Fungdontri - ฟังดนตรี

Fungdontri - ฟังดนตรี ฟังดนตรี นิยามคือ : การเข้าถึงในดนตรี เพลง บุคคล เรื่องราว

คณะขวัญใจ วันนี้มาฟังเพลงชิวๆ
20/09/2025

คณะขวัญใจ วันนี้มาฟังเพลงชิวๆ

" เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2025 นักร้องเสียงดีชาวอังกฤษ Calum Scott  พึ่งปล่อย I Wanna Dance with Somebody (Who Loves Me) ...
19/09/2025

" เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2025 นักร้องเสียงดีชาวอังกฤษ Calum Scott พึ่งปล่อย I Wanna Dance with Somebody (Who Loves Me) เวอร์ชั่นของเขา ที่เรียบเรียงใหม่ ในรูปแบบ Duet Ballad กับเทคโนโลยีผสมเสียงร้องของ Whitney Houston ให้กลับมาเฉิดฉาย "

ประจวบกับเมื่อปลายปี 2024 วง Blossoms (วง Rock ที่ฝีไม้ลายมือดีมาก) ก็เรียบเรียงเพลง I Wanna Dance with Somebody (Who Loves Me) ในรูปแบบ Indie Rock ได้ละมุนตุ้น หรือกระทั่งวง Electronic Pop จากฝรั่งเศส ชื่อ L'Impératrice (อ่านว่า อิมเปราทริซ) ก็ เคยทำ I Wanna Dance with Somebody (Who Loves Me) สไตล์ Synth-Funk เมื่อปี 2021 จึงเห็นสมควรว่า ควรจะเขียนถึงบทเพลง I Wanna Dance with Somebody (Who Loves Me) ของ Whitney Houston สักที

ขอแนะนำท่านผู้อ่าน ให้ลองตามฟังงานของศิลปินรุ่นใหม่ข้างต้นด้วย เพื่อเสพย์วิสัยทัศน์ทางดนตรีของคนรุ่นใหม่ เป็นอีกมุมมองจากคนต่าง Gen ที่มีต่อ I Wanna Dance with Somebody (Who Loves Me) เพลง Pop Dance ของสุดยอดดีว่า ตลอดกาล Whitney Houston

I Wanna Dance with Somebody (Who Loves Me) คือผลงานประพันธ์ของคุณ George Merrill และคุณ Shannon Rubicam คู่หูนักดนตรี เจ้าของบทเพลง How Will I Know (1985) อันโด่งดังของ Whitney Houston โดยเรื่องราวของเพลง I Wanna Dance .. มาจากยามเย็นอันเปลี่ยวเหงา วันหนึ่ง (..Clock strikes upon the hour. And the sun begins to fade..) ที่คุณ Shannon รู้สึกว่า น่าจะเป็นช่วงเวลาเปราะบางของหลายคนที่ปราถนา "คู่เต้นรำ" สักคนในชีวิต ที่จะร่วมเต้นรำไปด้วยกัน เมื่อ Clive Davis ตัวแทนของ Whitney Houston ตัดสินใจซื้อเพลงนี้ ทางทีมโปรดิวเซอร์จึงปรับเปลี่ยนโครงสร้างจากเดิมในเวอร์ชั่นเดโม ที่ออกจะเป็นแนวคันทรี่ป็อป สไตล์ Olivia Newton John (จากปากคำของ Narada Michael Walden โปรดิวเซอร์ใหญ่) สู่ Pop Dance ติดกลิ่น Funk เพิ่มความเผ็ดร้อน เพื่อเสิร์ฟกลุ่มเป้าหมาย วัยรุ่นผิวสี แห่งยุค 80's และด้วยสไตล์การขับร้องของ Whitney ที่ผสมผสานเสียงร้องแบบ Gospel Soul เข้ากับความเป็น Pop Music ภายใต้จังหวะ Funk กลายเป็นว่าส่วนผสมที่ฟังลงตัวอย่างไม่น่าเชื่อ

I Wanna Dance with Somebody (Who Loves Me) คือเพลงอมตะ นั่นคือความจริงที่พวกเราทุกคนรับรู้ แต่ก่อนที่กาลเวลาจะพิสูจน์คุณค่า บทเพลง I Wanna Dance .. นี้ก็เคยถูกนักวิจารณ์ดนตรียุค 80's สับมาก่อน ว่าเป็น How Will I Know ภาค 2 หรือค่อนขอด Whitney Houston ว่าอุตส่าห์แสดงศักยภาพในบทเพลงอย่าง Greatest Love of All แต่สุดท้ายกลับอยากเป็น Pop Star แบบ Cyndi Lauper ซะงั้น

หนึ่งคำวิจารณ์แง่ลบในยุค 80's ที่มีต่อ I Wanna Dance .. คือ เบสไลน์ กิงก่องแก้ว เสียงแซก เสียงแตรปลอมๆ เกินพอดี เสียงคีบอร์ดที่ กรุ๊งกริ๊ง เกินเบอร์ เดินเพลงเปลี่ยนครึ่งคีย์ สูตรสำเร็จ Pop Song ยุคนั้น เอาง่ายเข้าว่า งานเคยถูกวิจารณ์กระทั่ง ชื่อเพลง ก็ยังฟัง คริ้นจ์ ไม่น่าสนใจ นั้นอาจเป็นมุมมองของผู้ที่อยู่ท่ามกลางบรรยากาศของยุคสมัย แต่อาจเป็นเพราะทั้งหมดนี้หรือเปล่า ที่ทำให้ I Wanna Dance with Somebody (Who Loves Me) กลายเป็นบันทึกความสุข สีสัน ความสนุก ความทรงจำ ของทศวรรษที่ 80 เป็นเพลงที่ให้ความรู้สึก และทำหน้าที่มากกว่าความเป็น เพลง และเป็นหนึ่งบทพิสูจน์ว่า สำหรับดนตรี อาจไม่มีสิ่งผิดสิ่งถูก คุณค่าของงานดนตรีแต่ละชิ้น ขึ้นอยู่กับวิธีที่ผลงานนั้นๆ สื่อสาร อะไรกับผู้ฟังต่างหาก

กาลเวลาพิสูจน์ว่า I Wanna Dance with Somebody (Who Loves Me) สื่อสารกับผู้ฟังได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยิ่งนานวัน การสื่อสารยิ่งลึกซึ้ง และแปรเปลี่ยนสู่ความประทับใจ ในความทรงจำ

หนึ่งคนที่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีส่วนอย่างมากในความสำเร็จของ I Wanna Dance .. คือ Whitney Houston ผู้ใช้น้ำเสียงอย่างมีประสิทธิภาพ ในการสร้างเอนเนอจี้แบบเพลงแดนซ์ ในขณะเดียวกัน Whitney สามารถถ่ายทอดอารมณ์โหยหาใครสักคนของเนื้อเพลงได้อย่างเข้าถึง ท่อนท้ายเพลงที่ร้องว่า "... Don't you wanna dance, say you wanna dance ..." นั้นก็เป็นไอเดียของ Whitney Houston บทเพลง I Wanna Dance .. นำรางวัลทางการขับร้องมากมายสู่ Whitney Houston รวมถึงรางวัล Grammy Awards

เหนือกว่ารางวี่รางวัล คือเลกาซี่ที่ Whitney Houston และนักแต่งเพลง นักดนตรีทุกท่าน ร่วมสร้าง I Wanna Dance with Somebody (Who Loves Me) สู่บทเพลงที่สร้างแรงบันดาลใจ สร้างความสุข ความสัมพันธ์ของผู้คน ข้ามกาลเวลามายาวนาน และจะยังคงดำเนินต่อไป ตราบที่เสียงเพลง I Wanna Dance with Somebody (Who Loves Me) ได้รับการเปิด อย่างไม่จบสิ้น

