Media Alert MEDIA ALERT สะท้อนสื่อ สะท้อนสังคม

Media Alert เป็นโครงการภายใต้แผนการทำงานของสำนักงานกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ที่มีภารกิจในการนำเสนอผลการศึกษาวิเคราะห์สภาพการณ์สื่อและพฤติกรรมการเปิดรับและการใช้สื่อของสังคม โดยมุ่งหวังสร้างเสริมวัฒนธรรมการคิดวิเคราะห์ในการสื่อสาร การเปิดรับ และการใช้สื่อ เพื่อส่งเสริมนิเวศสื่อที่ปลอดภัยและสร้างสรรค์

เมื่อจินตนาการถูกตีตรา ด้วยคำว่า ‘ลามกอนาจาร’ ทำไมเขียนนิยายวายเป็น ‘ความผิด’ ในจีนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ‘นิยายวาย’ หรือ...
15/07/2025

เมื่อจินตนาการถูกตีตรา ด้วยคำว่า ‘ลามกอนาจาร’ ทำไมเขียนนิยายวายเป็น ‘ความผิด’ ในจีน
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ‘นิยายวาย’ หรือวรรณกรรมชายรักชาย (Boy’s Love) กลายเป็นหนึ่งในกระแสที่เติบโตเร็วที่สุดในวงการบันเทิงเอเชีย โดยเฉพาะในจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งรู้จักกันในชื่อ Danmei (ตันเหม่ย) ที่แปลตรงตัวว่า ‘ความงดงามอันวิไล’ นิยายหลายเรื่องได้รับความนิยมจนถูกนำไปสร้างเป็นซีรีส์ดังระดับชาติ เช่น The Untamed หรือ Word of Honor ที่มีฐานแฟนคลับกระจายอยู่ทั่วโลก
ทว่าความสำเร็จดังกล่าวกลับกลายเป็นสิ่งที่รัฐบาลจีน ‘จับตามอง’ อย่างเงียบๆ มาหลายปีกับข้อครหาเส้นบางๆ ระหว่าง ‘จินตนาการ’ กับ ‘ความผิดทางกฎหมาย’ ที่กำลังถูกตีเส้นใหม่อย่างเข้มงวด และหนึ่งในเป้าหมายหลักคือ นิยายวายหรือ Danmei วรรณกรรมชายรักชายที่กลายเป็นปรากฏการณ์วัฒนธรรมของยุค

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ‘นิยายวาย’ หรือวรรณกรรมชายรักชาย (Boy’s Love) กลายเป็นหนึ่งในกระแสที่เติบโตเร็วที่สุดในว...

เกิดอะไรขึ้นกับสมองของเราเมื่อรับชมวิดีโอด้วยความเร็วสูงกว่าปกติ?เราหลายคนเคยชินกับการฟังพอดแคสต์ หนังสือเสียง และคอนเทน...
15/07/2025

เกิดอะไรขึ้นกับสมองของเราเมื่อรับชมวิดีโอด้วยความเร็วสูงกว่าปกติ?
เราหลายคนเคยชินกับการฟังพอดแคสต์ หนังสือเสียง และคอนเทนต์ออนไลน์ต่าง ๆ ด้วยความเร็วที่สูงขึ้น สำหรับคนรุ่นใหม่ นี่อาจเป็นเรื่องปกติไปแล้ว

ตัวอย่างเช่น การสำรวจนักเรียนในแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่า 89% ของพวกเขาเปลี่ยนความเร็วในการฟังบรรยายออนไลน์ ในขณะที่มีบทความในสื่อแขนงต่าง ๆ แสดงให้เห็นถึงความแพร่หลายของการดูแบบรวดเร็ว

มันเป็นเรื่องง่ายที่จะคิดถึงข้อดีในการดูสิ่งต่าง ๆ ได้เร็วขึ้น เพราะมันช่วยให้เราเสพเนื้อหาได้มากขึ้นในเวลาที่น้อยลง หรือทบทวนเนื้อหาเดิมหลาย ๆ ครั้งเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด

สิ่งนี้อาจมีประโยชน์อย่างยิ่งในบริบททางการศึกษา เนื่องจากสามารถประหยัดเวลาในการรวบรวมความรู้ ทำแบบทดสอบภาคปฏิบัติ ฯลฯ

การรับชมวิดีโออย่างรวดเร็วเป็นวิธีที่ดีในการดึงดูดความสนใจของเราตลอดระยะเวลาของวิดีโอ และช่วยป้องกันไม่ให้จิตใจของเราวอกแวก

เนื่องจากหน่วยความจำในการทำงานของคนเรามีความจุจำกัด หากข้อมูลเข้ามามากเกินไปและเร็วเกินไป ข้อมูลเหล่านั้นอาจล้นทะลักออกมาได้ ส่งผลให้เกิดภาระทางปัญญาและสูญเสียข้อมูล
อ่านได้ที่นี่ https://bbc.in/44sVjq4

15 กรกฎาคม Social Media Giving Day - มาส่งต่อพลังบวกในโลกโซเชียล สร้างแรงบันดาลใจกัน...ทราบหรือไม่ว่า วันที่ 15 กรกฎาคม ...
15/07/2025

15 กรกฎาคม Social Media Giving Day - มาส่งต่อพลังบวกในโลกโซเชียล สร้างแรงบันดาลใจกัน...
ทราบหรือไม่ว่า วันที่ 15 กรกฎาคม ถือเป็นวันที่มีความหมายสำหรับโลกออนไลน์อยู่เหมือนกัน เพราะนี่คือวันแห่งการให้ผ่านโซเชียลมีเดีย (Social Media Giving Day) ดังนั้น เราจึงอยากขอเชิญชวนให้ทุกคนที่มีส่วนใช้ชีวิตในโลกออนไลน์และโลกโซเชียล เป็น "หัวจ่าย" ช่วยส่งต่อพลังบวกในโลกโซเชียล สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่นและคนรอบข้าง
[ วันแห่งการให้ผ่านโซเชียลมีเดียคืออะไร ? ]
วันแห่งการให้ผ่านโซเชียลมีเดีย (Social Media Giving Day) ถือเป็น แคมเปญระดับโลกที่ริเริ่มในปี 2013 โดย Givver.com และผู้ก่อตั้ง Chris Sommers เพื่อกระตุ้นให้ผู้คนใช้แพลตฟอร์มอย่าง Facebook, X (ชื่อเดิมคือ Twitter), Instagram, TikTok และอื่น ๆ เพื่อเป็นช่องทางให้การสนับสนุนองค์กรการกุศล พร้อมเชิญชวนให้บริจาค โดยมีทั้งอินฟลูเอนเซอร์ ผู้นำองค์กรไม่แสวงหากำไร และเจ้าหน้าที่รัฐท้องถิ่นร่วมหนุนหลัง

15 กรกฎาคม Social Media Giving Day - มาส่งต่อพลังบวกในโลกโซเชียล สร้างแรงบันดาลใจกัน เพราะการส่งต่อเรื่องราวดีๆ มันช่างมีค...

กรณีนี้ ไม่ได้ต่างจากข่าวการแอบถ่ายที่ผู้หญิงตกเป็นเหยื่อจากชายแท้หลายคนที่ออกข่าวในประเทศไทยอยู่บ่อยๆ แม้จะมีคนที่กล่าว...
14/07/2025

