01/12/2025
เพราะการเสด็จสำเพ็งของ ร.๘ คือจุดกำเนิด "รวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย" ที่แท้จริง
เป็นสิ่งที่นโยบายรัฐนิยมเพียรพยายามสร้างมาหลายปีแต่ไม่สำเร็จ
ท่ามกลางหน้าประวัติศาสตร์ไทยที่มักถูกจดจำด้วยเหตุการณ์ทางการเมืองและการเปลี่ยนแปลงการปกครอง มีเรื่องราวบทหนึ่งที่มักถูกเล่าขานในฐานะ “จุดเปลี่ยน” ของความมั่นคงแห่งชาติ เรื่องราวของพระมหากษัตริย์หนุ่มวัยเพียง ๒๐ พรรษา ผู้ทรงทำในสิ่งที่อำนาจรัฐและนโยบาย “รัฐนิยม” ของจอมพล ป. พิบูลสงคราม เพียรพยายามปลูกฝังมาหลายปีแต่ไม่สัมฤทธิ์ผล นั่นคือการหลอมรวมผู้คนต่างเชื้อชาติ ศาสนา ให้กลายเป็น “เนื้อเดียว” กับความเป็นไทยอย่างแท้จริง
เรื่องราวนี้ถูกถ่ายทอดผ่านสารคดี “ทิศไท ตอน เรื่องที่ไม่เคยเล่า” ที่พาเราย้อนกลับไปมองรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร (รัชกาลที่ ๘) ในมิติใหม่ ไม่ใช่แค่เรื่องราวโศกนาฏกรรมหรือปริศนาการสวรรคต แต่คือเรื่องราวของ “พระราชกรณียกิจ” ในช่วงเวลาสั้นๆ ที่ส่งผลสะเทือนเลื่อนลั่นไปถึงหัวใจของราษฎรทุกหมู่เหล่า
เมื่อ “รัฐนิยม” สร้างรอยร้าว แต่ “พระบารมี” ช่วยสมาน
หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ สิ้นสุดลง ประเทศไทยตกอยู่ในสภาวะเปราะบางอย่างยิ่ง ทั้งจากสถานะผู้แพ้สงครามและความขัดแย้งภายใน นโยบายสร้างชาติของจอมพล ป. ที่เน้นความเป็นไทยอย่างเข้มข้น ในด้านหนึ่งกลับสร้างกำแพงกั้นระหว่างคนไทยเจ้าของพื้นที่ กับกลุ่มชาวไทยเชื้อสายจีน อินเดีย และมุสลิม
ในช่วงเวลานั้นสังคมไทยเต็มไปด้วยความขัดแย้ง โดยเฉพาะกรณี “สำเพ็ง” ย่านการค้าของชาวจีน ความขัดแย้งนี้รุนแรงถึงขั้นมีการปะทะกัน สาเหตุหลักมาจากการที่ไทยเข้าร่วมกับญี่ปุ่นในสงคราม ขณะที่ชาวจีนในไทยเจ็บแค้นญี่ปุ่นที่รุกรานแผ่นดินแม่ ความรู้สึก “แปลกแยก” และถูกมองเป็นคนอื่น ก่อตัวขึ้นอย่างหนาแน่นในหมู่คนเชื้อสายจีน
เสด็จสำเพ็ง : ดับไฟขัดแย้งด้วยน้ำพระทัย
สุเมธ ตันธนาศิริ ทายาทประธานมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เล่าถึงบรรยากาศความตึงเครียดในยุคนั้นว่า ชาวจีนรู้สึกว่ารัฐบาลไทยเป็นพวกเดียวกับญี่ปุ่น จึงเกิดความไม่พอใจ แต่แล้วในวันที่ ๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๙ รัชกาลที่ ๘ พร้อมด้วยพระอนุชา (รัชกาลที่ ๙) ทรงตัดสินพระทัย “เสด็จพระราชดำเนินเยือนสำเพ็ง”
การเสด็จฯ ครั้งนั้นไม่ใช่แค่พิธีการ แต่เป็นการ “เดินเข้าหา” ปัญหา พระองค์ทรงใช้เวลากว่า ๓-๔ ชั่วโมง ท่ามกลางอากาศร้อนอบอ้าว ทรงพระดำเนินเยี่ยมเยียนราษฎรชาวจีนอย่างใกล้ชิด การกระทำนี้มีความหมายทางการเมืองและสังคมอย่างมหาศาล มันคือสารที่ส่งออกไปว่า “ไม่ว่าท่านจะมาจากไหน ท่านคือพสกนิกรของข้าพเจ้า”
