หนังสือพิมพ์ ประเด็นรัฐ

หนังสือพิมพ์ ประเด็นรัฐ หนังสือพิมพ์ เพื่อเผยแพร่ ข่าวของก?

“สมศักดิ์” เปิดงาน “คาร์บพอดี สุขภาพดี ลดเสี่ยง ลดโรค NCDs” ดัน อสส. ขับเคลื่อนคนกรุงฯ ลดเสี่ยงโรค NCDs        รัฐมนตรีว...
04/09/2025

“สมศักดิ์” เปิดงาน “คาร์บพอดี สุขภาพดี ลดเสี่ยง ลดโรค NCDs” ดัน อสส. ขับเคลื่อนคนกรุงฯ ลดเสี่ยงโรค NCDs

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เดินหน้าขับเคลื่อนโครงการ “คาร์บพอดี สุขภาพดี ลดเสี่ยง ลดโรค NCDs” มุ่งใช้เครือข่ายอาสาสมัครสาธารณสุขกรุงเทพฯ (อสส.) กว่า 13,000 คน เป็นกำลังหลักในการส่งเสริมการบริโภคอาหารที่เหมาะสม และการดูแลสุขภาพตนเอง เพื่อป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง พร้อมตั้งเป้าให้คนกรุงฯ กินเป็น ไม่ป่วย สวยหล่อ อายุยืน
วันนี้ (4 กันยายน 2568) ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร กรุงเทพมหานคร นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดงาน “คาร์บพอดี สุขภาพดี ลดเสี่ยง ลดโรค NCDs” โดยมี นายแพทย์มณเฑียร คณาสวัสดิ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข อาสาสมัครสาธารณสุขกรุงเทพมหานคร (อสส.) และประชาชนทั่วไปร่วมงานกว่า 500 คน
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ปัจจุบันโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคอ้วน และโรคหัวใจ เป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญของประเทศ โดยเฉพาะในเขตเมืองที่ประชาชนมีวิถีชีวิตเร่งรีบ ขาดการออกกำลังกาย มีความเครียดสูง และบริโภคอาหารไม่เหมาะสม ส่งผลให้มีความเสี่ยงสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วประเทศ โดยจากผลสำรวจสุขภาพประชาชน พบว่า ภาวะอ้วนลงพุงในกรุงเทพมหานครสูงถึง 56.1% ในขณะที่ค่าเฉลี่ยทั้งประเทศอยู่ที่ 39.4% และความชุกของโรคเบาหวานในกรุงเทพฯ สูงถึง 12.5% สูงกว่าค่าเฉลี่ยประเทศซึ่งอยู่ที่ 9.5% ดังนั้น โครงการคาร์บพอดี สุขภาพดี ลดเสี่ยง ลดโรค NCDs จึงเป็นแนวทางสำคัญในการส่งเสริมให้ประชาชนรู้จักการ “นับคาร์บ” เพื่อควบคุมน้ำหนัก ลดระดับน้ำตาลในเลือด และลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังเหล่านี้ได้อย่างยั่งยืน
ด้านนายแพทย์มณเฑียร กล่าวเพิ่มเติมว่า การขับเคลื่อนโครงการนี้ใช้กลไกสำคัญ คือ อาสาสมัครสาธารณสุขกรุงเทพมหานคร (อสส.) ซึ่งได้รับการอบรมให้สามารถถ่ายทอดความรู้เรื่องการบริโภคอาหารที่เหมาะสมแก่ประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยที่ผ่านมาการขับเคลื่อนระดับประเทศสามารถเข้าถึงประชาชนกว่า 42 ล้านคน ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น ลดการใช้ยา และช่วยลดค่าใช้จ่ายในระบบสุขภาพกว่า 820 ล้านบาท
นอกจากนี้ภายในงานยังมีกิจกรรมหลากหลาย อาทิ การบรรยายพิเศษ “คนกรุงฯ กินเป็น ไม่ป่วย สวยหล่อ อายุยืน 100 ปี” โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข การแสดงวีดิทัศน์นโยบาย "NCDs Prevention" พร้อมกิจกรรม “นับคาร์บกับ อสส.” โดยรองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และบูทจากหน่วยงานต่างๆ เช่น บริการฉีดวัคซีน ตรวจไวรัสตับอักเสบ ตรวจหลอดเลือดสมอง บูทอาหารสุขภาพ และบูทส่งเสริมนวัตกรรมทางการแพทย์
“โครงการ คาร์บพอดี สุขภาพดี ลดเสี่ยง ลดโรค NCDs ไม่เพียงเป็นกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพ แต่ยังเป็นการสร้างระบบสุขภาพเชิงรุกแบบยั่งยืน โดยเน้นการสร้างความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชนในเขตเมือง ผ่านพลังของ อสส. ซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญในการป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรังให้กับสังคมไทยอย่างเป็นระบบ” นายสมศักดิ์กล่าวทิ้งท้าย
ข้อมูลจาก : สถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง/สำนักสื่อสารความเสี่ยงฯ กรมควบคุมโรค
วันที่ 4 กันยายน 2568

รมช.ลิณธิภรณ์” รับมอบคอมพิวเตอร์จากตลาดหลักทรัพย์ฯ ส่งเสริมการสอบ E-exam อำเภอเมืองน่าน หลังวิกฤตพายุ “วิภา”วันที่ 4 กัน...
04/09/2025