กรณีนี้ ไม่ได้ต่างจากข่าวการแอบถ่ายที่ผู้หญิงตกเป็นเหยื่อจากชายแท้หลายคนที่ออกข่าวในประเทศไทยอยู่บ่อยๆ แม้จะมีคนที่กล่าวโทษเหยื่อผู้หญิง หรือออกแนว sexual harassment ซ้ำด้วยการขอวาร์ปก็มีอยู่ไม่น้อย ถึงอย่างนั้นคนที่ออกมาปกป้องหรือยืนเคียงข้างเหยื่อก็มีอยู่มากเช่นเดียวกัน แน่นอนว่าเมื่อพูดถึง sexual harassment หรือความรุนแรงทางเพศ ผู้ชายมักถูกมองด้วยอคติเหมารวมว่าอยู่ในสถานะ ‘ผู้กระทำ’ มากกว่า ‘ผู้ถูกกระทำ’ เนื่องจากภาพจำจากข่าวและตัวเลขสถิติต่างๆ ที่ยังชี้ว่าผู้หญิงยังตกเป็นเหยื่อมากกว่า ทำให้ความเป็นชายยังคงผูกติดกับการใช้อำนาจทางเพศกดขี่คนเพศอื่น นั้นทำให้ในวันที่ผู้ชายตกเป็น ‘เหยื่อ’ บ้าง บางส่วนในสังคมจึงมองเป็นเรื่องที่ไม่รุนแรงมาก เพราะอาจยึดติดกับค่านิยมความเป็นชายที่ต้องเข้มแข็ง หรือดูไม่เสียหายอะไรมาก ซึ่งนั่นอาจส่งผลเสียตามมา หากทำให้ผู้ชายหลายคนเริ่มที่จะ ‘กลัว’ หรือ ‘ไม่กล้า’ ที่จะออกมาขอความช่วยเหลือเมื่อตัวเองถูกกระทำ เพราะกลัวคนในสังคมไม่เข้าใจ และไม่รับฟังปัญหา
และจากกรณีเจ๊หงส์ ก็เป็นอีกกรณีที่น่ากังวลไม่ใช่น้อย หากเสียงของสังคมส่วนใหญ่ๆ ยังไม่ได้คิดจะยืนเคียงข้าง ‘เหยื่อ’ มากเท่าที่ควร หนำซ้ำสื่อออนไลน์ หรืออินฟลูฯ บนโลกโซเชียลฯ ก็มีบางส่วนมองเรื่องนี้เป็นเรื่องตลกๆ นำเสนอคอนเทนต์ที่มีน้ำเสียงที่ ‘ไม่จริงจัง’ กับความรุนแรงนี้ โดยที่ได้ผู้ชายหล่อๆ ซึ่งเป็นเรื่องน่าเศร้าไม่ใช่น้อย ที่ความรู้สึกของเหยื่อไม่ถูกนำมาเป็นประเด็นที่พูดถึง

ชื่อของ ‘เจ๊หงส์’ หรือ ‘Sister Hong’ หรือ ‘Red Uncle’ ว่อนโลกโซเชียลฯ ไม่หยุดพักมาหลายวัน และหน้าฟีดของหลายๆ คนก็คงเต็มไปด้วยคอนเทนต์แนวๆ ตั้งคำถามว่า ทำไมเจ๊หงส์ถึงได้กินเรียบ บ้างก็ออกมาวิเคราะห์กลยุทธ์ที่เจ๊หงส์ใช้ในการเข้าหาหนุ่มตี๋ บ้างก็ออกมาทำคลิปฯ ตลกๆ แต่งตัวตามเจ๊หงส์ ในฐานะ ‘ไอดอล’ ในการจิกผู้ชาย แล้วย้ำว่า เริ่มมีหวังกับเหล่าตี๋น้อย เพราะไม่ต้องสวยก็สามารถเอาชนะใจได้ ถ้าเข้าหาอย่างถูกจุด บ้างก็ขอ ‘วาร์ป’ หนุ่มหล่อในคลิปฯ กันเต็ม…ซึ่งน้ำเสียงของผู้คนในโลกโซเชียลฯ ที่ออกมาในลักษณะนี้ (ไม่ใช่ทั้งหมด แต่ก็พบเห็นได้เยอะเลยทีเดียว) ชวนให้อดสงสัยไม่ได้ว่า ทุกคนลืมไปหรือเปล่าว่าเจ๊หงส์เป็น ‘อาชญากร’ และผู้ชายทุกคนที่อยู่ในคลิปฯ ของเจ๊หงส์ ล้วน ‘ถูกแอบถ่าย’ และล้วนตกเป็น ‘เหยื่อ’ ไม่ใช่เรื่องน่าขำ หรือควรจะลดทอนความรุนแรงต่ออาชญากรรมครั้งนี้ในทุกกรณี
ข่าวใหญ่สะเทือนประเทศจีน ที่กลายเป็นกระแสอย่างมากในประเทศไทยไปด้วย เกิดขึ้นเมื่อตำรวจในเมืองหนานจิง เข้าจับกุมชายวัย 38 ปี ที่เผยแพร่คลิปฯ ขณะมีเซ็กซ์กับผู้ชายนับพันคนลงบนโลกโซเชียลฯ โดยวิธีการซ่อนกล้องแอบถ่าย และเก็บเงินค่าสมาชิกเข้าชม 150 หยวนต่อคน ซึ่งวิธีการล่อลวงผู้ชายมามีเซ็กซ์แบบยินยอมพร้อมใจของเขาคือการแต่งหน้า ใส่วิก แต่งหญิง และสร้างคาแรกเตอร์เป็นหญิงม่ายแสนอบอุ่นสุดฮีลใจในแอปฯ หาคู่ เพื่อนำไปสู่การมีเซ็กซ์กัน และถ่ายคลิปฯ เหล่านั้นมาหารายได้เข้ากระเป๋า
แม้จะเป็นความรุนแรงที่สร้างความเสียหายต่อเหยื่อแบบเต็มๆ แต่ทิศทางของผู้คน โดยเฉพาะในไทย กลับมีท่าทีทำให้เรื่องนี้ดูมีความเบาบางลง เมื่อคนดันกดขำกันเต็มเฟซบุ๊ก ราวกับว่านี่เป็นเรื่องขำๆ ที่คนหน้าตาซึ่งคนส่วนมากพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่ตรงบิวตี้สแตนดาร์ด ได้มีเซ็กซ์กับหนุ่มหล่อมากหน้าหลายตาที่ส่วนมากตรงบิวตี้สแตนดาร์ด ตรงสเปคใครหลายๆ คน จนทำให้คนเลือกจะไปโฟกัส ‘วิธีการ’ การเข้าหาของเจ๊หงส์ ว่าทำอย่างไรถึงมัดใจชายหนุ่มได้ จะได้ทำตามบ้าง ไม่ว่าจะเป็นเพราะการให้ความอบอุ่น จะเทคนิคการพูดจาที่ชวนหลง การเป็นที่พึ่งทางใจ หรือจะลีลาเซ็กซ์ใดๆ ซึ่งแม้ว่าการนัดเย หรือมีเซ็กซ์กับใครหลายๆ คน จะเป็นพฤติกรรมที่ไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด หากทุกฝ่ายยินยอมพร้อมใจ แต่เมื่อมีการแอบถ่ายขึ้นมาโดยอีกฝ่ายไม่ยินยอม นั่นถือเป็นเรื่อง ‘ผิด’ ทันที ซึ่งคนเสพข่าวก็ควรจะแยกแยะเส้นตรงนี้ให้ได้อย่างชัดเจน ไม่ใช่เอามารวมกัน ซึ่งอาจสะท้อนความคิดของผู้คนบางส่วนที่มองว่าเมื่อ ‘เหยื่อ’ เป็นผู้ชาย บางคนจะคิดว่าไม่มีอะไรเสียหายมากนัก หรือมองว่าเขาจะไม่เจ็บปวดเท่าเหยื่อที่เป็นผู้หญิง (?) ซึ่งนั่นเป็นความคิดที่ผิด เพราะไม่ว่าเหยื่อจะเป็นเพศไหน จะเป็นหญิง เป็น LGBTQ+ หรือเป็นชาย ก็ไม่มีใครควรถูกหลอกลวง หรือถูกตกเป็นเหยื่อการถูกแอบถ่ายโดยไม่ยินยอมทั้งสิ้น และการถูกเอาหน้าของตัวเองไปเผยแพร่บนโลกออนไลน์โดยไม่ยินยอม แน่นอนว่าสร้างความเสียหาย และส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตและการใช้ชีวิตได้ไม่น้อย ที่สำคัญ ยังเต็มไปด้วยความเสี่ยงต่อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์แบบไม่ทันตั้งตัวของเหยื่อ เมื่อเจ๊หงส์มีเซ็กซ์กับเหยื่อแปลกหน้านับพันคนรัวๆ
กรณีนี้ ไม่ได้ต่างจากข่าวการแอบถ่ายที่ผู้หญิงตกเป็นเหยื่อจากชายแท้หลายคนที่ออกข่าวในประเทศไทยอยู่บ่อยๆ แม้จะมีคนที่กล่าวโทษเหยื่อผู้หญิง หรือออกแนว sexual harassment ซ้ำด้วยการขอวาร์ปก็มีอยู่ไม่น้อย ถึงอย่างนั้นคนที่ออกมาปกป้องหรือยืนเคียงข้างเหยื่อก็มีอยู่มากเช่นเดียวกัน แน่นอนว่าเมื่อพูดถึง sexual harassment หรือความรุนแรงทางเพศ ผู้ชายมักถูกมองด้วยอคติเหมารวมว่าอยู่ในสถานะ ‘ผู้กระทำ’ มากกว่า ‘ผู้ถูกกระทำ’ เนื่องจากภาพจำจากข่าวและตัวเลขสถิติต่างๆ ที่ยังชี้ว่าผู้หญิงยังตกเป็นเหยื่อมากกว่า ทำให้ความเป็นชายยังคงผูกติดกับการใช้อำนาจทางเพศกดขี่คนเพศอื่น นั้นทำให้ในวันที่ผู้ชายตกเป็น ‘เหยื่อ’ บ้าง บางส่วนในสังคมจึงมองเป็นเรื่องที่ไม่รุนแรงมาก เพราะอาจยึดติดกับค่านิยมความเป็นชายที่ต้องเข้มแข็ง หรือดูไม่เสียหายอะไรมาก ซึ่งนั่นอาจส่งผลเสียตามมา หากทำให้ผู้ชายหลายคนเริ่มที่จะ ‘กลัว’ หรือ ‘ไม่กล้า’ ที่จะออกมาขอความช่วยเหลือเมื่อตัวเองถูกกระทำ เพราะกลัวคนในสังคมไม่เข้าใจ และไม่รับฟังปัญหา
และจากกรณีเจ๊หงส์ ก็เป็นอีกกรณีที่น่ากังวลไม่ใช่น้อย หากเสียงของสังคมส่วนใหญ่ๆ ยังไม่ได้คิดจะยืนเคียงข้าง ‘เหยื่อ’ มากเท่าที่ควร หนำซ้ำสื่อออนไลน์ หรืออินฟลูฯ บนโลกโซเชียลฯ ก็มีบางส่วนมองเรื่องนี้เป็นเรื่องตลกๆ นำเสนอคอนเทนต์ที่มีน้ำเสียงที่ ‘ไม่จริงจัง’ กับความรุนแรงนี้ โดยที่ได้ผู้ชายหล่อๆ ซึ่งเป็นเรื่องน่าเศร้าไม่ใช่น้อย ที่ความรู้สึกของเหยื่อไม่ถูกนำมาเป็นประเด็นที่พูดถึง
เราเลยอยากชวนทบทวนกันอีกสักครั้งว่า การกระทำของเจ๊หงส์เป็นสิ่งที่ไม่ควรถูกยอมรับหรือถูกทำให้เป็นเรื่องปกติในสังคม และเหยื่อควรได้รับการถูก ‘ปกป้อง’ มากกว่าถูก ‘เมคฟัน’ ไม่ว่าจะเป็นเพศอะไรก็ตาม

