Media Alert MEDIA ALERT สะท้อนสื่อ สะท้อนสังคม

Media Alert เป็นโครงการภายใต้แผนการทำงานของสำนักงานกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ที่มีภารกิจในการนำเสนอผลการศึกษาวิเคราะห์สภาพการณ์สื่อและพฤติกรรมการเปิดรับและการใช้สื่อของสังคม โดยมุ่งหวังสร้างเสริมวัฒนธรรมการคิดวิเคราะห์ในการสื่อสาร การเปิดรับ และการใช้สื่อ เพื่อส่งเสริมนิเวศสื่อที่ปลอดภัยและสร้างสรรค์

จีนออกกฎคุมอินฟลูเอนเซอร์! พูดเรื่องจริงจังต้องมีใบรับรองวิชาชีพ ไม่งั้นโดนปรับเกือบครึ่งล้านCyberspace Administration o...
30/10/2025

จีนออกกฎคุมอินฟลูเอนเซอร์! พูดเรื่องจริงจังต้องมีใบรับรองวิชาชีพ ไม่งั้นโดนปรับเกือบครึ่งล้าน
Cyberspace Administration of China (CAC) ได้เริ่มบังคบใช้กฎหมายใหม่ในจีนเมื่อ 25 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยมีกำหนดให้เหล่าอินฟลูเอนเซอร์ในจีนที่ทำคอนเทนต์จริงจัง ไม่ว่าจะเป็นเกี่ยวกับสายอาชีพการแพทย์ กฎหมาย การศึกษา หรือการเงิน จะต้องมีหลักฐานใบวิชาชีพ หรือใบวุฒิแสดงความเชี่ยวชาญรองรับด้วย
ซึ่งแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น Douyin ที่เหมือนกับ TikTok ของจีน, Bilibili และ Weibo จะต้องเพิ่มการตรวจสอบข้อมูลส่วนตัวของอินฟลูเอนเซอร์ในจีนให้เข้มงวดมากขึ้น เพื่อให้แน่ใจว่ามีการอ้างอิงมาจากแหล่งข้อมูลที่ใช้ทำคอนเทนต์น่าเชื่อถือจริง โดยเฉพาะการศึกษาวิจัยนั้นมีส่วนประกอบของการใช้ AI หรือไม่
โดยตามข้อมูลของ IOL กฎหมายนี้ครอบคลุมมากกว่าแค่การสร้างคอนเทนต์แบบรายบุคคล โดยกำหนดให้แพลตฟอร์มต่าง ๆ ต้องให้ความรู้กับครีเอเตอร์ถึงความรับผิดชอบของตัวเองเมื่อมีการแชร์คอนเทนต์ออกไปบนแพลตฟอร์ม

จีนออกกฎคุมอินฟลูเอนเซอร์! พูดเรื่องจริงจังต้องมีใบรับรองวิชาชีพ ไม่งั้นโดนปรับเกือบครึ่งล้าน
Cyberspace Administration of China (CAC) ได้เริ่มบังคบใช้กฎหมายใหม่ในจีนเมื่อ 25 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยมีกำหนดให้เหล่าอินฟลูเอนเซอร์ในจีนที่ทำคอนเทนต์จริงจัง ไม่ว่าจะเป็นเกี่ยวกับสายอาชีพการแพทย์ กฎหมาย การศึกษา หรือการเงิน จะต้องมีหลักฐานใบวิชาชีพ หรือใบวุฒิแสดงความเชี่ยวชาญรองรับด้วย
ซึ่งแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น Douyin ที่เหมือนกับ TikTok ของจีน, Bilibili และ Weibo จะต้องเพิ่มการตรวจสอบข้อมูลส่วนตัวของอินฟลูเอนเซอร์ในจีนให้เข้มงวดมากขึ้น เพื่อให้แน่ใจว่ามีการอ้างอิงมาจากแหล่งข้อมูลที่ใช้ทำคอนเทนต์น่าเชื่อถือจริง โดยเฉพาะการศึกษาวิจัยนั้นมีส่วนประกอบของการใช้ AI หรือไม่
โดยตามข้อมูลของ IOL กฎหมายนี้ครอบคลุมมากกว่าแค่การสร้างคอนเทนต์แบบรายบุคคล โดยกำหนดให้แพลตฟอร์มต่าง ๆ ต้องให้ความรู้กับครีเอเตอร์ถึงความรับผิดชอบของตัวเองเมื่อมีการแชร์คอนเทนต์ออกไปบนแพลตฟอร์ม
นอกจากนี้ CAC ยังได้ห้ามถึงการโฆษณาโปรดักต์และบริการทางการแพทย์ รวมถึงอาหารเสริมและอาหารเพื่อสุขภาพ เพราะกำหนดเป้าหมายป้องกันการโปรโมตแบบแอบแฝง ที่อาจมีคอนเทนต์หลอกลวงผู้บริโภคและปลอมแปลงเป็นคอนเทนต์แบบให้ข้อมูลบิดเบือนหรือเกินความจริง
ทำให้กฎหมายข้อบังคับการกำหนดให้ครีเอเตอร์และอินฟลูเอนเซอร์ต้องมีวุฒิบัตรวิชาชีพนั้น ถือเป็นความพยายามที่ทางการจีนจะเข้มงวดเรื่องการควบคุมคอนเทนต์ออนไลน์มากขึ้น หลัง การศึกษาล่าสุดของ UNESCO ที่จัดทำโดยมหาวิทยาลัย Bowling Green State พบว่ามีผู้สร้างคอนเทนต์ดิจิทัลเพียง 36.9% เท่านั้นที่ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลก่อนโพสต์ลงแพลตฟอร์มให้กับผู้ชม
และผลการศึกษายังพบอีกว่า 41.7% ของครีเอเตอร์และอินฟลูเอนเซอร์ จะใช้เกณฑ์วัดความนิยมคอนเทนต์ของตัวเอง จากยอดไลก์และยอดวิวเป็นหลัก ส่วนตัวชี้วัดหลักในการประเมินความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูลการทำคอนเทนต์ ส่วนใหญ่จะใช้ประสบการณ์ส่วนตัว (58.1%) รองลงมาคืองานวิจัยอิสระและการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ (38.7%)
ซึ่งชี้ให้เห็นถึงช่องว่างความรู้ในอุตสาหกรรมเกี่ยวกับกฎระเบียบต่าง ๆ ประมาณ 59% และครีเอเตอร์กับอินฟลูเอนเซอร์ส่วนใหญ่ยังไม่คุ้นเคยหรือเคยได้ยินเกี่ยวกับกรอบการกำกับดูแลสำหรับการสื่อสารดิจิทัล กับอีก 27% ยังไม่เคยรู้เกี่ยวกับกฎระเบียบการสร้างคอนเทนต์ในประเทศของตัวเองด้วย
อีกทั้งในปัจจุบันหน่วยงานเซ็นเซอร์ของจีนก็ได้ดำเนินการกับอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังหลายคนเมื่อเร็ว ๆ นี้ไปแล้ว ทั้งการลงโทษบล็อกเกอร์ที่สนับสนุนการลดแรงกดดันในการทำงาน อินฟลูเอนเซอร์ที่คัดค้านการแต่งงานและการมีบุตรด้วยเหตุผลทางการเงิน และนักวิจารณ์ที่สังเกตเห็นว่าคุณภาพชีวิตของจีนยังตามหลังประเทศตะวันตก เป็นต้น
และแม้ว่าแนวทางของจีนจะเป็นหนึ่งในแนวทางที่เข้มงวดที่สุด แต่ประเทศอื่น ๆ ก็มีกฎระเบียบเกี่ยวกับอินฟลูเอนเซอร์เช่นกัน อย่างในปี 2024 สเปนก็ได้ออก “กฎหมายอินฟลูเอนเซอร์” ของตัวเอง โดยกำหนดให้ครีเอเตอร์ที่มีชื่อเสียงและมีรายได้มากกว่า 300,000 ยูโรต่อปี รวมถึงมีผู้ติดตามมากกว่า 1 ล้านคน จะต้องลงทะเบียนและปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การโฆษณาที่เข้มงวดของประเทศ
ปัจจุบันรัฐบาลท้องถิ่นและแพลตฟอร์มต่าง ๆ ในจีนก็กำลังดำเนินการตามคำสั่งของ CAC กันอย่างเข้มงวด โดย NYT ได้รายงานว่า Weibo ได้ระงับบัญชีผู้ใช้กว่า 1,200 บัญชีเนื่องจากมีการเผยแพร่ข่าวลือเกี่ยวกับเศรษฐกิจและโครงการสวัสดิการของรัฐบาล เลยคาดว่าความพยายามในการกำกับดูแลเนื้อหาของจีนนั้นอาจมีกระแสแฝงทางการเมืองอย่างชัดเจน
ที่มา: https://www.moroccoworldnews.com/2025/10/265324/chinas-new-influencer-law-says-only-degree-holders-can-discuss-professional-topics/
อ่านบนเว็บไซต์ https://www.rainmaker.in.th/china-new-influencer-law/
-----
💙 ช่องทางการติดตาม RAiNMaker 💙
→ Facebook: https://www.facebook.com/rainmakerth
→ X: www.twitter.com/rainmakerth
→ YouTube: https://bit.ly/2XHVlbJ
→ TikTok: https://www.tiktok.com/
→ Instagram: https://www.instagram.com/rainmakerth
→ Website: www.rainmaker.in.th
-----
💫 “iCreator Conference 2025” งานรวมครีเอเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในไทยที่อยากพาทุกคนไปปลดล็อกตัวตนรับมือเทรนด์ 2026 ด้วยกัน
🗓️ 26 พ.ย. 68 | 📍BITEC
👻 พิเศษ! บัตรโปรปล่อยผี 1,290.- (จากเดิม 2,500.-)
https://www.eventpop.me/e/103906/

