ธีร์ “You are the sum of your thoughts and your taste.”
คุณคือผลรวมของความคิดและรสนิยมของคุณ

สนใจปรึกษาภาพลักษณ์ โทร.096-2692946 คุณเมย์
(9)

"ยินดีต้อนรับเข้าสู่ช่อง "Be Better" กับ ผม ธีร์ นะครับ

ที่นี่เป็นพื้นที่สำหรับทุกคนที่ต้องการพัฒนาตนเองและค้นหาตัวตนที่แท้จริง
ด้วยประสบการณ์และความรักด้านการแต่งตัว การออกแบบ แฟชั่น การพัฒนาตัวเองและ Mindset

ผมพร้อมจะแบ่งปันความรู้และเคล็ดลับที่จะช่วยให้คุณสามารถก้าวไปสู่เวอร์ชั่นที่ดีที่ดีกว่าเดิมของตัวเองได้อย่างมั่นใจ
ที่นี่คุณจะได้พบกับเนื้อหาที่เข้าใจง่ายใช้ได้จริง ไม่ว่าจะเป็น:

-เคล็

ดลับการแต่งตัว สำหรับทุกเพศทุกวัย ทุกสไตล์
-คำแนะนำในการพัฒนาตนเองและการสร้างแบรนด์ส่วนบุคคล
-เทคนิคการสร้างสมดุลในชีวิตและการจัดการความเครียด ให้ชีวิตมีความสุข
-การพัฒนา Mindset เพื่อความสำเร็จทั้งในชีวิตและธุรกิจ
และอื่นๆ อีกมากมาย

ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร มีเป้าหมายอะไร ผมพร้อมที่จะเป็นเพื่อนร่วมทางในการค้นหาศักยภาพสูงสุดของคุณ
เพื่อให้คุณสามารถใช้ชีวิตได้อย่างเต็มศักยภาพและเป็นเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดของตัวเอง
มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว "Be Better" และเริ่มต้นการเดินทางในการพัฒนาตนเองไปด้วยกันนะครับ
อย่าลืมกด Subscribe และกดกระดิ่งเพื่อไม่พลาดคอนเทนท์ดีๆ ที่จะมีมาให้ติดตามกันทุกสัปดาห์"

27/03/2025

ผมขออนุญาตรวมคำถามในการแต่งตัว หรือเรื่องอื่นๆ
ที่ผมยังไม่ได้ตอบไว้ในโพสต์นี้ครับ

🔽🔽🔽🔽

เสื้อยืดอาจดูเป็นไอเท็มธรรมดา แต่ถ้ารู้วิธีแมตช์อย่างถูกต้อง มันสามารถกลายเป็นลุคที่ดูแพงและมีสไตล์ได้ โดยไม่ต้องพึ่งแบร...
26/03/2025

เสื้อยืดอาจดูเป็นไอเท็มธรรมดา แต่ถ้ารู้วิธีแมตช์อย่างถูกต้อง มันสามารถกลายเป็นลุคที่ดูแพงและมีสไตล์ได้ โดยไม่ต้องพึ่งแบรนด์หรู

1. เลือกเสื้อยืดที่ “พอดีตัว” และมีคุณภาพดี

🔹 สำหรับผู้หญิง และผู้ชาย
• เลือกเสื้อยืดที่ไม่คับหรือหลวมเกินไป ควรเป็นทรงที่พอดีตัว และเข้ากับรูปร่าง
• สีที่ดูแพง และแมตช์ง่าย ได้แก่ ขาว ดำ เทา เบจ น้ำเงินเข้ม
• คอเสื้อควรเป็น Crew Neck หรือ V-Neck ที่พอดี ไม่ย้วย
• เนื้อผ้าควรเป็น Cotton 100% หรือ Cotton Blend ที่มีความหนาพอดี ดูเรียบ และไม่บางเกินไป

✅ วิธีทำให้เสื้อยืดดูแพงขึ้น
• รีดเสื้อให้เรียบเสมอ เสื้อยืดที่ยับจะทำให้ลุคดูไม่เนี้ยบ
• ถ้าเป็นสีขาว ต้องมั่นใจว่าไม่มีคราบเหลืองหรือซีดจาง
• เสื้อ Oversized สามารถใส่ได้ แต่ต้องแมตช์ให้สมดุลกับท่อนล่าง

2. แมทช์กับกางเกง และรองเท้าให้มีระดับ

🔹 สำหรับผู้หญิง
• กางเกง Tailored Pants หรือกางเกงเอวสูง → ทำให้ลุคดูเรียบหรู
• กระโปรงทรงดินสอ หรือ Midi Skirt → เพิ่มความเป็นผู้หญิงแต่ยังคงความแพง
• กางเกงยีนส์ขาตรง (Straight-Leg Jeans) → ลุคเรียบง่ายแต่ดูดี ควรเลือกสีเข้มและมีดีไซน์มินิมอล

🔹 สำหรับผู้ชาย
• กางเกง Chinos หรือกางเกงสแลคทรง Slim Fit → ทำให้เสื้อยืดดูสมาร์ทและแพงขึ้น
• กางเกงยีนส์สีเข้ม ทรงพอดีตัว (Slim หรือ Straight-Leg) → ให้ลุคที่ดูเท่แบบสบายๆ
• กางเกงขาสั้นทรง Tailored → ถ้าต้องการลุค Casual ที่ดูมีรสนิยม

✅ รองเท้าที่ช่วยให้ลุคดูแพงขึ้น
• ผู้หญิง : รองเท้า Loafers, รองเท้าส้นเตี้ยทรง Pointed Toe, Sneakers หนังสีขาว
• ผู้ชาย : รองเท้า Loafers, Chelsea Boots, White Sneakers แบบมินิมอล

3. เสริมลุคด้วยเครื่องประดับ และเลเยอร์ที่ลงตัว

🔹 สำหรับผู้หญิง
• เพิ่มเข็มขัดหนังแท้สีดำหรือสีน้ำตาล เพื่อให้ลุคดูมีโครงสร้าง
• ใส่เครื่องประดับแบบมินิมอล เช่น สร้อยคอเส้นเล็ก ต่างหูเงิน นาฬิกาหน้าปัดเรียบ
• ถ้าต้องการลุคที่ดูแพงขึ้น ลองแมตช์กับ เบลเซอร์หรือเสื้อคลุมทรงยาว

🔹 สำหรับผู้ชาย
• ใช้นาฬิกาหนัง หรือสแตนเลส เพื่อเสริมลุคให้ดูแพงขึ้น
• ใส่แว่นกันแดดดีไซน์คลาสสิก เช่น Aviator หรือ Wayfarer
• เลือกเบลเซอร์หรือแจ็กเก็ตหนังทรงพอดีตัว ใส่ทับเสื้อยืดเพื่อเพิ่มมิติให้ลุค

✅ กระเป๋าที่ช่วยให้ลุคดูแพงขึ้น
• ผู้หญิง : กระเป๋าหนังแท้ทรงเรียบ เช่น Tote Bag หรือ Shoulder Bag
• ผู้ชาย : กระเป๋าสะพายข้างทรง Minimal หรือ Leather Backpack

การแต่งตัวให้ดูแพงไม่ได้เกี่ยวกับแบรนด์ แต่เกี่ยวกับ “การเลือกไอเท็ม” และ “การจัดลุคให้สมดุล” #เทคนิคดีบอกต่อ #เสื้อยืดแฟชั่น #มีสไตล์

หากเราพูดถึงแบรนด์ที่ “ทำลายกฎแฟชั่น” และเปลี่ยนสิ่งที่ไม่มีใครคิดว่าจะกลายเป็นเทรนด์ Balenciaga คงเป็นหนึ่งในตัวอย่างที...
26/03/2025

หากเราพูดถึงแบรนด์ที่ “ทำลายกฎแฟชั่น” และเปลี่ยนสิ่งที่ไม่มีใครคิดว่าจะกลายเป็นเทรนด์ Balenciaga คงเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่น่าสนใจที่สุด

จากแบรนด์แฟชั่นชั้นสูงที่เคยเน้นความหรูหรา และโครงสร้างเสื้อผ้าอันประณีตในยุคของ Cristóbal Balenciaga สู่ยุคใหม่ภายใต้การนำของ Demna Gvasalia ที่เปลี่ยน Balenciaga ให้กลายเป็น “Fashion Disruptor” แห่งศตวรรษที่ 21

Balenciaga ไม่ได้ขายแค่เสื้อผ้า แต่ขายแนวคิด และความท้าทายที่เปลี่ยนมุมมองของผู้คนที่มีต่อแฟชั่น

