หนังสือพิมพ์ ประเด็นรัฐ

หนังสือพิมพ์ ประเด็นรัฐ หนังสือพิมพ์ เพื่อเผยแพร่ ข่าวของก?

นายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีพระราชทานเพลิงศพ นายสุทธิรักษ์ ทรงศิวิไล ม.ป.ช., ม.ว.ม. อดีตเลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญวัน...
01/10/2025

นายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีพระราชทานเพลิงศพ นายสุทธิรักษ์ ทรงศิวิไล ม.ป.ช., ม.ว.ม. อดีตเลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ
วันนี้ (1 ต.ค. 68) เวลา 17.00 น. ที่เมรุวัดมกุฏกษัตริยาราม ราชวรวิหาร กรุงเทพฯ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีพระราชทานเพลิงศพ นายสุทธิรักษ์ ทรงศิวิไล ม.ป.ช., ม.ว.ม. อดีตเลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ โดยมีบุคคลสำคัญและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ อาทิ ศาสตราจารย์ ดร.นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นางณัฐฏ์จารี อนันตศิลป์ เลขาธิการคณะรัฐมนตรี ร่วมพิธี
นายสุทธิรักษ์ ทรงศิวิไล สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี รัฐศาสตรบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และปริญญาโท Master of Arts (Political Science) Sul Ross State University, U.S.A. ในด้านการรับราชการ บรรจุเข้ารับราชการในตำแหน่ง ปลัดอำเภอ กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย และย้ายไปดำรงตำแหน่ง บุคลากร กองอัตรากำลังและส่งเสริมสมรรถภาพ กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย โดยได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติราชการเป็นเลขานุการรองอธิบดีกรมการปกครอง เลขานุการอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน และเลขานุการรองปลัดกระทรวงมหาดไทย
จากนั้น โอนย้ายไปดำรงตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มงานวิจัยและวิชาการ 3 สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ และได้รับแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการสำนักประธานศาลรัฐธรรมนูญ ผู้อำนวยการสำนักอำนวยกิจการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหาร และได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ทรงคุณวุฒิด้านบริหาร รองเลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ และเมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2566 ได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ
ด้านการฝึกอบรม นายสุทธิรักษ์ ทรงศิวิไล ผ่านการศึกษาอบรมหลักสูตรที่สำคัญหลายหลักสูตร อาทิ นายอำเภอ รุ่นที่ 45 วิทยาลัยการปกครอง กรมการปกครอง หลักสูตรนักปกครองระดับสูง รุ่นที่ 44 สถาบันดำรงราชานุภาพ สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย หลักสูตรการบริหารงานภาครัฐและกฎหมายมหาชน รุ่นที่ 6 สถาบันพระปกเกล้า หลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) รุ่นที่ 61 วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร
นายสุทธิรักษ์ ทรงศิวิไล ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสูงสุด มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.) และมหาวชิรมงกุฎ (ม.ว.ม.)
นายสุทธิรักษ์ ทรงศิวิไล ถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2568 สิริอายุ 60 ปี
กองสารนิเทศ สป.มท.
ครั้งที่ 723/2568
วันที่ 1 ต.ค. 2568

กระทรวงแรงงานคว้าความสำเร็จระดับโลก ไทยก้าวสู่ “Significant Advancement”  การขจัดแรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายที่สุดในรอบ...
01/10/2025

กระทรวงแรงงานคว้าความสำเร็จระดับโลก ไทยก้าวสู่ “Significant Advancement” การขจัดแรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายที่สุดในรอบ 6 ปี

วันที่ 1 ตุลาคม 2568 – กระทรวงแรงงานสหรัฐอเมริกา (US DOL) เผยรายงานสถานการณ์การขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายที่สุด ประจำปี 2567 (Findings on the Worst Forms of Child Labor 2024 หรือ TDA Report) โดยประเทศไทยได้รับการประเมินในระดับ “มีความก้าวหน้าอย่างมีนัยสำคัญ” (Significant Advancement) ถือเป็นความสำเร็จในรอบ 6 ปี ที่ไทยก้าวจากระดับ “ปานกลาง” สู่ระดับสูงสุดในเวทีโลก
นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ในฐานะประธานคณะกรรมการระดับชาติเพื่อขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย เปิดเผยว่า ผลการประเมินครั้งนี้เกิดจากความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ในการยกระดับมาตรฐานแรงงานและคุ้มครองเด็กอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการออกกฎกระทรวง ฉบับที่ 15 (พ.ศ. 2567) เพื่อให้ความคุ้มครองอายุขั้นต่ำของลูกจ้างทำงานบ้าน
ต้องไม่ต่ำกว่า 15 ปี ซึ่งสอดคล้องกับมาตรฐานสากล รวมถึงการผลักดันนโยบายรัฐบาลเพื่อเปิดโอกาสให้บุคคลไร้รัฐไร้สัญชาติกว่า 477,000 คน ได้รับสัญชาติ สามารถช่วยให้เด็กกว่า 142,000 คน ที่อาจเสี่ยงต่อการถูกแสวงหาประโยชน์ให้สามารถเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐาน การศึกษา และความมั่นคงทางเศรษฐกิจได้มากขึ้น ซึ่งผลการประเมินดังกล่าวสะท้อนถึงความสำเร็จและภาพลักษณ์ของประเทศไทยในเวทีการค้าระหว่างประเทศ และยังมีผลต่อการพิจารณาให้สิทธิพิเศษทางภาษีจากสหรัฐอเมริกาอีกด้วย โดยประเทศไทยเป็น 1 ใน 9 ประเทศของโลก และเป็นประเทศเดียวในกลุ่มประเทศอาเซียนที่มีความก้าวหน้าในระดับสูงสุด
ด้าน เรือเอก สาโรจน์ คมคาย อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า TDA Report จัดทำขึ้นภายใต้กฎหมายว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (Trade and Development Act) ของสหรัฐอเมริกา โดยมีการประเมินความก้าวหน้าในการดำเนินการขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายของประเทศคู่ค้าจำนวน 131 ประเทศทั่วโลกในรอบปี 2567 เพื่อกระตุ้นให้ประเทศต่าง ๆ เร่งความพยายามในการยกระดับการป้องกัน
และแก้ไขปัญหาการใช้แรงงานเด็ก ครอบคลุมถึงการแสวงหาประโยชน์จากเด็กในเชิงพาณิชย์โดยการค้ามนุษย์ ทั้งนี้ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ได้ดำเนินมาตรการที่สำคัญ ได้แก่ การตรวจแรงงานทั้งในภาคส่วนที่มีการจ้างงานอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการครอบคลุม 115 อุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงสูง เช่น เกษตร ประมง และเครื่องนุ่งห่ม ซึ่งอยู่ในบัญชีสินค้าที่มีการใช้แรงงานเด็กและแรงงานบังคับ การจัดทำแนวปฏิบัติการใช้แรงงานที่ดี (GLP) ที่ภาคเอกชนกว่า 418 แห่งในอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มนำไปใช้ในการบริหารจัดการด้านแรงงานแล้ว รวมถึงการบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานภาคีในการเร่งรัดดำเนินคดีค้ามนุษย์เด็กที่เพิ่มขึ้นกว่า 10% เมื่อเทียบกับปีก่อน
“ความสำเร็จครั้งนี้เป็นเพียงก้าวแรกของไทยในการบริหารจัดการแรงงานที่ปลอดภัย เป็นธรรม และยั่งยืน ทัดเทียมตามมาตรฐานสากล เพื่อคุ้มครองเด็ก เยาวชน และแรงงานทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียมและมีคุณภาพชีวิตที่ดี ทำให้เด็กและเยาวชนไทยมีการเติบโตอย่างมีคุณภาพ สามารถเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้าอย่างมั่นคง และยั่งยืนต่อไป” รมว.แรงงาน กล่าวทิ้งท้าย

