The People Everyone has their own inspiring story
(3)

Moderndog : สามทศวรรษบนเส้นทางดนตรีของหมาทันสมัย จาก ‘บุษบา’ ถึง ‘ขอบคุณโชคดี’/ บรรจงร้อยเป็นมาลัย สนุกสุขใจหนักหนา เป็น...
30/11/2025

Moderndog : สามทศวรรษบนเส้นทางดนตรีของหมาทันสมัย จาก ‘บุษบา’ ถึง ‘ขอบคุณโชคดี’
/ บรรจงร้อยเป็นมาลัย สนุกสุขใจหนักหนา เป็นประจำทุกวันเวลา ไม่เคยเหนื่อยล้ากับมาลัย - บุษบา /
เพียงแค่ริฟฟ์กีตาร์ขึ้นอินโทร วัยรุ่นยุค 90s หลายคนก็นึกเนื้อท่อนแรกของเพลงที่เป็นเสียง ‘ป๊อด โมเดิร์นด็อก (Moderndog)’ ร้องว่า ‘บุษบาเกิดมากับความสดใส’ ได้แบบไม่ยากอะไรเลย เพราะ ‘บุษบา’ เป็นเพลงแจ้งเกิดที่เรียกว่าฮิตติดชาร์ตที่ถูกบรรจุอยู่ในอัลบั้มแรก โดยมีชื่ออัลบั้มเดียวกันกับชื่อวงว่า ‘โมเดิร์นด็อก’ แต่บนปกอัลบั้มดันมีคำว่า ‘เสริมสุขภาพ’ อยู่ จึงกลายเป็นชื่อรวมที่คนจำได้ติดปากว่า ‘โมเดิร์นด็อก เสริมสุขภาพ’ นับจากวันนั้นก็ 26 ปีแล้วที่วงอัลเทอร์เนทีฟยุคบุกเบิกของไทยวงนี้โลดแล่นอยู่ในวงการดนตรีและสร้างความแปลกใหม่ให้วงการเพลงไทยมาโดยตลอด
เรียกได้ว่าแม้ ‘บุษบา’ จะทำ ‘ดอกไม้มันหายไป’ แต่ ‘โมเดิร์นด็อก’ ไม่เคยหายไปไหน เพราะทั้ง 6 อัลบั้มทั้งเก่าใหม่ที่วงสร้างสรรค์มาตลอดสองทศวรรษนั้นยังครองใจคนฟังได้ทุก gen อยู่เช่นเคย
🔴 เสริมสุขภาพ: กำเนิดหมาทันสมัย
โมเดิร์นด็อกเป็นวงที่มารวมตัวกันเพื่อประกวดเวทีโค้ก มิวสิคอวอร์ดส ในปี พ.ศ. 2535 โดยเกิดมาจากไอเดียของป๊อด ที่เห็นเพื่อน ๆ ที่ไปประกวดปีก่อน ๆ แล้วเกิดความสงสัยปนขัดใจขึ้นว่าทำไมมันต้องเป็นฟอร์แมตแบบนี้ (วะ) “เล่นฟิวชันแจ๊ส ใส่เสื้อเหมือนกัน แต่คนละสี ผ้าก็เป็นผ้าต่วนมัน ๆ นักร้องแดง กีตาร์เหลือง เบสเขียว แล้วเราก็กะว่าเดี๋ยวปีหน้า กูจะสมัครโดยเล่นเพลงที่หนวกหูที่สุด” (บทสัมภาษณ์จาก becommon: ธนชัย อุชชิน : เรื่องที่วิกิพีเดียไม่ได้พูดถึง และสิ่ง ‘ลึกซึ้ง’ ที่ไม่เคยบอก)
โมเดิร์นด็อกจึงเกิดมาด้วยแนวคิดที่ออกจะขบถประมาณนั้น พวกเขาชนะการประกวดเวทีดังกล่าวด้วยการเล่น cover เพลง ‘Smells Like Teen Spirit’ ของ Nirvana, Give It Away ของ Red Hot Chili Peppers, Everything About You ของ Ugly Kid Joe และ Field of Joy ของ Lenny Kravitz หลังจากนั้นอีก 2 ปีก็ได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลงเล็ก ๆ อย่าง ‘เบเกอรี่มิวสิค’ ค่ายเพลงน้องใหม่ที่เพิ่งก่อตั้งในปี พ.ศ. 2537 และได้ออกอัลบั้มแรกในปีเดียวกันนี้เอง สำหรับอัลบั้มนี้ นอกจากเพลงเปิดหัวที่ดังแบบเดินไปไหนก็ได้ยินอย่าง ‘บุษบา’ ที่เราได้พูดถึงไปก่อนหน้า อีกเพลงที่เป็นที่รู้จักไม่แพ้กัน พร้อมด้วยดีกรีติดชาร์ตเพลงฮิตข้ามปี ก็คงจะเป็นเพลงอื่นไปไม่ได้นอกจาก ‘…ก่อน’ เพลงที่คนส่วนใหญ่มักลืมใส่สามจุดข้างหน้า
/ ก่อนท้องฟ้าจะสดใส ก่อนความอบอุ่นของไอแดด ก่อนดอกไม้จะผลิบาน ก่อนความฝันอันแสนหวาน - …ก่อน /
ความพิเศษของเพลงก่อนมีอยู่ด้วยกันหลายอย่าง อย่างแรกคือเพลงนี้เป็นเพลงเดียวของโมเดิร์นด็อกที่พวกเขาไม่ได้แต่งกันเอง ส่วนอย่างที่สองคือ ‘พราย ปฐมพร’ ศิลปินที่เขียนเพลงนี้ เขียนมันขึ้นมาจากจดหมายของแฟนคลับที่เล่าถึงการเสียชีวิตของพี่สาวตัวเอง
“บางที...บางทีเพราะเขาบูชาพี่มากเหลือเกิน บูชาพี่พอ ๆ กับฉัน ทุกอย่าง คงจะสายเกินไปที่จะเรียกร้องเอาตอนนี้ เวลามันผ่านไปแล้ว เขาจากไปแล้ว โดยที่เขาไม่ทันได้ชื่นชมพี่อีกครั้งเลย เสียดายที่เขาลืมนึกถึงพี่ในตอนนั้น ตอนที่อารมณ์ทุกอย่างถึงที่สุด แต่มันก็ผ่านไปแล้ว...เขาก็จากไปแล้ว ฉันเองก็เกือบจะทำเช่นนั้น เพียงแต่พี่คือคนที่อยู่ส่วนลึกของจิตใจของฉัน...ทุกครั้งที่ฉันไม่มีใคร พี่คือคนนั้น...คนที่ฉันคิดถึง...” ส่วนหนึ่งจากจดหมายที่แฟนคลับเขียนถึง พราย ปฐมพร
จดหมายฉบับนี้เป็นที่มาให้พรายเขียนเพลง ‘…ก่อน’ ขึ้นมา และจุดสามจุดข้างหน้าก็มาจากถ้อยคำในจดหมายบวกกับการระลึกถึงบุคคลผู้จากไป ที่มีใจความเต็ม ๆ ว่า ‘เธอจากไปก่อน’ นั่นเอง
