ฤๅ - Lue History

ฤๅ - Lue History Talk 'True' History

16/07/2025

"คือเขาได้ความจริง เท่าที่เราจะค้นพบนะ
เพราะว่าในหนังสือเล่มนี้เนี่ย สิ่งที่เขียนลงไปอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เห็นด้วย
ของ 14 ตุลาฯ เนี่ย เนื้อหาหลักมันจะมาจากคนที่อยู่บนท้องถนนจริง ๆ
วันที่ 14 ตุลาฯ ที่เขาวิ่งหลบกระสุน ที่เขานู่นนี่จริง ๆ
ความคิด ความรู้สึก สิ่งที่เขาพบจริง ๆ
แล้วเราเอาสิ่งนั้นน่ะมาร้อยต่อกัน ผสมกับเอกสาร เหมือนกับเราเป็นคนต่อจิ๊กซอว์
แต่ละคนที่อยู่ในเหตุการณ์เขาเป็นเหมือนกับจิ๊กซอว์ตัวนึง
เขาก็จะรู้ของเขา เพราะฉะนั้นเราจะได้ตัวแฟกต์ที่มันเป็นจิ๊กซอว์ตัวนึง
ที่เป็นแฟกต์จริง ๆ ไม่ใช่ความเห็น
เราเอาภาพพวกนั้นน่ะมาต่อกัน พอเราเอามาต่อกันมันได้ภาพใหม่

มันมี 2 กรงล้อ คุณจะเห็นกรงล้อของอดีตที่มันหมุนทับ ๆ ๆ มาจนถึง 14 ตุลาฯ
แล้วก็กรงล้อที่มันหมุนทับ ๆ มาจนปัจจุบัน
ขณะเดียวกันอีกกรงล้อหนึ่งก็คือ 6 ตุลาฯ มันก็เคยหมุนทับ ๆ อย่างนี้

คือที่เขียนน่ะนะ ที่ศึกษาเนี่ย ไม่ได้ต้องการที่จะลบล้างข้อสงสัยหรือความคิดไม่ดีเกี่ยวกับสถาบัน
แต่ว่าโดยตัวของมันเองที่เราไปศึกษามาเนี่ย ตอบทุกคำถามตามหลักฐานของมัน

หนังสือเล่มนี้มันจะมีอยู่อย่างนึงนะว่า คุณจะเห็นภาพของสังคมของประเทศไทย
แล้วก็อาจจะเป็นสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ นอกประเทศเราเนี่ย ณ ช่วงเวลานั้นจริง ๆ ในลักษณะที่มันเป็นองค์รวม
ณ เวลานั้นพระมหากษัตริย์ทำอะไร
ภาครัฐมีนโยบายยังไง เขาทำอะไร มีปัญหาอะไร
ประชาชนกำลังเป็นยังไง ต้องการอะไร มีอะไรเคลื่อนไหว
คือมันเป็นองค์รวมที่มันไม่แยกไปฝั่งใดฝั่งหนึ่ง
ไม่ว่าคุณจะเดินอยู่บนไทม์ไลน์ของประวัติศาสตร์ในเส้นเวลาไหนก็ตาม

ถึงจะไปอนาคตก็เหอะ มันไม่พ้นเหตุปัจจัยตัวนี้
นักการเมือง ประชาชน นักเรียน นิสิต นักศึกษา ชาวนา ชาวไร่ พระมหากษัตริย์ ทหาร
องคาพยพของประเทศเหล่านี้เนี่ย มันเดินไปตลอดเส้นเวลานั้นน่ะ
แต่ว่าเราไม่เคยได้เรียนรู้ทั้งหมดของเขาที่มารวมกันอยู่ในอันเดียว
เพราะมันแยกกันตลอด เราก็เลยไม่เคยเห็นภาพจริง ๆ ของสังคมสักทีว่าจริง ๆ สังคมไทยเราอ่ะมันเป็นยังไง

หรือว่าคำว่าประชาธิปไตย ณ ห้วงเวลานั้นเนี่ย เขาคิดถึงอะไร
รัฐธรรมนูญคืออะไร

ประเทศเราเนี่ยเป็นระบอบประชาธิปไตยหรือว่าระบอบอะไรกันแน่

คือเคยไปเห็นคลิปมานะ เขาตัดต่อเป็นเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ แต่เขาเอาภาพ 14 ตุลาฯ มาใส่ถึงขนาดว่าแบกศพออกมาจากพระราชวังสวนจิตรก็มี ตัดต่อกันขนาดนั้นน่ะ
คือมันบิดเบือน มันบิด มันเบี้ยวไปเรื่อย ๆ ไง

แม้แต่เรื่องของกรณีว่าผู้หญิงที่เขาถูกหาว่าถูกข่มขืนน่ะ พี่ก็ไปเจอคนที่เขาอยู่ในเหตุการณ์
เขาก็บอกว่ามันไม่มีตรงนั้น แต่ว่าเขาถูกทำทารุณกรรมจริง
คือถ้าผู้หญิงคนนั้นเขาไม่ได้ถูกข่มขืน กับการที่เขาถูกทารุณกรรม 2 สถานะนี้ต่างกันนะ
คุณนึกออกไหม อันเนี้ยมันทารุณกรรมใช่ เรายอมรับ แต่เขาไม่ได้ถูกข่มขืน

คุณไม่ต้องไปยัดความโหดเหี้ยมทารุณเข้าไปให้อีก
คุณไม่เคารพกับศพ
คุณไม่เคารพกับความตายของเขาถึงได้ทำอย่างนั้น
แล้วพี่ก็มานั่งพิจารณาว่าในสถานการณ์แบบนั้นน่ะเห็นด้วยว่าการข่มขืนไม่น่าจะเกิดขึ้น
หรือแม้แต่ศพที่แบบว่าถูกแขวนคอแล้วก็ถูกเก้าอี้ฟาดอะไร
เราไม่ได้บอกว่าอุ๊ยจะต้องปกปิดแล้วจะไปพูดถึงมัน....ไม่ใช่
แต่คุณพูดถึงพูดถึงพวกเข้าแบบไหนล่ะ
พูดถึงพวกเขาแบบที่ดาวสยามเคยทำ ยานเกราะเคยทำ
หรือว่าพูดถึงเขาในฐานะที่เป็นบทเรียนประวัติศาสตร์
ให้ความตายของเขาอ่ะสามารถปกป้องคนรุ่นหลังไม่ให้ต้องเจอแบบเขา