มนตรี อุดมพงษ์ รายงานจากชีวิตและสปิริตนักข่าวภาคสนาม"ภาพการเป็นนักข่าวของผม ตอนแรกไม่มีภาพนักข่าวทีวีเลย เราเริ่มต้นจากก...
30/10/2025

มนตรี อุดมพงษ์ รายงานจากชีวิตและสปิริตนักข่าวภาคสนาม
"ภาพการเป็นนักข่าวของผม ตอนแรกไม่มีภาพนักข่าวทีวีเลย เราเริ่มต้นจากการอยากเป็นนักจัดรายการวิทยุ เพราะเราเติบโตมากับวิทยุ รู้สึกว่านี่คือสิ่งที่ใกล้ชิดเรา และเราอยากพูด อยากสื่อสาร อยากนำสิ่งที่เราได้ยินได้เห็นมาไปเล่าให้คนอื่นฟัง"
"ผมได้พี่ฝึกงานที่ดีมากที่ iTV ผมถูกสอนให้ยืนพูดกับกล้องอยู่เสมอ โดยที่ไม่มีเหตุการณ์อะไรเลยนะ ตกตอนเย็นมา พี่ๆ เขามักจะเล่นฟุตบอลกัน แต่ผมไม่มีสิทธิ์ไปเล่นกับเขา เขาจะตั้งกล้องตัวหนึ่ง แล้วกดอัดไว้ ให้ผมไปถือไมค์ยืนพูดสดๆ ต่อหน้ากล้อง สมมติเหตุการณ์ทุกวัน"
"ในยุคดั้งเดิม ช่องทางมีจำกัดแค่ทีวี การได้เปิดหน้าปรากฏตัวบนจอ หลายคนก็อาจจะมองว่าเป็นความโด่งดังเหมือนเป็นดารานักร้อง หรือตอนที่เราเข้าสู่วงการใหม่ๆ ก็มองว่าการได้ออกทีวีสักครั้งเป็นสิ่งที่วิลิศมาหรามาก แต่จริงๆ ถ้าคุณเป็นนักข่าวโทรทัศน์ คุณต้องออกทีวีอยู่แล้ว เหมือนนักมวยที่ต้องขึ้นเวที"
"เพราะฉะนั้นคุณจะดีใจที่ได้ออกทีวี มันก็คงไม่ใช่ คุณควรจะดีใจที่เมื่อได้ออกทีวี แล้วข่าวของคุณสำเร็จผล นำมาสู่การเปลี่ยนแปลง"
"ผมเชื่อว่าความสนใจต่อปัญหานั้นอย่างจริงจังคือจุดสำคัญของความเป็นนักข่าวภาคสนาม ต่อมา เมื่อคุณรู้หรือสนใจต่อปัญหานั้น แล้วคุณมีวิธีการนําเสนอปัญหานั้นไปสู่การแก้ไขได้ไหม ผมคิดว่านี่เป็นคีย์เวิร์ดสำคัญ ไม่เช่นนั้น ประเด็นข่าวจะเป็นแค่เพียงวัตถุดิบของอาชีพเรา เอาแต่ปัญหามาบอกเล่า กลายเป็นความโดดเด่นที่ถูกจดจำ แต่ปัญหาไม่ถูกแก้ไข"

วันโอวัน ชวน มนตรี อุดมพงษ์ ผู้ช่วยบรรณาธิการข่าวสามมิติ และผู้สื่อข่าวมากประสบการณ์มาแบ่งปันเรื่องราวช....

ถอดรหัสสูตรสำเร็จ เมื่อ KPop Demon Hunters สร้างจักรวาลใหม่ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์โลกจากเวทีเพลงสู่โลกแอนิเมชัน — KPop Demo...
29/10/2025

ถอดรหัสสูตรสำเร็จ เมื่อ KPop Demon Hunters สร้างจักรวาลใหม่ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์โลก
จากเวทีเพลงสู่โลกแอนิเมชัน — KPop Demon Hunters กำลังพิสูจน์ว่า “วัฒนธรรมร่วมสมัย” ไม่ได้หยุดอยู่แค่บนเวทีคอนเสิร์ต แต่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ระดับโลกได้จริง

“KPop Demon Hunters” ผลงาน Original จาก Netflix กลายเป็นหนึ่งในแอนิเมชันที่ได้รับการพูดถึงมากที่สุดบนเวทีโลก ด้วยการผสานวัฒนธรรม K-Pop เข้ากับพลังของการเล่าเรื่องร่วมสมัยและเทคโนโลยีการผลิตภาพยนตร์สมัยใหม่ได้อย่างลงตัวและมีเอกลักษณ์ จนขึ้นแท่นแอนิเมชันที่มียอดชมสูงสุดในประวัติศาสตร์ของแพลตฟอร์ม ทั้งยังรักษาความนิยมได้ต่อเนื่องยาวนาน เหนือกว่าภาพยนตร์ทั่วไป

ชวนค้นหาปัจจัยแห่งความสำเร็จ และบทเรียนสำคัญจากแอนิเมชันเรื่องนี้ ว่าเสียงเพลง วัฒนธรรม และจินตนาการแบบเกาหลี กำลังกลายเป็นพลังที่กอบกู้โลกได้อย่างไรในโลกสตรีมมิงวันนี้

สิ่งที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ KPop Demon Hunters คือการใช้ “ดนตรี” เป็นหัวใจของการเล่าเรื่อง ไม่ใช่เพียงองค์ปร....

