Agrinews ข่าวเกษตรและไลฟ์สไตล์

Agrinews ข่าวเกษตรและไลฟ์สไตล์ ข่าวเกษตร

ทำอย่างไร? ให้ลูกสุกรในนมไม่ท้องเสีย. (คลิปที่ 24) 🐷🎯
30/08/2025

ทำอย่างไร? ให้ลูกสุกรในนมไม่ท้องเสีย. (คลิปที่ 24) 🐷🎯

กรมการข้าว จัดเพรสทัวร์พาตะลุยเมืองอุบลฯ ดูพื้นที่ต้นแบบมาตรฐานสินค้าเกษตร ข้าวยั่งยืน"ข้าว" นับเป็นอาหารหลักของคนไทย แล...
28/08/2025

กรมการข้าว จัดเพรสทัวร์พาตะลุยเมืองอุบลฯ ดูพื้นที่ต้นแบบมาตรฐานสินค้าเกษตร ข้าวยั่งยืน

"ข้าว" นับเป็นอาหารหลักของคนไทย และอยู่คู่กับสังคมไทยมาอย่างยาวนาน โดยประเทศไทยเป็นหนึ่งในผู้ผลิตหลักของโลก ข้าวมีความสำคัญทั้งในด้านวัฒนธรรม การดำรงชีวิต เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตามเกษตรกรจำเป็นต้องปรับตัวอย่างต่อเนื่องเพื่อพัฒนาการปลูกข้าวตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ เพื่อเพิ่มผลผลิต ลด ต้นทุน เพิ่มรายได้ ตลอดจนลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ข้าวที่ปลูกอยู่ในพื้นที่ที่มีน้ำขังอยู่ตลอดเวลา ทำให้เกิดการหมักหมมของเศษซากพืชในปริมาณมาก และเมื่อย่อยสลายจะปลดปล่อยก๊าซมีเทน ซึ่งเป็นหนึ่งในก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศ นอกจากนี้ การเผาตอชังข้าวหลังการปลูกข้าว ยังเป็นสาเหตุของการเกิดภาวะโลกร้อนเกษตรกรจึงควร "ปลูกข้าว" ภายใต้กระบวนการที่มีคุณภาพพร้อมๆ ไปกับการมีความรับผิดชอบต่อสังคม และ สิ่งแวดล้อม เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนในอนาคต

จากความสำคัญของการผลิตข้าวในมิติต่างๆ ที่ส่งผลกระทบโดยเฉพาะต่อเกษตรกร สังคม สิ่งแวดล้อม ตลอดจนการตลาดในปัจจุบัน กรมการข้าว โดยกองตรวจสอบรับรองมาตรฐานข้าวและผลิตภัณฑ์ จึงได้จัดเพรสทัวร์ (Press Tour) นำคณะสื่อมวลชนลงพื้นที่ศึกษาดูงาน ระหว่างวันที่ 25 - 26 สิงหาคม 2568 ในจังหวัดอุบลราชธานี เพื่อเป็น ส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนการตรวจสอบและรับรองมาตรฐานการผลิตข้าวยั่งยืน ตามมาตรฐานสินค้าเกษตร เรื่อง ข้าวยั่งยืน (มกษ. 4408 - 2565) ซึ่งจะช่วยในการเผยแพร่องค์ความรู้ ส่งเสริมและพัฒนาเกษตรกรให้สามารถพัฒนาตนเองเข้าสู่ระบบมาตรฐานการผลิตข้าวยั่งยืน ผลิตสินค้าข้าวที่มีคุณภาพและปลอดภัยต่อผู้บริโภค ตลอดจนประชาสัมพันธ์ให้ผู้บริโภคได้รับทราบถึงคุณค่า และความสำคัญของสินค้าข้าวยั่งยืนให้เกิดผลสำเร็จเป็นรูปธรรมทั้งในปัจจุบันอีกด้วย

นายขจร โนวัฒน์ ผู้อำนวยการกองตรวจสอบรับรองมาตรฐานข้าวและผลิตภัณฑ์ กล่าวว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมการข้าว มีนโยบายการเกษตรยั่งยืน เพื่อยกระดับมาตรฐานการผลิตข้าว โดยได้กำหนดมาตรฐาน สินค้าเกษตร เรื่อง ข้าวยั่งยืน (มกษ. 4408-2565) ขึ้น เพื่อเป็นแนวทางการพัฒนาผลิตข้าวอย่างยั่งยืน แก่เกษตรกรตลอดห่วงโช่การผลิตและห่วงโซ่การคุ้มครอง ทั้งนี้ ประโยชน์ที่เกษตรกรจะได้รับจากการผลิตข้าวตามมาตรฐาน สินค้าเกษตร เรื่องข้าวยั่งยืนนั้น ได้แก่ ผลผลิตสินค้าข้าวมีคุณภาพและความปลอดภัยด้านอาหาร, ปกป้องสุขภาพและคุ้มครองความปลอดภัยเกษตรกร ผู้ปฏิบัติงานรวมถึงชุมชน, เพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน เพิ่มรายได้ จากการใช้เทคโนโลยีและการจัดการที่มีประสิทธิภาพ, เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศ ส่งเสริมการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก, แรงงานได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายแรงงานและสอดคล้องกับบริบทท้องถิ่น, สามารถตามสอบ ข้อมูลได้ตลอดห่วงโซ่การผลิต ป้องกันการปนเปื้อน และการปะปนของข้าวอื่นๆ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับ ผู้บริโภค, เพิ่มโอกาสทางการตลาดไปสู่ผู้บริโภคที่ห่วงใยสุขภาพและให้ความสำคัญต่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

“สำหรับมาตรฐานสินค้าเกษตร เรื่อง ข้าวยั่งยืน (มกษ. 4408-2565) นับเป็นมาตรฐานที่กรมการข้าว โดยกองตรวจสอบรับรองมาตรฐานข้าวและผลิตภัณฑ์ ได้พยายามส่งเสริมให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว มีการผลิตข้าวที่มีคุณภาพและมีความยั่งยืน สร้างโอกาสทางการตลาดและเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันข้าวของไทย โดยครอบคลุม ตั้งแต่การจัดการฟาร์ม การเตรียมก่อนการปลูก การใช้น้ำ การจัดการธาตุอาหาร การจัดการศัตรูพืชโดยวิธีผสมผสาน การเก็บเกี่ยวและการปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยว สุขภาพและความปลอดภัย สิทธิแรงงานในฟาร์ม การแปรสภาพข้าวเปลือกเป็นสินค้าข้าวยั่งยืน โดยการแสดงฉลากและการกล่าวอ้าง มาตรฐานนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดความปลอดภัยด้านอาหารและการพัฒนาการผลิตข้าวอย่างยั่งยืน"

นายขจร โนวัฒน์ ยังกล่าวอีกว่า สำหรับกิจกรรมพาสื่อมวลชนลงพื้นที่ศึกษาดูงานในจังหวัดอุบลราชธานีนั้น เชื่อมั่น ว่า จะช่วยประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรและผู้สนใจมีองค์ความรู้และเข้าใจในมาตรฐานสินค้าเกษตร เรื่อง ข้าวยั่งยืน (มกษ. 4408 - 2565) เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาเข้าสู่ระบบมาตรฐานการผลิตข้าวยั่งยืนมากขึ้น ที่สำคัญยังจะทำให้ผู้บริโภคและประชาชนทั่วไปตระหนักถึงความสำคัญของมาตรฐานสินค้าข้าวยั่งยืนที่ทางกรมการข้าว โดยกองตรวจสอบรับรองมาตรฐานข้าวและผลิตภัณฑ์ ได้พยายามส่งเสริมให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง

"เราจะพาผู้สื่อข่าวลงพื้นที่จริง ซึ่งถือเป็นต้นแบบ มาตรฐานสินค้าเกษตร "ข้าวยั่งยืน" โดยจะพาไปดูตั้งแต่การ จัดการฟาร์มจนถึงการทำแบรนด์ที่มีการแสดงฉลากและการกล่าวอ้างอย่างถูกต้อง เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับข้าวที่ปลูกและสร้างความน่าเชื่อถือแก่ผู้บริโภค ที่สำคัญได้แก่กลุ่ม "ข้าวยั่งยืนบ้านดอนหมู" อ.ตระการพืชผล จ.อุบลราชธานีที่ดำเนินการเกี่ยวกับการทำนาข้าวแบบยั่งยืน โดยเข้าร่วมมาตรฐานข้าวยั่งยืนเมื่อปี พ.ศ. 2562 ที่นี่มุ่งเน้นการผลิต ข้าวที่มีคุณภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ยังมีการนำเทคนิคการทำนาแบบต่างๆ มาปรับใช้ เช่น การทำนาแบบอินทรีย์ หรือการทำนาแบบลดการใช้สารเคมี เพื่อให้ได้ผลผลิตข้าวที่ดีและยั่งยืน จากนั้นจะพาไปเยี่ยมชม

"โรงสีข้าวกิจอุดม" เพื่อชมกระบวนการแปรรูป เพื่อให้ได้สินค้าข้าวตามมาตรฐานข้าวยั่งยืน รวมทั้งยังจะพา สื่อมวลชนได้มีโอกาสเลือกชอปสินค้าจากร้านค้าของวิสาหกิจชุมชน ในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานีอีกด้วย" นับเป็นการลงไปสัมผัสพื้นที่ต้นแบบมาตรฐานสินค้าเกษตร "ข้าวยั่งยืน" เพื่อช่วยให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวใช้เป็นโมเคล และสร้างแรงบันดาลใจในการขับเคลื่อนการปลูกข้าวที่ได้มาตรฐานและเป็นที่ต้องการของตลาดในอนาคต.

#กรมการข้าว #โรงสีข้าวกิจอุดม #ขจรโนวัฒน์ #กองตรวจสอบรับรองมาตรฐานข้าวและผลิตภัณฑ์

สยามคูโบต้า ชูบทบาทเทรนด์เซ็ตเตอร์การเกษตรยั่งยืน ลุยต่อ ขยายความรู้นวัตกรรมเกษตร ทดแทนการเผา จับมือ “ลำปาง” สร้างเมืองต...
27/08/2025

สยามคูโบต้า ชูบทบาทเทรนด์เซ็ตเตอร์การเกษตรยั่งยืน ลุยต่อ ขยายความรู้นวัตกรรมเกษตร ทดแทนการเผา จับมือ “ลำปาง” สร้างเมืองต้นแบบปลอดการเผาสู่ Net Zero Emission 🌱

บริษัท สยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด ลุยต่อแผน KUBOTA NET ZERO EMISSION มุ่งมั่นสร้างโลกเกษตรที่ยั่งยืน ขยายองค์ความรู้เกษตรปลอดการเผา สู่นโยบายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคการเกษตรสุทธิเป็นศูนย์ จับมือหน่วยงานภาครัฐและเอกชนของจังหวัดลำปาง ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฯ “ลำปาง เมืองต้นแบบปลอดการเผาสู่ Net Zero Emission" เป็นจังหวัดที่ 13 ดึงองค์ความรู้ KUBOTA (Agri) Solutions เกษตรครบวงจร แก้ปัญหามลพิษจากฝุ่นละอองในภาคการเกษตร ตลอดจนบริหารจัดการวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร

นายรัชกฤต สงวนชีวิน ผู้จัดการฝ่าย Sustainability Development บริษัทสยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องที่ทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นประเด็นภาวะโลกร้อน สภาพอากาศแปรปรวน ไปจนถึงมลพิษในอากาศอย่าง “ฝุ่นละออง PM 2.5” ซึ่งพบว่าสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการเผาในพื้นที่การเกษตร

สยามคูโบต้าจึงได้ดำเนินกิจกรรมโซลูชันเกษตรปลอดการเผาตั้งแต่ปี 2559 เพื่อรณรงค์และพัฒนากระบวนการผลิตโดยวิธีการทำเกษตรปลอดการเผา ตลอดจนการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่วัสดุเหลือใช้หลังการเก็บเกี่ยว เช่น ฟางข้าว ตอซังข้าว และใบอ้อย ด้วยการนำเอานวัตกรมเครื่องจักรกลการเกษตรและองค์ความรู้ด้านการเกษตร ภายใต้องค์ความรู้ KUBOTA (Agri) Solutions เกษตรครบวงจรมาปรับใช้ รวมถึงร่วมกันบูรณาการกิจกรรม Net Zero Emission หรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ผ่านโซลูชันการเกษตร อย่างการสนับสนุนการทำนาเปียกสลับแห้งลดการขังน้ำ

ที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2563 ได้จัดกิจกรรมรณรงค์และสัมมนาโครงการฯ รวมถึงดำเนินการจัดลงนามความร่วมมือโครงการเกษตรปลอดการเผา (Zero Burn) ไปแล้ว 12 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดมหาสารคาม จังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดราชบุรี จังหวัดเชียงราย จังหวัดนครสวรรค์ จังหวัดอุดรธานี จังหวัดสุโขทัย จังหวัดหนองคาย จังหวัดเลย และจังหวัดสระแก้ว ส่งผลให้ลดจุดการเผาในภาคการเกษตรในจังหวัดที่เข้าร่วมโครงการได้อย่างยั่งยืน อีกทั้งยังสร้างรายได้และคืนสุขภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้พี่น้องเกษตรกร

สยามคูโบต้าจึงได้ต่อยอดความสำเร็จมายังจังหวัดลำปางเป็นจังหวัดที่ 13 ทั้งนี้เรามุ่งหวังยกระดับโครงการเกษตรปลอดการเผา (Zero Burn) สู่เป้าหมาย KUBOTA NET ZERO EMISSION มุ่งมั่นสร้างโลกเกษตรที่ยั่งยืน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคการเกษตรสุทธิเป็นศูนย์ อย่างไรก็ดียังมีการเร่งศึกษาทดลองนวัตกรรมและเทคโนโลยี และโซลูชันการเกษตรต่างๆ เพื่อทำให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรสามารถนำไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ด้าน นายชุติเดช มีจันทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง กล่าวว่า ภาคการเกษตรมีความสำคัญต่อการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจของจังหวัดลำปาง เนื่องจากจังหวัดมีพื้นที่ทำการเกษตรทั้งหมดกว่า 1.7 ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ 22.74 ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่พืชไร่ นาข้าว ไม้ยืนต้น สำหรับประเด็นการป้องกันและแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของจังหวัดลำปาง ที่ผ่านมาได้ดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาการเผาในพื้นที่เกษตรกรรม โดยได้ดำเนินการประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้ รณรงค์ ส่งเสริมให้มีการลดการเผาในพื้นที่เกษตร และบูรณาการเครือข่ายหยุดเผา ภายใต้แนวทาง 3R Model ประกอบด้วย การเปลี่ยนพฤติกรรม Re-Habit ให้ปลูกพืชชนิดเดิมแบบไม่เผา

