สะพานบุญ

สะพานบุญ แบ่งปัน ความรู้ธรรมะ ปฏิบัติธรรมตามคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอรหันต์ พระอริยะ ในพุทธศาสนา

09/07/2025

#หลวงตาเป็นอะไร ?
อีกเรื่องเล่าดีๆจากหลวงตาม้าที่ท่านควรจะอ่าน
ร่วมกดไลค์กดแชร์เพื่อเป็นธรรมทาน

หลวงตาเป็นอะไร ? หลายครั้งที่ใต้เงาถามหลวงตาในขณะที่เห็นท่านนอนจำวัดด้วยความเหนื่อยล้า.....

ท่านมักหันมายิ้มที่มุมปากแล้วบอกว่า ..นอน.. เหนื่อยนอนก่อน เดี๋ยวมีแรงค่อยไป ลุยต่อ และท่านก็จะหลับ ไปด้วยความเหนื่อยล้า
..เราได้แต่นั่งมองท่านด้วยสายตาที่เป็นห่วง เพราะเห็นภารกิจที่ท่านทำนั้น ต่อเนื่องและยาวนานเหลือเกิน....

หลายสิบปีที่ท่าน เดินทาง กับภารกิจ กิจนิมนต์มากมายมหาศาล ที่โปรดญาติโยม ด้วยกายสังขาร ที่เสื่อมไปตามกาลและเวลา ตามความเป็นจริงที่เป็นไปตามธรรมชาติ
.. น้อยคนจะรู้ว่าโรคประจำตัวของหลวงตาคือโรคปอด เหตุจากที่ท่านเก็บตัวอยู่ในถ้ำสมัยก่อนนาน จึงทำให้ท่านเป็นโรคปอด
ท่านจึงมีอาการเหนื่อย อ่อนแรงมากกว่าคนปกติ แต่ท่านก็จะไม่แสดงอาการ ท่านใช้ความเมตตา ขับเคลื่อน ร่างกายให้เข้มแข็ง
แต่ความร้อนและฝุ่นละอองมียังมีผลต่อท่านโดยตรง

ใต้เงาถามท่านเสมอว่าหลวงตาเหนื่อยไหม?

ท่านก็บอกว่าความเหนื่อยมันเป็นเรื่องปกติ เหนื่อยก็เหนื่อยอยู่แล้วร่างกายแก่ลงทุกวัน ไม่มีใครไม่แก่ไม่แก่วันนี้จะไปแก่วันไหน...

ใต้เงาถามท่านว่าแล้วทำไมท่านต้องเดินทางตลอด

ท่านตอบไม่ไปไม่ได้ เราทำงานให้หลวงปู่ ตั้งสัจจะอธิษฐานทำงานถวายหลวงปู่ ช่วยเหลือผู้คน ให้คนสวดจักรพรรดิ์ สร้างรูปลักษณ์หลวงปู่

ที่ไหนสร้างพระหรือมีคนมารอสวดมนต์ หลวงตาก็ต้องไปเพราะคือหน้าที่ที่ต้องทำ

สิ่งนี้มีประโยชน์สำคัญกว่าชีวิตเพราะชีวิตเกิดมาเพื่อสร้างประโยชน์เพื่อส่วนรวมมากกว่า ประโยชน์เพื่อส่วนตน

คนมารอสวดกับหลวงตา นึกถึงใจเขาใจเรา คนมาด้วยจิตศรัทธา เราก็ต้องไป

บางครั้งแม้ไกลขนาดไหนอากาศร้อนเพียงใด เราก็ต้องไปเพราะเห็นใจคนที่เขาศรัทธาและมารอ

เราเหนื่อยเราก็พักไม่นานหายเหนื่อยเราก็ไปลุยงานต่อ

หลวงตาคิดอยู่เสมอว่ายังมีลมหายใจไม่ทำตอนนี้แล้วจะทำตอนไหน

เมื่อยังรู้ตัวว่ายังหายใจจึงต้องทำความดีเร่งสร้างประโยชน์

สะสมความดีสร้างประโยชน์ไม่สร้างโทษ

คิดเพียงแค่นี้ให้ชีวิตนี้เกิดมาได้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นให้คุ้มค่ากับที่เราได้เกิดมา