เมื่อนักข่าวหญิงไม่ปลอดภัยทั้งในสนามข่าวและสงครามข้อมูลการทำงานในฐานะนักข่าวหญิงยังเต็มไปด้วยอคติและความเสี่ยงจากการคุกค...
29/10/2025

เมื่อนักข่าวหญิงไม่ปลอดภัยทั้งในสนามข่าวและสงครามข้อมูล
การทำงานในฐานะนักข่าวหญิงยังเต็มไปด้วยอคติและความเสี่ยงจากการคุกคามหลายรูปแบบ การอบรม FactFreeFair Workshop for Women Journalists/Fact Checkers in Thailand 2025 จึงมุ่งสร้างพื้นที่ปลอดภัย เสริมทักษะด้านความปลอดภัยดิจิทัล กฎหมาย และการตรวจสอบข้อเท็จจริง ให้ผู้สื่อข่าวหญิงสามารถแยกแยะข่าวปลอม รู้เท่าทันข้อมูล และทำงานสื่ออย่างมั่นใจและปลอดภัย

เมื่อการเป็น “นักข่าวหญิง” ยังถูกมองว่าเป็นเพียงไม้ประดับของวงการ นั่งเคียงข้างผู้ประกาศข่าวชาย หรือยืนรายงานพยากรณ์อากาศ หรือผูกติดกับโต๊ะบันเทิง คอยส่งต่อความสดใสผ่านหน้าจอ มากกว่าจะได้รับการยอมรับในด้านความสามารถ นอกจากต้องต่อสู้กับอคติทางเพศแล้ว ยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากการคุกคามหลากรูปแบบ ทั้งทางเพศ การติดตามจากภาครัฐ หรือแรงกดดันเมื่อรายงานข่าวเชิงลึกที่แตะต้องประเด็นอ่อนไหว

การทำงานในฐานะนักข่าวหญิงยังเต็มไปด้วยอคติและความเสี่ยงจากการคุกคามหลายรูปแบบ การอบรม FactFreeFair Workshop for Women Journalists/Fa...

สิทธิ์ที่ต้องรู้ของผู้บริโภคยุคดิจิทัลหลังจากโลกเริ่มเข้าใจและให้ความสำคัญกับเรื่องความหลากหลายและความเท่าเทียมมาอย่างต่...
29/10/2025

สิทธิ์ที่ต้องรู้ของผู้บริโภคยุคดิจิทัล

หลังจากโลกเริ่มเข้าใจและให้ความสำคัญกับเรื่องความหลากหลายและความเท่าเทียมมาอย่างต่อเนื่อง สังคมไทยก็ได้เริ่มตื่นตัวกับเรื่อง ‘สิทธิ์’ ในภาพใหญ่มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสิทธิมนุษยชน สิทธิเด็ก สิทธิของผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ ฯลฯ สำหรับผู้บริโภค มีสิทธิ์เรื่องใดที่ต้องรู้และควรรู้บ้าง ทำความเข้าใจสิทธิผู้บริโภคผ่านกรณีศึกษาต่างๆ เพื่อเพิ่มความตระหนักรู้เรื่องการเท่าทันสิทธิ์ และเรียนรู้แนวทางการทำงานด้านพิทักษ์สิทธิ์ของผู้บริโภคไปพร้อมกัน
🟩เข้าใจเรื่องสิทธิ์ผู้บริโภคฉบับเริ่มต้น
ผู้บริโภคไม่ได้หมายถึงเพียงผู้ซื้อสินค้าและบริการเท่านั้น แต่ ‘ผู้รับของ’ ก็เข้าข่ายผู้บริโภคด้วย เช่น ผู้รับของขวัญ พระรับบิณฑบาตจากญาติโยม หากเปิดหีบห่อแล้วไม่เหมือนกับที่ควรเป็น หรือแม้แต่การเห็นสื่อโฆษณา ในทางกฎหมายนับว่าเป็นผู้บริโภคแล้ว

สิทธิ์ผู้บริโภคตามกฎหมายมี 5 ข้อ ได้แก่ 1. สิทธิ์ในการได้รับข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องเที่ยงตรง เช่น ซื้อสินค้าที่ติดป้ายลดราคา แต่เมื่อไปจ่ายเงินพบว่าเป็นราคาเต็ม เนื่องจากร้านค้าติดราคาไว้ก่อนล่วงหน้า ก็นับเป็นการละเมิดสิทธิ์แล้ว 2. สิทธิ์ในการมีอิสระที่จะเลือกสินค้าและบริการโดยไม่ถูกกดดัน ข่มขู่ เช่น คลินิกเสริมความงามมีพนักงานห้อมล้อมเชิญชวนกดดันทำให้ต้องตัดสินใจซื้อบริการ ก็นับเป็นการละเมิดแล้ว 3. สิทธิ์ที่จะได้รับความปลอดภัยจากการใช้สินค้าและบริการ เช่น การซื้อของออนไลน์กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่มี มอก. และเกิดเหตุไฟไหม้ 4. สิทธิ์ที่จะได้รับความเป็นธรรมจากการสัญญา เช่น สินค้าไม่ตรงปก บ้านที่ตกลงซื้อแต่สร้างไม่เสร็จ และ 5. หากมีปัญหาจากสี่ข้อข้างต้น ผู้บริโภคมีสิทธิ์ได้รับการชดเชย เยียวยา

ความสำคัญของการเข้าใจเรื่องสิทธิ์ คือหากเราต้องการการคุ้มครองและเรียกร้องสิทธิ์ของผู้บริโภคได้ถูกต้อง เราต้องเป็นผู้บริโภคที่เข้มแข็งและเข้าใจปัญหา ต้องรู้ว่ากำลังถูกละเมิดสิทธิ์อยู่ เช่น หน่วยงานราชการตรวจพบว่านมผงที่ขายอยู่นั้นไม่ได้คุณภาพ หรือค่ายมือถือที่ควบรวมกันทำให้คุณภาพช้าลง อินเทอร์เน็ตแพงขึ้น แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ได้ทำอะไร คนที่จะไปเรียกร้องได้คือผู้บริโภค
🟩การขยับความเข้าใจเรื่องสิทธิ์ผู้บริโภคจากอดีตสู่ปัจจุบัน
หนึ่งในตัวแปรสำคัญที่ทำให้ภาพความเข้าใจเรื่องสิทธิ์ชัดขึ้น ได้แก่การมาของสื่อสังคมออนไลน์ ที่ทำให้การสื่อสารปัญหาผู้บริโภคเร็วขึ้นมาก รวมทั้งการเกิดขึ้นของสภาองค์กรผู้บริโภค ซึ่งเป็นองค์กรที่เกิดขึ้นตามรัฐธรรมนูญปี 60 โดยมีหน้าที่หลักคือการรับเรื่องราวร้องทุกข์และให้ข้อเสนอแนะหน่วยราชการ เช่น การส่งนโยบายในการแก้ไขให้กับหน่วยงานราชการจำนวนมาก และการทำรายงาน ‘ละเลยการกระทำ’ เช่น เมื่อมีการเสนอแนะแล้วแต่ไม่เกิดการขยับจากภาครัฐ สภาองค์กรของผู้บริโภคจะออกรายงานละเลยการกระทำเพื่อบอกสาธารณะได้ว่าหน่วยงานใดไม่ทำหน้าที่ เช่น กรณีการควบรวมค่ายมือถือที่กล่าวว่าจะทำให้เกิดการควบคุมคุณภาพและค่าใช้จ่ายถูกลง เป็นประโยชน์กับผู้บริโภค แต่ภายหลังการควบรวมไม่ได้เป็นเช่นนั้น สภาฯ จึงได้ทำรายงานขึ้นมาและยื่นไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

สภาองค์กรผู้บริโภคจะทำงานใกล้ชิดกับผู้บริโภคในการรับเรื่องราวร้องเรียน ซึ่งแบ่งเป็นหลายประเภท เช่น ปัญหาสินค้าไม่ได้คุณภาพ สินค้าไม่เป็นไปตามที่โฆษณาไว้ ปัญหาที่มีการร้องเรียนมากที่สุด ได้แก่ 1. ได้ของไม่ตรงปกจากการซื้อสินค้าออนไลน์ รวมถึงสินค้าชำรุดเสียหาย 2. ปัญหาแอปเงินกู้ ทั้งแบบมิจฉาชีพ และให้กู้แบบผิดกฎหมาย ไม่ได้มีการลงทะเบียนไว้กับธนาคารแห่งประเทศไทย 3. SMS กวนใจทำให้เสียเวลา และกลุ่มมิจฉาชีพดูดเงินจากลิงก์ ซึ่งปัญหาลักษณะนี้ต้องมีมาตรการในการป้องกันโดยผู้เกี่ยวข้อง และเรียกร้องให้ กสทช. ซึ่งเป็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงเข้ามาแสดงบทบาทในเรื่องเหล่านี้
🟩ภาพความตื่นตัวเรื่องสิทธิ์ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป
จำนวนผู้ร้องทุกข์จากสภาคุ้มครองผู้บริโภค ในปี 2566 มีประมาณ 16,000 ราย และสภาฯ สามารถเข้าไปช่วยให้เกิดการชดเชยเยียวยาได้ 71 ล้านบาท ในขณะที่ปี 2567 เพิ่มเป็น 17,000 ราย และมูลค่าความเสียหายเพิ่มขึ้นประมาณ 3 เท่า เป็นจำนวน 252 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนความตื่นตัวของผู้บริโภคที่มากขึ้น

