ร้านหนังสือคุณfranky

ร้านหนังสือคุณfranky ขายหนังสือจ้า

หนึ่งในร้อยหนังสือที่ควรอ่านสักครั้ง
28/08/2025

หนึ่งในร้อยหนังสือที่ควรอ่านสักครั้ง

✍️✍️ครบรอบ 80 ปี วรรณกรรมการเมืองสุดคลาสสิก ที่เสียดสีสังคมและอำนาจได้อย่างเฉียบคม 📖✨
🐖🐖 Animal Farm 🐖🐖
เป็นหนึ่งในผลงานอมตะของจอร์จ ออร์เวลล์ (George Orwell ) ที่เสียดสีถึงความไม่เท่าเทียมในสังคมผ่านเรื่องราวของสัตว์ในไร่ที่ลุกขึ้นมาต่อต้านการปกครองที่ทารุณของมนุษย์ เรื่องราวถูกเล่าอย่างเฉียบคมและสะท้อนถึงอำนาจ การเมือง และความเปลี่ยนแปลงในสังคม ผ่านแง่มุมที่ทั้งหนักหน่วงและเรียบง่าย เป็นวรรณกรรมที่ไม่เพียงแต่บันเทิง แต่ยังให้ข้อคิดลึกซึ้งเกี่ยวกับธรรมชาติของอำนาจและความเสรีภาพ
เป็นวรรณกรรมที่ได้รับรางวัลมากมาย
• ผลงานคลาสสิกที่ได้รับยกย่องจากนิตยสารไทมส์ให้เป็นหนึ่งใน 100 นวนิยายภาษาอังกฤษที่ดีที่สุดของโลก
• ชนะรางวัล Retrospective Hugo Award ในปี 1996
• ได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งใน 100 หนังสือนวนิยายภาษาอังกฤษที่ดีที่สุดในช่วงปี 1923 ถึง 2005 โดยนิตยสาร TIME
• ได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งใน 100 หนังสือนวนิยายที่ดีที่สุด โดย Modern Library
• ได้รับรางวัล The Big Read จาก BBC ซึ่งเป็นการสำรวจรายชื่อหนังสือที่ดีที่สุดตลอดกาลของอังกฤษ

📣 โปรโมชั่นพิเศษ 140 บาท
🚗 ส่งฟรี มีปลายทาง +20
👇 สนใจสั่งซื้อ ทักแชทเลยนะคะ

#แอนิมอลฟาร์ม #การเมือง #การปกครอง #วรรณกรรมเยาวชน #วรรณกรรมคลาสสิก #วรรณกรรมการเมือง #หนังสือห้ามพลาด #นักอ่านไทย #หนังสือแนะนำ

ข้อกฎหมาย แง่คิดและอื่นๆ ถือว่าสมบูรณ์แบบแล้ว ตามนั้นครับ
21/08/2025

ข้อกฎหมาย แง่คิดและอื่นๆ ถือว่าสมบูรณ์แบบแล้ว ตามนั้นครับ

เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา คดีลิขสิทธิ์ “หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว” ที่มีการต่อสู้ในชั้นศาลมานาน 5 ปี ได้สิ้นสุดลงแล้วครับ

และผลวินิจฉัยตามคำสั่งศาลฎีกาให้มีการยกฟ้อง "สำนักพิมพ์สามัญชน" กรณีพิมพ์จำหน่ายฉบับแปลไทยสำนวน “ปณิธาน–ร.จันเสน” แม้ว่า "สำนักพิมพ์บทจร" จะได้รับลิขสิทธิ์มาจากทายาทของกาเบรียล การ์เซีย มาร์เกซ มาอย่างถูกต้องแล้วก็ตาม

เรื่องนี้มีรายละเอียดซับซ้อน ผูกพันกับกฎหมายหลายฉบับ และมีประเด็นเรื่อง "ระยะเวลา" เป็นสำคัญ

ผมเลยขอมาเขียนสรุปให้นักอ่านทุกคนเข้าใจกันโดยง่ายว่า
เพราะอะไรศาลถึงยกฟ้อง
ลิขสิทธิ์หนังสือเล่มนี้เป็นของใครกันแน่
แล้วอนุสัญญากรุงเบิร์นมันคืออะไร

โพสต์นี้มีคำตอบครับ
------
1.
"หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว” (One Hundred Years of Solitude) เป็นผลงานเขียนขึ้นหิ้งของกาเบรียล การ์เซีย มาร์เกซ หรือในกลุ่มนักอ่านเรียกว่า "กาโบ" ซึ่งส่งผลให้เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมในภายหลัง

สำหรับใครที่ไม่เคยอ่าน นี่เป็นวรรณกรรมคลาสสิกที่เล่าเรื่องของตระกูลบูเอนเดียที่ก่อตั้งหมู่บ้านสมมติชื่อ มากอนโด ผ่านเจ็ดชั่วอายุคน

เรื่องเต็มไปด้วยเหตุการณ์เหนือจริงและเหลือเชื่อ—ฝนที่ตกไม่หยุดหลายปี คนลอยขึ้นฟ้า ความตายที่กลับมาเดินในบ้าน

ซึ่งเรื่องราวการก่อเกิดและล่มสลายของครอบครัวหนึ่งที่สะท้อนชะตากรรมของทั้งทวีปละตินอเมริกา ทำไมวรรณกรรมเล่มนี้ทรงคุณค่ามาก
2.
"หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว” ตีพิมพ์ครั้งแรกในประเทศไทยในปี พ.ศ. 2529 โดยสำนักพิมพ์วลี เป็นสำนวนแปลโดย ปณิธาน–ร. จันเสน ซึ่งแปลมาจากต้นฉบับภาษาอังกฤษ ไม่ใช่ต้นฉบับภาษาสเปน