....
ให้สวดมนต์อยู่กับหลวงปู่ เรียนรู้เข้าใจตัวเอง มุ่งสนใจพัฒนาตนเองอย่ามัวสนใจเรื่องคนอื่น

สนใจตัวเองพัฒนาตัวเอง ใครทำคนนั้นได้ ใครสวดคนนั้นได้

ให้อยู่กับบทสวดมนต์อย่าไปยุ่งเรื่องทางโลก ให้มากนัก

ให้บันทึกแต่บุญ

หลวงปู่และหลวงตาอยู่กับทุกท่านเสมอเจอกันในบทสวดมนต์

#ใต้เงาวิริยธโร

#หลวงตาม้าวัดถ้ำเมืองนะ

07/06/2025

ปฏิบัติธรรม ถือศีลภาวนา ต่อยอด บุญ ถึงความอยู่เย็นเป็นสุขด้วยเงิน พอเพียง 🥰

28/05/2025

9 วิธีเริ่มนั่งสมาธิเสริมพลังจิต ที่เหมาะสำหรับทั้งผู้เริ่มต้นและผู้มีประสบการณ์ โดยเน้นความเข้าใจง่ายและการนำไปใช้จริงได้ทันที:

🧘‍♀️ 1. เริ่มจากระยะเวลาสั้น ๆ
เริ่มต้นเพียงแค่ 5-10 นาทีต่อวัน ก็เพียงพอแล้วสำหรับมือใหม่ และค่อย ๆ เพิ่มเวลาเมื่อคุณเริ่มรู้สึกสบายขึ้น การฝืนตัวเองให้นั่งนานเกินไปในช่วงแรกอาจทำให้ท้อได้ง่าย

🌬️ 2. ใช้การหายใจเป็นจุดโฟกัส
จดจ่อที่ลมหายใจเข้า–ออก เป็นวิธีที่ง่ายและมีประสิทธิภาพมากในการฝึกจิต ไม่ต้องพยายาม “หยุดคิด” แต่ให้ “รู้ตัว” ทุกครั้งที่จิตฟุ้ง แล้วค่อย ๆ ดึงความสนใจกลับมาที่ลมหายใจ

🕯️ 3. เลือกเวลาที่เงียบสงบ
ควรนั่งสมาธิในช่วงเวลาที่ไม่ถูกรบกวน เช่น ตอนเช้า หรือก่อนนอน เพื่อให้จิตใจสงบได้ง่ายขึ้น

📍 4. กำหนดสถานที่เฉพาะ
หามุมสงบในบ้านที่คุณรู้สึกปลอดภัยและสบาย จัดให้เรียบร้อย มีแสงพอดี อากาศถ่ายเทดี เพื่อช่วยกระตุ้นสมองให้รู้ว่า "นี่คือเวลาของความสงบ"

🔁 5. ฝึกสม่ำเสมอทุกวัน
การทำทุกวันแม้จะสั้นดีกว่าทำครั้งละนาน ๆ แต่ไม่สม่ำเสมอ เหมือนการสร้างกล้ามเนื้อ จิตก็ต้องใช้ “วินัย” เช่นกัน

🔔 6. ใช้แอปช่วยฝึกสมาธิ
มีแอปอย่าง Insight Timer, Headspace, หรือ Calm ที่มีเสียงนำสมาธิและช่วยให้คุณเริ่มต้นได้ง่ายขึ้น หรือจะใช้เสียงระฆัง นาฬิกาจับเวลาก็ได้เช่นกัน

📝 7. เขียนบันทึกหลังนั่งสมาธิ
หลังจากนั่งสมาธิ ลองเขียนลงสมุดว่า “รู้สึกอย่างไร” “จิตฟุ้งเรื่องอะไร” จะช่วยให้คุณเข้าใจตัวเอง และเห็นพัฒนาการของจิตใจ

🪞 8. ฝึกสติในชีวิตประจำวัน
สมาธิไม่จำกัดแค่เวลานั่ง ลองฝึกสติขณะล้างจาน เดิน หรือรับประทานอาหาร เป็น “สมาธิแบบเคลื่อนไหว” ที่ช่วยให้จิตมีพลังตลอดวัน

🧠 9. ใช้พลังจิตเพื่อเป้าหมาย
หลังนั่งสมาธิ จิตจะสงบและมีพลังมากขึ้น เป็นช่วงเวลาที่ดีในการ ตั้งจิตอธิษฐาน หรือ นึกภาพเป้าหมาย เพื่อส่งพลังจิตเสริมเป้าหมายชีวิต
เพจสะพานบุญ 063-8295641

