Plug in รถพลังงานทางเลือก

  • Home
  • Plug in รถพลังงานทางเลือก

Plug in รถพลังงานทางเลือก แหล่งข้อมูล ความรู้ ข่าวสาร
รถยนต์พลังงานทางเลือก

ไฟท้ายจำเป็นมั๊ย..ที่ต้องมีขนาดใหญ่หรือมีความสว่างที่ชัดเจนก็เพียงพอแล้ว.. #ไฟท้าย  #ไฟเบรค
11/07/2025

ไฟท้ายจำเป็นมั๊ย..ที่ต้องมีขนาดใหญ่
หรือมีความสว่างที่ชัดเจนก็เพียงพอแล้ว..
#ไฟท้าย #ไฟเบรค

  เปิดตัววันนี้ 3 ก.ค. 2568  บีเอ็มดับเบิลยู iX1 eDrive20L M Sport ราคา: 2,499,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและแพ็คเกจ BSI...
03/07/2025

เปิดตัววันนี้ 3 ก.ค. 2568

บีเอ็มดับเบิลยู iX1 eDrive20L M Sport ราคา: 2,499,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและแพ็คเกจ BSI Standard)

บีเอ็มดับเบิลยู 220 Gran Coupé M Sport Pro ราคา: 2,199,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและแพ็คเกจ BSI Standard)

>> บีเอ็มดับเบิลยู iX1 eDrive20L M Sport ใหม่

ยกระดับการขับขี่สู่ระบบไฟฟ้าล้วน ด้วยดีไซน์ที่ได้รับการปรับแต่งต่างจากบีเอ็มดับเบิลยู X1 ในรุ่นมาตรฐาน และยังเพิ่มพื้นที่ภายในตัวรถให้กว้างขวางยิ่งขึ้น ด้วยตัวรถที่ยาวขึ้นเป็น 4,616 มิลลิเมตร และฐานล้อยาว 2,800 มิลลิเมตร หรือเท่ากับตัวรถยาวกว่า X1 รุ่นมาตรฐาน 116 มิลลิเมตร และฐานล้อยาวขึ้น 110 มิลลิเมตร ขนาดตัวรถที่เพิ่มขึ้นนี้ ผสมผสานกับบุคลิกที่บึกบึนและแข็งแกร่งในแบบของ SAV ได้อย่างลงตัว ทั้งยังโดดเด่นเตะตากว่าที่เคยด้วยกระจังหน้าแบบปิดโฉมใหม่ในทรงสามมิติ เข้าชุดกับไฟหน้า Adaptive LED ที่ทอดยาวไปยังด้านข้างของตัวรถ ส่วนเส้นสายด้านข้างตัวถัง ให้อารมณ์ความสปอร์ตและดุดันตลอดคัน ก่อนเติมความหรูด้วยชุดแต่ง M Sport ที่รวมถึงส่วนกรอบหน้าต่าง high-gloss Shadowline ที่เงาวับจับสายตาได้ไม่แพ้ราวหลังคาอลูมิเนียมผิวด้านที่ทอดยาวอยู่ด้านบน และล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้วในดีไซน์ Double-spoke Bicolour

ด้วยฐานล้อที่ยาวขึ้น บีเอ็มดับเบิลยู iX1 eDrive20L M Sport ใหม่ จึงมอบความสะดวกสบายที่เหนือกว่า ทั้งจากพื้นที่ที่กว้างขึ้น 81 มิลลิเมตรสำหรับการวางขา และ 107 มิลลิเมตรที่ระดับเข่า สำหรับผู้โดยสารเบาะหลัง รวมถึงตัวเบาะหลังที่บุโฟมนุ่มขึ้น พร้อมขยายความกว้างของตัวเบาะขึ้น 15 มิลลิเมตร ยกระดับความสบายในการนั่งได้ยิ่งขึ้น ขณะที่ระบบช่วงล่างก็ผ่านการปรับแต่งมาโดยเฉพาะเพื่อเพิ่มความนุ่มสบายบนทุกเส้นทาง เบาะหลังของ iX1 รุ่นฐานล้อยาวนี้ ยังคงแบ่งสัดส่วนเป็น 3 ตอนแบบ 40:20:40 เช่นเดิม และสามารถพับลงได้เพื่อขยายพื้นที่เก็บสัมภาระจาก 490 ลิตรเป็น 1,600 ลิตร ระบบ Comfort Access 2.0 ที่เพิ่มเข้ามาในรุ่นนี้ยังช่วยอำนวยความสะดวกเพิ่มเติมด้วยการปลดล็อกรถเมื่อเจ้าของรถเดินเข้ามาใกล้ และล็อกรถอัตโนมัติเมื่อเดินออกห่างตัวรถ เช่นเดียวกับระบบ BMW Digital Key Plus ที่เปิดโอกาสให้เจ้าของรถใช้สมาร์ทโฟนแทนกุญแจรถ และปลดล็อกรถอัตโนมัติได้เพียงนำสมาร์ทโฟนเข้ามาใกล้ ส่วนหลังคากระจก Panorama Glass Roof ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในเซกเมนต์นี้ ก็เติมบรรยากาศให้ห้องโดยสารยิ่งรู้สึกโปร่งและโอ่อ่าขึ้นไปอีก

ห้องโดยสารของบีเอ็มดับเบิลยู iX1 eDrive20L M Sport ใหม่ เอาใจผู้ขับขี่ไม่แพ้ผู้โดยสารด้วยพวงมาลัยหนังสไตล์ M พร้อมแป้นเปลี่ยนเกียร์ ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ครบครันจากแพ็คเกจ Driving Assistant Plus และ Parking Assistant Plus (รวมระบบกล้องมองรอบคัน Surround View) พร้อมรองรับการอัปเกรดสู่ Parking Assistant Professional ที่เพิ่มความสามารถในการควบคุมการจอดรถได้ผ่านโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน และสามารถจดจำรูปแบบการจอดรถอัตโนมัติได้ถึง 10 แบบ รวมระยะทาง 600 เมตร พร้อมด้วยฟังก์ชั่นอื่นๆ อีกมากมายที่สามารถเลือกซื่อเพิ่มเติมได้ผ่าน BMW Connected Drive Store นอกจากนี้ iX1 eDrive20L M Sport ยังมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ BMW Operating System 9 รุ่นล่าสุด ติดตั้งมาให้เป็นมาตรฐานควบคุมได้ผ่านหน้าจอ Control Display ขนาด 10.7 นิ้ว พร้อมด้วยแผงหน้าปัดดิจิทัลขนาด 10.25 นิ้วและ BMW Head-Up Display พร้อมป้อนข้อมูลสำคัญให้ผู้ขับขี่ได้รับทราบโดยไม่ต้องละสายตาจากเส้นทางข้างหน้า ส่วนชุดเครื่องเสียงไฮเอนด์จาก Harman Kardon พร้อมเติมความรื่นรมย์ให้กับทุกขณะของการเดินทาง