เริ่มแล้ว!  “ตรีนุช” เปิดให้แรงงานเมียนมาในพื้นที่พักพิง 4.2 หมื่นคน  ออกทำงานถูกกฎหมาย แก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานภาคธุรกิจนา...
01/10/2025

เริ่มแล้ว! “ตรีนุช” เปิดให้แรงงานเมียนมาในพื้นที่พักพิง 4.2 หมื่นคน ออกทำงานถูกกฎหมาย แก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานภาคธุรกิจ

นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2568 เห็นชอบแนวทางผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวที่พำนักอยู่ในพื้นที่พักพิงชั่วคราวสำหรับผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา สามารถออกมาทำงานนอกพื้นที่ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงแรงงานได้ออกประกาศร่วมกันมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานในภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม พร้อมทั้งสนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยเปิดโอกาสให้คนต่างด้าวที่มีศักยภาพ สามารถเข้าร่วมทำงานภายใต้ระบบที่ถูกต้องตามกฎหมาย

นายพิเชษฐ์ ทองพันธ์ อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า แรงงานกลุ่มนี้เป็นผู้พำนักอยู่ในพื้นที่พักพิงชั่วคราว 9 แห่ง ใน 4 จังหวัด ได้แก่ แม่ฮ่องสอน ตาก กาญจนบุรี และราชบุรี โดยกรมการปกครองได้ขึ้นทะเบียนไว้แล้ว และได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ เพื่อให้สามารถทำงานได้เป็นระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี นับตั้งแต่วันที่มีคำสั่งอนุญาต โดยขั้นตอนการดำเนินการมี 6 ขั้นตอน ดังนี้
1. นายจ้างที่ประสงค์จะจ้างแรงงาน ต้องไปคัดเลือกคนต่างด้าวในพื้นที่พักพิงชั่วคราว

2. แจ้งรายชื่อคนต่างด้าว พร้อมสถานที่ทำงาน และระยะเวลาการจ้างงาน ณ สำนักงานจัดหางานจังหวัดต้นทาง
ซึ่งพื้นที่พักพิงชั่วคราวสำหรับผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมาตั้งอยู่ในเขตพื้นที่รับผิดชอบ

3. ยื่นคำขอออกนอกเขตพื้นที่ควบคุมเพื่อไปทำงาน ต่อนายอำเภอหรือปลัดอำเภอที่ได้รับมอบหมายในเขตท้องที่ที่ผู้ขออนุญาตพำนักอยู่ในเขตพื้นที่ควบคุม พร้อมใบรับแจ้งข้อมูลคนต่างด้าว ที่ประสงค์จะออกไปทำงานนอกเขตควบคุม

4. คนต่างด้าวรายงานตัวต่อกรมการปกครองในจังหวัดปลายทางภายใน 48 ชั่วโมง ในเขตกรุงเทพมหานคร ให้รายงานตัวต่อผู้อำนวยการสำนักกิจการความมั่นคงภายใน ส่วนจังหวัดอื่นให้รายงานต่อนายอำเภอ

5. นายจ้างนำคนต่างด้าวไปตรวจสุขภาพ ณ สถานพยาบาลของรัฐ และทำประกันสุขภาพตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยการตรวจสุขภาพและประกันสุขภาพคนต่างด้าว

6. นายจ้างนำคนต่างด้าวยื่นคำขออนุญาตทำงาน พร้อมเอกสารและหลักฐานตามที่ระบุไว้ในแบบคำขอ และชำระค่าธรรมเนียม 100 บาท ในการยื่นครั้งแรก ณ สำนักงานจัดหางานจังหวัด ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของสถานประกอบการ ส่วนครั้งถัดไปจะมีค่าธรรมเนียมการขออนุญาตทำงานปีละ 900 บาท และค่าธรรมเนียมการยื่นคำขอ 100 บาท คนต่างด้าวสามารถทำงานกับนายจ้างได้ทุกประเภทงานที่ไม่มีประกาศห้ามคนต่างด้าวทำ

นายพิเชษฐ์ กล่าวต่อว่า จากสำรวจผู้ที่อยู่ในพื้นที่พักพิงชั่วคราวทั้ง 9 แห่ง ซึ่งเป็นวัยแรงงานที่พร้อมทำงาน อายุระหว่าง 18 – 59 ปี จำนวน 42,601 คน โดยในจำนวนนี้ มีแรงงานที่ประสงค์พร้อมทำงานจำนวน 12,000 คน ขณะที่มีนายจ้างแจ้งความประสงค์จ้างแรงงานแล้วจำนวน 6,152 คน สำหรับประเภทกิจการที่มีความต้องการแรงงานมากที่สุด ได้แก่ กิจการก่อสร้างการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ เกษตรและปศุสัตว์ ประมง การผลิตหรือจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม ตามลำดับ

ทั้งนี้ กรมการจัดหางานขอความร่วมมือจากนายจ้างและสถานประกอบการที่ประสงค์จะจ้างแรงงานกลุ่มดังกล่าว ให้ศึกษารายละเอียดแนวทางการดำเนินการ และปฏิบัติตามขั้นตอนให้ครบถ้วน หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทั่วประเทศ สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1–10 สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร. 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน

"ปลัดฯ สมฤกษ์" วาง 5 นโยบาย “สานต่อ วางรากฐาน ร่วมพัฒนา” เพื่อระบบสาธารณสุขที่ยั่งยืนปลัดกระทรวงสาธารณสุข เดินหน้า “สานต...
01/10/2025

"ปลัดฯ สมฤกษ์" วาง 5 นโยบาย “สานต่อ วางรากฐาน ร่วมพัฒนา” เพื่อระบบสาธารณสุขที่ยั่งยืน

ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เดินหน้า “สานต่อ วางรากฐาน ร่วมพัฒนา” เพื่อระบบสาธารณสุขที่ยั่งยืนตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ภายใต้นโยบาย 5 ประเด็น เพิ่มประสิทธิภาพบริการ ลดความเหลื่อมล้ำ, สร้างสุขภาพดีทุกช่วงวัย, เพิ่มขีดความสามารถ นวัตกรรม และสุขภาพดิจิทัล, เพิ่มมูลค่าเชิงเศรษฐกิจสุขภาพ และสร้างขวัญกำลังใจ/คุณภาพชีวิตที่ดีของบุคลากร

วันนี้ (1 ตุลาคม 2568) ที่สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.สมฤกษ์ จึงสมาน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ครั้งที่ 7/2568 ซึ่งเป็นครั้งแรกของปีงบประมาณ 2569 และเป็นครั้งแรกภายหลังดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงสาธารณสุข โดยกล่าวถึงแนวทางในการทำงานว่า จะสร้างความร่วมมือกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการขับเคลื่อนกระทรวงสาธารณสุขภายใต้การนำของ นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้บรรลุเป้าหมายเพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน ทั้งในระยะสั้น 4 เดือน และในระยะยาว 4 ปี ผ่านนโยบายการดำเนินงาน 5 ประเด็น ได้แก่

1.เพิ่มประสิทธิภาพระบบบริการสุขภาพเชิงพื้นที่ ลดความเหลื่อมล้ำ ด้วยแนวทาง One Region-One Province-One Hospital บริหารทรัพยากรโรงพยาบาลร่วมกันในระดับเขต, พัฒนาบริการเฉพาะทาง ศูนย์ความเป็นเลิศในทุกเขตสุขภาพ เพิ่มทางเลือกการเข้ารับบริการพรีเมียมคลินิก, เพิ่มประสิทธิภาพการบริการปฐมภูมิ ให้ประชาชนทุกคนมีหมอประจำตัวดูแล, เสริมความพร้อมการตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน และเพิ่มการเข้าถึงบริการสุขภาพในพื้นที่ กทม. 2.สร้างสุขภาพดีทุกช่วงวัย คนไทยแข็งแรง ส่งเสริมให้เด็กมีพัฒนาการสมวัย วัยเรียน/วัยรุ่นมี IQ EQ ดี วัยทำงานพฤติกรรมสุขภาพดี ลดภาวะพึ่งพิงในผู้สูงอายุ มีระบบดูแลสุขภาพระยะยาว, ยกระดับการควบคุมป้องกันโรค NCDs และจัดการสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีสุขภาพดี เช่น ระบบบำบัดนํ้าเสีย ลดการปล่อยคาร์บอนในหน่วยบริการสุขภาพ พัฒนาโรงพยาบาลเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

3.เพิ่มขีดความสามารถ นวัตกรรมทางการแพทย์และสาธารณสุข ดิจิทัลสุขภาพ ระบบข้อมูลสุขภาพอัจฉริยะ โดยพัฒนาระบบดิจิทัลสุขภาพเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียว สร้างคลังข้อมูลสุขภาพขนาดใหญ่ของประเทศ, พัฒนา Telemedicine นวัตกรรม ปัญญาประดิษฐ์ทางการแพทย์ สนับสนุนการวิจัยและการผลิตผลิตภัณฑ์การแพทย์มูลค่าสูง (ATMPs) และพัฒนาเทคโนโลยีการแพทย์แม่นยำ 4.เพิ่มมูลค่าเชิงเศรษฐกิจสุขภาพ โดยเพิ่มมูลค่าบริการสุขภาพ ผลิตภัณฑ์สุขภาพ สมุนไพรไทย การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ อุตสาหกรรมสุขภาพ คลินิกแพทย์แผนไทยร่วมสมัย, ผลิตและพัฒนาผู้ดูแล (Caregiver) และนวดไทยมืออาชีพ ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์ และ 5.บุคลากรมีขวัญ กําลังใจ และคุณภาพชีวิตการทำงานที่ดี โดยมีการบริหารจัดการกำลังคนที่คล่องตัว ลดข้อจำกัด ปรับปรุงกฎหมาย ระเบียบ แนวปฏิบัติให้เอื้อต่อการพัฒนา พร้อมเดินหน้าร่าง พ.ร.บ.กระทรวงสาธารณสุข, กระจายบุคลากรในเขตสุขภาพอย่างเหมาะสม และสร้างแรงจูงใจ สวัสดิการ ความก้าวหน้า เพื่อรักษากำลังคนในพื้นที่ พร้อมสร้างเสริมคุณภาพชีวิต สิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยในการทำงาน
1 ตุลาคม 2568

"มท.ก้อย-ศศิธร" ลุยงานทันทีภายหลังแถลงนโยบายต่อรัฐสภา เชิญ 3 หน่วยงานในกำกับถกแนวทางขับเคลื่อนภารกิจ ย้ำ "สร้างรายได้-ลด...
01/10/2025