เมื่อ T-POP กลับมาฮอตฮิตอีกครั้งในชั่วโมงนี้ หลังจากความสำเร็จของค่าย kəmikəze เมื่อ 17 ปีที่แล้ว อุตสาหกรรมเพลงไทยในปัจ...
14/07/2025

เมื่อ T-POP กลับมาฮอตฮิตอีกครั้งในชั่วโมงนี้ หลังจากความสำเร็จของค่าย kəmikəze เมื่อ 17 ปีที่แล้ว อุตสาหกรรมเพลงไทยในปัจจุบันจึงทั้งคึกคักและน่าจับตามองอย่างมาก

ทั้งแฮชแทก ที่ใช้กันทั่วโลกกว่าหลายล้านครั้งบน TikTok เพียงแพลตฟอร์มเดียว ทั้งการถือกำเนิดของรายการเพลงที่ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมทีป๊อปอย่าง T-POP Stage และ Thailand Music Countdown หรือกระแสทีป๊อปพับลิกแดนซ์ที่คึกคักในหลายๆ พื้นที่ โดยเฉพาะบริเวณบล็อค i ใจกลางสยามสแควร์ รวมไปถึงสถิติที่ NIKKEI Asia เปิดเผยว่าทีป๊อปกำลังได้รับความนิยมในหมู่คนไทยและอาเซียน จากสถิติส่วนแบ่งของเพลงที่ผลิตในประเทศกำลังเติบโตขึ้นในตลาดเพลงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วย
แรงส่งจากความก้าวหน้าทางดิจิทัลที่ช่วยลดต้นทุนการผลิตและการจัดจำหน่าย ซึ่งที่น่าสนใจก็คือ โดยภาพรวม คนไทยมีแนวโน้มการฟังเพลงจากต่างประเทศน้อยลง และหันมาฟังเพลงโลคัลอย่างทีป๊อปเพิ่มมากขึ้น
ไปจนถึงเหตุผลอื่นๆ ที่ผลักให้ทีป๊อปโดดเด่น เช่น เสน่ห์ของเพลงที่ทั้งสนุก ย่อยง่าย แถมไอดอลยังเป็นกันเอง มีความเป็นมนุษย์สูง และมีอิสระในการแสดงออกตัวตนอย่างหลากหลาย

ถัดจากนี้คือเพลย์ลิสต์จากไทยรัฐพลัสที่ช่วยสะท้อนหมุดหมายว่าทีป๊อปกำลังเติบโตในหมู่คนฟังเพลงไทยในพ.ศ.นี้

เพลย์ลิสต์จากไทยรัฐพลัสที่สะท้อนหมุดหมายว่าทีป๊อปกำลังเติบโตในหมู่คนฟังเพลงไทยในพ.ศ.นี้

“ข่าว โฆษณา สินค้าในแพล็ตฟอร์มออนไลน์ช้อปปิ้ง คลิปสั้นขำขัน หรือแม้แต่รูปของใครสักคนจากอีกมุมโลก มาปรากฎให้เราเห็นได้ ด้...
14/07/2025

“ข่าว โฆษณา สินค้าในแพล็ตฟอร์มออนไลน์ช้อปปิ้ง คลิปสั้นขำขัน หรือแม้แต่รูปของใครสักคนจากอีกมุมโลก มาปรากฎให้เราเห็นได้ ด้วยการทำงานของโลกแห่งอัลกอริทึม ชุดคำสั่งที่ถูกออกแบบมาเพื่อประมวลผลข้อมูล เพื่อจัดอันดับผลลัพธ์ในการแนะนำเนื้อหา หรือปรับเปลี่ยนไปตามประสบการณ์ ให้เหมาะสมกับความต้องการของแต่ละบุคคล”
“จนเราอาจเริ่มรู้สึกว่า เราเลือกอะไรเองน้อยลงทุกวัน เพลงที่ฟัง หนังที่ดู แม้แต่ไอ้หมาเด็ก สาวแมวดำที่กำลังคุยในแอปฯ หาคู่ ก็อาจเป็นสิ่งที่อัลกอริทึมจัดแจงให้เสร็จสรรพ นั่นแปลว่าตัวเลือกที่เราคิดว่าเราเลือกด้วยตัวเองแล้ว มันกลับเป็นตัวเลือกที่ถูกเลือกมาแล้วว่าเหมาะกับเราอีกขั้นหนึ่ง โดยที่เรายังไม่ทันได้คิดด้วยซ้ำว่าอยากเลือกตัวเลือกเหล่านั้นจริงๆ ไหม”
“นั่นอาจเพราะอัลกอริทึมรู้จักเราทุกย่างก้าว อิงแอบกับเราแทบทุกเวลา รู้ว่าเราจะกดดูอะไรตอนห้าทุ่ม รู้ว่าเราสั่งเมนูไหนบ่อยในตอนเช้า รู้จักกระทั่งเพื่อนวัยเด็กที่ไม่ได้ติดต่อกันมานาน ถ้าเป็นแบบนี้เราจะยังนับว่าเรามีเสรีภาพได้อยู่หรือเปล่า”