1. Balenciaga : จากความหรูหราแบบเดิม สู่ Ugly Chic

Demna Gvasalia ได้รับแต่งตั้งให้เป็นครีเอทีฟไดเรกเตอร์ของ Balenciaga ในปี 2015 และภายในไม่กี่ปี เขาเปลี่ยน Balenciaga จากแบรนด์หรูแบบดั้งเดิม ให้กลายเป็นผู้นำแฟชั่นแนวทดลองที่โลกต้องจับตามอง

แทนที่จะเดินตามแนวทางแฟชั่นไฮเอนด์แบบเดิม Demna สร้างสไตล์ “Ugly Chic” ที่เปลี่ยนของธรรมดาให้กลายเป็นลักชัวรี่

📌 ตัวอย่างไอเท็มที่ทำให้คนทั้งโลกต้องหันมามอง Balenciaga
✅ Triple S Sneakers – สนีกเกอร์หนา ๆ ที่ดูเทอะทะ แต่กลายเป็นไอคอนแห่งสตรีทแวร์
✅ IKEA Bag Look-alike – กระเป๋าราคาแพงที่ดูเหมือนถุงช้อปปิ้งของอิเกีย
✅ Towel Skirt – กระโปรงที่ดูเหมือนเอาผ้าขนหนูมานุ่ง แต่ขายในราคาหลักหมื่น
✅ Destroyed Sneakers – รองเท้าผ้าใบที่ดูเหมือนผ่านสงครามมา แต่มีราคาหลักแสน

🔥 สิ่งที่ Demna ทำ คือเปลี่ยนไอเท็มที่คนเคยมองว่าธรรมดาหรือ “น่าเกลียด” ให้กลายเป็นของลักชัวรี่

2. แผนการตลาดของ Balenciaga : เล่นกับ “Cultural Shock”

Balenciaga ไม่ได้พยายามเป็นแบรนด์ที่ “ทุกคนต้องชอบ” แต่พวกเขาใช้กลยุทธ์ “สร้างความขัดแย้งเพื่อให้เกิดการพูดถึง”

📌 กลยุทธ์สำคัญที่ทำให้ Balenciaga เป็นกระแส

1) Anti-Luxury Aesthetic – ทำให้ความ “ธรรมดา” กลายเป็น “แฟชั่น”
• Balenciaga แทบไม่ใช้โลโก้ใหญ่ ๆ หรือสีทองแวววาวแบบแบรนด์หรูทั่วไป
• พวกเขาเลือกใช้ ดีไซน์ที่ดูเหมือนไม่ผ่านการคิดเยอะ เช่น เสื้อฮู้ด Oversized ที่ดูเหมือนของมือสอง
• พวกเขาขาย “อารมณ์และไอเดีย” มากกว่าตัวสินค้าจริง

🔥 คนที่เข้าใจแฟชั่นระดับสูงมองว่า Balenciaga เป็นแบรนด์ที่ฉลาด และกล้าหาญ ในขณะที่คนทั่วไปบางกลุ่มมองว่ามันเป็น “เรื่องตลก” แต่สุดท้ายทุกคนก็พูดถึงแบรนด์นี้

2) Virality & Meme Culture – ใช้โซเชียลมีเดียให้เป็นประโยชน์
• แคมเปญของ Balenciaga มักถูกแชร์ไปทั่วอินเทอร์เน็ต เพราะมัน “แปลก” และ “คาดไม่ถึง”
• Balenciaga สร้างสินค้าที่มีศักยภาพกลายเป็น Meme เช่น ถุงขยะลักชัวรี่ หรือ Crocs แบบแพลตฟอร์ม
• พวกเขาไม่รอให้คนอื่นมาแซวแบรนด์ แต่เลือก “เล่นกับวัฒนธรรม Meme” ตั้งแต่แรก

🔥 Balenciaga กลายเป็นแบรนด์ที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในโซเชียลมีเดีย แม้ว่าคุณจะไม่ได้เป็นแฟชั่นนิสต้าก็ยังต้องเคยเห็น Balenciaga ผ่านตา

3) Limited Access & Hype Strategy – ทำให้คนรู้สึกว่าต้อง “รีบซื้อ”
• Balenciaga ใช้กลยุทธ์ “สินค้าจำกัดจำนวน” ทำให้คนรู้สึกว่าถ้าไม่ซื้อวันนี้ อาจจะพลาดตลอดไป
• พวกเขาร่วมงานกับแบรนด์อื่นที่ดูเหมือนจะ “ไม่น่าจะเข้ากัน” เช่น Crocs หรือ Fortnite เพื่อสร้างความแปลกใหม่

🔥 ทุกครั้งที่ Balenciaga ออกสินค้ารุ่นพิเศษ มันจะ Sold Out ภายในไม่กี่นาที

3. Balenciaga ประสบความสำเร็จหรือไม่?

คำตอบคือ “ใช่” แม้ว่าจะมีคนวิจารณ์ว่า Balenciaga เป็นแบรนด์ที่ “เล่นกับเทรนด์” หรือ “ขายของแพงโดยไม่มีเหตุผล” แต่สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือ มันกลายเป็นแบรนด์ที่คนพูดถึงมากที่สุดแบรนด์หนึ่งในโลกแฟชั่น

🔥 สถิติที่พิสูจน์ว่า Balenciaga เป็นแบรนด์ที่ทรงพลัง:
✅ 2022 – Balenciaga ติดอันดับแบรนด์แฟชั่นที่ถูกค้นหามากที่สุดในโลก (Lyst Index)
✅ Triple S Sneakers – เป็นหนึ่งในสนีกเกอร์ที่ขายดีที่สุดของยุค 2010s
✅ Kim Kardashian, Kanye West, และเซเลบระดับโลกใส่ Balenciaga เป็นประจำ

แม้แต่คนที่ไม่เคยสนใจแฟชั่นก็ยังต้องเคยได้ยินชื่อ Balenciaga

แล้วแบรนด์ของคุณล่ะ?

ถ้าคุณอยากสร้างแบรนด์แฟชั่นที่ “ไม่ใช่แค่ตามเทรนด์ แต่เป็นคนที่สร้างเทรนด์” ลองคิดว่ากฎเก่า ๆ ที่วงการแฟชั่นเชื่อมาโดยตลอดคืออะไร? และคุณสามารถทำลายมันได้ยังไง?

ถ้าคุณอยากให้ผมช่วยออกแบบกลยุทธ์ให้แบรนด์ของคุณแตกต่าง ผมมีคอร์สสอนสร้างแบรนด์แฟชั่นนะครับ สนใจรายละเอียดสามารถสอบถามแอดมินคนสวยของเราได้เลยนะครับ

การแต่งตัวให้ดูสูงขึ้นไม่ได้จำเป็นต้องพึ่งรองเท้าส้นสูงเสมอไป แต่สามารถใช้เทคนิคการเลือกเสื้อผ้า และรองเท้าให้เหมาะสม เพ...
25/03/2025

การแต่งตัวให้ดูสูงขึ้นไม่ได้จำเป็นต้องพึ่งรองเท้าส้นสูงเสมอไป แต่สามารถใช้เทคนิคการเลือกเสื้อผ้า และรองเท้าให้เหมาะสม เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดูสูงขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

1. ใช้ “เส้นแนวตั้ง” เพื่อสร้างภาพลวงตาของความสูง

🔹 สำหรับผู้หญิง
• เลือกกางเกงหรือกระโปรงเอวสูง เพื่อช่วยให้ช่วงขาดูยาวขึ้น
• ใส่เสื้อหรือเดรสที่มีเส้นแนวตั้ง เช่น ลายทางตรง หรือเสื้อที่มีการเล่น Layer แบบยาว
• ใช้คอเสื้อทรง V หรือคอเปิดเล็กน้อย เพื่อดึงสายตาขึ้นลง

🔹 สำหรับผู้ชาย
• เลือกเสื้อแจ็กเก็ตหรือเบลเซอร์ที่มีโครงสร้างชัดเจน และมีแนวตะเข็บที่ยาวลงมา
• กางเกงที่มีจีบหน้า (Pleated Pants) หรือกางเกงที่มีแนวพับด้านหน้า ทำให้ช่วงขาดูยาวขึ้น
• เสื้อคอวีหรือเสื้อเชิ้ตที่เปิดกระดุมบนเล็กน้อย เพื่อให้ช่วงตัวดูยาวขึ้น

✅ รองเท้าที่ช่วยเสริมลุค
• รองเท้าที่มีพื้นเสริมด้านใน (Hidden Heel Sneakers หรือรองเท้าพื้นเสริมเล็กน้อย)
• รองเท้าสีเดียวกับกางเกงหรือถุงเท้า เพื่อให้ขาดูต่อเนื่องและไม่ตัดกัน

