูกแบ่งเป็น 2 ส่วน:
1. ส่วนที่เป็นประเทศราช (มีส่วนกลางอยู่ที่เมืองอุดงค์) อยู่ภายใต้อำนาจของสยาม โดยมีนักองค์เองเป็นผู้ปกครอง
2. ส่วนที่ขึ้นตรงกับกรมมหาดไทย (เขมรส่วนใน) ซึ่งจะถูกปกครองโดยตรงกว่า

ทั้งสองส่วนนี้อยู่ภายใต้การปกครองของสยาม แต่เป็นในรูปแบบ 2 ส่วน 2 ระบบ
ในช่วงเวลานี้ เจ้าฟ้าเจ้าในเขมรจะถูกส่งเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ และถูกปลูกฝังให้มีความเป็นสยาม

อย่างไรก็ตาม เมื่อมาถึงรัชกาลต่อมาคือ รัชกาลของ สมเด็จพระอุทัยราชา ท่านเกิดความขัดแย้งกับราชสำนักกรุงเทพฯ บางอย่าง จึงทำให้เกิดการ พลิกข้างไปเข้ากับเวียดนาม
ในเวลานั้น เวียดนาม (ซึ่งราชสำนักอยู่ที่เมืองเว้ ภายใต้พระเจ้ามินมาง) กำลังเริ่มแผ่อิทธิพลเข้ามาในเขมร การกระทำนี้สร้างความไม่พอใจในหมู่คนเขมร เพราะเขมรกับสยามถือว่ามีจริตเดียวกันและพอคุยกันได้ฃ

เมื่อราชสำนักเวียดนามเข้ามาแทรกแซง ไทยจึงตัดสินใจ "Take Action" ส่งกองทัพไปยันกับเวียดนามในเขมร ทำให้เกิดสงครามขนาดใหญ่ ยืดเยื้อยาวนาน ที่เรียกว่า อานามสยามยุทธ ในสมัยรัชกาลที่ 3

สงครามนี้มีความสำคัญมาก เพราะมันก่อให้เกิดผลลัพธ์หลายอย่างในบ้านเมืองไทย เช่น การขุดคลองแสนแสบ, การเคลื่อนย้ายประชากรมุสลิมคลองแสนแสบ, และการเคลื่อนย้ายประชากรลาวไปอยู่ปราจีนบุรี สระแก้ว การดำเนินนโยบายนี้ในกรุงเทพฯ ถูกนำโดย เจ้าพระยาบดินทร์เดชา (สิงห์ สิงหเสนี )

ในระหว่างสงคราม อานามสยามยุทธ ฝ่ายไทยกับเวียดนามต่างผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ แต่ราชสำนักที่อุดงค์ยังคงถูกควบคุมโดยฝ่ายเวียดนาม เวียดนามเพิ่มความเข้มข้นในการปกครองอย่างมาก ถึงขั้นเปลี่ยนชื่อขุนนาง เปลี่ยนตำแหน่ง และเปลี่ยนระบบการปกครองให้เป็นเวียดนาม
การกระทำเช่นนี้เหมือนเป็นการล้างวัฒนธรรม ทำให้กลุ่มคนเขมรยิ่งไม่พอใจ และเกิดความขัดแย้งภายในระหว่างฝ่ายที่โปรเวียดนามกับฝ่ายที่โปรสยาม

ในที่สุด ทั้งสองฝ่าย (ไทยและเวียดนาม) ก็เจรจาสงบศึกกัน ผลสรุปคือ ไทยยังมีสิทธิ์สถาปนากษัตริย์เขมรและได้รับเครื่องราชบรรณาการทุกปี ขณะเดียวกัน กัมพูชาก็ต้องส่งเครื่องราชบรรณาการให้เวียดนามด้วยเช่นกัน

กษัตริย์องค์ต่อมาคือ พระหริรักษ์รามาธิบดี (น้องชายขององจันทร์) ในช่วงปลายรัชสมัยของท่าน ได้มีตัวละครใหม่เข้ามาในภูมิภาค คือ ฝรั่งเศส