หนังสือ
ช่องทางการสั่งซื้อ
https://lin.ee/gk6NZIZ
* ช่องทางการสั่งซื้อ แบบ E Book *
https://bit.ly/3QU3aTM
การันตีความมันส์และความสนุกจากผู้อ่าน กว่า 2000 คน
ขอให้สนุกกับเรืองราวดนตรีที่ผมคัดมาแบบจัดเต็ม !
ช่องทางติดตามบทความดีๆ
youtube :https://youtu.be/TWWSf0PDJm8
Instagram :https://instagram.com
Blockdit : https://www.blockdit.com/fungsdontri
Line : https://lin.ee/gk6NZIZ
-------------------------------------------
#ฟังดนตรี

เขียนโดย วทัญญู

👏จบลงอย่างยิ่งใหญ่ กับ ไทยประกันชีวิต presents 90’s x2 SUPER CONCERT ปรากฏการณ์คู่กัน มันคูณสอง คอนเสิร์ตยุค 90’s แห่งปี...
18/09/2025

👏จบลงอย่างยิ่งใหญ่ กับ ไทยประกันชีวิต presents 90’s x2 SUPER CONCERT ปรากฏการณ์คู่กัน มันคูณสอง
คอนเสิร์ตยุค 90’s แห่งปี รวมศิลปินระดับตำนาน สนุก ซึ้ง ครบรส เสิร์ฟความสุขกว่า 7 ชั่วโมง 💿

🎆เต็มอิ่มคุ้มค่าทุกนาทีจริง ๆ สำหรับคอนเสิร์ตที่หลายคนรอคอย ไทยประกันชีวิต presents 90’s x2 SUPER CONCERT ปรากฏการณ์คู่กัน มันคูณสอง ที่จัดขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ 13 และวันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน 2568 ณ อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี โดยทีมผู้จัดมืออาชีพอย่าง IDEA FACT ภายใต้ GMM SHOW ที่สร้างสรรค์คอนเสิร์ตคุณภาพมาแล้วมากมาย ครั้งนี้ได้เนรมิตโปรดักชันสุดอลังการ ทั้งแสง สี เสียง เวที และจอ LED แบบจัดเต็มในทุกมุมมอง ให้แฟนเพลงได้ดื่มด่ำกับประสบการณ์คอนเสิร์ตที่สมบูรณ์แบบที่สุด ชวนทุกคนย้อนเวลากลับไปสู่วัยรุ่นยุค 90’s – 2000’s แบบอัดแน่นกว่า 7 ชั่วโมง รวมเพลงฮิตกว่า 100 เพลงมาให้แฟน ๆ ได้ร้องตาม🎤

#ปรากฏการณ์คู่กันมันคูณสอง #ให้รักดูแลชีวิต #ไทยประกันชีวิต

" Noel Gallagher แห่ง Oasis เผยความรู้สึกต่อเพลง Back for Good ว่า ... ""ไม่ว่ามันจะเป็นงานแบบไหน ถ้ามันสามารถทัชใจผู้คน...
17/09/2025

" Noel Gallagher แห่ง Oasis เผยความรู้สึกต่อเพลง Back for Good ว่า ... "

"ไม่ว่ามันจะเป็นงานแบบไหน ถ้ามันสามารถทัชใจผู้คนได้ มันคืองานที่ดี ... ผู้คนอาจพูดถึงวง Take That ไปต่างๆนาๆ แต่ขอบอกตรงนี้เลยว่า เพลง Back for Good ของพวกเขา ทัชใจ ผมได้ ก็แล้วกัน"

นี่คือคำกล่าวของ Noel Gallagher ถึงความรู้สึกที่มีต่อบทเพลง Back for Good

Take That คือ Boy Band จากอังกฤษที่ประสบความสำเร็จสูงในช่วงต้นยุค 90's ด้วยแนวเพลง Pop Dance ชายล้วน ที่ต่อมากลายเป็นเทรนด์ของ Boy Band วัยรุ่น วัยใส ทั่วโลก ในยุค Boy Band Fever ที่เชื่อว่าท่านผู้อ่านเกิดทัน

คำโปรยที่ผมใช้ว่า "Back for Good คือเพลงส่งท้าย เพื่อการเติบโต" นั้นไม่เกินจริง เพราะสมาชิกทุกคนของ Take That ต่อมากลายเป็นศิลปินเดี่ยวที่ประสบความสำเร็จ บางคนถึงกับสามารถสร้างเลกาซี่ความเป็นซุปเปอร์สตาร์ได้เลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น Gary Barlow, Robbie Williams, Mark Owen, Jason Orange และ Howard Donald แสดงให้เห็นว่า การรวมตัวของ 5 หนุ่มในครั้งที่เป็น Take That คือการรวมกันของ 5 ศิลปินผู้มีความสามารถทางดนตรีที่โดดเด่นทุกคน

ชื่อเต็มของวง Take That คือ Take That & Party โดยชื่อนี้ถูกเลือกใช้เป็นชื่ออัลบั้มเปิดตัวของวงในปี 1992 ด้วย ท่านใดทันบรรยากาศของอัลบั้ม Take That & Party น่าจะจดจำได้ว่า มันรวบรวมความคูล ความจ๊าบ ความเป็นวัยรุ่นโรลเลอร์เบลด 90's ตอนต้น ได้สมบูรณ์แบบม๊าก ต่อ เนื่องด้วยอัลบั้ม Everything Changes ปี 1993 ที่ปังยิ่งกว่า ทั้งด้านเพลงฮิต เพลงโดน และภาพลักษณ์ บวกกับความหล่อเหลา น่ารัก ของสมาชิกทั้ง 5 คน Take That จึงกลายเป็นวงดนตรีที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ในระดับโลก

Nobody Else คือชื่ออัลบั้มลำดับที่ 3 ของวง Take That ในปี 1995 ที่กลายมาเป็นอัลบั้มสุดท้าย (ในยุคแรก) ของวง ก่อนการยุบ ด้วยเหตุผลภายใน อัลบั้มนี้เองที่บรรจุบทเพลง Back for Good ที่กลายเป็นผลงานชิ้นแรกที่ตีตลาด USA สำเร็จ ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายว่ามันกลับกลายเป็นเพลงแรก และเพลงสุดท้าย จวบจนปัจจุบันของวง Take That ที่สามารถทำยอดขาย ทะลุขึ้นไปถึง Top 10 บนชาร์ต Billboard Hot 100 ได้

Back for Good ประพันธ์โดย Gary Barlow พี่ใหญ่สมาชิกของวง เรียบเรียงในรูปแบบ Ballad Pop กับใจความเรื่องราวการคำนึงหา โอกาสครั้งใหม่ ในความสัมพันธ์ที่จบสิ้นลงแล้ว คุณ Gary Barlow เผยว่า เขาแต่ง Back for Good จบในเวลาไม่เกิน 15 นาที โดยในปี 2011 คุณ Gary Barlow ให้สัมภาษณ์ ขยายความถึงเพลง Back for Good ว่าในวันที่เขาแต่ง Back for Good ในหัวเขามีเพลง "Easy" ของวง Commodores เป็นแรงบันดาลใจ

ความไพเราะ ลงตัว ที่ค่อนข้างจะฟังเติบโต เกินมาตรฐาน Boy Band ขายวัยรุ่น ของเพลง Back for Good กลายเป็นจุดสนใจที่นอกจากจะ ฮิต ตามระเบียบ แต่ยังสร้างเสียงชื่นชมต่อ Take That ถึงความสามารถทางดนตรี จากบทเพลงที่พวกเขาแต่ง เรียบเรียง และขับร้องนำ ร้องประสานด้วยตัวเองเพลงนี้

ความลงตัวของ Back for Good กับซาวด์เพลงที่ชวนหวนถึงเพลงรักอมตะในอดีต จนถึงขนาดว่า ในช่วงนั้นเกิดข่าวลือตลกๆว่า แท้จริงแล้ว Back for Good เป็นผลงานการประพันธ์ของวง Bee Gees ต่างหาก ข่าวลือนี้ถูกกระพือไปจนถึงหู Barry Gibb ซึ่งเขาก็ได้ตอบกลับข้อสงสัยนี้ว่า เพลงอะไรนะ เขายังไม่เคยฟังเพลง Back for Good นี้เลยด้วยซ้ำ