2. ใช้โทนสีเดียวกันทั้งลุค (Monochrome Dressing) เพื่อให้ดูสูงขึ้น

🔹 สำหรับผู้หญิง
• แต่งตัวด้วยสีเดียวกันตั้งแต่หัวจรดเท้า เช่น เสื้อขาว + กางเกงขาว หรือเสื้อดำ + กางเกงดำ
• ถ้าอยากเพิ่มความโดดเด่น ให้เลือกสีที่มีความเข้มอ่อนต่างกันเล็กน้อย เช่น เสื้อสีเบจ + กางเกงครีม

🔹 สำหรับผู้ชาย
• ใส่กางเกงและรองเท้าสีเดียวกัน เพื่อให้ช่วงขาดูยาวขึ้น
• ใช้เสื้อเชิ้ตและเบลเซอร์ที่เป็นโทนสีเดียวกัน หลีกเลี่ยงสีที่คอนทราสต์กันมาก

✅ รองเท้าที่ช่วยเสริมลุค
• รองเท้าสีเดียวกับกางเกง เช่น กางเกงน้ำเงิน + รองเท้าสีน้ำเงินเข้มหรือดำ
• รองเท้าผ้าใบสีขาวเรียบๆ หรือสีเอิร์ธโทนที่ไม่ตัดกับลุคโดยรวม

3. เลือกเสื้อผ้าที่ช่วยเสริมสัดส่วนให้ดูสมดุลและสูงขึ้น

🔹 สำหรับผู้หญิง
• กางเกงทรงขาตรง (Straight-Leg) หรือกางเกงขากระบอกเล็ก ไม่ควรเลือกทรงที่กว้างเกินไป
• กระโปรง Midi ที่มีความยาวเหนือข้อเท้าเล็กน้อย ทำให้ดูมีความสมดุล
• เสื้อครอป หรือเสื้อที่มีความยาวพอดีกับช่วงเอว ไม่ควรใส่เสื้อที่ยาวคลุมสะโพกเกินไป

🔹 สำหรับผู้ชาย
• กางเกงทรง Slim หรือ Straight-Cut ไม่เลือกขากว้างเกินไป เพราะจะทำให้ช่วงขาดูสั้นลง
• เสื้อที่พอดีตัว (Fitted) ไม่ควรใหญ่หรือยาวเกินไป
• ใส่เสื้อคลุม เช่น เบลเซอร์ที่ยาวระดับสะโพก จะช่วยทำให้ลำตัวดูยาวขึ้น

✅ รองเท้าที่ช่วยเสริมลุค
• รองเท้าหนังทรง Loafer หรือ Chelsea Boots ที่มีพื้นเสริมเล็กน้อย
• รองเท้าหุ้มข้อ (High-Top Sneakers) ที่ไม่ดูหนาหรือเทอะทะจนเกินไป

การเลือกเสื้อผ้าและรองเท้าให้เหมาะสม ไม่เพียงช่วยให้คุณดูสูงขึ้น แต่ยังช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดูดีและมั่นใจขึ้นได้ทันที เพิ่มความสูง #แต่งตัว #เทคนิคดีบอกต่อ

ลักษณะของหุ่นแอปเปิ้ล (Apple Body Shape)ผู้หญิงที่มีหุ่นทรงแอปเปิ้ล มักมีลักษณะดังนี้• ช่วงบนใหญ่กว่าช่วงล่าง• ไหล่กว้าง...
24/03/2025

ลักษณะของหุ่นแอปเปิ้ล (Apple Body Shape)

ผู้หญิงที่มีหุ่นทรงแอปเปิ้ล มักมีลักษณะดังนี้
• ช่วงบนใหญ่กว่าช่วงล่าง
• ไหล่กว้าง หน้าอกเต็ม เอวไม่ชัด
• มีน้ำหนักสะสมบริเวณหน้าท้อง
• ช่วงขาเรียว และเล็กกว่าส่วนอื่นของร่างกาย

เป้าหมายในการแต่งตัว
• เน้นสร้างสมดุลของรูปร่าง
• ลดความสนใจบริเวณหน้าท้อง เพิ่มความโดดเด่นให้กับช่วงเอว และขา
• เลือกเสื้อผ้าที่ช่วยให้รูปร่างดูสมส่วน และสง่างาม

1. เลือกโครงสร้างเสื้อผ้าที่ช่วยสร้างสมดุลให้รูปร่าง

หุ่นแอปเปิ้ลมักไม่มีเอวที่ชัดเจน จึงต้องเลือกเสื้อผ้าที่ช่วยสร้างสัดส่วนให้ดูมีสมดุลมากขึ้น

สิ่งที่ควรเลือก
• เดรสทรง Empire Line หรือ Wrap Dress – เน้นช่วงใต้อกแทนช่วงเอว ทำให้ดูมีทรวดทรง
• เสื้อคอวี หรือเสื้อที่เปิดช่วงคอ – ช่วยให้ช่วงบนดูเพรียวขึ้น
• เสื้อเบลเซอร์ทรงยาวที่พอดีกับตัว (Longline Blazer) – ช่วยสร้างแนวตั้ง ทำให้รูปร่างดูเรียวยาว
• กางเกงขาตรง (Straight-Leg) หรือกางเกงทรง Bootcut – ทำให้ขาดูยาว และสมดุลกับช่วงบน

สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง
• เสื้อที่รัดช่วงเอวหรือเน้นบริเวณหน้าท้องมากเกินไป
• กางเกงหรือกระโปรงที่ฟิตแน่นเกินไปบริเวณเอว เพราะจะทำให้รูปร่างดูตัน

เคล็ดลับ
• ใช้เสื้อที่มีการจับจีบช่วงเอว หรือผ้าไหลลงเป็นเส้นแนวตั้ง เพื่อช่วยให้หุ่นดูยาวขึ้น
• ถ้าใส่เข็มขัด ให้เลือกแบบที่คาดไว้สูงกว่าเอวจริงเล็กน้อย

2. ใช้สี และลายผ้าให้ช่วยเสริมลุคให้ดูแพง

สี และลวดลายของเสื้อผ้ามีผลต่อการสร้างภาพลักษณ์ที่ดูหรูหรา

สิ่งที่ควรเลือก
• สีโมโนโครมหรือสีโทนกลาง (Neutral Tones) เช่น ดำ เทา น้ำตาล ครีม ขาว – ทำให้ลุคดูแพงขึ้น
• ลายทางแนวตั้ง (Vertical Stripes) หรือลวดลายที่ไม่กระจุกตัวบริเวณหน้าท้อง – ช่วยให้รูปร่างดูสมดุล
• ผ้าที่มี Texture ที่ดูหรู เช่น ผ้าไหม ผ้าทวีด ผ้าแคชเมียร์ – เพิ่มมิติให้กับลุค

สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง
• ลายขวาง หรือเสื้อที่มีลายกราฟิกขนาดใหญ่บริเวณช่วงบน
• ผ้าที่บางเกินไปหรือแนบลำตัวมาก เพราะอาจทำให้เน้นจุดที่ไม่ต้องการ

เคล็ดลับ
• แต่งตัวแบบสีเดียวทั้งตัว (Monochrome Look) เพื่อให้รูปร่างดูสูงขึ้น
• ใช้เสื้อผ้าที่มีการไล่สี (Ombre Effect) เช่น สีเข้มช่วงบนแล้วค่อยๆ อ่อนลงบริเวณล่าง

3. เลือกเครื่องประดับ และรองเท้าให้ช่วยเสริมลุคให้ดูแพง

เครื่องประดับ และรองเท้าที่เลือกใช้มีผลอย่างมากต่อความหรูหราของลุค

สิ่งที่ควรเลือก
• สร้อยคอแบบ Y-Shape หรือเครื่องประดับที่ช่วยดึงสายตาลง – ทำให้ช่วงบนดูเรียวยาวขึ้น
• รองเท้าหัวแหลม (Pointed Toe Heels หรือ Flats) – ทำให้ขาดูยาวขึ้น และสมดุลกับช่วงบน
• กระเป๋าทรง Medium หรือ Structured Bag – กระเป๋าที่มีโครงสร้างชัดเจนช่วยให้ลุคดูแพง

สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง
• กระเป๋าที่มีขนาดใหญ่มากเกินไป เพราะจะเพิ่มปริมาตรให้กับช่วงบน
• รองเท้าทรงกลมหรือหัวมน เพราะอาจทำให้ลุคดูไม่เรียบหรู

เคล็ดลับ
• ใช้เข็มขัดเส้นบาง เพื่อช่วยสร้างสัดส่วนโดยไม่ทำให้ช่วงกลางลำตัวดูตัน
• เลือกรองเท้าสีเดียวกับกางเกงหรือขาเปลือย เพื่อช่วยให้ดูสูงขึ้น