ระบบส่งกำลังแบบไฟฟ้าล้วน เทคโนโลยี BMW eDrive เจเนอเรชันที่ 5 เป็นหัวใจที่ขับเคลื่อนบีเอ็มดับเบิลยู iX1 eDrive20L M Sport ใหม่ ให้โลดแล่นบนท้องถนนด้วยการตอบสนองที่ฉับไวในทุกจังหวะ มอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้พละกำลัง 150 กิโลวัตต์ / 204 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ช่วยให้ iX1 รุ่นฐานล้อยาวนี้ใช้เวลาเพียง 8.6 วินาทีในการเร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยขณะขับขี่ ฟังก์ชัน BMW IconicSounds Electric สร้างเสียงเครื่องยนต์แบบจำลองที่ตอบสนองกับทุกการควบคุม

ส่วนแบตเตอรี่แรงดันสูงขนาด 66.5 kWh มอบพลังงานไฟฟ้าเพียงพอสำหรับการขับขี่เป็นระยะทางสูงสุด 402-433 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP ทั้งยังรองรับการชาร์จระบบไฟฟ้ากระแสตรง (DC) ที่กำลังไฟสูงสุด 130 กิโลวัตต์ จึงสามารถชาร์จแบตเตอรี่จาก 10% ถึง 80% ได้ในเวลาเพียง 32 นาที และเมื่อชาร์จไฟในระบบกระแสสลับ (AC) iX1 รุ่นนี้ก็มาพร้อมกับเทคโนโลยี AC Charging Plus ที่รองรับกำลังไฟสูงสุด 11 กิโลวัตต์ ให้สามารถชาร์จแบตเตอรี่จาก 0% ถึง 100% ได้ในเวลา 6 ชั่วโมง 45 นาที ลูกค้าที่เลือกเป็นเจ้าของบีเอ็มดับเบิลยู iX1 ใหม่ ยังสามารถเลือกชาร์จรถจากเครือข่ายสถานีชาร์จ BMW Charging Station ทั้งยังได้รับส่วนลด 20% เมื่อเติมเงินค่าชาร์จในแอป EVolt

บีเอ็มดับเบิลยู iX1 eDrive20L M Sport ใหม่ พร้อมให้เป็นเจ้าของแล้ววันนี้ในสีดำ Carbon Black Metallic, ขาว Mineral White Metallic และเทา Skyscraper Grey Metallic โดยทั้งสามสีมาพร้อมกับห้องโดยสารที่หุ้มเบาะด้วยวัสดุ Veganza แบบเจาะรูระบายอากาศในสีน้ำตาล Mocha

>> บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 2 Gran Coupé

กลับมาอีกครั้งพร้อมรูปลักษณ์ใหม่ล่าสุดในรุ่นบีเอ็มดับเบิลยู 220 Gran Coupé M Sport Pro ที่ยกระดับทั้งสมรรถนะและเทคโนโลยีแบบรอบด้าน เตรียมเติมสีสันให้คุณได้เพลินไปกับการเดินทางในทุกวัน

บีเอ็มดับเบิลยู 220 Gran Coupé M Sport Pro ใหม่ ยังคงเปี่ยมด้วยคาแรกเตอร์ที่เป็นเอกลักษณ์ของตระกูลซีรีส์ 2 สวยสะดุดตาตั้งแต่หัวจรดท้าย เริ่มจากกระจังหน้าที่กว้างขึ้น และยังติดตั้งระบบไฟ BMW Iconic Glow มาเป็นครั้งแรกในซีรีส์ 2 เพื่อขับเน้นรูปทรงของกระจังหน้าให้สวยเด่นยิ่งขึ้น ไฟหน้าแบบ Adaptive LED มาในทรงทอดยาวออกด้านข้าง ช่วยดึงดูดสายตาไปยังทรวดทรงสไตล์สปอร์ตเต็มขั้นของตัวรถ ซึ่งผสมหลังคาทรงโค้งแบบรถคูเป้เข้ากับห้องโดยสารแบบ 4 ประตูในแบบรถซีดาน ชุดแต่ง M Sport Pro ยิ่งขับเน้นความโฉบเฉี่ยวของบีเอ็มดับเบิลยู 220 Gran Coupé M Sport Pro ด้วยชุดโคมไฟหน้า M Lights Shadowline และกรอบหน้าต่างแบบเรียบหรู M high-gloss Shadowline สอดรับกับล้ออัลลอย M ขนาด 19 นิ้ว ดีไซน์ Y-spoke Bicolour พร้อมคาลิเปอร์เบรก M Sport สีแดงเงาแบบ 4 ลูกสูบ

ห้องโดยสารของบีเอ็มดับเบิลยู 220 Gran Coupé M Sport Pro ใหม่ ยังคงมาพร้อมกับหลังคากระจก Panorama Glass Roof เช่นเดียวกับซีรีส์ 2 Gran Coupé รุ่นก่อนหน้า แต่ได้รับการปรับโฉมแบบรอบด้านในส่วนอื่น นับตั้งแต่เบาะนั่งแบบสปอร์ตที่หุ้มด้วยวัสดุ Veganza ชุดแต่งภายในแบบ Illuminated ในโทนสีเทา-ดำ Aluminium Graphite ที่มาพร้อมไฟแต่งห้องโดยสารในตัว และตะเข็บบนพื้นผิวต่างๆ ในห้องโดยสารที่ใช้ด้ายสีแดง น้ำเงิน ขาว อันเป็นสีประจำตัวของบีเอ็มดับเบิลยู M ผู้ขับขี่สามารถใช้งานฟังก์ชันต่างๆ ของตัวรถได้ครบครัน ผ่านชุดอุปกรณ์ BMW Live Cockpit Professional ที่รวมถึงการแสดงข้อมูลสำคัญบนหน้าจอ BMW Head-Up Display ให้ไม่ต้องละสายตาจากถนนด้านหน้า บีเอ็มดับเบิลยู 220 Gran Coupé M Sport Pro ใหม่ ยังมีระบบปฏิบัติการ BMW Operating System 9 รุ่นล่าสุด ติดตั้งมาให้เป็นมาตรฐาน จึงสามารถควบคุมและตั้งค่าตัวรถได้อย่างสะดวกสบาย พร้อมให้เรียกใช้ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูงอย่าง Driving Assistant Plus และ Parking Assistant Plus ในพริบตา ขณะที่ฟังก์ชัน BMW Digital Key Plus อำนวยความสะดวกด้วยการเปลี่ยนสมาร์ทโฟนของคุณให้เป็นกุญแจรถ รองรับทั้งระบบปฏิบัติการ iOS และ Android ผ่านโทรศัพท์มือถือ Samsung นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถเลือกซื้ออัปเกรดเพิ่มเติมผ่านทางระบบ BMW Connected Drive ไม่ว่าจะเป็นฟังก์ชัน Remote Engine Start สำหรับสตาร์ทเครื่องล่วงหน้าก่อนเดินถึงตัวรถด้วยสมาร์ทโฟน และชุดฟังก์ชันอื่น ๆ อีกมากมายในแพ็คเกจเสริม BMW Digital Premium

