เครือข่ายรามคำแหงเพื่อประชาธิปไตย - Ramkhamhaeng Network for Democracy

เครือข่ายรามคำแหงเพื่อประชาธิปไตย - Ramkhamhaeng Network for Democracy เครือข่ายรามคำแหงเพื่อประชาธิปไตย -
สภานักศึกษา มหาวิทยาลัยรามคำแหง ปี 2568

'อวสานคำสั่ง คสช.' สภาผู้แทนราษฎรมีมติเอกฉันท์ รับหลักการร่าง พ.ร.บ.โละคำสั่ง คสช. ฉบับที่ 8/2560 และร่างทำนองเดียวกัน ร...
18/09/2025

'อวสานคำสั่ง คสช.' สภาผู้แทนราษฎรมีมติเอกฉันท์ รับหลักการร่าง พ.ร.บ.โละคำสั่ง คสช. ฉบับที่ 8/2560 และร่างทำนองเดียวกัน รวม 5 ร่าง ด้วยคะแนน 317 ต่อ 0 เสียง คืนอำนาจบริหารงานบุคคลให้ท้องถิ่น หลังจากนี้จะมีการตั้ง กมธ.วิสามัญ โดยให้ร่าง พ.ร.บ.ระเบียบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น ของ 'วรภพ' พรรคประชาชน เป็นร่างหลัก

'อวสานคำสั่ง คสช.' สภาผู้แทนราษฎรมีมติเอกฉันท์ รับหลักการร่าง พ.ร.บ.โละคำสั่ง คสช. ฉบับที่ 8/2560 และร่างทำนองเดียวกัน รวม 5 ร่าง ด้วยคะแนน 317 ต่อ 0 เสียง คืนอำนาจบริหารงานบุคคลให้ท้องถิ่น หลังจากนี้จะมีการตั้ง กมธ.วิสามัญ โดยให้ร่าง พ.ร.บ.ระเบียบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น ของ 'วรภพ' พรรคประชาชน เป็นร่างหลัก

อ่านรายละเอียด คลิกลิงก์ที่คอมเมนต์

#ประชาไท

18/09/2025
สภานักศึกษา มหาวิทยาลัยรามคำแหง ร่วมเดินขบวนงานบุญสาทรเดือนสิบ ประจำปี 2568 สืบสารประเพณีวิถีไทย ในวันที่ 16 กันยายน 256...
17/09/2025

สภานักศึกษา มหาวิทยาลัยรามคำแหง ร่วมเดินขบวนงานบุญสาทรเดือนสิบ ประจำปี 2568 สืบสารประเพณีวิถีไทย ในวันที่ 16 กันยายน 2568 ณ มหาวิทยาลัยรามคำแหง หัวหมาก
ขอเชิญชวนเพื่อนๆ นักศึกษา และพี่น้องประชาชน มาเที่ยวงาน สืบสานประเพณีบุญสารทเดือนสิบ พบกับการออกร้านจากนักศึกษา ร้านค้าอื่นๆ ประเพณีชิงเปตร และฟรีคอนเสิร์ตตลอด 5 วัน 5 คืน ตั้งแต่วันที่ 15 - 19 กันยายน 2568 กิจกรรมจัดโดยองค์การนักศึกษา มหาวิทยาลัยรามคำแหง