โดยใช้เครื่องจักร ส่งเสริมการแปรรูป และเพิ่มมูลค่าเศษวัสดุทางการเกษตรเพื่อลดการเผา ได้แก่ การไถกลบตอซังและอัดก้อนฟางข้าวและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ การผลิตปุ๋ยอินทรีย์ และการจำหน่ายเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรในพื้นที่ การเปลี่ยนชนิดพืช Replace with High Value Crops ที่ปลูกบนพื้นที่สูง จากพืชไร่เป็นไม้ผล พืชเศรษฐกิจ/แบบผสมผสาน ที่มีมูลค่าสูง เช่น กาแฟ และการเปลี่ยนเป็นพืชทางเลือก Replace with Alternate Crops เป็นพื้นที่ราบจากพื้นที่นาปรังหรือพื้นที่นอกเขตชลประทาน ให้ปลูกข้าวโพดหรือพืชตระกูลถั่ว

ทั้งนี้ในปี 2568 จังหวัดลำปางมีเป้าหมายการลดจุดความร้อน Hot Spot ในพื้นที่การเกษตร ลงร้อยละ 30 จากปี 2567 ผลการดำเนินงานในปี 2568 สามารถลดจุดเผาไหม้ได้ร้อยละ 30.94 เมื่อเปรียบเทียบในช่วงเดียวกัน สะสมเพียง 125 จุด จากปีที่ผ่านมาจำนวน 181 จุด แต่ยังมีเกษตรกรจำนวนมากที่ใช้การเผาเป็นวิธีจัดการเศษวัสดุทางการเกษตร ซึ่งนอกจากจะสร้างมลพิษทางอากาศและปัญหาฝุ่น PM 2.5 แล้ว ยังเป็นหนึ่งในปัจจัยที่เร่งให้เกิดภาวะโลกร้อน จึงต้องสร้างความตระหนักถึงผลกระทบ ให้มีการปรับตัว และรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีในปัจจุบันต่อไป

จังหวัดลำปาง มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ทางบริษัทสยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด ได้เล็งเห็นความสำคัญ
ในการดำเนินโครงการ มีการบูรณาการระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชน และมีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกัน เพื่อรณรงค์และส่งเสริมให้เกษตรกรตระหนักถึงความสำคัญของการทำเกษตรปลอดการเผา (Zero Burn) และนำนวัตกรรมเครื่องจักรกลการเกษตรควบคู่กับองค์ความรู้ด้านการเกษตรมาประยุกต์ใช้ในกระบวนการเพาะปลูก เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และแก้ปัญหามลพิษทางอากาศอย่างยั่งยืน

นอกจากนี้ โครงการยังมุ่งสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ซึ่งในจังหวัดลำปางมีโอกาสในการซื้อขายวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เช่น สามารถนำไปจำหน่ายให้กับตลาดเลี้ยงสัตว์ หรือแปรรูปเป็นเชื้อเพลิงชีวมวลเพื่อส่งโรงไฟฟ้าภายในจังหวัด อันจะช่วยสร้างรายได้หมุนเวียนให้กับเกษตรกรและชุมชน พร้อมก้าวสู่เป้าหมาย “ลำปาง เมืองต้นแบบปลอดการเผาสู่ Net Zero Emission” อย่างเป็นรูปธรรม”

อย่างไรก็ตาม สยามคูโบต้า ยังคงมุ่งมั่นผลักดันแนวคิดเกษตรปลอดการเผาสู่การสร้าง “เมืองต้นแบบปลอดการเผาสู่ Net Zero Emission” ด้วยการขยายพื้นที่ความร่วมมือของโครงการฯ ในปี 2568 เพิ่มอีก 2 จังหวัด ได้แก่จังหวัดพิจิตร จังหวัดลพบุรี นอกจากนี้ยังมีการผลักดันองค์กรและสินค้าของคูโบต้าให้เป็นองค์กรที่มีนโยบายเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตลอดจนหาแนวทางการแก้ไขประเด็นเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อมอยู่เสมอ ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมาย ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 50% ภายในปี 2573 พร้อมขยายผลให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero Emission ภายในปี 2593 สอดรับกับเป้าหมายแผนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยและเพื่อดำเนินตามนโยบายคูโบต้า คอร์ปอเรชั่น ในการมุ่งสู่แบรนด์ชั้นนำระดับโลกหรือ Global Major Brand (GMB).

#สยามคูโบต้า #เกษตรปลอดการเผา #เมืองต้นแบบปลอดการเผา

สยามคูโบต้า เดินหน้าโครงการ KUBOTA Smart Farmer Camp ปีที่ 11 🌱ปั้น Smart Farmer และ Agri-Influencer ขับเคลื่อนองค์ความร...
27/08/2025

สยามคูโบต้า เดินหน้าโครงการ KUBOTA Smart Farmer Camp ปีที่ 11 🌱
ปั้น Smart Farmer และ Agri-Influencer ขับเคลื่อนองค์ความรู้เกษตรยุคใหม่ 🎯

บริษัทสยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด นำโดย นางวราภรณ์ โอสถาพันธุ์ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส (ที่ 3 จากซ้าย) นายรัชกฤต สงวนชีวิน ผู้จัดการฝ่าย Sustainability Development (ที่ 4 จากซ้าย) พร้อมด้วย นายฉัตรเชาวสิโรตม์ ยอดคีรี ประธานวิสาหกิจชุมชนทำนาห้วยตาดข่า และประธานศูนย์เรียนรู้ชุมชนพลังเกษตรสร้างสุขสยามคูโบต้า – ห้วยตาดข่า จังหวัดอุดรธานี (ที่ 2 จากซ้าย)

ร่วมเปิดโครงการ “KUBOTA Smart Farmer Camp 2025” ที่จัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 11 ในธีม "Green Agri-Verse เกษตรอัจฉริยะ ปลูกให้ปัง ดังทุกเวิร์ส" มุ่งปลุกพลังคนรุ่นใหม่ที่มีใจรักในอาชีพเกษตรกรรม เตรียมปั้นสู่การเป็น Smart Farmer และ Agri-Influencer

สร้างแรงบันดาลใจและขยายองค์ความรู้สมัยใหม่ด้านการเกษตร เพื่อร่วมเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนวงการเกษตรไทยสู่ความยั่งยืน ณ ศูนย์เรียนรู้ชุมชนพลังเกษตรสร้างสุขสยามคูโบต้า ห้วยตาดข่า จังหวัดอุดรธานี เมื่อเร็ว ๆ นี้.

#สยามคูโบต้า #องค์ความรู้เกษตรยุคใหม่

โก โฮลเซลล์ สนับสนุน นมคุณภาพสูงล้านนา เชียงใหม่เฟรชมิลค์ 🎯ส่งเสริมเกษตรกรภาคเหนือเลี้ยงวัวอารมณ์ดี ที่เน้นคุณภาพปลอดภัย...
27/08/2025

โก โฮลเซลล์ สนับสนุน นมคุณภาพสูงล้านนา เชียงใหม่เฟรชมิลค์ 🎯
ส่งเสริมเกษตรกรภาคเหนือเลี้ยงวัวอารมณ์ดี ที่เน้นคุณภาพปลอดภัยตลอดห่วงโซ่

รู้หรือไม่? ภาคเหนือเป็นพื้นที่ที่มีการส่งเสริมการเลี้ยงวัวอารมณ์ดีกันมากที่สุดแห่งหนึ่ง ส่งผลให้น้ำนมวัวที่ได้มีคุณภาพแตกต่าง!