รมช.ลิณธิภรณ์” รับมอบคอมพิวเตอร์จากตลาดหลักทรัพย์ฯ ส่งเสริมการสอบ E-exam อำเภอเมืองน่าน หลังวิกฤตพายุ “วิภา”
วันที่ 4 กันยายน 2568 นางสาวลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วย นางยุพิน บัวคอม รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้ รับมอบ “คอมพิวเตอร์ พร้อมอุปกรณ์ เพื่อนำไปใช้ในศูนย์ทดสอบการประเมินคุณภาพการศึกษานอกระบบระดับชาติ ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (E-exam) ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ระดับอำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน”จากนายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และคณะ เพื่อเป็นการช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของนักศึกษา เยาวชน และประชาชนในพื้นที่จากภัยพิบัติครั้งนี้ ณ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กรุงเทพมหานคร
นางสาวลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์พายุ "วิภา" เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ได้สร้างความเสียหายให้จังหวัดน่านอย่างรุนแรง ในหลายพื้นที่ รวมถึง สำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดน่านและศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ระดับอำเภอเมืองน่าน ซึ่งเป็นศูนย์ทดสอบการประเมินคุณภาพการศึกษานอกระบบ หรือ E-exam ก็ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงเช่นกัน ทำให้ไม่สามารถขนย้ายอุปกรณ์ได้ทันและส่งผลให้การสอบต้องหยุดชะงักลงส่งผลกระทบโดยตรงต่อนักศึกษาในสังกัดกว่า 6,800 คน ที่รอการสอบเพื่อรับรองผลการศึกษา และเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา ตนได้มีโอกาสลงพื้นที่จังหวัดน่าน เพื่อตรวจเยี่ยมและรับทราบปัญหา อีกทั้งยังได้สำรวจความเสียหายที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดน่าน จึงได้มอบหมายให้สำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดน่าน ประสานงานกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อขอความอนุเคราะห์สนับสนุนคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ เพื่อมอบให้แก่ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ระดับอำเภอเมืองน่าน นำไปจัดการเรียนการสอนและการทดสอบการประเมินคุณภาพการศึกษานอกระบบ สามารถกลับมาดำเนินต่อไปได้ อย่างรวดเร็ว คอมพิวเตอร์เหล่านี้นำไปใช้ศูนย์ E-exam เพื่อให้บริการแก่นักศึกษาในสังกัดสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดน่าน ทั้ง 15 อำเภอ รวมนักศึกษาจำนวนทั้งสิ้น 6,800 คน โดยนักศึกษาประมาณ 150 คน จะได้ใช้ประโยชน์จากเครื่องคอมพิวเตอร์เหล่านี้ในการสอบแต่ละภาคเรียน
นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เล็งเห็นถึงความสำคัญของการศึกษา และเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของนักศึกษา เยาวชน และประชาชนในพื้นที่จากภัยพิบัติครั้งนี้ จึงได้สนับสนุนคอมพิวเตอร์ จำนวน 22 เครื่อง พร้อมอุปกรณ์ เพื่อมอบให้ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ระดับอำเภอเมืองน่าน สามารถจัดการเรียนการสอนและการทดสอบการประเมินคุณภาพการศึกษานอกระบบ สามารถกลับมาดำเนินต่อไปได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งการสนับสนุนในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่ไม่ได้มีเพียงบทบาทในภาคเศรษฐกิจ แต่ยังให้ความสำคัญ กับการยกระดับคุณภาพชีวิตและมอบโอกาสทางการศึกษาให้กับสังคม ในนามผู้แทนของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ขอเป็นกำลังใจให้กับนักศึกษาและบุคลากรทุกท่าน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคอมพิวเตอร์เหล่านี้จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนการศึกษา และเป็นกำลังใจให้ทุกท่านสามารถก้าวผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปได้ด้วยดี

#เสมา2 #รัฐมนตรีของทุกคน
#ผู้เรียนทุกคนไม่เหมือนกัน
#แต่ต้องได้รับโอกาสเท่ากัน
#กรมส่งเสริมการเรียนรู้

อย. ร่วมลงนาม MOU กับ 3 หน่วยงานหลัก แก้ไขปัญหาร้องเรียนจากผู้บริโภคอย. ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) กับกระทรวงพาณิชย์  ...
04/09/2025

อย. ร่วมลงนาม MOU กับ 3 หน่วยงานหลัก แก้ไขปัญหาร้องเรียนจากผู้บริโภค

อย. ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) กับกระทรวงพาณิชย์ สคบ. และกระทรวงแรงงาน เพื่อบูรณาการการทำงานร่วมกันในการรับเรื่องร้องเรียนและแก้ไขปัญหาของประชาชนอย่างครบวงจร โดยมีแพลตฟอร์มดิจิทัล MOC Fondue ของกระทรวงพาณิชย์เป็นช่องทางหลักในการรับเรื่องและส่งต่อหน่วยงาน ซึ่งจะช่วยเพิ่มช่องทางการรับเรื่องร้องเรียน และการแก้ไขปัญหาด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

วันนี้ (4 กันยายน 2568) สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) นำโดย นายแพทย์สุรโชค ต่างวิวัฒน์ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา และนายแพทย์วิทิต สฤษฎีชัยกุล รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เข้าร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการรับแจ้งปัญหาและข้อเสนอแนะของประชาชนร่วมกับ กระทรวงพาณิชย์, สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) และกระทรวงแรงงาน เพื่อบูรณาการการทำงานในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนให้เป็นระบบ ลดขั้นตอน และอำนวยความสะดวกในการติดต่อราชการ

นายแพทย์วิทิต สฤษฎีชัยกุล รองเลขาธิการฯ อย. เปิดเผยว่า การลงนาม MOU ครั้งนี้ เป็นการยกระดับการคุ้มครองผู้บริโภคให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งเป็นภารกิจหลักของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ในการกำกับ ดูแล ผลิตภัณฑ์สุขภาพให้มีความปลอดภัย ซึ่งหากประชาชนพบปัญหา หรือแจ้งเบาะแสการกระทำผิดสามารถแจ้งเรื่องร้องเรียนผ่านช่องทางรับเรื่องร้องเรียนของ อย. ได้โดยตรง หรือร้องเรียนผ่านแพลตฟอร์ม MOC Fondue ได้ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะส่งเรื่องต่อมาให้ อย. ดำเนินการแก้ไขปัญหา โดยขอบข่ายความร่วมมือตาม MOU ฉบับนี้ มี 3 ข้อ ได้แก่
1. การแก้ไขปัญหาผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ไม่ได้มาตรฐานและความปลอดภัย
2. การกำกับดูแลคุณภาพและมาตรฐานผลิตภัณฑ์สุขภาพ ส่งเสริมสถานประกอบการและการโฆษณาให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด
3. การคุ้มครองผู้บริโภคที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์สุขภาพให้ได้รับความเป็นธรรม

ความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยให้ข้อมูลจากประชาชนถูกส่งต่อไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง ทำให้การแก้ไขปัญหาทำได้อย่างรวดเร็วและครอบคลุมทุกมิติ เพื่อให้ประชาชนได้ใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยและมั่นใจในคุณภาพของสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ

วันที่เผยแพร่ข่าว 4 กันยายน 2568 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2568

“รมว.พงศ์กวิน” มอบที่ปรึกษา “จักรพงส์” ผนึกกำลัง “คนพันธุ์ S” ปลุกวัฒนธรรมความปลอดภัย สร้างเครือข่าย Safety Network     ...
04/09/2025

“รมว.พงศ์กวิน” มอบที่ปรึกษา “จักรพงส์” ผนึกกำลัง “คนพันธุ์ S” ปลุกวัฒนธรรมความปลอดภัย สร้างเครือข่าย Safety Network

วันที่ 4 กันยายน 2568 - นายพงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นายจักรพงส์ สุเมธโชติเมธา ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดโครงการ “รวมพลังคนพันธุ์ S ภายใต้หัวข้อ “Safety Network เพื่ออนาคตความปลอดภัยของประเทศไทย” เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือเครือข่ายความปลอดภัยแรงงาน พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อน Safety Thailand ของประเทศไทย ณ ฮอลล์ 8 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี

นายจักรพงส์ สุเมธโชติเมธา ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า การส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน เป็นนโยบายสำคัญที่เชื่อมโยงกับคุณภาพชีวิตของแรงงาน ซึ่งกระทรวงแรงงานได้ให้ความสำคัญและได้มุ่งมั่นขับเคลื่อนโครงการ Safety Thailand มาอย่างต่อเนื่อง ด้วยการเคร่งครัดบังคับใช้กฎหมาย สร้างองค์ความรู้ และพัฒนากลไกภาคีเครือข่าย เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการลดการประสบอันตรายจากการทำงานกรณีร้ายแรง