ต่อมาสำนักพิมพ์สามัญชนนำมาตีพิมพ์ต่อเนื่องและจัดจำหน่ายจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าจะถูกฟ้องละเมิดลิขสิทธิ์ก็ตาม
3.
ตอนนั้นไทยยังใช้ พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ 2521 (กฎหมายคุ้มครองลิขสิทธิ์รุ่นแรกของไทย) ซึ่งยัง ไม่ได้เข้มงวดหรือผูกพันกับอนุสัญญากรุงเบิร์นเต็มรูปแบบ
นั่นหมายความว่า "สิทธิ์แปล" ของผู้ประพันธ์ต่างชาติ ไม่ได้รับการคุ้มครองเต็มที่ในไทย

หลังจากไทยออก พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ 2537 และเข้าเป็นภาคี อนุสัญญากรุงเบิร์น → สิทธิ์แปลของผู้ประพันธ์ต่างชาติได้รับความคุ้มครองตลอดอายุการคุ้มครอง (ชีวิตผู้ประพันธ์ + 50 ปี)
4.
ราวปี พ.ศ. 2559 สำนักพิมพ์บทจรได้รับสิทธิ์แปล หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว จากทายาทของ มาร์เกซ และตีพิมพ์ฉบับแปลจากภาษาสเปนโดย ชนฤดี ปลื้มปวารณ์

หลังจากนั้น ในวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2564
ทายาทมาร์เกซ (โจทก์ที่ 1) ได้มอบอำนาจให้สำนักพิมพ์บทจร (โจทก์ที่ 2) จึงยื่นฟ้องต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางต่อ สำนักพิมพ์สามัญชน (จำเลย)

กรณีจำหน่ายฉบับแปลไทยสำนวน “ปณิธาน–ร.จันเสน
5.
ข้อสู่ในคดีหลักสำคัญในการสู้กันก็คือการพิจารณาว่า ฉบับแปล “ปณิธาน–ร.จันเสน” ละเมิดลิขสิทธิ์ของปู่มาร์เกซไหม

คำร้องของบทจรคือ สำนวนของปณิธาน-ร.จันเสนที่ถูกตีพิมพ์ ละเมิดลิขสิทธิ์ของมาร์เกซ (ต้นฉบับสเปน)

ส่วนข้อต่อสู้ของจำเลยคือ สำนวนของปณิธาน-ร.จันเสน แปลจากต้นฉบับภาษาอังกฤษของเกรกอรี ลาบัสซา มันคนละฉบับกัน

10 พ.ย. 2565 — ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งยกฟ้อง โดยอธิบายว่า เมื่อไม่มีฉบับแปลไทยที่ได้รับอนุญาตภายใน 10 ปี “สิทธิแปลแต่ผู้เดียว” ของผู้ประพันธ์ ระงับไป

ฉบับเก่าที่พิมพ์และจำหน่ายโดยสามัญชนจึง ไม่เป็นการละเมิด อีกทั้งศาลรับรองว่าผู้แปลไทยสำนวน “ปณิธาน–ร.จันเสน” เป็นผู้สร้างสรรค์มีลิขสิทธิ์ในงานแปลของตนด้วย (แยกจากสิทธิของผู้ประพันธ์เดิม)

ทั้งนี้ศาลได้มีการอ้างอิง “สิทธิแปลเฉพาะภาษา” ผู้ประพันธ์/เจ้าของสิทธิ ไม่จัดทำหรืออนุญาตฉบับแปลภาษาไทยภายใน 10 ปี นับแต่พิมพ์ครั้งแรก สิทธิแปล 'เฉพาะภาษาไทย' นั้นย่อมหมดไป
6.
ความซับซ้อนมันอยู่ตรงนี้
ปกติแล้ว ลิขสิทธิ์ต้นฉบับ กับ ลิขสิทธิ์สำนวนแปล นั้นแยกขาดออกจากกัน
เวลาเราจะพิมพ์หนังสือแปลสักเล่ม ต้องขอทั้งลิขสิทธิ์ต้นฉบับ และลิขสิทธิ์สำนวนแปล

"หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว” ฉบับ ปณิธาน-ร.จันเสน แปลจากต้นฉบับภาษาอังกฤษ ไม่ใช่สเปน มันจึงไม่เหมือนจากสเปนแปลเป็นไทย การคุ้มครองลิขสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวจึงแยกจากกัน (เพราะไม่เคยมีการแปลฉบับภาษาสเปนมาเป็นภาษาไทย)

สเปน > ไทย ไม่เท่ากับ สเปน > อังกฤษ > ไทย

และมาร์เกซไม่ใช่จำนวนของต้นฉบับภาษาอังกฤษ
ศาลจึงมองว่ามันเป็นต้นฉบับคนละฉบับกัน
และโจทย์ไม่มีสิทธิ์ฟ้องร้อง ในกรณีนี้

สำนักพิมพ์บทจรอุทธรณ์และฎีกาต่อไป
และศาลฎีกาได้มีการออกคำสั่งยกฟ้องตามศาลชั้นต้น เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมานี้เอง

ทำให้คดีถึงที่สุด (และ (คู่ความทั้งสองโพสต์ยืนยัน)
7.
ประเทศไทยได้ออก พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ ฉบับใหม่ปี พ.ศ. 2537 ซึ่งผูกพันตรงกับอนุสัญญากรุงเบิร์นแล้ว

โดยอนุสัญญากรุงเบิร์น (Berne Convention) มาตรา 8 รับรอง “สิทธิ์แต่ผู้เดียวในการแปล” แก่ผู้ประพันธ์ ตลอดอายุคุ้มครอง

และสำหรับประเทศไทย อายุการคุ้มครองคือ = ชีวิตผู้ประพันธ์ + 50 ปี
(ซึ่งก่อนหน้านี้ประเทศไทยคุ้มครองแค่ 10 ปี นับตั้งแต่มีการตีพิมพ์ครั้งแรก)

ซึ่งปู่มาร์เกซเสียชีวิตในปี พ.ศ. 2557 ซึ่งหมายความว่าลิขสิทธิ์งานเขียนของมาร์เกซจะกลายเป็นสาธารณะในปี พ.ศ. 2607

ถึงกระนั้น แม้ว่าสำนวนแปลของ ปณิธาน-ร.จันเสน จะแปลจากฉบับภาษาสเปน ก็อาจไม่ละเมิดเช่นกัน หากอิงตามคำพิพากษาคดีอกาธา คริสตี