เช่นเดียวกับ “เชียงใหม่เฟรชมิลค์” ผลิตภัณฑ์นมวัวที่มีจำหน่ายอยู่ใน โก โฮลเซลล์ (GO WHOLESALE) ศูนย์ค้าส่งวัตถุดิบอาหาร ที่มีความสดใหม่ตลอดเวลาเพื่อผู้ประกอบการ ซึ่งแบรนด์นี้มีความเป็นมาและการใส่ใจคุณภาพที่น่าสนใจ

โดยงานนี้มี “คุณกฤษฏิ์ ทิพย์เนตร” ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เชียงใหม่เฟรชมิลค์ฟาร์ม จำกัด พาไปเยือนถึง ฟาร์มต้นแบบของการเลี้ยงวัวนมคุณภาพ ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ ที่มีการจัดการฟาร์มแบบ Green Farm ด้วย

“น้ำนมที่ดี ต้องเริ่มจากวัวอารมณ์ดี มีสภาพภูมิอากาศที่เหมาะสมกับการเลี้ยงวัว เรามีการดูแลอย่างใกล้ชิด ทั้งเรื่องอาหารที่มีการใช้หญ้า เนเปียร์สดผสมในเครื่อง TMR ให้วัวแข็งแรง ให้น้ำนมได้ดี และใส่ใจเรื่องความสะอาด เรามีการทำความสะอาดคอกทุกวันและตรวจเช็คสุขภาพวัวเป็นประจำ ส่วนน้ำนมที่รีดมาได้จะไม่ได้สัมผัสกับอากาศภายนอกเลย เพราะเรามีระบบรีดนมแบบอัตโนมัติสามารถรีดน้ำนมและควบคุมอุณหภูมิไปจนถึงโรงงานภายใน 24 ชั่วโมง โดยไม่ปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียแน่นอน”

นอกจากนมที่ฟาร์มที่จัดส่งเข้าโรงงานที่บริษัท เชียงใหม่เฟรชมิลค์ จำกัดแล้ว ยังมีน้ำนมดิบกว่าวันละ 100 ตัน จากฟาร์มสมาชิก 159 ฟาร์ม ซึ่งมีเครือข่ายสมาชิกเกษตรกรกว่า 1,000 ครัวเรือน ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานฟาร์มโคนมทั้งหมด

คุณธมล ทิพย์เนตร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท เชียงใหม่เฟชรมิลค์ จำกัด ยังได้พาเยี่ยมชมโรงงานผลิต มีการตรวจสอบคุณภาพความปลอดภัยอย่างเข้มงวด ตลอดทั้งกระบวนการกว่าจะถึงมือผู้บริโภค และที่โรงงานมีเครื่องจักรทันสมัย และมีความมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม

“นมจากเชียงใหม่เฟรชมิลค์ของเรา จึงมีกลิ่นนมเฉพาะที่มาจากธรรมชาติ หอม สด อร่อย”

ไม่เพียงเท่านั้น เชียงใหม่เฟรชมิลค์ ยังได้การรับรองให้เป็น ‘นมคุณภาพสูงล้านนา’ (Lanna High Quality Milk) ซึ่งเป็นโครงการดีๆ ที่ช่วยยกระดับการผลิตและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับน้ำนมดิบและผลิตภัณฑ์จากน้ำนมดิบ ในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน ที่ได้รับการรับรองจากผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่และปศุสัตว์เขต 5

“เราดีใจที่น้ำนมของเรามีคุณค่าเพิ่มขึ้น ผลิตภัณฑ์ของเรา ตอบโจทย์ผู้ประกอบการร้านคาเฟ่ ร้านเบเกอรี่ หรือธุรกิจได้จริง ที่น่าภูมิใจยิ่งกว่านั้นคือ การได้ทำงานเพื่อช่วยพัฒนาเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมในเขตภาคเหนือให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น อีกทั้งยังร่วมพัฒนาองค์ความรู้ร่วมกับเกษตรกรเพื่อส่งเสริมและพัฒนาการเลี้ยงโคนมอย่างยั่งยืน”

ถ้าอยากรู้ว่า รสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของวัวอารมณ์ดีในภาคเหนือเป็นอย่างไร ทำไมถึงได้เป็นซิกเนเจอร์ของเชียงใหม่ ไปตามหากันได้ที่ โก ฮลเซลล์ทุกสาขา

่ตลอดเวลาเพื่อคุณ ุ้ม

ซินเจนทา รับรางวัล องค์กรดีเด่น 🌱ด้าน พัฒนาภาคการเกษตร ส่งเสริมกิจกรรมด้านสังคม 2568ซินเจนทา ประเทศไทย นำโดย นางสาววรรณภ...
27/08/2025

ซินเจนทา รับรางวัล องค์กรดีเด่น 🌱
ด้าน พัฒนาภาคการเกษตร ส่งเสริมกิจกรรมด้านสังคม 2568

ซินเจนทา ประเทศไทย นำโดย นางสาววรรณภร วัฒนาเกษมสัตย์ (ขวา) ผู้อำนวยการฝ่ายความยั่งยืนและบรรษัทสัมพันธ์ บริษัท ซินเจนทา ครอป โปรเทคชั่น จำกัด รับมอบรางวัล "องค์กรดีเด่น" ด้าน “พัฒนาภาคการเกษตร ส่งเสริมกิจกรรมด้านสังคม” ประจำปี 2568 จากสมาคมหนังสือพิมพ์ส่วนภูมิภาคแห่งประเทศไทย โดยได้รับเกียรติจาก ฯพณฯ วันมูหะมัดนอร์ มะทา (กลาง) ประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานรัฐสภา ให้เกียรติในการมอบรางวัล และนายอนันต์ นิลมานนท์ (ซ้าย) นายกสมาคมหนังสือพิมพ์ส่วนภูมิภาคแห่งประเทศไทย ร่วมเป็นสักขีพยาน

รางวัลนี้ ตอกย้ำถึงการพัฒนาภาคการเกษตรและส่งเสริมกิจกรรมด้านสังคมของซินเจนทา ที่ได้ยกระดับภาคเกษตรไทยอย่างยั่งยืน ผ่านการสนับสนุนเกษตรกรให้ทำการเกษตรอย่างปลอดภัยตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ควบคู่กับการพัฒนาทักษะและองค์ความรู้เพื่อเพิ่มผลผลิตและรายได้ อีกทั้งยังมุ่งส่งเสริมกิจกรรมเพื่อสังคมที่สร้างประโยชน์ต่อชุมชน เกษตรกร และสิ่งแวดล้อม อันนำไปสู่ความมั่นคงทางอาหาร อาชีพ และคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาว” โดยพิธีมอบจัดขึ้น ณ โรงแรมคิงปาร์ค อเวนิว กรุงเทพฯ เมื่อเร็วๆ นี้.