อย่างไรก็ตาม ในยุคที่ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมเทคโนโลยีดิจิทัล และเทคโนโลยี AI ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดการแข่งขันทางเศรษฐกิจที่เข้มข้น และก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงาน รวมถึงเกิดรูปแบบการทำงานใหม่ ๆ ขึ้นมากมาย ปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อการบริหารจัดการด้านความปลอดภัย และต้องการการปรับตัวอย่างมีระบบและทันต่อการเปลี่ยนแปลง

การยกระดับเครือข่ายความปลอดภัยแรงงาน (Safety Network) จึงเป็นกลไกสำคัญในการผลักดันให้เกิดวัฒนธรรมความปลอดภัยในทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นในสถานประกอบกิจการ ชุมชน พื้นที่ และภาคีที่เกี่ยวข้อง โดยเน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ เอกชน องค์กรแรงงาน และประชาชน

“การพัฒนาความปลอดภัยไม่สามารถทำได้เพียงลำพัง แต่ต้องอาศัย “พลังของเครือข่าย” ขับเคลื่อนร่วมกันในระดับพื้นที่และระดับประเทศ ซึ่งโครงการ “รวมพลังคนพันธุ์ S” จะเป็นกลไกสำคัญที่จะกระตุ้นและ
สร้างความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยแรงงานไทย เพราะการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยไม่ใช่เพียงแค่การปฏิบัติตามกฎหมาย แต่คือการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ผู้ใช้แรงงานในทุกอาชีพ” นายจักรพงส์ กล่าวทิ้งท้าย

ด้าน เรือเอก สาโรจน์ คมคาย อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการรวมพลังคนพันธุ์ S ภายใต้หัวข้อ “Safety Network เพื่ออนาคตความปลอดภัยของประเทศไทย” มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมพลังเครือข่าย สร้างพื้นที่การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และยกระดับขีดความสามารถของผู้ปฏิบัติงานด้านความปลอดภัยทั่วประเทศ โดยเน้นกลุ่ม “คนพันธุ์ S” ซึ่งหมายถึงบุคลากรหรือองค์กรที่มีคุณสมบัติ จริงใจ (Sincere)
มีศักยภาพ (Smart) มีจิตอาสาเพื่อสังคม (Social Mind) ร่วมมือกันอย่างมีพลัง (Synergy) ผ่านผู้แทนเครือข่ายความปลอดภัย ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัย และผู้แทนจากองค์กรแรงงานต่าง ๆ โดยนำองค์ความรู้ที่ได้รับไปถ่ายทอดให้กับเครือข่ายความปลอดภัยระดับภูมิภาค ระดับจังหวัด และทุกภาคส่วน
ที่เกี่ยวข้อง เกิดเป็นโครงข่าย “Safety Network” หรือเครือข่ายความปลอดภัยทั่วประเทศในการสร้างความตระหนักรู้และปลุกจิตสำนึกเพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุและโรคจากการทำงาน ภายในงานยังมีการจัดเสวนาในหัวข้อสำคัญ
ได้แก่ ก้าวทันโลก ก้าวทันอาเซียน ไปกับอนุสัญญา 155, คุยเฟื่องเรื่องการประยุกต์ใช้ AI เพื่อยกระดับสุขภาพอนามัยและความปลอดภัย การอภิปรายในหัวข้อกฎหมายความปลอดภัยในการทำงาน และทิศทางการขับเคลื่อน
Safety Network เพื่ออนาคตความปลอดภัยของประเทศไทย

“สมศักดิ์-ชัยชนะ” เดินหน้าใช้เทคโนโลยีสแกนม่านตาแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย ป้องกันโรคระบาด-ช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ชี้ ช่วยแ...
04/09/2025

“สมศักดิ์-ชัยชนะ” เดินหน้าใช้เทคโนโลยีสแกนม่านตาแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย ป้องกันโรคระบาด-ช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ชี้ ช่วยแก้ปัญหาแรงงานไม่มีทะเบียน ย้ำ อนาคตการเมือง รอฟังผู้บริหารพรรค

เมื่อวันที่ 4 ส.ค.2568 ที่กระทรวงสาธารณสุข นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีระบุตัวตน ของบุคคลที่ไม่มีเอกสารประจำตัวในประเทศไทย เพื่อการสาธารณสุขและช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ระหว่างกระทรวงสาธารณสุข สภากาชาดไทย และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ โดยมี นายชัยชนะ เดชเดโช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ร่วมเป็นสักขีพยาน ลงนามโดย นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายกฤษฎา บุญราช ผู้ช่วยเลขาธิการสภากาชาดไทย และศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ขอขอบคุณสภากาชาดไทย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติที่ให้ความร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุข นำเทคโนโลยีชีวมิติ ทั้งการจำลายม่านตา และการจดจำใบหน้า มาใช้ระบุตัวตน ของบุคคลที่ไม่มีเอกสารประจำตัว ผ่านการลงนาม MOU การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีระบุตัวตน ของบุคคลที่ไม่มีเอกสารประจำตัวในประเทศไทย เพื่อการสาธารณสุขและช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม เชื่อมั่นว่าระบบที่ร่วมกันพัฒนาขึ้นนี้ จะช่วยให้การดูแลสุขภาพ การป้องกัน ควบคุมโรค การให้บริการทางการแพทย์ รวมถึงการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม สามารถดำเนินการได้อย่างถูกต้อง แม่นยำ ครอบคลุม โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ช่วยคุ้มครองสิทธิมนุษยชน และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ของกลุ่มบุคคลที่ไม่มีเอกสารประจำตัวเหล่านี้ รวมถึงสามารถต่อยอดไปสู่ การพัฒนาด้านการศึกษา วิจัย แก่บุคลากร ในระบบการแพทย์และสาธารณสุขไทย

“เชื่อมั่นว่าความร่วมมือระหว่าง 3 หน่วยงาน ในครั้งนี้ จะช่วยขับเคลื่อนระบบสาธารณสุขไทย ให้เข้มแข็ง ทันสมัย ตอบโจทย์ความท้าทายด้านสุขภาพและมนุษยธรรม ได้อย่างแท้จริง นำไปสู่ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม สร้างคุณประโยชน์แก่การแพทย์ และการสาธารณสุขของประเทศ รวมถึงเกิดประโยชน์สูงสุดต่อพี่น้องประชาชนต่อไป”นายสมศักดิ์ กล่าว