14/09/2025

สถานการณ์ผู้ต้องขังทางการเมือง ก.ย. 68: มีผู้ต้องขังได้รับอภัยโทษ 6 ราย ในขณะเดียวกันมีผู้ต้องขังเพิ่มใหม่สูง 11 ราย
ในรอบเดือนที่ผ่านมา (8 ส.ค. – 12 ก.ย. 2568) มีผู้ต้องขังทางการเมืองทั่วประเทศ อย่างน้อย 54 คน (เป็นคดีมาตรา 112 จำนวน 29 คน และคดีมาตรา 110 จำนวน 5 คน) ในจำนวนนี้ แยกเป็นผู้ต้องขังที่ไม่ได้รับการประกันตัวระหว่างการต่อสู้คดี อย่างน้อย 35 คน และผู้ต้องขังที่คดีสิ้นสุดแล้ว 18 คน และยังมีเยาวชน 1 คน ถูกคุมขังในสถานพินิจฯ ตามคำพิพากษาของศาลเยาวชนฯ
ในรอบเดือน มีผู้ต้องขังเพิ่มขึัน 11 ราย จากกรณีไม่ได้ประกันตัวในระหว่างพิจารณาคดี แต่ก็มีผู้ได้รับการปล่อยตัว 6 ราย หลังเข้าเกณฑ์ได้รับการปล่อยตัวจากพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษ ปี พ.ศ.2568
📌ดูสถิติผู้ต้องขังการเมือง ปี 68 บนเว็บไซต์ในลิงค์ใต้คอมเมนต์:

13/09/2025
คล้ายๆ กับประเทศ██
12/09/2025

คล้ายๆ กับประเทศ██

กกต.เมียนมาสั่งยุบ 4 พรรคการเมืองละเมิดกฎหมายเลือกตั้ง ทำให้จะเหลือเพียง 6 พรรคใหญ่ระดับชาติ และอีก 52 พรรคเล็กลงแข่งขันในระดับภูมิภาค ในการเลือกตั้งปลายปีนี้ทำให้เกิดคำถามเรื่องความชอบธรรม

#ไทยรัฐออนไลน์

พรุ่งนี้ (12 ก.ย. 68) ชวนทุกคนมาร่วมกิจกรรม "ใส่เสื้อดำ จำชื่อเพื่อน" โดยการใส่เสื้อสีดำ และยืนหยุดขังร่วมกัน 17.00 น. ห...
11/09/2025

พรุ่งนี้ (12 ก.ย. 68) ชวนทุกคนมาร่วมกิจกรรม "ใส่เสื้อดำ จำชื่อเพื่อน" โดยการใส่เสื้อสีดำ และยืนหยุดขังร่วมกัน 17.00 น. หน้าศาลอาญา รัชดา

ชวนมาไว้อาลัยกระบวนการยุติธรรม
“ใส่เสื้อดำ จำชื่อเพื่อน”

วันศุกร์ที่ 12 กันยายน 2568
เวลา 17.00 - 19.00 น.
หน้าศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก

ในห้วงเวลานี้ ดูเหมือนว่า ระบบตุลาการ กำลังทำหน้าที่ เหนืออำนาจรัฐสภา และเหนือเสียงของประชาชน
• 10 กันยายน 2568 ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญโดยตรง
• 9 กันยายน 2568 ศาลฎีกาสั่งให้นำตัว ทักษิณ ชินวัตร ไปจำคุก 1 ปี โดยใช้อำนาจที่ไม่เคยปรากฏในกฎหมาย
• 8 กันยายน 2568 ศาลอาญาพิพากษา ลูกเกด ชลธิชา จำคุก 2 ปี 8 เดือน และ จ่อย 1 ปี 6 เดือน ตามมาตรา 112 และข้อหาอื่น แม้ยังให้ประกัน
• 3 กันยายน 2568 ศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ตัดสินจำคุก 5 จำเลย ในคดีประทุษร้ายพระราชินี มาตรา 110 เป็นเวลา 16-21 ปี และไม่ให้ประกันตัว
• 3 กันยายน 2568 ศาลอุทธรณ์พิพากษา ไผ่ จตุภัทร์ และ ใหญ่ อรรถพล มีความผิดตามมาตรา 112 จำคุก 2-3 ปี และไม่ให้ประกัน

และยังมีอีกหลายกรณี ที่ตอกย้ำว่า กระบวนการยุติธรรมกำลังถอยห่างจากความยุติธรรมจริง