บีเอ็มดับเบิลยู 220 Gran Coupé M Sport Pro ใหม่ มีขุมพลังที่ยกระดับสมรรถนะเพิ่มขึ้น ด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร เทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo ที่มอบพละกำลังสูงสุด 150 กิโลวัตต์ / 204 แรงม้า ที่ 5,000-6,500 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 300 นิวตันเมตรที่รอบเครื่อง 1,450-4,500 รอบต่อนาที ทำงานผสานกับเกียร์ Steptronic คลัตช์คู่แบบ 7 สปีดอย่างลงตัว จึงทำให้ซีรีส์ 2 รุ่นใหม่เร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลาเพียง 7.3 วินาที หากต้องการเพิ่มความแรงขึ้นไปอีกขั้น ผู้ขับขี่ยังสามารถเรียกใช้ฟังก์ชัน M Sport Boost ได้จากแป้นเปลี่ยนเกียร์บริเวณพวงมาลัย เพื่อเพิ่มแรงบิดสูงสุดให้สูงขึ้นไปอีกสำหรับการออกตัวที่ปราดเปรียวอย่างเหนือชั้น ส่วนช่วงล่างแบบ Adaptive M ก็สามารถปรับตัวรับแรงกระแทกที่แตกต่างกันตามความถี่การสั่นสะเทือนของตัวรถ จึงช่วยให้บีเอ็มดับเบิลยู 220 M Sport Pro ใหม่ ตอบโจทย์ทั้งในด้านความคล่องตัวและความนุ่มสบายขณะขับขี่

บีเอ็มดับเบิลยู 220 Gran Coupé M Sport Pro ใหม่ มีให้เลือกจับจองได้ใน 4 สี ได้แก่ ดำ Black Sapphire Metallic, ขาว Alpine White Solid, เทา Brooklyn Grey Metallic (จับคู่กับเบาะหุ้มวัสดุ Veganza แบบเจาะรูระบายอากาศ สีแดง Coral Red ตัดดำ) และน้ำเงิน Portimao Blue Metallic (พร้อมเบาะหุ้มวัสดุ Veganza แบบเจาะรูระบายอากาศ สีดำล้วน)

  มีการทดลองขับในไทยแล้ว เตรียมขายเร็วๆนี้ครับ..
02/07/2025


มีการทดลองขับในไทยแล้ว
เตรียมขายเร็วๆนี้ครับ..

คลาสนี้..คันไหนน่าใช้ที่สุดขอคอมเมนต์กันหน่อยครับ!!
14/06/2025

คลาสนี้..คันไหนน่าใช้ที่สุด
ขอคอมเมนต์กันหน่อยครับ!!





CHANG-AN เปิดโรงงานผลิตรถยนต์ในต่างประเทศแห่งแรกในไทย ตอกย้ำความแข็งแกร่งระดับภูมิภาค พร้อมขับเคลื่อนไทยสู่เป้าหมาย EV H...
17/05/2025

CHANG-AN เปิดโรงงานผลิตรถยนต์ในต่างประเทศแห่งแรกในไทย ตอกย้ำความแข็งแกร่งระดับภูมิภาค พร้อมขับเคลื่อนไทยสู่เป้าหมาย EV Hub เต็มรูปแบบ

CHANG-AN Automobile ผู้นำเทคโนโลยียานยนต์อัจฉริยะคาร์บอนต่ำ เปิดโรงงานฉางอาน ออโตโมบิล ระยอง (CHANG-AN Automobile Rayong Factory) ปักธงฐานการผลิตรถยนต์พลังงานใหม่ครบวงจรแห่งแรกในต่างประเทศ ที่จังหวัดระยอง ประเทศไทย มูลค่าการลงทุนรวม 10,000 ล้านบาท นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการขยายธุรกิจระดับโลกและตอกย้ำความมุ่งมั่นระยะยาวต่อภูมิภาคอาเซียนและประเทศไทย โดยโรงงานแห่งนี้ตั้งอยู่ในทำเลยุทธศาสตร์และจะเป็นศูนย์กลางการผลิตสำหรับตลาดอาเซียนและตลาดรถพวงมาลัยขวาทั่วโลก ยกระดับความแข็งแกร่งให้กับประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ในโอกาสเดียวกันนี้ CHANG-AN ยังได้ฉลองการผลิตรถยนต์คันที่ 28.59 ล้าน ซึ่งเป็น DEEPAL S05 ประกาศความสำเร็จอีกครั้งของการดำเนินกลยุทธ์การขยายธุรกิจไปทั่วโลก โดยพัฒนาจาก “แบรนด์ที่ก้าวสู่ระดับสากล” สู่การเป็น “ผู้นำอุตสาหกรรมระดับโลก” อย่างแท้จริง

พิธีการเปิดโรงงานได้รับเกียรติจาก นายจู หัวหรง ประธาน บริษัท ฉางอาน ออโต้โมบิล, นายหวัง ฮุย รองประธาน บริษัท ฉางอาน ออโต้โมบิล, นายเคลาส์ ไซซิโอรา รองประธาน บริษัท ฉางอาน ออโต้โมบิล, นายเติ้ง เฉิงหาว รองประธาน บริษัท ฉางอาน ออโต้โมบิล และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร DEEPAL และ นายเซิน ซิงหัว กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฉางอาน ออโต้ เซาท์อีส เอเชีย จำกัด และ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฉางอาน ออโต้ เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด โดยมี นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม, นายเจียง เว่ย อัครราชทูตฝ่ายเศรษฐกิจและพาณิชย์ สถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย, นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และ นายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง พร้อมด้วยพันธมิตรในอุตสาหกรรมภาคธุรกิจ และสื่อมวลชน เข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง ตอกย้ำความสำคัญของการพัฒนาโรงงานแห่งนี้ที่มีต่ออุตสาหกรรมยานยนต์และความสัมพันธ์ระดับทวิภาคีระหว่างไทยและจีน

โรงงานของ CHANG-AN ตั้งอยู่บนที่ดินขนาด 250 ไร่ ประกอบด้วยพื้นที่สำหรับดำเนินการผลิตอย่างครบวงจร ไม่ว่าจะเป็น การเชื่อมประกอบตัวถัง, การพ่นสี, การประกอบเครื่องยนต์ และการประกอบแบตเตอรี่ มีกำลังการผลิตเริ่มต้น 100,000 คันต่อปี โดยใช้หุ่นยนต์ 39 ตัวในพื้นที่เชื่อมประกอบตัวถัง และใช้หุ่นยนต์ 29 ตัวสำหรับกระบวนการพ่นสีที่ต้องอาศัยความละเอียดสูงเพื่อให้สีบนตัวรถมีความทนทานมากกว่า 10 ปี พร้อมทั้งลดการปล่อยมลภาวะได้ถึง 40% นอกจากนี้ ยังใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบอัตโนมัติ 18 ระบบและแบบกึ่งอัตโนมัติ 125 ระบบ จึงสามารถผลิตรถยนต์หลายรุ่นที่ใช้ระบบส่งกำลังต่างกันได้พร้อมกัน ทั้งยังมีระบบดิจิทัลช่วยให้ดำเนินงานและจัดการผ่านออนไลน์ได้ 100% ลดระยะเวลาจากการสั่งซื้อถึงการส่งมอบจาก 21 วันเหลือเพียง 15 วัน โดยตั้งเป้าเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 200,000 คันในเฟสที่สอง