การแต่งตัวให้ดูแพง ไม่ได้เกี่ยวกับราคาเสื้อผ้าเสมอไป แต่เป็นเรื่องของ “การเลือกสิ่งที่เหมาะกับรูปร่าง” และ “ความมั่นใจในการสื่อสารตัวตนผ่านเสื้อผ้า” #เทคนิคดีบอกต่อ #ดูแพง

หนึ่งในความผิดพลาดที่ผมเคยเห็นบ่อยที่สุดในวงการแฟชั่นคือ “แบรนด์ที่ไม่มีตัวตนที่ชัดเจน” ผมเจอหลายคนที่อยากสร้างแบรนด์แฟช...
24/03/2025

หนึ่งในความผิดพลาดที่ผมเคยเห็นบ่อยที่สุดในวงการแฟชั่นคือ “แบรนด์ที่ไม่มีตัวตนที่ชัดเจน” ผมเจอหลายคนที่อยากสร้างแบรนด์แฟชั่น เพราะมีไอเดียดี มีดีไซน์ที่สวย แต่สุดท้ายแบรนด์ไม่สามารถเติบโตได้ เพราะพวกเขาไม่สามารถตอบคำถามสำคัญเกี่ยวกับตัวตนของแบรนด์ตัวเองได้

“Brand DNA” คือหัวใจของทุกแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จ มันไม่ใช่แค่โลโก้หรู ๆ หรือดีไซน์เสื้อผ้าเท่ ๆ แต่มันคือ “แก่นแท้ของแบรนด์” ที่ทำให้คนจดจำ และอยากเป็นส่วนหนึ่งของมัน

ถ้าคุณกำลังสร้างแบรนด์แฟชั่น หรืออยากพัฒนาแบรนด์ให้แข็งแกร่งขึ้น ลองถามตัวเองด้วย 5 คำถามสำคัญนี้ เพราะมันจะช่วยให้คุณเข้าใจแบรนด์ของตัวเองลึกขึ้น และที่สำคัญทำให้ลูกค้าจำแบรนด์ของคุณได้ไม่ลืม

1. แบรนด์ของคุณมี “แก่นแท้” อะไร? (Brand Essence)

ลองคิดถึงแบรนด์แฟชั่นที่คุณชอบมากที่สุด … ทำไมคุณถึงชอบมัน? ทุกแบรนด์ที่แข็งแกร่ง มี “Brand Essence” หรือ “จิตวิญญาณของแบรนด์” ที่ชัดเจน มันเป็นสิ่งที่ทำให้แบรนด์ของคุณมีตัวตน และแตกต่างจากคนอื่น

ลองถามตัวเอง
✅ แบรนด์ของคุณต้องการให้ลูกค้ารู้สึกอย่างไร? → เช่น หรูหรา มั่นใจ สนุกสนาน น่าค้นหา
✅ ถ้าแบรนด์ของคุณเป็น “คน” คนนี้มีบุคลิกแบบไหน?
✅ คำ 3 คำที่สามารถอธิบายแบรนด์ของคุณได้ดีที่สุดคืออะไร?

ตัวอย่าง
• Chanel → Timeless, Elegant, Powerful (ไร้กาลเวลา สง่างาม ทรงพลัง)
• Nike → Sporty, Motivational, Dynamic (สปอร์ต มีแรงบันดาลใจ กระฉับกระเฉง)
• Off-White → Street, Disruptive, Innovative (สตรีท ไม่ตามกรอบ ล้ำสมัย)
ถ้าคุณต้องอธิบายแบรนด์ของคุณใน 3 คำ คุณจะเลือกอะไร?

2. ลูกค้าในฝันของคุณเป็นใคร? (Ideal Customer)

“คุณไม่ได้ขายให้ทุกคน แต่คุณขายให้คนที่ใช่” หนึ่งในความผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดของคนทำแบรนด์คือ พยายามขายให้ทุกคน แต่ความจริงแบรนด์ที่แข็งแกร่งที่สุด คือแบรนด์ที่รู้จักลูกค้าของตัวเองดีที่สุด

📌 ลองถามตัวเอง
✅ ลูกค้าของคุณใช้ชีวิตแบบไหน? → พวกเขาทำงานอะไร ชอบอะไร ไลฟ์สไตล์เป็นยังไง
✅ พวกเขาซื้อของเพราะอะไร? → ซื้อเพราะแฟชั่น หรือเพราะแบรนด์สะท้อนตัวตนของพวกเขา
✅ ถ้าลูกค้าของคุณต้องเลือกแบรนด์แฟชั่น พวกเขาจะเลือกอะไร และทำไม?

🔥 ตัวอย่าง
• Gucci → ขายให้คนที่รักแฟชั่น ชอบความโดดเด่น และกล้าที่จะแตกต่าง
• Uniqlo → ขายให้คนที่ชอบเสื้อผ้ามินิมอล เน้นคุณภาพ ใส่ได้ทุกวัน
• Balenciaga → ขายให้กลุ่มที่ชอบ High-Fashion และไม่สนว่าคนอื่นจะมองยังไง

💡 ลองสร้าง Persona ของลูกค้าคุณ และดูว่าแบรนด์ของคุณตอบโจทย์พวกเขาหรือยัง?

3. อะไรทำให้แบรนด์ของคุณ “แตกต่าง”? (Brand Differentiation)

“ตลาดแฟชั่นมีแบรนด์เป็นพัน ๆ แบรนด์ ทำไมลูกค้าต้องเลือกคุณ?” ถ้าคุณลองเดินเข้าห้าง คุณจะเห็นว่าทุกแบรนด์มีเสื้อยืด กางเกง แจ็กเก็ต แต่ทำไมบางแบรนด์ขายเสื้อยืดตัวละ 300 บาท ในขณะที่บางแบรนด์ขายตัวละ 30,000 บาท แล้วคนก็ยังซื้อ?

คำตอบคือ “ความแตกต่าง”

📌 ลองถามตัวเอง
✅ ดีไซน์ของคุณมีเอกลักษณ์ยังไง?
✅ วัสดุของคุณแตกต่างจากคู่แข่งไหม?
✅ แบรนด์ของคุณให้คุณค่าที่ไม่มีใครให้ได้หรือเปล่า?

🔥 ตัวอย่าง
• Hermès → ความหายากและงานฝีมือที่ไม่มีใครเทียบ
• Patagonia → ความยั่งยืน และแบรนด์ที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม
• Bottega Veneta → ความหรูหราแบบไม่มีโลโก้ แต่คนที่ “รู้” จะรู้

4. แบรนด์ของคุณมี “เรื่องราว” อะไร? (Brand Story)

“แบรนด์ที่ไม่มีเรื่องราว คือแบรนด์ที่ไม่มีตัวตน” คนไม่ซื้อเสื้อผ้าเพราะมันสวยอย่างเดียว แต่พวกเขาซื้อเพราะเรื่องราวที่อยู่เบื้องหลังมัน

📌 ลองถามตัวเอง
✅ ทำไมคุณถึงสร้างแบรนด์นี้?
✅ อะไรคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้คุณต้องการสร้างแบรนด์นี้ขึ้นมา?

🔥 ตัวอย่าง
• Coco Chanel → สร้าง Chanel เพราะเธอเชื่อว่า “ผู้หญิงควรแต่งตัวสบาย และดูดีได้โดยไม่ต้องถูกจำกัดด้วยแฟชั่นเก่า ๆ”
• Nike → ไม่ได้ขายรองเท้า แต่ขายแรงบันดาลใจ “Just Do It”
แบรนด์ของคุณมีเรื่องราวที่ทำให้คนจดจำหรือยัง?

5. อนาคตของแบรนด์คุณคืออะไร? (Brand Vision)

“คุณอยากให้แบรนด์ของคุณอยู่ตรงไหนในอีก 5 ปีข้างหน้า?”

📌 ลองถามตัวเอง
✅ อีก 5 ปีข้างหน้า คุณอยากให้แบรนด์ของคุณเป็นที่รู้จักในด้านไหน?
✅ คุณต้องการให้แบรนด์ของคุณมีผลกระทบต่อวงการแฟชั่นหรือสังคมอย่างไร?

🔥 ตัวอย่าง
• Stella McCartney → ต้องการสร้างแบรนด์แฟชั่นที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 100%
• Ralph Lauren → ต้องการเป็นแบรนด์ที่ผสมผสานความคลาสสิกเข้ากับไลฟ์สไตล์ที่หรูหรา
💡 ถ้าคุณต้องเขียน Mission Statement ของแบรนด์คุณใน 3 ประโยค มันจะเป็นอะไร?