หรือว่าคุณกำลังเอาความตายของเขาเนี่ยมาสร้างความตายใหม่ ๆ ในยุคใน พ.ศ. นี้

ปัณฑา พล
ผู้เขียนหนังสือเล่มที่ 2-3 ในชุด จะแน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด
" ลำดับที่ 2 ความจริงที่ไม่มีใครพูด : 14 ตุลา 16 และ ลำดับที่ 3 ความจริงที่ไม่มึใครพูด : 6 ตุลา 19 "

จะเปิดพรีออเดอร์เร็วๆ นี้

#14ตุลา16 #6ตุลา19 #ความจริงที่ไม่มีใครพูด #จะแน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด #มูลนิธิสยามรีกอเดอ #คนเดือนตุลา

ความจริง เป็นสิ่งไม่ตาย แต่หากไม่ถูกนำมาพูดถึง ความจริงก็จะค่อยๆจางหายไปตามกาลเวลา ประเทศเราผ่านวิกฤตเหตุการณ์มากมายตลอด...
15/07/2025

ความจริง เป็นสิ่งไม่ตาย
แต่หากไม่ถูกนำมาพูดถึง ความจริงก็จะค่อยๆจางหายไปตามกาลเวลา

ประเทศเราผ่านวิกฤตเหตุการณ์มากมายตลอดช่วงเวลานับร้อยปีที่ผ่านมา
หลายเหตุกาาณ์มีสัดส่วนข้อเท็จจริงมากกว่าข้อมูลเท็จ
และในขณะเดียวกัน หลาย ๆ เหตุการณ์กลับถูกท่วมด้วยข้อมูลเท็จมากกว่าข้อเท็จจริง

นั่นเพราะ ข้อเท็จจริงไม่ตอบ “โจทย์” ของเจตนาซ่อนเร้นของผู้ไม่หวังดีต่อชาติบ้านเมือง
ข่าวลวงและข้อมูลเท็จจึงถูกหยิบยกมาไฮไลท์และฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่า

นั่นเพราะ การ “โกหกซ้ำ ๆ บ่อยพอ สุดท้ายผู้คนก็จะเชื่อว่าเป็นความจริง”
(“Repeat a lie often enough and it becomes the truth.”)

เตรียมพบกับผลงานหนังสือเล่มใหม่ของเราที่จะมาตีแผ่ข้อเท็จจริง ของเหตุการณ์ 14 ตุลา 16 และ 6 ตุลา 19 ที่

บางคนพาเพื่อนไปตาย
บางคนหนีหายจากความรับผิดชอบ
บางคนกล่าวโทษผู้อื่นราวกับตัวเองเป็นเหยื่อ

ร่วมกันกำจัดอาชญากรทางวิชาการด้วยการอ่านความจริงของหนึ่งในเหตุการณ์ที่เต็มไปด้วย fake truth ที่พร้อมเปิดพรีออเดอร์ เร็วๆนี้

#14ตุลา16 #6ตุลา2519 #จะแน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด #กำจัดอาชญากรวิชาการ

กรมดำรงราชานุภาพ กระทรวงมหาดไทย และการพัฒนาแผ่นดิน ในชั่วขณะที่สยามต้องเผชิญกับภัยอาณานิคมแม้จะด้วยบุญของประเทศที่สยามได...
15/07/2025

กรมดำรงราชานุภาพ กระทรวงมหาดไทย และการพัฒนาแผ่นดิน

ในชั่วขณะที่สยามต้องเผชิญกับภัยอาณานิคมแม้จะด้วยบุญของประเทศที่สยามได้มีผู้นำอย่างพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและกลุ่ม “สยามหนุ่ม” ซึ่งเป็นเครือข่ายของเหล่าผู้ที่เห็นด้วยกับแนวทางการปฏิรูปประเทศของพระองค์และพร้อมที่จะทุ่มทั้งแรงกายแรงใจในการขับเคลื่อนการพลิกแผ่นดินและต่อต้านภัยที่มอเคยพบมาก่อน แต่ทั้งพระองค์และกลุ่ม “สยามหนุ่ม” กลับขาดอาวุธในมือไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรที่จำเป็นและเข็มทิศแนวทางที่จะเคลื่อนไปข้างหน้า

แต่ข้อจำกัดเหล่านี้หาได้หยุดยั้งความพยายามไม่ เพราะด้วยสำนึกต่อหน้าที่ที่เปลี่ยนไปอย่างเข้มข้น[1] ทำให้กลุ่ม “สยามหนุ่ม” อันมีพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นผู้นำนี้ได้ขับเคลื่อนต่อไปพร้อมๆ กับการค้นหาแนวทางในการปฏิรูปผ่านการเสด็จประพาสยังที่ต่างๆ ไม่ว่าจะในประเทศหรือนอกประเทศ[2] การพบเห็นถึงเทคโนโลยีและองค์ความรู้ต่างๆ ที่พัฒนาขึ้นทำให้กลุ่มของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวอันเป็นผู้ปกครองใหม่ของสยามนั้นได้เห็นถึงแนวทางของการพลิกแผ่นดินสยามแบบใหม่ที่ตามมาด้วย ดังพระราชดำริของพระองค์ว่า

“คนทั้งแผ่นดินตั้งตาคอยดูคอยฟังอยู่ทั้งนั้น ทั้งการที่ได้จัดทำไปแล้วนี้ ก็เพราะมีความประสงค์จะจัดกำลังของบ้านเมืองให้แข็งแรงกวดขันขึ้น ทั้งจะเปลี่ยนแปลงการทั้งปวงให้เจริญขึ้นสมกาลสมสมัยด้วย... จะได้คิดจัดการแบบอย่างราชการเสียใหม่ ให้เป็นพระเพณีและลงระเบียบเรียบร้อยต่อไป”[3]

ดังนั้นพระองค์จึงมีพระราชหัตถเลขาต่อการพลิกแผ่นดินถึงกรมพระยาดำรงราชานุภาพอย่างมีพลังว่า “ต้องอาศัยความปกครอง ให้ราษฎรได้ทำมาหากินโดยสะดวก ได้รับผลประโยชน์อันเกิดขึ้นจากแผ่นดิน ซึ่งจะได้มาเสียภาษีอากรจึงจะเป็นกำลังบ้านเมืองได้”[4]