และถ้าว่าตามหลักกฎหมายไม่มีผลย้อนหลังในทางโทษ พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ฉบับนี้จึงไม่ผูกพันกับ "หนึ่งร้อยปีฯ" ของปณิธาน-ร.จันเสน ที่พิมพ์ก่อนปี 2537
8.
สรุปคือ "หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว" ของสำนักพิมพ์สามัญชน ฉบับปณิธาน-ร.จันเสนนั้น ไม่ได้ละเมิดลิขสิทธิ์ครับ

เพราะแปลจากต้นฉบับคนละฉบับ

โจทย์ ซึ่งคือ ทายาทมาเกซ ไม่ได้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์สำนวนแปลภาษาอังกฤษของลาบัสซา จึงไม่มีสิทธิ์ฟ้องร้อง เพราะจำเลยแปลจากสำนวนอังกฤษ มิใช่ สำนวนสเปนของโจทย์

นอกจากนี้ สำนวนแปลเดิมยังยึกตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์เก่า (กฎ 10 ปี นับแต่พิมพ์แรก ถ้านักเขียนไม่มอบสิทธิ์ให้ใครมาแปลพิมพ์ภายในเวลา ถือว่าเสียสิทธิ์) ไม่ได้ยึด พ.ร.บ.2537 ที่คุ้มครองลิขสิทธิ์ตาม อายุผู้เขียน+50 ปี

และศาลก็พิจารณาอย่างถูกต้องครบกระบวนความแล้ว
9.
แต่ถ้าถามว่าควรถูกนำมาตีพิมพ์และจัดจำหน่ายต่อไปหรือไม่ ผมมองว่าไม่สมควร ตามกฎหมายอาจจะทำได้ แต่ตามมารยาทแล้ว ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง

เมื่อมีสำนักพิมพ์ในไทยได้รับลิขสิทธิ์มาจากทายาทผู้เขียนโดยตรง สำนักพิมพ์สามัญชนควรยุติการจัดจำหน่ายหนังสือเล่มนี้ในทันที หากเคารพในตัว "กาโบ" และเคารพใน "ผลงาน" ชิ้นนี้จริง ๆ

อีกอย่างทางสำนักพิมพ์เองก็ได้รับประโยชน์จากการจัดจำหน่ายหนังสือเล่มนี้เป็นเป็นระยะเวลาหลายทศวรรษแล้ว โดยไม่เสียค่าลิขสิทธิ์แต่อย่างใด ก็น่าจะพอใจได้

(ไม่เกี่ยวกับว่างานแปลนั้นจะดีกว่า/ไม่ดีกว่า เป้นงานแปลแท้จริง/ไม่แท้จริง แต่อย่างใด)
และถ้าหากนักอ่านท่านใดอย่างลองอ่านวรรณกรรมเล่มนี้ ก็ขอให้อ่านจากฉบับสำนักพิมพ์บทจร ที่ได้รับสิทธิ์มาจากทายาทมาร์เกซโดยตรง จะเป็นการเคารพต่อตัวผู้เขียนมากกว่า

หรือถ้าใครขี้เกียจอ่านหนังสือเล่มหนา
วรรณกรรมเรื่องนี้มีการดัดแปลงเป็นฉบับภาพยนตร์
ตามไปดูได้ใน Netflix ครับ

** ขอ mention ไว้เล็กน้อยครับ
คำสั่งของศาลของคดีนี้ยังมิได้มีการเผยแพร่ ผมเรียบเรียงจากข่าวสารที่ทางสองสำนักพิมพ์ทั้งโจทย์และจำเลยอัพเดตและลงข้อมูลเอาไว้ครับ

อ่านครับ
30/07/2025

อ่านครับ

รู้รึยังว่า...“ทหารมีไว้ทำไม?”

1) ในช่วงเวลาสงคราม #ไทยกัมพูชา ทำให้ผมเจอคำถามนี้บนเพจทุกวัน จากกลุ่มคนรักชาติ ในระดับ 'คลั่งชาติ' ที่ไม่สามารถแยกแยะถูกผิด บทบาทหน้าที่ และเข้าใจความจริงที่ประเทศควรเป็น

2) คุณจะเห็นว่าทหารทำงานได้ดีของเขาอยู่แล้ว ไม่เกี่ยวว่านายกรัฐมนตรีต้องมาจากทหาร นั่นหมายความว่า "ทหารอาชีพ" ของไทย เป็นทหารที่มีความตั้งใจทำงานปกป้องประเทศ และรักษาอธิปไตย นี่คือ put the right man on the right job "ทุกคนจะมีความเก่ง และความสามารถในทางของตัวเอง และไม่จำเป็นต้องเอาทหารมาทำทุกอย่างในประเทศ ควรให้พวกเขาไปทำสิ่งที่พวกเขาเก่งคือการรบ และการปกป้องอธิปไตย"

3) เวลาที่คุณหวั่นไหวกับศึกสงคราม และจิตใจไม่มั่นคง ทำให้คุณรู้สึกว่า บทบาทของทหารที่เป็นผู้นำในเวลาทำให้คุณรู้สึกโหยหาการปกครองโดยทหาร แต่จริงๆ มันไม่จำเป็น เพราะทหารไม่ใช่นักปกครองประเทศ พวกเขามีภาระของพวกเขาอันหนักอึ้ง และเหมาะสมอยู่แล้ว คุณแค่กำลังสับสนบทบาทหน้าที่ เพราะ "ความอินในสงคราม" จนทำให้ระบบความคิดของคุณถูกลบเลือนด้วยภาพของสงครามตรงหน้าที่สำคัญสำหรับคุณมาก จนความเข้าใจ ความเชื่อ และความคิดที่มาจากข้อมูลในช่วงนี้ มีผลต่อจิตใจของคุณ จิตวิทยาโน้มน้าวใจที่มาจากข้อมูลข่าวสารอันเคลือบแฝงด้วยอารมณ์ และความเป็นชาตินิยม สามารถชักจูงคุณได้เสมอ