"มท.ก้อย-ศศิธร" ลุยงานทันทีภายหลังแถลงนโยบายต่อรัฐสภา เชิญ 3 หน่วยงานในกำกับถกแนวทางขับเคลื่อนภารกิจ ย้ำ "สร้างรายได้-ลดรายจ่ายประชาชน" เพื่อบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ทำให้ประชาชนมีความสมบูรณ์พูนสุขอย่างยั่งยืน
วันนี้ (1 ต.ค. 68) เวลา 13.30 น. ที่ห้องประชุมดำรงธรรม อาคารศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย น.ส.ศศิธร กิตติธรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.4) เรียกประชุมหารือการขับเคลื่อนงานภารกิจหน่วยงานสังกัดกระทรวงมหาดไทยในกำกับ ได้แก่ กรมการพัฒนาชุมชน (พช.) องค์การตลาด (อต.) และองค์การจัดการน้ำเสีย (อจน.) โดยมี คณะทำงาน มท.4 พร้อมด้วย นายสุรศักดิ์ อักษรกุล อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นายบูรณิศ ยุกตะนันทน์ ผู้อำนวยการองค์การตลาด และนายชีระ วงศบูรณะ ผู้อำนวยการองค์การจัดการน้ำเสีย พร้อมด้วยผู้บริหารและเจ้าหน้าที่กลุ่มงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมหารือ
น.ส.ศศิธร กล่าวว่า รัฐบาลและกระทรวงมหาดไทย ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้มีนโยบายที่ชัดเจนในการขับเคลื่อนงานเพื่อแก้ไขปัญหาด้านต่าง ๆ รวมถึงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้กับประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของกระทรวงมหาดไทย ท่านนายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำแนวทางการทำงาน คือการบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ทำให้ประชาชนอุดมสมบูรณ์พูนสุข ด้วยความทันโลก ทันเหตุการณ์ ทันสมัยทันท่วงที ดังนั้น ตนในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย จึงได้นำแนวทางดังกล่าวมุ่งทำงานโดยทันที ด้วยเพราะคณะรัฐมนตรีได้เริ่มนับหนึ่งตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป และจะขับเคลื่อนต่อเนื่องจนครบ 4 เดือน ตามที่นายกรัฐมนตรีได้ประกาศต่อรัฐสภาและสาธารณชน
น.ส.ศศิธร ได้เน้นย้ำให้ 3 หน่วยงานในกำกับให้ความสำคัญกับการประชาสัมพันธ์เชิงรุก เพื่อสร้างการรับรู้ประชาชนในทุกมิติ ทำให้ประชาชนได้รับรู้และเข้าใจผลผลิตงานอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมทั้งกำหนดเป้าหมายสำคัญร่วมกัน คือ "การสร้างรายได้และลดรายจ่ายให้กับพี่น้องประชาชน" โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งเสริมสินค้าผลิตภัณฑ์ชุมชนท้องถิ่นและสินค้า OTOP การขยายช่องทางการตลาดที่เข้าถึงง่ายและเป็นธรรม รวมถึงการยกระดับมาตรฐานสินค้าและบริการประชาชน เพื่อให้การดำเนินงานของกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานในกำกับเกิดผลสัมฤทธิ์ ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน ตลอดจนยกระดับเศรษฐกิจฐานรากอย่างแท้จริง
“จากการประชุมหารือร่วมกับท่านอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน รวมถึงท่านผู้อำนวยการองค์การตลาด และผู้อำนวยการองค์การจัดการน้ำเสีย ซึ่งทั้ง 3 หน่วยงานในกำกับ ต่างก็มีภารกิจและอำนาจหน้าที่ที่มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตประจำวันของพี่น้องประชาชน โดยตนได้เน้นย้ำกับท่านอธิบดีและท่านผู้อำนวยการในการขับเคลื่อนงานตามแผนและนโยบายที่นายกรัฐมนตรีได้กำชับ โดยมุ่งเน้นให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่พี่น้องประชาชน ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง พร้อมทั้งยืนยันว่าในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย จะได้ลงไปติดตามการปฏิบัติงาน สนับสนุนและเสริมการทำงานของทุกหน่วยงานให้ได้รับความสะดวก รวดเร็ว และเต็มที่ เพื่อประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง ทั้งยังมีแผนที่จะลงพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ เพื่อหารือข้อราชการร่วมกับข้าราชการในพื้นที่ ซึ่งจะทำให้การขับเคลื่อนนโยบายและภารกิจของส่วนกลางสอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับผู้ปฏิบัติในพื้นที่ อีกทั้งยังเป็นการรับฟังเสียงสะท้อนเพื่อนำมาปรับปรุงการทำงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด” น.ส.ศศิธร กล่าวเพิ่มเติม
สำหรับกรมการพัฒนาชุมชน มีหน้าที่ในการส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้และการมีส่วนร่วมของประชาชน เสริมสร้างเศรษฐกิจชุมชนฐานรากให้มีความมั่นคงและมีเสถียรภาพ ด้วยข้อมูลสารสนเทศ ศึกษา วิเคราะห์ วิจัย จัดทำยุทธศาสตร์ชุมชน ฝึกอบรมและพัฒนาบุคลากรที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาชุมชน งานสัมมาชีพชุมชน การส่งเสริมผู้ประกอบการ OTOP กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี โดยมุ่งพัฒนาทักษะการประกอบอาชีพด้วยต้นทุนของพื้นที่ น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสู่การปฏิบัติจนเป็นวิถีชีวิต เพื่อให้ประชาชนมีงาน มีอาชีพ มีรายได้ที่มั่นคง พึ่งพาตนเองได้ และชุมชนเข้มแข็งอย่างยั่งยืน
องค์การตลาด เป็นรัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงมหาดไทย ที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการพัฒนาและบริหารเครือข่ายตลาดภาครัฐ และส่งเสริมตลาดร่วมเอกชน เพื่อการกระจายสินค้าอุปโภคบริโภคและสินค้าชุมชน ด้วยการบริหารพื้นที่ตลาด 5 แห่ง ได้แก่ ตลาดสาขาปากคลองตลาด เขตพระนคร กรุงเทพฯ ตลาดสาขาหนองม่วง อ.หนองม่วง จ.ลพบุรี ตลาดสาขาลำพูน อ.เมืองลำพูน จ.ลำพูน ตลาดสาขาบางคล้า อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา และตลาดสาขาตลิ่งชัน เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ รวมถึงภารกิจด้านธุรกิจอื่น เช่น การจำหน่ายข้าวสารและอาหารดิบให้แก่เรือนจำและส่วนราชการต่าง ๆ
องค์การจัดการน้ำเสีย เป็นรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย ทำหน้าที่จัดให้มีระบบบำบัดน้ำเสียรวม ให้บริการรับบริหารจัดการระบบบำบัดน้ำเสียทั้งในและนอกเขตพื้นที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เสริมประสิทธิภาพการจัดการน้ำเสียในเชิงเศรษฐกิจ ครอบคลุมตั้งแต่การออกแบบ ก่อสร้าง ปรับปรุง ฟื้นฟู และบริหารจัดการระบบบำบัดน้ำเสียชุมชน พร้อมทั้งจัดทีมวิชาการและหน่วยให้บริการองค์ความรู้ และการสร้างภาคีเครือข่ายด้านการจัดการน้ำเสียทั่วประเทศ
กองสารนิเทศ สป.มท.
ครั้งที่ 723/2568
วันที่ 1 ต.ค. 2568

“ชูชีพ-จุมพฏ” เข้าสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวงมหาดไทย ในโอกาสเดินทางเข้าปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่ง "รองปลัดกระทรวงมห...
01/10/2025