นี่เองจึงเป็นจุดเริ่มต้นของแรงผลักดันอันสำคัญในการปฏิบัติการสร้างความก้าวหน้าให้แก่บ้านเมืองสยามของพระมหากษัตริย์และกลุ่มขุนนางยุคใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตั้งกระทรวงทั้ง 12 ขึ้นเพื่อเป็นองค์กรใหม่ในการบริหารราชการและการรับมือกับภัยคุกคามไม่ว่าจะจากภายในหรือภายนอกเพื่อให้เกิดบูรณภาพใหม่แก่สยาม[5]

หนึ่งใน 12 กระทรวงทีมีการจัดตั้งขึ้นใหม่นั้นคือกระทรวงมหาดไทย ซึ่งในช่วงแรกนั้นยังมการแบ่งการปกครองตามพื้นที่อยู่ แต่ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงมีพระบรมราชโองการห้แยกอำนาจการปกครองตามหัวเมืองที่ไปอยู่กับกระทรวงกลาโหมละกระทรวงต่างประเทศให้มาอยู่ที่กระทรวงมหาดไทยที่เดียวโยมีเป้าหมายสำคัญที่ว่ารัฐบาลกลางจะไม่ให้มีการบังคับบัญชาหัวเมืองกระจายไปตามกระทรวง และไม่ให้เจ้าเมืองมีอธิปไตยแยกย่อยออกไปซึ่งเป็นปัญหาต่อการบริหารประเทศ

ในภารกิจการกำกับดูแลพื้นที่อันกว้างขวางนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มอบหมายให้กรมพระยาดำรงราชานุภาพเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยคนแรก และจะเป็นคนสำคัญที่วางรากฐานของมหาดไทยและประเทศด้วย

หลังจากที่กรมพระยาดำรงราชานึภาพได้ทรงเข้ามาดำรงตำแหน่ง พระองค์ได้วางรากฐานการบริหารงานภยกระทรวงโดยบ่งออกเป็น 3 กรม คือ กรมมหาดไทยกลาง ทำหน้าที่จัดการงานทั่ไป กรมมหาดไทยฝ่ายเหนือ มีหน้าที่ปราบปรามอาชญากรรม และกรมพลัมภังมีหน้าที่ปกครองท้องที่ ภายใต้การกำกับดูแลของพระองค์นั้นกระทรวงมหาดไทยได้ขยายภาระงานไปยังด้านที่กระทรวงอื่นๆ ยังไม่สามารถทำได้ด้วย คือ งานด้านที่ดิน งานราชทัณฑ์ งานโทรเลข งานด้านอัยการ งานด้านป่าไม้ งานด้านเหมืองแร่ ฯลฯ ดังปรากฏในรับสั่งของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า

“กระทรวงเสนาบดีอื่นๆ กำลังจัดระเบียบราชการกระทรงในกรุงเทพฯ ยังไม่สามารถจะจัดการแผนกกระทรวงนั้นๆ ออกไปถึงหัวเมืองได้ แต่เห็นว่าไม่ควรรอการทะนุบำรุงหัวเมืองไว้ จนกว่ากระทรวงการแผนกนั้นๆ ออกไปจัดการได้เอง การใดควรทะนุบำรุงอย่างใดซึ่งควรจะจัดตามหัวเมืองได้ให้กระทรวงมหาดไทยจัดการตามนั้นไปทีเดียว”

เมื่อภารกิจกว้างไกลเช่นนี้ทำให้กระทรวงมหาดไทยต้องการเพิ่มคนอีกจำนวนมาก ด้วยความต้องการที่มากขึ้นนี้เองจึงนำไปสู่การเปิดพื้นที่ให้ทั้งเจ้านายและสามัญชนให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการเป็นมหาดไทยนี้ ดังนั้นโรงเยนฝึกสอนข้าราชการและทุนต่างๆ จึงถือกำเนิดขึ้นเพื่อฝึกสอนและดึงคนให้กลายเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาในฐานะข้าราชกรอาชีพ แม้ว่าข้าราชการปกครองส่วนใหญ่จะเป็นระดับเจ้านายหรือผู้ปกครองจากท้องถิ่นเพราะมีความคุ้นเคยและมีความรู้อยู่ก็ตาม โดยกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทำให้การเป็นข้าราชการตั้งอยู่บนฐานคิดแบบใหม่แทนการกินเมืองเช่นเดิมมาเป็นเกียรติยศที่ผูกพันอยู่กับความเจริญและพระมหากษัตริย์

กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงมีอิทธิพลต่อวิธีการปกครองของกระทรวงมหาดไทยรวมไปถึงวิธีการคัดเลือกและฝึกหัดที่ปัจจุบันบางส่วนยังคงมีการใช้เป็นแนวทางอยู่ ความสำเร็จนี้ก็เนื่องจากว่าพระองค์เป็นเสนาบดีที่ยาวนานมากว่าเสนาบดีหรือรัฐมนตรีใดๆ รวมไปถึงได้รับพระราชทานอำนาจอย่างเด็ดขาดจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในการก่อร่างสร้างกระทรวงขึ้น และถ้าหากมีประเด็นใดที่ต้องชี้ขาด พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็มักจะคล้อยตามกรมพระยาดำรงราชานุภาพ

กรมพระยาดำรงราชานุภาพนั้นแม้จะไมได้ทรงจบการศึกษาจากต่างประเทศ แต่พระองค์ได้ศึกษาโลกกว้างและภาษาต่างชาติจากเอกสารต่างๆ รวมไปถึงการติดต่อกับเจ้าหน้าที่ของชาติตะวันตกโดยตรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรับตำแน่งเป็นอธิบดีรมแผนที่ที่ให้พระองค์มีความรอบรู้เกี่ยวกับภูมิประเทศขึ้นอีกมาก กระทรวงมหาดไทยที่ทำหน้าที่ในการผลิกแผ่นดินอย่างสำคัญกระทรวงหนึ่งนั้นจึงเกิดจากการเข้าไปเรียนรู้ด้วยตนเองของพระองค์ และการเข้าไปยังพื้นที่ที่ไม่เคยไปมาก่อนและการประสานงานกับผู้ใหญ่ของท้องถิ่นเดิมๆ กระทรวงมหาดไทยจึงมีความยืดหยุ่นมากกว่ายึดระเบียบอย่างเคร่งครัด คุณลักษณะของข้าราชการมหาดไทยที่พระองค์วางไว้ถูกเรียกว่า “ลูกไม้มหาดไทย” ที่เน้นการทำงานภายใต้ข้อจำกัดและการปรับตัวที่น่าทึ่ง