นอกจากนี้ นายสมศักดิ์ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า วันนี้ เป็นความภาคภูมิใจของกระทรวงสาธารณสุข ที่ได้ช่วยแก้ปัญหาแรงงานที่เข้ามาอย่างผิดกฎหมาย โดยแรงงานที่เข้ามาจะมีทะเบียน กับอีกส่วนไม่มีทะเบียน ซึ่งแรงงานผิดกฎหมาย เมื่อมีโรคภัยไข้เจ็บ เราไม่สามารถติดตามได้ ดังนั้น สิ่งที่แก้ปัญหา คือ การใช้เทคโนโลยีระบุตัวตนในการถ่ายม่านตา ก็จะสามารถแก้ปัญหาได้ รวมถึงจะสามารถหยุดการระบาดของโรคที่หายไปจากประเทศไทยได้อีกด้วย

เมื่อถามถึงอนาคตทางการเมือง นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ต้องดูเรื่องของการโหวตตั้งนายกรัฐมนตรี ในวันพรุ่งนี้ โดยกรรมการบริหารพรรค คงมีข้อมูลในการตัดสินใจ หรือ จะดำเนินการในรูปแบบไหน ก็ต้องรอฟังผู้บริหารที่จะตัดสินใจ โดยคาดว่า ในช่วงบ่ายๆเย็นๆ คงมีการแจ้งสมาชิก เมื่อถามต่อว่า ถ้าพรุ่งนี้ มีการเปลี่ยนแปลง นโยบายกระทรวงสาธารณสุข จะมีปัญหาหรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า รอให้ถึงพรุ่งนี้ แล้วมีการเปลี่ยนแปลง ก็จะมีเรื่องอื่นๆตามมา เราอย่าไปคิดอะไรมากมาย ซึ่งพรรคก็ต้องดำเนินการให้สมบูรณ์

เมื่อถามว่า มีคนไปย้อนดูนายสมศักดิ์ เป็นฝ่ายรัฐบาลตลอด รอบนี้จะอย่างไร นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ตอนนี้เป็นกลางเทอม ก็ต้องไปตามวิถีทางระบอบประชาธิปไตย ไม่ใช่เป็นการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งการเลือกตั้งใหม่ ก็ต้องทำให้พรรคการเมืองของเรา มีคะแนนเสียงจำนวนมาก จะได้เป็นแกนนำตั้งรัฐบาล

/////////

สธ. ร่วมมือ สภากาชาดไทย สวทช. ใช้ข้อมูลชีวมิติระบุตัวตน เน้นในกลุ่มต่างด้าว ประชากรแฝง ที่ไม่มีเอกสารประจำตัว เพื่อการป้...
04/09/2025

สธ. ร่วมมือ สภากาชาดไทย สวทช. ใช้ข้อมูลชีวมิติระบุตัวตน เน้นในกลุ่มต่างด้าว ประชากรแฝง
ที่ไม่มีเอกสารประจำตัว เพื่อการป้องกันควบคุมโรคในประเทศ และช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม

กระทรวงสาธารณสุข ร่วมมือกับ สภากาชาดไทย และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ พัฒนาการใช้เทคโนโลยีข้อมูลชีวมิติ (Biometric) ในการระบุตัวตนของบุคคลที่ไม่มีเอกสารประจำตัวในประเทศไทย พบมีความถูกต้อง และแม่นยำสูงถึง 99.75% เพิ่มความครอบคลุมในการป้องกันควบคุมโรค ให้บริการทางการแพทย์ และช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม

วันนี้ (4 กันยายน 2568) ที่ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานในพิธีบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีระบุตัวตนของบุคคลที่ไม่มีเอกสารประจำตัวในประเทศไทย เพื่อการสาธารณสุขและช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม โดยมี นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ท่าน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายกฤษฎา บุญราช ผู้ช่วยเลขาธิการสภากาชาดไทย และ ศาสตราจารย์ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ เป็นผู้ลงนาม

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข มีนโนบายส่งเสริมการใช้ข้อมูลชีวมิติ (Biometric) ในการยืนยันตัวตนของกลุ่มประชากรต่างด้าว กลุ่มชาติพันธุ์ ผู้หนีภัยการสู้รบตามแนวชายแดน ที่ไม่มีเอกสารระบุตัวตน ซึ่งจะช่วยในการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรค เนื่องจากเมื่อเจ็บป่วย หรือรับวัคซีนป้องกันโรค หรือเมื่อเกิดภัยพิบัติ คนกลุ่มนี้จะไม่อยู่ในฐานข้อมูลส่งผลให้ไม่ได้รับความช่วยเหลือ โดยได้ร่วมกับสภากาชาดไทย และ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ พัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีระบุตัวตน Thai Red Cross Biometric Authentication System (TRCBAS) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการรู้จำลายม่านตา (Iris Recognition) และการรู้จำใบหน้า (Face Recognition) เพื่อเก็บข้อมูลชีวมิติ สนับสนุนระบบบริการทางการแพทย์และสาธารณสุข ในการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม โดยจากข้อมูลของสำนักบริหารแรงงานต่างด้าว เดือนกรกฎาคม 2568 ระบุว่า มีแรงงานต่างด้าวทั่วราชอาณาจักร 2,222,905 คน ในจำนวนนี้มีสถานะไม่ถูกกฎหมายกว่า 1 ล้านคน การพัฒนาเทคโนโลยีระบุตัวตนครั้งนี้จึงเป็นประโยชน์อย่างมาก ทั้งต่อสุขภาพส่วนบุคคลและด้านสาธารณสุขของประเทศ โดยดำเนินการภายใต้หลักธรรมาภิบาลข้อมูลภาครัฐ

“การนำเทคโนโลยีชีวมิติมาใช้ นอกจากช่วยให้การดูแลสุขภาพ ป้องกันควบคุมโรค การให้บริการทางการแพทย์ และช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม สามารถดำเนินการได้อย่างถูกต้อง แม่นยำ และครอบคลุม ยังแสดงให้เห็นถึงการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของกลุ่มบุคคลที่ไม่มีเอกสารประจำตัวในประเทศไทย รวมถึงสามารถต่อยอดในด้านการศึกษา วิจัย ของบุคลากรสาธารณสุขไทย ที่จะนำไปพัฒนาให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชนได้” นายสมศักดิ์กล่าว

ด้านนายกฤษฎา กล่าวว่า สภากาชาดไทย เป็นหน่วยงานองค์กรสาธารณกุศลแห่งชาติ มีภารกิจในการบรรเทาทุกข์ บำรุงสุข บำบัดโรค กำจัดภัย เพื่อประโยชน์สุขและเป็นที่พึ่งของประชาชน ปกป้องคุ้มครองชีวิตและสุขภาพของทุกคน ได้ร่วมกับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ พัฒนาเทคโนโลยีการถ่ายภาพม่านตาและจดจำใบหน้าเพื่อใช้ในการระบุตัวตนในผู้ที่ไม่มีเอกสาร เป็นผลสำเร็จ สำหรับความร่วมมือฯ ฉบับนี้ สภากาชาดไทย จะเป็นผู้ให้การสนับสนุนเชิงนโยบาย และอุปกรณ์ เครื่องมือในการบันทึกข้อมูลลายม่านตาและใบหน้า ตลอดจนทรัพยากรอื่นๆ ที่จำเป็น เพื่อยกระดับบริการด้านสาธารณสุขและการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีแก่ทุกคนที่อาศัยในประเทศไทย