Back for Good ชนะรางวัล Song of the Year โดย Brit Awards ประจำปี 1996 บทเพลงได้รับการ Cover จากหลากหลายศิลปิน แม้กระทั่ง Boy Band ผู้ยิ่งใหญ่ฝั่งอเมริกา Boyz II Men ก็ยัง Cover เพลง Back for Good รวมถึง Noel Gallagher แห่ง Oasis ก็ยังชื่นชม Back for Good ว่าเป็นหนึ่งเพลง Pop ที่ทำให้เขา รู้สึก ดังที่ได้เกริ่นไว้ต้นบทความ

"If it touches people, it's a good song." ~ Noel Gallagher

หนังสือ
ช่องทางการสั่งซื้อ
https://lin.ee/gk6NZIZ
* ช่องทางการสั่งซื้อ แบบ E Book *
https://bit.ly/3QU3aTM
การันตีความมันส์และความสนุกจากผู้อ่าน กว่า 2000 คน
ขอให้สนุกกับเรืองราวดนตรีที่ผมคัดมาแบบจัดเต็ม !
ช่องทางติดตามบทความดีๆ
youtube :https://youtu.be/TWWSf0PDJm8
Instagram :https://instagram.com
Blockdit : https://www.blockdit.com/fungsdontri
Line : https://lin.ee/gk6NZIZ
-------------------------------------------
#ฟังดนตรี

วทัญญู

" ว่ากันว่า You've Got a Friend คือผลงานการประพันธ์เพลงของตัวเองที่ Carole King ชื่นชอบมากที่สุด "ในช่วงชีวิตการเป็นศิลป...
15/09/2025

" ว่ากันว่า You've Got a Friend คือผลงานการประพันธ์เพลงของตัวเองที่ Carole King ชื่นชอบมากที่สุด "

ในช่วงชีวิตการเป็นศิลปิน Carole King ประพันธ์กว่าร้อยบทเพลง หลายผลงานกลายเป็นบทเพลงฮิตระดับโลก แต่เมื่อถามถึงผลงานเพลงที่น่าจะเป็นที่รู้จักที่สุดของ Carole King เพลงชื่อ You've Got a Friend น่าจะเป็นหนึ่งในนั้น แม้ฉบับที่ผู้คนคุ้นเคยและชื่นชอบ อาจจะไม่ใช่ฉบับที่เธอถ่ายทอดเสียงร้องด้วยตนเองก็ตาม

เรารู้กันดีว่า Carole King คือเอกอุดมทางการประพันธ์เพลง กับผลงานอมตะ ที่ผ่านการท้าทายของกาลเวลาอย่าง "The Loco-Motion" "One Fine Day" (ของวง The Chiffons) หรือ "(You Make Me Feel Like) A Natural Woman" (ของ Aretha Franklin) เป็นอาทิ แต่สำหรับบทเพลง You've Got a Friend คุณ Carole King กลับเผยว่า เธอรู้สึกเหมือนว่าเธอไม่ได้แต่ง You've Got a Friend ด้วยตนเอง แต่ท่วงทำนองและคำร้องของ You've Got a Friend ต่างหาก ที่พรั่งพรูออกมา ผ่านสมองเธอ อย่างลื่นไหลและเป็นธรรมชาติ เหมือนเพลงนี้มีอยู่แล้วในอากาศ แต่ไม่เคยมีใครทราบ และมันผ่านปลายปากกาของ Carole King ออกมาเป็นรูปธรรม ก็เท่านั้น "The song wrote itself, it was written by something outside myself, through me." คุณ Carole King กล่าว

ในความเป็นจริง Carole King ก็คือผู้ประพันธ์ You've Got a Friend นั่นแหละ ทั้งเมโลดี้และองค์ประกอบเพลง มีความเป็น Carole King สูง และเธอใช้ความรู้สึกในช่องเวลาที่ยากลำบากช่วงหนึ่งของชีวิต เป็นแรงบันดาลใจ เมื่อเพลง You've Got a Friend ได้รับการปลุกปั้นจนเป็นฉบับสมบูรณ์ซึ่งขับร้องโดย Carole King และบรรเลงกีตาร์อะคูสติกโดย James Taylor นักดนตรีและนักร้องผู้ที่กำลังวางแผนจะทำอัลบั้มของตนเองเช่นกันในขณะนั้น

คุณ James Taylor คือหนึ่งในทีมงาน ผู้ร่วมสร้างสรรค์อัลบั้ม Tapestry ของ Carole King (ที่ต่อมา Tapestry จะกลายเป็นอัลบั้มที่มีความสำคัญที่สุด อัลบั้มหนึ่งของทศวรรษที่ 70's) คุณ James Taylor ชอบเพลง You've Got a Friend ที่สุด จนเอ่ยปากขอบันทึกเสียงบทเพลงนี้เองด้วย เพื่อใส่ในอัลบั้มของตน ซึ่ง Carole King ก็โอเค

อัลบั้ม Tapestry ของ Carole King วางแผงในช่องเดือนกุมภาพันธ์ ของปี 1971 โดยมีเพลงคุณภาพ อย่าง So Far Away และ It's Too Late เป็นเพลงโปรโมท โดย You've Got a Friend เป็นหนึ่งเพลงดีที่นอนนิ่งๆ ในอัลบั้ม แบบไม่ได้รับการโปรโมท ประมาณสองเดือนถัดมา คุณ James Taylor ก็เข็นอัลบั้ม Mud Slide Slim and the Blue Horizon ของตนเองมาวางแผงขาย เขาพิสูจน์ว่าเขาชอบเพลง You've Got a Friend มากจริงๆ โดยการเลือก You've Got a Friend เป็นเพลงโปรโมทหลักเพลงแรกของอัลบั้ม แม้จะไม่ใช่ผลงานการประพันธ์ของตัวเอง

และแล้ว วิสัยทัศน์ของคุณ James Taylor กลับส่งผลดีเกินคาด เมื่อแผ่น Single เพลง You've Got a Friend ที่เขาเป็นผู้ร้อง ขาบดีแบบเทน้ำเทท่า กลายเป็นเพลงฮิตประจำปีอย่างง่ายดาย You've Got a Friend โดย James Taylor ทำยอดขาย และยอดบนหน้าปัดวิทยุ ได้เป็นอันดับที่ 1 ในสหรัฐอเมริกา และเปิดเพลงฮิตระดับ Top 5 ในสหราชอาณาจักร นักวิจารณ์ดนตรีหลายสำนักยกย่อง You've Got a Friend ของ James Taylor ว่า สมบูรณ์แบบ ทั้งภาคเมโลดี้ และเนื้อหา และปฏิเสธไม่ได้ว่า ความสำเร็จของ You've Got a Friend โดย James Taylor ก็เป็นหนึ่งพลัง Boost ของความสำเร็จทางการตลาดของอัลบั้ม Tapestry ของ Carole King ด้วยเช่นกัน

Carole King ไขข้อสงสัยของผู้คนในยุคนั้น ว่าเธอจงใจแต่ง You've Got a Friend เพื่อ James Taylor (คล้ายว่า ผู้คนยุคนั้น เชื่อว่า James Taylor คือเพื่อนคนพิเศษคนนั้น ที่ Carole King หมายถึง ในเพลง) ว่าไม่จริง บทเพลง You've Got a Friend ไม่ได้มีเจตนาแต่งขึ้นเพื่อ James Taylor

James Taylor ก็เผยว่า เขาไม่ได้อยู่เบื้องหลังการแต่งเพลง You've Got a Friend และไม่ได้เป็นแรงบันดาลใจของ Carole King แต่ประการใด เขาเป็นแค่เพื่อนร่วมงาน เพียงแต่เขาชอบเพลง You've Got a Friend มาก ถึงมากที่สุด จริงๆ ตอนที่ได้มีโอกาสลงเสียงกีตาร์ให้ Carole King คุณ James Taylor บอกว่า เพลง You've Got a Friend มันมีความเชื่อมโยงทางเนื้อหากับเพลง "Fire and Rain" ของเขา ท่อนที่เขาแต่งว่า "... I've seen lonely times when I could not find a friend .." เขาแค่รู้สึกว่า มันเป็นเรื่องราวเดียวกัน กับบทเพลง You've Got a Friend