ฝรั่งเศสเข้ามายึดบริเวณโคชินไชน่า (ภาคใต้ของเวียดนาม) ได้ เป้าหมายสูงสุดของฝรั่งเศสคือ จีน และพวกเขาต้องการยึดแม่น้ำโขงเป็นเส้นทางหลัก เมื่อพวกเขาตั้งต้นจากไซง่อน (โฮจิมินห์) ขึ้นไปตามแม่น้ำโขง พวกเขาก็พบกับเขมร

ฝรั่งเศสได้นำเรือปืนไปที่เมืองอุดงค์ และบังคับให้ พระบาทสมเด็จนโรดม บรมราชาเทวาวงศ์ (นักองค์ราชาวดี) เซ็นสัญญาให้กัมพูชาเป็นรัฐในอารักขา กษัตริย์นโรดมได้แอบส่งจดหมายไปถึงรัชกาลที่ 4 ว่าที่เซ็นไปนั้นเพราะถูกเรือปืนบังคับ รัชกาลที่ 4 ไม่ยอมและทำสงครามเย็นกับฝรั่งเศส โดยยืนยันว่าเขมรเป็นเมืองขึ้นของไทยมานานกว่า 80 ปี

แต่เมื่อฝรั่งเศสไม่ยอมฟัง และการทะเลาะต่อจะนำมาซึ่งผลเสียมากกว่าผลดี รัชกาลที่ 4 จึงยอมปล่อย ถือเป็นจุดที่สยามได้ เสียเขมรส่วนนอก (ส่วนของอุดงค์) ไปในที่สุด ฝรั่งเศสเข้ามาเป็นผู้อารักขาและย้ายเมืองหลวงจากกรุงอุดงค์มาอยู่ พนมเปญ

แม้จะอยู่ภายใต้การอารักขาของฝรั่งเศส แต่พระนโรดมยังคงมีความนิยมสยาม พระบรมราชวังจตุมุขที่สร้างใหม่ที่พนมเปญ จึงใช้ สถาปัตยกรรมแบบไทย (ไม่ใช่แบบที่เราเห็นในปัจจุบัน แต่เป็นรูปแบบที่คล้ายแบบไทยมากในสมัยที่สร้างโดยพระนโรดม) ซึ่งถือเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าเขมรได้รับอิทธิพลจากเราจริง ๆ

ในสมัยฝรั่งเศส มีการก่อกบฏและการต่อต้านฝรั่งเศสโดยเจ้าพี่เจ้าน้องของพระนโรดม เช่น พระศรีวัฏถา ฝรั่งเศสเพ่งเล็งพระศรีวัฏถา และมองว่าท่านถูกสนับสนุนจากสยาม นี่คือ ปฐมเหตุส่วนหนึ่งของความไม่ไว้วางใจกันระหว่างเขมรกับไทยในยุคอาณานิคม เพราะฝรั่งเศสมองว่าสยามอาจทำให้ อำนาจของตนในกัมพูชาสั่นคลอน ได้

เมื่อสิ้นรัชกาลของพระนโรดม ฝรั่งเศสไม่เลือกพระโอรสของท่าน แต่ไปเลือก พระศรีสวัสดิ์ (พระศรีสุวัฒน์) น้องชายของพระนโรดมที่มีทัศนคตินิยมฝรั่งเศส ให้ขึ้นครองราชย์ ช่วงนี้ตรงกับรัชกาลที่ 5 ของสยาม ในยุคนี้ ฝรั่งเศสได้ผนวกเขมรส่วนใน (พระตะบอง, เสียมราฐ, ศรีโสภณ ซึ่งมีนครวัดตั้งอยู่) เข้าไปด้วย

นโยบายในยุคอาณานิคมได้นำไปสู่การเรียบเรียงประวัติศาสตร์ใหม่ คือ การตัดไทยออกจากสมการ โดยวางตำแหน่งของไทยว่าเป็น ผู้รุกราน นี่ถือเป็นกลไกของการสร้างอิทธิพลเพื่อตัดขาดในเรื่องของการเมืองการปกครองภายใต้ราชอาณาจักรสยามในยุคนั้น.

