Maddog Newsonline

Maddog Newsonline ข่าวออนไลน์

ติวเข้ม​​! กรมอุทยานฯ สร้างนักดับไฟกัมพูชาสู่ "เสือไฟ" มืออาชีพ ฝึก 8 ฐานสุดท้าทาย มุ่งแก้วิกฤตหมอกควันข้ามแดนท่ามกลางวิ...
26/01/2025

ติวเข้ม​​! กรมอุทยานฯ สร้างนักดับไฟกัมพูชาสู่ "เสือไฟ" มืออาชีพ ฝึก 8 ฐานสุดท้าทาย มุ่งแก้วิกฤตหมอกควันข้ามแดน
ท่ามกลางวิกฤตหมอกควันข้ามแดนที่ทวีความรุนแรงในภูมิภาคอาเซียน กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้จัดโครงการฝึกอบรมอย่างเข้มข้น​ ที่จะเปลี่ยนเจ้าหน้าที่ดับไฟป่าจากกัมพูชา 30 นาย ให้กลายเป็น "เสือไฟ" นักรบผู้พิทักษ์ผืนป่าระดับมืออาชีพ
นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เปิดเผยว่า โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือระหว่างประเทศในกรอบอาเซียนเพื่อแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดน ภายใต้ยุทธศาสตร์ฟ้าใส (CLEAR SKY STRATEGY) ที่ไทย ลาว และเมียนมาร่วมกันผลักดัน การฝึกอบรมนี้ไม่เพียงสร้างนักดับไฟป่ามืออาชีพ
แต่ยังเป็นการวางรากฐานสำคัญในการพัฒนาศักยภาพการควบคุมไฟป่าระดับภูมิภาค​ ซึ่งมีอบรมระหว่างวันที่ 21-27 มกราคม 2568 ณ ศูนย์ฝึกอบรมและพัฒนาการควบคุมไฟป่าภาคกลาง จังหวัดกาญจนบุรี โดยผู้เข้าร่วมต้องผ่านการทดสอบใน 8 ฐาน​ ที่จำลองสถานการณ์จริงในการดับไฟป่า​
โดยหลังเรียนรู้ภาคทฤษฎีจากผู้เชี่ยวชาญ ผู้เข้าร่วมฝึกอบรมทั้งหมดจะต้องผ่านการทดสอบ 8 ฐาน คือ ฐานที่ 1 "หอโรยตัว" ท้าทายความกล้าบนความสูง
ผู้เข้าฝึกต้องเอาชนะความกลัวความสูงด้วยการฝึกโรยตัวในแนวดิ่ง เสมือนการปฏิบัติงานจริงร่วมกับเฮลิคอปเตอร์ในพื้นที่ทุรกันดารที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ด้วยการเดินเท้า การฝึกนี้ไม่เพียงสร้างความชำนาญในเทคนิคการโรยตัว แต่ยังช่วยเสริมสร้างความมั่นใจในการปฏิบัติงานบนที่สูง
ฐานที่ 2 "กำแพง 10 ฟุต" บททดสอบพละกำลังและการทำงานเป็นทีมจำลองอุปสรรคในป่าที่ต้องอาศัยทั้งกำลังกาย ไหวพริบ และการประสานงานเป็นทีม ผู้เข้าฝึกต้องใช้ทักษะการปีนป่าย พร้อมทั้งเรียนรู้การใช้อุปกรณ์ช่วยเหลือต่างๆ เพื่อข้ามผ่านกำแพงสูง
ฐานที่ 3 "ชะนีครวญ" เน้นเสริมสร้างความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อส่วนบน ทั้งข้อมือ แขน หน้าอก หน้าท้อง และหลัง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการปีนป่าย แบกอุปกรณ์ และดับไฟในพื้นที่สูงชัน
ฐานที่ 4 "ข้ามขอน" ฝึกความคล่องตัวในการเคลื่อนที่ผ่านสิ่งกีดขวางในป่าภูเขา เรียนรู้เทคนิคการก้าวข้าม การทรงตัว และการเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วแต่ปลอดภัยในพื้นที่ทุรกันดาร
ฐานที่ 5 "หลุมนรก" ฐานทดสอบกำลังใจที่ท้าทายที่สุด ให้ผู้เข้าฝึกเผชิญหน้ากับเปลวเพลิงจริง เพื่อสร้างประสบการณ์และความเคยชินกับความร้อน ควัน และการตัดสินใจในภาวะวิกฤต โดยไม่ตื่นตระหนกเมื่อต้องเจอสถานการณ์จริง
ฐานที่ 6 "เสานรก" ฝึกทักษะการเอาตัวรอดเมื่อถูกไฟล้อม โดยต้องเคลื่อนที่ผ่านสิ่งกีดขวางที่มีไฟติดอยู่ เรียนรู้การประเมินสถานการณ์ การหาเส้นทางหลบหนี และการป้องกันตัวจากความร้อนและควันไฟ
ฐานที่ 7 "โหนเชือกข้ามคลอง" ทดสอบความแข็งแกร่งของร่างกายในการข้ามอุปสรรคทางธรรมชาติ จำลองสถานการณ์การใช้เถาวัลย์หรือเชือกในการข้ามลำธาร หุบเขา เพื่อเข้าถึงจุดเกิดไฟป่าในพื้นที่ทุรกันดาร
ฐานที่ 8 "ล้อนรก" บททดสอบสุดท้ายแห่งความเป็นนักรบไฟป่า​ ปิดท้ายด้วยการฝึกช่วยเหลือผู้บาดเจ็บในสถานการณ์ฉุกเฉิน ผู้เข้าฝึกต้องแสดงให้เห็นถึงความพร้อมทั้งด้านร่างกายและจิตใจในการช่วยเหลือเพื่อนร่วมงาน โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของทั้งผู้ช่วยเหลือและผู้บาดเจ็บ
ทั้งนี้​ ผู้ที่ผ่านการฝึกอบรม "เสือไฟ" รุ่นแรกนี้จะกลายเป็นกำลังสำคัญในการป้องกันและควบคุมไฟป่าในประเทศกัมพูชา พร้อมถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์สู่เพื่อนร่วมงาน เพื่อร่วมกันสร้างเครือข่ายการป้องกันไฟป่าที่เข้มแข็งในภูมิภาคอาเซียนต่อไป