4) คุณแค่ดันซวยไปนิดหนึ่ง ตรงที่ในเวลานี้ แทนที่รัฐบาลจะลุกขึ้นนำทหาร ในบทบาทของการสื่อสารต่อคนไทย ส่งสารต่อทั่วโลก และการเจรจาระหว่างประเทศที่แข็งแรง กลับ "ด้อยกว่า" บทบาทของทหาร มันจึงทำให้คุณมองว่าความด้อยกว่าของรัฐบาลพลเรือนเป็นปัญหา ที่ทำให้อยากได้ทหารลุกขึ้นมาปกครองประเทศ

5) ถ้าคุณพอจำ "นาฬิกาหรูหลายเรือนที่ยืมเพื่อนมา" ของรัฐมนตรีสายทหารท่านหนึ่ง หรือกิจการสนามกอล์ฟ และสนามมวย ในรั้วทหาร ไปจนถึงงบประมาณทหารที่สูงถึงปีละ 200,000 ล้านบาท แต่ทหารชั้นผู้น้อยยังมีคุณภาพชีวิตที่ลำบาก คุณจะพบว่าจริงๆ เราอาจจะไม่เข้าใจ "ทหาร" ดีพอก็ได้นะ

6) ทหารในประเทศไทย ที่เราเห็นออกไปสู้รบ ลงพื้นที่ ลุยเสี่ยงตาย และขาขาด ไปจนถึงเสียชีวิต นั่นคือ "กลุ่มทหารอาชีพ" จริงๆที่ทำงานปกป้องบ้านเมือง ดูแลอธิปไตยให้กับคนไทย และเป็นการทำหน้าที่อันน่ายกย่อง ตามบทบาทหน้าที่ที่ดีเยี่ยม

7) ในขณะนี้ ทหารกลุ่มสายการเมือง คือทหารยศใหญ่ๆ (บางส่วน) ที่ลุกขึ้นมามีบทบาทางการเมือง งบประมาณชาติ อภิสิทธิ์ทางธุรกิจ และร่ำรวยผิดหูผิดตา (ไม่ได้บอกว่าโกงมา แต่ไม่รู้ว่าที่มาของทรัพย์สินเงินทองนั้นมาจากไหน แต่ไม่ได้ถูกตรวจสอบเส้นทางการเงิน) นั่นคือคนละคนกับคนที่คุณกำลังซาบซึ้งกัน

8 ) ถ้าคุณมองเห็นความน่าสงสัยของงบประมาณทหาร ที่ได้ถึง 200,000 ล้านบาท แต่เอกชน และรัฐบาล ต้องมาประกาศเลขที่บัญชีบริจาคให้ นี่ก็ควรตั้งคำถามได้ พร้อมๆไปกับเชิดชูทหารนักรบ โดยไม่จำเป็นต้องหยุดใช้สมองของเรา ว่าทำไมเงินงบประมาณที่ได้ไป จึงไปไม่ทั่วถึง และไม่พอเพียง หมดไปกับอะไร และใครเอาไปใช้ มีส่วนแบ่งหรือใต้โต๊ะหรือไม่? และนั่นหมายความว่า แม้กระทั่งในกลุ่มทหารเอง ก็มีกลุ่มคนสายบริหารงบ แต่ไม่ได้ไปรบ แต่คนไปรบกลับลำบาก ขาขาด และตาย แต่ไม่ได้เสวยสุข มันน่าจะทำให้คุณมองออกว่า "จริงๆแล้ว ทหารที่ดี ไม่ต้องบริหารประเทศ แต่เป็นคนที่ซื่อสัตย์กับหน้าที่ของตนต่างหาก"

9) หลายคนจะบอกว่านักการเมืองโกงกิน แล้วคำถามคือ คุณรู้ได้ยังไงว่าทหารไม่โกง และคุณคิดจริงๆเหรอว่าทหารปกครองประเทศแล้วดี ย้อนไปดู 13 ปี ภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ ไม่ว่าจะแก๊งคอลเซ็นเตอร์, ธุรกิจจีนเทาบุกประเทศ, ฝุ่น PM2.5, โรงงานไม่ผ่านมาตรฐานดำเนินกิจการแบบล้อฟรี, เศรษฐกิจตกต่ำ, การลิดรอนสิทธิมนุษยชน ผ่านการดำเนินคดีทางการเมือง, การแช่แข็งไม่แก้ไขกฎหมาย, การใช้นิติสงครามและตุลาการธิปไตย, หรือแม้กระทั่งตึก สตง. ถล่ม และการเช่าตึกประกันสังคม (ก็เป็นผลจากการบริหารรัฐบาลในช่วงประยุทธ์เป็นนายก แต่เรื่องมาแดงตอนรัฐบาลอุ๊งอิ๊ง) ฯลฯ ปัญหาเหล่านี้ ก็เกิดในยุคทหารปกครองมิใช่หรือ?

ดังนั้น ไม่มีอะไรการันตีเลยว่านายกเป็นทหารแล้วประเทศจะดีกว่า แค่ตอนนี้ประเทศแย่เพราะสงคราม และรัฐบาลพลเรือนไร้ความสามารถการบริหารเท่านั้นเอง เราแค่ต้องการรัฐบาลและผู้นำที่มีความรู้ความสามารถ มาจากการเลือกตั้ง มาอย่างถูกต้อง มาบริหารประเทศต่างหาก

10) เอาจริงๆ ถ้าคุณบอกว่า "ให้ทหารมาบริหารประเทศ แล้วประเทศจะดีขึ้น" ช่วงเวลาที่ผ่านมา เรามีทหารเป็นนายกจากการทำรัฐประหารหลายสิบครั้ง ทำไมคุณภาพชีวิตทหารไม่ดีขึ้น?

- ยังมีการซ้อมกันจนถึงตายในค่ายทหารออกข่าวทุกปี?
- ยังคงเกณฑ์ทหารไพร่พล แทนที่จะจ้างทหารอาชีพแบบสมัครใจ 100% ชะงักฝันและขโมยอนาคตของใครหลายคน
- ยังเห็นปัญหาการเอานายทหาร มาเป็น 'ทาสรับใช้' ส่วนตัวของนายพลระดับสูง?