27/05/2025

เมื่อถึง เวลา สิ่งดีดีจะเข้ามาเอง อย่าเร่ง อย่ากดดัน อย่าดูถูก ตนเองรักตนเองให้มากๆ #ปฏิบัติธรรม #ทำ อย่างถูก ศีลธรรมค่ะ #พลังบวก.....ตอนนี้ พวกเราไม่รู้หรอกว่า จิตในของเรา วางแผนอะไรไว้บ้าง กับครูบาอาจารย์ บรรพบุรุษของเรา... ก่อนเรา มาเกิด เสริม สร้าง บารมี ......ฉะนั้นถ้าเราอยากรู้ไปพร้อมๆกับทุกท่านทุกองค์ เบื้องบน ... เราต้องเร่งทำสมาธิให้ถึงจิต ยิ่งละเอียดยิ่งรู้ ทัน อนาคตและย้อนหลัง ได้ หากเราเห็น เชื่อ ศรัทธา เห็น ในแสง ได้ยินเสียง ในจิตบ้างแล้ว ให้ใช้ สมาธิ สร้างสติ มีปัญญาเกิด จงมุ่งมั่น เดินไปให้ถึงจิตแท้สว่าง มีอะไรให้เราเห็นแท้จริง อีกมากมาย อย่ามัวหลงในกิเลสหยาบ รัก โลภ โกรธหลง ยศตำแหน่ง ในสังคมอยู่อีกเลย (เกมส์ละคร-ชีวิต แบบทดลองของจักรวาล) ... เวลาเรามีไม่เยอะในทุก ๆ วินาที ...อย่ากลัว ! เพราะ ... ชีวิตที่ผ่านมา เราเห็นมาก็เยอะ วนซ้ำๆ ... ช่างมัน ....ต่อไปนี้ อะไรจะเกิด ก็ให้มันเกิด ปล่อยมันเกิดไป.... แบ่งเวลาหันทำ #ปฏิบัติสมาธิ หน้าที่ให้ดีที่สุด ตลอดเวลา ด้วยหลากหลายวิธี ในทุกขณะชีวิตประจำวัน 🥰 นิ่งๆ ดูมันไว้ #ตั้งจิต #ดูใจ #ตนเอง ไว้ มันจะดิ้นอย่างไร #หลงตน กับ #กิเลสละเอียด อยู่ไหม ..... #ปราบใจ ตนเอง ให้อยู่หมัด 🥰 หากเรารู้เข้าถึงจิตแท้จริง อ่อนๆ เราจะไม่อยากรู้ ไม่อยากเห็นไม่อยากรู้ย้อนหน้าย้อนหลัง ไม่อยากได้ สิ่งใดอีกเลย ใช้ชีวิตให้สุขสบายตามธรรมชาติกับจิตสมาธิสติปัญญาภายในตน .... อยู่กับตอนนี้ ปัจจุบันนี้ อยู่กับตนเอง ก็แค่รู้ เท่านั้น ไม่ยึดไว้ สักอย่าง 🥰 (จิตอริยะ ต่อไป)
ใจ = ความคิด ของเรา
จิต = ดวงวิญญาณ แท้ดั่งเดิม (ไม่มี ธาตุขันธ์ 5 ประกอบ) ..จิต หรือเรียกว่า เป็นธาตุ 1 ใน 6 ธาตุสุดท้าย

เพจสะพานบุญ
Cr. ขอบคุณ อนุโมทนากับเจ้าของคลิป ค่ะ🥰

18/05/2025

เรื่องผู้หญิงกับพระสงฆ์ มีมาตลอด ค่ะ ปฏิบัติธรรมถือศีลตามคำสอนแท้จริงเท่านั้น 🥰

18/05/2025

สาธุ 🥰🥰🥰 อนุโมทนาบุญ ร่วมกัน

Cr. เจ้าของคลิป 🥰

18/05/2025

วิธีปฏิบัติธรรม ความเพียร 🥰🥰🥰

18/05/2025

พญานาค ความเป็นมา

17/05/2025

ร่วมอนุโมทนาบุญ ด้วยกัน ค่ะ 🥰 #วัดอรุณราชวราราม #วัดแจ้ง

Cr. ขอบคุณเจ้าของคลิป สาธุค่ะ

 #10 ความน่าเสียดาย สำหรับผู้ไม่ฝึกฝนวิปัสสนา(อย่างสม่ำเสมอ)(วิปัสสนา คือวาระแห่งชาติ)พศิน อินทรวงค์1. ผู้ไม่เคยฝึกวิปัส...
14/05/2025