แม้ Carole King ไม่เคยโปรโมทบทเพลง You've Got a Friend เพลงนี้ ของเธออย่างเป็นทางการ แต่เธอเคยเผยว่า You've Got a Friend เป็นผลงานที่เธอชอบมากที่สุด เป็นการส่วนตัว

ในปัจจุบัน ผู้คนอาจรู้สึกว่าเพลง You've Got a Friend ก็คือเพลงอมตะเพลงหนึ่ง ที่ได้ยินมาร่วมห้าล้านครั้งได้ แต่ในช่วงเวลาที่ You've Got a Friend เผยแพร่ใหม่ๆ มันเป็นงานดนตรีที่สร้างแรงกระเพื่อม และมีอิทธิพลต่อทิศทางดนตรีในยุคนั้นมาก จนผู้ที่รัก และศึกษาประวัติศาสตร์ ผ่านเสียงดนตรี กล่าวว่า ทศวรรษที่ 70's จะไม่เหมือนเดิม ถ้าปราศจากอัลบั้ม Tapestry ของ Carole King ทุกบทเพลงในอัลบั้ม Tapestry มีอิทธิพลต่อวิถีชีวิต ความเป็นไปของยุค 70's

อัลบั้ม Tapestry คือหนึ่งสิ่ง ที่ร่วมรังสรรค์ยุคสมัยของกลุ่มคน (Generation)

หนังสือ
ช่องทางการสั่งซื้อ
https://lin.ee/gk6NZIZ
* ช่องทางการสั่งซื้อ แบบ E Book *
https://bit.ly/3QU3aTM
การันตีความมันส์และความสนุกจากผู้อ่าน กว่า 2000 คน
ขอให้สนุกกับเรืองราวดนตรีที่ผมคัดมาแบบจัดเต็ม !
ช่องทางติดตามบทความดีๆ
youtube :https://youtu.be/TWWSf0PDJm8
Instagram :https://instagram.com
Blockdit : https://www.blockdit.com/fungsdontri
Line : https://lin.ee/gk6NZIZ
-------------------------------------------
#ฟังดนตรี

เขียนโดย วทัญญู

" ในประวัติศาสตร์ Billboard Hot 100 Chart มีเพลงชื่อ My Love สามเพลง ที่สามารถขึ้นชาร์ตในอันดับที่  #1 ได้ นั่นคือ My Lo...
13/09/2025

" ในประวัติศาสตร์ Billboard Hot 100 Chart มีเพลงชื่อ My Love สามเพลง ที่สามารถขึ้นชาร์ตในอันดับที่ #1 ได้ นั่นคือ My Love (1966) โดย Petula Clark, My Love (1973) โดย Paul McCartney & Wings และ My Love (2006) โดย Justin Timberlake "

Wings คือวงดนตรีที่ก่อตั้งโดย Paul McCartney ร่วมกันศรีภรรยา Linda McCartney หลังการยุบตัวลงของ The Beatles บทเพลง My Love เป็น Smash Hit เพลงแรก ของ Wings (ภายใต้ชื่อ Paul McCartney and Wings) เป็นผลงานร่วมประพันธ์ของ Paul McCartney และ Linda McCartney ในรูปแบบเพลงที่ยังมีความใกล้เคียงกับ The Beatles (หลายคนบอกว่า โครงสร้างของ My Love มีความเป็น Paul ในสไตล์ The Beatles อย่างเพลง The Long and Winding Road เป็นต้น อยู่สูง)

My Love เรียบเรียงในรูปแบบ Soft Rock (บันทึกเสียงปี 1973) ที่มีความพิเศษตรงที่ Paul McCartney ตัดสินใจใช้วงออเคสตร้า เต็มวง เครื่องดนตรี 50 ชิ้น บรรเลงสดใน Abbey Road สตูดิโอ เพื่อการบันทึกเสียง รวมถึงเสียงโซโล่กีตาร์ของคุณ Henry McCullough ที่ถือเป็นไฮไลท์สำคัญของบทเพลง โดยเป็นการอนุญาตจาก Paul McCartney ให้ Henry McCullough ลองอิมโพรไวส์โซโล่ ซึ่งผลลัพธ์ออกมาน่าประทับใจมาก และหลังโมเมนต์การด้นโซโล่นั้นเอง แสงแห่งดาวรุ่ง ในแวดวง Rock ของคุณ Henry McCullough ก็ถือกำเนิดขึ้น ซึ่งการที่ Paul McCartney ตัดสินใจให้นักดนตรี อายุน้อย (ในขณะนั้น) อย่างคุณ Henry McCullough ทดลองวาดลวดลายกีตาร์ ท่ามกลางวงออเคสตร้า ต่อหน้า George Martin ถือเป็นเดิมพันที่ต้องรอบคอบ ของทั้ง Paul และคุณ Henry McCullough

แม้ผลลัพธ์ของ My Love โดย Paul McCartney and Wings จะออกมาละเมียดละมัย แต่เมื่อเผยแพร่ ก็ยังอุตส่าห์มีนักวิจารณ์ดนตรีหลายสำนักค่อนขอดว่า "ไม่ได้เรื่อง" หรือที่วัยรุ่น Gen A กล่าวว่า "น่าจะยัง" โดยให้เหตุผลว่า นี่มันเพลงหวานเลี่ยน แบบไร้เส้นเรื่อง ไร้จุดมุ่งหมาย เกินไปรึเปล่า แต่เสียงของนักวิจารณ์เหล่านั้นกลับไม่เป็นผลต่อการชื่นชอบจากแฟนเพลง เมื่อผู้ฟังต้องการบริโภคความหวาน และมีความสุขกับมัน

เนื่องจาก ความรัก เป็นความรู้สึก ที่อาจไม่จำเป็นต้องมีจุดมุ่งหมายใดมาเป็นเหตุผล บทเพลง My Love ขายดี จนสามารถสกอร์ อับดับ 1 บนชาร์ต Billboard Hot 100 ประจำปี 1973 ในอเมริกาได้สำเร็จ บวกกับเป็นอันดับ 1 เพลง Easy Listening (Adult Contemporary Chart) ในสหรัฐอเมริกา ถือเป็นอีกหนึ่งผลผลิตที่สวยงาม จากอดีตสมาชิกวง The Beatles

คุณ Linda McCartney ภรรยาของ Paul McCartney จากไปในปี 1998 เปรียบเสมือนครึ่งหนึ่งของบทเพลง My Love นี้ ได้ขาดไปแล้ว บทเพลง My Love ได้ถูกใช้บรรเลงในงานไว้อาลัยของคุณ Linda McCartney โดยหลังการจากไปของภรรยา Paul ยังคงแสดงบทเพลง My Love ในคอนเสิร์ต ซึ่งถือเป็นช่วงนาทีที่เขาจะได้แสดงความรัก และแสดงคอนเสิร์ตรำลึกถึงผู้หญิงคนนี้ ที่เป็นส่วนหนึ่งของบทเพลง My Love ตลอดกาล

หนังสือ

ช่องทางการสั่งซื้อ
https://lin.ee/gk6NZIZ
* ช่องทางการสั่งซื้อ แบบ E Book *
https://bit.ly/3QU3aTM
การันตีความมันส์และความสนุกจากผู้อ่าน กว่า 2000 คน
ขอให้สนุกกับเรืองราวดนตรีที่ผมคัดมาแบบจัดเต็ม !
ช่องทางติดตามบทความดีๆ
youtube :https://youtu.be/TWWSf0PDJm8
Instagram :https://instagram.com
Blockdit : https://www.blockdit.com/fungsdontri
Line : https://lin.ee/gk6NZIZ
-------------------------------------------
#ฟังดนตรี