"ในหลวง" พระราชดำรัส พระราชทานพรปีใหม่ พ.ศ.๒๕๖๘ ขอปวงชนชาวไทย ใช้ชีวิตอย่างมีสติ ไม่ประมาท มีความสุขกาย สุขใจ  #ขอทรงพระ...
01/01/2025

"ในหลวง" พระราชดำรัส พระราชทานพรปีใหม่ พ.ศ.๒๕๖๘ ขอปวงชนชาวไทย ใช้ชีวิตอย่างมีสติ ไม่ประมาท มีความสุขกาย สุขใจ #ขอทรงพระเจริญ

กระทรวงเกษตรฯ หนุน“โครงการเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรและแหล่งผลิตสินค้าเกษตรปลอดภัยได้มาตรฐาน จังหวังพระนครศรีอยุธ...
27/06/2022

กระทรวงเกษตรฯ หนุน“โครงการเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรและแหล่งผลิตสินค้าเกษตรปลอดภัยได้มาตรฐาน จังหวังพระนครศรีอยุธยา”หวังกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ สร้างรายได้แก่เกษตรกรอย่างยั่งยืน
ดร.ทองเปลว กองจันทร์ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานพิธีเปิดโครงการเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรและแหล่งผลิตสินค้าเกษตรปลอดภัยได้มาตรฐาน จังหวัดพระนครศรีอยุธยาพร้อมด้วยนายเข้มแข็งยุติธรรมดำรงอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตรนายสัญญาแสงพุ่มพงษ์ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และผู้เกี่ยวข้องร่วมงานณ ร้านรักษ์นา คาเฟ่ อำเภอพระนครศรีอยุธยา
จังหวัดพระนครศรีอยุธยาว่าโครงการเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรและแหล่งผลิตสินค้าเกษตรปลอดภัยได้มาตรฐาน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีวัตถุประสงค์เพื่อขับเคลื่อนและส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงเกษตรในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา กระตุ้นให้เกิดความร่วมมือระหว่างแหล่งท่องเที่ยวที่อยู่ในจังหวัดและผู้ผลิตสินค้าเกษตรและอาหารปลอดภัย ให้ครอบคลุมทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ขยายความร่วมมือด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการตลาดสินค้าเกษตรและการท่องเที่ยวเชิงเกษตรไปยังหน่วยงานเกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ท้องถิ่น
โดยการเปิดตัวโครงการในครั้งนี้ จัดขึ้น ณ ร้านรักษ์นา คาเฟ่ อยุธยา ซึ่งเป็นจุดท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่สำคัญ และมีพิธีลงนามความเข้าใจ รวมทั้งจัดให้มีจุดจำหน่ายสินค้าเกษตรและอาหารปลอดภัยในแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ มุ่งหวังให้เกิดการพัฒนาและยกระดับการท่องเที่ยวเชิงเกษตรให้มีมาตรฐาน มีความหลากหลาย เกิดการประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวได้รู้จัก ตลอดจนสร้างการรับรู้ให้แก่ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าเกษตรและอาหารปลอดภัยและผู้บริโภคได้รับทราบ นอกจากนี้ยังมีเกษตรกรใหม่ในโครงการที่ได้รับการส่งเสริมการผลิตปลอดภัย นำสินค้ามาร่วมจำหน่ายในงาน จำนวน 20 ร้านค้า หมุนเวียนการจำหน่ายทุก ๆ วันเสาร์และวันอาทิตย์