สำหรับกระบวนารฝึกหัดข้าราชการในการบริหารท้องที่พระองค์เน้นใช้กำลังสนับสนุนจากคนในท้องถิ่นมากกว่าการใช้งบประมาณจากส่วนกลาง พร้อมๆ ไปกับการที่ส่วนกลางจะต้องเข้าใจและมองเห็นพื้นที่ที่ไกลออกไปจากกรุงเทพฯ ได้ด้วย ดังนั้นจึงมีทั้งการจดเอกสารอย่างละเอียดและเป็นระบบ รวมไปถึงการลงตรวจตราพื้นที่ด้วยตัวอที่กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงทำเป็นต้นแบบ[6] โดยพระองค์ออกกฎให้ผู้ว่าราชการเมืองออกตรวจราชการไม่น้อยกว่าสามวันต่อหนึ่งเดือนและต้องส่งรายงานให้แก่ข้าหลวงเทศาภิบาลทุกเดือน โดยพระองค์ทรงกล่าวว่า

“ให้หมั่นเอาใจใส่ตรวจตราการงานในน่าที่ๆ ตัวรับผิดชอบให้ทั่วถึง อย่าสำคัญแต่ว่ามีอะไรนั่งทำอย่ในออฟฟิศเต็มเวลาแล้วเปนได้ทำราชการเต็มน่าที่”

อย่างไรก็ดีการฝึกหักข้าราชการในโงเรียนนั้นไม่ทันการหน้าที่การงานของกระทรวงที่เพิ่มไปไกลจึงต้อใช้วิธีทางลัดด้วยการส่งไปเป็นผู้ช่วยเวียนตามแผนกต่างๆ และให้ผู้บังคับบัญชาคอยสั่งสอนซึ่งพบว่าฝึกได้รวดเร็วกว่าและมีความชำนาญตามท้องที่นั้นๆ ด้วย

การปรับปรุงกระทรวงมหาดไทยใต้การกำกับของกรมพระยาดำรงราชานุภาพนั้นก็ด้วยเป้าหมายใหม่ที่เกิดขึ้น ดังที่พระองค์กล่าวว่า

“ข้าพเจ้าคิดเห็นว่าความมุ่งหมายของการปกครองทั้งอย่างใหม่และเก่าก็อยู่ในจะให้ ‘บ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุข’ ด้วยกัน แต่เข้าใจคำอธิบายคำ ‘อยู่เย็นเป็นสุข’ นั้นผิดกัน อย่างเก่าถือว่า ‘ถ้าบ้านเมืองปราศจากภัยต่างๆ’ เช่นโจรผู้รายเป็นต้น ‘ก็เป็นสุข’... ความคิดที่ว่าจะให้บ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุข ต้องจัดการทำนุบำรุงในเวลาบ้านเมืองเป็นปกติเป็นคติที่เกิดขึ้นใหม่ ดูเหมือนจะเริ่มขึ้นแต่รัชกาลที่ 4 และมาถือเป็นข้อสำคัญในรัฏฐาภิปาลโนบายต่อรัชกาลที่ 5 สืบมา”

การทำนุบำรุงนี้ที่กินความไปกว้างไกลกว่าการปราบปรามโจรผู้ร้ายหรือภัยตามที่เผชิญดังที่เคยเป็นมา ทำให้สยามพัฒนาได้สำเร็จ และสามารถรวมแผ่นดินเป็นหนึ่งได้อย่างแท้จริง ด้วยเหตุนี้เองกระทรวงมหาดไทยจึงมีบทบาทอย่างสำคัญต่อการอยู่รอดของสยามรวมไปถึงการเอาชนะใจคนในท้องถิ่นที่ไม่คุ้นเคยกับสิ่งใหม่ไปพร้อมๆ กับการสร้างความผูกพันร่วมกันในฐานะคนไทยในที่สุด

#กรมพระยาดำรงราชานุภาพ

[1] โปรดดู อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์, การเปลี่ยนแปลงโลกทัศน์ของชนชั้นผู้นำไทย ตั้งแต่รัชกาลที่ 4 - พ.ศ. 2475, พิมพ์ครั้งที่ 4 (กรุงเทพฯ: สมมติ, 2565).

[2] ปิยนาถ บุนนาค, “พระมหากษัตริย์ ข้าราชการและประชาชน: มุมมองผ่านการเสด็จประพาสต้นคราวแรกของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว,” วารสารไทยศึกษา ปีที่ 9 ฉบับที่ 1 (2556), 1-40 และกานต์ธิดา ทวีคูณ, “นโยบายต่างประเทศในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) หลังวิกฤตการณ์ ร.ศ. 112,” (สารนิพนธ์รัฐศาสตรมหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2566).

[3] ภูวดล ศรีวิไล, “การสร้างข้าราชการนักปกครองในสมัยสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย พ.ศ. 2435-2458,” วารสารมนุษย์กับสังคม คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ปีที่ 7 ฉบับที่ 1 (2564), 55. บทความนี้จะใช้ข้อมูลจากเอกสารนี้เป็นหลัก

[4] เพิ่งอ้าง.

[5] อ่านเพิ่มเติมใน David B. J. Adams, “Monarchy and Political Change: Thailand Under Chulalongkorn (1868-1885),” (PhD dissertation, Department of Political Science, University of Chicago, 1977).

[6] ดูตัวอย่างใน กรมศิลปากร, เอกสารเสด็จตรวจราชการเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ร.ศ.119 - 131 (พ.ศ.2443 - 2455) (กรุงเทพ: กลุ่มประวัติศาสตร์ สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร, 2564).