เขียนโดย วทัญญู

" เมื่อพูดถึงเพลงที่เกี่ยวกับ บ้าน (เพราะสัปดาห์ที่แล้ว เขียนบทความเพลง Our House ของ Crosby, Stills, Nash & Young) ก็พา...
09/09/2025

" เมื่อพูดถึงเพลงที่เกี่ยวกับ บ้าน (เพราะสัปดาห์ที่แล้ว เขียนบทความเพลง Our House ของ Crosby, Stills, Nash & Young) ก็พาลนึกถึงอีกหนึ่งบทเพลงเพราะในอดีต ที่คนยุคนึงน่าจะคุ้นหูเลยทีเดียว "

เพลงเพราะๆ ที่พูดถึง บ้าน สถานที่พักพิง ที่ให้ความอบอุ่น และเป็น สัญลักษณ์ของสิ่งที่เรียกว่า ครอบครัว นอกจากเพลง Home ของ Michael Bublé หรือเพลง เพลง Home ".. ดอกไม้ ประตู แจกัน .." ของ ธีร์ ไชยเดช แล้ว บทเพลงเก่าชื่อ When We Make A Home ที่ร้องว่า ".. When we make a home, When our love has grown .." ก็น่าจะเป็นอีกหนึ่งบทเพลงเกี่ยวกับ บ้าน ที่คุ้นหูท่านผู้อ่านที่สุดเพลงนึง

When We Make A Home เป็นเพลงภาษาอังกฤษของศิลปินสัญชาติญี่ปุ่น Sadao Watanabe นักดนตรี Jazz และ Bossa Nova รูปแบบบราซิล ผู้เชี่ยวชาญเครื่องแซกโซโฟน คุณ Watanabe คือนักดนตรีที่ได้รับการยอมรับในแวดวง Jazz ระดับโลก มีผลงานทั้งเดี่ยวและร่วมกับนักดนตรีระดับโลกมากมาย เขามีผลงานทั้งในประเทศและระดับสากล ร่วมกับค่ายเพลงอย่าง RCA Records, Columbia Records, Elektra และอีกมากมาย รวมถึงเคยขึ้นแสดงในงานระดับโลกอย่าง Montreux Jazz Festival หรือ Newport Jazz Festival ในสหรัฐอเมริกา มาแล้ว

สำหรับคอ Jazz อาจมีงานของคุณ Sadao Watanabe เป็นผลงานโปรดในลิสต์มากมาย แต่สำหรับคอ Pop บทเพลง When We Make A Home คือหนึ่งเดียวที่เป็นที่ชื่นชอบมายาวนาน จากท่วงทำนองที่ไพเราะ เข้าถึงง่าย ร่วมกับเสียง Alto Saxophone เนี้ยบๆ ไม่ให้เสียชื่อสุดยอดมือแซค แห่งเอเชีย

คุณ Sadao Watanabe เป็นนักดนตรี ที่ไม่ใช่สายนักร้อง บทเพลง When We Make A Home จึงถ่ายทอดคำร้องโดยนักร้องรับเชิญ เสียงอบอุ่น ชื่อ Will Lee บทเพลง When We Make A Home นี้ ประพันธ์โดย Richard Wittenmyer เพลงบรรจุอยู่ในอัลบั้ม Good Time for Love วางขายปี 1986 โดยค่ายเพลงระดับโลกอย่าง Elektra Records บทเพลงนี้จึงมีความเป็น 80's Smooth Jazz ที่หวาน แพรวพราว แต่ก็ผ่อนคลาย และแฝงความอบอุ่น ตามแบบฉบับ Easy Listening

เพลง When We Make A Home เป็นที่รู้จักของชาวไทยในยุค 80's 90's น่าจะจากการนิยมนำเพลงสากลเพราะๆ (รวมถึงเพลงญี่ปุ่น) มาประกอบหนังโฆษณา หรือประกอบรายการทีวี จน When We Make A Home เป็นที่คุ้นหูชาวไทย เมื่อกาลเวลาผ่านไป บทเพลงจึงกลายเป็นความทรงจำ ของผู้ที่เคยใช้ชีวิต ที่อาจจะเป็นวัยเด็ก ที่เคยได้ยินบทเพลงนี้ ซึ่งความไพเราะของดนตรี Smooth Jazz ของคุณ Sadao Watanabe ก็ผนวกเข้ากับความงดงามทางใจของคืนวันในอดีต ในความทรงจำ พอดิบพอดี When We Make A Home จึงกลายเป็น Soundtrack แห่งความทรงจำ สีจาง ที่สวยงาม ของยุค 80's

หนังสือ
ช่องทางการสั่งซื้อ
https://lin.ee/gk6NZIZ
* ช่องทางการสั่งซื้อ แบบ E Book *
https://bit.ly/3QU3aTM
การันตีความมันส์และความสนุกจากผู้อ่าน กว่า 2000 คน
ขอให้สนุกกับเรืองราวดนตรีที่ผมคัดมาแบบจัดเต็ม !
ช่องทางติดตามบทความดีๆ
youtube :https://youtu.be/TWWSf0PDJm8
Instagram :https://instagram.com
Blockdit : https://www.blockdit.com/fungsdontri
Line : https://lin.ee/gk6NZIZ
-------------------------------------------
#ฟังดนตรี

เขียนโดย วทัญญู

" Our House เพลงเพราะ ข้ามกาลเวลา "Our House เป็นผลงานเพลง ในนามวง Crosby, Stills, Nash & Young ที่ประกอบด้วยสมาชิกที่มี...
07/09/2025

" Our House เพลงเพราะ ข้ามกาลเวลา "

Our House เป็นผลงานเพลง ในนามวง Crosby, Stills, Nash & Young ที่ประกอบด้วยสมาชิกที่มีชื่อเสียงในฐานะศิลปิน ทั้งสี่ท่าน ได้แก่คุณ David Crosby จากวง The Byrds คุณ Stephen Stills จากวง Buffalo Springfield คุณ Graham Nash จากวง The Hollies และท้ายสุด Neil Young มารวมตัวกันในรูปแบบ Super Group และได้ร่วมผลิตผลงานเพลงและอัลบั้มมาตั้งแต่ช่วงปี 1968 แบบเฉพาะกิจ มามา ไปไป ตามแต่จะรวมตัวกันได้ ยาวไปจนถึงต้นปี 2000 เลยทีเดียว โดยหนึ่งบทเพลงที่เป็นที่รู้จักและชื่นชอบ ในความทรงจำของหลายคน ก็คือเพลงชื่อ Our House ที่จะชวนคุยถึง ในวันนี้

ด้วยความไพเราะ แบบผ่อนคลาย ของเพลง Our House ที่เรียบง่ายด้วยเสียงเปียโน คลอไปกับการร้องประสาน (ขั้นเทพ) ของหนุ่มๆ โดยไฮไลท์อยู่ที่เสียงเพราะๆ ของ ฮาร์ปซิคอร์ด เครื่องดนตรีโบราณสมัยบาโรก ตลอดทั้งเพลง ปั้นแต่งให้ Our House เป็น Baroque Pop ที่สมบูรณ์แบบในความไพเราะ และสะท้อนความรู้สึกอบอุ่น ลงตัวอย่างดีกับเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับ บ้าน ที่แสนสุข

Our House ประพันธ์โดย Graham Nash และบันทึกเสียงในปี 1969 จากความรู้สึก อบอุ่น ปลอดภัย ส่วนตัวของคุณ Graham Nash ในขณะนั้น ที่มีต่อ รังรัก ของเขากับศิลปิน Folk Music สาวชื่อดัง Joni Mitchell และแมว 2 ตัวของทั้งคู่ (Graham Nash อดีตสมาชิกวง The Hollies เป็นชาวอังกฤษ ที่ย้ายมาตั้งรกรากในสหรัฐฯ กับ Joni Mitchell) วันที่คุณ Graham Nash แต่งบทเพลง Our House คือเช้าวันที่ Joni Mitchell พึ่งซื้อแจกันใบใหม่เอี่ยม ซึ่งเธอก็ได้สรรหาดอกไม้สวยๆมาใส่ และวางประดับไว้ในมุมหนึ่งของบ้าน ท่ามกลางแสงแดดอ่อนๆ เป็นช่วงเวลาที่คุณ Graham Nash สัมผัสได้ถึง ความสุข ของชีวิต ที่ไม่ได้ต้องการสิ่งใดมากไปกว่า ความสบายใจ กับสิ่งเล็กๆที่มี ในบ้านใหม่หลังนี้