อัลบั้มแรกของโมเดิร์นด็อกประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก มากเสียจนสมาชิกในวงเกิดความกลัวขึ้นมาว่าอัลบั้มต่อไปพวกเขาจะไปได้ไม่ถึงจุดที่เคยยืนอีก ก่อนทำอัลบั้มที่สอง ‘คาเฟ่’ ป๊อด นักร้องนำและนักแต่งเพลงของวงถึงกับลงทุนไปเรียนแต่งเพลงที่ต่างประเทศถึง 2 ปี เพื่อที่จะพบว่าสุดท้ายแล้วเขาก็พบว่าทฤษฎีการแต่งเพลงที่เรียนมาทั้งหมด เขาแทบจะไม่ได้นำมันมาใช้เลย
“สุดท้ายเราก็แต่งด้วยตัวเองอยู่ดี ไม่ได้ไปใช้วิชาเขาเลย เพราะว่ามันไม่สนุกเท่าไร” (บทสัมภาษณ์จาก becommon: ธนชัย อุชชิน : เรื่องที่วิกิพีเดียไม่ได้พูดถึง และสิ่ง ‘ลึกซึ้ง’ ที่ไม่เคยบอก)
🔴 ‘Love Me Love My Life’ อัลบั้มที่วงตั้งใจให้ ‘ล้มเหลว’
หลังจากไปเรียนแต่งเพลงแล้วกลับมาทำอัลบั้ม ‘คาเฟ่’ จนในที่สุดก็ได้ฤกษ์ปล่อยออกสู่ท้องตลาดในปี 2540 คราวนี้ป๊อดเลือกที่จะไปหาแรงบันดาลใจสำหรับการทำอัลบั้มที่ 3 ด้วยการหันหน้าเข้าหาธรรมะ
ป๊อดออกบวช และสึกออกมาพร้อมกับความคิดที่ว่าเขาอยากทำให้อัลบั้มที่ 3 ของวง ‘ฟังไม่รู้เรื่อง’
“ผมทำให้มันฟังไม่รู้เรื่อง เพื่อที่ผมจะได้ไม่ต้องอยู่กับความสำเร็จ คือผมมาวิเคราะห์ตอนโตว่า ผมกำลังลดขนาดความคาดหวังที่เกิดขึ้นด้วยการทำงานแบบนี้” (บทสัมภาษณ์จาก The Cloud: TIMELESS IS MORE คำตอบของคำถามในแต่ละช่วงชีวิตและสิ่งที่ป๊อด โมเดิร์นด็อก บอกว่า ‘เรื่องนี้เกิดขึ้นจริง’ ในรอบ 25 ปี)
/ เพราะเป็นสิ่งที่ไม่เคยบอก เพราะยังคงกลัวในคำตอบ – สิ่งที่ไม่เคยบอก /
แต่สุดท้ายอัลบั้มชุดที่ 3 ของวงที่มีชื่อว่า ‘Love Me Love My Life’ ก็ไม่ได้ ‘ล้มเหลว’ เสียทีเดียว แม้ยอดขายจะสู้ 2 อัลบั้มก่อนไม่ได้ แต่ Love Me Love My Life ได้กลายเป็นเสมือนไดอารีของวง ที่บันทึกเวลา อารมณ์ ความรู้สึก ณ ช่วงหนึ่งของพวกเขาเอาไว้ โดยมีเพลงจำอย่าง ‘เวตาล’ ที่มีกิมมิกแบบที่นักดนตรีต่างประเทศใช้บ่อย ๆ อย่างการฟังเพลงย้อนกลับ ในเพลงนี้ถ้าเราเล่นเพลงแบบย้อนกลับจะได้ยินเป็นคำว่า ‘ทรมาน’ แบบพอดิบพอดี นอกจากนี้ ‘สิ่งที่ไม่เคยบอก’ และ ‘Happiness Is’ ก็กลายเป็น 2 เพลงช้าที่ถูกจัดเข้าเซตลิสต์เพลงสำหรับเล่นคอนเสิร์ตของวงอยู่บ่อย ๆ
🔴 เมื่อหมามีรัก: อัลบั้ม ‘แดดส่อง’ ที่โมเดิร์นด็อกยอมเขียนเพลงรัก
ก่อนปี 2547 โมเดิร์นด็อกเป็นที่รู้จักในฐานะวงอัลเทอร์เนทีฟที่ทำเพลงได้ abstract จัด ๆ เพลง ‘เวตาล’, ‘กะลา’ และ ‘บุษบา’ คือตัวอย่างความล้ำในเนื้อเพลงของวงนี้ แต่สำหรับอัลบั้มชุดที่ 4 ‘แดดส่อง’ โมเดิร์นด็อกได้พลิกแพลงตัวตนของพวกเขาอีกครั้ง คราวนี้พวกเขาท้าทายตัวเองด้วยการเขียนเพลงรัก
“พี่โป้ง (ปวีณ สุวรรณชีพ) มือกลองซึ่งได้ฟังครั้งแรกในห้องซ้อมบอกว่า มึงเอาอย่างนี้เลยเหรอ มึงร้องอย่างนี้เลยเหรอ ‘เธอเท่านั้นอยู่ในใจ เธอเท่านั้นตลอดไป’ จากที่ชุดก่อนหน้ามัน Abstract มาก” (บทสัมภาษณ์จาก The Cloud: TIMELESS IS MORE คำตอบของคำถามในแต่ละช่วงชีวิต และสิ่งที่ป๊อด โมเดิร์นด็อก บอกว่า ‘เรื่องนี้เกิดขึ้นจริง’ ในรอบ 25 ปี)
/ เธอเท่านั้นอยู่ในใจ โลกจะเป็นอย่างไร เธอเท่านั้นตลอดไป แม้ว่าไม่มีทาง - เธอเท่านั้น /
คอร์ดเบสิกอย่าง C Am F G ถูกหยิบมาใช้ในการสร้างสรรค์ทำนอง ส่วนเนื้อเพลงก็ถ่ายทอดอารมณ์รัก หลง เศร้า สุข ลงไปตรง ๆ ซึ่งก็เป็นการเติบโตอีกรูปแบบของวง เพราะหลังจากขลุกในวงการดนตรีมานานปี หมาทันสมัยก็ได้เรียนรู้ว่า ‘ความรักเป็นสิ่งสำคัญ’
🔴 ป๊อด โป้ง เมธี: สุดท้ายนี้แก่นของโมเดิร์นด็อกคือ ‘เรา’
/ รู้ไหมเราเดินมาไกลแค่ไหน รู้ไหมเราเดินมานานเท่าไร /
ป๊อด (ธนชัย อุชชิน) เขียนและร้อง โป้ง (ปวีณ สุวรรณชีพ) ตีกลอง เมธี (เมธี น้อยจินดา) เล่นกีตาร์ พวกเขาคือผู้ชาย 3 คนที่ขับเคลื่อนหมาทันสมัยให้อยู่คู่วงการเพลงไทยมาอย่างยาวนาน ทั้งพวกเขาและแฟนเพลงยุคแรกเริ่มต่างก็เปลี่ยนผ่านช่วงวัย จากวัยรุ่นสู่วัยผู้ใหญ่ ผ่านเรื่องราวมากมายทั้งร้ายและดี ในอัลบั้มเต็มชุดที่ 6 อัลบั้มนี้โมเดิร์นด็อกจึงใช้ชื่ออัลบั้มว่า ‘ป๊อด โป้ง เมธี’ เพื่อย้ำเตือนทั้งตัวเองและคนฟังว่าสุดท้ายแล้ว จุดเริ่มต้นของทุกอย่างคือที่นี่ คือนักดนตรี คือมนุษย์ 3 คน ที่มีเพลงจำอย่าง ‘วันนี้เมื่อปีก่อน’ และ ‘ขอบคุณโชคดี’
/ จดจำ วันคืนที่มีความหมาย เจ็บปวดเท่าไรฉันไม่เคยเสียดาย จะดีและร้ายฉันจะขอบคุณ - ขอบคุณโชคดี /
เรื่อง: จิรภิญญา สมเทพ
ภาพ : ปกอัลบั้ม แดดส่อง Moderndog
#โมเดิร์นด็อก #เบเกอรีมิวสิค