“การจัดกิจกรรมครั้งนี้ เป็นกิจกรรมที่สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงเกษตรฯ และจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในการส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรปลอดภัยและลดต้นทุนการผลิตทางการเกษตร โดยเฉพาะในปัจจุบันที่ปัจจัยการผลิตมีราคาสูง ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นตามไปด้วย ซึ่งกระบวนการผลิตสินค้าเกษตรและอาหารปลอดภัย รวมทั้งการเชื่อมโยงการตลาดที่ดีจะก่อให้เกิดคุณภาพความปลอดภัยด้านอาหาร ลดค่าใช้จ่าย และเพิ่มรายได้ของเกษตรกร ส่งผลดีต่อเกษตรกรผู้ผลิตประชาชน นักท่องเที่ยว และผู้บริโภคทั่วไป โดยหลายภาคส่วน อาทิ ภาคราชการ ภาคเอกชน
ผู้ประกอบการการท่องเที่ยวเชิงเกษตร เกษตรกรผู้ผลิตสินค้าเกษตรและอาหารปลอดภัย ตลอดจนส่วนท้องถิ่น ได้มีความพยายามร่วมกันในการพัฒนาขับเคลื่อน และส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงเกษตร ให้เชื่อมโยงสินค้าเกษตรปลอดภัยอย่างเป็นรูปธรรม จึงถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีอันจะทำให้เกิดการพัฒนาทั้งคุณภาพของการให้บริการและสร้างรายได้ให้แก่ประชาชน เกษตรกร และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในพื้นที่อย่างยั่งยืนอีกด้วย” ปลัดเกษตรฯ กล่าว
สำหรับจังหวัดพระนครศรีอยุธยามีพื้นที่ทำการเกษตรกว่า 900,000 ไร่คิดเป็นร้อยละ 57 ของพื้นที่ทั้งจังหวัด ผลผลิตที่สำคัญได้แก่ข้าวไม่พ่นพืชผัก ไก่เนื้อไก่ไข่ และสัตว์น้ำที่สำคัญ เกษตรกรของจังหวัดฯ เป็นผู้มีศักยภาพ ในการผลิตสินค้าเกษตรปลอดภัยและได้มาตรฐาน ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และของรัฐบาล ประกอบกับจังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีเชื่อเสียงด้านการท่องเที่ยว
อยู่ใกล้เมืองหลวงเป็นเป้าหมายของการท่องเที่ยว เชิงวัฒนธรรม การท่องเที่ยววัด วัง เวียง มีวิวทิวทัศน์สวยงาม อาหารพื้นบ้านและขนมอร่อย ตลอดจนการท่องเที่ยวเชิงเกษตร คณะทำงานส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงเกษตรจังหวัด
พระนครศรีอยุธยา จึงได้เห็นควรให้มีการจัดทำโครงการขึ้นโดยเป็นโครงการเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร และแหล่งผลิตสินค้าเกษตรปลอดภัยได้มาตรฐาน

รมว.พม. เดินหน้ามอบแว่นตาให้กลุ่มเปราะบาง ในโครงการเฉลิมพระเกียรติฯ "Giving Light มอบแว่นตา มอบแสงสว่างแห่งชีวิต" รุ่นที...
22/06/2022

รมว.พม. เดินหน้ามอบแว่นตาให้กลุ่มเปราะบาง ในโครงการเฉลิมพระเกียรติฯ "Giving Light มอบแว่นตา มอบแสงสว่างแห่งชีวิต" รุ่นที่ 2
วันที่ 22 มิถุนายน 2565 นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว "Giving Light มอบแว่นตา มอบแสงสว่างแห่งชีวิต" รุ่นที่ 2
โดยมี นายทวีพงษ์ วิชัยดิษฐ ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ นางสาววนิดา สุทธิช่วย รักษาการผู้ช่วยผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ และคณะผู้บริหารกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ร่วมในพิธีเปิด ณ หอประชุมอาคาร 4 ชั้น 3 โรงเรียนสิริรัตนาธร เขตบางนา กรุงเทพฯ ทั้งนี้
การเคหะแห่งชาติยังร่วมจัดบูธ EM น้ำจุลินทรีย์ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงให้ความรู้และทำความเข้าใจถึงประโยชน์ของ EM พร้อมทั้งแจกให้กับประชาชนที่มาร่วมในพิธีเปิดดังกล่าวนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อีกด้วย