#10 ความน่าเสียดาย สำหรับผู้ไม่ฝึกฝนวิปัสสนา(อย่างสม่ำเสมอ)
(วิปัสสนา คือวาระแห่งชาติ)
พศิน อินทรวงค์

1. ผู้ไม่เคยฝึกวิปัสสนา จะไม่มีวันเห็นชีวิตตามความเป็นจริง เพราะระบบชีวิตตามความเป็นจริง หรือสิ่งที่พระพุทธเจ้าเรียกว่า ขันธ์ห้า ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งส่วนประกอบของชีวิตทั้งห้าส่วนนี้ ไม่สามารถเรียนรู้ได้จากการอ่าน การฟัง และไม่สามารถคิดนึกเอาเองได้ จำเป็นต้องฝึกสติโดยผ่านกระบวนการวิปัสสนาซึ่งเป็นองค์ความรู้ที่พระพุทธเจ้าทรงคิดค้นขึ้น เพื่อให้มนุษย์ได้มีโอกาสรู้ความจริง เกี่ยวกับชีวิตของตนเอง

2. โดยทั่วไปแล้วคนเรา มีแนวโน้มที่จะยึดติดมากกว่าปล่อยวาง แม้ปล่อยวางได้เป็นพักๆ แต่ความคิดปรุงแต่งก็จะวนเวียนเข้ามาเรื่อยๆ ขอให้สังเกตชีวิตของตนเองอย่างเป็นกลาง ว่ามีความทุกข์มากกว่าความสุขจริงหรือไม่ ในแต่ละวัน มีความขุ่นมัวหรือความเบิกบานใจมากกว่ากัน มีความฟุ้งซ่านหรือสงบนิ่งมากกว่ากัน สิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากการที่สติอ่อนกำลัง ไม่เท่าทันความคิด นี่คือธรรมชาติของจิตที่ไม่ได้รับการฝึกฝน ไม่น่าแปลกใจเลย ที่คนส่วนใหญ่ยังต้องเผชิญกับความทุกข์อันเกิดจากความคิดของตนเองอยู่ตลอดเวลา

3. ความคิดและจิตไม่ใช่สิ่งเดียวกัน เป็นไปไม่ได้ที่เราจะเห็นสภาวะเกิดดับของรูปนามผ่านกระบวนการความคิด ความรู้ว่าชีวิตคืออะไร คือจุดเริ่มต้นที่จะทำอะไรๆ ในชีวิตให้ถูกต้อง เมื่อไม่รู้จักสภาพชีวิตตามความเป็นจริงแล้ว ทุกอย่างในชีวิตย่อมมีแต่ความผิดพลาดไปทั้งหมด คือผิดก็คิดว่าถูก รวมความว่า "เป็นผู้ไม่รู้ว่าตนเองไม่รู้" และ "เป็นผู้ไม่รู้แต่ดันไปคิดว่าตนเองรู้แล้ว" เป็นความไม่รู้แบบซ้ำซ้อนอันเกิดจากการที่ปลงใจเชื่อตนเองแบบไม่เฉลียวใจ ไม่ศึกษา เปรียบเหมือนติดกระดุมเม็ดแรกผิด เม็ดที่เหลือก็ไม่มีวันถูกต้องไปได้