ศาสตราจารย์ชูกิจ กล่าวว่า ระบบพิสูจน์และยืนยันตัวตนด้วยเทคโนโลยีรู้จำลายม่านตา หรือ Thai Red Cross Biometric Authentication System (TRCBAS)” เป็นระบบที่ทีมวิจัยของศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือเนคเทค ร่วมกับสภากาชาดไทย พัฒนาขึ้นโดยประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการยืนยันตัวตนด้วยการจดจำลายม่านตาและใบหน้า มาใช้ในการตรวจสอบบุคคลก่อนรับบริการด้านสาธารณสุขและการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ซึ่งข้อมูลชีวมิติจากลายม่านตาเป็นส่วนที่มีความเป็นเอกลักษณ์สูง คงทน และปลอมแปลงได้ยาก โดยความร่วมมือครั้งนี้จะมีการนำระบบ TRCBAS ไปขยายผลใช้งานในสำนักงานควบคุมโรคเขตเมือง โรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขในพื้นที่เป้าหมาย อาทิ สมุทรสาคร ตาก แม่ฮ่องสอน และโรงพยายาบาลเอกชนที่มีการขึ้นทะเบียนบริการตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าว ซึ่งปัจจุบันมีแรงงานต่างด้าวลงทะเบียนในระบบแล้วมากกว่า 2 แสนคน การประมวลผลของระบบ มีความถูกต้องและแม่นยำสูงถึง 99.75%
4 กันยายน 2568

องคมนตรีเชิญสิ่งของพระราชทานไปมอบแก่ผู้ประสบอุทกภัยพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนวันนี้ (5 ก.ย. 68) เวลา 10.00 น. นายพลากร สุว...
04/09/2025

องคมนตรีเชิญสิ่งของพระราชทานไปมอบแก่ผู้ประสบอุทกภัยพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน
วันนี้ (5 ก.ย. 68) เวลา 10.00 น. นายพลากร สุวรรณรัฐ องคมนตรีในฐานะนายกมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นประธานรับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์อุทกภัย งในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ณ ห้องประชุมขุนลุมประพาส ศาลากลางจังหวัดแม่ฮ่องสอน อ.เมืองแม่ฮ่องสอน จ.แม่ฮ่องสอน โดยมี นายกองเอก อรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายกองเอก นิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร อธิบดีกรมการปกครอง นายกองเอก เชษฐา โมสิกรัตน์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายกองเอก เอกวิทย์ มีเพียร ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน นายอำเภอ และหัวหน้าส่วนราชการ ร่วมประชุมและรายงานการเกิดอุทกภัย
องคมนตรีได้กล่าวถึงการดำเนินการช่วยเหลือประชาชนของทุกส่วนราชการ โดยฝากให้ทุกส่วนราชการได้ร่วมกันน้อมนำพระบรมราโชบายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในการให้ความช่วยเหลือราษฎรให้เป็นไปด้วยความรวดเร็วและทั่วถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการซ่อมแซมระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน ระบบประปา และอ่างเก็บน้ำห้วยโป่งที่ได้รับความเสียหาย เพื่อให้ประชาชนได้กลับมาใช้ชีวิตอย่างเป็นปกติสุขโดยเร็ว
จากนั้น ในเวลา 10.30 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ นายพลากร สุวรรณรัฐ องคมนตรี ร่วมกับมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ เชิญสิ่งของพระราชทานไปมอบแก่ผู้ประสบอุทกภัย จำนวน 200 ชุด มอบแก่ผู้ประสบอุทกภัย และมอบให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน และนายอำเภอ จำนวน 795 ชุด ณ สนามกีฬากลางจังหวัดแม่ฮ่องสอน เพื่อเชิญไปมอบแก่ผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่บรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น พร้อมเชิญพระราชกระแสทรงห่วงใยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี ไปกล่าวให้กำลังใจผู้ประสบอุทกภัย ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมาทั้ง 2 พระองค์ได้ทรงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด พร้อมกันนี้ ได้เชิญพระราชกระแสทรงชื่นชมหน่วยงานราชการและจิตอาสาที่ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย และยังได้เชิญถุงพระราชทานสำหรับเด็กซึ่งทรงบรรจุสิ่งของเครื่องใช้จำเป็นสำหรับเด็ก ได้แก่ ตุ๊กตาผ้าห่ม เป้อุ้มเด็ก นมผง สำลี ผ้าอ้อมสำเร็จรูป ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด และผลิตภัณฑ์ซักล้างสำหรับเด็ก มอบแก่เด็ก อายุตั้งแต่แรกเกิด จนถึง 2 ขวบ จำนวน 10 คน ส่วนอีก 252 ถุง จะเชิญไปมอบแก่เด็กที่ได้รับผลกระทบต่อไป นอกจากนี้ องคมนตรี และคณะ ยังได้ลงพื้นที่เชิญสิ่งของพระราชทานไปมอบแก่ผู้ประสบอุทกภัย จำนวน 5 ครัวเรือน ในพื้นที่หมู่ที่ 12 ตำบลผาบ่อง อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน อีกด้วย
จังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้รับอิทธิพลของพายุไต้ฝุ่น “คาจิกิ” ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่บริเวณประเทศ สปป.ลาว ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามันประเทศไทยและอ่าวไทย มีกำลังแรง คาดว่าจะอ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชัน และหย่อมความกดอากาศต่ำ กำลังแรง ตามลำดับ เคลื่อนตัวเข้าปกคลุมภาคเหนือ ทำให้พื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนเกิดฝนตกหนักถึงหนักมาก ตั้งแต่วันที่ 26 - 29 สิงหาคม 2568 โดยเมื่อวันที่ 27 สิงหาคมที่ผ่านมา เกิดเหตุอุทกภัย น้ำป่าไหลหลากในพื้นที่อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน อำเภอปาย อำเภอปางมะผ้า อำเภอแม่ลาน้อย อำเภอขุนยวม และอำเภอแม่สะเรียง ส่งผลให้มีพื้นที่ได้รับผลกระทบ รวม 27 ตำบล 110 หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน 7,231 ครัวเรือน บ้านเรือนได้รับความเสียหายทั้งหลัง 18 หลัง บ้านเรือนเสียหายบางส่วน 158 หลัง มีผู้เสียชีวิต 2 คน ผู้บาดเจ็บ 1 คน และผู้เสียหาย 1 คน พื้นที่การเกษตรได้รับความเสียหาย 1,468 ไร่ บ่อเลี้ยงปลา ได้รับความเสียหาย 96 บ่อ มีสัตว์ที่ตายและสูญหาย 686 ตัว นอกจากนี้ มีถนนสายหลัก 2 สายทาง ถนนสายรอง 4 สายทาง สะพาน 1 แห่ง อ่างเก็บน้ำบ้านห้วยโป่ง โรงเรียน 4 แห่ง และศาสนสถาน 4 แห่ง ได้รับความเสียหายด้วย
ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทย โดยกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ได้มอบหมายให้กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลางได้ติดตามการบริหารจัดการสาธารณภัยพร้อมเน้นย้ำการดำเนินการ ป้องกันและให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างเข้มข้นต่อเนื่องซึ่งจังหวัดแม่ฮ่องสอนได้บูรณาการร่วมกับทุกภาคส่วนในการให้ความช่วยเหลือและเยียวยาพี่น้องประชาชนผู้ได้รับความเดือดร้อนตามระเบียบและกฎหมายอย่างต่อเนื่อง ทั้งการจัดสรรวงเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน การแจกถุงยังชีพตามวงรอบ การประกอบเลี้ยงโรงครัวพระราชทาน รถน้ำดื่ม เครื่องจักรกลสาธารณภัย และการบูรณาการทุกภาคส่วนเข้าซ่อมแซมอาคารบ้านเรือนรวมถึงระบบไฟฟ้า ประปา ถนนหนทางต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบริการด้านการแพทย์และการสาธารณสุขเพื่อป้องกันโรคที่มาจากน้ำ ภยันอันตรายต่าง ๆ รวมถึงเยียวยาสภาพจิตใจของราษฎรที่บ้านเรือนเสียหายให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างเป็นปกติ
กองสารนิเทศ สป.มท.
ครั้งที่ 619/2568
วันที่ 5 ก.ย. 2568
ขอบคุณภาพ ส่วนประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขานุการกรม กรมการปกครอง