“ชูชีพ-จุมพฏ” เข้าสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวงมหาดไทย ในโอกาสเดินทางเข้าปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่ง "รองปลัดกระทรวงมหาดไทย"
วันนี้ (1 ต.ค. 68) เวลา 07.09 น. นายชูชีพ พงษ์ไชย รองปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยนายจุมพฏ วรรณฉัตรสิริ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เดินทางเข้าสักการะศาลพระชัยมงคล ศาลพระกาฬไชยศรี และพระอนุสาวรีย์ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ องค์ปฐมเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย และสักการะพระรูป ในโอกาสเข้าปฏิบัติหน้าที่รองปลัดกระทรวงมหาดไทย โดยนางวีณา วรรณฉัตรสิริ อุปนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ร่วมสักการะด้วย โดยมี หัวหน้าหน่วยงาน ข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ ในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ร่วมให้การต้อนรับ
ทั้งนี้ นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้ลงนามคำสั่งกระทรวงมหาดไทย ที่ 2996/2568 ลงวันที่ 1 ต.ค. 2568 มอบอำนาจปฏิบัติราชการแทนปลัดกระทรวงมหาดไทยให้แก่รองปลัดกระทรวงมหาดไทย 4 ท่าน ได้แก่ 1. นายพรพจน์ เพ็ญพาส รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านกิจการความมั่นคงภายใน (ม) รวมถึงการกำกับดูแลภาคกลางและภาคใต้ชายแดน กรมการปกครอง กรมที่ดิน 2. นายสันติธร ยิ้มละมัย รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านพัฒนาชุมชนและส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (ถ) กำกับดูแลภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กรมการพัฒนาชุมชน กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น 3. นายชูชีพ พงษ์ไชย รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ด้านบริหาร (บ) กำกับดูแลภาคเหนือ และหน่วยงานในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทยที่มิได้เป็นกลุ่มงานตามกลุ่มภารกิจหรือกลุ่มงานเฉพาะด้าน 4. นายจุมพฏ วรรณฉัตรสิริ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านสาธารณภัยและพัฒนาเมือง กำกับดูแลภาคใต้ (ยกเว้นภาคใต้ชายแดน) และภาคตะวันออก กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และกรมโยธาธิการและผังเมือง และ 5. หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย กำกับดูแลการปฏิบัติราชการของผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทยทั้ง 18 เขตตรวจราชการ และสำนักตรวจราชการและเรื่องราวร้องทุกข์
กองสารนิเทศ สป.มท.
ครั้งที่ 722/2568
วันที่ 1 ต.ค. 2568

ปลัด มท. ผนึกกำลังทีม "ผ้าไทยใส่ให้สนุก" ลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ น้อมนำพระดำริ "เจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ" ถ่ายทอดแนวทางพัฒน...
01/10/2025