เราจึงอยากชวนทุกคนมาร่วมกัน
“ไว้อาลัย” ต่อกระบวนการยุติธรรม ที่ก้าวล่วงอำนาจประชาชน และพรากความศรัทธาจากสังคม
และมาร่วมกัน
“จดจำ” เพื่อนของเราในเรือนจำ คนแล้วคนเล่า เพื่อให้การติดคุกของเขายังมีความหมาย และไม่ถูกลืมเลือนไป

📍 เจอกัน
วันศุกร์ที่ 12 กันยายน 2568
เวลา 17.00 - 19.00 น.
หน้าศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก

เพื่อบอกว่าแม้เขาถูกกักขัง แต่เราจะไม่ลืมเลือนแม้กระบวนการยุติธรรมดับแสง แต่ความหวังยังส่องสว่างจากประชาชน

อำนาจต้องเป็นของประชาชน – รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องมาจากเจตจำนงของประชาชน2 ปีที่แล้ว ประชาชน 211,904 คน เคยร่วมกันลงชื่อเสน...
11/09/2025

อำนาจต้องเป็นของประชาชน – รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องมาจากเจตจำนงของประชาชน

2 ปีที่แล้ว ประชาชน 211,904 คน เคยร่วมกันลงชื่อเสนอคำถามประชามติ ยืนยันว่าเราต้องการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ โดยมี สสร. ที่มาจากการเลือกตั้ง 100%
แต่วันนี้ ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่า “ไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญโดยตรง” ซึ่งอาจเป็นการปิดประตูสู่การเลือกตั้ง สสร. และจำกัดอำนาจสูงสุดของประชาชน

หากกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เกิดขึ้นโดยผู้ร่างที่มาจากอำนาจบางฝักบางฝ่าย หรือกลุ่มคนเพียงกลุ่มเดียว ร่างรัฐธรรมนูญที่ได้จะขาดความชอบธรรมและไม่อาจเป็นกติกากลางที่ทุกฝ่ายยอมรับได้ การเดินหน้าด้วยวิธีเช่นนั้นไม่เพียงไม่แก้ไขความขัดแย้งทางการเมือง แต่ยังอาจซ้ำเติมปัญหาเดิมให้รุนแรงขึ้น

คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 4/2564 เคยย้ำไว้อย่างชัดเจนว่า “ประชาชนเป็นผู้ทรงอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญ” ดังนั้น การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่สอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตยจึงต้องเริ่มต้นจาก การให้ประชาชนทุกคนได้มีสิทธิเลือกสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) โดยตรง เพื่อสะท้อนเสียงจากทุกเฉดความคิดเห็นของสังคมไทย

รัฐธรรมนูญคือกฎหมายสูงสุดของประเทศ หากนั่นไม่ได้เกิดจากเจตจำนงร่วมของประชาชนทุกฝ่าย ก็ยากที่จะสร้างความยุติธรรมและความสงบยั่งยืนได้ การให้ประชาชนเป็นผู้เลือกผู้ร่างจึงไม่ใช่เพียงทางเลือกหนึ่ง แต่เป็น เงื่อนไขสำคัญที่จะทำให้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ มีที่มาจากประชาชน เป็นของประชาชน และเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง

-เมื่อท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพ ประชาชนจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน

หากมีกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยผู้ร่างมีที่มาอันไม่ชอบธรรม หรือมาจากคนกลุ่มเดียว หรือมาจากอำนาจทางการเมืองเพียง...
10/09/2025

หากมีกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยผู้ร่างมีที่มาอันไม่ชอบธรรม หรือมาจากคนกลุ่มเดียว หรือมาจากอำนาจทางการเมืองเพียงบางฝักบางฝ่าย ก็จะเกิดปัญหาความชอบธรรมและการยอมรับในร่างรัฐธรรมนูญที่ได้มา ไม่มีทางทำให้ได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ได้รับการยอมรับและเหมาะสมสำหรับการใช้แก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่เป็นอยู่ในปัจจุบันได้

กระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่จะได้รับความเห็นพ้องต้องกันจากประชาชนทุกเฉดความคิดเห็น และให้ได้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เป็นกติกากลางเพื่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ก็ต้องให้ประชาชนทุกคนได้มีส่วนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญโดยตรง ซึ่งคำวินิจฉัยที่ 4/2564 ก็เคยกล่าวไว้แล้วว่า “ประชาชนเป็นผู้ทรงอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญ” ดังนั้น การไม่ให้ประชาชนเป็นผู้เลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญโดยตรง จึงขัดกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่มีไว้ก่อนหน้านี้

ข้อสังเกตต่อคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 9/2568
1. คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ไม่ได้ให้ความชัดเจนต่อคำถามที่ถกเถียงกันมาตลอดหลายปีว่า การเขียนรัฐธรรมนูญใหม่จะต้องทำประชามติกี่ครั้ง แต่เสียงข้างมาก บอกว่าครั้งที่ 1 และ 2 จะรวมกัน “ก็ได้” ซึ่งหมายความว่า จะทำประชามติ “2 ครั้งก็ได้ หรือทำ 3 ครั้งก็ได้”
ทั้งนี้เนื่องจากรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 256 (8 ) บังคับไว้แล้วว่า ในกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 เพื่อให้มีการเปิดทางไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับนี้ จำเป็นต้องทำประชามติอยู่ หลังจากรัฐสภาเห็นชอบในการแก้ไขแล้ว จะไม่ทำไม่ได้ ดังนั้นถ้า หากจะลดขั้นตอนให้ทำประชามติครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 รวมกันเพื่อไม่ให้ต้องเปลืองงบประมาณและเสียเวลา ก็ไม่สามารถนำการทำประชามติครั้งที่ 2 มารวมกับครั้งที่ 1 ได้ เพราะยังไม่เห็นร่างแก้ไขมาตรา 256 ที่รัฐสภาเห็นชอบให้ผ่านในวาระที่สาม ทางเลือกที่เป็นไปได้ที่จะทำประชามติ 2 ครั้ง จึงต้องเอาการทำประชามติครั้งที่ 1 ไปรวมกับครั้งที่ 2 คือ การทำประชามติ หลังจากที่รัฐสภาพิจารณาผ่านร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 เรียบร้อยแล้ว และตั้งคำถามให้แยกเป็นสองคำถามให้ประชาชนไปตอบในครั้งเดียว
2. คำวินิจฉัยฉบับที่ 9/2568 เป็นการขยายความจากคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 4/2564 ซึ่งเคยวินิจฉัยชัดแล้วว่า ในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องทำประชามติ “ก่อน” 1 ครั้ง และเมื่อยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่แล้วเสร็จให้ทำประชามติ “อีกครั้งหนึ่ง” รวมเป็น 2 ครั้ง แต่คำวินิจฉัยฉบับนี้ เพิ่มการทำประชามติขึ้นมาเป็น 3 ครั้ง แต่เปิดช่องไว้ว่าจะทำเป็น 2 ครั้งก็ได้ ทำให้คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ 2 ฉบับ ไม่สอดคล้องกัน ทั้งที่ตุลาการที่ทำคำวินิจฉัยทั้ง 2 เรื่อง เป็นคนเดียวกันถึง 6 จาก 7 คน สะท้อนให้เห็นมาตรฐานที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาขององค์กรนี้
อย่างไรก็ดี คำวินิจฉัยฉบับที่ 9/2568 เขียนรายละเอียดที่มีความชัดเจนกว่า ว่าการเดินหน้ากระบวนการต่อไป โดยยึดคำวินิจฉัยฉบับนี้ จึงเห็นรายละเอียดที่ศาลรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ได้มากกว่า
3. ในคำวินิจฉัยนี้ ศาลรัฐธรรมนูญยังเขียนไว้ด้วยว่า “รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง” ซึ่งเป็นการแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมของศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่การตอบคำถามอันเกิดจากปัญหาข้อขัดแย้งเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของรัฐสภา ตามที่มีผู้ร้องยื่นคำถามไปให้ศาลรัฐธรรมนูญ
โดยหลักการแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญไม่ควรมีอำนาจกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมให้รัฐสภาทำหรือไม่ทำอะไรได้ โดยที่ยังไม่เกิดความขัดแย้งขึ้นและโดยที่ไม่มีใครถาม และประโยคดังกล่าวนี้ยังก่อให้เกิดปัญหาการตีความได้อีกในอนาคต เพราะร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 ทั้งสองฉบับที่ค้างการพิจารณาอยู่ในรัฐสภา กำหนดให้ สสร. มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด การที่ศาลรัฐธรรมนูญกล่าวเช่นนี้ จึงยังต้องตีความต่อไปว่า รัฐสภาสามารถพิจารณาร่างแก้ไขทั้งสองฉบับนั้นต่อได้หรือไม่ หรือต้องออกแบบให้ผู้ร่างรัฐธรรมนูญมาจากวิธีการอื่นซึ่งมีความเชื่อมโยงกับประชาชนและมีความชอบธรรมพอสมควร
4. หลายประเทศในโลกเคยมีกระบวนการให้ประชาชนออกเสียงเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญโดยตรงมาแล้ว เช่น ชิลี และแอฟริกาใต้ ไอลอว์ขอยืนยันว่า กระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่จะได้รับความเห็นพ้องต้องกันจากประชาชนทุกเฉดความคิดเห็น และให้ได้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เป็นกติกากลางเพื่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ก็ต้องให้ประชาชนทุกคนได้มีส่วนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญโดยตรง ซึ่งคำวินิจฉัยที่ 4/2564 ก็เคยกล่าวไว้แล้วว่า “ประชาชนเป็นผู้ทรงอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญ” ดังนั้น การไม่ให้ประชาชนเป็นผู้เลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญโดยตรง จึงขัดกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่มีไว้ก่อนหน้านี้
หากมีกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยผู้ร่างมีที่มาอันไม่ชอบธรรม หรือมาจากคนกลุ่มเดียว หรือมาจากอำนาจทางการเมืองเพียงบางฝักบางฝ่าย ก็จะเกิดปัญหาความชอบธรรมและการยอมรับในร่างรัฐธรรมนูญที่ได้มา ไม่มีทางทำให้ได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ได้รับการยอมรับและเหมาะสมสำหรับการใช้แก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่เป็นอยู่ในปัจจุบันได้

