Keyman Insurance บริหาร วางแผนภาษีบริษัท

Keyman Insurance บริหาร วางแผนภาษีบริษัท ทีมผู้เชี่ยวชาญในการวางแผน บริหารจัดการภาษีนิติบุคคลและกรรมการอย่างถูกต้องตามกฏหมายด้วยประกัน Keyman

18/07/2025

ข้อมูลดีๆ รับปรึกษาภาษื โดยผู้มีประสบการณ์ตรงในการทำงานด้านภาษีและบัญชีมา 30 ปี

ทำประกันไว้ก่อนตอนสุขภาพดี อายุน้อย ประกันชดเชยโรคร้ายแรง เจอ จ่าย หลายจบ ครบทั้งการดูแล คุ้มครอง 44+18 โรคร้าย จ่าย 100...
15/07/2025

ทำประกันไว้ก่อนตอนสุขภาพดี อายุน้อย
ประกันชดเชยโรคร้ายแรง เจอ จ่าย หลายจบ ครบทั้งการดูแล คุ้มครอง 44+18 โรคร้าย จ่าย 1000%
เบี้ยคงทื่ เบี้ยไม่จ่ายทิ้ง ตอนเกษียณนำเงินออกมาใช้ได้

03/06/2025

[ ] ทำไมเราไม่ควรมอง ประกัน เป็น การลงทุน
ในการวางแผนการเงินที่ดีต้องเข้าใจความแตกต่างระหว่าง Wealth Protection (การปกป้องความมั่งคั่ง) กับ Wealth Accumulation (การสะสมความมั่งคั่ง) ก่อน เพราะทั้ง 2 มีบทบาทและวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน
Wealth Protection มุ่งเน้นการปกป้องทรัพย์สินและรายได้ที่มีอยู่ไม่ให้สูญหายจากความเสี่ยงต่างๆ ด้วยการใช้เครื่องมือที่เรียกว่า “ประกัน” ขณะที่ Wealth Accumulation มุ่งเน้นการเพิ่มพูนทรัพย์สินและสร้างผลตอบแทนให้มากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป
ด้วยเหตุนี้ การทำประกันแบบทั่วไปจึงไม่ควรหวังผลตอบแทนเหมือนการลงทุน เพราะทั้ง 2 มีจุดมุ่งหมายที่แตกต่างกัน มาดูกันว่าข้อแตกต่างสำคัญมีอะไรบ้าง
[ 4 ข้อแตกต่างสำคัญระหว่างประกันกับการลงทุน ]
✅1. ความแตกต่างด้าน "วัตถุประสงค์"
#ประกัน = คุ้มครองความเสี่ยง
ประกันถูกออกแบบมาเพื่อโอนความเสี่ยงทางการเงินจากตัวเราไปยังบริษัทประกัน เป้าหมายหลักคือการปกป้องตัวเราและครอบครัวจากผลกระทบทางการเงินที่อาจเกิดขึ้นจากเหตุการณ์ไม่คาดคิด เช่น การเจ็บป่วย การเสียชีวิต หรือการสูญเสียรายได้ ประกันจึงเป็นเครื่องมือ "ป้องกัน" มากกว่า "สร้างกำไร"
#ลงทุน = แสวงหาผลตอบแทน
การลงทุนมีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มพูนทรัพย์สินและสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อ เป้าหมายคือการทำให้เงินเติบโตและสร้างความมั่งคั่งในระยะยาว ผู้ลงทุนยอมรับความเสี่ยงเพื่อแลกกับโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่า
✅2. ความแตกต่างด้าน "ผลประโยชน์"
#ประกัน = ผลประโยชน์จะได้เมื่อเกิดเหตุกับผู้เอาประกัน
ประกันให้ความคุ้มครองในรูปแบบของการจ่ายค่าสินไหมทดแทนเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ ผลประโยชน์จะเกิดขึ้นเมื่อมีการเคลมเท่านั้น หากไม่เกิดเหตุ เราก็ได้รับความอุ่นใจและการคุ้มครองตลอดระยะเวลาที่จ่ายเบี้ยประกัน
#ลงทุน = ผลประโยชน์จะเป็นผลตอบแทนตามผลการดำเนินงาน
การลงทุนให้ผลตอบแทนในรูปแบบของดอกเบี้ย เงินปันผล หรือกำไรจากการขาย ผลประโยชน์เกิดขึ้นจากการเติบโตของสินทรัพย์ที่ลงทุน ไม่ขึ้นอยู่กับการเกิดเหตุการณ์ใดๆ กับตัวผู้ลงทุน
✅3. ความแตกต่างด้าน "ความคุ้มค่า"
#ประกัน = ไม่ได้เคลมประกันเลย ไม่ได้หมายความว่าประกันนั้นไม่คุ้มค่า
ความคุ้มค่าของประกันไม่ได้วัดจากการที่เราต้องเคลมหรือไม่ แต่วัดจากความอุ่นใจและการคุ้มครองที่ได้รับ การที่เราไม่ได้เคลมประกันแสดงว่าเราโชคดีที่ไม่ต้องเผชิญกับเหตุการณ์เลวร้าย ประกันยังคงมีค่าเพราะให้การปกป้องตลอดระยะเวลาที่จ่ายเบี้ย เหมือนกับการจ้างยามรักษาความปลอดภัย แม้ไม่มีขโมยมา เราก็ไม่ได้เสียเงินค่าจ้างยามโดยเปล่าประโยชน์
#ลงทุน = การลงทุนที่ไม่คุ้มค่า คือการลงทุนที่ไม่เติบโต และไม่มีอนาคต
ความคุ้มค่าของการลงทุนวัดจากผลตอบแทนที่ได้รับเมื่อเทียบกับความเสี่ยงที่รับ การลงทุนที่ไม่คุ้มค่าคือการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนต่ำกว่าเงินเฟ้อ หรือไม่สามารถเติบโตได้ตามที่คาดหวัง การประเมินความคุ้มค่าจึงต้องดูจากประสิทธิภาพและศักยภาพในการสร้างผลตอบแทน
✅4. ความแตกต่างด้าน "ช่วงเวลา"
#ประกัน = มีกำหนดระยะเวลาที่ชัดเจน
ประกันมีระยะเวลาคุ้มครองที่ชัดเจน ซึ่งอาจเป็นรายปี หรือระยะเวลาที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ เมื่อหมดระยะเวลาคุ้มครอง หากต้องการความคุ้มครองต่อ ต้องต่ออายุหรือซื้อกรมธรรม์ใหม่ การจ่ายเบี้ยประกันจึงมีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดที่แน่นอน
#ลงทุน = ไม่มีกำหนดระยะเวลา สามารถลงทุนได้เรื่อยๆ
การลงทุนไม่มีข้อจำกัดด้านระยะเวลา เราสามารถลงทุนได้ตราบเท่าที่ต้องการ และสามารถเพิ่มเงินลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง การลงทุนระยะยาวมักให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า เพราะได้ประโยชน์จากการทบต้นทบดอก (Compound Interest) และการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว
การมองประกันเป็นการลงทุนเป็นความเข้าใจผิดที่อาจนำไปสู่การตัดสินใจทางการเงินที่ไม่เหมาะสม ประกันและการลงทุนมีบทบาทที่แตกต่างกันใน 4 ด้านสำคัญ คือ วัตถุประสงค์ ผลประโยชน์ ความคุ้มค่า และช่วงเวลา
การวางแผนการเงินที่ดีควรแยกแยะบทบาทของ Wealth Protection และ Wealth Accumulation ให้ชัดเจน ใช้ประกันเพื่อปกป้องสิ่งที่เรามี และใช้การลงทุนเพื่อสร้างสิ่งที่เราต้องการ เมื่อทำเช่นนี้ เราจะได้รับประโยชน์สูงสุดจากเครื่องมือทางการเงินทั้ง 2 อย่าง และมีฐานะทางการเงินที่มั่นคงและเติบโตได้อย่างยั่งยืน
เขียนโดย : วัฒนา มะสันเทียะ
#ประกัน #ลงทุน #วางแผนการเงิน #วางแผนประกัน