คุณ Graham Nash แต่งเพลง Our House รวดเดียวจบ ในเช้าวันนั้น บนเปียโนของ Joni Mitchell ในเวลาไม่ถึงชั่วโมง

เมื่อ Our House กำเนิดจากความรู้สึกที่แท้จริง บทเพลงจึงสร้างความรู้สึก สบายใจ แบบเดียวกันนี้ ส่งผ่านถึงผู้ฟังได้ในทุกครั้งที่ได้ยิน และความจริงใจที่ส่งผ่านทุกตัวโน้ต ยังคงได้ผลเสมอ แม้กาลเวลาผ่านล่วงเลย เชื่อว่านักฟังเพลงรุ่นใหม่ ก็จะยังคง รู้สึก แบบเดียวกันนี้ เมื่อได้รับฟัง Our House

สำหรับขั้นตอนการอัดเสียง คุณ Graham Nash เผยว่า หนุ่มๆ ทั้ง 3 (บทเพลงนี้ Neil Young ไม่มีส่วนในการบันทึกเสียงเลย) แสดงความสามารถทางเสียงอย่างเต็มที่ ในการร้องประสาน คุณ Graham กล่าวว่า
"ผม David (Crosby) และ Stephen (Stills) พยายามสุดความสามารถเลยนะครับ ในการร้องประสาน ที่ผมก็ไม่ได้เก่งอะไรเรื่องนี้ แต่โชคดีครับ ที่เพื่อนทั้งสองของผมนี้ เขาเป็นสุดยอดนักดนตรี ผลลัพธ์มันเลยออกมาค่อนข้าง เวิร์ก ต้องขอบคุณพวกเขาครับ"

ตอนที่ Our House เผยแพร่ (ในปี 1970) นักวิจารณ์ดนตรีถึงกับเรียกบทเพลงนี้ว่า "อัญมณีแห่งเสียงเพลง" กับสเน่ห์ของความเรียบง่าย ที่ขาวสะอาด ผู้ฟังต่างชื่นชอบบทเพลงนี้ และต่อมา Our House กลายเป็นเสียงดนตรีที่เป็นความทรงจำ (ดีดี) ของหลายคน คุณ Graham Nash เคยบอกว่า เพลงนี้ถูกเปิด ถูกเล่นบ่อย จนช่วงนึงเขาเอียน แต่เขาก็ยินดีเล่น เพราะเขาตระหนักว่า Our House ที่เป็นเรื่องราวส่วนตัวของเขา บัดนี้มันกลายเป็น บทเพลงที่มีคุณค่าทางใจต่อคนหมู่มากไปซะแล้ว

ในชีวิตจริง แน่นอนว่า Our House เป็นบันทึกช่วงเวลาหนึ่ง ของชีวิตของคุณ Graham Nash เท่านั้น เพราะความสัมพันธ์กับ Joni Mitchell สุดท้ายก็สิ้นสุดลง บ้านหลังนั้น สุดท้ายทั้งคู่ก็ต้องย้ายออก หลังแยกทาง แต่ความรู้สึก สบายใจ ในเช้าวันนั้นจะยังคงอยู่ตลอดไป ในบทเพลง Our House

บ้าน สถานที่ในบทเพลง Our House ยังคงอยู่ เป็นอดีตทรัพย์สินในนาม Joni Mitchell ถึงช่วงปี 1974 ก่อนการขายทอด บ้านหลังนี้ตั้งอยู่ในเขต Hollywood Hills ลอสแอนเจลิส

หนังสือ
ช่องทางการสั่งซื้อ
https://lin.ee/gk6NZIZ
* ช่องทางการสั่งซื้อ แบบ E Book *
https://bit.ly/3QU3aTM
การันตีความมันส์และความสนุกจากผู้อ่าน กว่า 2000 คน
ขอให้สนุกกับเรืองราวดนตรีที่ผมคัดมาแบบจัดเต็ม !
ช่องทางติดตามบทความดีๆ
youtube :https://youtu.be/TWWSf0PDJm8
Instagram :https://instagram.com
Blockdit : https://www.blockdit.com/fungsdontri
Line : https://lin.ee/gk6NZIZ
-------------------------------------------
#ฟังดนตรี , Stills, Nash & Young

เขียนโดย วทัญญู

" คุณป้าจิ๊ อัจฉราพรรณ เผยความประทับใจ ช่วงเวลาดีดี กับ David Bowie "อัจฉราพรรณ ไพบูลย์สุวรรณ คุณจิ๊ หรือ ป้าจิ๊ ที่หลาย...
05/09/2025

" คุณป้าจิ๊ อัจฉราพรรณ เผยความประทับใจ ช่วงเวลาดีดี กับ David Bowie "

อัจฉราพรรณ ไพบูลย์สุวรรณ คุณจิ๊ หรือ ป้าจิ๊ ที่หลายท่านเรียกเธอ คือชื่อของพิธีกร นักแสดง เจ้าของรางวัลเกียรติยศมากมาย รวมถึงยังเป็นครูสอนวิชาโยคะ ชื่อดัง ป้าจิ๊ถือเป็นบุคคลสาธารณะ ที่พบเห็นใบหน้าได้อย่างสม่ำเสมอในจอทีวี ในยุคสมัยหนึ่ง สำหรับผู้เขียน เมื่อพูดถึงป้าจิ๊ ในมโนสำนึกจะมีเสียง ปิ๊บๆ ก่อนเข้ารายการ "หนูทำได้" โผล่มาก่อนเพื่อน ป้าจิ๊ ถือเป็นผู้มอบพลังสะอาด เป็นบุคคลในความทรงจำวัยเด็ก ของผู้ใหญ่หลายคนทั่วประเทศ ในวันนี้

ในส่วนของหนึ่งบุคคลในความทรงจำของป้าจิ๊เอง แม้ป้าจิ๊จะไม่เคยมีความสัมพันธ์ฉันคู่รักกับใครเลยจวบจนปัจจุบัน แต่ในรายการ Club Friday Show ที่ออกอากาศในวันที่ 16 สิงหาคม ปี 2568 ป้าจิ๊เผยโมเมนต์ความประทับใจส่วนตัว ที่ครั้งหนึ่งเคยมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับศิลปินระดับโลก ที่น้อยคนจะสามารถใกล้ชิดได้ อย่าง David Bowie

ป้าจิ๊เล่าว่า ได้พบ David Bowie ครั้งแรก ในออสเตรเลีย ซึ่งป้าจิ๊เผยว่า ตัวเธอเองในวันนั้นก็ไม่ได้ติดตาม David Bowie ในฐานะศิลปินมากนัก (ป้าจิ๊พูดติดตลกว่า ป้าฟังแต่เพลงไทยลูกทุ่ง) แต่ป้าจิ๊ชื่นชอบ David Bowie ในฐานะนักแสดง บรรยากาศการพบ David Bowie ครั้งแรกในวันนั้น ที่ล็อบบี้ของโรงแรม ฝูงชนฝรั่ง กรีดร้องแรกแหกกระเชอ เมื่อประตูลิมูซีนเปิดออก พร้อมบอดี้การ์ดนับสิบที่นำชายหนุ่มร่างสูง ผมสีบลอนด์สด ฝ่าฝูงชนเข้าไปในห้องโถงของโรงแรม ซึ่งบังเอิญว่าเป็นโรงแรมเดียวกันกับที่ป้าจิ๊พัก