Mark Zuckerberg, Steve Jobs, Bernard Arnault และแนวคิดการแต่งตัวที่ช่วยให้พวกเขาโฟกัสกับธุรกิจมากขึ้นถ้าคุณลองสังเกตดูคน...
23/03/2025

Mark Zuckerberg, Steve Jobs, Bernard Arnault และแนวคิดการแต่งตัวที่ช่วยให้พวกเขาโฟกัสกับธุรกิจมากขึ้น

ถ้าคุณลองสังเกตดูคนที่ร่ำรวยระดับมหาเศรษฐี หรือผู้นำธุรกิจระดับโลก มักจะแต่งตัวเหมือนกันแทบทุกวัน พวกเขาไม่ได้เสียเวลาคิดว่า “วันนี้จะใส่อะไรดี?”

• Mark Zuckerberg ใส่เสื้อยืดสีเทากับกางเกงยีนส์
• Steve Jobs ใส่เสื้อคอเต่าดำ กางเกงยีนส์ Levi’s และรองเท้า New Balance
• Bernard Arnault (CEO ของ LVMH) ใส่สูทสีเข้มแบบคลาสสิกแทบทุกครั้งที่ออกสื่อ

ทำไมพวกเขาถึงเลือกแต่งตัวแบบนี้? และสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับ “ความคิดเชิงกลยุทธ์ของเศรษฐีระดับโลก” อย่างไร?

วันนี้ผมอยากพาไปเข้าใจแนวคิดที่อยู่เบื้องหลัง “Luxury Uniform” หรือ “Minimal Wardrobe for Maximum Focus” และทำไมคนที่ประสบความสำเร็จในระดับสูงมักแต่งตัวแบบซ้ำ ๆ

1. Decision Fatigue : ลดภาระการตัดสินใจ เพื่อโฟกัสกับสิ่งสำคัญ

💡 มหาเศรษฐีรู้ว่า “พลังสมอง” มีจำกัดในแต่ละวัน

พวกเขาต้องตัดสินใจเรื่องสำคัญหลายร้อยเรื่อง ตั้งแต่กลยุทธ์ธุรกิจไปจนถึงการลงทุนระดับพันล้าน ดังนั้นยิ่งพวกเขาต้องตัดสินใจเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ มากเท่าไหร่ พลังสมองก็จะลดลงเท่านั้น

📌 ตัวอย่างของ Decision Fatigue
• ถ้าคุณเคยรู้สึกเหนื่อยกับการเลือกว่าจะกินอะไรดีในมื้อเย็น หรือจะใส่เสื้ออะไรไปทำงาน นี่คือ Decision Fatigue
• งานวิจัยพบว่า “คนเรามีพลังในการตัดสินใจจำกัด” และเมื่อเราใช้พลังงานไปกับการตัดสินใจเล็ก ๆ น้อย ๆ พลังงานที่เหลือสำหรับการตัดสินใจเรื่องสำคัญก็จะลดลง

✅ ทางแก้ของมหาเศรษฐี → ตัดปัญหาเรื่อง “จะใส่อะไรดี” ไปเลย
• Steve Jobs เลือกใส่เสื้อคอเต่าดำของ Issey Miyake ทุกวัน
• Mark Zuckerberg ใส่เสื้อยืดสีเทาตัวเดิมทุกวัน
• Barack Obama เคยให้สัมภาษณ์ว่าเขาใส่แค่สูทสีเทาหรือสีกรม เพราะไม่อยากเสียเวลาคิดเรื่องเสื้อผ้า

🔥 สรุป การมีชุดประจำ (Uniform) ทำให้พวกเขาสามารถใช้พลังสมองไปกับเรื่องสำคัญแทน

2. Signature Look : การสร้างอัตลักษณ์ที่จดจำได้ง่าย

💡 คนที่มีอิทธิพลระดับโลก ไม่ได้แค่แต่งตัวซ้ำ ๆ แต่พวกเขากำลังสร้าง “Signature Look”

📌 ตัวอย่างคนที่ใช้ Signature Look
✅ Steve Jobs → เสื้อคอเต่าดำ กางเกงยีนส์ Levi’s 501 และรองเท้า New Balance 992
✅ Mark Zuckerberg → เสื้อยืดสีเทา + กางเกงยีนส์ + รองเท้าผ้าใบ
✅ Bernard Arnault → สูทสีกรม ไม่มีลวดลาย เรียบแต่ดูแพง

พวกเขากำลังทำให้ “ตัวเองกลายเป็นแบรนด์”

📌 ทำไม Signature Look ถึงสำคัญ?
• คนจำพวกเขาได้ง่าย → เห็นชุดนี้ปุ๊บ รู้เลยว่าเป็นใคร
• สร้างภาพลักษณ์ของ “Consistency” → ความมั่นคง และต่อเนื่อง (ซึ่งเป็นคุณสมบัติของผู้นำ)
• เป็นการสื่อสารโดยไม่ต้องพูด → คนที่เห็นรู้เลยว่า พวกเขาโฟกัสกับอะไร

🔥 สรุป การแต่งตัวซ้ำ ๆ ไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อ แต่มันคือการสร้าง “แบรนด์ของตัวเอง”

3. Luxury in Simplicity : ความหรูหราผ่านความเรียบง่าย

💡 “ความหรูหรา” ในมุมมองของมหาเศรษฐี ไม่ได้หมายถึง “ความเยอะ” แต่มันหมายถึง “ความเรียบง่ายแต่ทรงพลัง”

📌 Minimalism = ความหรูหราที่แท้จริง
• เสื้อผ้าของ Mark Zuckerberg อาจดูเหมือนเสื้อยืดธรรมดา แต่จริง ๆ แล้วมันเป็นเสื้อจาก Brunello Cucinelli ราคาตัวละหลักหมื่นบาท
• Steve Jobs ไม่ใช่แค่ใส่เสื้อคอเต่าดำธรรมดา แต่เขาสั่งตัดจาก Issey Miyake โดยเฉพาะ
• Bernard Arnault ใส่สูทเรียบ ๆ แต่เป็นสูทที่ตัดเย็บพิเศษระดับ Haute Couture

🔥 บทเรียนจากมหาเศรษฐี
✅ ความเรียบง่าย ≠ ราคาถูก
✅ Minimalism ไม่ได้แปลว่าไม่ใส่ใจ แต่แปลว่าเลือกเฉพาะสิ่งที่ “ดีที่สุด”

แล้วคุณล่ะครับ? คุณมี “Luxury Uniform” ของตัวเองหรือยัง?

การแต่งตัวไม่ใช่แค่เรื่องของเสื้อผ้า แต่มันคือ “การแสดงตัวตน” และสะท้อนถึงความมั่นใจที่คุณมีต่อตัวเองหลายคนอาจคิดว่า “ฉั...
21/03/2025

การแต่งตัวไม่ใช่แค่เรื่องของเสื้อผ้า แต่มันคือ “การแสดงตัวตน” และสะท้อนถึงความมั่นใจที่คุณมีต่อตัวเอง

หลายคนอาจคิดว่า “ฉันไม่กล้าแต่งตัวแบบนั้น” หรือ “ฉันไม่ใช่คนที่ดูดีพอ” ซึ่งเป็น ความคิดที่ฉุดรั้งตัวคุณเอง วันนี้ผมอยากให้คุณลองเปลี่ยนมุมมอง และปรับแนวคิดแบบ Luxury Mindset ที่ช่วยให้คุณกล้าแต่งตัว กล้าสร้างภาพลักษณ์ของตัวเอง และมองตัวเองในมุมที่สง่างามขึ้น

1. “ฉันคือแบรนด์ที่มีคุณค่าในตัวเอง”

Luxury ไม่ได้เริ่มจากราคาแพง แต่มันเริ่มจาก “คุณค่าที่ตัวคุณเองให้กับตัวเอง”
• แบรนด์หรูระดับโลกอย่าง Hermès, Dior, หรือ Chanel ไม่ได้เป็นที่ต้องการเพราะราคาสูง แต่เพราะพวกเขาให้ความสำคัญกับรายละเอียด และคุณภาพ
• เช่นเดียวกับคุณ คุณค่าของตัวคุณไม่ได้ขึ้นอยู่กับการแต่งตัว แต่การแต่งตัวคือการสะท้อนคุณค่าในตัวคุณ

เปลี่ยนความคิด : ❌ “ฉันไม่คู่ควรกับเสื้อผ้าดีๆ” → ✅ “ฉันให้คุณค่ากับตัวเอง และฉันสมควรได้รับสิ่งที่ดีที่สุด”

วิธีนำไปใช้
• เลือกเสื้อผ้าที่คุณภาพดี ไม่จำเป็นต้องแพง แต่ต้องทำให้คุณ “รู้สึกดี” และ “มั่นใจ” ทุกครั้งที่ใส่
• ถามตัวเองว่า “เสื้อผ้าชิ้นนี้ช่วยสะท้อนตัวฉันแบบไหน?”