เริ่มจากเรื่องง่ายๆแค่นี้ ก่อนก็ได้ ให้วงการทหารควรสังคายนาปฏิรูปกองทัพให้ดี ทำหน้าที่ของทหารให้ดีจริงๆ และบริหารระบบของตนให้ดีขึ้นเสียก่อน ยังไม่ถึงกับต้องไปบริหารประเทศหรอกครับ ทำตัวเราให้ดีที่สุดให้ได้ก่อนอย่างแท้จริง ทหารสายบริหาร ต้องดูแลทหารอาชีพให้มีความสุขให้ได้ครับ นั่นคือหน้าที่หลัก ไม่ใช่การบริหารประเทศ ทำหน้าที่ตัวเองยังไม่ดีที่สุดจริงๆ จะไปดูแลคนอื่นให้ดีได้ยังไงกัน?!?

11) บทความนี้ไม่ได้เขียนเพื่อให้เกลียดทหารครับ แต่เขียนเพื่อให้สติคนไทยกันเองว่า เอาจริงๆ คุณแค่งงๆนิดหน่อยในช่วงนี้ เพราะบทบาทรัฐบาลทำงานได้ห่วยแตก แต่ไม่ได้หมายความว่า ทหารต้องปกครองประเทศ เพราะเรามีระบอบประชาธิปไตย และทุกคนล้วนมีหน้าที่ของตัวเองตามระบอบ และระบบที่เหมาะสม เราแค่ "เคารพ" หน้าที่กันก็พอแล้ว แล้วประเทศชาติจะมั่นคง ก้าวหน้าได้เอง

"ให้คนในสนามรบ ควรไปรบ และเคารพหน้าที่ของเขา ในขณะเดียวกัน เราแค่ต้องการรัฐบาลที่เก่งมากพอจะบริหารประเทศ สื่อสารกับประชาชนและโลกได้ ไปจนถึงด้านอื่นๆ ที่บริหารได้จริง ส่วนความมั่นคงของประเทศ เราไม่จำเป็นต้องมีทหารเป็นนายก เพราะความมั่นคงนั้น มี 'ทหารอาชีพ' ทำงานที่ดี อย่างเต็มที่ให้เราทุกวันอยู่แล้ว"

อย่าให้ความอินในสงคราม ทำให้ตรรกะในสมองของคุณหลงทาง

#ตุ๊ดส์review

***ขอยืนยันว่า บทความนี้ไม่ได้ชี้ว่า รัฐบาลพลเรือนประเสริฐกว่ารัฐบาลจากทหาร แค่ย้ำว่าทุกคนควรทำหน้าที่ของตัวเอง และขอชื่นชมทหารอาชีพทุกคน ที่ทำหน้าที่ของคุณอย่างดีเยี่ยมเสมอมา

=======

มีหนังสือเล่มหนึ่งอยากป้ายยาไว้ ให้เรามองเห็นประวัติศาสตร์การเมืองทั่ว Southeast Asia ที่ชัดขึ้นครับ

สำนักพิมพ์ มติชน : หนังสือ The Ruling game ชนชั้นนำและอำนาจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

กษัตริย์ ทหาร นักการเมือง นักธุรกิจ

ชวนผู้อ่านย้อนกลับไปมองถึงโครงสร้าง รากฐานแนวคิด การสะสมอำนาจ และการใช้อำนาจของกลุ่มชนชั้นนำต่างๆ ในแต่ละภูมิภาค ตั้งแต่ยุคโบราณ ยุคอาณานิคม ยุคปลายอาณานิคม-สงครามเย็น และโยงใยมาจนถึงศตวรรษที่ 21 โดยต้องการให้เข้าใจรายละเอียดจากภาพเล็กๆ จนสามารถมองและวิเคราะห์ภาพใหญ่ได้ และนำไปสู่การเห็นความสัมพันธ์ที่เกาะเกี่ยวกันอย่างแยกไม่ขาด เพื่อรับมือและรู้ทันเกมการเมืองของผู้ปกครองเหล่านั้น

LAZADA : https://s.lazada.co.th/s.FDlUg?cc
SHOPEE : https://s.shopee.co.th/1LRmQU5IiQ

19/07/2025

R.I.P. 😢

ในวันที่เปลี่ยนแปลง
07/07/2025

ในวันที่เปลี่ยนแปลง

ประกายฝันเล็กๆ สู่การช่วยเหลือคนเป็นล้านเพื่อให้มีแสงสว่างใช้ในตอนกลางคืน
24/06/2025