17/05/2025

Legal Advisory เอกสิทธิ์ใหม่จาก AIA Prestige Club ให้คุณวางแผนทรัพย์สิน ได้อย่างสบายใจ

คอมเมนต์จริง ไม่มีสคริปต์! ลูกค้าหลายคนพูดถึง AIA Smart Network ว่ายังไง? 🤩📍 ป่วยเมื่อไหร เลีอกโรงพยาบาลในเครือ AIA Smar...
30/04/2025

คอมเมนต์จริง ไม่มีสคริปต์! ลูกค้าหลายคนพูดถึง AIA Smart Network ว่ายังไง? 🤩

📍 ป่วยเมื่อไหร เลีอกโรงพยาบาลในเครือ AIA Smart Network มั่นใจได้ว่า คุ้ม ครบ จบ!

เช็กชื่อโรงพยาบาลใกล้คุณ👉 https://bit.ly/AIASmartNetwork
หรีอทักน้องมาให้ช่วยประสานงาน อำนวยความสะดวกให้เลยค่ะ

อ้างอิง ความคิดเห็นจริงของลูกค้าเอไอเอผ่านแบบสอบถามความพึงพอใจหลังจากใช้บริการเรียกร้องสินไหมที่โรงพยาบาล AIA Smart network ตั้งแต่เดือน มกราคม 2568 - กุมภาพันธ์ 2568

25/04/2025

เอกสิทธิ์พิเศษ Legal Advisory สำหรับลูกค้า Prestige เบี้ยประกัน 1 ล้านบาทต่อปีขึ้นไป

อย่าให้โรคร้ายทำให้เสียแผนดืๆที่วางไว้ แผนธุรกิจ อนาคตลูก จนถึงแผนเกษียณ ประกันโรคร้ายแรง ลดหย่อนภาษีนิติบฺคคลได้
10/04/2025

อย่าให้โรคร้ายทำให้เสียแผนดืๆที่วางไว้ แผนธุรกิจ อนาคตลูก จนถึงแผนเกษียณ ประกันโรคร้ายแรง ลดหย่อนภาษีนิติบฺคคลได้

ตัวแทนประกันที่่ดี ต้องรับฟัง ถามคำถาม ทำความเข้าใจ เพี่อวางแผนตรงตามความต้องการของลูกค้า สื่อสารให้เข้าใจตรงกันไม่ต้องค...
06/04/2025

ตัวแทนประกันที่่ดี ต้องรับฟัง ถามคำถาม ทำความเข้าใจ เพี่อวางแผนตรงตามความต้องการของลูกค้า สื่อสารให้เข้าใจตรงกัน
ไม่ต้องคุยเก่ง ขายเก่ง ก็ทำได้ค่ะ