มีนวัตกรรมที่ชื่อว่า ‘ศาลคดีผู้บริโภค’ เป็นศาลที่สามารถพูดปากเปล่าได้ ศาลจะจัดเสมียนศาลมาทำคำร้องให้ เป็นการอำนวยความสะดวกให้กับผู้บริโภค ไม่ต้องมีทนายและค่าธรรมเนียมศาล มีกรณีศึกษาหนึ่งที่มีการร้องต่อศาลแล้วสำเร็จ คือกรณีสายการบินหนึ่งโฆษณาว่าหากเครื่องล่าช้าเกิน 2 ชั่วโมง จะมีการค่าเยียวยาให้ผู้โดยสารเป็นเงิน 1,800 บาท แต่สุดท้ายไม่จ่ายด้วยเหตุผลว่าการล่าช้านั้นอยู่เหนือการควบคุม ผู้บริโภคจึงไปขอคำปรึกษาจากมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และฟ้องศาลคดีผู้บริโภค เมื่อสืบหาข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นแล้วก็ไม่ได้ขึ้นศาล เพราะมีการไกล่เกลี่ย และได้รับการเยียวยาจากสายการบินได้ในที่สุด
🟩ก้าวต่อไปในการทำงานเรื่องสิทธิ์
หน้าที่ของสภาองค์กรผู้บริโภคด้านหนึ่งคือการให้คำแนะนำหรือมาตรการให้กับหน่วยงานหรือรัฐบาล ซึ่งในระยะที่ผ่านมามีการรณรงค์หรือเสนอแนะนโยบายให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายเรื่อง เช่น การได้สินค้าไม่ตรงปก ก็เกิดมาตรการเปิดก่อนจ่าย หรือภัยทุจริตการเงินซึ่งมีค่าเสียหายจำนวนมาก ทางธนาคารแห่งประเทศไทยก็มีมาตรการห้ามธนาคารแนบลิงก์ การไล่ปิดบัญชีม้า หรือกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เปิดสายด่วนภัยออนไลน์ 1441 รวมทั้งการกดดันให้บริษัทโทรศัพท์มือถือเอาแอปเงินกู้ที่ติดตั้งไว้โดยอัตโนมัติออกจากโทรศัพท์

สภาองค์กรผู้บริโภคเป็นหน่วยงานหนึ่งที่อยู่ตรงกลางและจะทำงานเมื่อได้ยินเสียงเรียกร้องจากประชาชน ดังนั้น เพื่อออกมาตรการ ข้อเสนอแนะ หรือให้ข้อแนะนำต่างๆ ผู้บริโภคจึงต้องมีความเข้มแข็งเพื่อสะท้อนปัญหาออกมา โดยมีสโลแกนที่ใช้กันว่า ‘ฟ้องร้องเรียนหนึ่งครั้ง ดีกว่าบ่นพันครั้ง’ เพราะการร้องเรียนจะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาและทำให้ผู้ประกอบการมีธรรมาภิบาล
#มีเดียมีเรื่อง #สะท้อนสื่อสะท้อนสังคม #กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ #สื่อสร้างสรรค์เพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคม #คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน #มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ #ผู้บริโภค #สิทธิของผู้บริโภค #เท่าทันสื่อ

จะเป็นอย่างไร หาก AI ถูกเทรนด์ให้เสพติดการไถฟีดโซเชียลมีเดียแบบหยุดไม่ได้ แล้วเจอกับคลังข้อมูลอันล้นหลาม ไม่ว่าจะคอนเทนต...
29/10/2025

จะเป็นอย่างไร หาก AI ถูกเทรนด์ให้เสพติดการไถฟีดโซเชียลมีเดียแบบหยุดไม่ได้ แล้วเจอกับคลังข้อมูลอันล้นหลาม ไม่ว่าจะคอนเทนต์คุณภาพและเนื้อหาแบบไร้สาระ (เหมือนที่พวกเราเจอ)

จะเป็นอย่างไร หาก AI ถูกเทรนด์ให้เสพติดการไถฟีดโซเชียลมีเดียแบบหยุดไม่ได้ แล้วเจอกับคลังข้อมูลอันล้นหลาม ไม่ว่าจะคอนเทนต์คุณภาพและเนื้อหาแบบไร้สาระ (เหมือนที่พวกเราเจอ)

นี่คือคำถามที่ Junyuan Hong นำทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยเท็กซัสที่เมืองออสติน, เท็กซัส เอแอนด์เอ็ม (Texas A&M) และมหาวิทยาลัยเพอร์ดู ศึกษาในหัวข้อ ระบบเอไอก็อยู่ในภาวะ ‘สมองเน่า’ ได้! (LLMS CAN GET “BRAIN ROT”!)

ในการศึกษาชิ้นนี้ ทีมวิจัยได้ทดลองนำโมเดลเอไอแบบโอเพนซอร์ส (open-source model) เช่น Llama ของ Meta และ Qwen ของ Alibaba แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกนำมาป้อนโพสต์ไวรัลที่อัดแน่นไปด้วยคำที่คนมักใช้สร้างกลยุทธ์ SEO (Search Engine Optimization เป็นเทคนิคการเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ เพื่อให้คอนเทนต์ขึ้นหน้าแรกในเสิร์ชเอ็นจิ้น เช่น กูเกิล) เนื้อหาจึงประกอบไปด้วยคำว่า ‘ว้าว’ ‘ดูเฉพาะวันนี้’ หรือ ‘ดูสิ’ ซึ่งเป็นคอนเทนต์ที่มีเอนเกจสูง แต่ไม่มีเนื้อหาสาระมากนัก หรือพูดอย่างเข้าใจง่ายคือ ทีมวิจัยเลือกแต่คอนเทนต์ ‘ขยะ’ ที่เกลื่อนกลาดตามโซเชียลมีเดียมาฝึกฝนเอไอ

อีกกลุ่มได้รับการป้อนข้อมูลควบคุมเนื้อหา โดยเน้นข้อมูลคุณภาพ แม้จะไม่ได้รับยอดเอนเกจสูง ทั้งสองกลุ่มได้รับการฝึกฝนข้อมูลในปริมาณและจำนวนรอบการฝึกเท่ากัน

และผลออกมาพบว่า เอไอที่ได้รับการป้อนข้อมูลขยะมีคุณภาพตกต่ำอย่างรวดเร็ว การคิดคำนวณทางเหตุผลลดลง โดยมีการข้ามหรือตัดตอนขั้นตอนการใช้เหตุผลออกไป และมีสภาวะใจแคบ คุณภาพจริยธรรมลดลง มีแนวโน้มที่มีสภาวะทางจิตที่อันตราย เช่น โรคจิตเภท ความหลงตัวเอง เอไอเหล่านี้มีลักษณะนิสัยด้านมืดที่เพิ่มขึ้น ระบบกลายร่างเป็นเวอร์ชั่นที่เลวร้ายที่สุด

สิ่งที่น่ากังวลคือ ดูเหมือนว่าภาวะสมองเน่าของเอไอจะติดตัวไปตลอด กล่าวคือ แม้จะพยายามฝึกฝนใหม่ด้วยข้อมูลที่มีเหตุผลและมีคุณภาพมากขึ้นก็ช่วยแก้ปัญหาได้เพียงบางส่วน แต่ไม่ใช่ทั้งหมด เนื่องจากระบบกำลังสร้างคอนเทนต์ที่ถูกฝึกฝนมาเหมือนกัน ทีมวิจัยจึงกล่าวว่า ผู้พัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์ควรตรวจสอบ ‘สุขภาพ’ ของระบบบ่อยครั้งเพื่อป้องกันภาวะดังกล่าว โดยเฉพาะเมื่อเปิดใช้งานระบบเอไอสู่สาธารณะแล้ว