ปลัด มท. ผนึกกำลังทีม "ผ้าไทยใส่ให้สนุก" ลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ น้อมนำพระดำริ "เจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ" ถ่ายทอดแนวทางพัฒนาศักยภาพด้านงานผ้าและงานหัตถกรรมแก่เยาวชนคนรุ่นใหม่ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนอย่างยั่งยืน
วันนี้ (1 ต.ค. 68) เวลา 10.00 น. นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการสร้างการรับรู้และเผยแพร่พระอัจฉริยภาพทางด้านการยกระดับและพัฒนามรดกภูมิปัญญาผ้า และหัตถกรรมไทย ตามพระดำริสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ครั้งที่ 5 จัดโดย สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ณ วินทรี ซิตี้ รีสอร์ต เชียงใหม่ อ.เมืองเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่ โดยมี นายทศพล เผื่อนอุดม ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ นายวรงค์ แสงเมือง รองอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าฯ เชียงราย นายอุดมศักดิ์ ขาวหนูนา รองผู้ว่าฯ แม่ฮ่องสอน นายชัชวาลย์ ปัญญา นายวีรพงศ์ ฤทธิ์รอด นายศิวะ ธมิกานนท์ นายศิวะกร บัวป้อง รองผู้ว่าฯ เชียงใหม่ นายอัศนี บูรณุปกรณ์ นายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ นางสาวนัชชา บรรณจักร์ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์นายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ คณะวิทยากร และนักศึกษาผู้เข้ารับการฝึกอบรม จำนวนกว่า 100 คน ร่วมงาน
โอกาสนี้ นายอรรษิษฐ์ และผู้ร่วมงาน ได้ร่วมกันรับชมวีดีทัศน์ถ่ายทอดพระกรณียกิจด้านการสืบสานและต่อยอดภูมิปัญญาผ้าไทยของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ซึ่งพระองค์ได้ทุ่มเทพระวรกาย ด้วยพระอัจฉริยภาพ เสด็จไปส่งงานในทุกแห่งหนทั่วทั้งประเทศไทย พร้อมทั้งเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมเชิงสร้างสรรค์ของไทยไปยังนานาอารยประเทศทั่วโลก จากนั้น นายอรรษิษฐ์ นำผู้ร่วมงานเปิดกรวยกระทงดอกไม้ธูปเทียนแพถวายราชสักการะเบื้องหน้าพระรูปสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา แล้วจึงกล่าวเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการ
นายอรรษิษฐ์ กล่าวว่า สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงมุ่งมั่นในการแบ่งเบาพระราชภาระของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ในการสืบสานพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ด้านการอนุรักษ์และต่อยอดภูมิปัญญาผ้าไทยและงานหัตถกรรมไทย เพื่อเป็นอาชีพให้กับประชาชนได้สร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ที่มั่นคง โดยเสด็จไปทุกภาค และโปรดให้คณะทำงานโครงการผ้าไทยใส่ให้สนุก ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นโค้ชลงไป coaching ทั้งการตัดเย็บ การให้สี บรรจุภัณฑ์ต่าง ๆ ให้มีการพัฒนาขึ้นมากมายในวงการผ้าไทย เรียกได้ว่า พระองค์ทรงยกระดับและสนับสนุนให้เกิดการต่อยอดภูมิปัญญาผ้าไทยให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายและสร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการอย่างเพิ่มพูน
นายอรรษิษฐ์ กล่าวอีกว่า วันนี้เรามากันที่จังหวัดเชียงใหม่ และพรุ่งนี้คณะจะไปประชุมเชิงปฏิบัติการที่จังหวัดลำพูน ซึ่งตนรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ไปร่วมในวันพรุ่งนี้ เพราะหากย้อนไปเมื่อ 8 ปีที่แล้ว ตนได้มาดำรงตำแหน่ง ผู้ว่าฯ ลำพูน เมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2560 และได้ใช้ชีวิตเดินทางไปมาระหว่างจังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดลำพูนอยู่เสมอ แต่การอยู่ที่ลำพูน ทำให้ได้มีโอกาสไปห่มผ้า "จอมเจดีย์" ณ วัดพระธาตุหริภุญชัย ซึ่งคนทั่วไปหรือนักท่องเที่ยวจะไม่ทราบว่า ในภาคเหนือของประเทศไทยมี "จอมเจดีย์เพียงแห่งเดียว" อันหมายถึง เจดีย์ที่มีอายุเกินกว่า 1,000 ปี คือ พระธาตุหริภุญชัย เป็น 1 ใน 8 จอมเจดีย์ทั่วประเทศ ที่เมื่อทุกคนเดินทางไปยังจังหวัดลำพูน ต้องไปห่มผ้าเพื่อถวายสักการะเป็นมิ่งมงคลของชีวิต
"การประชุมเชิงปฏิบัติการฯ ในวันนี เป็นกิจกรรมที่สำคัญซึ่งน้อง ๆ เยาวชนจะได้ซึมซับรับรู้ว่า เรามีสิ่งที่มีคุณค่าของประเทศไทย ที่บรรพบุรุษของเราได้มอบไว้ให้ และเป็นที่โชคดีว่าพวกเรามีสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงลุกขึ้นมาเป็นผู้นำในการส่งเสริมสิ่งที่ดีเหล่านี้ให้ได้รับการต่อยอดควบคู่การส่งเสริมถ่ายทอดการเรียนรู้สู่คนรุ่นใหม่ อีกทั้งยังมีศิลปินและช่างหัตถกรรมมืออาชีพชั้นนำ มาร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับพวกเราในวันนี้ด้วย เช่น เชียงใหม่ศิลาดลดอยสะเก็ด อันเป็นงานหัตถกรรมชั้นเลิศคู่เมืองเชียงใหม่ ทั้งหลายทั้งปวงนี้แสดงให้เห็นถึง พื้นฐานของภูมิปัญญาที่ได้รับการสานต่อและต่อยอดให้มีความทันสมัย และยกระดับให้ Worldwide ด้วยความมุ่งมั่นของพวกเราทุกคน" นายอรรษิษฐ์ กล่าว
นายอรรษิษฐ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงมหาดไทยได้สนองพระกรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อม ตั้งแต่พระองค์ทรงเจริญพระชนมายุครบ 3 รอบ 36 พรรษา ด้วยการจัดพิมพ์หนังสือเผยแพร่พระอัจฉริยภาพและผลงานภูมิปัญญาการต่อยอดผ้าไทยและงานหัตถกรรมไทย รวมถึงหนังสือ Thai Textiles Trend Book เล่มต่าง ๆ และล่าสุด คือ หนังสือที่จัดทำขึ้นเนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมายุ 39 พรรษา “สิริวัณณวรีนารีรัตนราชพัสตราภรณ์ : แรงบันดาลใจแห่งการสร้างสรรค์ผืนผ้าและหัตถศิลป์ไทยร่วมสมัย” ที่สะท้อนถึงพระวิสัยทัศน์อันกว้างไกลที่พระองค์ทรงมุ่งที่จะเสริมสร้างศักยภาพและผลิตบุคลากรด้านงานผ้าและหัตถกรรมชาวไทยให้เพิ่มมากขึ้น เฉกเช่นเมื่อสมัยก่อนที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ "ปีแยร์ บัลแม็ง" ดีไซเนอร์ชื่อดังชาวฝรั่งเศสและผู้ก่อตั้ง "บัลแม็ง" แบรนด์แฟชั่นชั้นนำระดับโลกในอดีต ได้ออกแบบชุดไทยพระราชนิยม ประกอบกับการที่ทรงเล็งเห็นถึง "ความยั่งยืน" ที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) พระองค์จึงทรงเน้นย้ำในเรื่องการย้อมสีธรรมชาติทดแทนสีเคมี และใช้กุศโลบายต่าง ๆ เพื่อทำให้ประชาชนได้หันมาใช้สีธรรมชาติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและร่างกายผู้ผลิตและผู้สวมใส่ เหล่านี้ยังผลเป็นที่ประจักษ์ไปยังสายตานานาอารยประเทศในสากล กระทั่งองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ได้ประกาศเชิดชูพระเกียรติคุณและทูลเกล้าฯ ถวายเหรียญสดุดีพระกรณียกิจด้านการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรม การส่งเสริมงานวิจิตรศิลป์ รวมทั้งการขับเคลื่อนวัฒนธรรม ตลอดจน อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ในประเทศไทย เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2568
การประชุมเชิงปฏิบัติการในวันนี้ ได้รับเกียรติจากคณะวิทยากรโครงการผ้าไทยใส่ให้สนุก ได้แก่ ดร.ศรินดา จามรมาน ที่ปรึกษาโครงการผ้าไทยใส่ให้สนุก คุณธนันท์รัฐ ธนเสฏฐการย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านผ้าไทยและที่ปรึกษาโครงการผ้าไทยใส่ให้สนุก คุณศิริชัย ทหรานนท์ นักออกแบบและผู้ก่อตั้งแบรนด์ THEATER อาจารย์ ดร.กรกลด คำสุข รักษาการ ผอ.สำนักวิชาการสร้างสรรค์ วิทยาลัยอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ คุณภูภวิศ กฤตพลนารา ผู้ก่อตั้งและดีไซน์เนอร์แบรนด์ Issue อาจารย์ ดร.กิติศักดิ์ เยาวนานนท์ สาขาวิชาการสื่อสารเพื่อการท่องเที่ยว วิทยาลัยนวัตกรรมสื่อสารสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ อาจารย์ ดร.ฐิศิรักน์ โปตะวณิช สาขาวิชาการออกแบบสื่อปฏิสัมพันธ์และมัลติมีเดีย วิทยาลัยนวัตกรรมสื่อสารสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
โดยในช่วงเช้าเป็นการเสวนาถ่ายทอดแนวพระดำริและพระปณิธานในการสืบสาน รักษา และต่อยอดภูมิปัญญาผ้าไทย และในช่วงบ่าย เป็นการแบ่งกลุ่มฝึกปฏิบัติการและแลกเปลี่ยนเรียนรู้กระบวนการผลิตและจำหน่ายผ้าไทย เช่น การทอผ้า การย้อมสี การออกแบบตัดเย็บ การจัดทำบรรจุภัณฑ์ การตลาด การสื่อสารสังคม เป็นต้น
กองสารนิเทศ สป.มท.
ครั้งที่ 720/2568
วันที่ 1 ต.ค. 2568