ที่มาเพลง ‘น้ำท่วม’ เมื่อ ‘ศรคีรี ศรีประจวบ’ ต้องหนีน้ำขึ้นบนหลังคา“น้ำท่วม น้องว่าดีกว่าฝนแล้ง พี่ว่าน้ำแห้ง ให้ฝนแล้งเ...
30/11/2025

ที่มาเพลง ‘น้ำท่วม’ เมื่อ ‘ศรคีรี ศรีประจวบ’ ต้องหนีน้ำขึ้นบนหลังคา
“น้ำท่วม น้องว่าดีกว่าฝนแล้ง
พี่ว่าน้ำแห้ง ให้ฝนแล้งเสียยังดีกว่า
น้ำท่วมปีนี้ทุกบ้านล้วนมี แต่คราบน้ำตา
พี่หนีน้ำขึ้นบนหลังคา น้ำตาไหลคลอสายชล…”
เป็นเรื่องน่าชื่นใจและเศร้าใจไปพร้อม ๆ กัน ที่ว่า เพลง ‘น้ำท่วม’ จากลูกคอนักร้องเสียงหวานแห่งบางคนที ‘ศรคีรี ศรีประจวบ’ ยังไม่เคยตายไปจากหัวใจมิตรรักแฟนเพลง กระนั้น การยังไม่ตายของเพลง ‘น้ำท่วม’ ก็คงเพราะว่าเมืองไทยยังประสบกับอุทกภัยอยู่เสมอ และทุกครั้งที่คนไทยต้องประสบภัยน้ำท่วมคราใด เพลง ‘น้ำท่วม’ ของศรคีรี ก็เป็นเสมือนเสียงเพลงบรรเลงแทนใจพี่น้องคนไทยที่ต้องเผชิญความสูญเสียทรัพย์สินเงินทอง บ้านเรือน ไปจนถึงชีวิต จนเกิดเป็นอุทกภัยในดวงตา
ภาพชีวิตคนไทยบางจังหวัดทางภาคใต้ที่ต้องหนีน้ำขึ้นบนหลังคาในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2568 นี้ จึงเป็นภาพที่เคยปรากฏซ้ำแล้วซ้ำเล่าในเมืองไทย เช่นเดียวกับเพลง ‘น้ำท่วม’ ที่ศรคีรี ศรีประจวบ ต้องหนีน้ำขึ้นบนหลังคาในปี พ.ศ. 2513 ซึ่งก็อาจจะเป็นการบอกประชาชนคนไทยว่า ปัญหาอุทกภัยในเมืองไทยยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง แม้วันเวลาจะผ่านมาแล้วไม่น้อยกว่า 50 ปี
คนไทยใน พ.ศ. นี้ จึงไม่ต่างกับศรคีรี ที่ต้องหนีน้ำท่วมขึ้นบนหลังคา ในปี พ.ศ. 2513
ทว่า ศรคีรี ศรีประจวบ อาจจะโชคดีกว่าหลาย ๆ คนตรงที่ว่า การหนีน้ำในเพลง ‘น้ำท่วม’ เมื่อปี พ.ศ. 2513 ทำให้ศรคีรี กลายเป็นนักร้องลูกทุ่งชื่อดัง ด้วยการสรรค์สร้างจากครูเพลงลูกทุ่งระดับปรมาจารย์อย่าง ‘ครูไพบูลย์ บุตรขัน’
🌊 น้ำท่วม - ศรคีรี ศรีประจวบ
ศรคีรี ศรีประจวบ มีชื่อสกุลจริงว่า ‘สงอม ทองประสงค์’ ชื่อเล่น ‘น้อย’ พื้นเพเป็นคนตำบลบางกระบือ อำเภอบางคนที จังหวัดสมุทรสงคราม ใฝ่ฝันจะเป็นนักร้องกล่อมโลกมาตั้งแต่ยังเด็ก เคยไปออดิชันวงดนตรีของ ‘พยงค์ มุกดา’ ที่มาแสดงใกล้บ้าน แต่ครูพยงค์มอบความผิดหวังให้เป็นของกำนัลด้วยการบอกว่า “ร้องยังไม่ดี”
ต่อมาครอบครัวย้ายที่ทำกินไปซื้อไร่ที่อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นชาวไร่สับปะรด เว้นว่างจากงานในไร่ก็ประกวดร้องเพลงตามงานวัด เมื่อมีชื่อเสียงพอเป็นที่รู้จักก็ตั้งวงดนตรีกับเพื่อนในชื่อ ‘รวมดาววัยรุ่น’ ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น ‘รวมดาวเมืองปราณ’ รับงานแสดงทั่วไปใกล้ไกลในจังหวัด โดยใช้ชื่อนักร้องว่า ‘พนมน้อย ลูกเมืองปราณ’
จนวันหนึ่ง ได้มีโอกาสนำวงดนตรีมาแสดงในงานเลี้ยงปีใหม่ของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ท่านผู้ว่า ‘ประหยัด สมานมิตร’ ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ได้ฟังน้ำเสียงแล้วถูกใจ จึงเปลี่ยนชื่อให้เป็น ‘ศรคีรี ศรีประจวบ’
🌊 จากไร่สับปะรดเข้าสู่เมืองหลวง
ศรคีรี ศรีประจวบ ได้รับการสนับสนุนให้มาเช่ารายการสถานีวิทยุยานเกราะส่งเสียงหวานในเมืองกรุง และในช่วงเวลาดังกล่าวนั้นก็ได้พบกับ ‘เพลิน พนาวัลย์’ ชักพาให้ไปพบกับ ‘ครูไพบูลย์ บุตรขัน’ ครูเพลงระดับปรมาจารย์ตามคำขอร้องของศรคีรี
ในช่วงหลังปี พ.ศ. 2510 ครูไพบูลย์ บุตรขัน กลับมามีชื่อเสียงในวงการเพลงอีกครั้งหลัง ‘ดวงตก’ ไปพักใหญ่ หลังบันไดบ้านเหือดแห้งไปนานหลายปีในวันที่ครูไพบูลย์กลับมาผงาดในวงการเพลงอีกครั้ง บันไดบ้านครูไพบูลย์ก็กลับมาชุ่มชื่นและเป็นที่หมายปองของบรรดานักร้องลูกทุ่งทั้งหน้าเก่าและใหม่อีกครั้ง เมื่อครูไพบูลย์ป้อนเพลง ‘กลิ่นธูปสุโขทัย’ และ ‘นิราศรักนครปฐม’ ส่ง ‘ไพรวัลย์ ลูกเพชร’ ให้กลับมามีชื่อเสียงอีกครั้ง
ต่อจากนั้นครูไพบูลย์ก็จ้างคนให้ไปตามตัว ‘รุ่งเพชร แหลมสิงห์’ ที่ในตอนนั้นยังเป็นนักร้องชื่อเสียงไม่ดังนักให้มาพบ ครูไพบูลย์ บุตรขัน ถึงกับวางเดิมพันเกียรติประวัติ ชื่อเสียง เงินทอง และศรัทธาความมั่นใจของตัวเองกลับคืนมาด้วยการประกาศประกาศิตกับรุ่งเพชรว่า จะแต่งเพลงให้สามเพลง แต่งให้แบบไม่เอาเงิน เพลงดังขายได้เงินแล้วค่อยเอามาให้ “ถ้าไม่ดังในสามเพลง ก็ไม่ต้องเอาเงินมาให้”
จาก ‘ไอดินกลิ่นสาว’ เดือนเมษายน สู่ ‘ฝนเดือนหก’ เดือนมิถุนายน ถึง ‘คืนฝนตก’ เดือนสิงหาคม ภายในปี พ.ศ. 2511 เพียงปีเดียวเท่านั้น ‘รุ่งเพชร แหลมสิงห์’ กลายเป็นนักร้องเศรษฐีหอบเงินล้านในยุคที่ราคาทองบาทละประมาณ 476 บาท
ในช่วงที่รุ่งเพชร แหลมสิงห์ กำลังโด่งดังคับฟ้าเมืองไทย ก็เป็นช่วงเวลาที่ 'ศรคีรี ศรีประจวบ’ มีโอกาสไปพบกับครูไพบูลย์ที่บ้านปทุมวัน กรุงเทพฯ เล่ากันว่า ตามประสาคนบ้านนอกต่างจังหวัด ทุกครั้งที่ศรคีรีไปหาครูไพบูลย์ที่บ้านก็มักจะหิ้วชะลอมใส่สับปะรดไปฝากครูไพบูลย์ด้วยทุกครั้ง โดยมีเป้าหมายสำคัญคือไป “ขอเพลง”
ศรคีรีหิ้วสับปะรดไปฝากครูไพบูลย์อยู่หลายครั้ง แต่ครูไพบูลย์ก็ยังไม่เขียนเพลงให้ เพราะศรคีรีร้องเสียงสูงคล้ายกับรุ่งเพชร แหลมสิงห์ ครูไพบูลย์จึงไม่คิดที่จะสร้างนักร้องใหม่เพื่อมาฆ่าลูกศิษย์ตัวเอง
ทว่า โชคชะตาเล่นตลกแบบไม่มีเสียงหัวเราะ เมื่อต่อมาครูไพบูลย์เกิดน้อยใจรุ่งเพชร เนื่องจากไปตกปากรับคำกับ ‘วิจารณ์ ภักดีวิจิตร’ ผู้อำนวยการสร้างและผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดังในยุคนั้น ว่าจะร่วมกันสร้างภาพยนตร์เพลง ‘ฝนเดือนหก’ ให้โด่งดังยิ่งใหญ่ไม่แพ้ภาพยนตร์เพลง ‘มนต์รักลูกทุ่ง’ (พ.ศ. 2513) ของผู้กำกับ ‘รังสี ทัศนพยัคฆ์’ ซึ่งครูไพบูลย์เองเป็นผู้ประพันธ์เพลงดังของภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างเพลงมนต์รักลูกทุ่ง, น้ำลงนกร้อง, นกร้องน้องช้ำ และรูปหล่อถมไป