โรงงานแห่งนี้ได้รับการออกแบบให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ใช้อุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูงและกระบวนการทำงานที่ทันสมัยและปล่อยคาร์บอนต่ำ โดย CHANG-AN มีแผนที่จะติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 14 เมกะวัตต์ ซึ่งจะสามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าได้ถึง 45% ของพลังงานไฟฟ้าทั้งหมดที่ใช้ในโรงงาน ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อย่างมีประสิทธิภาพ เสริมด้วยส่วนประกอบที่ส่งเสริมความยั่งยืนอีกมากมาย อาทิ ระบบระบายอากาศหมุนเวียน, ระแนงระบายความร้อน, การใช้แสงธรรมชาติ, และระบบรีไซเคิลน้ำฝน คาดว่าจะช่วยลดต้นทุนพลังงานลง 20% นอกจากนี้ การเปิดโรงงานยังจะสร้างโอกาสการจ้างงานมากกว่า 30,000 ตำแหน่งตลอดห่วงโซ่คุณค่า ซึ่งจะมีส่วนสำคัญต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในพื้นที่อีกด้วย


ZEEKR ผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตยานยนต์พลังงานไฟฟ้าระดับพรีเมียม-ลักชูรี พร้อมพลิกโฉมประสบการณ์แห่งการเดินทาง ด้วยการเปิดตั...
18/02/2025

ZEEKR ผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตยานยนต์พลังงานไฟฟ้าระดับพรีเมียม-ลักชูรี พร้อมพลิกโฉมประสบการณ์แห่งการเดินทาง ด้วยการเปิดตัว ZEEKR 009 รุ่น 7 ที่นั่ง อย่างเป็นทางการยนตรกรรมไฟฟ้าเอ็มพีวีที่ถูกรังสรรค์เพื่อนิยามใหม่ของความลักชูรี ภายใต้แนวคิด “Every Journey Shines, Every Seat Matters” ด้วยการยกระดับความสะดวกสบายให้ทุกการเดินทาง ทั้งสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารโดยยังคงประสบการณ์ระดับเฟิร์สคลาสในทุกที่นั่ง ราคาจำหน่ายเริ่มต้น 3.099 ล้านบาท

ความสำเร็จของ ZEEKR 009 รุ่น 6 ที่นั่งในปีที่ผ่านมา ซึ่งมีการส่งมอบแล้วกว่า 1,000 คัน ทั่วประเทศไทยเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า ZEEKR 009 ไม่เพียงแค่เป็นรถยนต์ไฟฟ้า แต่เป็นตัวแทนของไลฟ์สไตล์ที่สะท้อนรสนิยมของผู้ใช้ได้อย่างลงตัว ZEEKR 009 ทลายกรอบ “ความหรูหราแบบเดิมๆ” และมุ่งเน้นประสบการณ์ของผู้ใช้เป็นสำคัญ พร้อมสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับตลาดเอ็มพีวีระดับลักชูรี โดย ZEEKR 009 รุ่น 6 ที่นั่ง ออกแบบมาเพื่อความเป็นส่วนตัวและความหรูหราอย่างไรที่ติ ส่วน ZEEKR 009 รุ่น 7 ที่นั่ง ที่ถูกสร้างขึ้นมาภายใต้แนวคิดเดียวกัน “Every Journey Shines, Every Seat Matters” นำเสนอทางเลือกใหม่สำหรับครอบครัวและกลุ่มเพื่อนที่มองหาประสบการณ์การเดินทางที่สะดวกสบายและเหนือระดับโดยยกระดับมาตรฐานยนตรกรรมหรูสำหรับครอบครัวให้ก้าวข้ามขีดจำกัดเดิม ด้วยการผสานนวัตกรรมล้ำสมัยเข้ากับความหรูหรา ทำให้ ZEEKR 009 ไม่ใช่เพียงแค่พาหนะสำหรับการเดินทาง แต่เป็นนิยามใหม่ของความพรีเมียม ที่มอบทั้งสมรรถนะเหนือชั้น ห้องโดยสารระดับเฟิร์สคลาส และวัสดุคุณภาพสูงที่สะท้อนถึงความประณีตในทุกรายละเอียด

โดยในรุ่นนี้ยังคงไว้ซึ่งฟีเจอร์ระดับไฮเอนด์อย่างครบครัน เช่น เบาะหนัง Nappa นุ่มพิเศษ มาพร้อมระบบนวดไฟฟ้าเพื่อความสบายสูงสุด พร้อมดื่มด่ำกับความบันเทิงผ่านหน้าจอ OLED ทัชสกรีนขนาด 15.05 นิ้ว, หน้าจอแสดงผลแบบเออาร์ AR-HUD ขนาด 35.95 นิ้ว และ หน้าจอเพดานสำหรับผู้โดยสารด้านหลังแบบ OLED ระบบสัมผัสขนาด 17 นิ้ว ขับเคลื่อนด้วยชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 8295 อันทรงพลัง พร้อมระบบเสียง YAMAHA 30 จุดรอบคัน มอบประสบการณ์เสียงรอบทิศทางระดับพรีเมียม ให้ทุกเส้นทางเต็มไปด้วยความสะดวกสบาย หรูหรา และเหนือระดับอย่างแท้จริง ที่พร้อมยกระดับทุกการเดินทางของคุณให้กลายเป็นช่วงเวลาพิเศษที่น่าจดจำ พร้อมกันนี้ยังมาพร้อมกับสมรรถนะที่เหนือชั้น กับมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ ที่ให้กำลังสูงถึง 603 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. เพียง 4.5 วินาที และแบตเตอรี่ขนาด 116 kWh ที่ให้ระยะทางการขับขี่ 686 กิโลเมตร ต่อการชาร์จหนึ่งครั้งตามมาตรฐาน NEDC เดินทางอย่างนุ่มนวลด้วยช่วงล่างแบบถุงลมประสิทธิภาพสูง และระบบกันสะเทือน CCD Electromagnetic Vibration Reduction System และระบบความปลอดภัย ZEEKR AD ที่ครบครัน ไม่ว่าจะเป็น ระบบช่วยจอดรถอัตโนมัติ ระบบป้องกันการชนด้านหน้า รวมไปถึงเตือนการชนจากด้านหลัง มั่นใจในทุกเส้นทางกับระบบ Passive Safety Systems ทั้งโครงสร้างด้านหลังแบบ Single-Piece Die-Casting Aluminum และถุงลม 7 จุด

ZEEKR 009 มี 3 โทนสีรถภายนอกได้แก่ สีขาว (Crystal White) พร้อมสีภายในสีดำ (Stone Black) และ สีดำ (Phantom Black) พร้อมสีภายในสีเทาขาว (Stone Grey & Polar white) และสีดำ (Stone Black) นอกจากนี้ยังมีการเปิดตัวสีใหม่ ได้แก่ สีเขียว (Mineral Green) พร้อมสีภายในสีเทาขาว (Stone Grey & Polar white) และสีดำ (Stone Black)