ด้วยความมีอัธยาศัยดี และอาจด้วยสเน่ห์ ของความเป็นชาวเอเชียที่สื่อสารภาษา อังกฤษได้ ป้าจิ๊ได้เลียบเคียงไปชวนหนึ่งใน บอดี้การ์ด พูดคุย โดยบอกว่าฉันก็ชอบเขามากเลย ได้ชมภาพยนตร์ที่เขาแสดงแล้วประทับใจ อยากมีโอกาสได้ลายเซ็น บอดี้การ์ดท่านนั้นจึงแอบแจ้งว่า ถ้างั้นวันพรุ่งนี้ ช่วงเวลานี้ๆ ลองมารอที่หน้าลิฟท์สิ David จะเช็คเอาท์พรุ่งนี้

วันรุ่งขึ้น ป้าจิ๊ ลองมารอพบ David Bowie ตามเวลาที่บอดี้การ์ดท่านนั้นบอก ป้าจิ๊เผยว่า เธอใช้ความรู้สึกว่า David Bowie จะต้องออกมาจากลิฟท์ตัวนี้แน่ๆ และ David ก็ออกมาจากลิฟท์ตัวดังกล่าวจริงๆ ป้าจิ๊ส่งยิ้มให้ และ David Bowie ก็ยิ้มตอบ ป้าจิ๊เอ่ยกับ David Bowie ว่า "May I have your autograph please ?" นั่นจึงเป็นประโยคสนทนาแรกของคนทั้งสอง

ต่อมา บทสนทนาเล็กๆ จึงได้เริ่มต้นขึ้น David Bowie แสดงท่าทางดีใจที่รู้ว่าสาวเอเชียผู้น่ารักคนนี้มาจากประเทศไทย เขาบอกว่า เดือนหน้าจะมีคอนเสิร์ตที่ประเทศไทยพอดี โดยป้าจิ๊กล่าวชื่นชม David ในฐานะนักแสดง เป็นนาทีการพบและพูดคุยกับคนดังระดับโลกที่ป้าจิ๊ประทับใจ

ผ่านไปหนึ่งเดือน ณ. เมืองไทย ป้าจิ๊กลับไปใช้ชีวิต และทุ่มเทเวลาเพื่องานที่แสนยุ่งตามปรกติ จนแทบจะลืมการพบเจอ David Bowie ไปแล้ว จนเช้าวันหนึ่ง ได้มาเปิดเจอข่าว David Bowie พาดหัวใหญ่ยักษ์ในหนังสือพิมพ์ ถึงคอนเสิร์ตที่กำลังจะเกิดขึ้นในประเทศไทย ในวันนี้ ซึ่งแน่นอนว่าป้าจิ๊ไม่มีโอกาสไปชมแน่ เพราะนอกจากจะติดงาน ตั๋วคอนเสิร์ตก็น่าจะหาไม่ได้แล้ว

บังเอิญว่างานของป้าจิ๊ในวันนั้น คือการบันทึกเทปรายการเด็กนอกสถานที่ บนเรือที่จะล่องจากโรงแรมเชอราตัน ผ่านโรงแรมโอเรียนเต็ล เพื่อชมการแข่งเรือในแม่น้ำเจ้าพระยา เมื่อเรือของป้าจิ๊กำลังผ่านท่าโอเรียนเต็ล David Bowie นั่งอยู่ที่ในท่าเรือนั้น

ป้าจิ๊ตัดสินใจบอกผู้บังคับเรือให้เทียบท่าโอเรียนเต็ล แต่ก่อนจะเข้าถึง David Bowie แน่นอนว่าต้องผ่านด่านบอดี้การ์ดตามเคย แต่ด้วยโชค บอดี้การ์ดกลับดีใจที่ได้พบป้าจิ๊ ผู้มีเรือ และบอกกับป้าจิ๊ว่า รอสักครู่ เราอาจจะต้องขอยืมเรือให้ David Bowie โดยสาร ข้ามไปฝั่งตรงข้าม ถ้าไม่รังเกียจ และในที่สุด ป้าจิ๊ และ David Bowie ก็ได้พบกันอีกครั้ง คราวนี้พ่วงเด็กๆ ที่กำลังถ่ายทำรายการอีกหนึ่งโขยง

David Bowie กล่าวว่าจำป้าจิ๊ได้ สาวไทยที่เคยได้คุยกันที่โรงแรมในออสเตรเลีย จากภาพถ่ายเก่าที่เผยแพร่ในรายการ Club Friday Show เป็นภาพป้าจิ๊ที่ยังสาวสะพรั่ง กับ David Bowie หนุ่มฟ้อ ที่ยิ้มกว้างด้วยความจริงใจ และเด็กๆ ที่รายล้อมบุคคลทั้งสอง (ป้าจิ๊พูดติดตลกว่า วันนั้น เด็กๆถามใหญ่เลยว่าฝรั่งคนนี้ เป็นใครอ่ะ) เป็นภาพถ่ายที่บันทึกความสดใส สะอาด และจริงใจ ที่ดูแล้วได้แต่ยิ้มตาม

David Bowie ตอบแทนความใจดีที่ให้โดยสารเรือ ด้วยตั๋วคอนเสิร์ตสุดพิเศษเพื่อป้าจิ๊ โดยเขาบอกว่าจะฝากไว้ที่ Box Office ให้ป้าจิ๊กไปรับได้เลย ซึ่งนั่นคือตั๋วคอนเสิร์ตพ่วงสิทธิ์เข้าร่วม After Party

ป้าจิ๊กับ David Bowie ได้พูดคุยกันอีกครั้งในงาน After Party โดย David ได้ให้ที่อยู่ในการเขียนจดหมายเพื่อติดต่อเขาภายหลัง แต่ป้าจิ๊ก็ไม่เคยเขียนจดหมายถึง David Bowie

David Bowie จากไปแล้ว แต่ความสุขใจ ยังคงประทับไม่รู้ลืมในความทรงจำของป้าจิ๊ พิธีกรรายการ Club Friday Show สอบถามป้าจิ๊ ถึงความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งในค่ำคืนนั้น ป้าจิ๊ตอบว่า ความสัมพันธ์ที่ดี ไม่จำเป็นต้องจบลงบนเตียง แต่คือความรู้สึกดี ที่พิเศษ ที่ป้าจิ๊รับรู้จากการส่งผ่านของ David Bowie ในวันนั้น และเชื่อว่า David Bowie เองก็รู้สึกมีความสบายใจ ที่ได้มีสาวไทยคนนี้เป็นเพื่อน แม้จะเป็นการพบกันโดยบังเอิญในระยะเวลาสั้นๆ

*ทัวร์คอนเสิร์ต Serious Moonlight Tour 1983 ณ. สนามกีฬากองทัพบก กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2526

หนังสือ
ช่องทางการสั่งซื้อ
https://lin.ee/gk6NZIZ
* ช่องทางการสั่งซื้อ แบบ E Book *
https://bit.ly/3QU3aTM
การันตีความมันส์และความสนุกจากผู้อ่าน กว่า 2000 คน
ขอให้สนุกกับเรืองราวดนตรีที่ผมคัดมาแบบจัดเต็ม !
ช่องทางติดตามบทความดีๆ
youtube :https://youtu.be/TWWSf0PDJm8
Instagram :https://instagram.com
Blockdit : https://www.blockdit.com/fungsdontri
Line : https://lin.ee/gk6NZIZ
-------------------------------------------
#ฟังดนตรี

วทัญญู

เพลงสากลสุดคลาสสิกที่คุณคิดถึง… 🎶กำลังจะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง บนเวทีคอนเสิร์ตในตำนานเพลินเพลงกับ เล็ก วงศ์สว่าง ครั้งที่...
03/09/2025

เพลงสากลสุดคลาสสิกที่คุณคิดถึง… 🎶
กำลังจะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง บนเวทีคอนเสิร์ตในตำนาน
เพลินเพลงกับ เล็ก วงศ์สว่าง ครั้งที่ 3 🌟
⏳เตรียมตัวขึ้น Time Machine ท่อง “จักรวาลโก๋หลังวัง”
ไปกับบรรยากาศแห่งวันวาน และบทเพลงยุค 50s–60s ที่คุณหลงรัก ❤️