วันนี้ วันเกิดจอมพล ป. พิบูลสงครามเรามารู้จักจอมพล ป. กันให้มากขึ้นผ่านสารคดี #พิบูลสวัสดิ์  กันครับ
14/07/2025

วันนี้ วันเกิดจอมพล ป. พิบูลสงคราม
เรามารู้จักจอมพล ป. กันให้มากขึ้นผ่านสารคดี
#พิบูลสวัสดิ์ กันครับ

01:58 บทที่ 1 | การค้นหา Search Engine03:53 บทที่ 2 | ประวัติจอมพล ป.05:14 บทที่ 3 | เริ่มต้นความฝัน10:54 บทที่ 4 | พระเจ้าองค์ใหม่16:00 บทที่ 5 | ....

14/07/2025

เบื้องลึกเบื้องหลัง: การสืบราชสมบัติรัชกาลที่ 5 ไม่ได้เป็นไปตาม 'ธรรมเนียม' อย่างที่คิด!

หลายคนอาจเข้าใจว่าการสืบราชสมบัติในอดีตเป็นไปอย่างเรียบง่าย โดยราชโอรสจะสืบราชบัลลังก์ต่อจากพระราชบิดาโดยอัตโนมัติ
แต่สำหรับรัชกาลที่ 5 แล้วไม่ใช่เลย
มีเรื่องราวซับซ้อนและเต็มไปด้วยความพลิกผันทางการเมืองในยุคนั้น

เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ติดตามได้ในรายการ ฤๅคัฟเวอรี่ เสาร์ที่ 19 และ อาทิตย์ที่ 20 กรกฏาคมนี้ เวลา 09:40-10:00 น. ทาง Topnews77

#รัชกาลที่4 #รัชกาลที่5 #ราชวงศ์จักรี #ละเมียด #ฟ้าคราม

“ถ้าถามว่าเหนื่อยไหม ตอบได้ว่าเหนื่อย แต่เวลาอยู่ในงานมันไม่เหนื่อย มีแรงใจทำงานโดยไม่นึกถึงอะไรแล้ว ทำให้มากที่สุดให้ปร...
13/07/2025

“ถ้าถามว่าเหนื่อยไหม ตอบได้ว่าเหนื่อย แต่เวลาอยู่ในงานมันไม่เหนื่อย มีแรงใจทำงานโดยไม่นึกถึงอะไรแล้ว ทำให้มากที่สุดให้ประชาชนมีความสุข เพราะเรารู้ว่าเขาเดือดร้อน ทุกข์กายทุกข์ใจ เหนื่อยแต่มีความภูมิใจในการทำงาน”

พระดำรัสของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ
องค์นายกกิตติมศักดิ์ตลอดชีพ มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย

---------------------

พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ ทรงบำเพ็ญพระกรณียกิจด้านต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะในด้านสังคมสงเคราะห์ และสาธารณสุข ทรงรับโครงการต่างๆ ของสภากาชาดไทย ไว้ในพระอุปถัมภ์หลายโครงการ รวมถึงเสด็จลงพื้นที่เพื่อช่วยเหลือประชาชนด้วยพระองค์เองมาอย่างสม่ำเสมอ

หนึ่งในโครงการเหล่านั้นคือ มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย องค์กรการกุศลไม่แสวงหาผลกำไร ซึ่งจัดตั้งตามพระดำริของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ โดยทรงดำรงตำแหน่งเป็น นายกกิตติมศักดิ์ตลอดชีพ และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ทรงดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ

มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก จัดตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนและเชื่อมโยงให้ภาครัฐ เอกชน และชุมชน มีการร่วมมือช่วยเหลือซึ่งกันและกันในยามที่ประชาชนได้รับความทุกข์ยากจากอุทกภัย และภัยพิบัติที่รุนแรง รวมถึงมีการฟื้นฟูสภาพจิตใจและคุณภาพชีวิตอย่างครบวงจร โดยจะปฏิบัติงานและยึดหลักภายใต้แนวคิด “แบ่งปัน พอเพียง ยั่งยืน”

พระองค์เจ้าโสมสวลี และ สมเด็จฯ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ได้ทรงออกปฏิบัติภารกิจในโครงการฯ เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2538 โดยเสด็จออกรับน้ำใจจากผู้ไม่ประสบอุทกภัยที่สถานีบริการน้ำมัน ต่อจากนั้นในช่วงบ่ายได้เสด็จพระดำเนินเยี่ยมเยียนประชาชนในย่านจรัญสนิทวงศ์ เขตบางกอกน้อย และเขตบางพลัด ซึ่งการออกปฏิบัติพระกรณียกิจในครั้งนั้นส่งผลให้เหตุการณ์ความเดือดร้อนต่างๆ คลี่คลายลงอย่างรวดเร็ว

จากนั้นมาโครงการฯ ก็ได้ดำเนินการ จนได้จัดตั้งเป็นมูลนิธิ ตั้งแต่วันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2544 และได้พัฒนาการปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่องเรื่อยมาเป็นระยะเวลากว่า 20 ปี

จากการทรงงานที่ทุ่มเทของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ ที่ผ่านมา ทั้งจากมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก และโครงการต่างๆ ของสภากาชาดไทย ได้เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยบรรเทาความทุกข์ยากของประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างแท้จริง ทั้งในด้านความเป็นอยู่และสภาพจิตใจ ซึ่งถือเป็นเป้าหมายสำคัญของโครงการฯ เพื่อมุ่งไปสู่ การพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืนต่อไป

ในโอกาสวันคล้ายวันประสูติ 13 กรกฎาคม 2568 ขอน้อมเกล้าฯ ถวายพระพรชัยมงคลให้ทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม
ข้าพระพุทธเจ้า ทีมงาน ฤๅ

13/07/2025

กอ.รมน. : หน่วยงานเพื่อความมั่นคงภายในที่หลายคนเข้าใจผิด
หลายคนมักเข้าใจผิดเกี่ยวกับ กอ.รมน. ว่าคือหน่วยงานหนึ่งของทหาร
แต่แท้จริงแล้ว กอ.รมน. เป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบด้านความมั่นคงภายในประเทศโดยเฉพาะ ซึ่งแตกต่างจากภารกิจป้องกันประเทศที่อยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงกลาโหมหรือ
กองทัพ