อเล็กซ์ เป่า กรรมการผู้จัดการภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซีเคอาร์ อินเทลลิเจนท์ เทคโนโลยี กล่าวว่า “หลังจากความสำเร็จของ ZEEKR 009 รุ่น 6 ที่นั่ง ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจากตลาด เราได้ศึกษาความต้องการของผู้บริโภคในประเทศไทยและพบว่า ความต้องการรถเอ็มพีวีไฟฟ้าที่ตอบโจทย์ความต้องการและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง การเปิดตัว ZEEKR 009 รุ่น 7 ที่นั่ง จึงเป็นการตอบโจทย์ลูกค้าที่เดินทางกับครอบครัวและกลุ่มเพื่อน พร้อมยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย เทคโนโลยี และดีไซน์แบบลักชูรี ตอกย้ำแนวคิด ‘Every Journey Shines, Every Seat Matters’ โดยภายใต้เเนวคิดนี้ เรามีการนำเสนอเรื่องราวของ ZEEKR 009 ผ่านภาพยนตร์โฆษณาใหม่ที่ถ่ายทอดแก่นแท้ของการเดินทางสุดพิเศษ โดยบอกเล่าเรื่องราวผ่านมุมมองของตัวละครหลักที่กำลังก้าวสู่จุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิต เปรียบการเดินทางด้วย ZEEKR 009 เสมือนการเดินทางของชีวิตที่ทุกก้าวล้วนมีความหมาย ทุกที่นั่งคือพื้นที่แห่งแรงบันดาลใจ และทุกความสำเร็จคือจุดหมายหลักที่จะมุ่งไป โดยภาพยนตร์โฆษณาชุดนี้ไม่เพียงต้องการนำเสนอคุณสมบัติอันโดดเด่นของ ZEEKR 009 แต่เป็นการสะท้อนคุณค่าและอารมณ์ที่ผู้ขับขี่และผู้โดยสารสามารถสัมผัส
ได้อย่างมีชั้นเชิง


MG ตอกย้ำการเป็นผู้บุกเบิกวงการยานยนต์ไฟฟ้าไทย สร้างความเคลื่อนไหวครั้งใหม่ขยายการรับรู้สู่กลุ่มลูกค้าในวงกว้างมากขึ้น ล...
18/02/2025

MG ตอกย้ำการเป็นผู้บุกเบิกวงการยานยนต์ไฟฟ้าไทย สร้างความเคลื่อนไหวครั้งใหม่ขยายการรับรู้สู่กลุ่มลูกค้าในวงกว้างมากขึ้น ล่าสุด นำ NEW MG4 ELECTRIC รุ่น XPOWER ลุยสนามแข่ง Gymkhana ในรายการ Gymkhana GC Grid Competition Series 2025 By Harson Tyres ประเดิมแข่งแมทช์แรกในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งการแข่งขันครั้งนี้ถือเป็นการพิสูจน์สมรรถนะของขุมพลังยานยนต์ไฟฟ้าของ “อีวีสายพันธุ์แท้” อย่าง NEW MG4 ELECTRIC ในสภาพเส้นทางที่ท้าทาย โดยมี “คุณหน่อง-เอมอมร” นักแข่งรถตัวแทนจาก เอ็มจี ร่วมลงสนามคู่กับ NEW MG4 ELECTRIC รุ่น XPOWER และพันธมิตรยางล้อจาก Yokohama และ Maxion Wheels ซึ่งเป็นพาร์ทเนอร์สำคัญในการลงแข่งขันครั้งนี้ สำหรับรายการนี้ไม่เพียงแต่เป็นการทดสอบความสามารถและโชว์ศักยภาพอันทรงพลังของรถเท่านั้น แต่ยังเป็นอีกหนึ่งจุดเริ่มต้นครั้งสำคัญของแบรนด์ เอ็มจี ในการก้าวเข้าสู่วงการมอเตอร์สปอร์ตในประเทศไทย ทั้งยังแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ขับขี่ยุคใหม่ ควบคู่กับการสร้างความยั่งยืนให้กับวงการยานยนต์ไทยในอนาคตอย่างต่อเนื่อง

สำหรับการแข่งขันจิมคาน่า (Gymkhana) เป็นการแข่งขันที่สามารถใช้รถยนต์และจักรยานยนต์ในการแข่งด้วยการใช้ความเร็วรถระดับต่ำถึงปานกลางในการแข่งขัน โดยไม่เน้นความเร็วรถเป็นหลักแต่จะเน้นเรื่องทักษะเทคนิคการขับขี่ในแต่ละจุดทดสอบแทน และใช้ระยะเวลาที่ทำได้เป็นตัวชี้วัดในการตัดสินการแข่งขันในแต่ละครั้ง ซึ่งการแข่งขัน Gymkhana GC Grid Competition Series 2025 By Harson Tyres เป็นอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญของแบรนด์ เอ็มจี ในการส่ง “อีวีสายพันธุ์แท้” อย่าง NEW MG4 ELECTRIC รุ่น XPOWER ซึ่งเป็นรุ่นที่ได้รับการขนานนามให้เป็น “อีวีตัวจี๊ด” โดดเด่นด้วยขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ให้พละกำลังสูงสุด 435 แรงม้า (320 กิโลวัตต์) และแรงบิดสูงสุด 600 นิวตันเมตร โดยสามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลาเพียง 3.8 วินาที เพื่อทดสอบสมรรถนะบนสนามแข่ง และส่งเสริมให้นักแข่งสามารถสร้างผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่อง โดยมี “คุณหน่อง-เอมอมร” นักแข่งรถตัวแทนจากแบรนด์ เอ็มจี กับผลงาน การแข่งขันที่โดดเด่นในช่วงที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น รางวัลรองแชมป์อันดับที่ 4 จากการแข่งขัน Auto Special Gymkhana Thailand 2002 รางวัลอันดับที่ 2 จากการแข่งขัน Gymkhana By Under Up 2022 การคว้ารางวัลอันดับที่ 1 รุ่นขับเคลื่อนล้อหลัง จากการแข่งขัน Gymkhana Classic Revival 2024 มาครองได้ และล่าสุดกับการแข่งขัน Gymkhana GC Grid Competition Series 2025 By Harson Tyres สนามแรกในปีนี้ ที่สามารถคว้ารางวัลอันดับที่ 1 ในรุ่น GC9 มาได้ ซึ่งไม่เพียงแต่สะท้อนถึงฝีมืออันยอดเยี่ยมของ “คุณหน่อง-เอมอมร” และทีมเท่านั้น แต่ยังเป็นการตอกย้ำแบรนด์ในฐานะผู้สนับสนุนสำคัญที่มีบทบาทในการผลักดันนักแข่งให้ก้าวสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืนในวงการมอเตอร์สปอร์ต แม้จะต้องเผชิญกับบททดสอบที่ท้าทายและการแข่งขันอันดุเดือดก็ตาม