ประกายฝันเล็กๆ สู่การช่วยเหลือคนเป็นล้านเพื่อให้มีแสงสว่างใช้ในตอนกลางคืน

แอน มาโคซินสกี้: ฮีโรสาวที่กอบกู้โลกนี้ด้วยไฟฉายมือหมุน
ปี 2013 'แอน มาโคซินสกี้' หญิงสาวจากแคนาดา เริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้าง หลังจากชื่อของเธอได้ปรากฏใน TIMES 30 ที่ได้รวบรวมคนรุ่นใหม่อายุไม่เกิน 30 ผู้กำลังจะเปลี่ยนโลกนี้ ในเวลานั้นเธอเป็นเพียงแค่สาววัยรุ่นอายุเพียงแค่ 15 ปี เธอเลยถูกจับจ้องว่าเป็นฮีโรสาวผู้จะกอบกู้โลกนี้ด้วยไฟฉาย จนขนาดมีคนให้ฉายาเธอว่า “สาวไฟฉาย” (Flashlight Girl)
'แอน มาโคซินสกี้' (Ann Makosinski) เป็นลูกครึ่งฟิลิปปินส์ ครึ่งโปแลนด์ ที่มีเลือดแคนาดาอยู่เต็มร้อย เธอชอบกิจกรรมกลางแจ้ง เล่นกีฬา รักการเดินป่า กางเต็นท์ สีไวโอลิน เรียนการแสดง ตัดต่อวิดีโอ และอ่านวรรณกรรมคลาสสิก โดยเล่มโปรดของเธอคือ “กลาย” (Metamorphosis) ผลงานเขียนขึ้นหิ้งของ ฟรันซ์ คาฟคา
นอกจากนี้เธอยังชอบวิทยาศาสตร์มาตั้งแต่เล็ก ๆ ของเล่นชิ้นแรก ๆ ของเธอคือ การรื้อกล่องทรานซิสเตอร์ ถอดชิ้นส่วนฮาร์ดดิสก์ที่เสียแล้ว และตัวต่อเลโก้ ซึ่งพอเธอเริ่มเบื่อแล้วร้องขอของเล่นชิ้นใหม่ พ่อเธอที่เป็นนักวิทยุสมัครเล่นกลับซื้อปืนกาวให้ลูกสาวสุดที่รัก แล้วบอกว่าถ้าอยากได้ของเล่นใหม่ก็ไปทำขึ้นมาเองสิ นั่นอาจเป็นจุดเริ่มของเส้นทางนักประดิษฐ์ของสาวคนนี้
โดยสาวน้อยที่เพิ่งมีสมาร์ทโฟนเป็นของตัวเองตอนอายุ 18 ปี หรือราวสองปีก่อน หลังจากจำเป็นต้องใช้โทรทางไกลตอนเรียนมหาวิทยาลัยนี้ ได้ก่อตั้งบริษัท มาโคโทรนิกส์ เอนเตอร์ไพรส์ ที่ถือสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์เจ๋ง ๆ ไว้หลายอย่าง เช่น eDrink แก้วกาแฟที่ใช้ความร้อนผลิตไฟฟ้าชาร์จสมาร์ทโฟนไปในตัว ทำให้ในปี 2016 นิตยสาร Popular Science เลือกให้เธอเป็นนักประดิษฐ์รุ่นเยาว์แห่งปี
นอกจากนี้เธอยังเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ ให้กับเสื้อฮีทเทคผ้าฟลีซของยูนิโคล่ ซึ่งใช้แนวคิดการเก็บกักความร้อนแบบเดียวกับ “ไฟฉายกลวง” (hollow flashlight) สิ่งประดิษฐ์ที่สร้างชื่อเสียงให้กับเธอ
เจ้าไฟฉายนี้ มีจุดเริ่มจากการที่เธอได้มีโอกาสกลับไปเยี่ยมญาติฝ่ายแม่ ที่บ้านเกิดคุณแม่เธอที่ฟิลิปปินส์ ทำให้เธอได้สัมผัสกับความเป็นจริงที่ว่า ในหมู่บ้านเล็ก ๆ อันห่างไกลนี้ แตกต่างจากเมืองใหญ่ศิวิไลซ์ที่เธอคิดว่าเป็นโลกทั้งใบมากแค่ไหน ตอนเด็ก ๆ พ่อแม่ชอบดุเธอตลอดว่ากินอาหารไม่หมดว่า ให้คิดถึงเด็กอดอยากในทวีปแอฟริกาบ้าง ตอนแรกด้วยความเป็นเด็กใสซื่อเธอเลยไม่เชื่อ เพราะไม่คิดว่าจะมีเด็กที่ไหนที่ไม่มีอาหารรับประทาน ด้วยความที่รอบตัวของเธอมีอาหารการกินอุดมสมบูรณ์ จนบางทีมากเกินกว่าความต้องการของเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างเธอด้วยซ้ำไป
แต่คนที่หมู่บ้านเล็ก ๆ นี้เหมือนจะไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกอะไรในชีวิต แตกต่างจากที่บ้านของเธอมากมาย ในทางกลับกันพวกเขาดูมีความสุขกับทุกสิ่งที่พอหาได้ เด็ก ๆ เล่นสนุกด้วยกิจกรรมง่าย ๆ อย่าง วิ่งไล่จับ เตะบอลตามถนน ซึ่งไม่นานแอนก็มีเพื่อนสนิทคนหนึ่งชื่อ มาเรีย ที่เธอยังคงติดต่อกันมาอยู่เรื่อย ๆ ซึ่งน้องมาเรียนี่เองที่เป็นจุดเปลี่ยนชีวิตเธอไปตลอดกาล
“ฉันมีเพื่อนที่ฟิลิปปินส์คนหนึ่งที่ติดต่อกันมาตลอดหกปี วันหนึ่งเมื่อสองสามปีก่อน เธอได้ส่งข้อความมาเล่าให้ฟังว่า ตอนนี้การเรียนเธอกำลังตกต่ำมาก ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้เพราะเท่าที่จำได้เธอเป็นคนที่หัวดีมากคนหนึ่ง พอฉันถามสาเหตุเธอได้บอกว่า ที่บ้านเธอไม่มีไฟฟ้าตอนกลางคืนทำให้ไม่ได้อ่านหนังสือเลย เวลาช่วงเย็นที่ยังพอมีแสงสว่างเธอก็ต้องทำงานบ้าน พอตกดึกที่ว่างจะอ่านหนังสือก็มืดมาก จนการเรียนเธอเลยแย่ลงเรื่อย ๆ”