กอ.รมน. มีต้นกำเนิดมาจากพระราชบัญญัติความมั่นคง พ.ศ. 2551 ซึ่งระบุถึงองค์กร บทบาท หน้าที่ และวิธีการแก้ปัญหาความมั่นคงไว้อย่างชัดเจน
แม้ในการปฏิบัติงานจะมีทหารในเครื่องแบบพร้อมอาวุธมาสนับสนุน กอ.รมน. แต่พวกเขา ไม่ได้ใช้อาวุธเลยในภารกิจปกติ

กอ.รมน. นั้นอยู่ในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี โดยมีผู้สนับสนุนหลักคือเหล่าทัพ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยราชการต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องใช้ในการแก้ไขปัญหา

ภารกิจหลักของ กอ.รมน. มีความหลากหลายและเปิดกว้างสำหรับปัญหาใหม่ ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
ปัจจุบันครอบคลุมงานหลัก ๆ ที่สังคมรับทราบ ได้แก่ ความมั่นคงโดยทั่วไป สาธารณภัย สถาบันหลักของชาติ ปัญหายาเสพติด แรงงาน อาชญากรรมข้ามชาติ ทรัพยากรธรรมชาติ
และที่ชัดเจนที่สุดคือ ปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้

การที่กองทัพ โดยเฉพาะกองทัพบก เข้าไปมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือภัยธรรมชาติ ก็เพราะมองว่ายุทโธปกรณ์และกำลังพลที่มีอยู่เป็นทรัพยากรของประเทศที่สามารถนำมาใช้เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนได้ทันที เนื่องจากกองทัพมีระบบสายการบังคับบัญชาที่มีระเบียบวินัย และมียุทโธปกรณ์ที่เหมาะสมกับการแก้ปัญหาในสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกับการรับมือภัยคุกคาม ไม่ว่าจะเป็นงานช่าง แรงงานคน หรือการเคลื่อนย้ายประชาชนยามเกิดภัย

มีข้อสงสัยเกี่ยวกับงบประมาณของ กอ.รมน. ที่หลายคนมองว่าสูงถึงหลายพันล้านบาทนั้น
ข้อเท็จจริงคือ งบประมาณส่วนใหญ่เป็นการดูแลกำลังพลในเรื่องของ เบี้ยเลี้ยง ซึ่งเป็นอัตราประจำที่กำหนดโดยกรมบัญชีกลางและสำนักงบประมาณ
เมื่อคูณกับจำนวนกำลังพลที่มีประมาณ 40,000 กว่าอัตรา ทำให้ตัวเลขรวมดูสูง แต่เฉลี่ยต่อคนต่อเดือนอยู่ที่ประมาณ 8,000-9,000 บาท ซึ่งถือเป็นการดูแลกำลังพล
และค่าใช้สอยทั่วไป ไม่ใช่งบประมาณสำหรับจัดซื้ออุปกรณ์ยุทโธปกรณ์พิเศษ
พูดง่ายๆ ว่า ถูกนำไปใช้กับสรรพปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่

เนื่องจากกฎหมายพระราชบัญญัติความมั่นคงระบุชัดเจนว่าการแก้ปัญหาความมั่นคง ต้องอาศัยการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน
ดังนั้นหลักการทำงานของ กอ.รมน. จึงมุ่งเน้นที่ "เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา" ซึ่งการทำงานในพื้นที่พิเศษอย่าง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปัตตานี ยะลา นราธิวาส) ถือเป็นภารกิจที่ซับซ้อนและสำคัญยิ่งของ กอ.รมน.

เนื่องปัญหาในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนนี้ มีความรุนแรงและส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินอย่างมาก จึงมีการจัดตั้ง กอ.รมน. ภาค 4 ส่วนหน้า ขึ้นมาเพื่อใช้กลไกตามพระราชบัญญัติความมั่นคงในหมวดที่ 2 เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวตามมติคณะรัฐมนตรี มีแผนการทำงานในพื้นที่อย่างรอบด้าน และใช้หลัก "การเมืองนำการทหาร" คือไม่ได้ใช้กำลังในการต่อสู้เป็นหลัก
แต่เน้นการป้องกันตนเองและนำผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมตามกฎหมาย

ที่ผ่านมา กอ.รมน. เผชิญกับความเข้าใจผิดและการบิดเบือนข้อมูล เช่น ข้อกล่าวหาว่าทหารเลี้ยงปัญหาเพื่อของบประมาณ หรือการทำงานที่ลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน

ซึ่งทาง กอ.รมน. ชี้แจงว่าปัญหาเกิดจากการใช้เครื่องมือผิดพลาดโดยคน ไม่ใช่จากกฎหมายหรือเครื่องมือเอง และไม่ควรมีการยกเลิกกฎหมายอาญาเพียงเพราะมีข้อผิดพลาดจากการใช้งาน ส่วนของงบประมาณนั้น ไม่มีใครอยากเสี่ยงตาย เพื่อเงินพิเศษจำนวนเล็กน้อยที่ได้รับเพิ่มขึ้น

กอ.รมน. มีความพยายามสร้างความเข้าใจร่วมกับประชาชนโดยใช้การสื่อสารที่ตรงไปตรงมา และแสดงให้เห็นถึงความโปร่งใส เช่น การใช้กล้องบันทึกภาพการทำงานเพื่อลดข้อครหา หรือการร่วมมือกับงานด้านการข่าวจากประชาชนในพื้นที่

การทำงานในพื้นที่ชายแดนใต้ยังต้องต่อสู้กับการบิดเบือนข้อมูลจากกลุ่มการเมืองบางกลุ่ม ซึ่งอาจทำให้การทำงานยากขึ้นในอดีต แต่ปัจจุบันมีแนวโน้มลดลง

ความสงบสุขในประเทศต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน และ กอ.รมน. มุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาเพื่อประโยชน์ต่อสังคมไทยโดยรวม

#กอรมน. #ความมั่นคงภายใน #จังหวัดชายแดนภาคใต้ #การเมืองนำการทหาร #ภารกิจเพื่อชาติ #เข้าใจเข้าถึงพัฒนา

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงได้รับการศึกษาจากประเทศอังกฤษ โดยหลากหลายแง่มุม ไม่ว่าจะในเชิงการเมื...
12/07/2025

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงได้รับการศึกษาจากประเทศอังกฤษ โดยหลากหลายแง่มุม ไม่ว่าจะในเชิงการเมืองหรือในเชิงประวัติศาสตร์