คอลัมน์ ‘ปรัชญาว่าไง?’ วันนี้ชวนตั้งคำถามถึงเสรีภาพ ในวันที่เราเลือกอะไรเองได้น้อยลง เพราะอัลกอริทึมคัดสรรสิ่งที่จะเข้ามาในสายตาให้เราเรียบร้อยแล้ว
“ข่าว โฆษณา สินค้าในแพล็ตฟอร์มออนไลน์ช้อปปิ้ง คลิปสั้นขำขัน หรือแม้แต่รูปของใครสักคนจากอีกมุมโลก มาปรากฎให้เราเห็นได้ ด้วยการทำงานของโลกแห่งอัลกอริทึม ชุดคำสั่งที่ถูกออกแบบมาเพื่อประมวลผลข้อมูล เพื่อจัดอันดับผลลัพธ์ในการแนะนำเนื้อหา หรือปรับเปลี่ยนไปตามประสบการณ์ ให้เหมาะสมกับความต้องการของแต่ละบุคคล”
“จนเราอาจเริ่มรู้สึกว่า เราเลือกอะไรเองน้อยลงทุกวัน เพลงที่ฟัง หนังที่ดู แม้แต่ไอ้หมาเด็ก สาวแมวดำที่กำลังคุยในแอปฯ หาคู่ ก็อาจเป็นสิ่งที่อัลกอริทึมจัดแจงให้เสร็จสรรพ นั่นแปลว่าตัวเลือกที่เราคิดว่าเราเลือกด้วยตัวเองแล้ว มันกลับเป็นตัวเลือกที่ถูกเลือกมาแล้วว่าเหมาะกับเราอีกขั้นหนึ่ง โดยที่เรายังไม่ทันได้คิดด้วยซ้ำว่าอยากเลือกตัวเลือกเหล่านั้นจริงๆ ไหม”
“นั่นอาจเพราะอัลกอริทึมรู้จักเราทุกย่างก้าว อิงแอบกับเราแทบทุกเวลา รู้ว่าเราจะกดดูอะไรตอนห้าทุ่ม รู้ว่าเราสั่งเมนูไหนบ่อยในตอนเช้า รู้จักกระทั่งเพื่อนวัยเด็กที่ไม่ได้ติดต่อกันมานาน ถ้าเป็นแบบนี้เราจะยังนับว่าเรามีเสรีภาพได้อยู่หรือเปล่า”
“The MATTER ชวนมาสำรวจเรื่องเสรีภาพในโลกที่ถูกขับเคลื่อนด้วยอัลกอริทึมในแง่มุมทางปรัชญา กับ ผู้ช่วยศาสตราจารย์คงกฤช ไตรยวงค์ อาจารย์ภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร”
อ่านบทความได้ที่: https://thematter.co/social/what-does-philosophy-say/freedom-in-the-world-of-algorithm/246359

#อัลกอริทึม #คอลัมน์ปรัชญาว่าไง #ปรัชญา

ทำไมตั๋วคอนเสิร์ตสมัยนี้ถึงราคา ‘แพงมาก’และน่าจะ 'แพงขึ้น' ไปเรื่อยๆช่วงต้นเดือนกรกฎาคม 2025 แฟนเพลงชาวไทยก็ได้ตื่นเต้นก...
09/07/2025

ทำไมตั๋วคอนเสิร์ตสมัยนี้
ถึงราคา ‘แพงมาก’
และน่าจะ 'แพงขึ้น' ไปเรื่อยๆ
ช่วงต้นเดือนกรกฎาคม 2025 แฟนเพลงชาวไทยก็ได้ตื่นเต้นกับการประกาศทัวร์ SEA ของวง ‘My Chemical Romance’ ก่อนจะอึ้งไปกับค่าตั๋วคอนเสิร์ตที่เริ่มต้นที่ 2,500 บาท และไปจบที่ 12,000 บาท โดยหลายคนก็อาจจะมองไปประเทศอื่นในภูมิภาคว่าจริงๆ ตั๋วคอนเสิร์ตของเขา 'ถูกกว่า' เรานิดหน่อย (เช่นมาเลเซีย)
แต่เอาจริงๆ ปรากฏการณ์ 'ตั๋วคอนเสิร์ตแพง' เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั่วโลก และเราควรจะมองเป็นปรากฏการณ์ระดับโลก เพราะนี่ก็คืออุตสาหกรรมที่สินค้าของมันขายไปทั่วโลก
ในอเมริกา คนจะโทษว่าราคาตั๋วคอนเสิร์ตแพงเพราะ 'การผูกขาด' ของผู้จัดคอนเสิร์ต Live Nation และผู้จัดจำหน่ายตั๋วคอนเสิร์ตอย่าง Ticketmaster ที่ควบรวมบริษัทกันเมื่อ 10 ปีก่อน ในปี 2010 แต่ความเป็นจริง หลายฝ่ายก็เห็นว่าแม้ว่าการผูกขาดมันจะมีส่วนในปรากฏการณ์ตั๋วคอนเสิร์ตแพง แต่นั่นไม่ใช่เรื่องราวทั้งหมดที่นำเรามาถึงจุดนี้
คนในอุตสาหกรรมดนตรีค่อนข้างจะเห็นตรงกันว่า ที่จริงพื้นฐานการเปลี่ยนแปลงมันมาจาก 'สถานะของคอนเสิร์ต' เองด้วย
ในอดีต ตลอดช่วงสงครามเย็นในครึ่งหลังศตวรรษที่ 20 คอนเสิร์ตหรือ 'ทัวร์' จะถูกจัดขึ้นเพื่อ 'โปรโมตการขายอัลบั้ม' เป็นหลัก เพราะรายได้ในอุตสาหกรรมดนตรีเกิดจากการผลิตงานดนตรีมาขาย ดังนั้นในยุคโน้นนักดนตรีไม่ได้สนใจรายได้จากคอนเสิร์ตเท่าไร เพราะเกียรติยศจริงๆ ในวัฒนธรรมป๊อปมันเกิดจากการได้ชื่อว่าอัลบั้มขายได้กี่ล้านแผ่น มากกว่าเล่นคอนเสิร์ตใหญ่ขนาดไหน และตั๋วแพงเท่าไร