02/04/2022
21/08/2021
“รมช.มนัญญา” กำชับ อ.ส.ค. และสหกรณ์ผู้เลี้ยงโคนมเฝ้าระวังการแพร่ระบาด “โรคลัมปี สกิน” ไม่ให้กระทบอุตสาหกรรมโคนมประเทศ นำ...
28/05/2021

“รมช.มนัญญา” กำชับ อ.ส.ค. และสหกรณ์ผู้เลี้ยงโคนมเฝ้าระวังการแพร่ระบาด “โรคลัมปี สกิน” ไม่ให้กระทบอุตสาหกรรมโคนมประเทศ นำทีมผู้บริหารฉีดพ่นยาฆ่าแมลง ณ ฟาร์มโคนม อ.ส.ค. จ.สระบุรี
วันที่ 28 พ.ค. 2564 นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานพิธีเปิด "โครงการรณรงค์ป้องกันโรคลัมปี สกิน" (Lumpy Skin Disease) ณ ฟาร์มโคนมประสิทธิภาพสูง องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี พร้อมด้วย นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ นายสุชาติ จริยาเลิศศักดิ์ รองผู้อำนวยการ ทำการแทนผู้อำนวยการ
อ.ส.ค. ผู้บริหาร และหัวหน้าส่วนราชการ เข้าร่วม โอกาสนี้ได้มอบสิ่งของเวชภัณฑ์/ยาฆ่าแมลง พร้อมถังฉีดพ่นให้กับสหกรณ์เขตภาคกลาง 15 แห่งที่ส่งน้ำนมให้ อ.ส.ค. และร่วมฉีดพ่นยาฆ่าแมลงซึ่งเป็นพาหะของโรคลัมปี สกิน ณ ฟาร์มโคนมประสิทธิภาพสูง อ.ส.ค. จากนั้นเดินทางไปตรวจเยี่ยมฟาร์มเกษตรกร พร้อมชมการฉีดพ่นยาฆ่าแมลง ณ ณัฎฐ์ฟาร์ม ตำบลมวกเหล็ก อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี
รมช.มนัญญา กล่าวว่า จากสถานการณ์การระบาดของโรคลัมปี สกิน (Lumpy skin disease) ที่ยังวิกฤติหนักในกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงโค-กระบือทั่วประเทศ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีฯ มีความห่วงใยต่อสถานการณ์อย่างมากและกำชับให้กระทรวงเกษตรฯ เร่งแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน ตนในฐานะกำกับดูแล อ.ส.ค. มีความห่วงใยต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมและสหกรณ์โคนมที่ส่งน้ำนมดิบให้กับสหกรณ์ทั่วประเทศ ซึ่งปัจจุบัน
อ.ส.ค. มีสมาชิกส่งน้ำนมดิบให้กับ อ.ส.ค. ทั่วประเทศจำนวน 5,952 ราย มีจำนวนโครวม 174,658 ตัว ส่งน้ำนมดิบให้อ.ส.ค.ประมาณ 874 ตัน/วัน โดยพื้นที่ภาคกลางมีสหกรณ์โคนมที่ส่งน้ำนมดิบมากที่สุดคือ จำนวน 15 สหกรณ์ มีเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม 2,380 ราย และจำนวนโคนม 65,863ตัว จึงได้สั่งการให้ อ.ส.ค.เฝ้าระวังโรคในพื้นที่พร้อมติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดอย่างใกล้ชิด และให้รายงานสถานการณ์ให้ทราบอย่างเร่งด่วนและต่อ
เนื่อง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม “ปัจจุบัน ประเทศไทยมีเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมทั่วประเทศประมาณ 11,393 ครอบครัว จำนวนโคทั้งหมด 427,311 ตัว หากไม่เร่งยับยั้งการระบาดในพื้นที่เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม อาจส่งผลกระทบต่อความเดือดร้อนของเกษตรกรและอุตสาหกรรมโคนมของประเทศในอนาคตได้ อย่างไรก็ตาม ขอความร่วมมือไม่ให้มีการลักลอบเคลื่อนย้ายโค กระบือที่เป็นโรค ซึ่งจะสร้างความเดือด
ร้อนให้กับสหกรณ์และเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม หากโคนมติดโรคอาจทำให้น้ำนมลดลง กระทบรายได้ ทั้งนี้ ขอเป็นกำลังใจให้กับเกษตรกร และเชื่อมั่นว่าสามารถยับยั้งการระบาดของโรคได้ ซึ่ง รมว.เกษตรฯ ได้เร่งนำเข้าวัคซีนป้องกันโรคลัมปี สกินในโค กระบือ ลอตแรก 60,000 โดส นอกจากนี้ ตนเตรียมลงพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์ และอำนาจเจริญ เพื่อติดตามสถานการณ์และมอบสิ่งของเวชภัณฑ์/ยาฆ่าแมลง ให้กับผู้เลี้ยงโคนม” รมช.มนัญญา
กล่าว ด้านนายสุชาติ จริยาเลิศศักดิ์ รองผู้อำนวยการ ทำการแทนผู้อำนวยการ อ.ส.ค. กล่าวว่า ปัจจุบัน อ.ส.ค. มีสหกรณ์และศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบในเขตพื้นที่ส่งเสริมของ อ.ส.ค.ทุกภูมิภาคจำนวน 52 แห่ง ปริมาณน้ำนมดิบ แยกเป็นพื้นที่ภาคกลางจำนวน 15 สหกรณ์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 10 สหกรณ์ ภาคใต้ 8 สหกรณ์ ภาคเหนือตอนบน (เชียงใหม่) 3 สหกรณ์และภาคเหนือตอนล่าง (สุโขทัย) จำนวน 16 สหกรณ์ ซึ่งทั้งหมดจะส่งน้ำนมดิบสำหรับป้อนกำลังผลิตผลิตภัณฑ์นมไทย-เดนมาร์คเพื่อจำน่ายในรูปแบบนม
พาณิชย์และนมโรงเรียนประมาณวันละ 600-800 ตัน/วัน ซึ่งจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคลัมปี สกิน ที่ส่งผลกระทบอยู่ในขณะนี้ ทำให้ อ.ส.ค. กำชับเจ้าหน้าที่กวดขันและเฝ้าระวังโรคอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดเข้ามาในพื้นที่การเลี้ยงโคนมของ อ.ส.ค.อย่างเข้มงวด เพื่อไม่ให้สร้างความเสียหายต่อเกษตรกรและอุตสาหกรรมนมของประเทศ รวมทั้งกระทบต่อธุรกิจอุตสาหกรรมโคนมของ อ.ส.ค. ในอนาคตด้วย.