เรื่องของมาเรียกระแทกใจเธอมาก เพราะสาเหตุที่เพื่อนรักของเธอการเรียนย่ำแย่ไม่ได้มาจากการที่หัวไม่ดี หรือไม่ตั้งใจเรียน แต่เป็นเรื่องที่เด็กในแคนาดา หรืออาจจะเด็กไทยหลายคนไม่เคยคิดถึงมาก่อนเลย นั่นคือการไม่มีแสงไฟอ่านหนังสือในตอนกลางคืน การมีไฟฟ้าใช้อย่างไม่ติดขัดทุกวันทำให้เราหลายคนหลงลืมไปว่ายังมีคนอีกมากกว่า 1,200 ล้านคนทั่วโลก ต้องตกอยู่ภายใต้ความมืด ในช่วงเวลาเดียวกับที่เราเอื้อมมือเรากดเปิดไฟ หรือกำลังเสียบสายชาร์จสมาร์ทโฟน
จุดเล็ก ๆ นี้ทำให้เธอได้ย้อนไปคิดถึงสิ่งที่พ่อแม่และคุณครูของเธอเคยเล่าให้ฟังถึงความยากลำบากในการใช้ชีวิตของคนอีกหลายล้านคนทั่วโลก คุณครูคนหนึ่งของเธอเล่าให้ฟังว่าตอนสมัยที่สอนเด็ก ๆ อยู่ที่แอฟริกานั้น ของรางวัลที่ดีที่สุดที่ให้เด็กเป็นเทียนไขเพื่อใช้จุดให้แสงสว่างในยามค่ำคืน
เธออยากมีส่วนในการแก้ปัญหานี้ให้กับมาเรีย รวมไปถึงใครอีกหลายคนทั่วโลกที่เจอเรื่องเดียวกัน ในปี 2011 ขณะที่เธออยู่เกรดหก หรือเทียบกับชั้นประถมศึกษาปีที่หก เธอได้พกความตั้งใจแรงกล้านี้ติดตัวไปไปในงานวิทยาศาสตร์ที่จัดขึ้นใกล้บ้านด้วย แล้วสิ่งที่ได้กลับออกมาคือไฟฉายมือหมุนที่เธอได้ประดิษฐ์ขึ้นมาจากหลักการ เพียโซอิเล็กทริค (Piezoelectric)
ไฟฉายเล็ก ๆ อันนี้เหมือนจะช่วยแก้ปัญหาเรื่องแสงสว่างได้ แต่กลับสร้างปัญหาเรื่องเสียงรบกวนเวลาหมุนปั่นไฟเพื่อเปลี่ยนพลังงานกลให้เป็นประจุไฟฟ้าขึ้นมาแทน ซึ่งมันใช้งานจริงไม่ได้เลยโดยเฉพาะในชุมชนเล็ก ๆ เงียบสงบที่เพื่อนของเธออาศัยอยู่ ลองนึกถึงเสียงดังต่อเนื่องในยามค่ำคืนที่ผู้คนต่างหลับนอน มาเรียน่าจะถูกชาวบ้านก่นด่าตลอดเวลาที่เธอปั่นไฟอ่านหนังสืออย่างแน่นอน
เธอเลยมองหาทางออกอื่นที่สามารถให้กำเนิดแสงสว่างได้ ในขณะเดียวกันก็ไม่สร้างมลภาวะทางเสียงอีกด้วย ตอนแรกเธอคิดถึงพลังงานแสงอาทิตย์ แต่ถูกตีตกไปเพราะการใช้งานจริงต้องมีอุปกรณ์มากมายที่ตามมาด้วยค่าใช้จ่ายจำนวนหนึ่ง ต่อมาเธอได้มองความเป็นไปได้เรื่องพลังงานไฟฟ้าจากความร้อนที่ร่างกายมนุษย์สร้างขึ้น ซึ่งเธอมองว่ามันน่าจะเป็นเรื่องที่เยี่ยมยอดมาก เพราะพลังงานนี้จะช่วยโลกได้หลายทาง ทั้งการให้แสงสว่างและช่วยไม่ให้เกิดการสูญเสียพลังงานโดยเปล่าประโยชน์
หนึ่งปีหลังจากนั้นเธอเอาแนวคิดนี้ไปต่อยอดในโครงงานวิทยาศาสตร์ที่เธอนำสิ่งที่เรียกว่าแผ่นเพลทีเยอร์ (Peltier tiles) มาใช้โดยอาศัยปรากฏการณ์เพลทีเยอร์ ที่จะผันความร้อนให้เป็นพลังงาน อธิบายไอเดียของเธอแบบง่าย ๆ คือ ไฟฉายจากความร้อนของร่างกายมนุษย์
เธอเริ่มต้นทดลองด้วยการจุดเทียนไขใต้แผ่นระบายความร้อนที่ถอดจากคอมพิวเตอร์ใช้แล้ว ซึ่งมันสร้างพลังงานไฟฟ้าได้ประมาณหนึ่ง แต่นั้นก็จุดประกายความหวังให้เธอมั่นใจว่าเริ่มมาถูกทางแล้ว เธอเลยนำไปพัฒนาต่อด้วยการทำท่อระบายความร้อนจากอะลูมิเนียม ส่วนอีกด้านเป็นแผ่นรับอุณหภูมิความร้อนจากมือจับ เพื่อส่งไฟฟ้าไปยังหลอดแอลอีดีขนาดเล็กที่ต้องการไฟฟ้าน้อยมาก ตอนแรกมันยังใช้งานไม่ค่อยได้นัก เพราะไฟฉายต้นแบบของเธอผลิตกระแสไฟฟ้าได้เพียงแค่ 50 มิลลิโวลต์ในขณะที่เธอตั้งเป้าไว้ที่ 2,500 มิลลิโวลต์
เธอหาตัวช่วยจากการค้นคว้าหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต จนได้วิธีเพิ่มพลังงานให้กับไฟฉายของเธอ ซึ่งเธอได้นำต้นแบบนี้ไปประกวดในงานวิทยาศาสตร์ แต่ได้เพียงแค่รางวัลรองชนะเลิศติดมือกลับมา แม้จะไม่ได้รางวัลที่หนึ่งแต่ผลงานของเธอก็เริ่มเข้าตาผู้ใหญ่หลายคนที่มองเห็นความตั้งใจ หนึ่งในนั้นคือครูสอนวิทยาศาสตร์ที่มาบอกให้เธอลองส่งผลงานนี้ไปประกวดในงานวิทยาศาสตร์ที่จัดขึ้นโดยกูเกิลดู (2013 Google science fair) เธอลองสมัครออนไลน์ อัพวิดีโอผ่าน YouTube แนะนำผลงานที่ตอนนี้เธอเรียกมันว่า “ไฟฉายกลวง” (hollow flashlight) ไปให้ทางกูเกิลก่อนถึงเส้นตายปิดรับสมัครเพียงแค่ 45 นาที
หลายคนอาจจะพอคาดเดาเรื่องราวหลังจากนี้ได้ ในอีกไม่กี่เดือนต่อมา ทางผู้จัดงานแจ้งให้เธอทราบว่าผลงานของเธอได้เข้ารอบสุดท้าย เป็นหนึ่งใน 15 ผลงานจากทั่วโลก สุดท้ายแล้วไฟฉายที่เปลี่ยนความอบอุ่นจากอุ้งมือให้กลายเป็นแสงสว่างของเธอ ก็ได้รับการประกาศว่ามันเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ดีที่สุดในบรรดาเยาวชนช่วงอายุเดียวกัน