คุณหน่อง-เอมอมร กล่าวว่า “ผมรู้สึกตื่นเต้นที่ได้มีโอกาสเข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้ เพราะการแข่งขันครั้งนี้ ลงแข่งในรุ่น GC 9 รถพลังงานไฟฟ้า100% ถือเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์มอเตอร์สปอร์ตที่ผลักดันให้ผมพัฒนาความสามารถตัวเองมากยิ่งขึ้น และการขับ NEW MG4 ELECTRIC รุ่น XPOWER ลงแข่งขันในรายการนี้ ทำให้ผมมั่นใจในทุกเส้นทางการแข่งขัน ด้วยสมรรถนะที่ทรงพลัง ทั้งความเร็ว แรง และเร้าใจ เป็นรถที่โดดเด่น และให้ประสบการณ์การขับขี่ที่แตกต่างด้วยการกระจายน้ำหนักที่สมดุลแบบ 50:50 และจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำ (Low Centre of Gravity) พร้อมระบบช่วงล่างหน้าแบบอิสระแมคเฟอร์สันสตรัท และช่วงล่างหลังแบบ 5-Link Suspension ซึ่งช่วยเสริมสมรรถนะและการควบคุมให้มีประสิทธิภาพสูงสุด สามารถตอบสนองต่อการขับขี่ได้อย่างยอดเยี่ยมในทุกสภาพถนน ทำให้สามารถควบคุมรถไปตามเส้นทางการแข่งขันในสไตล์ Gymkhana ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำมากยิ่งขึ้น สำหรับการแข่งขันในปีนี้ ตัวรถที่ใช้แข่งไม่ได้มีการปรับจูนใหม่ใดๆ จะมีเพียงแค่การปรับมาใช้ยางล้อจาก Yokohama และ Maxion Wheels ที่ช่วยยึดเกาะถนนได้เป็นอย่างดี สำหรับการแข่งขันในแมทช์ต่อไป ผมตั้งใจที่จะเรียนรู้และพัฒนาตัวเองให้มากยิ่งขึ้น พร้อมสนุกไปกับการแข่งขันฤดูกาลใหม่ และหวังว่าจะได้มีโอกาสขับรถจากแบรนด์ เอ็มจี รุ่นใหม่ๆ ลงสนามอีกครั้ง”

นายพงษ์ศักดิ์ เลิศฤดีวัฒนวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “เอ็มจี เป็นแบรนด์รถยนต์ที่มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนานกว่า 100 ปี จากจุดเริ่มต้นในการเป็นผู้ผลิตรถสปอร์ตที่ประสบความสำเร็จในสนามแข่งสู่การเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดยานยนต์ระดับนานาชาติ ซึ่งในปัจจุบัน เอ็มจี ยังคงมุ่งมั่นตั้งใจในการพัฒนาและผลักดันแบรนด์เพื่อก้าวสู่ยุคใหม่อย่างจริงจัง ด้วยการผสมผสานเทคโนโลยีอันล้ำสมัยเข้ากับสมรรถนะยานยนต์ที่มีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งสะท้อนจิตวิญญาณและดีเอ็นเอความเป็นสปอร์ตของแบรนด์เข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว เอ็มจี ไม่เพียงแต่ถ่ายทอดกลิ่นอายความเป็นสปอร์ตจากอดีตสู่ปัจจุบัน แต่ยังมุ่งมั่นในการนำเสนอยานยนต์ที่ตอบโจทย์ทั้งด้านสมรรถนะและนวัตกรรมที่ทันสมัย เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์การขับขี่ที่ดีที่สุด สำหรับ NEW MG4 ELECTRIC เป็นโกลบอลอีวีรุ่นแรกที่พัฒนาขึ้นบน NEBULA PURE ELECTRIC PLATFORM และยังถือเป็นโกลบอลอีวีรุ่นยอดนิยมที่ได้รับกระแสตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากผู้ใช้อีวีทั่วโลก โดย ณ ปัจจุบันมียอดขายในประเทศไทยรวมแล้วว่า 13,000 คัน และยอดขายสะสมทั่วโลกมากกว่า 200,000 คัน ด้วยดีไซน์โฉบเฉี่ยวเป็นเอกลักษณ์ สมรรถนะดีเยี่ยม เทคโนโลยีที่ทันสมัย และระบบความปลอดภัยที่ครบครัน รวมถึงยังเป็นโมเดลที่ได้รับการการันตีคุณภาพด้วยรางวัล THAILAND EV OF THE YEAR 2023 และคว้ารางวัลในระดับสากลจากเว็บไซต์ผู้เชี่ยวชาญรถยนต์อีวี และยนตรกรรมรุ่นนี้ ยังผ่านการทดสอบด้านความปลอดภัยระดับ 5 ดาว จาก Euro NCAP (European New Car Assessment Programme) อีกด้วย NEW MG4 ELECTRIC เป็นโมเดลที่ผมเชื่อว่าจะเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาแบรนด์ในวงการมอเตอร์สปอร์ตยุคใหม่ พร้อมขับเคลื่อนแบรนด์ เอ็มจี ให้ก้าวไกลไปในทิศทางที่ใหญ่ยิ่งขึ้นและเป็นหนึ่งในผู้นำของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในระดับสากลมากขึ้นด้วยเช่นกัน”


มาร่วมงานกันครับ
12/02/2025

มาร่วมงานกันครับ

มาร่วมงานกันนะคะ

24/11/2024

Aion V พร้อมเปิดตัว..สื่อฯต่างๆได้ทดลองขับ พร้อม review กันเป็นที่เรียบร้อยครับ
09/11/2024

Aion V พร้อมเปิดตัว..
สื่อฯต่างๆได้ทดลองขับ
พร้อม review กันเป็นที่เรียบร้อยครับ

เอ็มจี เปิดตัว ALL NEW MG3 HYBRID+ ยกระดับมาตรฐานไฮบริดยุคใหม่ในราคาพิเศษเริ่มต้นที่ 559,900 บาท ALL NEW MG3 HYBRID+ ยนต...
21/08/2024

เอ็มจี เปิดตัว ALL NEW MG3 HYBRID+
ยกระดับมาตรฐานไฮบริดยุคใหม่
ในราคาพิเศษเริ่มต้นที่ 559,900 บาท

ALL NEW MG3 HYBRID+ ยนตรกรรมไฮบริดรุ่นล่าสุดของ เอ็มจี สะท้อนความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี เพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้รถในราคาที่เข้าถึงได้

• ประหยัดกว่าและแรงกว่า ด้วยอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมัน 26.2 Km/L

• ขับสนุกกว่า ฉลาดกว่า ปลอดภัยกว่า เทคโนโลยีไฮบริดใหม่ ด้วยมาตรฐาน Global Model

• กว้างกว่า พร้อมพื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลังที่จุได้ถึง 293 ลิตร และขยายได้สูงสุดถึง 1,037 ลิตร พร้อมดีไซน์โฉบเฉี่ยว ทันสมัย

บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย จุดประกายตลาดรถยนต์ไทยครึ่งปีหลังด้วยการเปิดตัว พร้อมกันทุกภูมิภาคเป็นครั้งแรก กับรถรุ่นล่าสุด ALL NEW MG3 HYBRID+ เพื่อบุกตลาด B-Segment พร้อมสร้างจุดเปลี่ยนให้กับวงการไฮบริด ในฐานะรถยนต์ไฮบริดที่มีสมรรถนะสูงภายใต้คอนเซ็ปต์ “อิสระพลัสเวล” ยนตรกรรมที่พลัสมาให้ครบ แรง ขับสนุก ประหยัดเหนือชั้น ล้ำหน้าด้วยเทคโนโลยีไฮบริดอัจฉริยะ อีกระดับของประสบการณ์การขับขี่ที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ ในราคาครอบครองได้ง่าย พร้อมสัมผัสตัวจริงและทดลองขับได้ที่งาน BIG MOTOR SALE 2024 และ โชว์รูม เอ็มจี กว่า 150 แห่งทั่วประเทศ

ALL NEW MG3 HYBRID+ มีความโดดเด่นด้วยระบบ HYBRID+ ที่ใช้เทคโนโลยีล่าสุดจาก SAIC MOTOR เพื่อพัฒนายนตรกรรมที่มาพร้อมสมรรถนะและความประหยัดที่เหนือชั้น โดยระบบ HYBRID+ เป็นการผสมผสานระหว่างเครื่องยนต์สันดาปภายในและมอเตอร์ไฟฟ้า ทำงานร่วมกันอย่างชาญฉลาดเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงในทุกสภาวะการขับขี่ อีกทั้งรถรุ่นนี้ยังถือเป็น Global Model ที่พัฒนาและปรับจูนทุกระบบโดยทีมวิศวกรระดับโลก เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับการใช้งานจริงบนถนนทั่วโลก โดยผ่านการทดสอบในทุกสภาพเส้นทาง สภาพอากาศ รวมถึงวิ่งทดสอบในสถานการณ์ที่หลากหลาย สำหรับในประเทศไทย ALL NEW MG3 HYBRID+ มาพร้อมคอนเซ็ปต์ “อิสระพลัสเวล” นำเสนอประสบการณ์การขับขี่ที่ครบครัน ทั้งความประหยัด ความสนุกเร้าใจ เป็นการยกระดับระบบการทำงานของเครื่องยนต์ และมอเตอร์ไฟฟ้า ให้มีการทำงานที่อิสระ ครอบคลุมโหมดการขับเคลื่อนที่หลากหลาย มอบความคล่องตัว ให้ความรู้สึกเหมือนขับรถไฟฟ้าโดยไม่ต้องกังวลเรื่องการชาร์จ เหมาะสำหรับคนรุ่นใหม่ที่กำลังมองหารถยนต์ในกลุ่ม City Car ที่มาพร้อมฟังก์ชันครบครัน พรัอมสมรรถนะ และเทคโนโลยีที่โดดเด่นในระดับราคาที่คนไทยเป็นเจ้าของได้ง่าย

การเปิดตัว ALL NEW MG3 HYBRID+ ครั้งนี้ ไม่เพียงแต่เป็นการนำเสนอยานยนต์รุ่นใหม่สู่ตลาดเท่านั้นแต่ยังเป็นการตอกย้ำวิสัยทัศน์ของ เอ็มจี ในการเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงในวงการยานยนต์ไทยและระดับโลก ด้วยการผสมผสานเทคโนโลยีล้ำสมัย ความคุ้มค่า และการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ได้อย่างลงตัว ALL NEW MG3 HYBRID+ จึงไม่เพียงแต่เป็นทางเลือกใหม่สำหรับผู้ที่มองหายานพาหนะที่มีประสิทธิภาพสูงและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นก้าวสำคัญของ เอ็มจี ในการก้าวสู่อนาคตแห่งการขับเคลื่อนที่ยั่งยืน

นายซู๋ว์ หยิ่น กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “นอกจาก ALL NEW MG3 HYBRID+ จะเป็น The Best-in-Class ใน B-Segment ด้วยการยกระดับผลิตภัณฑ์ในหลายๆ ด้านแล้วนั้น ครั้งนี้ เอ็มจี ยังได้สร้างปรากฏการณ์ครั้งใหม่ แตกต่างจากการเปิดตัวรถยนต์ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น การเปิดโอกาสให้ผู้สนใจลงทะเบียนทดลองขับรถรุ่นใหม่นี้ก่อนการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ 4 ภาคทั่วไทย เพื่อให้ผู้ขับขี่ได้สัมผัสสมรรถนะของ ALL NEW MG3 HYBRID+ รวมไปถึงการทดสอบขับจริงบนท้องถนน ผ่านกิจกรรมขับทางไกล "กรุงเทพฯ - เชียงใหม่ ด้วยน้ำมันถังเดียว" ที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของรถเมื่อขับขี่บนถนนจริง สามารถวิ่งได้ไกลถึง 800 กิโลเมตร ต่อน้ำมันหนึ่งถัง ทั้งนี้ เพื่อยืนยันความเชื่อมั่นและพิสูจน์คุณภาพของรถ เอ็มจี ในทุกการเดินทาง และยังเป็นครั้งแรกที่ เอ็มจี ได้ทำการเปิดตัว ALL NEW MG3 HYBRID+ พร้อมกันในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ (Nationwide launch) โดยมีกรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางการประกาศราคาอย่างเป็นทางการ ซึ่งจัดขึ้นที่ สยามสแควร์วัน นอกจากนี้ ในภูมิภาคต่างๆ ได้มีการจัดงานเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ในย่านสำคัญของแต่ละพื้นที่อาทิ ภาคเหนือ ที่ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงใหม่ แอร์พอร์ต ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ ศูนย์การค้าเดอะมอลล์โคราช และภาคใต้ ที่ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เฟสติวัล หาดใหญ่ โดยในทุกสถานที่จะมีกิจกรรมพิเศษต่อเนื่องจากการเปิดตัว เพื่อให้ผู้สนใจเข้ามาได้สัมผัสประสบการณ์อย่างใกล้ชิด โดย เอ็มจี พร้อมให้ผู้ที่สนใจสามารถจองและทดลองขับได้ที่ งาน BIG MOTOR SALE 2024 และศูนย์บริการของ เอ็มจี 150 แห่งทั่วประเทศ ตั้งแต่ปลายเดือนนี้ เป็นต้นไป”


เรเว่ เผยโฉม BYD SEAL U DM-iบริษัท เรเว่ ออโตโมทีฟ จำกัด ผู้จัดจําหน่ายและให้บริการหลังการขายรถยนต์พลังงานไฟฟ้า BYD อย่า...
02/04/2024