อีกหนึ่งผลงาน “5 ยุทธศาสตร์เฉลิมชัย” “อลงกรณ์” เผยพร้อมตั้งสภาเกษตรอินทรีย์พีจีเอส. เป็นครั้งแรกในประเทศไทย พร้อมสร้างระ...
28/05/2021

อีกหนึ่งผลงาน “5 ยุทธศาสตร์เฉลิมชัย” “อลงกรณ์” เผยพร้อมตั้งสภาเกษตรอินทรีย์พีจีเอส. เป็นครั้งแรกในประเทศไทย พร้อมสร้างระบบบิ๊กดาต้าออร์กานิค (Organic Big Data) ล่าสุดขยายพื้นที่เกษตรอินทรีย์เกือบ 4 แสนไร่ พร้อมเดินหน้าเกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง (Urban Farming) จัดตั้งกลไกขับเคลื่อนทั่วประเทศแล้ว
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเกษตรกรรมยั่งยืน เปิดเผยถึงผลการประชุม ครั้งที่ 3/2564 ผ่านระบบ ZOOM โดยมี นายวิชัย ไตรสุรัตน์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงเกษตรฯ นายมนัส กำเนิดมณี ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรฯ นายธีระ วงษ์เจริญ ประธานอนุกรรมการเกษตรทฤษฎีใหม่และเกษตรผสมผสาน ผู้แทนสภาเกษตรกรแห่งชาติ นายปริญญา พรศิริชัยวัฒนา ประธานอนุกรรมการเกษตรอินทรีย์ ประธานชมรมเกษตรอินทรีย์แห่ง
ประเทศไทย คณะอนุกรรมการวนเกษตรและเกษตรธรรมชาติตัวแทนส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ภาคเอกชน และภาคเกษตรกร ร่วมหารือในประเด็นสำคัญ ในการติดตามความก้าวหน้าการขับเคลื่อนโครงการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง การดำเนินงานของคณะทำงานด้านเกษตรอินทรีย์ ด้านวนเกษตรและเกษตรธรรมชาติ และด้านเกษตรทฤษฎีใหม่และ
เกษตรผสมผสาน เพื่อการพัฒนาภาคการเกษตรไทยตาม “5 ยุทธศาสตร์เฉลิมชัย” ของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารการพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืน ตามแนวทางศาสตร์พระราชา
สำหรับผลการประชุมในวาระสำคัญ สรุปได้ดังนี้
1.โครงการการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง (Sustainable Urban Agriculture Development Project) มีเป้าประสงค์ในการพัฒนาเกษตรกรรมและเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเขตเมืองพร้อมกับการพัฒนาการเกษตรในเมือง (Urban Farming) ภายใต้นโยบายการพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืน และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 17 ประการของสหประชาชาติเพื่อ
โลกอนาคต (UN Sustainable Development Goals : 17 aspects for future world) ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายที่ 11 การพัฒนาเมืองและชุมชนอย่างยั่งยืน (Sustainable cities and communities: Make cities inclusive, safe, resilient and sustainable) ซึ่งในปี 2562 ประเทศไทยมีประชากรในเมืองมากกว่าในชนบทเป็นครั้งแรกตามปรากฏการณ์การขยายตัวของเมือง (Urbanization) ซึ่งก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อภาวะความไม่มั่นคง
ทางอาหารยิ่งขึ้นโดยอาศัยหน่วยงานภาครัฐ เอกชน เกษตรกร และภาคประชาชน ร่วมบูรณาการขับเคลื่อนพร้อมกัน เพื่อการพัฒนาและเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเมืองให้เกิดประสิทธิภาพและเป็นไปในทิศทางเดียวกันทั่วประเทศ ทั้งในระดับเขต ระดับจังหวัด เขตปกครองท้องถิ่น พื้นที่อยู่อาศัย สถานที่สำคัญต่างๆ ให้เป็นแหล่งผลิตอาหารสร้างความมั่นคงทางอาหารในเมือง
และเพิ่มพื้นที่สีเขียวโดยพัฒนาให้เป็นแหล่งเรียนรู้ เช่น จัดทำ QR code ให้ความรู้เกี่ยวกับชนิดของพืช และสมุนไพร รวมทั้งการใช้ประโยชน์
โดยจัดตั้งกลไกการขับเคลื่อนโครงการการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง ดังนี้
1) คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง ระดับเขต ตามการแบ่งเขตตรวจราชการของกระทรวงฯ
2) คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง ระดับจังหวัด
3) คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมืองในพื้นที่กรุงเทพมหานคร
4) คณะทำงานขับเคลื่อนโครงการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมืองในพื้นที่วัด (Green Temple)
5) คณะทำงานขับเคลื่อนโครงการการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมืองในพื้นที่วิทยาลัย (Green College)
6) คณะทำงานขับเคลื่อนโครงการการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมืองในพื้นที่โรงเรียน (Green School)
7) คณะทำงานขับเคลื่อนโครงการการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมืองในพื้นที่มหาวิทยาลัย (Green Campus)
8) คณะทำงานขับเคลื่อนโครงการการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมืองในพื้นที่การเคหะแห่งชาติ
9) คณะทำงานขับเคลื่อนโครงการการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมืองระดับชุมชนและท้องถิ่น (Green Community) และ
10) คณะทำงานขับเคลื่อนโครงการการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในพื้นที่อาคารชุด (Green Condo)
2.การจัดตั้งสถาบันเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการพิจารณาของสำนักพัฒนาระบบบริหาร ก่อนการดำเนินการต่อไป
3.การจัดทำระบบฐานข้อมูลกลางเกษตรอินทรีย์ (Organic Big Data Center)โดยสามารถเข้าชมได้ที่ https://organicmoac.ldd.go.th ข้อมูลปัจจุบัน ณ วันที่ 25 พฤษภาคม 2564 มีพื้นที่เกษตรอินทรีย์ในฐานข้อมูลออนไลน์ รวมทั้งสิ้น 397,037.24 ไร่
4.ความก้าวหน้าการจัดตั้งคณะกรรมการบริหารสภาเกษตรอินทรีย์ พี จี เอส แห่งประเทศไทย ขณะนี้พร้อมดำเนินการจัดตั้งโดยมีองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ ประกอบด้วย ประธานกรรมการ 1 คน กรรมการและเลขานุการ 1 คน โดยการคัดเลือกจากคณะกรรมการบริหารสภาฯ และกรรมการ จำนวน 20 คน แบ่งเป็น ผู้แทนองค์กรจัดระบบ (3 แห่ง) เกษตรกรเกษตรอินทรีย์ PGS 4 ภาค (8 คน), ผู้แทนสถาบันการศึกษา (4 แห่ง), ผู้ประกอบการด้าน
การผลิตเกษตรอินทรีย์ และจําหน่ายเกษตรอินทรีย์ PGS 4 แห่ง, เกษตรกรรุ่นใหม่ประเทศไทย (1 คน), สมาคม ผู้บริโภคอินทรีย์ไทย 1 แห่ง และผู้แทนภาครัฐ (1 แห่ง) โดยมีอำนาจหน้าที่หลัก ได้แก่ การกําหนดกรอบเกษตรอินทรีย์ระบบการรับรองแบบมีส่วนร่วม จัดระบบการกำกับดูแล และติดตาม การเทียบเคียง การยอมรับกระบวนการรับรองเกษตรอินทรีย์แบบมีส่วนร่วม
รวมทั้งสื่อสารประชาสัมพันธ์ จัดทําฐานข้อมูลเกษตรอินทรีย์ระบบการรับรอง แบบมีส่วนร่วม
5.ความก้าวหน้าโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ ขณะนี้มีผลดำเนินโครงการไปแล้ว โดยมีเป้าหมาย 4,009 ตำบล 648 อำเภอ 75 จังหวัด จำนวนเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ 29,706 ราย และมีจ้างงานจำนวน 14,076 ราย
6.คู่มือสำหรับประชาชนในการปฏิบัติตามข้อตกลงบันทึกความเข้าใจการส่งเสริมการปลูกไม้เศรษฐกิจในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม โดยที่ประชุมมอบหมายให้จัดทำคู่มือสำหรับประชาชนในเรื่องการส่งเสริมไม้เศรษฐกิจเป็นพืชเศรษฐกิจใหม่
7.นิยามใหม่ “วนเกษตร” ซึ่งผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการบริการการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนแล้วจะทำให้การพัฒนาวนเกษตรขยายตัวเพิ่มขึ้นหลังจากติดกรอบนิยามเดิมมาเป็นเวลานานหลายปี
8.เรื่องการจัดตั้งสถาบันเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) มีความคืบหน้าหลังจากคณะกรรมการบริหารการพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืนเห็นชอบในหลักการเมื่อวันที่ 13 พ.ค.ที่ผ่านมา ขณะนี้ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มอบให้สํานักพัฒนาระบบบริหาร สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรฯ พิจารณาดำเนินการต่อไปแล้ว.