#ซินเจนทารับรางวัลองค์กรดีเด่น #พัฒนาภาคการเกษตร #วรรณภรวัฒนาเกษมสัตย์

เบอริงเกอร์ อินเกลไฮม์ เปิดตัวผลการศึกษา “Going Beyond”ชี้แนวทางเสริมสร้างความเข้มแข็งให้วิชาชีพสัตวแพทย์ในไทยผศ.น.สพ.รุ...
27/08/2025

เบอริงเกอร์ อินเกลไฮม์ เปิดตัวผลการศึกษา “Going Beyond”
ชี้แนวทางเสริมสร้างความเข้มแข็งให้วิชาชีพสัตวแพทย์ในไทย

ผศ.น.สพ.รุ่งโรจน์ โอสถานนท์ อดีตประธาน-คณะผู้บริหารวิทยาลัยวิชาชีพการสัตวแพทย์ชำนาญการแห่งประเทศไทย, ผศ.น.สพ.ภูดิท มณีสาย นายกสมาคมสัตวแพทยผู้ประกอบการบำบัดโรคสัตว์แห่งประเทศไทย, สพ.ญ.กฤติกา ชัยสุพัฒนากุล ประธานชมรมสถานพยาบาลสัตว์แห่งประเทศไทย, เภสัชกร อภิศักดิ์ คุณเวช Head of Animal Health บริษัท เบอริงเกอร์ อินเกลไฮม์ แอนิมอล เฮลท์ (ประเทศไทย), สพ.ญ.ดร.เมตตา เมฆานนท์ นายกสมาคมสัตวแพทย์ควบคุมฟาร์มสุกรไทย, รศ.สพ.ญ.ดร.จารุวรรณ คำพา เลขาธิการสัตวแพทยสภา, และ อ.น.สพ.ชัยยศ ธารรัตนะ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสัตว์กรุงเทพ คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

เบอริงเกอร์ อินเกลไฮม์ แอนิมอล เฮลท์ (ประเทศไทย) หนึ่งในผู้นำระดับโลกด้านสุขภาพสัตว์ เปิดผลการศึกษาเชิงลึก (Whitepaper) ในหัวข้อ “Going Beyond: สร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับสัตวแพทย์ในประเทศไทย”ชี้ให้เห็นถึงความท้าทายที่สัตวแพทย์ไทยต้องเผชิญ ทั้งความเครียดจากการทำงานหนัก ชั่วโมงงานที่ยาวนาน และการขาดการยอมรับด้านวิชาชีพสัตวแพทย์

ผลการศึกษาดังกล่าว รวบรวมข้อมูลจาก 6 ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยผลการศึกษานำเสนอประเด็นด้านสุขภาพจิตและการยอมรับวิชาชีพสัตวแพทย์ พร้อมข้อเสนอแนะแนวทางเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้วงการสัตวแพทย์ในประเทศไทย พบว่า แม้สัตวแพทย์จะมีบทบาทสำคัญต่อการปกป้องสุขภาพสัตว์และสุขภาพอนามัยของประชาชน แต่สัตวแพทย์ในประเทศไทยต้องเผชิญแรงกดดันที่เพิ่มขึ้น ทั้งจากการขาดบุคลากรด้านสัตวแพทยศาสตร์ ต้นทุนการดำเนินงานที่สูง ชั่วโมงทำงานยาวนาน ความเข้าใจจากลูกค้าที่จำกัด และการได้รับการยอมรับที่ไม่เพียงพอ ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลต่อความเครียดของสัตวแพทย์และกระทบต่อความยั่งยืนของวิชาชีพ

ผลการศึกษาสำคัญในประเทศไทย:
• 42% ของสัตวแพทย์รายงานว่าฐานลูกค้าที่ลดลงเป็นความท้าทายหลัก
• 70% ของสัตวแพทย์และเจ้าหน้าที่คลินิกระบุว่าลูกค้าไม่เข้าใจเรื่องสุขภาพสัตว์
• 74% ของสัตวแพทย์เผชิญปัญหาลูกค้าไม่เข้าใจค่ารักษาสัตว์เลี้ยง
• 58% ของสัตวแพทย์ทำงาน 50 ชั่วโมงหรือมากกว่าในหนึ่งสัปดาห์ ซึ่งสูงที่สุดในภูมิภาค
• มีเพียง 16% ที่รู้สึกว่าสังคมเข้าใจวิชาชีพของตนอย่างแท้จริง
• 64% เชื่อว่าการที่ลูกค้าเข้าใจงานของพวกเขามากขึ้น จะช่วยลดความเครียดในการทำงาน


อ.สพ.ญ.ดร.ม.ล.นฤดี เกษมสันต์ อดีตนายกสมาคมสัตวแพทย์ผู้ประกอบการบําบัดโรคสัตว์แห่งประเทศไทย
อ.สพ.ญ.ดร.ม.ล.นฤดี เกษมสันต์ อดีตนายกสมาคมสัตวแพทย์ผู้ประกอบการบําบัดโรคสัตว์แห่งประเทศไทย ระบุว่า“โรงพยาบาลสัตว์หลายแห่งในประเทศไทยดำเนินงานในระบบสองกะ โดยแบ่งเป็นกะเช้าและกะเย็น กะละ 12 ชั่วโมง ส่งผลให้สัตวแพทย์มีวันทำงานไม่น้อยกว่า 12 ชั่วโมง ซึ่งก่อให้เกิดความตึงเครียดทั้งทางร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะเมื่อทำงานต่อเนื่องเป็นเวลานาน”

เภสัชกร อภิศักดิ์ คุณเวช Head of Animal Health บริษัท เบอริงเกอร์ อินเกลไฮม์ แอนิมอล เฮลท์ (ประเทศไทย)
เภสัชกร อภิศักดิ์ คุณเวช Head of Animal Health บริษัท เบอริงเกอร์ อินเกลไฮม์ แอนิมอล เฮลท์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “สัตวแพทย์มีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนสังคมและเศรษฐกิจของประเทศไทย แต่กำลังเผชิญความเครียดและการขาดความเข้าใจในวิชาชีพในวงกว้าง เบอริงเกอร์ อินเกลไฮม์ แอนิมอล เฮลท์ จึงภูมิใจที่ได้ริเริ่มการจัดทำและเปิดตัวผลการศึกษาเชิงลึกครั้งแรกในประเทศไทย เพื่อยกย่องความทุ่มเทของสัตวแพทย์ สร้างการรับรู้ต่อความท้าทายด้านต่าง ๆ และส่งเสริมให้สัตวแพทย์ได้รับการสนับสนุนและมีความยั่งยืนทางวิชาชีพยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ความสำเร็จดังกล่าวจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากไม่ได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ สถาบันการศึกษา และภาคประชาชน เบอริงเกอร์ อินเกลไฮม์ แอนิมอล เฮลท์ จึงขอเป็นหนึ่งในฟันเฟืองเพื่อสร้างอนาคตที่แข็งแกร่งให้กับวิชาชีพสัตวแพทย์ในประเทศไทย”

ข้อเสนอแนะเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของสัตวแพทย์ไทย:
จากผลการศึกษาเชิงลึกฉบับนี้ ได้สรุปข้อเสนอแนะแนวทางเพื่อส่งเสริมสุขภาพจิตและการยอมรับวิชาชีพสัตวแพทย์ พร้อมสร้างเครือข่ายสนับสนุนที่เข้มแข็งยิ่งขึ้น ดังนี้

• การศึกษาและสร้างความตระหนักรู้ในสาธารณะ – จัดแคมเปญเฉพาะกลุ่มผ่านสื่อสาธารณะและกิจกรรมของสถาบันการศึกษา เพื่อเพิ่มความเข้าใจของสาธารณชนต่อบทบาทของสัตวแพทย์
• การรักษาและพัฒนาบุคลากรสัตวแพทย์ – สนับสนุนค่าตอบแทน ผลประโยชน์ และเส้นทางการพัฒนาวิชาชีพที่ชัดเจน เพื่อดึงดูดและสร้างแรงบันดาลใจให้บุคลากร
• การสนับสนุนด้านสุขภาวะ – ให้สัตวแพทย์เข้าถึงบริการให้คำปรึกษา กลุ่มสนับสนุนเพื่อนร่วมอาชีพ และการฝึกอบรมสำหรับคลินิกสัตวแพทย์ด้านสุขภาพจิตและการจัดการความเครียด
• ด้านนโยบายและการส่งเสริมกฎหมาย – ร่วมมือกับรัฐบาลและองค์กรสัตวแพทย์เพื่อผลักดันโครงการ เช่น ประกันสัตว์เลี้ยงและการขยายบริการดูแลป้องกัน
• การยกย่องด้านวิชาชีพ – จัดตั้งรางวัลและโครงการยกย่องเพื่อเชิดชูผลงานของสัตวแพทย์ และสร้างการรับรู้ในวงกว้าง
• การเสริมสร้างเครือข่ายวิชาชีพ – ส่งเสริมความร่วมมือใกล้ชิดระหว่างสมาคมสัตวแพทย์ รัฐบาล และบริษัทเอกชน เพื่อเพิ่มเสียงสะท้อนของวิชาชีพให้กว้างไกลยิ่งขึ้น