รมว.นฤมล เปิดเวที "AI for Education ปั้นคนไทยสู่อนาคต 5.0” เร่งนโยบายขับเคลื่อนมาตรฐานการศึกษาของชาติ  วันที่ 4 กันยายน ...
04/09/2025

รมว.นฤมล เปิดเวที "AI for Education ปั้นคนไทยสู่อนาคต 5.0” เร่งนโยบายขับเคลื่อนมาตรฐานการศึกษาของชาติ
วันที่ 4 กันยายน 2568 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการสัมมนาวิชาการ การขับเคลื่อนมาตรฐานการศึกษาของชาติ “AI for Education ปั้นคนไทยสู่อนาคต 5.0” โดยมี รศ.ดร.ประวิต เอราวรรณ์ เลขาธิการสภาการศึกษา Mr.Phinith Chanthalangsy, Regional Advisor for Social and Human Sciences, UNESCO Regional Office in Bangkok ดร.นิติ นาชิต รองเลขาธิการสภาการศึกษา นางอำภา พรหมวาทย์ ที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนการศึกษา พร้อมด้วย ผู้บริหาร ครู นักเรียน นักศึกษาในกรุงเทพและปริมณฑล และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน จำนวนกว่า 400 คน เข้าร่วม ณ ห้องราชาบอลรูม ชั้น 11 โรงแรมปรินซ์พาเลซ กรุงเทพมหานคร และถ่ายทอดสดผ่านช่องทาง Facebook “สภาการศึกษา”
ศ.ดร.นฤมล กล่าวเปิดงานพร้อมมอบนโยบายการขับเคลื่อนมาตรฐานการศึกษาของชาติสู่การปฏิบัติใจความสำคัญว่า กระทรวงศึกษาธิการ มีนโยบายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านการศึกษานำมาตรฐานการศึกษาของชาติ ไปเป็นกรอบในการดำเนินงานที่มุ่งสู่ “การศึกษาเพื่อความเป็นเลิศ และการศึกษาเพื่อความมั่นคง” ควบคู่ไปกับการใช้ “เทคโนโลยี” และเน้นที่ผู้เรียนเป็นสำคัญ การสัมมนานี้เป็นเวทีเริ่มต้นที่สำคัญ ที่ร่วมกันหาแนวทางในการใช้เทคโนโลยี AI อย่างมีประสิทธิภาพ นำข้อคิดเห็นไปปรับใช้และผลักดันนโยบายให้เป็นรูปธรรม รวมถึงมองภาพอนาคตของการศึกษาไทยในภาพรวาม มี AI และมาตรฐานการศึกษาเป็นเข็มทิศ เพื่อไปสู่การเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพ พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ได้อย่างยั่งยืนในยุค 5.0 ต่อไป
รศ.ดร.ประวิต กล่าวว่า การส่งเสริมความเข้าใจและการนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ในการศึกษา เพื่อพัฒนาทักษะของคนไทยให้พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต เป็นการต่อยอดจากมาตรฐานการศึกษาของชาติ พ.ศ. 2561 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเตรียมคนไทยให้เป็นผู้เรียนรู้ ผู้ร่วมสร้างสรรค์นวัตกรรม และพลเมืองที่เข้มแข็ง สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ร่วมกับหน่วยงานการศึกษาที่เกี่ยวข้องเพื่อขับเคลื่อนตลอดมา เพื่อตอบรับยุค AI และอนาคต 5.0 เล็งเห็นและตระหนักถึงประโยชน์และความสำคัญในการพัฒนานโยบายการศึกษา มาตรฐานการศึกษา การจัดการเรียนการสอนโดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ และการสนับสนุนทางเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อพัฒนาคนไทยให้มีสมรรถนะสูงตอบโจทย์การพัฒนาประเทศและแข่งขันในเวทีโลกได้
Mr.Phinith กล่าวว่า ความท้าทายของ AI ในการศึกษาทาง UNESCO มองเกี่ยวกับจริยธรรมของ AI ที่ประยุกต์ใช้กับการศึกษา
จะต้องพัฒนามาตรฐานทั้ง 4 ด้านอย่างต่อเนื่อง ได้แก่เรียนรู้เพื่อรู้ (Learn to know) เรียนรู้เพื่อปฏิบัติ (Learn to do) เรียนรู้เพื่อเป็น (Learn to be) เรียนรู้เพื่อการเรียนรู้ (Learn to learn) เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย UNESCO ได้แนะนำใน 4 ประเด็น ได้แก่ 1. ใช้มาตรฐานสากลที่มีอยู่แล้ว เช่น UNESCO Competency Framework for Teachers & for Learners on AI 2. ใช้ AI ในการวางแผนการศึกษาและการจัดการโรงเรียน ไม่จำกัดแค่การออกแบบหลักสูตรเท่านั้น 3. พัฒนาและเสริมสร้างคุณภาพของศาสตร์ที่ไม่ใช่เทคนิค เช่น สังคมศาสตร์ การศึกษาพลเมือง ประวัติศาสตร์ ฯลฯ ซึ่งเป็นศาสตร์ที่ช่วยให้เด็กเติบโตอย่างมีมนุษยธรรม 4. ส่งเสริมการวิจัยสหวิทยาการเกี่ยวกับผลกระทบของ AI ต่อคนรุ่นใหม่
ช่วงเสวนา ในหัวข้อ “AI for Education ปั้นคนไทยสู่อนาคต 5.0” มีผู้เชี่ยวชาญจากหลายภาคส่วนมาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ได้แก่ รศ.ยืน ภู่วรวรรณ ดร.ประภาพรรณ วิภาตวิทย์ ผู้เชี่ยวชาญอาวุโสด้านปัญญาประดิษฐ์และบูรณาการข้อมูล สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (BDI) นางสุภารัตน์ จูระมงคล ผู้อำนวยการด้านทักษะ AI, Microsoft Thailand ดร.ชัยวุฒิ เลิศวนสิริวรรณ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ซึ่งมีข้อคิดเห็นที่น่าสนใจ ในด้านการพัฒนาบุคลากรและหลักสูตรครอบคลุมตั้งแต่ระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลายไปจนถึงการสะสมหน่วยกิตในระดับอุดมศึกษา เน้นความสำคัญของวิทยาการคอมพิวเตอร์เป็นพื้นฐาน จริยธรรม AI, Machine Learning เป็นต้น และการส่งเสริมสมรรถนะครูด้าน AI เพื่อให้ครูสามารถนำเทคโนโลยี AI ไปใช้ในชั้นเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างความตระหนักรู้และทักษะด้าน AI ให้แก่นักเรียน
จากนั้น ช่วง Show Cases & Best Practices เป็นกรณีศึกษาที่ประสบความสำเร็จ เช่น “นวัตกรรม Super AI Engineer ของเยาวชนไทย” “การผลิต AI Innovator”และ “สร้างเกราะคุ้มกันดิจิทัล: แนวทางจริยธรรม AI สำหรับการศึกษาไทย” โดยมีผู้แทนจากสมาคมปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย เยาวชน โรงเรียน วิทยาลัย และมหาวิทยาลัย นำเสนอดังกล่าว นอกจากนี้ ภายในงานยังมีบูธนิทรรศการแสดงผลงานทางวิชาการในการขับเคลื่อนมาตรฐานการศึกษาของชาติสู่การปฏิบัติและการพัฒนาหลักสูตรจากสถานศึกษาต่างๆ เช่น โรงเรียนนวัตกรรมยุคใหม่ หลักสูตรวิศวกรรม AI ระดับมัธยมศึกษา การจัดการศึกษาเพื่อส่งเสริม Low carbon เป็นต้น ซึ่งผลจากการประชุมจะถูกรวบรวมเพื่อวิเคราะห์ประเด็นสำคัญในเชิงข้อเสนอนโยบายเกี่ยวกับ AI for Education สำหรับประเทศไทยต่อไป สามารถรับชมย้อนหลัง ได้ที่ https://www.facebook.com/share/v/1FPXgcYYDW/