[ ] “ตัวแทนประกัน… อาชีพที่หลายคนเข้าใจผิดและข้อดีที่คุณอาจไม่เคยรู้”
- ถ้าพูดถึง “ตัวแทนประกัน” หลายคนอาจมีภาพจำว่า…
💭 เป็นอาชีพที่ต้องขายเก่ง ต้องพูดเก่ง
💭 เป็นงานที่ต้องตามตื๊อลูกค้าแบบไม่หยุด
💭 เป็นงานที่ดูไม่มั่นคง รายได้ไม่แน่นอน
แต่ความจริงคือ… ตัวแทนประกันเป็นอาชีพที่มีอะไรมากกว่านั้น และหลายคนอาจไม่เคยรู้ว่า มันมีข้อดีที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย
📌 3 ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับอาชีพตัวแทนประกัน
❌ 1. ตัวแทนประกัน = ต้องขายเก่ง และต้องตื๊อลูกค้าตลอด
✅ ความจริง: ทุกอาชีพที่เกี่ยวกับการขายต้องมีทักษะการสื่อสาร แต่การเป็นตัวแทนประกัน ไม่ใช่แค่การขาย แต่มันคือ “การให้คำปรึกษาด้านการเงินและความเสี่ยง”
• ตัวแทนประกันที่ดีไม่ใช่คนที่ “พูดเก่ง” แต่เป็นคนที่ “ฟังเก่ง” เข้าใจว่าลูกค้าต้องการอะไร
• ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่มีความรู้เรื่องการเงินมากขึ้น พวกเขาไม่ต้องการถูกขาย แต่ต้องการ คำแนะนำที่เหมาะกับชีวิตจริงของเขา
❌ 2. รายได้ไม่แน่นอน อาชีพไม่มั่นคง
✅ ความจริง: รายได้ของตัวแทนประกันอาจไม่คงที่ในช่วงเริ่มต้น แต่ถ้าสร้างฐานลูกค้าได้ดี รายได้สามารถเติบโตได้แบบไม่มีเพดาน
• ตัวแทนประกันที่ประสบความสำเร็จหลายคนมี รายได้ดีกว่ามนุษย์เงินเดือน
• ถ้าดูแลลูกค้าดี รายได้จากค่าคอมมิชชันก็เป็นรายได้ต่อเนื่อง จากการต่ออายุกรมธรรม์
“ความมั่นคง” ไม่ได้มาจากเงินเดือนที่แน่นอน แต่มาจากความสามารถในการสร้างรายได้ระยะยาว”
❌ 3. เป็นงานที่ไม่มีโอกาสเติบโต
✅ ความจริง: อาชีพนี้มีโอกาสเติบโตทั้งทางรายได้และตำแหน่ง
• จากตัวแทน สามารถพัฒนาไปเป็น ที่ปรึกษาการเงิน (Financial Advisor) ที่ให้คำแนะนำลูกค้าเรื่องการลงทุน ประกัน และวางแผนเกษียณ
• สามารถเติบโตเป็นผู้บริหารทีม มีทีมงานของตัวเอง ดูแลตัวแทนรุ่นใหม่
• มีโอกาสเรียนรู้เรื่องการเงิน การลงทุน ซึ่งเป็นความรู้ที่ใช้ได้กับตัวเองด้วย
📌 4 ข้อดีของอาชีพตัวแทนประกัน ที่หลายคนอาจไม่เคยรู้

✔️ 1. อิสรภาพในการทำงาน
• ไม่มีเวลาเข้า-ออกงานตายตัว
• เลือกได้ว่าจะทำงานกับใคร และวางแผนตารางชีวิตของตัวเองได้

✔️ 2. ได้ช่วยเหลือคนจริง ๆ
• ลูกค้าหลายคนไม่เคยคิดเรื่องการวางแผนการเงิน หรือประกันเลย จนกว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดฝัน
• ตัวแทนประกันที่ดีช่วยให้ลูกค้าปกป้องอนาคตตัวเองและครอบครัว
• เมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน คนที่มีประกันจะขอบคุณตัวแทนที่ช่วยเขาตัดสินใจไว้ก่อน

✔️ 3. รายได้เติบโตแบบไม่มีเพดาน
• ไม่มีข้อจำกัดเรื่องเงินเดือน
• ถ้าทำดี สร้างฐานลูกค้า รายได้สามารถเติบโตแบบ passive income จากค่าต่ออายุกรมธรรม์

✔️ 4. ได้เรียนรู้เรื่องการเงินที่นำไปใช้กับชีวิตตัวเองได้
• การเป็นตัวแทนประกันช่วยให้เข้าใจเรื่อง ความเสี่ยง การลงทุน การวางแผนเกษียณ
• เป็นความรู้ที่ไม่ได้ใช้แค่ขายประกัน แต่ใช้บริหารเงินของตัวเองได้ดีขึ้น
📌 สรุป: อาชีพตัวแทนประกัน เหมาะกับใคร?
✅ คนที่อยากมีอิสรภาพในการทำงาน ไม่อยากติดอยู่ในกรอบ 9-5
✅ คนที่อยากมีรายได้ที่เติบโตได้ตามความสามารถ
✅ คนที่อยากช่วยเหลือผู้อื่น และเชื่อว่าการวางแผนการเงินเป็นเรื่องสำคัญ
✅ คนที่อยากพัฒนาตัวเอง ได้เรียนรู้เรื่องการเงิน การขาย การสื่อสาร
💡 อาชีพนี้อาจไม่เหมาะกับทุกคน แต่ถ้าคุณมองหางานที่มีความท้าทาย รายได้เติบโตได้ และช่วยให้คนอื่นมีชีวิตที่มั่นคงขึ้น นี่อาจเป็นอาชีพที่คุณไม่เคยคิดว่าจะเหมาะกับคุณก็ได้ค่ะ 😊✨
ตัวแทนที่อยู่ในอาชีพ ร่วมกันแชร์ประสบการณ์จริงได้นะคะ เผื่อเป็นประโยชน์ให้กับคนที่สนใจและอาจลังเลอยู่
Cr. มาดามฟินนี่ MadamFinney
#มาดามฟินนี่ #ตัวแทนประกัน #ประกัน

06/04/2025

การลดภาษีมรดกมีหลายรูปแบบ การทำประกันชีวิต เพื่อส่งต่อ / สร้างมรดก เป็นแบบทื่ชัดเจน ง่าย และถูกต้องตามกฏหมาย 100%