แม้รางวัลที่เธอได้รับจะมีทั้งเงินทุนการศึกษา เครื่องคอมพิวเตอร์ และโอกาสในการได้ไปดูงานที่ต่างประเทศ แต่เธอกลับรู้สึกว่ารางวัลที่ดีที่สุดคือ การที่ตอนนี้ไฟฉายของเธอได้กลายเป็นจุดสว่างเล็ก ๆ ท่ามกลางความมืดมิด ที่ส่องประกายให้คนทั่วโลกได้รับรู้ว่าตอนนี้มันยังคงมีปัญหาเรื่องการขาดแคลนแสงสว่างในยามค่ำคืนนี้อยู่ ซึ่งมันอาจเป็นทั้งการแก้ไขปัญหาให้กับมาเรีย เพื่อนรักในวัยเด็กของเธอ และอีกหลายคนในพื้นที่ห่างไกลทั่วมุมโลกให้มีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่
“วันนี้อินเทอร์เน็ตเปิดตาให้เราได้เห็นปัญหาที่เกิดขึ้นจากทั่วโลก ที่ยังขาดแคลนทรัพยากรที่จะแก้ไข ดังนั้นทุกครั้งที่พวกเรารับรู้ว่าที่ไหนมีปัญหา อยากให้ช่วยกันรีบเข้าไปแก้ไข ไม่ใช่รอคอยให้คนสักคนเริ่มต้น เหมือนฉันที่พยายามช่วยเหลือเท่าที่ทำได้ คุณก็พยายามได้เหมือนกัน แล้วเราก็ร่วมมือช่วยแก้ไขปัญหานั้นด้วยกัน ถ้าคุณบ่นว่ามือถือฉันเริ่มอืด แบตก็หมดเร็วมาก อยากให้ลองคิดหาทางแก้ไข เพราะถ้าแก้โจทย์ได้ มันอาจจะช่วยแก้ปัญหาของคนอีกหลายคนในโลกนี้”
โลกเรากำลังมองหาทางแก้ไขปัญหาเรื่องการขาดแคลนพลังงาน ซึ่งเรื่องใหญ่นี้ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยคนเพียงคนเดียว หรือนักประดิษฐ์เพียงลำพัง เธอเชื่อว่าปัญหาระดับโลกนี้จะถูกแก้ไขได้จากการร่วมมือกันของคนมากมายที่ร่วมแชร์วิธีการใหม่ ๆ ที่อาจเป็นการค้นพบเล็ก ๆ หรือ การประดิษฐ์อะไรที่ดูง่าย ๆ เหมือนไฟฉายของเธอที่เหมือนโครงงานมัธยม แต่ตอนนี้ได้รับการต่อยอดจากบริษัทใหญ่ ๆ ให้มันมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นหลายเท่า ทั้งความสว่าง ต้นทุนถูกขึ้น และหน้าตาน่าใช้ว่าตอนเป็นต้นแบบหลายเท่า
จากจุดเริ่มที่แค่อยากให้เพื่อนเล่นของเธอ มีแสงสว่างในยามค่ำคืนเพื่ออ่านหนังสือ ตอนนี้เธอไปไกลถึงการให้แสงสว่างที่นำมาซึ่งโอกาสในชีวิตอีกมากมาย ไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลยที่จะบอกว่า เรื่องราวของเธอนี้ได้ให้แรงบันดาลใจ เพราะถ้าพลังงานที่แฝงอยู่ภายในตัวเราทุกคนสามารถเปลี่ยนให้เป็นแสงสว่างได้ ทำไมเราจะส่งต่อพลังนี้ให้กับคนอื่นรอบข้างไม่ได้ และเธอยังได้พูดอย่างถ่อมตัวอีกว่าถ้าเธอที่ไม่ได้เก่งที่สุดในชั้นเรียนยังทำได้ขนาดนี้ ทำไม่พวกเราจะลุกขึ้นแก้ไขปัญหาเพื่อให้โลกดีกว่าที่เป็นอยู่ไม่ได้ โดยเรื่องใหญ่ที่เธอหมายถึงคือ ปัญหาเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่เราทุกคนไม่ควรมองข้ามมันไป
“เราถือว่าโชคดีที่อยู่ในแคนาดา ที่ซึ่งมีเสรีภาพในการค้นคว้าข้อมูล มีเสรีภาพในการแสดงออก เราทุกคนมีความสะดวกสบาย มีอาหารการกินอุดมสมบูรณ์ มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ค่อนข้างดี แต่ลองนึกถึงคนในอีกซีกโลกที่ยากลำบากกว่าเรามากดู ถ้าคุณคิดได้ลองถามตัวเองดูว่าฉันทำอะไรได้ มีเรื่องอะไรบ้างที่ฉันยื่นมือเข้าไปช่วยได้เพื่อให้เด็กตัวเล็ก ๆ ในหมู่บ้านอันห่างไกลได้มีแสงสว่างอ่านหนังสือในความมืดมิด ถ้ามองว่าเรื่องนี้เป็นแค่เรื่องเล็ก ๆ อยากบอกว่าการที่เราเริ่มแก้ไขจากเรื่องเล็กนี้ จะนำไปสู่การเห็นหนทางแก้ปัญหาใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ”
เรื่อง : กิตยางกูร ผดุงกาญจน์

พรี่ยังขายของอยู่นะ5555,😂🤣😅
14/06/2025

พรี่ยังขายของอยู่นะ5555,😂🤣😅

ที่อยู่

Bangkok
10210

เบอร์โทรศัพท์

+66838540888

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ร้านหนังสือคุณfrankyผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์