ผลลัพธ์ที่ได้คือปาฏิหาริย์ ความขัดแย้งที่ดูเหมือนจะลุกลามบานปลาย สงบลงเพียงชั่วข้ามคืน ความหวาดระแวงถูกแทนที่ด้วยความจงรักภักดี ชาวจีนในไทยเริ่มรู้สึกว่าแผ่นดินนี้คือ “บ้าน” ที่พวกเขาสามารถอาศัยอยู่ใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารได้อย่างสนิทใจ
จาก “สำเพ็ง” สู่ “มัสยิดต้นสน” : การเปลี่ยนผ่านสู่ความเป็นไทยด้วยหัวใจ
ปรากฏการณ์การหลอมรวมชาติไม่ได้หยุดอยู่แค่ชาวจีน ดร.พัฒนา หลังปูเต๊ะ เล่าถึงเหตุการณ์สำคัญในปีเดียวกัน เมื่อรัชกาลที่ ๘ เสด็จฯ เยือนมัสยิดต้นสน พระองค์ทรงใช้เวลาพูดคุย ซักถาม และแสดงความสนพระราชหฤทัยในวิถีชีวิตของชาวมุสลิมอย่างแท้จริง นานเกือบ ๓ ชั่วโมง
ผลกระทบจากเหตุการณ์นั้นลึกซึ้งเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด ดร.พัฒนา ระบุว่า หลังจากนั้น การแสดงธรรมเทศนา (คุตบะห์) ในวันศุกร์ ซึ่งเดิมใช้ภาษาอาหรับหรือยาวี ได้เริ่มเปลี่ยนมาใช้ “ภาษาไทย” นี่คือสัญลักษณ์ของการยอมรับอัตลักษณ์ความเป็นไทยเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของวิถีศรัทธาอย่างเต็มใจ ไม่ใช่การบังคับ ข้ามพ้นกำแพงทางศาสนา กลายเป็น "รายอกีตอ" หรือ "พระราชาของเรา" ในหัวใจชาวไทยมุสลิม
ทรงเป็น “เสาหลัก” ในยามที่การเมืองไร้ที่พึ่ง
คุณยศ สังขะเวส นักธุรกิจไทยเชื้อสายอินเดีย ถ่ายทอดเรื่องราวจากคำบอกเล่าของปู่ว่า ในยามที่การเมืองไทยไร้เสถียรภาพ รัฐบาลทหารหรือนักการเมืองไม่สามารถเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจได้ การมีอยู่ของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่เข้าถึงประชาชน กลายเป็น “เสาหลัก” ที่ทำให้คนต่างเชื้อชาติรู้สึกปลอดภัยและมั่นคง
สิ่งที่รัชกาลที่ ๘ ทรงกระทำในระยะเวลาอันสั้น คือการวางรากฐาน "New Kingship" หรือรูปแบบพระมหากษัตริย์สมัยใหม่ ที่ไม่ได้ปกครองด้วยพระเดช แต่ปกครองด้วยพระคุณและการเข้าถึงจิตใจมนุษย์
ขณะที่จอมพล ป. พยายามสร้างความสามัคคีด้วยกฎหมายและวัฒนธรรมบังคับ รัชกาลที่ ๘ ทรงสร้างความสามัคคีด้วยการ “ให้เกียรติ” และ “ยอมรับ” ความแตกต่าง
พระองค์ทำให้คำร้องในเพลงชาติท่อนที่ว่า “ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย” กลายเป็นความจริงขึ้นมาได้ ไม่ใช่ด้วยการบังคับให้ทุกคนเหมือนกัน แต่ด้วยการทำให้ทุกคนรู้สึกว่า แม้จะต่างที่มา แต่ทุกคนล้วนมี “พ่อ” คนเดียวกัน และมี “แผ่นดิน” เดียวกันให้รักและหวงแหน
แม้รัชสมัยของพระองค์จะสั้นนัก แต่ร่องรอยแห่งพระราชกรณียกิจในการผสานรอยร้าวของชาติ ยังคงเด่นชัดและเป็นรากฐานของสังคมพหุวัฒนธรรมที่สงบสุขของไทยมาจนถึงทุกวันนี้.