16/01/2025

บรรลุเป้าหมายเกษียณสบายด้วยการลงทุน 💰♥️

สรุปการลงทุนข้อมูลดีมากๆ ⭐️
01/11/2024

สรุปการลงทุนข้อมูลดีมากๆ ⭐️

สรุปสัมมนาสุดยิ่งใหญ่ Know The Markets Summit 2024 จัดพอร์ตการลงทุนรับเทรนด์โลก พร้อมสร้างผลตอบแทนในทุกสภาวะตลาด - MarketThink

ท่ามกลางประเด็นทางเศรษฐกิจ ที่นักลงทุนจากหลายประเทศทั่วโลกกำลังจับตามอง ไม่ว่าจะเป็น

- ผลการเลือกตั้งในประเทศสหรัฐอเมริกาจะเป็นอย่างไร ?
- การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา จะส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจมากแค่ไหน ?
- เศรษฐกิจประเทศไทยกำลังฟื้นตัวแล้ว จริงหรือไม่ ?
- บทบาทของ AI เข้ามาสร้างเอฟเฟกต์อย่างไรต่อเศรษฐกิจบ้าง ?

และประเด็นอื่น ๆ อีกมากมาย ที่นักลงทุนต่างกังวล และพยายามหาคำตอบให้กับประเด็นเหล่านี้
เพื่อหาช่องทางในการจัดการพอร์ตการลงทุนในอนาคตให้สอดคล้องกับตลาด และสร้างผลตอบแทนอย่างต่อเนื่อง

ซึ่งประเด็นเหล่านี้ จึงเป็นที่มาของงานสัมมนาครั้งยิ่งใหญ่ “Know The Markets Summit 2024 : Shaping the Future”

งานสัมมนาที่เปิดมุมมองการลงทุนในอนาคต พร้อมแนะนำการจัดพอร์ตการลงทุนให้อยู่รอดทุกสภาวะตลาด
ที่เกิดจากความร่วมมือระหว่าง KAsset และพันธมิตร J.P. Morgan Asset Management หรือ JPMAM ผู้นำระดับโลกด้านการจัดการลงทุน

โดยนำเหล่า Speaker ผู้เชี่ยวชาญการลงทุนในด้านต่าง ๆ มาร่วมตอบคำถามในประเด็นที่นักลงทุนทั่วโลกต่างให้ความสนใจ

แล้วภายในงานสัมมนามีประเด็นอะไรที่น่าสนใจ และเป็นแนวทางให้นักลงทุนสามารถจัดสรรพอร์ตการลงทุนในอนาคตได้บ้าง ?
MarketThink สรุปออกมาให้เป็นข้อ ๆ

- เศรษฐกิจในประเทศจีนกำลังเติบโต จากแรงกระตุ้นโดยภาครัฐ

สรุปจากเซสชันของคุณ Tai Hui, Chief Market Strategist, Asia Pacific, J.P. Morgan Asset Management ได้ว่า

เศรษฐกิจในประเทศจีนยังคงมีความเสี่ยงจากภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยังชะลอตัว ทำให้ภาครัฐต้องออกมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติมทั้งในด้านการเงิน การคลัง และสนับสนุนภาคอสังหาริมทรัพย์ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง

และที่น่าสนใจคือ การเลือกลงทุนในประเทศจีน ไม่ใช่เพียงแค่การลงทุนในตลาดหุ้นโดยรวม
แต่ต้องเลือกลงทุนในหุ้น หรือธุรกิจที่เจาะจงเฉพาะส่วน

โดยจะสังเกตได้ว่า เมื่อเกิดวิกฤติขึ้น หุ้นจีนเกือบทั้งตลาดจะได้รับผลกระทบ เว้นแต่หุ้นกลุ่มธนาคาร
และโทรคมนาคม แม้จะได้รับเอฟเฟกต์ แต่ก็ยังคงเติบโตได้ดีอยู่

- เศรษฐกิจในประเทศสหรัฐอเมริกา แม้จะมีแนวโน้มเติบโตช้าลง แต่ยังคงโตเรื่อย ๆ

สรุปจากเซสชันของคุณวิน พรหมแพทย์, CFA ประธานกรรมการบริหาร, KAsset ได้ว่า

เศรษฐกิจในประเทศสหรัฐอเมริกา มีแนวโน้มขยายตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มเป็นขาลง จะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นและตราสารหนี้

เนื่องจากเมื่ออัตราดอกเบี้ยลด ผู้คนจะเคลื่อนย้ายเงินทุนออกจากการฝากธนาคาร มาสู่ตลาดทุนในรูปแบบอื่น ๆ แทน ซึ่งก็หนีไม่พ้นตลาดหุ้น และตราสารหนี้ที่จะได้รับความสนใจมากขึ้นหลังจากมีการลดอัตราดอกเบี้ยลง

ในด้านโอกาสของตลาดเกิดใหม่ คุณวินมองว่าตลาดหุ้นอินเดีย เวียดนาม และไทย ยังคงขยายตัว
และให้ผลตอบแทนดี

โดยมองว่าเศรษฐกิจในประเทศอินเดียมีแรงขับเคลื่อนหลักมาจากการบริโภคในประเทศ จากการเติบโตของประชากรภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น และบริษัทในอินเดียเองก็มีความสามารถในการทำกำไรสูง

ในด้านตลาดหุ้นเวียดนาม ก็ยังคงดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติอย่างต่อเนื่อง สามารถดูได้จากการเติบโตของสินเชื่อธุรกิจ และการบริโภคที่เพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ จะช่วยหนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
และการส่งออกให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง

และสำหรับตลาดหุ้นไทย ยังคงมีมุมมองเชิงบวกจากการประเมินมูลค่าหุ้น ซึ่งอยู่ในระดับที่น่าสนใจเมื่อเทียบกับในอดีต ประกอบกับเม็ดเงินใหม่ ที่จะเข้าสู่ตลาดหุ้นจากการตั้งกองทุนวายุภักษ์

ประกอบกับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่คาดว่าจะฟื้นตัวได้จากการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาล
และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวในช่วงปลายปีซึ่งเป็น High Season

- AI ไม่ใช่ฟองสบู่ แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงสู่อนาคต

สรุปจากเซสชันของคุณ Eric Ghernati, Portfolio Manager, J.P. Morgan US Technology ได้ว่า

โลกของเราจะมีการเกิดนวัตกรรมทางเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในทุก 10 ปี ซึ่งตั้งแต่ปี 2020
การพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Al) เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว สังเกตได้จากความสามารถในการตอบสนองของ AI ที่ใช้ระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี ก็สามารถพัฒนาจนมาเป็นผู้ช่วยในชีวิตประจำวันของเราได้แล้ว
พร้อมทั้งช่วยสร้างผลผลิตให้กับภาคธุรกิจได้รวดเร็วมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนหลายคนยังมีความกังวลว่า วัฏจักรการเติบโตของ GenAI จะเหมือนกับเหตุการณ์ Dot-Com Bubble ซึ่งเป็นวิกฤติที่นักลงทุนต่างให้ความหวังกับหุ้นเทคโนโลยีมากเกินไป จนทำให้ราคาหุ้นพุ่งสูงจนกำไรโตไม่ทัน และสุดท้ายก็จบด้วยฟองสบู่แตก ผลลัพธ์คือตลาดหุ้นตกจากจุดสูงสุด 78%

แต่วัฏจักรการเติบโตของ GenAI มีความแตกต่างจาก Dot-Com Bubble เนื่องจากมีภาวะทางการเงินที่แข็งแกร่งกว่า รวมถึงการเติบโตของ AI ก็เป็นผลมาจากการลงทุนของภาคธุรกิจ ไม่ใช่แค่เพียงความคาดหวังของนักลงทุนเพียงอย่างเดียว

สรุปง่าย ๆ ก็คือ การเติบโตของ AI ไม่ใช่เหตุการณ์ฟองสบู่อย่างที่นักลงทุนหลายท่านกังวล
แต่เป็นการเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยีสู่โลกยุคใหม่ ซึ่งอุตสาหกรรมที่จะเกิดขึ้นใหม่ในอนาคต ต่างต้องนำเงินเข้ามาลงทุนใน AI

- นโยบายการเลือกตั้งในสหรัฐอเมริกา ที่แตกต่างอย่างสุดขั้ว คือตัวชี้ชะตากลุ่มธุรกิจ

สรุปจากเซสชันของคุณ Gabriela Santos, Chief Market Strategist, Americas, JPMAM ได้ว่า

จากพื้นฐานความเหลื่อมล้ำทางความมั่งคั่งและรายได้ที่สูงในสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้พรรคเดโมแครตมีแนวนโยบายที่มุ่งเน้นการจัดเก็บภาษีจากผู้มีรายได้สูงและบริษัทขนาดใหญ่

แต่ในทางกลับกัน พรรครีพับลิกันมีการชูนโยบายลดหย่อนภาษีบุคคล และนิติบุคคล รวมถึงเน้นนโยบายเข้มงวดต่อผู้อพยพ เนื่องจากการอพยพอาจส่งผลให้ชาวอเมริกันสูญเสียโอกาสในการทำงาน

และไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นไร ต่างก็สร้างเอฟเฟกต์ต่อประเทศอื่น ๆ เป็นลูกโซ่ เนื่องจากในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนย้ายเงินทุน การค้าระหว่างประเทศ รวมถึงฐานการผลิต ต่างก็เชื่อมโยงกันเป็นทอด ๆ

- การเพิ่มสินทรัพย์ทางเลือก จะช่วยลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุนได้

สรุปจากเซสชันของคุณ Kerry Craig, Global Market Strategist, JPMAM ได้ว่า

การเพิ่มสินทรัพย์ทางเลือก เข้ามาในพอร์ตการลงทุนเดิมที่มีเพียงหุ้น 60% เช่น

- Real Estate (อสังหาริมทรัพย์)
- Private Markets (การลงทุนในสินทรัพย์ที่ไม่ได้จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์)
- Infrastructure (การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบขนส่งทางราง, ประปา, ไฟฟ้า, ถนน, สนามบิน)
- Hedge Funds (กองทุนที่ลงทุนในสินทรัพย์หรือหลักทรัพย์ที่หลากหลาย)

และเพิ่มตราสารหนี้อีก 40% จะสามารถช่วยลดความผันผวน และเพิ่มผลตอบแทนให้กับพอร์ตการลงทุนได้

- การลงทุนใน AI แม้ว่าจะแข็งแกร่ง แต่ก็ใช่ว่าจะสร้างผลตอบแทนเสมอไป

สรุปจากเซสชันของคุณ Leon Goldfeld, Head of Multi-Asset Solutions, Asia-Pacific ได้ว่า
แน่นอนว่าการมาของ AI สามารถช่วยเหลือในการทำงานและสร้างรายได้ให้กับหลายอุตสาหกรรม แต่การลงทุนใน AI ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสร้างผลตอบแทนได้เพียงอย่างเดียว
หากเราลองสังเกตดูให้ดี จะพบว่าผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จากบทบาทของ AI จริง ๆ แล้วคือธุรกิจที่ดำเนินการเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานของ AI เช่น NVIDIA ซึ่งเป็นบริษัทผลิตชิปสำหรับ Generative AI
หรือธุรกิจที่พัฒนาผลิตภัณฑ์จาก AI เพื่อขายให้กับผู้ใช้งานทั่วไปโดยตรง เช่น บริษัทผลิตคอมพิวเตอร์อย่าง Intel, Dell เป็นต้น
ต่อมาคือ เรื่องปัญหาทางภูมิรัฐศาสตร์ ปัญหาสำคัญที่ส่งผลต่อการค้าระหว่างประเทศ
ซึ่งส่วนใหญ่มักสร้างผลกระทบในระยะสั้น และทุกอย่างจะค่อย ๆ ปรับตัวเข้าสู่ภาวะปกติในแบบที่ควรจะเป็น
เพราะฉะนั้นยังไม่มีประเด็นอะไรที่น่ากังวลมากนัก