คำว่า รวย รวย รวย อยู่ตรงหน้า รุ่งเพชรงานเยอะเสียจนไม่มีคิวเวลามาเล่นและร้องเพลงให้กับงานเพลงและภาพยนตร์โปรเจกต์ยิ่งใหญ่ของครูไพบูลย์ที่จะมีรุ่งเพชรเป็นตัวเอก ความผิดหวังจึงเดินทางมาถึงครูไพบูลย์พร้อมกับคำต่อว่าต่อขานจากทีมผู้สร้างและนายทุน ซึ่งตกลงกันเสียดิบดี
โชคชะตานั้นเป็นส่วนหนึ่ง แต่ส่วนสำคัญนั้นคือ ‘ลูกตื้อ’ ที่แฝงอยู่ในเนื้อสับปะรดหวานของศรคีรี หลังหิ้วสับปะรดจากประจวบไปมากรุงเทพฯ อยู่หลายที ครูไพบูลย์ก็เปิดใจรับศรคีรี พูดคุยถามไถ่ประวัติชีวิตการงาน ศรคีรี เล่าว่าเบื้องหน้าเวทีตนเองนั้นเป็นนักร้อง แต่พื้นเพเบื้องหลังชีวิตนั้นเป็นชาวไร่สับปะรดอยู่ที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งต้องเผชิญกับอุทกภัยน้ำท่วมบ้านและไร่สับปะรดเสียหายอย่างหนัก จนอยากจะร้องไห้โฮ
ครูไพบูลย์ ตกปากรับคำว่าจะเขียนเพลงให้ และนัดหมายให้มารับเพลงและต่อเพลงกันอีกที ปรากฏว่าเมื่อถึงเวลาครูไพบูลย์ก็ยื่นเพลง ‘น้ำท่วม’ มอบให้ศรคีรี
“น้ำท่วม น้องว่าดีกว่าฝนแล้ง พี่ว่าน้ำแห้ง ให้ฝนแล้งเสียยังดีกว่า น้ำท่วมปีนี้ทุกบ้านล้วนมี แต่คราบน้ำตา พี่หนีน้ำขึ้นบนหลังคา น้ำตาไหลคลอสายชล…”
ประโยค “น้ำท่วม น้องว่าดีกว่าฝนแล้ง” ซึ่งเป็นประโยคตีหัวคนฟัง ครูไพบูลย์เอามาจากคำพูดแก้เขิลของ ‘จอมพล ป. พิบูลสงคราม’ เมื่อคราวน้ำท่วมใหญ่กรุงเทพฯ ในปี พ.ศ. 2485 ที่จอมพล ป. บอกกับว่าพี่น้องประชาชนว่า “น้ำท่วม ดีกว่าฝนแล้ง” ส่วนที่เหลือเอามาจากประสบการณ์ชีวิตของศรคีรีที่เล่าให้ฟัง ผสมผสานกับจินตนาการชีวิตคนไทยในมุมมองครูไพบูลย์ที่ชอบติดตามข่าวสารบ้านเมืองอย่างเป็นประจำ จนกลายเป็นคำร้องที่เรียบง่าย จริงใจ เข้าใจ เข้าถึงหัวใจประชาชนอย่างเห็นภาพที่ว่า
“น้ำท่วมปีนี้ทุกบ้านล้วนมีแต่คราบน้ำตา พี่หนีน้ำขึ้นบนหลังคา” “น้ำท่วมที่ไหน ก็ต้องเสียใจด้วยกันทุกคน”
และ “บ้านพี่ก็ถูกน้ำท่วมเหมือนกัน ที่ประจวบคีรีขันธ์ เหมือนกันไปทุกครอบครัว”
‘น้ำท่วม’ ของศรคีรี จากปลายปากกาของครูไพบูลย์ บุตรขัน จึงมีที่มาจากประวัติศาสตร์น้ำท่วมเมืองไทยทั้งในยุคสร้างชาติของจอมพล ป. พิบูลสงคราม และยุคประชาธิปไตยแบบไทย ๆ ในสมัยจอมพลถนอม กิตติขจร ซึ่งแม้ผู้นำอย่างจอมพล ป. จะเคยกล่าวว่า “น้ำท่วม ดีกว่าฝนแล้ง” แต่ในทัศนะของครูไพบูลย์ แม้เวลาจะผ่านมาแล้วราว 28 ปี (จาก พ.ศ. 2485 – 2513) สำหรับชาวบ้านธรรมดาตาดำ ๆ ที่เป็นผู้ประสบภัยแล้ว น้ำท่วมย่อมไม่ได้ดีกว่าฝนแล้ง เพราะ “พี่ว่าน้ำแห้ง ให้ฝนแล้งเสียยังดีกว่า” และ “น้ำท่วมที่ไหน ก็ต้องเสียใจด้วยกันทุกคน เพราะต้องพบกับความยากจน เหมือนคนหมดเนื้อสิ้นตัว”
ไม่เพียงแต่เพลง ‘น้ำท่วม’ ที่ครูไพบูลย์ตั้งใจเขียนให้ศรคีรีเพื่อใช้เป็นเพลงเปิดตัวนักร้องใหม่ ครูไพบูลย์ยังยื่นเพลงให้ศรคีรีอีก 3 เพลง คือเพลงบุพเพสันนิวาส แม่ค้าตาคม และวาสนาพี่น้อย ซึ่งในทัศนะของนักเพลงบางคนผู้นอนกอดวิทยุมากกว่านอนกอดเมียตัวเองเชื่อว่า ด้วยลักษณะคำร้องและทำนองที่ยกเสียงสูงเป็นจุดขายของเพลงเช่นเดียวกับเพลงฝนเดือนหก เช่น “เนื้อคู่กันแล้วก็คงไม่แคล้ว (แคล้ววววว) กันไปได้” ในเพลง ‘บุพเพสันนิวาส’ หรือ “เคยยย (เค้ยยย) เห็นแม่ค้าตาคม” ในเพลง ‘แม่ค้าตาคม’ น่าจะเป็นเพลงที่ครูไพบูลย์ตั้งใจเขียนไว้ให้ รุ่งเพชร แหลมสิงห์ แต่เดิม
จะว่า ‘ส้มหล่นทับ' ชาวไร่สับปะรดแห่งเมืองปราณบุรีก็คงไม่ผิดนัก เพราะ ศรคีรี ศรีประจวบ รับเพลงจากมือครูไพบูลย์ บุตรขัน ไปเต็ม ๆ 4 เพลงรวด คือน้ำท่วม บุพเพสันนิวาส แม่ค้าตาคม และวาสนาพี่น้อย
กระนั้น เพลง ‘น้ำท่วม’ ซึ่งเป็นเพลงแรกที่ศรคีรีร้องบันทึกเสียงนั้น เมื่อศรคีรีได้เนื้อเพลงจากครูไพบูลย์ไปก็นำมาบันทึกเสียงโดยใช้วงดนตรีของตัวเอง และปั๊มตราข้อความบนแผ่นเสียงเป็น ‘ศรคีรี ศรีประจวบ’ ผลปรากฏว่า เสียงและอารมณ์ของดนตรีออกไปในโทนแห้งไม่คล้องรับกับเสียงร้องของศรคีรี ตัวของศรคีรีเองก็ร้องคำร้องในท่อน “พี่หนีน้ำขึ้นบนหลังคา” ออกมาเป็น ‘หลงคา’ และตัวผู้ฟังเองเมื่อเห็นชื่อศรคีรีบนหน้าปกตราแผ่นเสียงก็คงนึกใจ หมอนี่คือใครกัน?
เล่ากันอีกแล้วว่า (รอผู้รู้ยืนยัน) ครูไพบูลย์ถึงกับ ‘หักแผ่นเสียง’ ในความหมายที่ว่า ให้ศรคีรี ร้องบันทึกแผ่นเสียงใหม่ โดยใช้ทีมนักดนตรีและนักเรียบเรียงเสียงประสานอย่าง ‘ครูประยงค์ ชื่นเย็น’ ซึ่งเป็นขุนพลนักดนตรีฝีมือฉกาจฉกรรจ์ระดับมองตาก็รู้ใจกันของครูไพบูลย์เป็นผู้ควบคุมดูแล พร้อมกันนั้นก็ประทับตราข้อความแผ่นเสียงเสียใหม่ว่า ‘ไพบูลย์ บุตรขัน’
‘ไพบูลย์ บุตรขัน’ ชื่อนี้ใน ปี พ.ศ. 2513 แต่งเพลงไหนก็ดัง แฟนเพลงซื้อไปฟังก็ไม่ผิดหวัง หรือที่ภาษาชาวบ้านพูดว่า “เชื่อขนมกินได้”
‘น้ำท่วม’ ที่ทำให้ศรคีรี ศรีประจวบ ต้องหนีน้ำขึ้นบนหลังคาในปี พ.ศ. 2513 ส่งผลให้ศรคีรี โด่งดัง ได้รับความนิยมทันทีและกลายเป็นหนึ่งในนักร้องเพลงลูกทุ่งชื่อดังในช่วงยุคทองแห่งวงการเพลงลูกทุ่งไทย ด้วยผลงานเพลงเสียงหวานอมตะอย่างน้ำท่วม, บุพเพสันนิวาส, แม่ค้าตาคม, ฝนตกฟ้าร้อง, พระอินทร์เจ้าขา, คิดถึงพี่ไหม, มนต์รักแม่กลอง, พอหรือยัง, หวานเป็นลมขมเป็นยา, หนาวลมที่เรณู, ตะวันร้อนที่หนองหาร, รักแล้งเดือนห้า, ลานรักลั่นทม และ อยากรู้ใจเธอ
ทว่า ศรคีรี ศรีประจวบ เป็นนักร้องดังที่จากไปก่อนวัยอันควร และจากไปในช่วงที่ชีวิตกำลังรุ่งเรือง จากอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2515 ซึ่งแฟนเพลงบางคนที่มีหัวใจเป็นนักสืบโคนัน อาจพูดในใจว่า ชีวิตความดังและการตายของศรคีรีทิ้งไว้ด้วยปริศนามากมาย
ศรคีรี ศรีประจวบ นับเป็นลูกศิษย์รุ่นท้าย ๆ ของครูไพบูลย์ บุตรขัน ซึ่งท่านก็ได้เขียนไว้อาลัยการจากไปของศรคีรีศิษย์รักคนนี้ว่า
“แด่สุดรัก เธอเกิดมาเป็นผู้กล่อมโลก ฉันเป็นผู้ถ่ายทอดอารมณ์ บัดนี้เธอจากโลกไปแล้วเหลือเพียงเสียงเพลง ศรคีรี ศรีประจวบ ฉันเสียดาย เสียดายจริง ๆ เพราะเธอควรจะอยู่กล่อมโลกให้นานกว่านี้”
เรื่อง: อิทธิเดช พระเพ็ชร
#น้ำท่วม #ศรคีรีศรีประจวบ #ครูไพบูลย์บุตรขัน #อุทกภัย