2. “ฉันเลือกเสื้อผ้า ไม่ใช่ให้เสื้อผ้าเลือกฉัน”

Luxury Mindset คือการเลือกสิ่งที่ “ใช่” ไม่ใช่แค่สิ่งที่ “มีอยู่”
• คนที่ไม่มั่นใจมักแต่งตัวตามกระแส หรือเลือกเสื้อผ้าที่ “คนอื่นบอกว่าดี” แต่ ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นตัวเอง
• ผู้หญิงที่มี Luxury Mindset จะไม่ซื้อเสื้อผ้าเพราะลดราคา แต่ซื้อเพราะมัน “สะท้อนตัวตนของเธอ”

เปลี่ยนความคิด : ❌ “ฉันแต่งตัวแบบไหนก็ได้” → ✅ “ฉันเลือกแต่งตัวเพื่อให้สะท้อนตัวตนของฉัน”

วิธีนำไปใช้
• ลองสำรวจ “Signature Look” ของตัวเอง
เช่น ถ้าคุณชอบลุคเรียบหรู อาจเลือกเสื้อผ้าสี Neutral และ Tailored Fit ,ถ้าคุณชอบความสนุก อาจเลือกใส่ลายพิมพ์ หรือเครื่องประดับที่เป็นเอกลักษณ์
• อย่าใส่อะไรเพียงเพราะ “คนอื่นใส่กัน” แต่ให้ถามตัวเองว่า “ฉันรู้สึกมั่นใจในลุคนี้ไหม?”

3. “ฉันแต่งตัวเพื่อสื่อสาร ไม่ใช่เพื่อให้ถูกตัดสิน”

Luxury ไม่ใช่เรื่องของราคา แต่มันคือการสื่อสารตัวตนผ่านภาพลักษณ์
• คนที่แต่งตัวแบบ Luxury Mindset จะเลือกเสื้อผ้าเพื่อส่งข้อความถึงโลก ไม่ใช่เพื่อให้คนอื่นตัดสิน
• ผู้หญิงที่แต่งตัวดี ไม่ใช่เพราะอยากได้รับการยอมรับ แต่เพราะเธอรู้ว่าเธอคือใคร

เปลี่ยนความคิด : ❌ “ถ้าฉันแต่งตัวแบบนี้ คนจะคิดยังไง?” → ✅ “ฉันต้องการให้เสื้อผ้าสื่ออะไรเกี่ยวกับฉัน?”

วิธีนำไปใช้
• ลองใช้ “Power Outfit” หรือชุดที่ทำให้คุณรู้สึกมั่นใจ
เช่น เบลเซอร์ที่ทำให้คุณดูทรงพลัง ,กางเกงเอวสูงที่ทำให้คุณรู้สึกสง่างาม ,รองเท้าและกระเป๋าที่เข้ากับสไตล์ของคุณ
• ถ่ายรูปตัวเอง และสังเกตว่า “เสื้อผ้าที่ฉันใส่ ทำให้ฉันรู้สึกยังไง?”

4. “ฉันไม่ต้องรอให้มั่นใจถึงจะแต่งตัวดี แต่ฉันแต่งตัวดีเพื่อให้มั่นใจ”

Luxury Mindset ไม่ได้รอให้ “พร้อม” แต่สร้างความมั่นใจขึ้นมาเอง
• คนที่ดูดี ไม่ใช่เพราะพวกเขามั่นใจมาตั้งแต่แรก แต่เพราะพวกเขา “กล้าที่จะเริ่ม”
• การแต่งตัวไม่ใช่แค่เพื่อให้ดูสวย แต่เป็น “เครื่องมือ” ที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจในตัวเอง

เปลี่ยนความคิด : ❌ “ฉันยังไม่มั่นใจพอที่จะใส่ชุดนี้” → ✅ “ฉันใส่ชุดนี้ เพื่อสร้างความมั่นใจของฉัน”

วิธีนำไปใช้
• ลอง “แต่งตัวให้เกินกว่าที่คุ้นเคย” สัปดาห์ละครั้ง
เช่น ถ้าคุณไม่เคยใส่เบลเซอร์ ลองใส่ดู ,ถ้าคุณไม่เคยแต่งสีแดง ลองใส่ลิปสติกสีแดง
• ความมั่นใจจะมาพร้อมกับการฝึกฝน และการทำซ้ำ

เมื่อคุณเริ่มปรับแนวคิด คุณจะเริ่มมองตัวเองแตกต่างออกไป และจะกล้าแต่งตัวให้สะท้อนตัวตนที่ดีที่สุดของคุณเอง

คุณล่ะ? พร้อมที่จะเปลี่ยนการแต่งตัวให้เป็นเครื่องมือเสริมความมั่นใจของคุณหรือยัง? #ความมั่นใจ #การแต่งตัว

ถ้าคุณเคยได้ยินคำว่า “เศรษฐีระดับสูง” (High-Net-Worth Individuals - HNWI) แล้วสงสัยว่ามันหมายถึงอะไร และคนกลุ่มนี้แตกต่า...
21/03/2025

ถ้าคุณเคยได้ยินคำว่า “เศรษฐีระดับสูง” (High-Net-Worth Individuals - HNWI) แล้วสงสัยว่ามันหมายถึงอะไร และคนกลุ่มนี้แตกต่างจากคนทั่วไปอย่างไร

วันนี้ผมจะพาไปเจาะลึกว่า HNWI คือใคร อะไรทำให้พวกเขาเกิดขึ้น และคุณสามารถเช็คได้อย่างไรว่าอยู่ในกลุ่มนี้หรือไม่

1. High-Net-Worth Individuals (HNWI) คือใคร?

💡 นิยามของ HNWI
High-Net-Worth Individuals (HNWI) คือบุคคลที่มีสินทรัพย์สุทธิ (Net Worth) อยู่ในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ย โดยปกติแล้ว นักวิเคราะห์การเงินและธนาคารมักใช้เกณฑ์ดังนี้

📌 HNWI → มีสินทรัพย์ลงทุน (ไม่รวมที่อยู่อาศัยหลัก) ตั้งแต่ $1 ล้านขึ้นไป (~35 ล้านบาทขึ้นไป)
📌 Very High-Net-Worth Individuals (VHNWI) → มีสินทรัพย์ลงทุน ตั้งแต่ $5 ล้านขึ้นไป (~175 ล้านบาทขึ้นไป)
📌 Ultra High-Net-Worth Individuals (UHNWI) → มีสินทรัพย์ลงทุน ตั้งแต่ $30 ล้านขึ้นไป (~1,050 ล้านบาทขึ้นไป)

🔥 กล่าวง่าย ๆ คือ คนที่อยู่ในกลุ่ม HNWI คือคนที่มีทรัพย์สินเพียงพอที่จะทำให้ธนาคารเอกชน (Private Banking) บริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน และแบรนด์ลักชัวรี่ระดับโลกให้ความสนใจ

2. อะไรทำให้เกิดกลุ่ม HNWI ขึ้นมา?

💡 การที่คนกลุ่มหนึ่งก้าวเข้าสู่ระดับ HNWI ไม่ได้เกิดขึ้นจากโชค แต่มันมีปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้พวกเขาเติบโตทางการเงิน

📌 1) การลงทุนที่ชาญฉลาด (Smart Investing)
• คนกลุ่มนี้ไม่ได้เก็บเงินไว้เฉย ๆ แต่พวกเขา “ให้เงินทำงาน”
• พวกเขาลงทุนใน หุ้น, อสังหาริมทรัพย์, กองทุนเฮดจ์ฟันด์ และสินทรัพย์ดิจิทัล
• HNWI มักมีที่ปรึกษาการเงินส่วนตัว (Wealth Managers) ที่ช่วยให้พวกเขาตัดสินใจได้แม่นยำ

📌 2) การสร้างธุรกิจ และความสำเร็จในอาชีพ
• หลายคนในกลุ่ม HNWI เป็นเจ้าของธุรกิจ นักลงทุน หรือผู้บริหารระดับสูง
• คนกลุ่มนี้ไม่ได้ทำงานเพื่อเงินเดือนอย่างเดียว แต่สร้าง “ทรัพย์สิน” ที่ทำเงินให้พวกเขาต่อเนื่อง

📌 3) ความเข้าใจเรื่องภาษีและโครงสร้างการเงิน (Financial Structuring)
• คนที่รวยจริงรู้ว่าวิธีเก็บเงินให้ได้สำคัญกว่าการหาเงินให้ได้เยอะ ๆ
• พวกเขารู้จักการใช้กฎหมายภาษีให้เป็นประโยชน์ การกระจายความเสี่ยง และการวางแผนมรดก

3. คุณอยู่ในกลุ่ม HNWI หรือไม่?