🎤และนี่คือบางส่วนจากเพลงดังที่จะได้ฟังกันสดๆ ในงานนี้ 🎵 - Diana, Oh! Carol, Loving You, Poison Ivy, Downtown, Mr. Postman, Stupid Cupid, One Way Ticket, The End of the World, Unchained Melody, I Will Follow Him, Seven Lonely Days, Always on My Mind, Can’t Take My Eyes Off You, Will You Love Me Tomorrow, Have You Ever Seen the Rain 🎼

🌟และยังมีอีกกว่า 40 เพลง 🎶 ขับร้องโดย 13 ศิลปินคุณภาพ
บรรเลงสดแบบสุดมันส์ โดยวง Mahidol Starlight Orchestra 🎻
ที่จัดเต็มทั้งเครื่องสาย เครื่องเป่า และ String Combo 🎸
🗓 วันเสาร์ที่ 27 กันยายน 2568 เวลา 14.00 น. รอบเดียวเท่านั้น!
📍 Prince Mahidol Hall มหาวิทยาลัยมหิดล
🎟 จองบัตรได้แล้ววันนี้ที่ Thai Ticket Major ทุกช่องทาง
✨ มาร่วมสร้างความทรงจำดีๆ ไปพร้อมกับครอบครัว เพื่อนๆ และคนที่คุณรัก 💖 แล้วเก็บช่วงเวลาแสนอบอุ่นนี้ไว้ในหัวใจตลอดไป ✨

" Daisy Bell บทเพลงร้อง จาก ปัญญาประดิษฐ์ เพลงแรกของโลก "ปัจจุบัน (2025) AI (ปัญญาประดิษฐ์) มีบทบาทในแทบทุกมิติของวิถีชี...
03/09/2025

" Daisy Bell บทเพลงร้อง จาก ปัญญาประดิษฐ์ เพลงแรกของโลก "

ปัจจุบัน (2025) AI (ปัญญาประดิษฐ์) มีบทบาทในแทบทุกมิติของวิถีชีวิต ศิลปะวัฒนธรรม ความบันเทิง รวมถึงในแวดวงดนตรีด้วย สังเกตุจากทุกวันนี้ วีดีโอสร้างสรรค์โดย AI สามารถนำเสียงร้องของนักร้องระดับโลก มาร้องเพลงสวดมนต์สรภัญญะ แผ่เมตตา ภาษาบาลี กันให้เป็นที่สนุกสนาน และที่สำคัญ น้ำเสียงและลีลาที่ AI ประดิษฐ์ มีความคล้ายต้นฉบับ นักร้องตัวเป็นๆ ในระดับสูง

การพัฒนาที่รุดหน้าของเทคโนโลยีในปัจจุบัน ย่อมมีจุดเริ่มต้น วันนี้จึงชวนท่านผู้อ่านมาย้อนดู บทเพลงที่ขับร้องโดย คอมพิวเตอร์ โดยสมบูรณ์ เพลงแรกของโลก ซึ่งเราจะต้องย้อนเวลากลับไปสู่ปี ค.ศ. 1892 กันเลยทีเดียว

ในปี 1892 นักประพันธ์ชาวอังกฤษ ชื่อคุณ Harry Dacre ประพันธ์บทเพลงชื่อ "Daisy Bell" หรือชื่อเรียกเต็มของเพลง "Daisy Bell (Bicycle Built for Two)" โดยได้แรงบันดาลใจจากคำว่า Bicycle Built for Two (จักรยานคู่) ที่เพื่อนคนหนึ่งของเขาพูดแซวเมื่อทราบว่าเขาต้องเสียภาษีให้รัฐ ในการนำเข้าจักรยานเพียง 1 คันสู่สหรัฐอเมริกา (ในยุคนั้น) ว่า ดีที่จักรยานเขาไม่ใช่จักรยานคู่ ไม่งั้นเสียภาษี 2 ต่อแน่ๆ คำว่า Bicycle Built for Two ถูกนำมาร้อยเรียงสู่บทเพลงรัก "Daisy Bell" ที่กลายเป็นที่นิยม เมื่อเปิดแสดง ณ. London Music Hall ในปี 1892 เป็นต้นมา และแพร่หลายมาจนถึงสหรัฐอเมริกา

บทเพลง "Daisy Bell" ได้รับการถ่ายทอดข้ามกาลเวลามายาวนาน โดยนักร้องหลากหลายท่าน (ศิลปิน Ragtime ชาวอเมริกัน คุณ Dan W. Quinn คือบุคคลแรกในประวัติศาสตร์ที่บันทึกเสียง บทเพลง "Daisy Bell" ในปี 1893) สำหรับฉบับที่น่าจะคุ้นหูชาวโลกมากที่สุด น่าจะเป็น "Daisy Bell" ฉบับปี 1961 ที่ขับร้องโดย Nat King Cole ของค่ายเพลง Capitol Records ในตำนาน

และในปีเดียวกันกับที่ "Daisy Bell" ของ Nat King Cole ได้รับความนิยมในกลุ่มแฟนเพลง ไอบีเอ็ม (International Business Machines, IBM) ร่วมกับ Nokia Bell Labs ได้พัฒนาโปรแกรม คอมพิวเตอร์ ที่สามารถสังเคราะห์เสียงพูดของมนุษย์ (Speech Synthesis) และมากกว่านั้นคือการสาธิตการ ร้องเพลง "Daisy Bell" ด้วยสมองกล

เสียงร้องเพลง "Daisy Bell" ด้วยคอมพิวเตอร์ครั้งแรกของมนุษยชาติ ในปี 1961 นั้น ยังฟังไร้มิติ แต่ก็ชัดเจนในการ ออกเสียงคำร้อง และถ่ายทอดเสียงสูงต่ำของเมโลดี้ออกมาได้คล้ายมนุษย์มาก เป็นก้าวกระโดดที่ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ กับการพัฒนาเทคโนโลยีที่สร้างความมหัศจรรย์ และสร้างเสียงวิพากษ์ถึง เทคโนโลยี ที่ชาญฉลาด จนน่ากลัว ในสายตาผู้คนในยุคสมัยนั้น

เสียงร้องเพลง "Daisy Bell" ฉบับคอมพิวเตอร์ ยังเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบเสียงเครื่องจักรสมองกลในภาพยนตร์ไซไฟอมตะอย่าง 2001: A Space Odyssey รวมถึง Star Wars อีกด้วย

ปัจจุบัน เทคโนโลยีเสียงสังเคราะห์ สามารถเลียนเสียงมนุษย์ได้เหมือนระดับ 100% จนแยกความแตกต่างไม่ออก จากจุดเริ่มต้นการพัฒนาซอฟต์แวร์ เสียงสังเคราะห์ ของ IBM เพลง "Daisy Bell" ฉบับคอมพิวเตอร์ ได้รับการบันทึกให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ ถึงบทเพลงรัก ที่มีจักรยานคู่รัก ที่ขี่พร้อมกันไปได้ 2 คน ปรากฏในเนื้อเพลง ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 19 ที่ต่อมา โชคชะตาได้คัดสรรให้มันกลายเป็น บันทึก ความก้าวหน้าขั้นสูง ของอารยธรรมมนุษย์

หนังสือ
ช่องทางการสั่งซื้อ
https://lin.ee/gk6NZIZ
* ช่องทางการสั่งซื้อ แบบ E Book *
https://bit.ly/3QU3aTM
การันตีความมันส์และความสนุกจากผู้อ่าน กว่า 2000 คน
ขอให้สนุกกับเรืองราวดนตรีที่ผมคัดมาแบบจัดเต็ม !
ช่องทางติดตามบทความดีๆ
youtube :https://youtu.be/TWWSf0PDJm8
Instagram :https://instagram.com
Blockdit : https://www.blockdit.com/fungsdontri
Line : https://lin.ee/gk6NZIZ
-------------------------------------------
#ฟังดนตรี

วทัญญู

ที่อยู่

คู้บอน
Bang Khen
10220

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Fungdontri - ฟังดนตรีผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง Fungdontri - ฟังดนตรี:

แชร์