4. ส่วนใหญ่แล้วเป้าหมายใดๆ ในชีวิต ก็เป็นเพียงเป้าหมายแบบสมมุติบัญญัติ เป็นเป้าหมายที่อาจรู้สึกว่าถูกต้องในวันนี้ อาจเห็นว่าเป็นสิ่งดีงามเสียมากมายในวันนี้ แต่สิ่งเดียวกันนี้ อาจกลายเป็นสิ่งไร้สาระในวันหน้า จากที่ชอบกลายเป็นไม่ชอบ จากที่เคยเทิดทูนบูชา กลายเป็นรู้สึกจืดชืดชินชา เป้าหมายชีวิตของคนที่ไม่รู้จักชีวิตตามความเป็นจริงจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามวันเวลา ตามวัย ตามเหตุปัจจัย ไม่ใช่เป้าหมายที่มั่นคงชัดเจนที่ใช้ได้ชั่วชีวิต เนื่องจากเป็นการตั้งเป้าหมายจากสิ่งที่ตนสมมุติขึ้นมาเองแต่แรก เมื่อสมมุติเปลี่ยน เป้าหมายย่อมเปลี่ยน ถึงวันหนึ่ง แม้ลาโลกไปแล้ว ก็ยังไม่รู้ว่าเป้าหมายที่แท้จริงของการเกิดเป็นมนุษย์คืออะไร

5. พระพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมชาติของจิต เหมือนน้ำที่ไหลลงสู่ที่ต่ำ แม้ปล่อยให้ตนเองเสพกามสุขโดยไม่เฉลียวใจ ย่อมเกิดการยึดติดในกาม อันเป็นต้นทางของความทุกข์และการเบียดเบียนผู้อื่น เราเรียนคณิตศาสตร์อย่างเป็นระบบ เรียนธุรกิจอย่างเป็นระบบ เราเรียนภาษาต่างๆ อย่างเป็นระบบ แต่จิตใจซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เรากลับปล่อยให้ตนเองเรียนรู้ไปตามยถากรรม สิ่งเหล่านี้ไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่มันก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วแก่บุคคลทั่วไป

6. สติมีอยู่สามระดับ คือสติระลึกรู้ สติเห็นความคิด และมหาสติมหาปัญญา สติระดับแรก จะมีอยู่ในมนุษย์ทุกคน แม้ในสัตว์บางชนิดก็มีสติเช่นนี้อยู่ในบางครั้ง แต่สติสองระดับหลัง จะมีอยู่ในผู้ที่ฝึกวิปัสสนาเท่านั้น สติระดับแรก อาจใช้ทำมาหากินได้ ใช้สร้างความสุขแบบโลกๆ ได้ แต่ใช้ดับทุกข์ไม่ได้ ใช้ในการศึกษาความจริงของตนเองไม่ได้ ใช้ในการดับกิเลสก็ไม่ได้ แม้ผู้ใดมีกำลังสติเพียงระดับแรก ชีวิตนี้ก็มีอันต้องพบกับความสุขความทุกข์สลับกันไปมา และจะพลาดหนทางแห่งการเรียนรู้ความจริงของธรรมชาติไปโดยสิ้นเชิง

7. จิตที่ไม่เคยฝึกวิปัสสนาย่อมมีการปรุงแต่งสูงอยู่แล้วตามธรรมชาติ เมื่อมีชีวิตอยู่ ก็ปรุงแต่งเป็นความทุกข์ เป็นความท้อแท้ หดหู่ สิ้นหวัง เบื่อ ซึม เซ็ง ต่อเมื่อถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ก็ปรุงแต่งต่อไปเพื่อสร้างภพภูมิใหม่ เป็นจิตที่มีโอกาสสูงที่จะคิดนึกในเรื่องอกุศล หรือมีความขุ่นมัวในวินาทีสุดท้าย พระพุทธเจ้าตรัสว่า มนุษย์ที่ตายไปแล้วและได้เกิดมาเป็นคนอีก จะเหลือเพียงเศษดินปลายเล็บ จากดินทั้งหมดในมหาปฐพี หมายความว่า คนส่วนใหญ่เมื่อตายไปแล้ว ก็มีอบายภูมิเป็นที่ไป พูดง่ายๆ ว่าเป็นคนเสร็จในชาตินี้ก็ไปตกนรกต่อ และบุคคลผู้นั้นก็จะพบกับความทุกข์เจ็บปวดชนิดที่ไม่สามารถจินตนาการได้ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้น เพราะเขาไม่มีกำลังสติในการควบคุมจิตสุดท้ายได้เท่านั้นเอง

8. ปกติแล้วมนุษย์จะมีกิเลสทุกชนิดอยู่ในตนเอง ถ้ามีเหตุปัจจัยไปก่อกวน กิเลสก็จะฟุ้งกระจายออกมา เกิดเป็นความคิด คำพูด และการกระทำที่เป็นอกุศล วิปัสสนานั้น ไม่ได้ช่วยป้องกันกิเลสฟุ้งกระจายเท่านั้น แต่ยังสามารถสะสางกิเลสออกจากใจเป็นการถาวรได้ด้วย เราเรียกผู้ที่สามารถสำรอกกิเลสออกจากตนเองว่า พระโสดาบัน พระสกกิทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์