28/11/2025

ประเทศที่ไม่เคยจริงใจกับใคร แม้แต่คนในประเทศตัวเอง

เสาร์ที่ 29 และ อาทิตย์ที่ 30 พย. นี้ ทาง Topnews 77

26/11/2025

ประเทศที่ไม่เคยมีความจริงใจให้กับใคร แม้แต่คนในประเทศของตัวเอง
ประเทศที่พาตัวเองไปสู่ความเสื่อม
ประเทศที่พูดอย่าง ทำอย่าง
ประเทศที่ไม่เหมือนประเทศ แต่เหมือนอาณาจักรแห่งอบายมุข
ประเทศแห่งการเคลม....

แต่ดันมาอยู่ข้างๆบ้านเรา

พบกับ อาร์ต อรรทิตย์ฌาน ชวิศร์ ชูประทุม และ อ.เดชดนัย
มาพูดคุยเพื่อรู้จักกับนิสัยเพื่อนข้างบ้านของเราให้แจ่มแจ้ง

ในรายการ ฤๅคัฟเวอรี่ วันเสาร์ที่ 29 และ อาทิตย์ที่ 30 พย.นี้
เวลา 09:40-10:00 น.ทาง Topnews 77

#อาร์ตอรรทิตย์ฌาน #ฟ้าคราม #เดชดนัย #ฤๅคัฟเวอรี่

ผู้รู้ให้ความเห็นตรงกันว่า : "เมื่อชีวิตตกอยู่ใน อันตราย ศาสนาอนุญาตให้ทำสิ่งต้องห้ามเท่าที่จำเป็นเพื่อปกป้องชีวิต"ขออัล...
26/11/2025

ผู้รู้ให้ความเห็นตรงกันว่า :

"เมื่อชีวิตตกอยู่ใน อันตราย ศาสนาอนุญาตให้ทำสิ่งต้องห้ามเท่าที่จำเป็นเพื่อปกป้องชีวิต"

ขออัลลอฮ ทรงปกป้องพี่น้องทุกคนให้ปลอดภัยและ ผ่านพ้นบททดสอบครั้งนี้ด้วยความเข้มแข็งและเมตตาของพระองค์

อิสลาม อนุญาตให้กินหมูได้
หากเกิดอันตรายจากความหิวโหย
อิสลามไม่อนุญาตให้กินหมู ยกเว้นในกรณีจำเป็นจริง ๆ
กรณีที่อิสลามอนุญาตให้กินหมูได้ คือ เมื่อชีวิตกำลังตกอยู่ในอันตราย และ ไม่มีอาหารฮาลาลอย่างอื่นเหลือให้กินเลย
เช่น หลงป่า หิวจนถึงขั้นชีวิตตกอยู่ในความเสี่ยง หรือเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน เช่น น้ำท่วม, อุบัติเหตุ, ภัยพิบัติ ไม่มีอาหารอื่นให้กินจริง ๆ
หากไม่กิน จะทำให้ตายหรือเจ็บหนักทันทีในสถานการณ์แบบนี้ อิสลามอนุญาตให้ “กินเท่าที่พอให้รอดชีวิตเท่านั้น” ไม่ใช่กินเพราะอยากกิน หรือกินจนเกินความจำเป็น
อัลกุรอาน :

“อัลลอฮฺไม่ทรงให้ภาระแก่ผู้ใดเกินกำลังของเขา” (2:286)

“พระองค์ประสงค์ความง่ายแก่พวกเจ้า ไม่ประสงค์ความลำบากแก่พวกเจ้า” (2:185)

“ผู้ใดถูกบังคับโดยความจำเป็น ไม่ได้ตั้งใจจะฝ่าฝืน และไม่กินเกินจำเป็น ก็ไม่มีบาปแก่เขา”
(อัลบะเกาะเราะฮ์ 2:173)
กรณีต่อไปนี้ ‘ไม่ถือว่าจำเป็น’ ❌