30/11/2025

"บ้าหรือเปล่าทิ้งเงินเดือนวิศวกรมาทำกาแฟ" นี่คือคำถามจุดประกายที่พาเราไปพบกับคำตอบ กับเรื่องราวของ ฟอร์ด - สันติสุข พุฒพรม แห่ง กาแฟเขาพระเจ้า ชายหนุ่มผู้มองเห็นสิ่งที่คนอื่นมองข้าม เปลี่ยนคำสบประมาทให้กลายเป็นความยั่งยืน
จากตำนานเล่าขานเรื่องทองคำในถ้ำ สู่การค้นพบขุมทรัพย์ที่แท้จริงบนหน้าดิน ด้วยทำเลพิเศษตรงส่วนที่แคบที่สุดของด้ามขวาน รับลมมรสุมทั้งฝั่งอันดามันและอ่าวไทย ผสานเข้ากับแนวคิดวิศวกร ที่ใช้ Data และเทคโนโลยี เข้ามาจัดการแปลงเกษตร เปลี่ยนสวนปาล์มเดิมให้กลายเป็นแหล่งปลูก Fine Robusta และโกโก้คุณภาพระดับส่งออกญี่ปุ่น
ไม่ใช่แค่การรอฟ้าฝน แต่คือการออกแบบระบบนิเวศป และกระบวนการแปรรูปที่พิถีพิถันทุกขั้นตอน จนเกิดเป็นวิสาหกิจชุมชนที่แข็งแกร่ง ยกระดับกาแฟชุมพรให้มีเอกลักษณ์ไม่แพ้ใคร
มาร่วมค้นหาคำตอบว่าทำไมเขาถึงกล้าแลก และสมบัติที่เขาค้นพบจะหอมหวานแค่ไหน ติดตามเรื่องราวสำนึกรักบ้านเกิดที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้คุณได้ในคลิปนี้
#สำนึกรักบ้านเกิด2568 #กาแฟเขาพระเจ้า #ชุมพร #เกษตรกรยุคใหม่
#เกษตรกรสำนึกรักบ้านเกิด2568
#มูลนิธิร่วมด้วยช่วยกันสำนึกรักบ้านเกิด
#รักบ้านเกิด