BIZ: ทำไมตั๋วคอนเสิร์ตสมัยนี้
ถึงราคา ‘แพงมาก’
และน่าจะ 'แพงขึ้น' ไปเรื่อยๆ
ช่วงต้นเดือนกรกฎาคม 2025 แฟนเพลงชาวไทยก็ได้ตื่นเต้นกับการประกาศทัวร์ SEA ของวง ‘My Chemical Romance’ ก่อนจะอึ้งไปกับค่าตั๋วคอนเสิร์ตที่เริ่มต้นที่ 2,500 บาท และไปจบที่ 12,000 บาท โดยหลายคนก็อาจจะมองไปประเทศอื่นในภูมิภาคว่าจริงๆ ตั๋วคอนเสิร์ตของเขา 'ถูกกว่า' เรานิดหน่อย (เช่นมาเลเซีย)
แต่เอาจริงๆ ปรากฏการณ์ 'ตั๋วคอนเสิร์ตแพง' เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั่วโลก และเราควรจะมองเป็นปรากฏการณ์ระดับโลก เพราะนี่ก็คืออุตสาหกรรมที่สินค้าของมันขายไปทั่วโลก
ในอเมริกา คนจะโทษว่าราคาตั๋วคอนเสิร์ตแพงเพราะ 'การผูกขาด' ของผู้จัดคอนเสิร์ต Live Nation และผู้จัดจำหน่ายตั๋วคอนเสิร์ตอย่าง Ticketmaster ที่ควบรวมบริษัทกันเมื่อ 10 ปีก่อน ในปี 2010 แต่ความเป็นจริง หลายฝ่ายก็เห็นว่าแม้ว่าการผูกขาดมันจะมีส่วนในปรากฏการณ์ตั๋วคอนเสิร์ตแพง แต่นั่นไม่ใช่เรื่องราวทั้งหมดที่นำเรามาถึงจุดนี้
คนในอุตสาหกรรมดนตรีค่อนข้างจะเห็นตรงกันว่า ที่จริงพื้นฐานการเปลี่ยนแปลงมันมาจาก 'สถานะของคอนเสิร์ต' เองด้วย
ในอดีต ตลอดช่วงสงครามเย็นในครึ่งหลังศตวรรษที่ 20 คอนเสิร์ตหรือ 'ทัวร์' จะถูกจัดขึ้นเพื่อ 'โปรโมตการขายอัลบั้ม' เป็นหลัก เพราะรายได้ในอุตสาหกรรมดนตรีเกิดจากการผลิตงานดนตรีมาขาย ดังนั้นในยุคโน้นนักดนตรีไม่ได้สนใจรายได้จากคอนเสิร์ตเท่าไร เพราะเกียรติยศจริงๆ ในวัฒนธรรมป๊อปมันเกิดจากการได้ชื่อว่าอัลบั้มขายได้กี่ล้านแผ่น มากกว่าเล่นคอนเสิร์ตใหญ่ขนาดไหน และตั๋วแพงเท่าไร
แรงจูงใจของนักดนตรีสมัยนิยิมช่วงนั้น คือการขยายฐานคนฟังเพลงให้กว้างที่สุดเพื่อให้อัลบั้มขายได้มากที่สุด คอนเสิร์ตมีไปเพื่อทำให้คนรู้จักมากขึ้นและซื้ออัลบั้มมากขึ้น และถ้าใครโตมาในช่วงนั้นก็อาจโชคดีได้ทันดูวงดนตรียักษ์ใหญ่ไปเล่นดนตรีในผับบาร์เล็กๆ แบบค่าตั๋วถูกๆ เพื่อโปรโมตอัลบั้มกันอยู่บ้าง
แต่ในศตวรรษที่ 21 เมื่ออินเทอร์เน็ตแพร่หลาย ผู้คนเลิก 'ซื้ออัลบั้ม' อุตสาหกรรมดนตรีแทบจะกลับตาลปัตร ส่วนที่เคยมีอำนาจที่สุดอย่างอุตสาหกรรมบันทึกเสียงมีอำนาจน้อยลงมาก และส่วนที่ขยายตัวมากคืออุตสาหกรรมดนตรีสด
อุตสาหกรรมดนตรีสดขยาย เพราะแม้แต่นักดนตรีรุ่นใหญ่ที่สมัยก่อนวันๆ ไม่เคยต้องทำอะไรนอกจาก 'รอส่วนแบ่งยอดขายอัลบั้ม' ก็ต้องออกทัวร์ทั่วโลกเพื่อหารายได้ และนี่ทำให้คอนเสิร์ตได้เปลี่ยนเป้าหมายจากการเพียงแค่โปรโมตอัลบั้ม ไปเป็นการ 'ทดแทนรายได้จากการขายอัลบั้ม'
พูดง่ายๆ คือ มันไม่มีใครยอมรับค่าตัวน้อยๆ เพื่อให้อัลบั้มขายดีขึ้นอีกแล้ว ทุกคนต้องการหาเงินจากการออกทัวร์ และนี่เองที่ทำให้ราคาตั๋วคอนเสิร์ตไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ ตลอดศตวรรษที่ 21
แต่ถามว่ามันมีแค่นั้นไหม? คำตอบคือไม่ใช่ ในอุตสาหกรรมคอนเสิร์ตที่ทุกคนแข่งขันกันแย่งเงินจากกระเป๋าแฟนเพลง ราคาตั๋วที่ทะยานขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีแต่แฟนเดนตายเท่านั้นที่จะตามดูทุกคอนเสิร์ตไหว และสิ่งที่เกิดขึ้นในทางปฏิบัติจริงๆ คือขนาดคนบ้าดูคอนเสิร์ตก็ยังต้องกัดฟันเลือกไปดูแค่คอนเสิร์ตที่อยากดูจริงๆ เพราะไม่มีเงินจะซื้อตั๋วคอนเสิร์ตดูทุกเดือนหรือทุกอาทิตย์ แบบในยุคที่ตั๋วคอนเสิร์ตราคาถูกๆ อีกแล้ว
ผลของการแข่งขันนี้ ทำให้ผู้จัดคอนเสิร์ตตระหนักว่า ถ้าไม่จัดคอนเสิร์ตแบบอลังการแบบคุ้มค่าตั๋วจริง คนจะไม่มาดู และความอลังการนี้มันก็จะทำให้ยิ่งมีการถ่ายคลิปไปโพสต์กระตุ้นให้คนอยากดูกันไปอีก ตามตรรกะของยุคที่กระแสโซเชียลมีเดียกำหนดได้แทบทุกอย่าง
ดังนั้นการขยายโปรดักชันจนใหญ่โตแบบที่ไม่ทำกันในยุคก่อนแน่ๆ ถือเป็นเรื่องปกติ และของพวกนี้ล้วนมีต้นทุน และถามว่าต้นทุนไปอยู่ที่ไหน ใครเป็นคนแบกรับ คำตอบก็คืออยู่ในราคาตั๋วคอนเสิร์ตนั่นเอง
ในอเมริกา หลังจาก Live Nation กับ Ticketmaster รวมตัวกัน การใช้ราคาตั๋วคอนเสิร์ตแบบตามราคาตลาด (dynamic pricing) คือเรื่องปกติ โดยหลักมันคือการใช้อัลกอริทึมปรับราคาตั๋วขึ้นลงตามความต้องการของคนดู ดังนั้นเราก็จะไม่เห็นราคาตั๋วคอนเสิร์ตในอเมริกา เพราะระบบนี้ทำให้คนที่ยืนข้างๆ กันในคอนเสิร์ตอาจจะจ่ายค่าตั๋วในราคาต่างกันคนละโลกก็ได้ คนที่รีบซื้อวันแรกๆ ที่คนแห่ไปซื้อกันเยอะๆ ก็จะเจอราคาที่แพง ส่วนถ้าตั๋วขายไม่หมด คนที่ซื้อก่อนวันที่เขาปิดขายตั๋วไม่กี่วัน ก็อาจได้ราคาถูกมากก็เป็นได้
แต่กลับกันในประเทศอื่นๆ ที่ใช้ระบบราคาตั๋วคอนเสิร์ตแบบคงที่ เราจะเห็นได้เลยว่าราคาตั๋วคอนเสิร์ตมันเพิ่มขึ้นจริง ซึ่งถ้าคิดเร็วๆ เทียบกันให้เห็นเลย ราคาตั๋วคอนเสิร์ตวงร็อกอเมริกันรุ่นใหม่ที่ทัวร์ SEA เหมือนกันอย่าง ‘Avenged Sevenfold’ ในปี 2015 เริ่มต้นที่ 1,500 บาทเท่านั้น ในยุคที่วงรุ่งเรืองด้วยซ้ำ แต่มาวันนี้ราคาตั๋วของวงร็อกดาวค้างฟ้าแบบ My Chemical Romance เริ่มต้นที่ 2,500 บาท (ทั้งคู่เล่นที่ Impact Arena เหมือนกัน)
แล้วปัญหานี้จะถูกแก้ไขได้อย่างไร?
ถ้าเป็นฝั่งอเมริกา เขาจะมองว่าถ้ารัฐบาลกลางจริงจังในการใช้กฎหมาย 'ต้านการผูกขาด' มากกว่านี้ แล้วทำการแยกบริษัท LiveNation กับ Ticketmaster ออกจากกันสถานการณ์จะดีขึ้น ซึ่งนั่นก็ต้องเป็นไปพร้อมกับการจัดการพวกอุตสาหกรรมขายตั๋วคอนเสิร์ตมือสอง หรือพวกเอาตั๋วคอนเสิร์ตมาขายแบบเก็งกำไรด้วย
แต่ใดๆ ก็ตาม ทางออกแบบนี้ก็อาจยังไม่จบ เพราะสิ่งที่ทุกคนมองเห็นแต่เพียงปัญหาตรงนี้ลืมไปก็คือ ไม่ว่าจะวงดนตรีและทุกคนในอุตสาหกรรมดนตรีสดก็ล้วนต้องกินข้าว และในยุคที่ข้าวยากหมากแพงอย่างทุกวันนี้ นี่คือธุรกิจที่สามารถขึ้นค่าบริการได้อยู่ โดยสถิติชี้ชัดเจนว่าบรรดาอุตสาหกรรมการแสดงสด เป็นอุตสาหกรรมที่สามารถขึ้นราคาตั๋วมาได้ยาวนาน ไม่ว่าเศรษฐกิจจะดีหรือไม่ดี ราคามันก็ขึ้นมาตลอด
ดังนั้น ถ้าจะพิจารณาจากทั้งที่มาที่ไปของปัญหาและสถิติแล้ว ก็บอกได้เลยว่า ไม่ว่าจะที่ไหนในโลก ราคาตั๋วคอนเสิร์ตก็ไม่น่าจะลดลงเร็วๆ นี้เป็นแน่ กลับกันคือน่าจะมีแต่เพิ่มขึ้นมากกว่า


สรุป Creator Trends รูปแบบ "คลิปสั้น" ครองตลาด จับตา 5 หมวดคอนเทนต์มาแรงInfluencer และ Creator ยังเป็นเครื่องมือการตลาดท...
09/07/2025