💡 ถ้าคุณสงสัยว่าตัวเอง หรือคนรอบตัวคุณจัดอยู่ในกลุ่ม HNWI หรือเปล่า? ลองเช็คด้วยเกณฑ์ง่าย ๆ ต่อไปนี้

📌 1) สินทรัพย์ที่คุณมีอยู่เกิน 30 ล้านบาทหรือไม่?
✅ รวมทรัพย์สินที่สามารถลงทุนได้ เช่น เงินสด, พอร์ตหุ้น, คริปโต, อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน

📌 2) คุณมี Private Banker หรือ Wealth Manager ส่วนตัวไหม?
✅ คนที่อยู่ในระดับ HNWI มักมีที่ปรึกษาทางการเงินช่วยบริหารสินทรัพย์

📌 3) คุณมีไลฟ์สไตล์ที่ต้องการบริการแบบ Exclusive หรือไม่?
✅ เช่น Private Banking, Private Jet, Luxury Concierge Services

📌 4) คุณสามารถซื้อของลักชัวรี่ได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องราคาไหม?
✅ เช่น ถ้าคุณสามารถซื้อกระเป๋า Hermès Birkin หรือนาฬิกา Patek Philippe ได้โดยไม่ต้องคิดเยอะ

📌 5) คุณมีการวางแผนภาษีและการจัดการมรดกในระดับสูงหรือไม่?
✅ HNWI ไม่ได้คิดแค่ “หาเงิน” แต่คิดถึง “การส่งต่อความมั่งคั่ง”

🔥 ถ้าคุณตอบ “ใช่” มากกว่า 3 ข้อขึ้นไป มีโอกาสสูงที่คุณอาจอยู่ในกลุ่ม HNWI หรือกำลังก้าวเข้าสู่ระดับนี้

ในโลกของธุรกิจ “ภาพลักษณ์” ไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องของความสวยงาม แต่เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อความน่าเชื่อถือและคว...
20/03/2025

ในโลกของธุรกิจ “ภาพลักษณ์” ไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องของความสวยงาม แต่เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อความน่าเชื่อถือและความสำเร็จขององค์กร เพราะการขายไม่ได้เป็นเพียงการนำเสนอสินค้า แต่คือการสร้างความสัมพันธ์และความไว้วางใจกับลูกค้า
First Impression คือทุกสิ่ง เพราะภาพลักษณ์ที่ดีของตัวแทนแบรนด์ จะช่วยสร้าง Brand Trust และทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์มีความมั่นใจ ความทันสมัย และความหรูหรา จึงต้องให้ความสำคัญกับการแต่งตัว การเดิน การสื่อสาร และการวางตัวในทุกโอกาส
ผมขอขอบคุณ Auto Import LAOS ที่ให้เกียรติผมมาเป็นวิทยากรในการปรับภาพลักษณ์ในแก่ทีมที่ปรึกษาการขายและน้องๆ ผู้เข้าประกวด Miss EV Angle 2025 ที่จะเป็นตัวแทนของแบรนด์ในอนาคต
ผมขอขอบคุณ "ครูตุ้ย" ที่ร่วมเดินทางในครั้งนี้ครับ จริตครูตุ้ย-Image Personality Expert

#จริตครูตุ้ย

#ครูตุ้ยครูธีร์

ถ้าเสื้อผ้าของ Chanel, Hermès, หรือ Gucci เป็นแค่ “เสื้อผ้า” จริง ๆ แล้วทำไมเราถึงต้องจ่ายหลักแสนหรือหลักล้านเพื่อครอบคร...
19/03/2025

ถ้าเสื้อผ้าของ Chanel, Hermès, หรือ Gucci เป็นแค่ “เสื้อผ้า” จริง ๆ แล้วทำไมเราถึงต้องจ่ายหลักแสนหรือหลักล้านเพื่อครอบครองมัน?

ถ้ากระเป๋า Birkin ของ Hermès เป็นแค่ “กระเป๋าหนัง” ทำไมมันถึงมีราคาสูงกว่ารถบางคัน?

นี่เป็นคำถามที่ผมเองเคยสงสัยตอนเริ่มทำงานในวงการแฟชั่น แต่เมื่อศึกษา และทำงานกับลูกค้ากลุ่ม High-Net-Worth Individuals (HNWI) มากขึ้น ผมก็เริ่มเข้าใจว่า “แบรนด์หรูไม่ได้ขายแค่เสื้อผ้า แต่มันขายอำนาจ และสถานะ”

วันนี้ผมอยากพาไปเจาะลึกจิตวิทยาของแบรนด์ลักชัวรี่ และทำไมคนรวยถึงต้องใส่แบรนด์ไฮเอนด์

1. แบรนด์หรูคือเครื่องมือในการสื่อสาร “สถานะ” โดยไม่ต้องพูด

ถ้าคุณเคยได้ยินคำว่า “Silent Luxury” หรือ “Quiet Power” นี่คือแนวคิดที่อธิบายได้ดีที่สุดว่า แบรนด์หรูทำงานอย่างไร

💡 สิ่งที่คนรวยเข้าใจดีก็คือ เสื้อผ้าเป็น “สัญลักษณ์” ไม่ใช่แค่เครื่องแต่งกาย

📌 ตัวอย่าง
• กระเป๋า Hermès Birkin หรือ Kelly → ไม่ได้บอกแค่ว่าคุณมีเงิน แต่บอกว่าคุณ มีคอนเนคชันและได้รับการยอมรับจากสังคมชั้นสูง
• ชุดสูทของ Tom Ford หรือ Brioni → บ่งบอกถึงอำนาจ ความมั่นใจ และการเป็นผู้นำ
• รองเท้า Loro Piana หรือ Berluti → ไม่ใช่แค่รองเท้าแพง แต่มันบอกว่า “ฉันเข้าใจคุณค่าของงานฝีมือ”

🔥 สรุปง่าย ๆ คือ : เสื้อผ้าและไอเท็มที่คนรวยเลือกใช้เป็น “สัญลักษณ์แห่งสถานะ” ที่คนในระดับเดียวกันจะเข้าใจทันที

2. Scarcity & Exclusivity : ของหายาก = อำนาจ

💡 หนึ่งในกลยุทธ์ที่แบรนด์หรูใช้เพื่อรักษาความพิเศษก็คือ “การทำให้สินค้าเข้าถึงได้ยาก”

ลองนึกภาพ…
• Chanel ไม่เคยมี “Sale” → เพราะพวกเขาไม่ต้องการให้ใครก็ได้สามารถซื้อสินค้าของพวกเขา
• กระเป๋า Hermès Birkin → ไม่ใช่ว่าคุณมีเงินแล้วจะซื้อได้ แต่คุณต้องได้รับ “สิทธิ์” ในการซื้อ
• Gucci และ Louis Vuitton ออกสินค้ารุ่นพิเศษ Limited Edition → ทำให้สินค้ากลายเป็น “Rare Collectible” ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้น

📌 ทำไมของหรูต้องหายาก?
✅ Scarcity (ความหายาก) ทำให้คนรู้สึกว่าสิ่งนั้นมีค่า → ถ้าทุกคนเข้าถึงได้ มันจะไม่พิเศษ
✅ Exclusivity (ความพิเศษ) ทำให้คนอยากครอบครอง → มันเป็นการ “กรอง” คนที่สามารถเป็นเจ้าของได้

🔥 นี่คือเหตุผลที่คนรวยเลือกซื้อแบรนด์ไฮเอนด์ → พวกเขาไม่ได้ซื้อสินค้า แต่พวกเขาซื้อ “สิทธิพิเศษในการเป็นเจ้าของสิ่งที่ไม่ใช่ทุกคนจะมีได้”

3. High-Value Individuals เลือกใช้แบรนด์ที่ “บ่งบอกตัวตน”

ผมเคยเจอลูกค้าหลายคนที่เป็น CEO นักลงทุน หรือบุคคลที่มีชื่อเสียง พวกเขาไม่ได้เลือกแบรนด์เพราะ “อยากอวดรวย” แต่พวกเขาเลือกแบรนด์ที่ “เหมาะกับอัตลักษณ์ของพวกเขา”

📌 ตัวอย่าง
• Gucci, Louis Vuitton → คนที่มีความมั่นใจ กล้าทำตัวโดดเด่น ชอบแสดงความเป็นตัวเองผ่านแฟชั่น
• Hermès, Loro Piana, Bottega Veneta → คนที่เน้นความหรูหราแบบเงียบ ๆ ไม่ต้องมีโลโก้ใหญ่ แต่คนที่รู้จักจริง ๆ จะรู้ว่า “แพง”
• Brioni, Tom Ford, Ralph Lauren Purple Label → คนที่อยู่ในโลกธุรกิจที่ต้องใช้ลุคเป็นเครื่องมือสร้างความน่าเชื่อถือ

🔥 สรุปง่าย ๆ คนรวยเลือกใช้แบรนด์ไม่ใช่เพราะมันแพง แต่เพราะมันสะท้อน “อัตลักษณ์ และอำนาจ” ของพวกเขา

4. ทำไมบางคนใส่ของแพงทั้งตัว แต่ยังดูไม่ “แพง” จริง ๆ?