Don’t Look Up : ผู้นำโง่เราจะตายกันหมด ในบริบทของหนังหายนะโลกแตกในหนังแนวหายนะล้างโลก ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุที่ใหญ่โตมโฬ...
30/11/2025

Don’t Look Up : ผู้นำโง่เราจะตายกันหมด ในบริบทของหนังหายนะโลกแตก
ในหนังแนวหายนะล้างโลก ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุที่ใหญ่โตมโฬาร (Titanic, 1997), (The Towering Inferno, 1974) / ภัยธรรมชาติที่ถาโถมโหมซัด (Earthquake, 1974), (Deep Impact, 1998) หรือแม้กระทั่งการจู่โจมของมนุษย์ต่างดาว (Independence Day, 1997), (The War of the World, 2005) ใจความสำคัญที่หนังมักกล่าวถึงก็คือ ความผิดพลาดจากน้ำมือมนุษย์ที่นำมาสู่กาลอวสาน / ความประมาทที่นำมาสู่จุดจบของโลก และการตั้งสติของตัวเอกที่มักจะรอดปลอดภัยจนถึงตอนท้ายเสมอ
แต่สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ในหนังแนวหายนะล้างโลก คือการสะท้อนสภาวะผู้นำประเทศกับการตัดสินใจของกลุ่มรัฐบาล ซึ่งในหนังภัยพิบัติหลาย ๆ เรื่อง ผู้นำประเทศคือกุญแจสำคัญในการพาโลกให้พ้นภัยหรือฉิบหายกว่าเดิมอยู่เสมอ
จึงไม่แปลกใจเลยที่หนังหลายเรื่องมักนำเสนอภาพผู้นำประเทศ หากไม่เป็นฮีโร่ที่สามารถรับมือกับหายนะได้อย่างยอดเยี่ยมแม่นยำ อย่างประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ถึงขนาดขับเครื่องบินสู้กับยานลึกลับที่มาทำลายล้างโลกได้อย่างเหลือเชื่อใน Independence Day หรือการร่วมมือร่วมใจของเหล่ารัฐบาลเพื่อรับมือกับการมาเยือนของสัตว์ประหลาดเป็นขั้นเป็นตอนอย่าง Shin Godzilla (2016) เหล่าผู้นำก็มีสภาพไม่ต่างกับตัวร้ายที่เป็นตัวเร่งให้ความเลวร้ายเกิดขึ้นทุกหย่อมหญ้าอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะหนังเกาหลีที่หนังแนวหายนะคือเครื่องมือโจมตีความแหลกเหลวของรัฐบาลจนชินตา
แต่ทั้งหลายทั้งปวง ประเด็นของสภาวะผู้นำมักถูกชูรองลงมา เพราะเป้าหมายหลักที่แท้จริงของหนังแนวนี้คือการสาดภาพหายนะไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วม ไฟไหม้ โลกแตก แผ่นดินแยก เพื่อเร่งเร้าความตื่นเต้นที่คนดูหนังต้องการจะเห็นมากกว่า ซึ่งปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหนังแนวนี้มักทำหน้าที่สร้างภาพที่เราไม่มีวันมองเห็น หรืออยากตกอยู่ในสถานการณ์บีบคั้นนี้ในชีวิตจริงได้ หนังหายนะจึงทำหน้าที่เป็นได้เพียงการเสนอภาพจุดจบและความโกลาหลของโลกผ่านเทคนิคพิเศษ และสอนการรับมือกับภัยพิบัตินั้น ๆ อย่างมีสติเท่านั้น
กระทั่งการมาของหนัง Don’t Look Up ผลงานของผู้กำกับ อดัม แมคเคย์ ที่ประจวบเหมาะกับช่วงเวลาที่ทุกหย่อมหญ้ากำลังเผชิญหายนะโรคระบาด ยิ่งส่งผลให้พลังของหนังเรื่องนี้มีมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
🔴ความจิตตกท่ามกลางหายนะโลกแตก
Don’t Look Up เล่าเรื่องราวของ 2 นักดาราศาสตร์ (รับบทโดย ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ และ เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์) ที่ค้นพบการมาเยือนของอุกกาบาตที่ความมหึมาของมันสามารถทำลายมนุษยชาติให้สูญพันธุ์ได้ทันที พวกเขามีเวลาเพียง 6 เดือน ในการบอกเค้าลางหายนะนี้ให้กับทุกภาคส่วนได้รับรู้เพื่อหาทางแก้ปัญหามัน และเป้าหมายสำคัญในการบอกข่าวเล่าแจ้งนั้นก็คือทำเนียบขาวนั่นเอง
แต่สิ่งที่เขาได้รับกลับเป็นการรอคอยที่เนิ่นนานเกินความจำเป็น จากประธานาธิบดีหญิงที่ห่วงภาพลักษณ์มากกว่าหายนะที่กำลังคืบคลานเข้ามา นอกจากท่าทีที่ดูไม่เป็นมิตรจากเหล่าผู้นำแล้ว พวกเขายังไม่เชื่อในสิ่งที่ทั้ง 2 คนพูดถึงเค้าลางจุดจบของโลกใบนี้อีกด้วย
แต่พวกเขาก็ไม่หยุดที่จะบอกถึงอนาคตอันเลวร้ายนี้ พวกเขาพยายามไปหาสื่อใหญ่อย่างรายการโทรทัศน์เรตติ้งดีเพื่อหวังว่ารายการกระแสใหญ่โตนี้จะช่วยกระเพื่อมการรับมือกับหายนะนี้ได้ แต่สุดท้ายรายการก็เลือกให้แอร์ไทม์กับข่าวรัก ๆ เลิก ๆ ของศิลปินนักร้องมากกว่าจะให้เวลากับพวกเขาที่ในตอนนี้กลับกลายเป็นตัวตลกและเป็นมีมในสังคมที่มองเรื่องเหล่านี้น่าขันเกินกว่าจะมาใส่ใจในความจริง
จนกระทั่งข่าวที่เคยมองว่าเป็นเพียงข่าวลวงค่อย ๆ ชัดเจนขึ้น และได้รับการรับรองจากนักวิชาการที่น่าเชื่อถือกว่า พวกเขาถูกเชิญให้ไปพบที่ทำเนียบขาวอีกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับเลวร้ายยิ่งกว่าเมื่อพบว่าพวกเขากลายเป็นเพียงกลไกในการโฆษณาชวนเชื่อเพื่อเรียกคะแนนในการเลือกตั้งสมัยหน้า พร้อมทั้งการมาของมหาเศรษฐีที่หวังจะใช้ทรัพยากรจากอุกกาบาตนี้ตักตวงผลประโยชน์เข้ากระเป๋าตัวเองมากยิ่งขึ้น
ซ้ำร้ายความคลางแคลงในใจของทั้งสองก็ยิ่งทวีสูงขึ้น เมื่อนักดาราศาสตร์ชายได้รับการประคบประหงมจนกลายร่างเป็นนักวิชาการสุดฮอตที่ได้หลับนอนกับพิธีกรชื่อดัง ขณะเดียวกันนักดาราศาสตร์สาวกลับถูกชิงชังเมื่อเธอไม่สามารถควบคุมอารมณ์โกรธของตัวเองได้เมื่ออยู่ในสภาวะคับขัน ขณะเดียวกันอุกกาบาตก็ค่อย ๆ ปรากฏให้เห็นชัดเจนขึ้นจนภาพหายนะของโลกยิ่งใกล้เข้ามาทุกขณะ
🔴ผู้นำโง่เราจะตายกันหมด
อดัม แมคเคย์ เป็นผู้กำกับที่เก่งกาจเสมอในการทำหนังตลกหน้าตายผ่านการกัดจิกสังคมในแวดวงต่าง ๆ อย่างเฉียบคม ไม่ว่าจะเป็น The Other Guys (2010) ที่แซะวงการตำรวจ The Big Short (2015) ที่ปั่นป่วนโลกทุนนิยม หรือ Vice (2018) ที่วิพากษ์วิจารณ์โลกสังคมการเมืองที่มีคนชักใยของจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ได้เหนือชั้น และ Don’t Look Up ก็ไม่พลาดที่จะเสนอประเด็นร้อนแรงนี้เช่นกัน โดยเฉพาะการเห็นผิดเป็นชอบ และการเพิกเฉยต่อการกระทำอันเลวร้ายของบุคคลบางกลุ่มที่มีอำนาจเหนือกว่า
โดยเฉพาะการวิพากษ์วิจารณ์การดำเนินการของภาครัฐตั้งแต่การคอร์รัปชันเล็ก ๆ น้อย ๆ ในหมู่คนมีสี, อำนาจที่ชนะคะคานได้ด้วยเงิน หรือแม้กระทั่งการห่วงภาพลักษณ์และกลัวเสียคะแนนของผู้นำ จนนำพาไปสู่การตัดสินใจที่นำพาประเทศดิ่งสู่ก้นเหวด้วยการโฆษณาชวนเชื่อปลอม ๆ และการให้ค่ากับอภิสิทธิ์ชนมากกว่าประชาชนตาดำ ๆ
หลายต่อหลายครั้งหนังหายนะล้างโลกมักถูกนำมาเป็นโฆษณาชวนเชื่อเสมอ ยิ่งการมาของสงครามเย็น การมาของมนุษย์ต่างดาวและสิ่งแปลกปลอมจากนอกโลกก็มักจะกลายเป็นตัวแทนของด้านเลวร้ายของชาติคอมมิวนิสต์ (โดยเฉพาะรัสเซีย) ในฐานะภัยมืดที่มักมาคุกคามความสงบสุขของโลกใบนี้ แต่หนัง Don’t Look Up กลับเลือกมองมุมกลับและชี้ชัดว่าความเลวร้ายที่เกิดขึ้นมาจากความหละหลวมของทางฝั่งรัฐบาลเองที่ละเลยเพิกเฉยต่อปัญหาจนนำมาซึ่งความเลวร้ายไม่คาดคิด
🔴สังคมโลกเผ็ดร้อนประชากรคลุ้มคลั่ง
แม้หนังจะเลือกโจมตีการบริหารงานอันล้มเหลวของรัฐบาล แต่หนังก็เลือกโจมตีสภาวะโดยรอบของสังคมมนุษย์ปัจจุบันได้อย่างเผ็ดร้อนเช่นกัน โดยเฉพาะการเพิกเฉยต่อปัญหาและการละเลยที่จะช่วยกันแก้วิกฤตในสถานการณ์สุดบีบคั้น ยิ่งจี้ใจดำของคนที่กล่าวอ้างว่า ‘เลิกสนใจการเมืองแล้ว’ อย่างแสบสันไม่เบา
เช่นเดียวกับที่สื่อมวลชนก็ตกเป็นเป้านิ่งในการโจมตีของหนัง ด้วยการแซะสื่อที่เลือกสนใจเรื่องคาวฉาวโฉ่ของดารานักร้องบนโลกโซเชียลฯ มากกว่าจะใส่ใจในปัญหาปากท้องและหายนะโลกที่คืบคลานเข้ามา เห็นได้ชัดในการให้น้ำหนักของเรื่องโลกแตกน้อยกว่าเรื่องของนักร้องขอคืนดี โดยวัดดัชนีจากเรตติ้งและยอดตัวเลขของเทรนด์ทวิตเตอร์ ยิ่งตอกย้ำภาพลักษณ์อันเลวร้ายของ ‘ข่าวดีขายไม่ได้ ข่าวร้ายขายคล่อง’ เป็นอย่างดี
🔴บริบทหายนะที่ชัดเจนแจ่มแจ้งราวกับเขียนบทในไทย
แม้ว่าตัวหนังจะได้รับคำวิจารณ์ในแง่ก้ำกึ่งจากเว็บไซต์ Rotten Tomatoes ให้เปอร์เซ็นต์หนังเรื่องนี้เพียง 55% จากนักวิจารณ์จำนวน 210 คน ที่มีอัตราส่วนชอบกับไม่ชอบในอัตราใกล้เคียงกัน ทำให้ Don’t Look Up กลายเป็นความน่าผิดหวังครั้งสำคัญของนักวิจารณ์หนังชั้นนำในหลายสำนัก
แต่กับบ้านเรานั้น หนังกลับมาถูกที่ถูกทางราวกับผู้กำกับเขียนบทในประเทศไทย ที่หนังเลือกเล่าบริบททางการเมืองของคนสองขั้วผ่านรายละเอียดยิบย่อย ทั้งการจัดตั้งกลุ่มที่มีแนวคิดทางการเมืองขั้วตรงข้ามในชื่อกลุ่ม ‘แหงนมองฟ้า’ ‘ก้มหน้าลง(มอง)ดิน’ หรือการควบรวมกิจการของนายทุนรายใหญ่ที่ชี้เป็นชี้ตายประเทศ ไปจนถึงความไร้สมองของผู้นำ ไปจนถึงการเชิดชูตัวบุคคลที่เป็นกระแสมากกว่าจะใส่ใจในคุณค่าภายใน และยิ่งสภาวะวิกฤตโรคระบาดแล้ว ยิ่งทำให้เห็นภาพในหนังชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีก ทำให้ระหว่างที่เราดูหนังอยู่นี้ ภาพของบุคคลต่าง ๆ ในนั้นล้วนแล้วแต่ผุดขึ้นมาในหัวทันที แล้วแต่ความเชื่อทางการเมืองของตัวบุคคลที่แตกต่างกันไป
ดังนั้น Don’t Look Up จึงไม่เพียงเป็นหนังหายนะที่เล่าวาระสุดท้ายของโลกอย่างเฉียบแหลมที่สนุกและตลกมากเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เป็นกระจกสะท้อนยุคสมัยได้อย่างเฉียบคม โดยเฉพาะซีนระเบิดอารมณ์ของลีโอนาร์โดที่สรุปรวบยอดเรื่องราวทั้งหมดว่า
“ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกากำลังโกหกอยู่โว้ย!...ฟังนะ ผมก็เหมือนกับพวกคุณทุกคน ผมหวังอย่างยิ่งว่าประธานาธิบดีคนนี้รู้ตัวว่าทำอะไรอยู่ ผมหวังว่าเขาจะดูแลเราทุกคน แต่ความจริงคือ ผมคิดว่าไอ้รัฐบาลนี้แม่งเสียสติกันไปหมดแล้วโว้ย! ผมคิดว่าเราทุกคนจะตายกันหมด!”
มันยิ่งช่วยตอกย้ำความรู้สึกลึก ๆ ที่เป็นอันรู้กันของคนดูหนังว่า ต่อให้อุกกาบาตยังไม่ได้ชนโลก แต่ตอนนี้ความรู้สึกของมนุษยชาติก็ได้แตกเป็นเสี่ยง ๆ ไปแล้วเรียบร้อย
อ่านเรื่องราวของ Don’t Look Up ต่อได้ในคอมเมนต์
เรื่อง: สกก์บงกช ขันทอง
ภาพ: Don’t Look Up
หมายเหตุ : บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อเดือนธันวาคม 2021