สรุป Creator Trends รูปแบบ "คลิปสั้น" ครองตลาด จับตา 5 หมวดคอนเทนต์มาแรง
Influencer และ Creator ยังเป็นเครื่องมือการตลาดทรงพลัง เป็นอุตสาหกรรมที่เติบโต ในประเทศไทยมีมูลค่ากว่า 45,000 ล้านบาท ในงาน Creative Talk Conference 2025 หรือ CTC 2025 เจาะลึก Creator Trends 2026 "อินฟลูฯเฟ้อ ครีเอเตอร์เอาไงต่อ"
คุณขจร เจียรนัยพานิชย์ ผู้บริหารบริษัท เดอะ ซีโร่ พับบลิชชิ่ง จำกัดและผู้จัดงาน iCreator Conference สรุปรายงานจาก iCreator Report ปี 2024
- แพลตฟอร์มที่มีสัดส่วนครีเอเตอร์มากที่สุด คือ Facebook สัดส่วน 31% ตามด้วย TikTok 27% , Instagram 25% และ YouTube 17%
- จำนวนครีเอเตอร์จากแพลตฟอร์ม TikTok ใกล้เคียง Facebook ทุกแพลตฟอร์มมีจำนวนครีเอเตอร์สัดส่วนใกล้เคียงกัน เห็นได้ว่าไม่มีแพลตฟอร์มไหน winner take all
- สรุป 10 หมวดครีเอเตอร์ยอดนิยม 1.ไลฟ์สไตล์ 19% 2.บิวตี้ & แฟชั่น 17% 3.ท่องเที่ยว 8% 4. บันเทิง 8% 5. เกม 7% 6. อาหาร เครื่องดื่มและคาเฟ่ 7% 7. ข่าว 4% 8. ครอบครัวและเด็ก 3% 9. Art & Literature 2% 10. สัตว์เลี้ยง 2% โดยหมวดที่มาแรงคือสัตว์เลี้ยง จากสังคมสูงวัย คนโสด ที่นิยมเลี้ยงสัตว์เป็นเพื่อน
- หมวดคอนเทนต์ที่มียอดวิวสูงสุด 1. ไลฟ์สไตล์ 2. บันเทิง 3. ครอบครัวและเด็ก 4. อาหาร เครื่องดื่มและคาเฟ่ 5. บิวตี้ & แฟชั่น 6. เกม 7. ท่องเที่ยว 8. ข่าว
- สำรวจ 30 หมวดครีเอเตอร์ พบว่าแนวโน้มหมวดคอนเทนต์ที่ได้รับความนิยมบนแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น กลุ่มบิวตี้ TikTok เป็นแพลตฟอร์มที่ได้เอนเกจเมนต์แซงหน้า Instagram ส่วนกลุ่มบันเทิง YouTube ยังเป็นแพลตฟอร์มที่แข็งแกร่ง กลุ่มไลฟ์สไตล์ ทุกแพลตฟอร์มได้รับความนิยมใกล้เคียงกัน ขณะที่รถยนต์ Facebook และ YouTube ครองอันดับสูงสุด ดังนั้นการทำคอนเทนต์ต้องเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสม

สรุป Creator Trends รูปแบบ "คลิปสั้น" ครองตลาด จับตา 5 หมวดคอนเทนต์มาแรง
Influencer และ Creator ยังเป็นเครื่องมือการตลาดทรงพลัง เป็นอุตสาหกรรมที่เติบโต ในประเทศไทยมีมูลค่ากว่า 45,000 ล้านบาท ในงาน Creative Talk Conference 2025 หรือ CTC 2025 เจาะลึก Creator Trends 2026 "อินฟลูฯเฟ้อ ครีเอเตอร์เอาไงต่อ"
คุณขจร เจียรนัยพานิชย์ ผู้บริหารบริษัท เดอะ ซีโร่ พับบลิชชิ่ง จำกัดและผู้จัดงาน iCreator Conference สรุปรายงานจาก iCreator Report ปี 2024
- แพลตฟอร์มที่มีสัดส่วนครีเอเตอร์มากที่สุด คือ Facebook สัดส่วน 31% ตามด้วย TikTok 27% , Instagram 25% และ YouTube 17%
- จำนวนครีเอเตอร์จากแพลตฟอร์ม TikTok ใกล้เคียง Facebook ทุกแพลตฟอร์มมีจำนวนครีเอเตอร์สัดส่วนใกล้เคียงกัน เห็นได้ว่าไม่มีแพลตฟอร์มไหน winner take all
- สรุป 10 หมวดครีเอเตอร์ยอดนิยม 1.ไลฟ์สไตล์ 19% 2.บิวตี้ & แฟชั่น 17% 3.ท่องเที่ยว 8% 4. บันเทิง 8% 5. เกม 7% 6. อาหาร เครื่องดื่มและคาเฟ่ 7% 7. ข่าว 4% 8. ครอบครัวและเด็ก 3% 9. Art & Literature 2% 10. สัตว์เลี้ยง 2% โดยหมวดที่มาแรงคือสัตว์เลี้ยง จากสังคมสูงวัย คนโสด ที่นิยมเลี้ยงสัตว์เป็นเพื่อน
- หมวดคอนเทนต์ที่มียอดวิวสูงสุด 1. ไลฟ์สไตล์ 2. บันเทิง 3. ครอบครัวและเด็ก 4. อาหาร เครื่องดื่มและคาเฟ่ 5. บิวตี้ & แฟชั่น 6. เกม 7. ท่องเที่ยว 8. ข่าว
- สำรวจ 30 หมวดครีเอเตอร์ พบว่าแนวโน้มหมวดคอนเทนต์ที่ได้รับความนิยมบนแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น กลุ่มบิวตี้ TikTok เป็นแพลตฟอร์มที่ได้เอนเกจเมนต์แซงหน้า Instagram ส่วนกลุ่มบันเทิง YouTube ยังเป็นแพลตฟอร์มที่แข็งแกร่ง กลุ่มไลฟ์สไตล์ ทุกแพลตฟอร์มได้รับความนิยมใกล้เคียงกัน ขณะที่รถยนต์ Facebook และ YouTube ครองอันดับสูงสุด ดังนั้นการทำคอนเทนต์ต้องเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสม
#คลิปสั้นคอนเทนต์มาแรง
การทำคอนเทนต์ในยุคนี้มีหลายรูปแบบจากแพลตฟอร์มที่หลากหลาย จากการเก็บข้อมูลคอนเทนต์ในประเทศไทย สรุปรูปแบบคอนเทนต์ที่ได้รับความนิยมได้ดังนี้
- คลิปสั้น 82%
- วิดีโอยาว 26.3%
- บทความสั้น 35.7%
- บทความยาว 15%
- ภาพเดี่ยว 53.8%
- ภาพอัลบั้ม 47.2%
- ไลฟ์ 14.1%
- พอดแคสต์ 6.8%
เห็นได้ว่า "คลิปสั้น" กำลังครองตลาดและคนไทยนิยมดู การทำคลิปสั้น สามารถลงได้ทุกแพลฟอร์ม ส่วนรูปแบบ "ไลฟ์" เพิ่มขึ้นสูง คนชอบดูเพราะได้พูดคุยโต้ตอบ และแพลตฟอร์มต่างๆ มีเครื่องมือให้ไลฟ์ได้ง่าย รวมทั้งสามารถสร้างรายได้ ทั้งการโดเนท ยอดวิว โดยไม่ต้องรอสปอนเซอร์
#เทรนด์คอนเทนต์AIกำลังได้รับความนิยม
- ก่อนหน้านี้มีประเด็นดราม่าการใช้ AI ในการทำคอนเทนต์และโฆษณา แต่แนวโน้มปีนี้มีการใช้ AI ทำคอนเทนต์มากขึ้น จากเครื่องมือที่สะดวก เช่น AI รายงานข่าว ในมุมคนดูเริ่มยอมรับมากขึ้น เนื่องจากคอนเทนต์ดูสนุก
- เดือนมิถุนายน 2568 พบว่าช่อง YouTube ที่มียอด Subscribe มากที่สุดในโลก 30 ช่องแรก ในจำนวนนี้มี 2 ช่อง ที่คอนเทนต์ทำจาก AI 100% สะท้อนแนวโน้มว่าคนดูยอมรับคอนเทนต์ AI มากขึ้น
- ปัจจุบันถือเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านที่คนเริ่มยอมรับคอนเทนต์ AI มากขึ้น บรรดาครีเอเตอร์เองเริ่มนำ AI เข้ามาช่วยทำคอนเทนต์
#วิธีสร้างรายได้ครีเอเตอร์
ข้อมูลจาก iCreator Report สรุปวิธีการหารายได้ของครีเอเตอร์ดังนี้
1. รายได้จากแพลตฟอร์ม 46.6%
2. คอนเทนต์สปอนเซอร์และแบรนด์ 37.8%
3. คอนเทนต์ปักตระกร้าขายสินค้า 25.6%
4. ไม่ได้รับรายได้จากการทำคอนเทนต์ 22.9%
5. วิทยากร 10.7%
6. การโดเนทและของขวัญ 7.1%
7. การออกสินค้า 5.6%
8. ค่าลิขสิทธิ์ 4.9%
9. การจัดกิจกรรม 3.8%
10. การสมัครสมาชิก 3.4%
ครีเอเตอร์หรือบล็อกเกอร์ยุคแรก 95% รายได้มาจากแบรนด์จ้างทำคอนเทนต์ แต่ปัจจุบันน้อยมากที่จะรับรายได้จากแบรนด์ 100% เพราะมีหลายช่องทางสร้างรายได้ ไม่ว่าจะขายสินค้าเมอร์เชนไดส์ อีเวนต์ รายได้จากแพลตฟอร์ม การทำคอนเทนต์เอ็กซ์คลูซีฟจ่ายเงินค่าสมาชิกรับชม ซึ่งผู้ชมพร้อมสนับสนุน เพราะรายได้จากฝั่งแบรนด์มีแนวโน้มลดลง ครีเอเตอร์จึงต้องปรับตัวเพื่อให้อยู่รอดได้ ซึ่งการสร้างคอมมูนิตี้อาจไม่พอ ต้องหารายได้จากหลายช่องทาง
ปัจจุบันคนเลือกซื้อสินค้าจากครีเอเตอร์จำนวนมาก มีงานวิจัยระบุว่า "ครีเอเตอร์" ที่ทำคอนเทนต์เก่ง และหันมาทำแบรนด์สินค้าเอง เช่น สกินแคร์ น้ำดื่ม จะได้เปรียบคนที่ทำสินค้า (แบรนด์) แล้วมาทำงานคอนเทนต์ (ครีเอเตอร์)เอง
โดยเห็นแนวโน้ม "แบรนด์" ผันตัวเองมาเป็นครีเอเตอร์ ใช้งบประมาณที่จ้างครีเอเตอร์มาสร้างทีมทำคอนเทนต์เอง ทั้งทำคอนเทนต์ ไลฟ์ขายของ เพราะเห็นโอกาสอุตสาหกรรมครีเอเตอร์ยังเติบโตได้อีก
ในยุคที่มีครีเอเตอร์จำนวนมาก การอยู่รอดในเส้นทางนี้ ต้องสร้างตัวตนให้ชัดเจน เจาะช่องว่างกลุ่มนิชมาร์เก็ต ใช้ AI ช่วยทำงาน เชื่อว่าตลาดคอนเทนต์ครีเอเตอร์ยังไปได้ต่อ
#จับตา5หมวดคอนเทนต์มาแรง
คุณสุวิตา จรัญวงศ์ ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง Tellscore อินฟลูเอนเซอร์ แพลตฟอร์ม กล่าวว่าในยุคที่ "อินฟลูเอนเซอร์" มีจำนวนมาก วันนี้หมวดคอนเทนต์แบบเดิมๆ ไม่เพียงพอกับความสนใจของผู้บริโภคที่แยกย่อยในหลากหลายประเภทคอนเทนต์ ข้อมูลอินไซต์ประเภทคอนเทนต์ใหม่ ที่ได้รับความสนใจใน 5 หมวดมาแรงดังนี้
.
1. Scam Alert การเตือนภัยจากมิจฉาชีพรูปแบบต่างๆ ได้รับความนิยมมากขึ้น ซึ่งมาจากความต้องการของผู้ชม ที่ระวังภัยจากมิจฉาชีพ ภัยไซเบอร์ พนันออนไลน์ จึงเห็นครีเอเตอร์ทั่วไปและนักข่าวทำคอนเทนต์ประเภทนี้มากขึ้น