อ่านต่อได้ที่ลิงก์ในคอมเมนต์

#ไทยรัฐพลัส

‘บทความออนไลน์’ ในปัจจุบัน เกิน 50% เป็นผลงานจาก AIแต่ในช่วงปีที่ผ่านมา งานเหล่านี้ถึง ‘จุดอิ่มตัว’ แล้วทุกวันนี้ไม่ว่าจ...
29/10/2025

‘บทความออนไลน์’ ในปัจจุบัน
เกิน 50% เป็นผลงานจาก AI
แต่ในช่วงปีที่ผ่านมา
งานเหล่านี้ถึง ‘จุดอิ่มตัว’ แล้ว
ทุกวันนี้ไม่ว่าจะไปที่ไหนเราก็มักจะเจอเนื้อหา AI อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นภาพจาก AI ที่มีประมาณ 10-20 เปอร์เซ็นต์ ที่ผ่านตาให้เราเห็นในแต่ละวัน หรือแม้แต่พวกคลิปวิดีโอ โดยเฉพาะวิดีโอสั้น ก็มีมากถึง 20-30 เปอร์เซ็นต์ ที่เราเห็นในแต่ละวันก็ฝีมือ AI ทั้งนั้น
แต่ที่น่าสนใจกว่านั้น จริงๆ แล้วบทความในโลกอินเทอร์เน็ต ณ ตอนนี้มากถึง 50 เปอร์เซ็นต์ หรือ ‘เกินครึ่ง’ เป็นฝีมือ AI แล้ว โดยเฉพาะ 'คอนเทนต์ออนไลน์' ที่ถูกสร้างด้วย AI มากที่สุด โดยบริษัทที่ทำด้านการวิเคราะห์ข้อมูลการค้นหาออนไลน์อย่าง Graphite นั้นได้วิเคราะห์บทความออนไลน์ที่สุ่มเลือกมา 65,000 ชิ้น มาตั้งแต่ต้นปี 2020 จนถึงเดือนพฤษภาคม 2025
ผลวิเคราะห์พบว่า จริงๆ แล้วบทความออนไลน์จาก AI มีมานานแล้ว และหากใครที่ตามเรื่องพวกนี้ก็น่าจะรู้ว่าก็มีหลายแพลตฟอร์มให้ AI เขียนบทความมานานแล้ว โดยเมื่อเริ่มมีกระแสการใช้ AI อย่างกว้างขวางขึ้นในช่วงปี 2022 ก็จะพบว่า มีบทความ AI เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อ ChatGPT เปิดตัวในปลายปีพฤศจิกายน 2022 ก็ยิ่งเห็นชัดว่าสัดส่วนบทความที่เขียนด้วย AI ขยายตัวมากขี้นแบบก้าวกระโดดไม่หยุดยั้ง

SOCIETY: ‘บทความออนไลน์’ ในปัจจุบัน
เกิน 50% เป็นผลงานจาก AI
แต่ในช่วงปีที่ผ่านมา
งานเหล่านี้ถึง ‘จุดอิ่มตัว’ แล้ว
ทุกวันนี้ไม่ว่าจะไปที่ไหนเราก็มักจะเจอเนื้อหา AI อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นภาพจาก AI ที่มีประมาณ 10-20 เปอร์เซ็นต์ ที่ผ่านตาให้เราเห็นในแต่ละวัน หรือแม้แต่พวกคลิปวิดีโอ โดยเฉพาะวิดีโอสั้น ก็มีมากถึง 20-30 เปอร์เซ็นต์ ที่เราเห็นในแต่ละวันก็ฝีมือ AI ทั้งนั้น
แต่ที่น่าสนใจกว่านั้น จริงๆ แล้วบทความในโลกอินเทอร์เน็ต ณ ตอนนี้มากถึง 50 เปอร์เซ็นต์ หรือ ‘เกินครึ่ง’ เป็นฝีมือ AI แล้ว โดยเฉพาะ 'คอนเทนต์ออนไลน์' ที่ถูกสร้างด้วย AI มากที่สุด โดยบริษัทที่ทำด้านการวิเคราะห์ข้อมูลการค้นหาออนไลน์อย่าง Graphite นั้นได้วิเคราะห์บทความออนไลน์ที่สุ่มเลือกมา 65,000 ชิ้น มาตั้งแต่ต้นปี 2020 จนถึงเดือนพฤษภาคม 2025
ผลวิเคราะห์พบว่า จริงๆ แล้วบทความออนไลน์จาก AI มีมานานแล้ว และหากใครที่ตามเรื่องพวกนี้ก็น่าจะรู้ว่าก็มีหลายแพลตฟอร์มให้ AI เขียนบทความมานานแล้ว โดยเมื่อเริ่มมีกระแสการใช้ AI อย่างกว้างขวางขึ้นในช่วงปี 2022 ก็จะพบว่า มีบทความ AI เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อ ChatGPT เปิดตัวในปลายปีพฤศจิกายน 2022 ก็ยิ่งเห็นชัดว่าสัดส่วนบทความที่เขียนด้วย AI ขยายตัวมากขี้นแบบก้าวกระโดดไม่หยุดยั้ง
แต่ความน่าสนใจคือ สัดส่วนของบทความจาก AI ต่อบทความออนไลน์ทั้งหมดนั้น ‘หยุดนิ่ง’ อยู่ที่ประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ ตั้งแต่ปลายปี 2024 ที่ผ่านมา
หรือพูดง่ายๆ ดูเหมือนว่าบทความจาก AI น่าจะถึง ‘จุดอิ่มตัว’ มาสักพักแล้ว มันน่าจะค้างอยู่จุดนี้มาจนถึงปัจจุบันเกือบ 1 ปีแล้ว หรืออย่างน้อยที่สุด ข้อมูลชี้ชัดเลยว่าบทความออนไลน์ที่เขียนด้วย AI นั้น ‘ไม่เพิ่ม’ มาอย่างน้อย ‘ครึ่งปี’ นับตั้งแต่ปลายปี 2024 ถึงกลางปี 2025 (และหลังจากนั้นไม่มีข้อมูล)
ดังนั้น นี่จึงไม่ใช่ภาพที่หลายคนคาดว่าบทความจาก AI จะล้นอินเทอร์เน็ต ชนิดที่มากกว่ามนุษย์เขียนเป็น 10 เท่า เพราะผลสุดท้ายตัวเลขในสถานการณ์ปัจจุบันคือ 50-50
คำถามคือทำไม?
Graphite วิเคราะห์ว่าในช่วงแรกทุกคนเห่อทำบทความด้วย AI กันแบบมันมือ ก่อนที่ทุกคนจะพบว่าบทความจาก AI เหล่านี้ จะค้นใน Google ไม่เจอ เพราะดูเหมือนว่า Google จะคัดบทความที่โชว์หน้าแรกๆ เมื่อค้นหา เฉพาะผลงานที่เป็น ‘มนุษย์เขียน’ เท่านั้น แบบเกิน 80 เปอร์เซ็นต์ ทั้งที่ในความเป็นจริง ‘ประชากรบทความออนไลน์’ (ถ้านับแล้วเป็นเรื่องที่แย่มากในทางเทคนิค SEO) ดังนั้นสร้างมาเท่าไร ก็ไม่มีประโยชน์
สุดท้ายมันเลย 'อิ่มตัว' อย่างที่เห็น
ทั้งนี้ปัญหาไม่ใช่ว่าจะเขียนบทความด้วย AI ไม่ได้ ปัญหาคือเขียนแล้วมันกลับ 'ทำงาน' ไม่ได้แบบที่บทความปกติทำได้ โดยไม่เกี่ยวกับว่าคนอ่านจะจับได้หรือไม่ว่าบทความเขียนโดย AI
ทั้งนี้ ความน่าสนใจอีกประการก็คือ ‘บทความจาก AI’ ทั้งหลายนี้ ส่วนหนึ่งก็เกิดจากพฤติกรรม ‘แชร์โดยไม่อ่าน’ ของนักอ่านที่มีบันทึกกันมาหลายต่อหลายปีแล้ว เพราะสุดท้าย ถ้าบทความถูกเขียนขึ้นแต่ไม่ถูกอ่าน ในท้ายที่สุดองค์กรต่างๆ ที่ผลิตบทความเหล่านี้ก็ย่อมไม่เห็นประโยชน์ที่จะจ้างคนมาเขียนอีกต่อไป โดยเฉพาะพวกบทความสั้นตระกูลเขียนเพื่อให้คนค้นเว็บไซต์เจอใน Google นั่นเอง