เรเว่ เผยโฉม BYD SEAL U DM-i

บริษัท เรเว่ ออโตโมทีฟ จำกัด ผู้จัดจําหน่ายและให้บริการหลังการขายรถยนต์พลังงานไฟฟ้า BYD อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ภายใต้กลุ่มธุรกิจเรเว่ ร่วมสร้างปรากฏการณ์และสีสันอีกครั้งกับงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 45 เผยโฉม BYD SEAL U DM-i รถยนต์ SUV ขนาดใหญ่ 5 ที่นั่ง 5 ประตู พร้อมเทคโนโลยี Plug-in Hybrid มอบความสะดวกสบายระดับพรีเมียมด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะรอบคัน ยกระดับสมรรถนะการขับขี่และความปลอดภัยขึ้นไปอีกขั้น พร้อมเปิดรับจองสิทธิ์ RÊVER Care รับสิทธิประโยชน์ส่วนลดมูลค่ารวมกว่า 50,000 บาทเมื่อออกรถ

นายประธานวงศ์ พรประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจเรเว่ กล่าวว่า “การเผยโฉม BYD SEAL U DM-i สู่ตลาดยานยนต์ประเทศไทยในวันนี้ เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของเรเว่ในการขยายขอบเขตของผลิตภัณฑ์
ยนตรกรรมที่มาพร้อมเทคโนโลยีล้ำสมัยและดีไซน์สุดพรีเมียมอันเป็นเอกลักษณ์ของ BYD เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคชาวไทย เราเชื่อมั่นว่า BYD SEAL U DM-i จะเป็นหนึ่งในรถยนต์ SUV ที่ตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างครบครัน ทั้งด้านสมรรถนะการขับขี่ที่มอบความคล่องตัว ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี Plug-in Hybrid ความจุแบตเตอรี่ 18.3 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง พร้อมเทคโนโลยีระบบความปลอดภัยอัจฉริยะรอบคันที่ช่วยให้ทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสารอุ่นใจได้ตลอดทุกเส้นทาง”

นางสาวประธานพร พรประภา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจเรเว่ กล่าวเสริมว่า “เรเว่มีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้นำ BYD SEAL U DM-i มาเสริมทัพยานยนต์ที่จัดแสดงในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 45 ให้ชาวไทยได้ร่วมสัมผัสอย่างใกล้ชิดเป็นครั้งแรก โดยผู้ที่สนใจสามารถจองสิทธิ์ RÊVER Care เพื่อรับข้อเสนอสุดพิเศษมากมาย รวมถึงสิทธิประโยชน์อื่นๆ มูลค่ารวมกว่า 50,000 บาท ได้ก่อนใคร ทั้งหมดนี้ เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจในมาตรฐานและการบริการคุณภาพ พร้อมทั้งตอกย้ำความมุ่งมั่นของเรเว่ที่จะยังคงเดินหน้าส่งมอบประสบการณ์เหนือระดับอย่างรอบด้านแทนคำขอบคุณผู้บริโภคสำหรับการสนับสนุนด้วยดีตลอดมา”

สะกดทุกสายตาด้วยดีไซน์เรียบหรูระดับพรีเมียม

BYD SEAL U DM-i มาพร้อมสีภายนอกทั้งหมด 3 สี Quantum Black, Graphite Grey และ Horizon White โดดเด่นด้วยรูปทรงกระจังหน้าแบบไร้ขอบ โค้งมนคล้ายหยดน้ำ ดีไซน์เอกลักษณ์เฉพาะภายใต้คอนเซ็ปต์ OCEAN X โฉบเฉี่ยวด้วยโคมไฟแบบตัว C และดีไซน์ด้านข้างที่เลือกใช้เส้นสายลากยาวต่อเนื่องถึงด้านหลัง เสริมแถบอลูมิเนียมเพิ่มความพรีเมียมเมื่อวิ่งบนท้องถนน​ พร้อมระบบกันสะเทือนแบบ MacPherson strut เสริมความนุ่มนวลและการยึดเกาะถนน และระบบกันสะเทือนแบบ Multi-Link ยกระดับความนุ่มนวลและความสบายระหว่างการเดินทาง เก็บเสียงรบกวนจากภายนอกให้ห้องโดยสารเงียบสงบตลอดเส้นทาง

ห้องโดยสารกว้างขวาง อัปเกรดความสะดวกสบายขึ้นไปอีกขั้น

ห้องโดยสารภายในออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์การผสมผสานความทันสมัยและความเรียบง่ายอย่างลงตัว มาพร้อมที่วางแก้วขนาดใหญ่ 2 จุด พอร์ตชาร์จ USB Type C 2 จุด และ Type A 2 จุด และที่ชาร์จโทรศัพท์ไร้สาย 2 ตำแหน่ง มอบความสะดวกในการใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพ ห้องโดยสารกว้างขวาง มอบประสบการณ์แสนสบายให้ทุกเส้นทาง

เดินทางอย่างอุ่นใจ ด้วยระบบช่วยเหลือการขับขี่และระบบความปลอดภัยล้ำสมัย

BYD SEAL U DM-i มาพร้อมเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยที่ช่วยให้ทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสารอุ่นใจตลอดการเดินทาง อาทิ ถุงลมนิรภัยคู่หน้าและถุงลมนิรภัยด้านข้าง – ฝั่งคนขับและผู้โดยสารตอนหน้า ม่านถุงลมนิรภัยด้านข้าง ด้านหน้าและด้านหลัง กล้องมองรอบคัน 360 องศา เซนเซอร์ช่วยตรวจจับวัตถุด้านหน้าและด้านหลังรวม 6 จุด ระบบช่วยควบคุมการไหลของรถอัตโนมัติ ระบบช่วยควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมฟังก์ชัน Stop and Go ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ (AEB) ระบบช่วยเตือนการชนด้านหน้าและด้านหลัง ระบบช่วยเตือนจุดอับสายตา ระบบช่วยเตือนรถเคลื่อนผ่านด้านหน้า ระบบช่วยเบรกเมื่อมีรถเคลื่อนผ่านด้านหน้า ระบบแจ้งเตือนจำกัดความเร็วอัจฉริยะ ระบบช่วยจำกัดความเร็วอัจฉริยะ เป็นต้น

สมรรถนะเหนือชั้น ตอบโจทย์ทุกการใช้งาน

BYD SEAL U DM-i ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังของเครื่องยนต์ Plug-in Hybrid 1.5 ลิตร ผสานมอเตอร์ไฟฟ้า แบบ Permanent magnet synchronous motor พร้อมแบตเตอรี่ขนาด 18.3 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง

ข้อมูลเพิ่มเติม >> https://pluginthailand.com/


Address


Opening Hours

Monday 09:00 - 17:00
Tuesday 09:00 - 17:00
Wednesday 09:00 - 17:00
Thursday 09:00 - 17:00
Friday 09:00 - 17:00
Saturday 09:00 - 17:00

Telephone

+66819915165

Alerts

Be the first to know and let us send you an email when Plug in รถพลังงานทางเลือก posts news and promotions. Your email address will not be used for any other purpose, and you can unsubscribe at any time.

Contact The Business

Send a message to Plug in รถพลังงานทางเลือก:

Shortcuts

  • Address
  • Telephone
  • Opening Hours
  • Alerts
  • Contact The Business
  • Claim ownership or report listing
  • Want your business to be the top-listed Media Company?

Share