กรมพัฒน์ เปิด 5 หลักสูตรวิถีชุมชน เรียนออนไลน์ฟรี! ได้วุฒิบัตร ต่อยอดทำกินนายเดชา พฤกษ์พัฒนรักษ์ อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงง...
04/09/2025

กรมพัฒน์ เปิด 5 หลักสูตรวิถีชุมชน เรียนออนไลน์ฟรี! ได้วุฒิบัตร ต่อยอดทำกิน

นายเดชา พฤกษ์พัฒนรักษ์ อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เปิดเผยว่า กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน ได้ดำเนินการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานให้แก่กลุ่มเป้าหมายทุกเพศทุกวัย เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้ในการประกอบอาชีพหลักหรืออาชีพเสริม มีรายได้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน และส่งผลต่อการเติบโตของระบบเศรษฐกิจของประเทศอีกด้วย และเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากยิ่งขึ้น กรมพัฒนาฝีมือแรงงานได้นำระบบ e-Learning มาใช้ในการพัฒนาทักษะฝีมือ ทำให้เกิดความยืดหยุ่นในการเรียนรู้ (ไม่จำกัดสถานที่และเวลา) เข้าถึงเนื้อหาได้ตลอดเวลา ประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาเดินทาง ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต นอกจากนี้ e-Learning ยังช่วยให้องค์กรสามารถอัปเดตเนื้อหาได้ทันที และช่วยพัฒนาทักษะดิจิทัลให้แก่ผู้เรียนอีกด้วย

นายเดชา กล่าวต่อไปว่า ซึ่งล่าสุดมีการอัพ 5 หลักสูตรที่เป็นเทรนด์ในการยกระดับวิถีชุมชนและวิสาหกิจต่างๆ ให้มีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น ประกอบด้วย 1. หลักสูตรการเริ่มต้นสู่อาชีพผู้ประกอบการ 2. หลักสูตรการประกอบอาหารท้องถิ่นตามวิถีชุมชน 3. หลักสูตรทักษะการตลาดออนไลน์ 4. หลักสูตรการแปรรูปผลไม้ตามฤดูกาล และ5. หลักสูตรการควบคุมคุณภาพตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน แต่ละหลักสูตรใช้เวลาในการอบรมประมาณ 1 ชั่วโมง ผ่านการอบรมจะได้วุฒิบัตรของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน สนใจสมัครเรียนได้ฟรีได้ที่ https://learnskill.dsd.go.th

“ทุกหลักสูตรที่กล่าวมาจะมีส่วนในการพัฒนาและยกระดับทักษะฝีมือแรงงานของทุกคน ไม่ว่าเพศไหน ประกอบอาชีพอะไรหรือกำลังว่างงาน สามารถเข้าอบรมเรียนรู้ได้จะเป็นไอเดียสำคัญในการต่อยอดเป็นอาชีพหลักหรืออาชีพเสริมได้เช่นกัน” อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กล่าว

กรมควบคุมโรค เผยสถานการณ์โรค Mpox ยืนยันผู้ป่วยรักษาหายได้ ส่วนใหญ่ไม่รุนแรง – ป้องกันโดยหลีกเลี่ยงสัมผัสใกล้ชิด       ก...
04/09/2025

กรมควบคุมโรค เผยสถานการณ์โรค Mpox ยืนยันผู้ป่วยรักษาหายได้ ส่วนใหญ่ไม่รุนแรง – ป้องกันโดยหลีกเลี่ยงสัมผัสใกล้ชิด

กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เผยสถานการณ์โรคฝีดาษวานร (Mpox) ในประเทศไทยพบผู้ป่วยรายใหม่ลดลงเมื่อเปรียบเทียบ ณ ช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเพศชาย มีประวัติเดินทางมาจากต่างประเทศ และพร้อมเน้นย้ำโรคฝีดาษวานรป้องกันได้โดยการหลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่มีผื่น ตุ่มหนอง หรือแผลที่ผิวหนัง งดใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น หมั่นล้างมือ ใส่หน้ากากอนามัยในสถานที่แออัด และหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กับบุคคลที่ไม่รู้จัก
วันนี้ (4 กันยายน 2568) นายแพทย์ภาณุมาศ ญาณเวทย์สกุล อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ข้อมูลจากการเฝ้าระวังสถานการณ์โรคฝีดาษวานร (Mpox) โดยกองระบาดวิทยา ในสัปดาห์ที่ 34 (17 – 23 สิงหาคม 2568) พบผู้ป่วยรายใหม่ 5 ราย เป็นผู้ป่วยในจังหวัดชลบุรี 3 ราย ขอนแก่นและกรุงเทพมหานคร แห่งละ 1 ราย และเฉพาะในปี พ.ศ. 2568 มีผู้ป่วยสะสม 61 ราย ไม่พบรายงานผู้เสียชีวิต ยังคงพบผู้ป่วยต่อเนื่องทุกสัปดาห์มีแนวโน้มสูงขึ้นตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นมา โดยตั้งแต่เกิดการระบาดในปี พ.ศ. 2565 จนถึงปัจจุบัน ประเทศไทยมีผู้ป่วยสะสม 933 ราย เสียชีวิต 13 ราย ส่วนใหญ่มีปัจจัยเสี่ยงจากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน มีเพศสัมพันธ์กับคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักก่อนป่วย การสัมผัสแนบเนื้อกับผู้ป่วย จากข้อมูลยังพบผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงหรือเสียชีวิต ส่วนใหญ่เป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวี (HIV) บางรายเพิ่งตรวจพบว่าติดเชื้อ ขณะที่บางรายทราบอยู่แล้วแต่ไม่ได้รับยาต้านไวรัส (ARV) เพื่อกดเชื้ออย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันต่ำ ร่างกายต่อสู้กับโรคอื่นได้น้อยลง จึงมีความเสี่ยงอาการรุนแรงมากกว่าคนทั่วไป
“สำหรับข้อมูลผู้ป่วยรายใหม่ 5 ราย อายุระหว่าง 18 – 39 ปี ปัจจัยเสี่ยงหลักมาจากการสัมผัสที่เกี่ยวข้องกับการมีเพศสัมพันธ์ ในสัปดาห์นี้ยังไม่พบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์ clade lb ภายในประเทศ และยังไม่มีรายงานผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงหรือเสียชีวิต ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) รายงานว่า ผู้ป่วยโรคฝีดาษวานรทั่วโลกยังพบต่อเนื่อง โดยเฉพาะภูมิภาคแอฟริกากลางและตะวันออก และบางประเทศในตะวันออกกลาง ซึ่งยังคงมีความเสี่ยงต่อการพบผู้ติดเชื้อที่นำเข้าจากต่างประเทศ กรมควบคุมโรคยังคงเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด โดยคัดกรองผู้เดินทางจากประเทศเสี่ยง ให้ความรู้สุขศึกษาแก่ประชากรกลุ่มเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งกำชับบุคลากรทางการแพทย์และโรงพยาบาลเฝ้าระวัง หากพบผู้ป่วยสงสัยติดเชื้อ ให้รายงานเข้าสู่ระบบเฝ้าระวังทันที กรมควบคุมโรคขอยืนยันว่า ประเทศไทยมีระบบเฝ้าระวังและการดูแลรักษาผู้ป่วยที่มีความพร้อม ขอให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนก แต่ควรเฝ้าระวังและปฏิบัติตามมาตรการป้องกันตนเองอย่างต่อเนื่อง” อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าว
สำหรับแนวทางการรักษา ผู้ป่วยโรคฝีดาษวานรจะได้รับการรักษาตามความรุนแรงของอาการผู้ป่วยและขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้ดูแลรักษา โดยมี 2 แนวทาง ได้แก่ 1. กรณีผู้ป่วยที่มีอาการน้อย หรือมีอาการไม่รุนแรง จะได้รับการรักษาตามอาการโดยแยกกักตัวที่บ้าน (Home Isolation) แต่หากไม่สามารถแยกกักตัวที่บ้านได้ ก็จะได้รับการรักษาที่โรงพยาบาล และ 2. กรณีผู้ป่วยที่มีโอกาสเสี่ยงต่อโรครุนแรงหรือมีภาวะแทรกซ้อน จะได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัส เทคโควิริแมท (Tecovirimat) เพื่อลดความเสี่ยง อาการแทรกซ้อน โดยในระหว่างการรักษาควรแยกตัวจากผู้อื่นนานประมาณ 21 วัน หรือจนกว่า ผื่น ตุ่ม จะตกสะเก็ดและหลุดลอกออกหมด เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น
นายแพทย์ดิเรก ขำแป้น รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวเพิ่มเติมว่า โรคนี้สามารถป้องกันได้โดยหลีกเลี่ยงการสัมผัสแนบชิดกับผู้ป่วยหรือผู้ที่สงสัยติดเชื้อฝีดาษวานร รวมทั้งหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กับบุคคลที่ไม่รู้จัก และสังเกตอาการเบื้องต้นได้ด้วยตนเอง หากมีผื่น/ตุ่มขึ้นบริเวณอวัยวะเพศ ทวารหนัก ปาก หรือตามร่างกาย และมีประวัติสัมผัสแนบชิด หรือมีเพศสัมพันธ์กับผู้ป่วยสงสัย หรือผู้ป่วยยืนยันโรคฝีดาษวานร รวมทั้งกลุ่มผู้ดูแลผู้ป่วยสงสัยหรือผู้ป่วยยืนยันโรคฝีดาษวานร ให้สังเกตภายหลังสัมผัสผู้ป่วยภายใน 21 วัน หากมีอาการ ไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ต่อมน้ำเหลืองโต เช่น บริเวณหลังหู คอ ขาหนีบ เจ็บคอ คัดจมูก หรือ ไอ มีผื่น หรือตุ่มน้ำหรือตุ่มหนองขึ้นบริเวณอวัยวะเพศ หรือ ทวารหนัก หรือ บริเวณรอบ ๆ ตามมือ เท้า หน้าอก ใบหน้า หรือบริเวณปาก ให้รีบเข้ารับ
การตรวจที่สถานบริการสุขภาพ หรือโรงพยาบาล โดยแจ้งอาการและประวัติเสี่ยงทันที เพื่อรับการรักษาอย่างถูกต้อง
กรมควบคุมโรคขอเน้นย้ำว่า “โรคฝีดาษวานรสามารถป้องกันได้โดยหลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย งดใช้สิ่งของร่วมกัน และสวมถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์ พร้อมทั้งสังเกตตุ่มหนองในบริเวณที่มีโอกาสสัมผัสแนบเนื้อ เพื่อป้องกันความเสี่ยงรับเชื้อจากการสัมผัส”สำหรับคลินิกรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวี ขอให้เพิ่มการสื่อสารมาตรการป้องกันโรคฝีดาษวานรอย่างสม่ำเสมอควบคู่กับเรื่องการดูแลสุขภาพอื่น ๆ โดยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422
ข้อมูลจาก : กองระบาดวิทยา/กองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์/สำนักสื่อสารความเสี่ยงฯ กรมควบคุมโรค
วันที่ 4 กันยายน 2568

ที่อยู่

160/419
Ban Bang Khu Wat
12000

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ หนังสือพิมพ์ ประเด็นรัฐผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์