อ่านเพิ่มเติม : ilaw.or.th/articles/54821

ศาลรัฐธรรมนูญชี้ให้มีประชามติ 3 ครั้งแต่ครั้ง 1 และ 2 รวมกันได้ -ไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญโดยตรง
10/09/2025

ศาลรัฐธรรมนูญชี้ให้มีประชามติ 3 ครั้งแต่ครั้ง 1 และ 2 รวมกันได้ -ไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญโดยตรง

เนติวิทย์ อารยะขัดขืนไม่เกณฑ์ทหาร ด้วยเหตุทางมโนธรรมสำนึก "การปฏิเสธเกณฑ์ทหารด้วยเหตุผลทางมโนธรรม (conscientious objecti...
09/09/2025

เนติวิทย์ อารยะขัดขืนไม่เกณฑ์ทหาร ด้วยเหตุทางมโนธรรมสำนึก
"การปฏิเสธเกณฑ์ทหารด้วยเหตุผลทางมโนธรรม (conscientious objection) เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ได้รับการรับรองในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ประชาชนไม่ควรถูกบังคับให้เข้าร่วมในระบบที่ฝึกฝนความรุนแรงหรือขัดต่อความเชื่อส่วนบุคคล“
“ตลอดประวัติศาสตร์ มีผู้คนมากมายลุกขึ้นปฏิเสธการเกณฑ์ทหารด้วยจิตสำนึกทางศีลธรรม หนึ่งในนั้นคือ มูฮัมหมัด อาลี ตำนานนักมวยผู้ประกาศอย่างกล้าหาญว่า ‘ผมไม่มีเรื่องอะไรกับพวกเวียดกง’ เขาสูญเสียตำแหน่งแชมป์โลก และถูกจำคุก แต่จุดยืนของเขาได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้คนทั้งโลก”
“ในหลายประเทศ เช่น เกาหลีใต้ เยอรมนี อิสราเอล และอีกมากมาย มีผู้ปฏิเสธการเกณฑ์ทหารอย่างสันติและยอมแลกด้วยเสรีภาพส่วนตัว พวกเขาคือแรงบันดาลใจของผม“
“ระบบเกณฑ์ทหารในไทย เป็นต้นเหตุของการคอร์รัปชัน ความรุนแรง และการใช้อำนาจของกองทัพเกินขอบเขตมาช้านาน ผมเชื่อว่าการต่อสู้ด้วยสันติวิธีครั้งนี้จะนำไปสู่กองทัพที่โปร่งใสขึ้น และสังคมไทยที่เคารพเสรีภาพมากขึ้น”
#ยกเลิกเกณฑ์ทหาร