ประเด็นสุดท้ายที่น่าสนใจคือ แนวโน้มเงินเฟ้อของสหรัฐอเมริกาที่ลดลง ทำให้การจัดพอร์ตการลงทุนที่มีทั้งหุ้นและตราสารหนี้ช่วยลดความเสี่ยงได้ดียิ่งขึ้น และหากลงทุนในระยะยาวจะช่วยลดความผันผวน และลดโอกาสในการขาดทุนได้

เพราะเราไม่สามารถคาดเดาได้ว่า การเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจในอนาคต จะกระทบต่อภาคส่วนไหนบ้าง เพราะฉะนั้นควรกระจายความเสี่ยงไว้ในหลายสินทรัพย์ดีกว่า

- สรุปวิธีจัดพอร์ตด้วยกลยุทธ์ Core-Satellite เพิ่มโอกาสทำกำไรในอนาคต

สรุปจากเซสชันของคุณวจนะ วงศ์ศุภสวัสดิ์, Chief Investment Officer, KAsset ได้ว่า

ตลาดหุ้นในปีที่ผ่านมามีการเติบโตแบบกระจายตัวมากขึ้น ไม่ค่อยเติบโตแบบกระจุกตัว หรือเติบโตจากแรงบวกของหุ้นหลักในตลาดหุ้นเพียงไม่กี่ตัว

ซึ่งการเติบโตแบบกระจายตัว ส่งผลให้นักลงทุนสามารถหาโอกาสในการลงทุนได้มากขึ้น

โดยมองว่าอุตสาหกรรม Healthcare และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคในครัวเรือน
มีแนวโน้มจะเป็นเทรนด์การเติบโตในอนาคต

โดยสรุป ณ สถานการณ์ของเศรษฐกิจตอนนี้ยังไม่มีความน่ากังวลเกิดขึ้น และจะมีความชัดเจนมากขึ้น
หลังจากการเลือกตั้งในประเทศสหรัฐอเมริกา หลังจากนั้นจึงค่อยมาดูมาตรการภาครัฐเป็นข้อ ๆ
ว่าจะส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจส่วนไหน อย่างไรบ้าง

แต่อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนของการเลือกตั้งในประเทศสหรัฐอเมริกา และความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ หรือก็คือปัญหาการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนที่ยังมีอยู่ จึงแนะนำให้จัดพอร์ตการลงทุนด้วยกลยุทธ์แบบ Core-Satellite

อธิบายง่าย ๆ ก็คือ

1. Core Portfolio 80% สินทรัพย์ที่มีความผันผวนต่ำ
เน้นลงทุนระยะยาวแบบ Asset Allocation หรือก็คือการกระจายการลงทุนในพอร์ตไปในหลายสินทรัพย์
โดยแนะนำกองทุน K-WealthPLUS Series ที่กระจายการลงทุนทั้งตราสารหนี้ หุ้น และสินทรัพย์ทางเลือก
โดยมีให้เลือกตามความเสี่ยงที่แตกต่างกัน

- K-WPBALANCED มีความเสี่ยงน้อย มีสัดส่วนหุ้นประมาณ 30%

- K-WPSPEEDUP มีความเสี่ยงปานกลาง มีสัดส่วนหุ้นประมาณ 65%

- K-WPULTIMATE มีความเสี่ยงปานกลางถึงสูง มีสัดส่วนหุ้นทั่วโลกประมาณ 85%

2. Satellite Portfolio 20% สินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูง
เน้นลงทุนระยะสั้นแบบจับจังหวะตลาด (Market Timing)

ซึ่งกลยุทธ์การจัดพอร์ตลงทุนแบบ Core-Satellite จะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไร ผ่านการลงทุนในธีมวัฏจักรดอกเบี้ยขาลง เศรษฐกิจยืดหยุ่นสูง กำไรยังคงเติบโต และโอกาสการเติบโตของตลาดเกิดใหม่

โดยแนะนำกองทุนที่น่าสนใจคือ

- K-FIXEDPLUS ลงทุนตราสารหนี้ภาครัฐ และภาคเอกชน รวมถึงเงินฝากทั้งในประเทศและต่างประเทศ

- K-GSELECT ลงทุนหุ้นทั่วโลก โอกาสสร้างผลตอบแทนโดดเด่นได้ทุกช่วงเวลา

- K-INDIA ลงทุนหุ้นอินเดียคุณภาพดี โอกาสเติบโตสูง

- K-VIETNAM ลงทุนตรงในหุ้นเวียดนาม ที่ได้ผลประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจของเวียดนาม

- K-STAR ลงทุนในหุ้นไทยที่มีศักยภาพการเติบโตในระยะยาว

- K-PROPI ลงทุนในหลักทรัพย์หรือตราสารทั้งในประเทศและต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ หรือกลุ่มกิจการโครงสร้างพื้นฐาน

เพิ่มเติม https://www.kasikornbank.com/k_40jE20I

คำเตือน :
- โฆษณาของ บลจ.กสิกรไทย นี้อาจอ้างอิงข้อมูลที่ J.P. Morgan Asset Management เผยแพร่โดยทั่วไป มิได้จัดทำขึ้นเป็นการเฉพาะ หรือเป็นการให้คำแนะนำการลงทุน
- ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน ข้อมูลเพิ่มเติม www.kasikornasset.com