“สงครามสมรส” องค์ประกอบการเล่าเรื่องและรูปแบบ การสื่อสารทางสังคมของละครโทรทัศน์บทความวิจัยนี้มุ่งศึกษาวิเคราะห์องค์ประกอ...
28/10/2025

“สงครามสมรส” องค์ประกอบการเล่าเรื่องและรูปแบบ การสื่อสารทางสังคมของละครโทรทัศน์
บทความวิจัยนี้มุ่งศึกษาวิเคราะห์องค์ประกอบการเล่าเรื่องและรูปแบบการสื่อสารทางสังคมที่ปรากฏในละคร “สงครามสมรส” จำนวน 21 ตอน ที่เป็นละครผลิตใหม่และได้รับการจัดลำดับความนิยมสูงสุดในเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2567 ผ่านกรอบแนวคิดและทฤษฎีด้วยวิธีวิทยาเชิงคุณภาพ (Qualitative Studies) โดยการเฝ้าสังเกต (Monitor) เนื้อหาที่ออกอากาศและวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) วิเคราะห์บริบท (Context Analysis) พบว่า สงครามสมรสมีการดำเนินเรื่องตามโครงสร้างและองค์ประกอบที่ดำเนินเรื่องอย่างเข้มข้นจนถึงจุดสูงสุด (Climax) จนกระทั่งคลี่คลายสถานการณ์และฝากข้อคิดเพื่อให้ผู้ชมได้คิดและแยกแยะเนื้อหาที่เกิดขึ้นในละครได้อย่างมีอรรถรส
ด้านการสื่อสารกับสังคมละครนำเสนอการสื่อสารด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม 1) การมุ่งนำเสนอประเด็นหย่าร้างและปัญหาครอบครัวด้วยการให้ความรู้ความเข้าใจและการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ 2) การให้ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายครอบครัวที่เข้าใจง่ายและใช้ประโยชน์ได้ในสังคมปัจจุบัน และ ด้านการสื่อสารประเด็นครอบครัวและความสัมพันธ์ 1) นำเสนอแง่คิดในการแก้ปัญหาครอบครัวด้วยสันติวิธี 2) การนำเสนอประเด็นปัญหาสังคมเชิงโครงสร้างและซับซ้อน 3) การสอดแทรกแง่คิดจากการกระทำของ
ตัวละคร ซึ่งแสดงให้เห็นว่าละครสามารถสร้างสรรค์และขับเคลื่อนสังคมได้หากผู้ผลิตเน้นการผลิตละครที่ให้ความรู้ กระตุ้นความคิด ละครจะเป็นสื่อที่เข้าถึงและส่งสารกับสังคมได้อย่างมีคุณภาพทั้งเชิงพาณิชย์และสังคม
ภิรมย์นุ่ม ส., นิลดำ เ., & หรุ่นเกษม น. (2025). “สงครามสมรส” องค์ประกอบการเล่าเรื่องและรูปแบบ การสื่อสารทางสังคมของละครโทรทัศน์. วารสารกองทุนพัฒนาสือปลอดภัยและสร้างสรรค์, 4(3), 1–29. สืบค้น จาก https://so04.tci-thaijo.org/.../tmfjo.../article/view/279591

“สงครามสมรส” องค์ประกอบการเล่าเรื่องและรูปแบบ การสื่อสารทางสังคมของละครโทรทัศน์
บทความวิจัยนี้มุ่งศึกษาวิเคราะห์องค์ประกอบการเล่าเรื่องและรูปแบบการสื่อสารทางสังคมที่ปรากฏในละคร “สงครามสมรส” จำนวน 21 ตอน ที่เป็นละครผลิตใหม่และได้รับการจัดลำดับความนิยมสูงสุดในเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2567 ผ่านกรอบแนวคิดและทฤษฎีด้วยวิธีวิทยาเชิงคุณภาพ (Qualitative Studies) โดยการเฝ้าสังเกต (Monitor) เนื้อหาที่ออกอากาศและวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) วิเคราะห์บริบท (Context Analysis) พบว่า สงครามสมรสมีการดำเนินเรื่องตามโครงสร้างและองค์ประกอบที่ดำเนินเรื่องอย่างเข้มข้นจนถึงจุดสูงสุด (Climax) จนกระทั่งคลี่คลายสถานการณ์และฝากข้อคิดเพื่อให้ผู้ชมได้คิดและแยกแยะเนื้อหาที่เกิดขึ้นในละครได้อย่างมีอรรถรส
ด้านการสื่อสารกับสังคมละครนำเสนอการสื่อสารด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม 1) การมุ่งนำเสนอประเด็นหย่าร้างและปัญหาครอบครัวด้วยการให้ความรู้ความเข้าใจและการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ 2) การให้ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายครอบครัวที่เข้าใจง่ายและใช้ประโยชน์ได้ในสังคมปัจจุบัน และ ด้านการสื่อสารประเด็นครอบครัวและความสัมพันธ์ 1) นำเสนอแง่คิดในการแก้ปัญหาครอบครัวด้วยสันติวิธี 2) การนำเสนอประเด็นปัญหาสังคมเชิงโครงสร้างและซับซ้อน 3) การสอดแทรกแง่คิดจากการกระทำของ
ตัวละคร ซึ่งแสดงให้เห็นว่าละครสามารถสร้างสรรค์และขับเคลื่อนสังคมได้หากผู้ผลิตเน้นการผลิตละครที่ให้ความรู้ กระตุ้นความคิด ละครจะเป็นสื่อที่เข้าถึงและส่งสารกับสังคมได้อย่างมีคุณภาพทั้งเชิงพาณิชย์และสังคม
ภิรมย์นุ่ม ส., นิลดำ เ., & หรุ่นเกษม น. (2025). “สงครามสมรส” องค์ประกอบการเล่าเรื่องและรูปแบบ การสื่อสารทางสังคมของละครโทรทัศน์. วารสารกองทุนพัฒนาสือปลอดภัยและสร้างสรรค์, 4(3), 1–29. สืบค้น จาก https://so04.tci-thaijo.org/index.php/tmfjournal/article/view/279591

ในยุคที่สื่อดั้งเดิมอย่างโทรทัศน์ต้องแข่งขันกับแพลตฟอร์มออนไลน์และโซเชียลมีเดียที่เต็มไปด้วยคอนเทนต์นับไม่ถ้วน แต่ละองค์...
28/10/2025

ในยุคที่สื่อดั้งเดิมอย่างโทรทัศน์ต้องแข่งขันกับแพลตฟอร์มออนไลน์และโซเชียลมีเดียที่เต็มไปด้วยคอนเทนต์นับไม่ถ้วน แต่ละองค์กรจึงต้องเร่งปรับตัวให้ทันกับพฤติกรรมผู้ชมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและมีความต้องการที่หลากหลายมากขึ้น
ความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจของ “Workpoint” หนึ่งในผู้นำด้านคอนเทนต์ของไทย ก็เลือกที่จะไม่หยุดนิ่ง แต่เดินหน้าพัฒนารูปแบบรายการให้ตอบโจทย์ยุคสมัย ต่อยอดจากจุดแข็งที่ตนเองถนัด นั่นก็คือการสร้างสรรค์ “ความบันเทิง” สู่แนวทางใหม่ที่ผสานทั้งสาระและความสนุกเข้าด้วยกันอย่างลงตัว