บ็อบ เทอร์รี : สิงห์นักสูบผู้ชวนคนร่วมอมควันกันหน้าสวนสาธารณะ 5 นาที แต่มีคนมาร่วม 2,000 คน!“ถ้าคุณไม่ได้สูบก็อย่าได้เริ...
29/11/2025

บ็อบ เทอร์รี : สิงห์นักสูบผู้ชวนคนร่วมอมควันกันหน้าสวนสาธารณะ 5 นาที แต่มีคนมาร่วม 2,000 คน!
“ถ้าคุณไม่ได้สูบก็อย่าได้เริ่ม หากกำลังสูบอยู่แล้วมีพลังใจจะเลิกก็ทำเลิกเสีย แต่ถ้ามันเป็นเรื่องยากสำหรับคุณก็พยายามลดหลั่นเอา แต่ถ้าคุณแค่รักการสูบเพราะมันทำให้ชีวิตคุณมีความสุข ก็จุดสักมวนเลย!”
คงจะไม่ต้องสืบอีกต่อไปว่าภัยร้ายของควันบุหรี่นั้นมีอะไรบ้าง ทั้งผลกระทบต่อร่างกายผู้สูบหรือควันที่คละคลุ้งเป็นภัยต่อผู้คนรอบข้างก็ล้วนบ่งชี้อย่างชัดเจนว่าการสูบบุหรี่นั้นไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเสียเท่าไหร่หากใครสักคนคาดหวังจะมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ปราศจากโรค และไม่ต้องมาพัวพันกับสิ่งที่เรียกว่า ‘มะเร็ง’ ในบั้นปลายของชีวิต
ด้วยข้อเสียนานัปการจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีการรณรงค์อย่างเข้มข้นเพื่อลดจำนวนประชากรที่สูบบุหรี่ แต่ถึงกระนั้น การสูบบุหรี่ที่มีสารนิโคตินก็พัฒนาเปลี่ยนรูปร่างไปตามยุคสมัย กลายเป็นบุหรี่ไฟฟ้ารูปแบบต่าง ๆ หรือแม้แต่ซองบรรจุนิโคติน (Ni****ne pouch) สำหรับผู้ที่ต้องสารนิโคตินแต่ไม่ต้องการให้มีควันหรือไอน้ำผ่านปอด
แต่ที่กล่าวมาทั้งหมดเพื่อสะท้อนให้เห็นว่าการสูบบุหรี่นั้นไม่ใช่เรื่องที่ดีต่อร่างกาย
แต่ก็มีผู้คนจำนวนหนึ่งที่ยังคงหลงใหลในการอมควันอยู่ไม่น้อย
ไม่นานมานี้ในนครนิวยอร์ก หน้าสวนสาธารณะ Washington Square มีกิจกรรมเล็ก ๆ ที่กินเวลาเพียง 5 นาทีเกิดขึ้น ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวมีชื่อว่า ‘smoking a cigarette with me’ โดยมีชายอายุ 75 ปีนามว่า ‘บ็อบ เทอร์รี’ (Bob Terry) ที่สูบบุหรี่มาเป็นเวลากว่า 60 ปีเป็นแกนกลางของการรวมตัวในครั้งนี้
ประเด็นสำคัญของกิจกรรมที่ชวนผู้คนมารวมตัวกันในครั้งนี้ไม่มีอะไรมาก บ็อบเพียงแค่เดินแจกใบปลิวที่มีคำเชิญว่า “สูบบุหรี่กับฉัน” พร้อมวันที่และเวลาที่ระบุว่บ่ายสองโมงตรงถึงบ่ายสองโมงห้านาที พร้อมกับแผนที่และ QR Code ในการลงทะเบียน ซึ่งถ้าหากใครลงทะเบียนไปก่อนและมีอายุมากกว่า 21 ปี ก็จะได้บุหรี่หนึ่งมวนฟรีไปสูบพร้อมบ็อบด้วย
กิจกรรมที่ว่านี้ฟังดูเป็นเรื่องขำขันราวกับคำท้าที่เกิดขึ้นในหมู่เพื่อนฝูงหรือวงเหล้า แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือมีผู็คนมากมายเกือบสองพันคนไปรวมตัวกันที่หน้าสวนสาธารณะเพื่อที่ใช้เวลาห้านาทีอมควันไปพร้อมกับบ็อบ จนเกิดเป็นกระแสไวรัลและเป็นที่พูดถึงอย่างกว้างขวาง
บ็อบให้สัมภาษณ์กับ The Post ว่าตัวของมองว่ายุคสมัยนี้ผู้คนกักขังตัวเองกันมากไปหน่อย ทั้งจากงานและความเครียด บางทีเราอาจต้องการมารวมตัวกันแล้วสูบบุหนี่สักมวน จะอะไรกันนักกันหนากับสุขภาพ เอะอะก็สลัด เอะอะก็ต้องกระโดดเชือก ทุกคนเป็นอะไรกันหมด ปล่อยวางแล้วจุดมันสักมวนหน่อย
แน่นอนว่าคำกล่าวของบ็อบอาจเป็นความอัดอั้นตันใจของกระแสสังคมที่โถมเข้าหาหนทางการรักษาสุขภาพอย่างมหาศาลจนอาจจะทำให้นักสูบบางคนอึดอัดบ้าง แต่ถึงกระนั้นนี่ก็ไม่ใช่การตัดสินว่าใครถูกใครผิด หากการกระทำของพวกเขาไม่ได้ไปล่วงล้ำความเป็นอยู่ของใครอื่น
ไม่ว่าจะเป็นการแจกบุหรี่หรือการพร่ำบ่นถึงเทรนด์สุขภาพก็อาจทำให้เกิดความสงสัยว่าพวกเขากำลังจะ ‘สนุบสนุน’ ให้ผู้คนหันกลับไปสูบบุหรี่หรือเปล่า? ซึ่งนี่คือสิ่งที่บ็อบป่าวประกาศต่อผู้คน
“ถ้าคุณไม่ได้สูบก็อย่าได้เริ่ม หากกำลังสูบอยู่แล้วมีพลังใจจะเลิกก็ทำเลิกเสีย แต่ถ้ามันเป็นเรื่องยากสำหรับคุณก็พยายามลดหลั่นเอา แต่ถ้าคุณแค่รักการสูบเพราะมันทำให้ชีวิตคุณมีความสุข ก็จุดสักมวนเลย!”
ไม่เพียงแต่ที่ตัวเขากล่าวเตือนไม่ให้คนที่ยังไม่เคยสูบเริ่มลิ้มลอง แต่ยังบอกให้คนที่สูบอยู่พยายามเลิก แต่สำหรับคนที่เอ็นจอยกับการอมควันเฉกเช่นเดียวกับเขา และไม่ได้รู้สึกว่าทำไมจะต้องเลิก เขาก็อยากจะสร้างพื้นที่ที่ชวนบรรดาสิงห์อมควันทั้งหลายมามีกิจกรรมอยู่ร่วมกัน
หากพิจารณาตามรูปการณ์แล้ว นี่อาจเป็นการพักสูบบุหนี่ (Smoke Break) ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์รอบหลายปีเลยก็ว่าได้
นอกจากนั้น บ็อบก็เป็นหนึ่งในสมาชิกกลุ่มตลก Old Jewish Men และยังทำรายการของตัวเองในอินสตาแกรมชื่อ ‘Breaking Bob’ อีกด้วย ล่าสุด คลิปปิดตาลองบุหรี่ของเขาก็กลายเป็นไวรัล มีจำนวนคนดูทะลุ 33 ล้านครั้ง นอกจากนั้นเขายังได้ฉายาว่าเป็น ‘Cigarette Maestro’ อีกด้วย
ท้ายที่สุด เรื่องราวของบ็อบก็อาจมีบางคนที่ไม่เห็นด้วยเพราะอาจเป็นการชี้นำผู้คนให้ก้าวเข้าสู่การสูบบุหรี่ แต่ในขณะเดียวกันก็สะท้อนให้เห็นบางแง่มุมที่อบอุ่นของการที่ผู้คนมาทำอะไรสักอย่างร่วมกันแม้จะกินเวลาเพียงห้านาที
เรื่อง : รัฐฐกรณ์ ศิริฤกษ์
#สังคม

ถึงเวลาที่ภาคธุรกิจจะลุกขึ้น ‘Shine your path : เปล่งประกายบนเส้นทางของตัวเอง’ บทบาทของผู้สร้าง ‘คุณค่า’ ให้สังคม แสงที่...
29/11/2025

ถึงเวลาที่ภาคธุรกิจจะลุกขึ้น ‘Shine your path : เปล่งประกายบนเส้นทางของตัวเอง’ บทบาทของผู้สร้าง ‘คุณค่า’ ให้สังคม แสงที่ไม่ใช่เพียงส่องสว่าง แต่จุดประกายการสร้างสรรค์และการเปลี่ยนแปลง ที่ปรากฏชัดผ่านการลงมือทำอย่างแท้จริง
‘Corporate of the Year 2026’ รางวัลที่ไม่ได้ตัดสินแค่ตัวเลขทางธุรกิจ หากแต่สะท้อน ‘แสง’ แห่งการสร้างสรรค์ ความรับผิดชอบ และผลลัพธ์ที่พิสูจน์ได้ว่าองค์กรหนึ่งสามารถยกระดับชีวิตผู้คน และเคลื่อนสังคมให้ดีขึ้น
🏆 เตรียมพบกับการประกาศรางวัลแห่งปี ‘The People Awards’ ครั้งที่ 5 ประจำปี 2026 ภายใต้แนวคิด ‘Shine your path : เปล่งประกายบนทางของตัวเอง’ เวทีที่จะร่วมค้นหาและยกย่อง 10 ผู้นำจากหลากหลายวงการ ที่กล้าฉายแสงแห่งความหวัง และใช้แสงนั้นเปลี่ยนสังคมไปสู่ทางที่ดียิ่งกว่า
🗓 5 มีนาคม 2569
⏰ เวลา 17.00 - 21.00 น.
📍คริสตัล บ๊อกซ์, เกษร เออร์เบิร์น รีสอร์ท ชั้น 19
ร่วมติดตามเส้นทางของผู้นำผู้ใช้แสงสว่างของตน เปลี่ยนเส้นทางธุรกิจให้กลายเป็นเส้นทางแห่งความหวังของสังคม
📌 ติดตามความเคลื่อนไหวของ ‘The People Awards’ ได้ในทุกช่องทางของ The People

‘Zootopia 2’ โลกจะไม่สวยงาม ถ้าเราเลือกปิดตาข้างหนึ่งเรียกได้ว่าสมการรอคอยกับ ‘Zootopia 2’ ภาพยนตร์แอนิเมชั่นจาก Disney ...
29/11/2025