10-11 ก.ย. ชวนติดตามสืบพยานคดี “เนติวิทย์” อารยะขัดขืนไม่เกณฑ์ทหาร ด้วยเหตุทางมโนธรรมสำนึก
ระหว่างวันที่ 10-11 ก.ย. 2568 ตั้งแต่เวลา 9.00 น. ที่ศาลแขวงสมุทรปราการ ชวนร่วมกันติดตามการสืบพยานในคดีของ เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล นักกิจกรรมทางสังคมวัย 28 ปี ที่ถูกฟ้องในข้อหาหลีกเลี่ยงไม่เกณฑ์ทหารฯ ตาม พ.ร.บ.รับราชการทหาร พ.ศ. 2497 มาตรา 45 จากกรณีที่อารยะขัดขืนไม่เข้าร่วมกับการบังคับเกณฑ์ทหาร ด้วยเหตุผลทางมโนธรรม (conscientious objection)
เหตุในคดีนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 5 เม.ย. 2567 เนติวิทย์ได้เดินทางไปสถานที่ตรวจเลือกทหารกองเกินเข้ากองประจำการประจำปี 2567 (เกณฑ์ทหาร) ที่เทศบาลบางปู จังหวัดสมุทรปราการ ก่อนอ่านแถลงการณ์อารยะขัดขืน ไม่เข้าร่วมกับการบังคับเกณฑ์ทหาร เนื่องจากขัดกับหลักสิทธิมนุษยชน ความเชื่อทางศีลธรรม ทั้งยังล้าสมัย ไม่มีประสิทธิภาพ และมีส่วนทำให้สังคมไทยไม่เป็นประชาธิปไตย และการไม่เข้าร่วมการเกณฑ์ทหารของเขานั้นเป็นสิ่งจำเป็นต้องทำ เพื่อสิทธิเสรีภาพของพลเมืองที่ดีขึ้น และเพื่อให้กองทัพที่เคารพสิทธิมนุษยชนอย่างเหมาะสมกับยุคสมัย
ต่อมา นายอำเภอเมืองสมุทรปราการจึงได้มอบหมายให้ พ.ท.กัมพล สังข์สาลี สัสดีอำเภอเมืองสมุทรปราการ มาแจ้งความร้องทุกข์ให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดี และเนติวิทย์ได้เข้ารับทราบข้อกล่าวหา ที่ สภ.บางปู เมื่อวันที่ 8 พ.ย. 2567
⭕ ผ่านไปกว่าหนึ่งปี เมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2568 พนักงานอัยการคดีศาลแขวงสมุทรปราการได้ยื่นฟ้องคดีนี้ต่อศาลแขวงสมุทรปราการ โดยสรุประบุว่า จำเลยได้หลีกเลี่ยงขัดขืนไม่มาให้คณะกรรมการตรวจเลือกทำการตรวจเลือกเข้ารับราชการกองประจำการตามหมายเรียก โดยไม่มีเหตุยกเว้นตามกฎหมาย อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.รับราชการทหาร พ.ศ. 2497 มาตรา 45 ซึ่งข้อหาดังกล่าวกำหนดโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี
วันดังกล่าว เนติวิทย์ยังแถลงการณ์ยืนยันผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า “เมื่อปีที่ผ่านมา ผมได้ไปที่หน้าหน่วยตรวจเลือก แต่ปฏิเสธที่จะร่วมจับใบดำใบแดง ผมไม่ได้หลบหนี แต่เลือกที่จะไม่ร่วมมือกับระบบที่ผมไม่เชื่อถือ ด้วยเหตุผลทางมโนธรรม ผมขอยืนยันการปฏิเสธข้อกล่าวหา
"การปฏิเสธเกณฑ์ทหารด้วยเหตุผลทางมโนธรรม (conscientious objection) เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ได้รับการรับรองในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ประชาชนไม่ควรถูกบังคับให้เข้าร่วมในระบบที่ฝึกฝนความรุนแรงหรือขัดต่อความเชื่อส่วนบุคคล
“ตลอดประวัติศาสตร์ มีผู้คนมากมายลุกขึ้นปฏิเสธการเกณฑ์ทหารด้วยจิตสำนึกทางศีลธรรม หนึ่งในนั้นคือ มูฮัมหมัด อาลี ตำนานนักมวยผู้ประกาศอย่างกล้าหาญว่า ‘ผมไม่มีเรื่องอะไรกับพวกเวียดกง’ เขาสูญเสียตำแหน่งแชมป์โลก และถูกจำคุก แต่จุดยืนของเขาได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้คนทั้งโลก
“ในหลายประเทศ เช่น เกาหลีใต้ เยอรมนี อิสราเอล และอีกมากมาย มีผู้ปฏิเสธการเกณฑ์ทหารอย่างสันติและยอมแลกด้วยเสรีภาพส่วนตัว พวกเขาคือแรงบันดาลใจของผม
“ระบบเกณฑ์ทหารในไทย เป็นต้นเหตุของการคอร์รัปชัน ความรุนแรง และการใช้อำนาจของกองทัพเกินขอบเขตมาช้านาน ผมเชื่อว่าการต่อสู้ด้วยสันติวิธีครั้งนี้จะนำไปสู่กองทัพที่โปร่งใสขึ้น และสังคมไทยที่เคารพเสรีภาพมากขึ้น”
⭕ ต่อมา ในนัดตรวจพยานหลักฐานเมื่อวันที่ 9 มิ.ย. 2568 ที่ผ่านมา เนติวิทย์ยืนยันให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา ยืนยันว่าว่าเขาใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายระหว่างประเทศในการปฏิเสธการเกณฑ์ทหารด้วยมโนธรรม
อัยการโจทก์แถลงติดใจสืบพยาน 2 ปาก ได้แก่ สัสดีผู้กล่าวหาและพนักงานสอบสวน ส่วนฝ่ายจำเลยแถลงขอสืบพยานจำนวน 7 ปาก ศาลจึงกำหนดให้สืบพยานในสองนัดดังกล่าว
ชวนติดตามการต่อสู้คดีนี้ โดยเฉพาะการต่อสู้คดีครั้งแรกในประเทศไทยเรื่อง #การปฏิเสธการเกณฑ์ทหารด้วยเหตุแห่งมโนธรรม ในฐานะประเด็นทางสิทธิมนุษยชนประเด็นหนึ่ง
📌 อ่านบนเว็บไซต์จากลิงก์ในคอมเมนต์

ที่อยู่

Bang Kapi

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ เครือข่ายรามคำแหงเพื่อประชาธิปไตย - Ramkhamhaeng Network for Democracyผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์