ในฐานะผู้นำด้านสุขภาพสัตว์ เบอริงเกอร์ อินเกลไฮม์ แอนิมอล เฮลท์ ยังคงขับเคลื่อนโครงการต่าง ๆ เพื่อตอบสนองต่อความท้าทายของสัตวแพทย์และยกระดับมาตรฐานวิชาชีพในประเทศไทย ผลการศึกษาเชิงลึก “Going Beyond: สร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับสัตวแพทย์ในประเทศไทย” จึงเป็นอีกหนึ่งในหลายโครงการของบริษัทฯ ที่มุ่งเน้นแนวทางปฏิบัติที่สามารถนำไปใช้จริง เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้สัตวแพทย์ ยกระดับวิชาชีพ และสนับสนุนการพัฒนาวิชาชีพสัตวแพทย์ในประเทศอย่างต่อเนื่อง.

#เบอริงเกอร์อินเกลไฮม์ #วิชาชีพสัตวแพทย์ไทย #สัตวแพทย์

KUBOTA Smart Farmer Camp 2025 🌱แคมเปญปลูกไอเดียคน Gen ใหม่ให้แตกหน่อ สานฝันสู่การเป็นเกษตรกรด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำ ออกแบบอน...
27/08/2025

KUBOTA Smart Farmer Camp 2025 🌱
แคมเปญปลูกไอเดียคน Gen ใหม่ให้แตกหน่อ สานฝันสู่การเป็นเกษตรกรด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำ ออกแบบอนาคตเกษตรไทยในแบบของตัวเอง

รู้หรือไม่ในยุคที่เทคโนโลยีและโลกออนไลน์เข้ามาครองทุกอาชีพ เส้นทางการทำเกษตรกลับยังคงเป็นอีกหนึ่งความใฝ่ฝันของคนรุ่นใหม่ แม้ใครหลายคนยังมองว่าเป็นอาชีพที่ยึดวิถีแบบเดิม ๆ แต่ความจริงแล้ว “เกษตรยุคใหม่” นั้น เต็มไปด้วยเทคโนโลยี นวัตกรรม และโอกาสสร้างสรรค์ที่ไร้ขีดจำกัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทยที่มีภูมิประเทศอุดมสมบูรณ์ เหมาะต่อการเพาะปลูก เมื่อผนวกกับเครื่องมือสมัยใหม่ที่เข้ามายกระดับการทำงานให้แม่นยำยิ่งขึ้น ก็ยิ่งทำให้การเกษตรเป็นอาชีพที่น่าสนใจยิ่งกว่าเดิม และนี่เองคือเหตุผลที่ KUBOTA Smart Farmer Camp 2025 ถูกจัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นพื้นที่ที่ช่วยปลุกแรงบันดาลใจและเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ก้าวสู่การเป็น “สมาร์ตฟาร์มเมอร์” ที่สามารถสร้างอนาคตด้วยวิถีเกษตรแบบตัวเอง

นางวราภรณ์ โอสถาพันธุ์ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัทสยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด เผยว่า KUBOTA Smart Farmer Camp ดำเนินการต่อเนื่องมากว่า 1 ทศวรรษ เพื่อสานฝันและเปิดพื้นที่การเรียนรู้นอกห้องเรียนให้เยาวชนทั่วประเทศได้สัมผัสโลกเกษตรยุคใหม่อย่างรอบด้าน ผ่านการลงมือปฏิบัติจริง การเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญ การใช้เทคโนโลยีควบคู่กับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และผสานเป้าหมาย SDGs ได้แก่ ความมั่นคงทางอาหาร การศึกษาของเยาวชน ความเป็นอยู่ที่ดีของสังคม และการรักษาสิ่งแวดล้อมเข้าไว้ในทุกกิจกรรม แต่ละปีค่ายนี้มีรูปแบบและธีมการเรียนรู้แตกต่างกัน เพื่อให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของภาคเกษตรกรรม ผลลัพธ์ที่ได้คือสามารถสร้างเยาวชนที่มีทักษะด้านการเกษตรมาแล้วกว่า 1,000 คน พร้อมส่งต่อองค์ความรู้กลับสู่ชุมชนอย่างไม่รู้จบ

โดยปีนี้การดำเนินแคมเปญมาในธีม Green Agri-Verse เกษตรอัจฉริยะ ปลูกให้ปัง ดังทุกเวิร์ส คัดเลือกเยาวชน 60 คนจากทุกภูมิภาคทั่วประเทศมารวมพลังกัน ณ ศูนย์เรียนรู้ชุมชนพลังเกษตรสร้างสุขสยามคูโบต้า-ห้วยตาดข่า จ.อุดรธานี เป็นเวลา 4 วันเต็ม โดยเปิดพื้นที่เรียนรู้ครบวงจรที่เชื่อม ‘ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ’ ของการเกษตรไว้ด้วยกัน เปรียบเหมือนห้องแห่งการเรียนรู้ที่ไม่มีเพดาน มีท้องฟ้าเป็นหลังคา มีกระดานดำ คือ นาข้าว รวมถึงแปลงดอกไม้ กิจกรรมโรงเลี้ยงโคนม และโรงแปรรูปผลผลิตที่ถูกออกแบบให้ลงมือทำจริง เด็ก ๆ ได้ลองทุกบทบาท ตั้งแต่ขับรถดำนาติด GPS การใช้โดรนพ่นสารอัจฉริยะหรือแม้แต่คนที่บ้านไม่เคยทำนา ก็ได้ปักต้นกล้าครั้งแรกในชีวิต และอีกหนึ่งความพิเศษของปีนี้ คือการดึงอินฟลูเอนเซอร์เจน Z ยุคใหม่หัวใจเกษตรร่วมเป็นเมนเทอร์ เช่น คุณโอวา ธนาวัฒน์ จันนิม ข้าวสุรินทร์เเท้ 100% คุณบอมบ์
อภิสิทธิ์ มะพันธ์ ผู้ปลูกมันสำปะหลัง รวมทั้ง “น้องเจนทำฟาร์ม” มาร่วมเป็นวิทยากร ถ่ายทอดประสบการณ์และองค์ความรู้ด้านเกษตรออแกนิคและการเกษตรฟื้นฟูให้กับน้อง ๆ ในแคมป์ ช่วยสร้างแรงบันดาลใจและขยายผลการเรียนรู้สู่คนรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี

“ตลอดกว่า 10 ปีที่ผ่านมา เราเชื่อว่าคนรุ่นใหม่คือกำลังสำคัญในการยกระดับเกษตรไทยสู่ เกษตรมูลค่าสูงที่ไม่เพียงตอบโจทย์ความต้องการในประเทศ แต่ยังสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ ปัจจุบันการเกษตรสมัยใหม่ไม่ใช่แค่อาชีพ แต่เป็นธุรกิจที่สร้างรายได้มหาศาล หากใช้ความรู้ เทคโนโลยี และการจัดการที่ดี เกษตรกรสามารถเพิ่มมูลค่าสินค้า และเข้าถึงตลาดต่างประเทศได้”