คุณเคยเห็นบางคนที่ใส่โลโก้แบรนด์เนมเต็มตัว แต่กลับดูเหมือน “พยายามอวด” ไหม?

💡 นี่เป็นเพราะพวกเขาไม่ได้เข้าใจจิตวิทยาของ Luxury จริง ๆ

📌 สิ่งที่ทำให้คนดู “แพง” โดยไม่ต้องพยายาม:
✅ เลือกคุณภาพมากกว่าปริมาณ → คนที่เข้าใจแบรนด์หรูจริง ๆ จะเลือกไอเท็มไม่กี่ชิ้นที่พรีเมียม มากกว่าการใส่โลโก้แบรนด์เนมเต็มตัว
✅ ใช้แนวคิด “Quiet Luxury” → การแต่งตัวให้ดูแพงไม่จำเป็นต้องมีโลโก้ใหญ่ แต่เป็นเรื่องของการเลือกเนื้อผ้า การตัดเย็บ และรายละเอียดเล็ก ๆ
✅ เข้าใจบุคลิกของตัวเอง และเลือกเสื้อผ้าให้เหมาะกับภาพลักษณ์ของตัวเอง

🔥 ความจริงก็คือ คนที่รวยจริง ๆ ไม่ได้แต่งตัวเพื่ออวดใคร พวกเขาแต่งตัวเพื่อส่งข้อความให้ “คนที่เข้าใจ” เท่านั้น

เบลเซอร์ไม่ได้เป็นเพียงแค่เสื้อคลุมที่เพิ่มความเป็นทางการให้กับลุค แต่มันคือเครื่องมือในการ สื่อสารตัวตน และสร้างภาพลักษ...
18/03/2025

เบลเซอร์ไม่ได้เป็นเพียงแค่เสื้อคลุมที่เพิ่มความเป็นทางการให้กับลุค แต่มันคือเครื่องมือในการ สื่อสารตัวตน และสร้างภาพลักษณ์ที่ดูดี มีรสนิยม โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาแบรนด์ราคาแพง

หากคุณต้องการเลือกเบลเซอร์ที่ดูดี และเหมาะกับบุคลิกของคุณ นี่คือ 3 สไตล์หลัก ที่ช่วยให้คุณสร้างความแตกต่าง และสะท้อนตัวเองผ่านการแต่งตัว

1. “Power Elegance” - สง่างามและทรงพลัง

เหมาะกับ
• ผู้หญิงที่ต้องการลุคที่ดูเป็นทางการ น่าเชื่อถือ และมีอำนาจ
• คนที่ต้องการเสริมภาพลักษณ์ของผู้นำ นักธุรกิจ หรือผู้ที่ต้องการให้คนเชื่อมั่นตั้งแต่แรกเห็น

ลักษณะของเบลเซอร์สไตล์นี้
• ทรงเข้ารูป (Tailored Fit) หรือ Double-Breasted – เน้นโครงสร้างที่ชัดเจน ทำให้รูปร่างดูมีสัดส่วน
• สีคลาสสิก เช่น ดำ กรม เบจ เทาเข้ม – เพิ่มความขรึม และดูแพง
• เนื้อผ้ามีน้ำหนัก และโครงสร้างดี เช่น Wool, Tweed หรือ Cotton Blend – ให้ลุคที่ดูเป็นมืออาชีพ

การมิกซ์แอนด์แมตช์
• ใส่คู่กับกางเกงสูทเอวสูง หรือกางเกงขาตรง (Straight-Leg)
• เพิ่มความหรูด้วยเครื่องประดับมินิมอล เช่น นาฬิกาหน้าปัดเรียบ หรือต่างหูเงิน
• รองเท้าส้นสูงหัวแหลมหรือ Loafers หนังแท้

ผลลัพธ์ที่ได้ : คุณจะดูมีพลัง “ฉันคือคนที่เอาจริงเอาจังกับชีวิต” พร้อมสร้างความน่าเชื่อถือ และความเป็นมืออาชีพ

2. “Effortless Chic” - เรียบง่าย แต่ดูแพง

เหมาะกับ
• คนที่ต้องการลุคที่ดูดีแบบไม่ต้องพยายามมาก
• คนที่ชอบแต่งตัวสไตล์มินิมอล แต่ยังอยากให้ดูมีระดับ

ลักษณะของเบลเซอร์สไตล์นี้
• ทรง Oversized หรือ Relaxed Fit – ให้ความรู้สึกสบาย แต่ยังคงความหรู
• สีโทนกลาง และเป็นธรรมชาติ เช่น ขาว ครีม น้ำตาล เบจ เทาอ่อน – เพิ่มความคลาสสิก และง่ายต่อการแมตช์
• เนื้อผ้าที่มี Texture เช่น Linen, Wool Blend หรือ Soft Cotton – ดูดีแม้ไม่มีลวดลายเยอะ

การมิกซ์แอนด์แมตช์
• ใส่รองเท้า Sneakers สีขาว หรือ Loafers สำหรับลุคที่ดูสบายแต่มีสไตล์
• ใส่รองเท้า Sneakers สีขาว หรือ Loafers สำหรับลุคที่ดูสบายแต่มีสไตล์
• ใช้เครื่องประดับที่มีดีไซน์เก๋ เช่น กระเป๋าหนังทรงเรียบแต่ออกแบบสวยงาม

ผลลัพธ์ที่ได้ : คุณจะดูเป็นคนที่มีรสนิยม “ฉันเป็นคนที่เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเอง โดยไม่ต้องพยายามมาก”

3. “Creative Statement” - สร้างสไตล์ที่ไม่เหมือนใคร

เหมาะกับ
• คนที่ชอบแสดงความเป็นตัวเองผ่านเสื้อผ้า
• คนที่ทำงานสายครีเอทีฟ เช่น ดีไซเนอร์ ศิลปิน นักเขียน

ลักษณะของเบลเซอร์สไตล์นี้
• สีสันหรือลวดลายโดดเด่น เช่น ลายตาราง ลายกราฟิก หรือสีสดใส เช่น แดง เขียว น้ำเงิน ม่วง – ทำให้ดูมีเอกลักษณ์
• ดีไซน์ที่ไม่ธรรมดา เช่น เบลเซอร์ครอป (Cropped Blazer) หรือเบลเซอร์ทรงโคร่งที่เล่นเลเยอร์
• เนื้อผ้าหลากหลาย เช่น ผ้ากำมะหยี่ ผ้าลูกฟูก หรือผ้าไหมประยุกต์ – ทำให้ดูมีลูกเล่น

การมิกซ์แอนด์แมตช์
• ใส่กับกางเกงทรงพอดีตัว หรือกระโปรง Midi Skirt ที่มีเนื้อผ้าพลิ้ว
• เลือกเครื่องประดับที่มีดีไซน์แปลกใหม่ เช่น ต่างหูทรงเรขาคณิต หรือรองเท้าดีไซน์พิเศษ
• กระเป๋าใบเล็กที่มีสีสดใส หรือมีลวดลายที่ดึงดูดสายตา

ผลลัพธ์ที่ได้ : คุณจะดูเป็นคนที่กล้าแสดงออก “ฉันมีตัวตน และฉันเลือกที่จะแตกต่าง” เหมาะสำหรับคนที่ต้องการสร้างเอกลักษณ์ในแบบของตัวเอง

คุณล่ะ? คิดว่าเบลเซอร์แบบไหนสะท้อนตัวตนของคุณได้ดีที่สุด? #เทคนิคดีบอกต่อ #การสื่อสาร

ที่อยู่

Be Better Studio
Bangkok
10250

เวลาทำการ

อังคาร 10:00 - 17:00
พุธ 10:00 - 17:00
พฤหัสบดี 10:00 - 17:00
เสาร์ 10:00 - 17:00

เบอร์โทรศัพท์

+66962692946

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ธีร์ผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง ธีร์:

วิดีโอทั้งหมด

แชร์