‘Zootopia 2’ โลกจะไม่สวยงาม ถ้าเราเลือกปิดตาข้างหนึ่ง
เรียกได้ว่าสมการรอคอยกับ ‘Zootopia 2’ ภาพยนตร์แอนิเมชั่นจาก Disney Studio ที่เคยฝากความประทับใจและสร้างมีมไว้มากมายเมื่อ 9 ปีก่อน
Zootopia เวอร์ชัน 2025 ยังคงมีจูดี้ นิค และเจ้าสลอธเหมือนเดิม เพิ่มเติม คือ เส้นเรื่องที่แข็งแรง ซึ่งว่าด้วยจความเป็นทีม การมีตัวตน เคารพความแตกต่าง และการเป็นคนที่ถูกมองข้าม
การเล่าแบบฉับไวตามสไตล์ดิสนีย์ ตัวละครสัตว์ที่น่ารักไปจนถึงจังหวะคอมเมดี้ที่เรียกเสียงหัวเราะ ทำให้เราเชื่อว่า ทุกคนจะหลงรักหนังเรื่องนี้ไม่ต่างจากเรา
ต่อจากบรรทัดนี้ เราอยากชวนทุกคนมาดูสิ่งที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังนครสัตว์มหาสนุกที่มีมากกว่าสัตว์แสนน่ารัก มุกตลก และเคมีสุดลงตัวของจูดี้กับนิค
/ บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของ Zootopia 2 (2025) /
🔴 คู่หูน้องใหม่ที่อยากกอบกู้โลก
อย่างที่เราเห็นมาตลอด ซูโทเปียดูเหมือนจะเป็นพื้นที่และความเจริญของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ขณะที่สัตว์สายพันธุ์อื่นต้องไปหลบตามเมืองที่มีสภาพแวดล้อมสอดคล้องกับชีวิตของพวกมัน
แต่สัตว์ประเภทหนึ่งที่ดูเหมือนจะต้องอยู่อย่างหลบซ่อนมาตลอดหลายปี คือ ‘สัตว์เลื้อยคลาน’
ตามเรื่องเล่าของเมืองซูโทเปีย สัตว์เลื้อยคลาน โดยเฉพาะ ‘งู’ เป็นสัตว์ต้องห้าม เพราะมันเคยกัดสัตว์อื่น ๆ จึงถูกมองว่าเป็นตัวร้าย พวกเขาเลยไปหลบอยู่ในพื้นที่ลับกลางน้ำ
ภาคนี้จูดี้กับนิคมอบหมายตัวเองให้ไปจับการลักลอบขนของผิดกฎหมาย และเห็นร่องรอยของ ‘งู’ เรื่องนี้ทำให้จูดี้กัดไม่ปล่อย จนเธอได้เจอ ‘แกรี เดอะสเนค’ งูที่อยากจะพางูกลับสู่แดนซูโทเปีย
“งูไม่ใช่ผู้ร้าย ฉันต้องแก้ไขความเข้าใจผิด ถ้าทำสำเร็จ ครอบครัวฉันจะได้กลับบ้านสักที” แกรี่บอก
ขณะที่จูดี้ทำทุกอย่างเพื่อสืบหาความจริง เพราะเธออยากสร้างโลกให้ดีขึ้น แต่นิคไม่คิดแบบนั้น…
“มันคุ้มเหรอ ที่จะเสี่ยงตาย” นิคบอกกับจูดี้
“โลกนี้จะไม่น่าอยู่เลย ถ้าไม่มีคนกล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง” จูดี้ตอบ
มันก็จริงของจูดี้ ถ้าเราเจอปัญหา แล้วเราเลือกที่จะอยู่เฉย ๆ แต่เฝ้าฝันถึงสังคมที่สวยงาม การเปลี่ยนแปลงมันก็คงไม่เกิดขึ้นจริง
สุดท้ายเราก็จะปิดตาข้างหนึ่ง ยอมรับชะตากรรม อยู่กับมายาคติเดิม ๆ โลกเดิม ๆ และชีวิตแบบเดิม ๆ แล้วหลอกตัวเองว่ามันดี แม้ว่าความจริงจะต่างออกไป และไม่ได้สวยงามอย่างที่คิด
แล้วคำพูดที่บอกว่า จะสร้างโลกให้ดีขึ้นก็คงเป็นเพียงลมปากที่อาจเลือนหายไปตามกาลเวลา…
🔴 ความจริงของมนุษย์ที่สะท้อนผ่านนครสัตว์มหาสนุก
และเพื่อให้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้จริง สิ่งสำคัญ คือ การรวมสัตว์ทุกประเภทมาช่วยกัน
ซึ่งใน Zootopia 2 นอกจากนิคกับจูดี้ ก็ยังมีงู ชื่อ แกรี บีเวอร์ ชื่อ นิปเปิ้ลส์ และแมว ชื่อ พอว์เบิร์ต ที่มาร่วมทวงคืนความจริงที่ซ่อนอยู่ในซูโทเปียว่า ใครกันแน่ คือ คนที่สร้างกำแพงม่านอากาศ
กำแพงที่ปรับให้อากาศร้อน อากาศหนาว ผืนน้ำ ใบหญ้า รวมเป็นหนึ่งและทำให้สัตว์ทุกตัวอยู่ร่วมกันได้ เพราะนี่คือหัวใจสำคัญของเมือง ‘ซูโทเปีย’
อย่างที่ทุกคนรู้ การเปลี่ยนแปลงมันไม่สามารถเกิดขึ้นได้ด้วยตัวคนเดียว สัตว์ทุกชนิดในเมืองซูโทเปียก็เช่นกัน
เหมือนที่แกรีบอก “ซูโทเปียไม่ได้สร้างมาเพื่อให้ภาระอยู่บนบ่าของสัตว์ตัวเดียว ย่าของฉันสร้างซูโทเปียขึ้นมาเพื่อให้สัตว์ทุกตัวช่วยเหลือกัน”
เอาเข้าจริง เราเชื่อว่า สิ่งที่ทีมดิสนีย์ต้องการบอกเรา คือ ซูโทเปียมันคือภาพสะท้อนโลกความจริง โลกที่อยากให้ทุกคนเคารพความแตกต่าง และหันหน้าคุยกัน
เมื่อทุกชีวิตร่วมมือกัน โลกที่เรากำลังอาศัยอยู่จะไม่ใช่ของใครคนเดียว แต่เป็นโลกที่ทุกคนสร้างและกำหนดอนาคตร่วมกัน
🔴 น้ำหนึ่งฝูงเดียวกัน
ย้อนกลับไปจุดเริ่มต้น เหตุผลที่จูดี้กับนิคเลือกออกมาจับโจรและมาหาความจริงของเมืองซูโทเปีย เกิดจากการที่พวกเขาอยากได้รับการยอมรับว่าเป็น ‘คู่หูที่เข้ากันดีที่สุด’
แม้จะพยายามพูดแค่ไหนว่า นิคกับจูดี้เข้ากันได้ดีสุด ๆ แต่ในฐานะคนดู ต้องบอกว่า พวกเขาแตกต่างกันมาก
‘จูดี้’ คือ กระต่ายน้อยที่พุ่งชนทุกอย่างเพื่อกอบกู้โลก ส่วน ‘นิค’ ก็เป็นหมาจิ้งจอกที่ทำงานแบบเพลย์เซฟเลือกทางที่ปลอดภัยไว้ก่อน
สำหรับจูดี้ เธอไม่อยากทำให้พ่อแม่ผิดหวัง รวมถึงไม่อยากเป็นตัวร้ายในสายตาใคร และอาจเป็นเพราะนิคเป็นหมาจิ้งจอกเดียวดายที่ไม่กล้าพูดความจริง ด้วยความกลัวว่าจะเสียคู่หูและเพื่อนคนเดียวของตัวเองไป
แต่หลังจากเคลียร์ใจกัน คำพูดที่เราชอบมากที่สุด คือ นิคบอกกับจูดี้ว่า “พวกเรามันน้ำหนึ่งฝูงเดียวกัน”
คำพูดสั้น ๆ ที่ทำให้เรารู้ว่า นิคกับจูดี้เป็นเพื่อนและคู่หูที่เข้ากันดีที่สุด เขากล้ายอมรับความเปราะบางของตัวเอง ยอมรับความเป็นตัวตนของกันและกัน และเป็นเพื่อนที่แค่มองตาก็รู้ใจ
“การที่เธอเป็นเธอ และฉันก็เป็นฉัน มันทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น” นิคพูดถึงความสัมพันธ์กับจูดี้ไว้
แล้วพลังของการเป็นฝูงเดียวกันนี่แหละที่ทำให้หมาจิ้งจอกเดียวดายกล้าพูดว่า ‘รัก’ เป็นครั้งแรก คำที่เขาบอกว่าจะพูดสิบปีครั้ง
“รักนะ คู่หู” นิคบอกกับจูดี้แบบนั้น
โดยภาพรวม Zootopia 2 ยังคงพาเราหัวเราะกับมุกตลกที่เป็นเพียงการพูดคุยภาษาสัตว์ที่ฟังแล้วก็อดอมยิ้มไม่ได้ และความตลกร้ายที่ถูกเคลือบด้วยความน่ารักของเหล่าสัตว์ที่ใช้ชีวิตกันอย่างมีสีสันใน ‘นครสัตว์มหาสนุก’
เพราะความสนุกของนครสัตว์ไม่ได้มีรอยยิ้มหรือเสียงหัวเราะ แต่เป็นการที่แอนิเมชั่นเรื่องนี้ไปสำรวจความจริงที่อยู่รอบตัวเรา
ทั้งความต่าง การยอมรับ และความกล้าที่จะเผชิญกับสิ่งที่ไม่สมบูรณ์แบบ เรื่องราวเล็ก ๆ นี่แหละที่ทำให้ชีวิตมีสีสันและน่าตื่นเต้นทุกวัน
เรื่อง : ณัฐธนีย์ ลิ้มวัฒนาพันธ์
ภาพ : Walt Disney Studios
#นครสัตว์มหาสนุก2

ที่อยู่

1854 ชั้น 6 Debaratna Road, Bang Na Tai, Bang Na
Bangkok
10260

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ The Peopleผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง The People:

แชร์

Everyone Has Their Own Story

“คน” คือผู้เปลี่ยนแปลงโลก เราจึงเชื่อมั่นว่าเรื่องราวของผู้คนย่อมนำไปสู่การเรียนรู้ การสร้างพลัง และแรงบันดาลใจ เพื่อก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ในอนาคต

The PEOPLE คืออะไร

The PEOPLE คือ สื่อ ที่นำเสนอเนื้อหาสร้างสรรค์ ตามหลักการพื้นฐานของ journalism ผ่านช่องทางดิจิทัลแฟลตฟอร์ม เช่น เว็บไซต์ www.thepeople.co , เพจ และโซเชียลมีเดียอื่นๆ เรารวบรวมข้อมูลเรื่อง “คน” ที่เจาะลึกในทุกแง่มุม นำเสนอในหลากหลายรูปแบบ และวิธีการ ตั้งแต่เรียบเรียงเป็นเรื่องราว ชีวประวัติ บทสัมภาษณ์ จนถึงบทวิเคราะห์ วิธีคิดของบุคคลที่มีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงสังคม ธุรกิจ การเมือง ฯลฯ ซึ่งเป็นภาพสะท้อนของความเคลื่อนไหวต่างๆ ที่เกิดขึ้น จากอดีต ปัจจุบัน จนถึงอนาคต The PEOPLE ยังเป็นฐานข้อมูลที่มีความสำคัญสำหรับการค้นหา ค้นคว้า มีคุณภาพ มีความน่าเชื่อถือ และสามารถอ้างอิงได้ เหนืออื่นใด เราฝันจะเป็นคลังข้อมูลเรื่องคนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

THE PEOPLE Co Official