นางวราภรณ์ เสริมข้อมูลว่า แนวโน้มเกษตรโลกกำลังเคลื่อนไปสู่ การเกษตรแม่นยำ (Precision Agriculture) และ การเกษตรยั่งยืน (Sustainable Agriculture) ซึ่งต้องการแรงงานรุ่นใหม่ที่มีทักษะรอบด้าน ทั้งการผลิต การจัดการข้อมูล การใช้เทคโนโลยี และการตลาดเชิงสร้างสรรค์ เพื่อเจาะตลาดเฉพาะ หรือ Niche Market ที่มีศักยภาพสูง โดยสยามคูโบต้ายังคงเชื่อว่านี่คือ “โอกาสทอง” ของประเทศไทยที่จะใช้จุดแข็งด้านภูมิประเทศและความอุดมสมบูรณ์ ควบคู่กับเทคโนโลยีสมัยใหม่ มุ่งสร้างเกษตรกรรุ่นใหม่ที่พร้อมเป็นกำลังสำคัญในการยกระดับเกษตรไทยให้ก้าวสู่เวทีโลก

ภาพรวมของบรรยากาศในแคมป์เต็มไปด้วยเรื่องเล่าจากเยาวชนที่มาจากต่างถิ่น ต่างเส้นทาง แต่มีจุดร่วมเดียวกันคืออยากเปิดประตูสู่โลกเกษตรยุคใหม่ ผ่านกิจกรรมใน “KUBOTA Smart Farmer Camp 2025” และนี่คือบางส่วนของเรื่องราวที่ทำให้เห็นว่า เส้นทางสู่โลกเกษตรนั้นเริ่มได้จากหลากมุม โดยตัวแทนจากภาคเหนืออย่าง องุ่น-ณัฐวดี ร้องหาญแก้ว นักศึกษาคณะการสื่อสารมวลชน สาขาการตลาด มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เล่าว่า แม้จะเรียนด้านการสื่อสารการตลาด แต่ชีวิตผูกพันกับเกษตรมาตั้งแต่เด็ก ที่เลือกเส้นทางการเกษตร เพราะตระหนักว่าทรัพยากรที่มีอยู่และรากเหง้าครอบครัวคือทุนสำคัญ ตั้งแต่จำความได้ ช่วงปิดเทอมก็อยู่แต่ทุ่งนา ช่วยพ่อแม่ดำนา ดูแลต้นไม้กับคุณตา คุณตาชอบบอกเสมอว่า “ที่ดินกับน้ำคือของมีค่าที่สุดถ้ารู้จักดูแล และจะเลี้ยงเราไปได้ทั้งชีวิต” คำพูดนี้มันติดอยู่ในใจมาตลอด เลยทำให้รู้สึกว่าการทำเกษตรมันไม่ใช่แค่อาชีพ แต่เป็นสิ่งที่เราอยากสืบสานต่อ

เมื่อได้เข้าร่วม “KUBOTA Smart Farmer Camp 2025” ตนได้สัมผัสเทคโนโลยีเกษตรสมัยใหม่เป็นครั้งแรก ตั้งแต่การขับรถดำนาติด GPS ที่ช่วยวางแผนการปลูกได้แม่นยำ การทดลองพ่นสารด้วยโดรนอัจฉริยะ ไปจนถึงการเรียนรู้ระบบการผลิตที่ลดการใช้สารเคมี “ตอนขับรถดำนา GPS ครั้งแรก เหมือนได้เห็นอนาคตของเกษตรที่ง่ายและแม่นยำกว่าที่เคยคิดไว้เยอะมาก รู้สึกว่าคนรุ่นใหม่ถ้าได้ใช้เทคโนโลยีพวกนี้ จะทำให้เกษตรไม่ใช่งานหนักแบบเดิม แต่เป็นงานที่วางแผนได้ มีประสิทธิภาพ และต่อยอดธุรกิจได้หลากหลาย” องุ่นเล่าเสริม

นอกจากการเรียนรู้ในแปลง องุ่นยังได้ทดลองทำสินค้าเกษตรแปรรูปจากข้าวเป็นขนมเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม และลงมือไลฟ์ (Live) ขายสินค้าจริง ทำให้เห็นว่าการตลาดดิจิทัลสามารถเชื่อมผู้บริโภคเข้ากับสินค้าท้องถิ่นได้โดยตรง องุ่นเล่าว่า “หลังจบค่าย ตนตั้งใจจะต่อยอดการแปรรูปข้าวเป็นแบรนด์สินค้าเกษตรของครอบครัว และอยากนำเทคโนโลยีอย่าง GPS รวมถึงโดรนเข้ามาช่วยยกระดับกระบวนการผลิตให้ตอบโจทย์ตลาดสินค้ามูลค่าสูง อยากเป็นเกษตรกรรุ่นใหม่ที่ใช้ทั้งการตลาดและเทคโนโลยี มาช่วยให้ผลผลิตของบ้านเรามีคุณภาพมากขึ้น และขายได้ในราคาที่เป็นธรรม ทั้งในประเทศและต่างประเทศ”

ขณะที่อีกมุมหนึ่ง เจีย-ธนัทชัย สิเนหะวัฒนะ นักศึกษาคณะการตลาด จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ตัวแทนจากภาคกลาง ที่เติบโตในครอบครัวที่ไม่เคยจับจอบเสียม แต่กลับค้นพบ “แรงดึงดูด” และเข้าสู่วงการนี้อย่างไม่คาดคิดในช่วงฝึกงานกับบริษัทด้านการเกษตร ทำให้เขาเห็นศักยภาพของผลผลิตไทยว่ามีคุณภาพดีพอจะขึ้นห้างได้ทัดเทียมสินค้านำเข้า แต่กลับขาดการเล่าเรื่องและการสร้างมูลค่าที่เหมาะสม ประสบการณ์ครั้งนั้นจุดประกายให้เขาเริ่มศึกษาการเกษตรจริงจัง และเชื่อมั่นว่าหากผนวกความรู้ด้านการตลาดเข้ากับเกษตรสมัยใหม่ จะสร้างแบรนด์ ยกระดับตลาด และเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรได้จริง

เจีย เล่าว่า แคมป์นี้ทำให้เห็นภาพชัดขึ้นจริง ๆ โดยเฉพาะตอนที่ได้ลองขับแทรกเตอร์ระบบแม่นยำด้วยตัวเอง สิ่งที่ทึ่งไม่ใช่แค่ขับง่าย แต่คือการได้เห็นปัญหาที่เคยทำให้การทำเกษตรยุ่งยาก กลับถูกแก้ได้จริง ๆ อย่างเช่น ลดค่าแรง ลดขั้นตอนการทำงาน เพราะระบบมันกำหนดระยะกับทิศทางได้แม่นยำมาก ผลผลิตก็เลยมีคุณภาพสม่ำเสมอ ใช้ทรัพยากรได้คุ้มกว่าเดิม ทำให้เปลี่ยนมุมมองเลยว่าการเกษตรไม่ใช่งานหนักกลางแดดอีกต่อไป แต่คือการทำงานด้วยข้อมูลและเทคโนโลยีเต็มรูปแบบ

เจียยังเล่าอีกว่า สำหรับตนแล้ว การเกษตรไม่ใช่อาชีพที่สืบทอดเพียงอย่างเดียวแล้ว แต่เป็นเหมือน “Agri-Startup” ที่ไม่ใช่แค่ปลูกพืช แต่ปลูกโอกาสใหม่ให้เศรษฐกิจด้วย การเกษตรยุคนี้ใช้เทคโนโลยีและข้อมูลเป็นหัวใจสำคัญ พอเอามาจับคู่กับการตลาดที่เข้าใจผู้บริโภค มันจะกลายเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ ที่ทั้งปลูกได้และขายได้จริง ผมเชื่อว่าคนรุ่นใหม่คือฟันเฟืองสำคัญ ที่จะทำให้เกษตรกรไทยไม่หยุดอยู่แค่ขายผลผลิตดิบ แต่ต่อยอดเป็นแบรนด์ ส่งออก และไปแข่งขันในเวทีโลกได้