27/05/2021
"วันวิสาขบูชา" เป็นวันสำคัญยิ่งทางพระพุทธศาสนา เพราะเป็นวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ คือเกิด ได้ตรัสรู้ คือสำเร็จ ได้ปรินิพพ...
26/05/2021

"วันวิสาขบูชา" เป็นวันสำคัญยิ่งทางพระพุทธศาสนา เพราะเป็นวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ คือเกิด ได้ตรัสรู้ คือสำเร็จ ได้ปรินิพพาน คือ ดับ เกิดขึ้นตรงกันทั้ง 3 คราวคือ
ประสูติ เป็นวันประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ ณ ลุมพินีสถาน เมื่อวันเพ็ญเดือน ๖ ตรงกับวันศุกร์ขึ้น ๑๕ ค่ำ ปีจอ ก่อนพุทธศักราช ๘๐ ปี เมื่อพระนางสิริมหามายา พระมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะ แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ ทรงพระครรภ์แก่จวนจะประสูติ พระนางได้รับพระบรมราชานุญาต จากพระสวามี ให้แปรพระราชฐานไปประทับ ณ กรุงเทวทหะ ซึ่งเป็นพระนครเดิมของพระนาง เพื่อประสูติในตระกูลของพระนางตามประเพณีนิยมในสมัยนั้น
ขณะเสด็จแวะพักผ่อนพระอิริยาบถใต้ต้นสาละ ณ สวนลุมพินีวัน พระนางก็ได้ประสูติพระโอรส ณ ใต้ต้นสาละนั้น ครั้นพระกุมารประสูติได้ ๕ วัน ก็ได้รับการถวายพระนามว่า "สิทธัตถะ" ซึ่งต่อมาพระองค์ได้ออกบวช จนบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ (ญาณอันประเสริฐสูงสุด) สำเร็จเป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า จึงถือว่าวันนี้เป็นวันประสูติของพระพุทธเจ้า
ตรัสรู้ เป็นวันที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ อนุตตรสัมโพธิญาณ ณ ร่มพระศรีมหาโพธิบัลลังก์ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม เมื่อวันเพ็ญเดือน ๖ ก่อนพุทธศักราช ๔๕ ปี การตรัสอริยสัจสี่ คือของจริงอันประเสริฐ ๔ ประการ ของพระพุทธเจ้า เป็นการตรัสรู้อันยอดเยี่ยม ไม่มีผู้เสมอเหมือน วันตรัสของพระพุทธเจ้า จึงจัดเป็นวันสำคัญ เพราะเป็นวันที่ให้เกิดมีพระพุทธเจ้าขึ้นในโลกชาวพุทธทั่วไป จึงเรียกวันวิสาขบูชาว่า วันพระพุทธ(เจ้า) อันมีประวัติว่า พระมหาบุรุษทรงบำเพ็ญเพียรต่อไป ที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์นั้น ทรงเริ่มบำเพ็ญสมาธิให้เกิดในพระทัย เรียกว่าการเข้า "ฌาน" เพื่อให้บรรลุ "ญาณ" จนเวลาผ่านไปจนถึง
ยามต้น : ทรงบรรลุ "ปุพเพนิวาสานุติญาณ" คือทรงระลึกชาติในอดีตทั้งของตนเองและผู้อื่น
* ยามสอง : ทรงบรรลุ "จุตูปปาตญาณ" คือการรู้แจ้งการเกิดและดับของสรรพสัตว์ทั้งหลาย
* ยามสาม : ทรงบรรลุ "อาสวักขญาณ" คือรู้วิธีกำจัดกิเลสด้วย อริยสัจสี่ ( ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ) ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในคืนวันเพ็ญเดือน ๖ ซึ่งขณะนั้น พระพุทธองค์มีพระชนมายุได้ ๓๕ พรรษา