ขอบคุณบทความดีๆค่ะ
14/10/2024

ขอบคุณบทความดีๆค่ะ

[ ] นี่คือ 6 นิสัยคนที่มั่งคั่ง เรียนรู้จากการสัมภาษณ์เศรษฐี 233 คน ยาวนานกว่า 5 ปี
💰 ‘ความมั่งคั่งไม่ใช่เรื่องของโชคชะตา’
กว่าใครสักคนจะร่ำรวยเป็นเศรษฐีมีเงินหลักล้านเหรียญต้องอาศัยการทำงานหนัก ความกล้า และกรอบความคิดแห่งที่พร้อมจะเรียนรู้เติบโต
นั่นคือบทเรียนที่ ทอม คอร์ลี (Tom Corley) เรียนรู้หลังจากสัมภาษณ์เศรษฐีเงินล้านกว่า 233 คน ยาวนานกว่า 5 ปี ซึ่งคนที่เขาสัมภาษณ์ส่วนใหญ่สร้างฐานะและความมั่งคั่งด้วยตัวเองทั้งสิ้น
จากข้อมูลที่เก็บรวบรวมมา เขานำมาสรุปเป็นหลักการ 6 ข้อที่คนเหล่านี้มีร่วมกัน เป็นนิสัยติดตัวที่ช่วยทำให้ประสบความสำเร็จได้ และที่สำคัญคือเราทุกคนสามารถนำมาปรับใช้เพื่อเป็นเข็มทิศนำไปสู่เส้นทางความสำเร็จของตัวเองได้ด้วยเช่นกัน
📚1. เรียนรู้อย่างสม่ำเสมอ