การปฏิบัติและแนวทางทรงงานต่างๆ ของรัชกาลที่ 6 นั้นมีความแปลกใหม่และผู้ที่เคยรับราชการมาอย่างยาวนานอาจจะไม่คุ้นเคย เนื่องจากทรงสำเร็จการศึกษาจากอังกฤษ
ดังนั้นความคิดความอ่านของพระองค์จึงแตกต่าง และมักจะมองอะไรต่างมุมออกไปจากผู้รับราชการเดิม

หนึ่งในประเด็นที่รัชกาลที่ 6 ทรงถูกกล่าวหาคือ พระองค์ทรงใช้งบประมาณแผ่นดินอย่างสิ้นเปลืองจนเกือบจะทำให้สิ้นชาติ
แน่นอนว่าการกล่าวเช่นนี้เมื่อไปดูงบประมาณในรัชสมัยของพระองค์ ใครๆ ก็คงจะพูดอย่างนั้น (แม้ว่าในงบประมาณนั้นยังแยกรายจ่ายออกมาได้ ซึ่งจะทำให้เกิดความเข้าใจมากขึ้นอีกในประเด็นค่าใช้จ่ายของพระองค์)
อย่างไรก็ดี ดังที่กล่าวไปแล้วว่าพระองค์มักจะมองต่างมุม และนโยบายทางเศรษฐกิจก็เช่นเดียวกันที่พระองค์มองต่างจากทุกคน แต่กลับสร้างผลดีจนถึงหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง

ในรัชสมัยของพระองค์นั้น เป็นช่วงที่สยามต้องเผชิญกับสงครามโลกครั้งที่ 1 ไปพร้อมๆ กับความต้องการในการสร้างประเทศต่อจากรัชกาลที่ 5 อันเป็นภารกิจที่ยังไม่สำเร็จแต่ต้องใช้งบประมาณและลมปราณอย่างยิ่ง
เนื่องจากต้องประสบทั้งภัยจากภายนอกและความไม่เรียบร้อยภายในประเทศ
การชั่งน้ำหนักในการดำเนินนโยบายใดๆ ก็ตาม จึงจำเป็นต้องชั่งอย่างมีเหตุมีผลและตัดสินใจให้ดีเสมอ
ถึงเช่นนั้นก็ตาม รัชกาลที่ 6 ทรงแน่วแน่ในการพัฒนาเศรษฐกิจแม้ว่าจะต้อง “เจ็บตัว” บ้าง ดังมีพระราชดำรัสว่า

“การบ้านเองที่จะดำเนินไปโดยรวดเร็วก็ต้องยอมเสียเงินลงทุน, ถ้าแม้จะนั่งแต่คอยรักษาให้เสมออยู่เท่านั้น ก็เสมอกับถอยหลัง, เพราะเพื่อนบ้านเดินหน้าเรื่อยไป เราหยุดอยู่ ก็ย่อมจะเสมอหน้าเขาไม่ได้อยู่เอง บัดนี้ถึงเวลาที่จะต้องรีบคิดให้มีอุบายการคลังจึ่งจะสามารถประทังความมุ่งและเสียหายแห่งพณิชการ … นี่เปนมูลเหตุแห่งการตั้งกรมพาณิชย์และสถิติพยากรณ์ขึ้น”

นั่นหมายความว่ารัชกาลที่ 6 ทรงตั้งพระทัยจัดตั้งกรมฯ แห่งนี้ขึ้นเพื่อช่วยให้การค้าขายและการพัฒนาเศรษฐกิจนั้นก้าวหน้าขึ้นในประเทศ
แต่ก็ติดปัญหาหลายอย่างเพราะมีปัญหาเรื่องการขาดทุน พระองค์ก็ยังยืนยันว่าเป็นประโยชน์และต้องทำ ดังที่พระองค์มีพระราชหัตถเลขว่า

“รายรับของแผ่นดินหาใคร่จะพอกับรายจ่ายไม่ ต้องคิดตัดรายจ่ายเข้าหารายรับทุกๆ ปีมา เห็นว่าธรรมดาบ้านเมืองจะเจริญขึ้นก็ต้องอาไศรยแก่การเงินที่ออกเงินลงทุนไปก่อนจึงจะได้รับผลเมื่อภายหลัง เมื่อต้องมาคิดตัดรายจ่ายเข้าหารายรับอยู่ดังนี้ การบางอย่างควรทำให้สำเร็จไปโดยหวังจะได้รับผลก็ต้องงดรออยู่”

กล่าวคือพระองค์ยืนยันว่าแม้จะขาดทุนก็ต้องทำ เพราะถึงการไม่เห็นผลตอนนี้แต่ย่อมต้องเห็นผลตอนหน้า พร้อมๆ ไปกับการตั้งกรมฯ นี้ขึ้นเพื่อทำหน้าที่พัฒนาการค้า
พระองค์ยังได้อัดฉีดเงินลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนานใหญ่ทั่วประเทศ
แม้ว่าจะต้องประสบปัญหาทั้งค่าใช้จ่ายการสงคราม 6 ล้านบาท
รวมไปถึงการต้องยกเลิกการพนันหวย ก.ข. และการค้าฝิ่นตามข้อบังคับระหว่างประเทศ
อันส่งผลให้รายได้ลดลงอย่างมากและขาดดุล
ยังไม่นับถึงปัญหาเงินปอนด์ที่ทำให้เงินบาทผันผวนอย่างสูงอีกด้วย

แต่แม้จะต้องกัดฟันในหลายครั้งผ่านการอัดฉีดเงินจากเงินคงพระคลัง เช่น โปรดเกล้าฯ ให้ใช้เงิน 6 แสนบาทในการสำรวจแร่ในภาคเหนือและภาคใต้ หรือให้ใช้เงินคงพระคลัง 3 ล้านบาทก่อสร้างโรงไฟฟ้าหลวงสามเสน
เมื่อโครงสร้างพื้นฐานที่พระองค์มีรับสั่งให้ดำเนินการได้ลุล่วงลง โดยเฉพาะโครงการชลประทานป่าสักซึ่งอำนวยพื้นที่การเกษตรกว่า 7 แสนไร่ ทำให้สามารถเพาะปลูกได้มากขึ้น
ส่งผลให้รายได้แผ่นดินกลับมาเกิดดุลอย่างมหาศาล หรือทำให้รายได้ตั้งแต่ พ.ศ. 2469-2473 ได้กลับมาเป็นบวก ทำให้รัฐบาลมีเงินในการใช้เงินกู้ 5 ล้านปอนด์ได้ก่อนกำหนด
โดยแทบจะไม่ต้องตั้งงบประมาณรายจ่ายชดเชย