2. Joy Feed คอนเทนต์เรื่องสนุก ตลก สัตว์เลี้ยงต่างๆ เพราะคนไทยเครียดจากหลากหลายปัญหา

3. In Search for Equality คอนเทนต์ประเภทสร้างความเท่าเทียม การเข้าถึง เช่น เรื่องการเรียนรู้ การศึกษา

4. In Search for Income คอนเทนต์แนะนำการหารายได้เสริม สะท้อนจาก 67% ของมนุษย์เงินเดือนในประเทศไทยมีรายได้เดือนชนเดือน อาชีพเดียวไม่พอ ต้องหารายได้เสริม

5. Entrepreneur Life คอนเทนต์ประเภทนำเสนอชีวิตผู้ประกอบการอาชีพต่างๆ สะท้อนว่าคนมองหาความสำเร็จ
- ปี 2025 ตลาดอินฟลูเอนเซอร์ทั่วโลกมีมูลค่า 1 ล้านล้านบาท ในไทยมูลค่าอยู่ที่ 45,000 ล้านบาท เห็นได้ว่าคอนเทนต์ ครีเอเตอร์ ยังเป็นอุตสาหกรรมที่เติบโตได้เมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ชะลอตัวจากเศรษฐกิจ เพราะเมื่อสินค้าขายไม่ได้ก็ต้องพึ่งพาครีเอเตอร์ - อินฟลูเอนเซอร์ เป็นกระบอกเสียง

ติดตามพวกเราได้ที่ LINE : https://lin.ee/jv1JAk4
Youtube : https://www.youtube.com/brandbuffet
X : https://twitter.com/brandbuffet

ในโลกยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีการสื่อสารก้าวล้ำไปอย่างไม่หยุดยั้ง "สื่อ" มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อวิถีชีวิตของผู้คนในทุกมิติ...
09/07/2025

ในโลกยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีการสื่อสารก้าวล้ำไปอย่างไม่หยุดยั้ง "สื่อ" มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อวิถีชีวิตของผู้คนในทุกมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของวงการบันเทิงและวัฒนธรรมแฟนคลับ ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นช่องทางในการเผยแพร่ผลงานของศิลปิน แต่ยังเป็นเครื่องมือที่ทรงอิทธิพลในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างศิลปินและแฟนคลับให้ใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น แต่กลับกันในความใกล้ชิดมีเส้นบาง ๆ กั้นระหว่างความรักและการคุกคาม ปรากฏการณ์นี้เป็นที่รู้จักในนาม “ #ซาแซงแฟน” (Sasaeng Fan) ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่รุกล้ำความเป็นส่วนตัวของศิลปิน
“ฉันรู้สึกเหมือนได้รู้จักไอดอลที่ฉันรักมากขึ้นและใกล้ชิดมากขึ้น ถ้าฉันไปคอนเสิร์ตก็จะมีคนมาชมเป็นพัน ๆ คน ไอดอลก็จะไม่รู้ว่าฉันเป็นใคร แต่ถ้าฉันกลายเป็นซาแซง พวกเขาจะจำฉันได้ ถ้าฉันบอกพวกเขาซ้ำ ๆ ว่า 'ฉันคือคนนั้นคนนี้ ฉันเคยเห็นคุณที่นั่นมาก่อน ฉันคือคนนั้นคนนี้' พวกเขาจะเริ่มสังเกตเห็นฉันและถามว่า 'คุณมาอีกไหมวันนี้'” สำหรับซาแซงแฟน การที่ไอดอลจำฉันได้ถือเป็นเรื่องดี
เมื่อสื่อเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เกิดการขยายพฤติกรรมความรัก ความหลงใหล ให้กลายเป็นความรุนแรง ของซาแซงแฟน ซึ่งอาจนำไปสู่พฤติกรรมการลอกเลียนแบบแฟนคลับคนอื่น ๆ เพียงเพื่อต้องการได้เข้าถึง ได้ใกล้ชิดกับศิลปินในลักษณะเดียวกัน หรืออาจเพียงเพราะต้องการเป็นที่รู้จักและยอมรับในกลุ่มซาแซงแฟนด้วยกัน
อ่าน ซาแซงแฟน: เมื่อสื่อมีส่วนทำให้ความรัก ข้ามเส้นเป็นภัยคุกคาม : https://www.thaimediafund.or.th/article-07072025/
#สะท้อนสื่อสะท้อนสังคม
#กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ #สื่อสร้างสรรค์เพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคม

“อุตสาหกรรมข่าวไทยกำลังเผชิญวิกฤตจากแหล่งรายได้จากโฆษณาที่ลดลง การพึ่งพา ‘เนื้อหาแบรนด์’ (branded content) ทำให้เส้นแบ่ง...
07/07/2025