เศรษฐีที่คอร์ลีได้สัมภาษณ์นั้นสิ่งแรกเลยที่ทุกคนมีเหมือนกันคือการให้ความสำคัญกับการเรียนรู้และพัฒนาตัวเองอย่างสม่ำเสมอ
49% บอกว่าพวกเขาใช้เวลาสองสามนาทีต่อวันเพื่อจะเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ๆ
61% บอกว่าพวกเขาใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 ชั่วโมงต่อวันในการเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นงานอดิเรกหรือการเรียนออนไลน์ต่างๆ
63% บอกว่าระหว่างที่เดินทางไปทำงานนั้นจะฟังพวกหนังสือเสียงอย่างสม่ำเสมอ
71% บอกว่ามักจะอ่านหนังสือพัฒนาตัวเอง และเป็นเรื่องราวหรือประวัติของบุคคลที่ประสบความสำเร็จที่พวกเขาชื่นชอบ
👂2. ฟังมากกว่าพูด
กลยุทธ์หนึ่งที่คอร์ลีได้ยินเศรษฐีหลายๆ คนมักพูดถึงระหว่างสัมภาษณ์คือ “กฎการฟังแบบ 5:1”
ซึ่งกฎจะถูกนำมาใช้เมื่ออยู่ในวงสนทนากับคนอื่นๆ เมื่อเศรษฐีพูด 1 นาที พวกเขาจะฟัง 5 นาที ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ได้วัดกันแบบเป๊ะๆ แต่มันคือแนวทางสำหรับการวางตัวเมื่ออยู่ในวงสนทนา ฟังให้มากกว่าพูด เพราะการรับฟังแบบนี้จะช่วยทำให้ความสัมพันธ์กับคนอื่นแน่นแฟ้นมากขึ้น เข้าใจปัญหาหรือสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นด้วยนั่นเอง
81% บอกว่าพวกเขาจะติดตามฟีดแบ็กจากคนอื่นๆ ทุกวันด้วย ทั้งในที่ทำงานและคนรอบตัว
🤝3. สร้างทีมที่ดี
จากข้อมูลที่คอร์ลีเก็บมาตลอด 5 ปีนั้นพบว่า 86% ของเศรษฐีที่สามารถสร้างความมั่งคั่งได้ด้วยตัวทำงานสัปดาห์หนึ่งราวๆ 50 ชั่วโมง แต่พวกเขาไม่ได้ทำงานคนเดียว ส่วนใหญ่ประสบความสำเร็จเพราะว่าโฟกัสไปที่จุดแข็งของตัวเองและส่วนที่ทำได้ไม่ดีนักหรือต้องการคนช่วย ก็พยายามส่งงานเหล่านั้นออกไปให้คนอื่นทำ
ถ้ารู้ว่าทักษะไหนที่ทำได้ไม่ดี แต่เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้ไปให้ถึงเป้าหมาย (อย่างเช่นสมมุติว่าอยากเขียนแอปฯสมาร์ตโฟน แต่ไม่รู้วิธีเขียนโค้ด ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็น) ก็ย้ายงานตรงนี้ออกไปให้คนที่มีความเชี่ยวชาญทำจะดีกว่า แล้วเราก็ไปทำอย่างอื่นที่ถนัด โฟกัสทั้งเวลาและพลังงานเพื่อจะทำงานนั้นให้ออกมาดีที่สุดจะดีกว่า
💭4. มีความฝันที่ใหญ่
อีกกลยุทธ์หนึ่งที่คนร่ำรวยใช้กันคือ “Dream-Setting” ซึ่งเป็นการใช้เวลากับตัวเอง แล้วจินตนาการและเขียนออกมาว่าชีวิตที่ ‘สมบูรณ์แบบ’ ในอีก 10 ปีข้างหน้าว่าจะเป็นยังไง จะไปอยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่
หนึ่งในเศรษฐีที่คอร์ลีไปสัมภาษณ์มีความหลงใหลในเรื่องไวน์และคิดว่าสามารถสร้างรายได้จากสิ่งที่เขาชื่นชอบตรงนี้ได้ เพียงแต่ไม่มีใครเชื่อว่ามันจะเป็นไปได้ แม้แต่ครอบครัวและเพื่อนสนิทของเขาก็ตาม แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกไขว้เขวจากสิ่งที่อยากจะทำเลย
ตลอด 15 ปีต่อมา เขาพยายามเรียนรู้เกี่ยวกับไวน์ให้มากขึ้น กลายเป็นนักสะสมไวน์ตัวยง และเป็นผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมที่มีแต่คนมาขอคำแนะนำ เขาสร้างรายได้มากกว่า 4 ล้านเหรียญ (ประมาณ 140 ล้านบาท) และตอนที่ซื้อบ้านในฝันบนหาดในรัฐฟลอริดา เขาก็ใช้เงินจากการขายไวน์ที่สะสมมาบางส่วนเพื่อซื้อด้วย
ทุกอย่างเกิดขึ้นได้เพราะเขาไม่ยกธงขาวกับความฝันของตัวเอง แม้มันจะดูใหญ่ แต่เขาก็เชื่อว่ามันจะเป็นไปได้
🏃‍♂️5. ให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพ
ไม่ว่าจะร่ำรวยแค่ไหน ถ้าสุขภาพคุณไม่ดี นอนอยู่โรงพยาบาลมากกว่าเตียงที่บ้าน เงินหามาเท่าไหร่ก็ไม่มีประโยชน์เลย
สุขภาพที่ดีทำให้เรามีชีวิตอยู่นานมากขึ้น นั่นหมายความว่าคุณจะมีเวลามากขึ้นในการสะสมความมั่งคั่งให้กับตัวเองด้วย
⏳ แม้แต่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) ยังบอกเลยว่า เพื่อนที่ดีที่สุดของนักลงทุนคือดอกเบี้ยทบต้นซึ่งเหมือนกับการสร้างความมั่งคั่งจากการกลิ้งลูกบอลหิมะ (Snowball) ลงเนินแล้วก้อนมันก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
“เริ่มให้เร็ว” บัฟเฟตต์บอก “ผมเริ่มสร้างก้อนหิมะบนยอดเขาที่เนินเขาทอดยาวมาก ๆ เคล็ดลับของการมีเนินเขาที่ยาวคือถ้าไม่เริ่มให้เร็วก็ต้องมีชีวิตอยู่จนแก่มาก ๆ นั่นแหละ”
เพราะฉะนั้นถ้าอยากมีความมั่งคั่งก็ต้องดูแลเรื่องสุขภาพและมีชีวิตอยู่นานๆ ด้วย
หนึ่งในคนที่คอร์ลีสัมภาษณ์เล่าให้เขาฟังว่าก่อนหน้านี้เธอน้ำหนักตัวเยอะมาก จนวันหนึ่งก็เริ่มเดินออกกำลังกาย วันแรกก็ระยะทางสั้นๆ แล้วก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนวันหนึ่งก็สามารถวิ่งมาราธอนได้ เธอบอกว่าความสำเร็จในชีวิตนั้นส่วนหนึ่งก็มาจากสุขภาพที่ดีขึ้นของเธอด้วย เพราะเธอรู้สึกมีพลังในแต่ละวันและสามารถโฟกัสได้ดีมากขึ้นด้วย
🍀6. สร้างโชคขึ้นมาด้วยตัวเอง
‘โชค’ สำหรับคอร์ลี ไม่ได้หมายถึงโชคที่มาจากการไปซื้อลอตเตอรี่หรือเล่นการพนันอะไรแบบนั้นนะครับ เพราะ 94% ของเศรษฐีที่เขาไปสัมภาษณ์ไม่เคยเล่นการพนันเลย (นั่นก็เป็นหลักการหนึ่งที่ควรทำตามนะครับ)
ในบริบทนี้ ‘โชค’ ไม่ใช่สิ่งที่แค่เหตุบังเอิญที่เกิดขึ้นลอยๆ แต่เป็นการกล้าที่จะลองเสี่ยงในโอกาสใหม่ๆ เศรษฐีหลายคนสามารถหาทางออกที่สร้างสรรค์กับปัญหาต่าง หาทางแก้เพื่อไปสู่ความสำเร็จ เห็นโอกาสในขณะที่คนอื่นรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ และแน่นอนความอดทนก็ทำให้เกิดโอกาสใหม่ๆตามมาด้วย
คอร์ลีบอกว่า “สุดท้ายโชคจะมาเยือนผู้ที่ไม่ยอมละทิ้งความฝันและเป้าหมายของตนเอง”
==========================
อย่าพลาดโอกาสที่จะเปลี่ยนชีวิตของคุณให้ดีขึ้น!
เตรียมพบกับ Make Rich Expo มหกรรมการลงทุนแห่งชาติ ที่จะพาคุณก้าวเข้าสู่โลกของการลงทุนที่ทันสมัยและเข้าใจง่ายกว่าที่เคย! ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หัดลงทุน หรือผู้ที่มีประสบการณ์ เรามีทุกสิ่งที่คุณต้องการเพื่อสร้างความมั่งคั่งในอนาคต
เข้าร่วมงานฟรี!!
ลงทะเบียนในคอมเมนต์
แล้วพบกันวันที่ 2 - 3 November 2024 เวลา 10.00 - 19.00 น. ณ Paragon Hall ชั้น 5 ศูนย์การค้า Siam Paragon
========================

ที่อยู่

24 Serithai
Bangkok
10230

เวลาทำการ

จันทร์ 08:00 - 21:00
อังคาร 08:00 - 21:00
พุธ 08:00 - 21:00
พฤหัสบดี 08:00 - 21:00
ศุกร์ 08:00 - 21:00
เสาร์ 09:00 - 17:00
อาทิตย์ 09:00 - 17:00

เบอร์โทรศัพท์

+66922539039

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Keyman Insurance บริหาร วางแผนภาษีบริษัทผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง Keyman Insurance บริหาร วางแผนภาษีบริษัท:

แชร์