การใช้นโยบายของพระองค์ทำให้รัชกาลที่ 7 ทรงสามารถใช้นโยบายเศรษฐกิจเพื่อเอาตัวรอดจากสภาวะสงครามและเศรษฐกิจตกต่ำมาได้ซึ่งหนักหนาสาหัสอย่างยิ่งไม่แพ้สมัยรัชกาลที่ 6
และเมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองไปแล้ว
รัฐบาลคณะราษฎรก็ยังยึดนโยบายเศรษฐกิจเดิมจากระบอบเก่าเอาไว้ ซึ่ง Sir Edward Cook เองก็ได้ตั้งข้อสังเกตถึงประสิทธิภาพด้านนโยบายเศรษฐกิจของระบอบเก่าเอาไว้ด้วย (ศึกษาได้ในงานของ เบนจามิน เอ. บัทสัน)

อุบายการคลังของพระองค์เทียบได้กับนโยบายเศรษฐกิจแบบเคนเซียน (Keynesian) กล่าวคือเป็นแนวคิดการคลังของ John M. Keynes ที่ชี้ว่า รายจ่ายของรัฐบาลสามารถเพิ่มอุปสงค์รวม (Aggregate demand) และสามารถกระตุ้นให้เศรษฐกิจเกิดการขยายตัวได้ ผ่านการดำเนินนโยบายงบประมาณขาดดุลหรือรายจ่ายสูงกว่ารรายรับเพื่อให้เศรษฐกิจฟื้นตัว และทำให้เกิดการลงทุนตามมา ทำให้เศรษฐกิจโดยรวมเติบโตขึ้น
Keynes นั้นได้เสนอแนวคิดของเขาในช่วงหลัง พ.ศ. 2470 เป็นต้นมา แต่รัชกาลที่ 6 ทรงได้ปฏิบัติมาก่อนที่แนวคิดของ Keynes จะออกมาเป็นทฤษฎีเสียอีก

รัชกาลที่ 6 ทรงสำเร็จการศึกษามาจากอังกฤษ และ Keynes เองก็เป็นคนอังกฤษ
บางทีความเป็นอังกฤษของรัชกาลที่ 6 และการมีมุมมองแบบเฉพาะ
น่าจะทำให้พระองค์ทรงมองอะไรที่ไปไกลกว่าคนสยามยุคเดียวกันก็ได้
และนั่นทำให้สยามรอดพ้นวิกฤตสงครามทั้งสองครั้ง
และผ่านพ้นพิษเศรษฐกิจมาได้อย่างยั่งยืนยง

#ในหลวงรัชกาลที่6

12/07/2025

ความซับซ้อนของปัญหาสามจังหวัดชายแดนใต้ มีความต่อเนื่องและยาวนาน ต้องอาศัยการทำความเข้าใจตั้งแต่ต้น เพื่อที่จะแก้ไขปัญหา

นี่คือภารกิจ ที่ต้องอาศัย ความเข้าใจและกำลังใจจากประชาชน ในการสนับสนุน

ติดตามชมรายละเอียดได้ในวันพรุ่งนี้ 09:40-10:00 น.
ทาง Topnews 77
#กอรมน #อาร์ตอรรทิตย์ฌาน #ฟ้าคราม

“บัดนี้ การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้เสร็จสิ้นลง และมีการเรียกประชุมรัฐสภาพุทธศักราช 2566 แล้ว ข้าพเจ้าขอเปิดประชุ...
11/07/2025

“บัดนี้ การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้เสร็จสิ้นลง
และมีการเรียกประชุมรัฐสภาพุทธศักราช 2566 แล้ว
ข้าพเจ้าขอเปิดประชุมรัฐสภาตั้งแต่วาระนี้เป็นต้นไป

ขอให้ท่านทั้งหลาย ผู้เป็นสมาชิกของสภาแห่งนี้ได้ระลึกไว้เสมอว่า
ท่านเป็นผู้ได้รับมอบหมายจากประชาชนให้มาเป็นตัวแทนของคนทั้งประเทศในการใช้อำนาจนิติบัญญัติ
เพื่อดำเนินการปกครองและพิจารณาออกกฏหมายต่าง ๆ ให้รัฐบาล
ถือเป็นหลักในการบริหารราชการแผ่นดิน

ดังนั้น ประเทศชาติจะมีความเจริญเพียงใด
ย่อมขึ้นอยู่กับสติปัญญาความสามารถ ความสุจริตบริสุทธิ์ของท่าน
ที่จะปฏิบัติหน้าที่ทั้งปวงโดยยึดถือประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชน เป็นสิ่งที่มีความสำคัญสูงสุด
หากทุกท่านสำนึกและตระหนักเช่นนี้อยู่เสมอ
จะสามารถปฎิบัติหน้าที่ได้สำเร็จลุล่วง
เป็นประโยชน์ เป็นความเจริญมั่นคงของอาณาประชาราษฎร์และชาติบ้านอย่างแท้จริง

ขออำนวยพรให้การดำเนินงานของรัฐสภา
เป็นไปโดยเรียบร้อยสำเร็จผลที่พึงประสงค์ทุกประการ
ขอให้ทุกท่านมีความสุข ความเจริญ ทุกเมื่อไป”

พระราชดำรัสเปิดประชุมรัฐสภาเป็นครั้งแรกของสัปปายะสภาสถาน ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 ในวันที่ 3 กรกฎาคม 2566

#สภาผู้แทนราษฎร #ราชอาณาจักรไทย #ในหลวงรัชกาลที่10

11/07/2025

กอ.รมน. คืออะไร
เป็นหน่วยงานของทหารหรือไม่
มีหน้าที่อะไร

ฟังกันเต็มๆ ในวันพรุ่งนี้ 09:40-10:00 น. ทาง 77

ที่อยู่

Amphoe Muang Phrae

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ฤๅ - Lue Historyผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง ฤๅ - Lue History:

แชร์