อีกฟากหนึ่ง ฟลุ๊ค-ศรยุทธ ภูมิสายดร นักศึกษาสาขาพืชสวน คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ภาคอีสาน จากอดีตเด็กติดเกมที่ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับหน้าจอคอมพิวเตอร์ แต่ในช่วงโควิดกลับได้ลองเลี้ยงแคคตัสและไม้ประดับเพื่อฆ่าเวลา ความสนใจเล็ก ๆ นี้ค่อย ๆ เติบโตเป็นความหลงใหล จนกลายเป็นแรงผลักดันให้เขาก้าวเข้าสู่รั้วคณะเกษตรอย่างเต็มตัว
เมื่อได้เรียนลึกขึ้น ฟลุ๊คยิ่งเห็นชัดว่า จิ๊กซอว์ ที่เกษตรกรรุ่นเก่ายังขาดคือ เทคโนโลยี เขาเล่าว่าที่บ้านต้องเผชิญกับละอองสารเคมีทุกครั้งที่ทำไร่ เสี่ยงต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิต แต่หากมีเทคโนโลยีเข้ามาช่วย ก็สามารถลดความเสี่ยงและเพิ่มคุณภาพผลผลิตได้อย่างสม่ำเสมอ จุดหักเหสำคัญคือการได้เข้าร่วม “KUBOTA Smart Farmer Camp 2025” ที่เปรียบเสมือนการเปิดประตูสู่โลกใหม่ ฟลุ๊คได้สัมผัสเทคโนโลยีที่เคยเห็นแค่ในข่าว ทั้งระบบออโตเมชัน โดรน ไปจนถึงเครื่องมือวิเคราะห์ดิน น้ำ และอากาศ

ฟลุ๊คเล่าอย่างตื่นเต้นว่าทุกวันนี้ตนมองว่า เกษตรไม่ใช่งานเหนื่อยกลางแดดตั้งแต่เช้าถึงเย็นอีกแล้ว แต่มันกำลังกลายเป็นสนามเทคโนโลยีที่ต้องใช้สมองเต็ม ๆ ทั้งสนุกและท้าทาย เหมือนกับเกม Simulation ที่เคยเล่น เพียงแต่ครั้งนี้ผลลัพธ์มันเกิดขึ้นจริงในไร่นา และสร้างคุณภาพชีวิตจริงให้กับผู้คนและสังคม วันนี้ตนมีเป้าหมายอยากทำให้เพื่อน ๆ ในวงการเกมได้หันมามองว่า การเพาะปลูกก็สนุก มันส์ และมีการแข่งขันไม่แพ้เกมเลย สิ่งที่ฝันสูงสุด คือการสร้างฟาร์มโชว์เคส เป็นเหมือน Training Ground สำหรับคนรุ่นใหม่ที่อยากลองเทคโนโลยีจริง ๆ ได้เห็นผลจริง และต่อยอดไปสู่ Agri-Startup ที่แข่งขันได้ในเวทีโลก

อีกสิ่งที่ฟลุ๊คสะท้อนให้เห็นคือ เทคโนโลยีไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือสำหรับเกษตรกรรุ่นใหม่เพียงเท่านั้น แต่ยังช่วยเกษตรกรรุ่นเก่าลดความเสี่ยงจากสารเคมีและเพิ่มความแม่นยำในการทำเกษตร ขณะเดียวกันก็ทำให้เกษตรกรรุ่นใหม่สนุกกับการทำงานราวกับเล่นเกม เทคโนโลยีจึงกลายเป็น “ตัวกลาง” ที่เชื่อมสองเจเนอเรชันให้เดินหน้าร่วมกันบนเส้นทาง Smart Farming ซึ่งเป็นทิศทางสำคัญของโลกในยุคนี้

ปิดท้ายด้วย ปิง-กิตติพงศ์ ชัยชะนะ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จังหวัดสงขลา ภาคใต้ ผู้เติบโตมากับภาพคุ้นตาของสวนยางพาราและพืชเศรษฐกิจในครอบครัวที่ยังใช้วิธีการเกษตรแบบดั้งเดิม พึ่งพาแรงงานคนและประสบการณ์มากกว่าข้อมูลหรือเทคโนโลยี ซึ่งปิง เผยถึงมุมมองของตนว่า ยังเคารพภูมิปัญญารุ่นคุณพ่อคุณแม่ แต่ก็อยากให้ที่บ้านกล้าลองใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ จึงตั้งเป้าในการเรียนต่อด้านเกษตร เพื่อจะได้กลับไปต่อยอดการทำหมอนยางพาราจากวัตถุดิบที่บ้านเกิดของตนเอง

“จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นตั้งแต่คูโบต้าเข้ามาแนะนำโครงการที่คณะ ตนได้ตัดสินใจสมัครทันที แม้จะแอบกังวลว่า ‘จะเหนื่อยเกินไปไหม’ แต่สิ่งที่เจอกลับตรงกันข้าม ภายในค่าย 4 วัน กลับได้สัมผัสโลกเกษตรสมัยใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีจริง ๆ ได้เรียนรู้ทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ ผ่าน 6 ฐานกิจกรรม ตั้งแต่การใช้เครื่องจักรกลและโดรน ปลูกพืชหมุนเวียน แปรรูปสินค้าเกษตรและไลฟ์สดขายบน TikTok การปรับปรุงดิน จัดการพื้นที่เกษตร ไปจนถึงการออกแบบแผนเกษตรในอนาคตของตัวเอง นอกจากนั้น สิ่งที่มีค่ามากอีกอย่างคือการได้เจอเพื่อน ๆ ในค่ายมีไอเดียเกษตรสร้างสรรค์เยอะมาก มีมุมมองใหม่ ๆ ที่ไม่เคยคิดมาก่อน จึงทำให้มั่นใจว่าการเกษตรที่เรารู้จักจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป” ปิง กิตติพงศ์ เล่า

KUBOTA Smart Farmer Camp 2025 ไม่ได้เป็นเพียงค่ายเรียนรู้นอกห้องเรียน แต่คือเวทีบ่มเพาะพลังคนรุ่นใหม่ให้ก้าวขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญของประเทศในการขับเคลื่อนการเกษตรไทยสู่อนาคต เส้นทางที่เริ่มต้นจากค่ายเล็ก ๆ แห่งนี้ จะเป็นจุดประกายสำคัญในการสร้าง “Smart Farmer” ที่มีความรู้ มีวิสัยทัศน์ และต่อยอดสู่การสร้าง Agri Influencer รุ่นใหม่ ที่พร้อมจะถ่ายทอดเรื่องราว สร้างแรงบันดาลใจ และผลักดันภาพลักษณ์ใหม่ของภาคเกษตรไทยให้สังคมเห็นว่า อาชีพเกษตรกรไม่ใช่เพียงทางเลือก แต่คืออนาคตที่มั่นคงและยั่งยืน.

ที่อยู่

58/365 ซอยรามอินทรา 68 รามอินทรา คันนายาว
Bangkok
10230

เบอร์โทรศัพท์

+66995914169

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Agrinews ข่าวเกษตรและไลฟ์สไตล์ผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง Agrinews ข่าวเกษตรและไลฟ์สไตล์:

แชร์