ธรรมะที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ (อริยสัจ ๔) หรือ ความจริงอันประเสริฐ ๔ ประการ ได้แก่...
1. ทุกข์ คือ ความลำบาก ความไม่สบายกายไม่สบายใจ
2. สมุทัย คือ เหตุที่ทำให้เกิดทุกข์
3. นิโรธ คือ ความดับทุกข์ และ
4. มรรค คือ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งทุกข์
ทั้ง ๔ ข้อนี้ถือเป็นสัจธรรม เรียกว่า อริยสัจ เพราะเป็นสิ่งที่พระอริยเจ้าทรงค้นพบ เป็นสัจธรรมชั้นสูง ประเสริฐกว่าสัจธรรมสามัญทั่วไป
3. ปรินิพพาน เป็นวันปรินิพพานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ ร่มไม้รัง (ต้นสาละ) คู่ ในสาลวโนทยานของมัลลกษัตริย์ ใกล้เมืองกุสินารา เมื่อวันเพ็ญเดือน ๖ ก่อนพุทธศักราช ๑ ปี วันที่พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่ปรินิพพาน (ดับสังขารไม่กลับมาเกิดสร้างชาติ สร้างภพอีกต่อไป)
การปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ก็ถือเป็นวันสำคัญของชาวพุทธทั่วโลกเพราะชาวพุทธทั่วโลกได้สูญเสียดวงประทีป ของโลก เป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่และครั้งสำคัญชาวพุทธทั่วไปมีความเศร้าสลด เสียใจและอาลัยสุดจะพรรณนา อันมีประวัติว่าเมื่อพระพุทธองค์ได้ตรัสรู้และแสดงธรรมมาเป็นเวลานานถึง ๔๕ ปี ซึ่งมีพระชนมายุได้ ๘๐ พรรษา ได้ประทับจำพรรษา ณ เวฬุคาม ใกล้เมืองเวสาลี แคว้นวัชชี ในระหว่างนั้นทรงประชวรอย่างหนัก
ครั้นเมื่อถึงวันเพ็ญเดือน ๖ พระพุทธองค์กับพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย ก็ไปรับภัตตาหารบิณฑบาตที่บ้านนายจุนทะ ตามคำกราบทูลนิมนต์ พระองค์เสวยสุกรมัททวะที่นายจุนทะตั้งใจทำถวาย ก็เกิดอาพาธลง แต่ทรงอดกลั้นมุ่งเสด็จไปยังเมืองกุสินารา ประทับ ณ ป่าสาละ เพื่อเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ในราตรีนั้น ได้มีปริพาชกผู้หนึ่ง ชื่อสุภัททะขอเข้าเฝ้า และได้อุปสมบทเป็น
พระพุทธสาวกองค์สุดท้าย เมื่อถึงยามสุดท้ายของคืนนั้น พระพุทธองค์ก็ทรงประทานปัจฉิมโอวาทว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลายอันว่าสังขารทั้งหลายย่อมมีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงยังกิจทั้งปวงอันเป็นประโยชน์ของตนและประโยชน์ของผู้อื่นให้ บริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด" หลังจากนั้นก็เสด็จเข้าดับขันธ์ปรินิพพาน ในราตรีเพ็ญเดือน ๖ นั้น

ที่อยู่

Bangkok

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Maddog Newsonlineผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์