“อุตสาหกรรมข่าวไทยกำลังเผชิญวิกฤตจากแหล่งรายได้จากโฆษณาที่ลดลง การพึ่งพา ‘เนื้อหาแบรนด์’ (branded content) ทำให้เส้นแบ่งระหว่าง ‘ความเป็นข่าว’ และ ‘การตลาด-การโฆษณา’ เลือนราง และบั่นทอน ‘ความเป็นอิสระทางบรรณาธิการ’ (editorial independence) จนอ่อนแอลง”
นี่คือส่วนหนึ่งของภาพสถานการณ์สื่อไทยที่ Reuters Institute for the Study of Journalism ฉายให้เห็นจากรายงาน Digital News Report Survey 2025 ซึ่งเพิ่งเผยแพร่ออกมาสู่สายตาสาธารณชนสดๆ ร้อนๆ เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2025
ปฏิเสธไม่ได้ว่า เม็ดเงินจากอุตสาหกรรมโฆษณาคือแหล่งทรัพยากรสำคัญที่หล่อเลี้ยงให้องค์กรสื่อจำนวนไม่น้อยทำหน้าที่ในการผลิตข่าวสารที่เป็นประโยชน์ออกมาสู่สาธารณะได้ แลกกับการที่ทำให้โฆษณาได้รับการมองเห็นเป็นวงกว้าง แต่ปัจจุบัน แหล่งรายได้จากโฆษณาเริ่มตกถึงมือองค์กรสื่อน้อยลง พวกเขาก็ต้อง ‘ปรับตัว’ เพื่อความอยู่รอด แต่ดูเหมือนว่าแนวทางการปรับตัวกลับวนกลับมาทำร้าย ‘ความเป็นสื่อ’ ที่ต้องเป็นอิสระปราศจาการแทรกแซงในการตัดสินใจนำเสนอข่าวสาร ซึ่งยิ่งลดทอนความน่าเชื่อถือและมูลค่าของสื่อจนอาจเป็นวงจรวิกฤตของทั้งวงการ
คำถามคือ องค์กรสื่อยังมีทางรอดทางการเงินและคุณค่าความเป็นสื่อดำรงอยู่ได้พร้อมกันมากแค่ไหน มีแนวทางอะไรหรือไม่ที่อาจเป็น ‘แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์’ ขององค์กรสื่อ

ท่ามกลางวิกฤตสื่อที่การพึ่งพารายได้จากงบโฆษณาเอกชนและรัฐบั่นทอนความเป็นอิสระของสื่อ คำถามคือ องค์กรสื....

AI กินเรียบ! ยอดคลิกลิงก์ข่าวจากหน้าเสิร์ชลดลง คนกดลิงก์ข่าวจาก ChatGPT มากถึง 25 ล้านคลิกจากรายงานของ Similarweb พบว่าพ...
04/07/2025

AI กินเรียบ! ยอดคลิกลิงก์ข่าวจากหน้าเสิร์ชลดลง คนกดลิงก์ข่าวจาก ChatGPT มากถึง 25 ล้านคลิก
จากรายงานของ Similarweb พบว่าพฤติกรรมการคลิกลิงก์ข่าวในหน้าค้นหาของคนเปลี่ยนไปหลังจากมี AI เข้ามา โดยจำนวนคนที่คลิกลิงก์เว็บไซต์ในหน้า Google Search น้อยลง หลังจากที่ Google เปิดตัวฟีเจอร์ AI Overview เมื่อช่วงกลางปีก่อน เนื่องจาก AI สามารถสรุปเนื้อหาได้ครบจบในหน้าเดียว รวมถึงคนส่วนใหญ่หันไปใช้ ChatGPT ในการค้นหาข่าวเพิ่มขึ้นถึง 212% จากปีก่อน จึงทำให้ Traffic การกดเข้าชมเว็บไซต์ข่าวลดลงตามไปด้วย
เดิมทีจำนวนคนที่ค้นหาข่าวแต่ไม่กดคลิกลิงก์มีเพียง 56% เท่านั้น แต่ปัจจุบันกระโดดเป็น 69% และยอด Organic Traffic ยังร่วงจาก 2.3 พันล้านวิว เหลือต่ำกว่า 1.7 พันล้านวิวอีกด้วย รวมถึงด้าน ChatGPT ก็มีคนใช้งานเพิ่มขึ้น 2 เท่าในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ส่งผลให้ยอด Traffic ของเว็บไซต์ข่าวที่มาจาก ChatGPT เพิ่มขึ้นจาก 1 ล้านเป็น 25 ล้านคลิก หรือเรียกว่าเพิ่มขึ้น 25 เท่าภายในหนึ่งปีเลยทีเดียว
โดยเว็บไซต์ข่าวที่มียอดคลิกลิงก์จาก ChatGPT เพิ่มขึ้น ได้แก่ Reuters เพิ่มขึ้น 8.9%, New York Post เพิ่มขึ้น 7.1%, Business Insider 6.5% และ New York Times ที่แม้จะมียอดคลิกลิงก์เพิ่มขึ้น 3.1% แต่สำนักข่าวก็ยังคงฟ้อง OpenAI เรื่องละเมิดลิขสิทธิ์อยู่
เห็นได้ชัดว่า ChatGPT เข้ามามีบทบาทสำคัญในวงการสื่อ โดยเฉพาะการทำหน้าที่เป็นแหล่งข้อมูลข่าว แต่สุดท้ายแล้ว AI ก็ยังไม่สามารถทดแทน Traffic และรายได้ที่สื่อได้จากการค้นหาแบบเดิมทั้งหมดได้อยู่ดี อย่างไรก็ตามสื่อจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อหาวิธีเอาตัวรอดในยุค AI-first

AI กินเรียบ! ยอดคลิกลิงก์ข่าวจากหน้าเสิร์ชลดลง คนกดลิงก์ข่าวจาก ChatGPT มากถึง 25 ล้านคลิก
จากรายงานของ Similarweb พบว่าพฤติกรรมการคลิกลิงก์ข่าวในหน้าค้นหาของคนเปลี่ยนไปหลังจากมี AI เข้ามา โดยจำนวนคนที่คลิกลิงก์เว็บไซต์ในหน้า Google Search น้อยลง หลังจากที่ Google เปิดตัวฟีเจอร์ AI Overview เมื่อช่วงกลางปีก่อน เนื่องจาก AI สามารถสรุปเนื้อหาได้ครบจบในหน้าเดียว รวมถึงคนส่วนใหญ่หันไปใช้ ChatGPT ในการค้นหาข่าวเพิ่มขึ้นถึง 212% จากปีก่อน จึงทำให้ Traffic การกดเข้าชมเว็บไซต์ข่าวลดลงตามไปด้วย
เดิมทีจำนวนคนที่ค้นหาข่าวแต่ไม่กดคลิกลิงก์มีเพียง 56% เท่านั้น แต่ปัจจุบันกระโดดเป็น 69% และยอด Organic Traffic ยังร่วงจาก 2.3 พันล้านวิว เหลือต่ำกว่า 1.7 พันล้านวิวอีกด้วย รวมถึงด้าน ChatGPT ก็มีคนใช้งานเพิ่มขึ้น 2 เท่าในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ส่งผลให้ยอด Traffic ของเว็บไซต์ข่าวที่มาจาก ChatGPT เพิ่มขึ้นจาก 1 ล้านเป็น 25 ล้านคลิก หรือเรียกว่าเพิ่มขึ้น 25 เท่าภายในหนึ่งปีเลยทีเดียว
โดยเว็บไซต์ข่าวที่มียอดคลิกลิงก์จาก ChatGPT เพิ่มขึ้น ได้แก่ Reuters เพิ่มขึ้น 8.9%, New York Post เพิ่มขึ้น 7.1%, Business Insider 6.5% และ New York Times ที่แม้จะมียอดคลิกลิงก์เพิ่มขึ้น 3.1% แต่สำนักข่าวก็ยังคงฟ้อง OpenAI เรื่องละเมิดลิขสิทธิ์อยู่
เห็นได้ชัดว่า ChatGPT เข้ามามีบทบาทสำคัญในวงการสื่อ โดยเฉพาะการทำหน้าที่เป็นแหล่งข้อมูลข่าว แต่สุดท้ายแล้ว AI ก็ยังไม่สามารถทดแทน Traffic และรายได้ที่สื่อได้จากการค้นหาแบบเดิมทั้งหมดได้อยู่ดี อย่างไรก็ตามสื่อจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อหาวิธีเอาตัวรอดในยุค AI-first
ที่มา: https://techcrunch.com/2025/07/02/chatgpt-referrals-to-news-sites-are-growing-but-not-enough-to-offset-search-declines/
อ่านบนเว็บไซต์ https://www.rainmaker.in.th/chatgpt-news-website-traffic/
-----
💙 ช่องทางการติดตาม RAiNMaker 💙
→ Facebook: https://www.facebook.com/rainmakerth
→ X: www.twitter.com/rainmakerth
→ YouTube: https://bit.ly/2XHVlbJ
→ TikTok: https://www.tiktok.com/
→ Instagram: https://www.instagram.com/rainmakerth
→ Website: www.rainmaker.in.th

ที่อยู่

Bangkok
10400

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Media Alertผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง Media Alert:

แชร์

ประเภท