• กินเพราะหิวแต่ยังมีอาหารอย่างอื่น
• กินเพราะอยากลอง
• กินเพราะสะดวกกว่า
• กินเพราะอยู่กับเพื่อนแล้วเกรงใจ
• กอนเพราะอยากกินเฉย ๆ

ทั้งหมดนี้ ไม่ใช่ความจำเป็น และยังคงห้ามเหมือนเดิม การกินหมูอนุญาตเฉพาะยามชีวิตตกอยู่ในอันตราย และไม่มีอาหารฮะลาลเหลือเลย ทั้งหมดนี้เพื่อรักษาชีวิต ไม่ใช่เพื่อความอยากหรือความสะดวก และต้องกินแค่พอรอดเท่านั้น
อิสลามไม่ใช่ศาสนาที่บังคับจนมนุษย์ต้องลำบากหรือถึงขั้นเอาชีวิตเป็นเดิมพัน
เพราะฉะนั้น ในยามวิกฤต เช่น น้ำท่วม ขาดแคลน ไม่สามารถเข้าถึงอาหารฮาลาลหรือความปลอดภัย
อิสลามจึงมี ข้อยกเว้น เพื่อให้มนุษย์ รักษาชีวิตก่อน
แม้สิ่งนั้นโดยปกติจะเป็นของต้องห้าม
ผู้รู้ให้ความเห็นตรงกันว่า : “เมื่อชีวิตตกอยู่ในอันตราย ศาสนาอนุญาตให้ทำสิ่งต้องห้ามเท่าที่จำเป็น เพื่อปกป้องชีวิต”
ขออัลลอฮฺทรงปกป้องพี่น้องทุกคนให้ปลอดภัยและผ่านพ้นบททดสอบครั้งนี้ด้วยความเข้มแข็งและเมตตาของพระองค์ 🤲🏼

ช่องทางบริจาค โรงพยาบาลรัฐ ใน จ.สงขลา #โรงพยาบาลหาดใหญ่ชื่อบัญชี “มูลนิธิโรงพยาบาลหาดใหญ่”ธนาคารกรุงไทย สาขา รพ.หาดใหญ่เ...
25/11/2025

ช่องทางบริจาค โรงพยาบาลรัฐ ใน จ.สงขลา

#โรงพยาบาลหาดใหญ่
ชื่อบัญชี “มูลนิธิโรงพยาบาลหาดใหญ่”
ธนาคารกรุงไทย สาขา รพ.หาดใหญ่
เลขที่บัญชี 936-0-08501-4
บัญชี ธนาคารกรุงเทพ สาขารักการ
เลขที่บัญชี 593-7-06506-7

#โรงพยาบาลสงขลา
ธนาคารกรุงไทย
เลขที่บัญชี 989-8-49173-6
ชื่อบัญชี “บัญชีเงินบริจาคของโรงพยาบาลสงขลา”

#โรงพยาบาลสงขลานครินทร์
ชื่อบัญชี “มูลนิธิโรงพยาบาลสงขลานครินทร์”
ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
เลขที่บัญชี 565-2-09777-0
ธนาคารกรุงเทพ สาขา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
เลขที่บัญชี 641-0-15655-5

#โรงพยาบาลกระแสสินธุ์
บัญชีธนาคารกรุงไทย สาขาสทิงพระ
ชื่อบัญชี เงินบริจาคของ (โรงพยาบาลกระแสสินธุ์)
เลขที่บัญชี 923-0-41546-4

#โรงพยาบาลควนเนียง
ธนาคารออมสิน
ชื่อบัญชี “เงินบริจาคโรงพยาบาลควนเนียง”
เลขที่บัญชี 020004390421

#โรงพยาบาลจะนะ
ธนาคารออมสิน
เลขที่บัญชี 020105189292
ชื่อบัญชี “มูลนิธิโรงพยาบาลจะนะ”
ธนาคารกรุงไทย
เลขที่บัญชี 6781748750
ชื่อบัญชี “เงินบริจาคโรงพยาบาลจะนะ”