ในยุคที่สื่อดั้งเดิมอย่างโทรทัศน์ต้องแข่งขันกับแพลตฟอร์มออนไลน์และโซเชียลมีเดียที่เต็มไปด้วยคอนเทนต์นับไม่ถ้วน แต่ละองค์กรจึงต้องเร่งปรับตัวให้ทันกับพฤติกรรมผู้ชมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและมีความต้องการที่หลากหลายมากขึ้น
ความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจของ “Workpoint” หนึ่งในผู้นำด้านคอนเทนต์ของไทย ก็เลือกที่จะไม่หยุดนิ่ง แต่เดินหน้าพัฒนารูปแบบรายการให้ตอบโจทย์ยุคสมัย ต่อยอดจากจุดแข็งที่ตนเองถนัด นั่นก็คือการสร้างสรรค์ “ความบันเทิง” สู่แนวทางใหม่ที่ผสานทั้งสาระและความสนุกเข้าด้วยกันอย่างลงตัว
จากรายการเกมโชว์และควิซโชว์ที่เป็นเอกลักษณ์ของ Workpoint ได้พัฒนาไปสู่รายการแนว Edutainment ที่ทั้งให้ความรู้และสร้างแรงบันดาลใจ เช่น The Bone เก่งเข้ากระดูก By ศิริราช, Genwit อัจฉริยะพันธุ์ใหม่ Presented by Bangchak Group , และ เกมสร้างสุข ร่วมกับ สสส. ซึ่งล้วนสะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจของ Workpoint ในการใช้ความบันเทิงเป็นเครื่องมือสื่อสารคุณค่าใหม่ๆ ให้กับสังคมไทย ที่ดูสนุก เข้าใจง่าย และ “ดูแล้วได้อะไรกลับไปเสมอ”
แล้วการ “ปั้นรายการใหม่” ของ Workpoint ในยุคที่สื่อเปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็ว จะยังคงเอกลักษณ์ความเป็น Workpoint ไว้อย่างไร ขณะเดียวกันก็ต้องสร้างคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์ผู้ชมรุ่นใหม่ได้ด้วย?
TODAY Bizview ได้พูดคุยกับ ‘ปรวีร์ ศรีอำพันพฤกษ์’ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายผลิตบริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ “เอ๋ย” ผู้อยู่เบื้องหลังการปั้นรายการที่สะท้อน DNA ของ Workpoint ยุคใหม่แล้วจะมาสรุปให้ฟังผ่านบทความนี้
[ Workpoint สร้างรายการความบันเทิงทุกรูปแบบ ส่งต่อแรงบันดาลใจให้กับผู้ชม ]
‘เอ๋ย’ เล่าย้อนไปถึงจุดเริ่มต้นว่า ย้อนกลับไปกว่า 20 ปีก่อน เป็นช่วงเวลาที่รายการแนว ควิซโชว์ (Quiz Show) และ เกมโชว์กำลังเฟื่องฟูสุดขีด โดยเฉพาะในยุคของ คุณปัญญา นิรันดร์กุล ที่ได้รับฉายาว่า “เจ้าพ่อเกมโชว์” รายการอย่าง อัจฉริยะข้ามคืน และ ชิงร้อยชิงล้าน กลายเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้ชื่อของ Workpoint โดดเด่นในฐานะผู้นำด้านความบันเทิงของประเทศ
ต่อมา Workpoint ยังขยายแนวทางสู่ รายการร้องเพลง อย่าง ไมค์ทองคำ และ ชิงช้าสวรรค์ ที่ไม่เพียงมอบความสนุกให้ผู้ชม แต่ยัง “ส่งต่อแรงบันดาลใจ” ผ่านเรื่องราวชีวิตของผู้เข้าแข่งขัน ซึ่งกลายเป็นหัวใจสำคัญของของบริษัทมอบความบันเทิงที่มีคุณค่าและให้แรงบันดาลใจ
และเมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป พร้อมกับแนวคิดเรื่อง “ความหลากหลาย” ที่ผู้คนให้คุณค่ามากขึ้น Workpoint ก็เริ่มมองเห็นว่า แรงบันดาลใจไม่ได้จำกัดอยู่แค่เวทีร้องเพลง หรือคนหน้ากล้องที่มีรูปลักษณ์โดดเด่นเท่านั้น แต่ “คนเก่ง คนมีความรู้ หรืออัจฉริยะในสายอาชีพต่างๆ” ก็สามารถเป็นไอดอลของสังคมได้เช่นกัน
“อยากให้คนเก่งวิชาการกลายเป็นไอดอลบ้าง” เอ๋ย เล่าอย่างตรงไปตรงมา “ทุกวันนี้เรามีแต่คนร้องเพลง คนเต้น ที่ขึ้นแท่นเป็นไอดอล แต่คนที่เก่งด้านอื่นๆ โดยเฉพาะสายวิชาการ หรือสายอาชีพเฉพาะทาง ทำไมถึงจะเป็นไอดอลไม่ได้ล่ะ? เราอยากให้เด็กๆ เห็นว่าความเก่ง ความขยัน และความรู้ ก็เท่ไม่แพ้ใคร”
จากแนวคิดนี้เอง จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างรายการแนว Edutainment ที่ผสมผสานความรู้เข้ากับความสนุก เพื่อจุดประกายให้ผู้ชมมองเห็นคุณค่าของการเรียนรู้ในมิติใหม่ ผ่านรายการอย่าง The Bone เก่งเข้ากระดูก By ศิริราช, Genwit อัจฉริยะพันธุ์ใหม่ Presented by Bangchak Group และ เกมสร้างสุข ร่วมกับ สสส. ตัวอย่างของคอนเทนต์ที่สะท้อนทิศทางใหม่ของ Workpoint ที่ยังคงความสนุกไว้ครบ และช่วยเปิดมุมมองใหม่ให้คนรุ่นใหม่เห็นว่า การเป็น “อัจฉริยะ” ไม่จำเป็นต้องอยู่ในห้องเรียนเสมอไป
[ ปั้นรายการ Edutainment เพราะสาระกับความสนุกไปด้วยกันได้ ]
และอย่างที่บอกไปในตอนต้น Workpoint ถนัดในการทำรายการประเภท ควิซโชว์ (Quiz Show) หรือ เกมโชว์ ซึ่งถือเป็นลายเซ็นที่อยู่คู่บริษัทมาอย่างยาวนาน แต่สิ่งที่ทำให้รายการเหล่านี้ยังคงร่วมสมัยและเข้าถึงผู้ชมได้เสมอ คือแนวคิดการผสมผสาน “สาระที่เข้มข้น” เข้ากับ “ความสนุกที่ดูง่าย” หรือที่เรียกว่า Edutainment (Education + Entertainment) นั่นเอง
เอ๋ยเล่าว่าตัวเธอเองและทีมงานมองว่ารายการให้ความรู้ไม่จำเป็นต้องดู “เชย” หรือ “จริงจังเกินไป” แต่สามารถเล่าเรื่องยากให้น่าสนใจ เหมือนกำลังพูดคุยกับผู้ชมทางบ้านให้เข้าใจได้อย่างเป็นกันเอง
ในแต่ละโปรเจกต์ Workpoint ยังให้ความสำคัญกับการ “อัปเดตแนวคิดเกมให้เข้ากับยุคสมัย” ไม่ว่าจะเป็นการหยิบแรงบันดาลใจจากโลกของเกมออนไลน์และวิดีโอเกม เช่น Genwit อัจฉริยะพันธุ์ใหม่ Presented by Bangchak Group ที่ออกแบบระบบการแข่งขันคล้ายเกมต่อสู้ มีแถบพลังงาน (Energy Bar) ให้ลุ้นเหมือนในเกมจริง
หรือการดึงคอนเซปต์ที่คนรุ่นใหม่คุ้นเคยอย่าง Escape Room มาสร้างรูปแบบเกมที่ท้าทายและเข้าใจง่ายในเวลาเดียวกัน อีกทั้งแต่ละตอนยังมีการสลับรูปแบบเกมและตำแหน่งการยืนของผู้เข้าแข่งขัน เพื่อให้รายการมีความสดใหม่และตื่นเต้นตลอดเวลา