กรมควบคุมโรค ห่วงใยผู้สูงวัย แนะครอบครัว ชุมชน ร่วมป้องกันอุบัติเหตุ เสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ปลอดภัย       เนื่องในวันผู...
01/10/2025

กรมควบคุมโรค ห่วงใยผู้สูงวัย แนะครอบครัว ชุมชน ร่วมป้องกันอุบัติเหตุ เสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ปลอดภัย

เนื่องในวันผู้สูงอายุสากล กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เดินหน้าส่งเสริมคุณภาพชีวิต และความปลอดภัยของผู้สูงอายุ โดยเน้นลดอุบัติเหตุจากการหกล้มและอุบัติเหตุทางถนน พร้อมชวนครอบครัวและชุมชนร่วมดูแล เพื่อให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีสุขภาพแข็งแรง และมีความสุข
วันนี้ (1 ตุลาคม 2568) นายแพทย์มณเฑียร คณาสวัสดิ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า ปัจจุบันประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ โดยมีจำนวนผู้สูงอายุมากกว่า 12 ล้านคน ซึ่งหนึ่งในปัญหาด้านสุขภาพที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุคือการหกล้ม โดยพบว่า 1 ใน 3 ของผู้สูงอายุมีการหกล้มทุกปี ส่งผลให้มีผู้เข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลจำนวนมาก โดยเป็นผู้ป่วยนอกประมาณ 350,000 รายต่อปี และเป็นผู้ป่วยในกว่า 85,000 รายต่อปี ขณะเดียวกันยังมีผู้สูงอายุเสียชีวิตจากการพลัดตกหกล้มมากกว่า 14,000 รายต่อปี
นอกจากนี้ อุบัติเหตุทางถนนในกลุ่มผู้สูงอายุมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูลจากสถิติระบุว่า จำนวนผู้สูงอายุที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า จาก 2,150 ราย ในปี 2554 เป็น 4,307 ราย ในปี 2567 ขณะที่การเสียชีวิตในช่วงวัยอื่นมีแนวโน้มลดลง โดยข้อมูลระหว่างปี 2561 - 2567 พบว่า ร้อยละ 81 ของผู้สูงอายุที่เสียชีวิตเป็นผู้ขับขี่เอง ร้อยละ 13.6 เป็นผู้โดยสาร และร้อยละ 4.9 เป็นคนเดินเท้า โดยที่รถจักรยานยนต์ยังคงเป็นยานพาหนะที่ก่อให้เกิดการเสียชีวิตมากที่สุดในกลุ่มผู้สูงอายุ คิดเป็นร้อยละ 82 จากสถานการณ์ดังกล่าว กรมควบคุมโรคจึงขอความร่วมมือจากครอบครัวและชุมชนในการดูแลผู้สูงอายุ โดยเฉพาะในเรื่องความปลอดภัยในการเดินทางและการดำเนินชีวิตประจำวัน ควรส่งเสริมให้ผู้สูงอายุเข้ารับการตรวจคัดกรองสุขภาพเป็นประจำ เฝ้าระวังภาวะเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ ทั้งในการใช้รถใช้ถนนและการเคลื่อนไหวภายในบ้าน
นายแพทย์เอนก มุ่งอ้อมกลาง รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวเพิ่มเติมว่า การคัดกรองสมรรถนะทางร่างกายของผู้สูงอายุเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะช่วยให้เราทราบถึงความสามารถหรือศักยภาพของร่างกายในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างปลอดภัย ซึ่งเมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายย่อมมีการเปลี่ยนแปลงตามวัย โดยเฉพาะด้านการมองเห็น การได้ยิน การทำงานของสมอง รวมถึงมวลกล้ามเนื้อที่ลดลง ดังนั้น เมื่อเราทราบถึงข้อจำกัดทางร่างกายแล้ว ก็จะสามารถออกแบบการดูแลให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคลได้ดีขึ้น ซึ่งแนวทางการดูแลผู้สูงอายุให้ปลอดภัยและมีคุณภาพชีวิตที่ดี ประกอบด้วยการปรับกิจกรรมให้เหมาะสมกับสภาพร่างกาย การใช้อุปกรณ์ช่วยเหลือที่ปลอดภัย การปรับปรุงสภาพแวดล้อมภายในบ้านให้เหมาะกับผู้สูงอายุ และที่สำคัญคือ การพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะที่ปลอดภัยและเข้าถึงง่าย เพื่อให้ผู้สูงวัยสามารถเดินทางได้สะดวกและลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุ หากมีข้อสงสัย สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422
ข้อมูลจาก : กองป้องกันการบาดเจ็บ/สำนักสื่อสารความเสี่ยงฯ กรมควบคุมโรค
วันที่ 1 ตุลาคม 2568

“พัฒนา-วรโชติ” ประชุมผู้บริหารระดับสูง สธ. นัดแรก ปีงบ 69 ประกาศเดินหน้า 5 เรื่อง ยกระดับระบบสุขภาพไทย ขับเคลื่อนเศรษฐกิ...
01/10/2025

“พัฒนา-วรโชติ” ประชุมผู้บริหารระดับสูง สธ. นัดแรก ปีงบ 69 ประกาศเดินหน้า 5 เรื่อง ยกระดับระบบสุขภาพไทย ขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ

2 รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข ประชุมผู้บริหารระดับสูงครั้งแรกของปีงบประมาณ 2569 แสดงความยินดีกับ 6 ผู้บริหารที่ได้รับตำแหน่งใหม่ พร้อมมอบนโยบายเดินหน้าเปลี่่ยนระบบสุขภาพไทยให้เป็นระบบคุณภาพ เพื่อสุขภาพดีของประชาชนและขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ ทั้ง 30 บาท รักษาทุกที่และ ฟอกไตฟรีได้ทุกแห่ง สร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพ เทคโนโลยีดิจิทัลด้านสุขภาพ Medical & Wellness Hub และขวัญกำลังใจบุคลากร ร่วมด้วยยกระดับ อสม. ปราบการกระทำผิดกฎหมายด้านสุขภาพ และลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพแรงงานต่างชาติ