#โรงพยาบาลเทพา
ธนาคารกรุงไทย
เลขที่บัญชี 928-0-68637-2
ชื่อบัญชี: “บัญชีเงินบริจาคของโรงพยาบาลเทพา”

#โรงพยาบาลนาหม่อม
ธนาคารกรุงไทย บัญชีออมทรัพย์ สาขา ปุณณกัณฑ์ (ม.อ. หาดใหญ่)
ชื่อบัญชี “เงินบริจาคโรงพยาบาลนาหม่อม”
เลขที่บัญชี 879-0-31360-7

#โรงพยาบาลบางกล่ำ
ธนาคารกรุงไทย สาขาหาดใหญ่
เลขที่บัญชี 902-0-69775-7
ชื่อบัญชี: “เงินบริจาคโรงพยาบาลบางกล่ำ”

#โรงพยาบาลรัตภูมิ
ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
เลขบัญชี 020-1-34465-195
ชื่อบัญชี “เงินบริจาคโรงพยาบาลรัตภูมิ”

#โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชินีนาถ
ธนาคารกรุงไทย
เลขที่บัญชี 928 0 295691
ชื่อบัญชี “เงินบริจาค รพ.สมเด็จฯนาทวี”

#โรงพยาบาลสะเดา
ธนาคารกรุงไทย สาขาสะเดา
เลขบัญชี 369-0-61260-8
ชื่อบัญชี “บัญชีเงินบริจาคของโรงพยาบาลสะเดา”

#โรงพยาบาลสะบ้าย้อย
ธนาคารกรุงไทย
เลขที่บัญชี 928-0-92859-7
ชื่อบัญชี: เงินบริจาค ร.พ.สะบ้าย้อย

ข้อมูลเพิ่มเติม
https://donationthailand.net/e-donation-hospital-thailand/qr-code-e-donation-hospital-songkhla/

📢 แพลตฟอร์มขอความช่วยเหลือ “สถานการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่ 2568 ” เปิดให้ใช้งานแล้ว💧 แพลตฟอร์มสำหรับแจ้งขอความช่วยเหลือ➡️ https...
25/11/2025

📢 แพลตฟอร์มขอความช่วยเหลือ “สถานการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่ 2568 ” เปิดให้ใช้งานแล้ว

💧 แพลตฟอร์มสำหรับแจ้งขอความช่วยเหลือ
➡️ https://kaitodhatyaii.vercel.app/
ประชาชนสามารถส่งข้อมูลคำร้อง เช่น
• ขออพยพ
• ขออาหาร น้ำดื่ม
• ขอการช่วยเหลือผู้ป่วย ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก
• แจ้งเหตุเร่งด่วนในพื้นที่
• แจ้งพิกัดตนเอง เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าช่วยเหลือ

ทั้งนี้จะมีเจ้าหน้าที่ส่วนกลางในจังหวัดสงขลา เข้ามารับเรื่องและประสานให้ความช่วยเหลือต่อทันที

จัดทำโดย นิสิตวิทยาการคอมพิวเตอร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คุณ Patcharakiri Shichat และ คุณจักร์กริช วัฒนวีร์ ที่ร่วมพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อช่วยเหลือพี่น้องชาวหาดใหญ่ในภาวะน้ำท่วมครั้งนี้

ขอขอบคุณทุกพลังที่ร่วมกันช่วยเหลือชาวหาดใหญ่ในเวลายากลำบากนี้ ❤️🙏

เราจะผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน

#น้ำท่วมหาดใหญ่ #ช่วยเหลือด่วน #จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย #ช่วยเหลือน้ำท่วมหาดใหญ่ #ขอความช่วยเหลือ
https://www.facebook.com/share/1DgdBgfggL/

ที่อยู่

Amphoe Muang Phrae

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ฤๅ - Lue Historyผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง ฤๅ - Lue History:

แชร์