[ หยิบผู้เชี่ยวชาญมาช่วยทำรายการให้ส่งต่อความรู้ให้ได้มากสุด ]
เบื้องหลังความสนุกเหล่านี้ Workpoint ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับ “ความถูกต้องของข้อมูล” เพราะรายการแนวสาระมีความเสี่ยงสูงต่อความคลาดเคลื่อน ทีมงานจึงทำงานร่วมกับ ผู้เชี่ยวชาญระดับสูง ในแต่ละสาขาอย่างใกล้ชิด เช่น รายการ The Bone เก่งเข้ากระดูก By ศิริราช ที่ได้รับการสนับสนุนจากทีมแพทย์และอาจารย์จากคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลเกือบทั้งภาควิชาในการตรวจสอบเนื้อหา
นอกจากนี้ ทีมงานยังลงพื้นที่ศึกษาด้วยตนเอง เช่น เข้าเรียนในคลินิกคำหัตถการ หรือร่วมออกตรวจ OPD กับแพทย์จริง เพื่อเก็บแรงบันดาลใจจากสถานการณ์ในชีวิตจริงมาสร้างเป็นโจทย์ในรายการ
หรือ Genwit อัจฉริยะพันธุ์ใหม่ Presented by Bangchak Group ที่มีอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา ร่วมออกแบบและตรวจโจทย์ทุกข้อก่อนออกอากาศ
นอกจากนี้ ‘เอ๋ย’ ยอมรับว่า ปัจจุบันไม่ใช่ยุคทองของโทรทัศน์อีกต่อไป ซึ่งเป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นทั่วโลก แม้แต่ในประเทศที่วงการทีวีแข็งแรงอย่างสหรัฐอเมริกา พฤติกรรมของผู้ชมเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เลือกเสพคอนเทนต์ผ่าน YouTube, TikTok หรือแพลตฟอร์มออนไลน์ มากกว่าการเปิดทีวี
เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนี้ ทีม Workpoint จึงต้อง “คิดข้ามแพลตฟอร์ม” ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบรายการ เพื่อให้ตอบโจทย์ทั้งผู้ชมหน้าจอและผู้ชมออนไลน์ในเวลาเดียวกัน
คิดเผื่อการดูในหลายรูปแบบ (Multi-platform Thinking) รายการที่ออกอากาศทางโทรทัศน์ ต้องสามารถต่อยอดเป็นคลิปออนไลน์ได้ทันที ทั้งในรูปแบบ คลิปตัด (Clip-cuts) หรือ คลิปไวรัล ที่แฟนรายการนำไปเผยแพร่ต่อเอง สร้างคอนเทนต์เสริม ควบคู่ไปด้วย
[ DNA ของ Workpoint ที่เรียกว่า “กัดไม่ปล่อย” ]
สุดท้ายแล้ว กระแสตอบรับของรายการกลุ่ม Edutainment ออกมาดีล้นหลาม ไม่ว่าจะเป็นโปรเจกต์ใหญ่หรือรายการสั้นก็ตาม เช่น The Bone แม้จะมีเพียง 3 เทปผู้ชมหลายคนให้ความเห็นว่ารับชมรายการแล้วมีแรงบันดาลใจ หรือแม้แต่ตัวคุณหมอผู้เข้าแข่งขันเองก็สามารถต่อยอดตัวเองให้เป็นไอดอลในชีวิตจริงได้
ทั้งหมดนี้เกิดจาก DNA ของ Workpoint ที่เรียกว่า “กัดไม่ปล่อย” ความมุ่งมั่นที่จะทำให้ผลงานทุกชิ้นออกมาดีที่สุด
ไม่ว่าจะเป็นโปรเจกต์ไหน เอ๋ยกับทีมงานก็ทำงานอย่างเต็มที่ราวกับเป็นโอกาสครั้งสำคัญในชีวิต ด้วยทีมที่เชี่ยวชาญและพร้อมรับมือกับคอนเทนต์ยากๆ พวกเขาสามารถเปลี่ยนเรื่องซับซ้อนให้กลายเป็นความสนุกที่ทั้งให้สาระและสร้างแรงบันดาลใจได้อย่างลงตัว
“โชคดีมากๆ ที่ได้เจอทีมนี้ ถ้าไม่ได้ทีมนี้ อาจไม่มี GenWit หรือ The Bone ในแบบที่เห็นทุกวันนี้ก็ได้ เพราะทุกอย่างที่ออกมามันสะท้อน “ทีม” ล้วนๆ ไม่ใช่แค่ฝีมือของใครคนใดคนหนึ่ง พี่ก็ชอบพูดเสมอว่า ถ้าจะชมรายการนี้ อย่าชมพี่คนเดียว ให้ชมทีม เพราะทีมนี้เก่งจริงๆ” เอ๋ย กล่าว
[ เพราะสปอนเซอร์คือส่วนสำคัญให้รายการได้เกิดขึ้นจริง ]
และสิ่งที่ทำให้รายการแนว Edutainment ของ Workpoint แตกต่าง คือเบื้องหลังมักมี “ผู้สนับสนุนที่มีวิสัยทัศน์” อยู่เสมอคนที่ไม่ได้มองเพียงตัวเลขเรตติ้ง แต่เห็นว่ารายการเหล่านี้สามารถ “ส่งต่อคุณค่าบางอย่างให้สังคมได้จริง”
เช่น ผู้สนับสนุนรายใหญ่อย่าง “บางจาก” ที่ให้โจทย์กับทีมว่าอยากให้เด็กไทยกลับมารักวิทยาศาสตร์ เพราะเชื่อว่า “วิทยาศาสตร์สร้างชาติได้” หรืออย่างรายการ The Bone ที่เกิดจากการร่วมมือกับคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล และ เกมสร้างสุข ที่ร่วมกับ สสส. เพื่อสื่อสารเรื่องสุขภาวะผ่านความสนุกของเกมโชว์
แม้รายการเหล่านี้จะมีความสั้นยาวไม่เท่ากัน แต่กลับถูกสร้างขึ้นอย่างละเอียดในทุกขั้นตอน ทั้งการออกแบบฉาก เกม เนื้อหา และโปรดักชันระดับใหญ่ มีผู้ร่วมรายการหลายสิบคน หรือแม้แต่นักเรียนจากทั่วประเทศ
เพราะ Workpoint เชื่อว่า “แม้รายการสั้นๆ ก็สามารถสร้างแรงบันดาลใจได้ยาวนาน”
และเมื่อรายการหนึ่งประสบความสำเร็จ ก็ยิ่งสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้สนับสนุนรายอื่นๆ ว่าคอนเทนต์เชิงสาระก็มีคนดูจริง และสามารถส่งต่อคุณค่าได้โดยไม่ต้องละทิ้งความบันเทิง
ท้ายที่สุด เมื่อได้พูดคุยกับ ‘เอ๋ย’ ผู้ปลุกปั้นรายการสาระจาก Workpoint ที่ทั้งสนุก ฉลาด และเข้าถึงง่าย สิ่งที่สัมผัสได้ไม่ใช่แค่ความคิดสร้างสรรค์หรือทักษะการเล่าเรื่องเท่านั้น แต่คือ “ความเชื่อมั่นในคุณค่าของความรู้” และศรัทธาในพลังของทีมที่อยู่เบื้องหลัง
เพราะสำหรับ Workpoint แล้ว การสร้างสรรค์รายการไม่ใช่แค่การสร้างความบันเทิง แต่คือการ สร้างพื้นที่ให้คนเก่งได้เปล่งแสงในแบบของตัวเอง ผ่านวิธีที่ผู้ชมดูแล้วรู้สึกสนุก เข้าใจ เกิดแรงบันดาลใจและอยากเรียนรู้ไปด้วยกัน..

ที่อยู่

Bangkok
10400

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Media Alertผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง Media Alert:

แชร์

ประเภท