9. เมื่อฝึกวิปัสสนาถึงระดับหนึ่ง จิตจะได้รับความสุขในรูปแบบหนึ่ง ซึ่งเป็นความสุขแบบละเอียด เรียกว่าสุขจากสมาธิ และสุขจากวิมุติ ซึ่งเป็นความสุขชั้นสูงที่มีไว้เฉพาะผู้ฝึกจิตเท่านั้น ปกติคนเราจะได้รับความรู้อยู่เพียงระดับกามสุข คือมีโอกาสเข้าถึงแค่ความสุขชั้นตื้นอันเกิดจากสัมผัสรับรู้ต่างๆ แม้มนุษย์ผู้ใด สัมผัสเพียงความสุขระดับกามสุข มนุษย์ผู้นั้นก็เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง

10. วิปัสสนา ทำให้คนไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด ทำให้คนพ้นไปจากกองทุกข์ทั้งปวง แท้จริงแล้ว วิปัสสนาคือวิถีชีวิตในอุดมคติที่พระพุทธเจ้าต้องการให้มนุษย์ทุกผู้นำไปปฏิบัติ เพื่อสร้างสังคมของพระโสดาบันให้เกิดขึ้นในโลก สังคมของพระโสดาบันนี้ เป็นสังคมของผู้มีกิเลสน้อย เป็นสังคมแห่งสันติภาพ เป็นสังคมของคนเอาการเอางานแต่ไม่เอาชนะคะคาน เป็นสังคมแห่งความเมตตาอารีย์ ชาวพุทธทั้งหลาย จึงสมควรอย่างยิ่ง ที่จะทำการศึกษาวิชาวิปัสสนาอย่างจริงจัง ให้เข้าใจ ให้รู้จริง ให้ขึ้นใจ เพื่อจะนำไปปฏิบัติลงในชีวิตประจำวัน ปฏิบัติลงในการยืน เดิน นั่ง นอน รู้คิด รู้หยุดความคิด รู้เท่าทันความคิด รู้จักอยู่เหนือความคิดอันนำไปสู่การอยู่เหนืออัตตาตัวตน เมื่อมีชีวิตอยู่ ก็จะได้สร้างประโยชน์ให้ตนเองและผู้อื่น ต่อเมื่อลมหายใจสุดท้าย ก็มีโอกาสได้พบสุคติภูมิเป็นที่หมาย มีโอกาสไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด แม้ไม่สนใจวิปัสสนาเลย โอกาสเป็นมนุษย์โดยสมบูณณ์ก็ยากยิ่ง โอกาสสู่สุคติภูมิก็ยากยิ่ง โอกาสยุติการเวียนว่ายก็เป็นไปไม่ได้ ต้องมีชีวิตสุขๆ ทุกข์ๆ แบบโลกๆ เช่นนี้ไปชั่วอนันตกาล!!!

ป.ล. ทุกวันนี้ผู้คนมีความทุกข์กันมาก
การไม่เท่ากันกิเลสของตน
นอกจากจะสร้างความเดือดร้อนให้ตนเองแล้ว ยังสร้างความเดือดร้อนให้คนรอบข้าง และสังคมด้วย ถึงเวลาแล้วหรือยัง
ที่การเจริญสติหรือวิปัสสนากรรมฐาน
จะกลายเป็นวาระแห่งชาติสำหรับประชาชนชาวไทย!!!

******************************************ติดต่อ "พศิน อินทรวงค์"
วิทยากร/ หนังสือ/บทความ
https://www.facebook.com/talktopasin2013
******************************************

29/04/2025

😅🤣🤣 ตรง ๆ ง่าย ๆ 🥰🥰 สาธุ สาธุสาธุ ค่ะ
ขอบคุณมากค่ะ cr. คลิป สั้น ธรรมะ 🥰 อนุโมทนาบุญ

27/04/2025

ขอจงทรงพระเจริญ 🥰 🥰 วันที่ 26 เมษายน 2568

ที่อยู่

Ban Nong Pru

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ สะพานบุญผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์