วันนี้ (1 ตุลาคม 2568) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นายวรโชติ สุคนธ์ขจร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประชุมผู้บริหารระดับสูงกระทรวงสาธารณสุข ครั้งที่ 10/2568 ซึ่งเป็นครั้งแรกของปีงบประมาณ 2569 โดยนายพัฒนาได้กล่าวแสดงความยินดีกับผู้บริหารที่ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง 6 ท่าน ได้แก่ นพ.สมฤกษ์ จึงสมาน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ อธิบดีกรมการแพทย์ ภญ.สุภัทรา บุญเสริม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา นพ.สราวุฒิ บุญสุข อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ นพ.มณเฑียร คณาสวัสดิ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และ ดร.นพ.พงศธร พอกเพิ่มดี อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก และได้ย้ำว่าพร้อมที่จะสนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบายของกระทรวงสาธารณสุข ร่วมดูแลพี่น้องประชาชน และร่วมพัฒนาระบบสาธารณสุขของประเทศอย่างเต็มกำลังความรู้ความสามารถ

นายพัฒนากล่าวต่อว่า วันนี้ได้รับทราบโครงสร้างและบทบาทภารกิจของหน่วยงานกระทรวงสาธารณสุข และการดำเนินงานที่สำคัญ โดยตนได้ให้ทิศทางการดำเนินงานในการยกระดับระบบสุขภาพไทยให้เป็นเสาหลักของความมั่นคงและคุณภาพชีวิตของประชาชน ได้แก่ 1.30 บาท รักษาทุกที่ และ ฟอกไตฟรีได้ทุกแห่ง โดยขยายระบบ Telemedicine ให้ครอบคลุมทุก รพ.สต. และจัดให้มีเครื่องฉายแสงเพื่อการรักษาโรคมะเร็งครอบคลุมอย่างครอบคลุม 2.รอบรู้ เพื่ออยู่อย่างมีคุณภาพชีวิต มุ่งสร้างสังคมที่ประชาชนมีความรอบรู้เรื่องโรค การป้องกัน การดูแลตนเอง และการใช้บริการสุขภาพอย่างเหมาะสม มีข้อมูลสุขภาพที่เข้าถึงง่าย เข้าใจได้ และใช้ประโยชน์ได้จริง โดยภายใน 4 เดือน จะมีช่องทางให้ประชาชนเข้าถึงความรอบรู้ด้านสุขภาพ ผ่าน Super App ด้านสุขภาพ และเสริมพลังแอปพลิเคชันต่าง ๆ ของกระทรวงสาธารณสุข ให้เข้าถึงประชาชนได้ไม่น้อยกว่า 30% 3.หมอไม่ล้า ประชาชนไม่รอ เชื่อมต่อทุกบริการผ่านเทคโนโลยี โดยพัฒนาหมอพร้อม เป็น “หมอพร้อม+” คือ Super App ด้านสุขภาพที่ประชาชนเข้าถึงบริการทุกอย่างได้ในแอปฯ เดียว ข้อมูลสุขภาพเชื่อมโยงเป็นระบบเดียวกันทั้้งประเทศ ตลอดจนใช้เทคโนโลยีช่วยลดความซ้ำซ้อน เพิ่มความแม่นยำ และสนับสนุนบุคลากรด้วย AI Chatbot และ IoT รวมทั้งการสร้างคลังข้อมูลกลางด้านสุขภาพ สำหรับการวิเคราะห์ บริหารจัดการ และรายงานผลแบบ Real Time นอกจากนี้ จะร่วมขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลเรื่องคาร์บอน เครดิต ด้วยการเพิ่มพื้นที่สีเขียว การใช้รถยนต์ไฟฟ้า อาคารอนุรักษ์พลังงาน ตั้งเป้าสร้างพื้นที่สีเขียวในทุกโรงพยาบาล ไม่น้อยกว่า 25% ใน 4 เดือน

4.เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจใหม่ของประเทศ ด้วยการแพทย์มูลค่าสูง จะพัฒนาประเทศไทยสู่การเป็น Medical & Wellness Hub แห่งภูมิภาค พัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและความงามของไทย การให้บริการศัลยกรรมตกแต่งและแก้ไข สมุนไพรไทย นวดไทย ไปสู่ตลาดระดับโลก รวมทั้งผลักดันการแพทย์แม่นยำที่ใช้ข้อมูลจีโนมและ AI วางแผนการรักษาเฉพาะบุคคล ต่อยอดด้วยผลิตภัณฑ์ทางการแพทยขั้นสูง (ATMPs) โดยจะเห็นการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรม ได้แก่ พื้นที่นำร่องด้าน ATMPs ศูนย์ฝึกอบรมด้านการแพทย์แม่นยำ และ National ATMPs Center แผน Genomic Thailand ระยะที่ 2 รวมทั้งการ
ให้บริการปลูกถ่ายอวัยวะที่ครอบคลุมยิ่งขึ้น และ 5. ขวัญกำลังใจบุคลากร
โดยเร่งดำเนินการเรื่องค่าตอบแทนตามภาระงาน ให้เป็นธรรมและเหมาะสม จัดสรรอัตรากำลังและทีมสนับสนุนให้เพียงพอตามบริบทของพื้นที่ ดูแลสวัสดิการและพัฒนาศักยภาพบุคลากรให้สอดรับกับความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของโลก รวมถึงปรับปรุงโครงสร้าง กฎหมาย และระบบการทำงานให้ทันสมัย ลดภาระงานที่่ไม่จำเป็น

ด้าน นายวรโชติกล่าวว่า พร้อมสนับสนุนการยกระดับการบริการและหน่วยบริการสุขภาพทุกระดับให้ก้าวทันทุกความท้าทายด้านสุขภาพของโลก และก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางสุขภาพโลก โดยสร้างความเข้มแข็งของระบบสุขภาพตั้งแต่ฐานราก คือ อสม. ด้วยการพัฒนาศักยภาพให้มีความเชี่ยวชาญ มีกฎหมายคุ้มครอง พร้อมดูแลสวัสดิการค่าตอบแทน ส่วนการกระทำที่ผิดกฎหมายด้านสุขภาพ จะมีการปราบปรามอย่างเข้มงวด เพื่อสุขภาพและความปลอดภัยของคนไทย และจะวางระบบดูแลสุขภาพแรงงานต่างด้าว ให้มีการซื้อประกันสุขภาพและมีระบบเชื่อมโยงข้อมูล เพื่อให้ติดตามตรวจสอบได้ ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประเทศ รวมถึงแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าวนอกระบบ เพื่อความปลอดภัยของสุขภาพคนไทย และความมั่นคงของระบบสาธารณสุขไทย
1 ตุลาคม 2568

ที่อยู่

160/419
Ban Bang Khu Wat
12000

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ หนังสือพิมพ์ ประเด็นรัฐผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์