
10/10/2025
TGI Wineday EP24: คำพิพากษาแห่งปารีส วันที่โลกไวน์ต้องจารึก
ในพระคัมภีร์เก่า มีเรื่องเล่าถึง ‘ดาวิด’ เด็กเลี้ยงแกะตัวเล็กจากอิสราเอล ผู้กล้าเผชิญหน้ากับ ‘โกไลแอธ’ นักรบยักษ์แห่งกองทัพฟิลิสเตีย ผู้สูงใหญ่ แข็งแรง และสวมเกราะเหล็กทั้งตัว ท่ามกลางความหวาดกลัวของผู้คน ดาวิดออกไปสู้โดยไม่มีดาบหรือโล่ มีเพียงหนังสติ๊กและหินห้าก้อน เขาเล็งและขว้างหินหนึ่งก้อนเข้าเป้ากลางหน้าผากโกไลแอธอย่างแม่นยำ จนยักษ์ล้มลงในทันที
เรื่องนี้กลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ที่ทรงพลังที่สุดของโลกตะวันตก ชัยชนะของ ‘คนตัวเล็ก’ ที่กล้าท้าทาย ‘ผู้ยิ่งใหญ่’ ด้วยปัญญา ความเชื่อมั่น และความจริงใจ มากกว่าด้วยกำลังหรือชื่อเสียง
หลายศตวรรษต่อมา เรื่องราวคล้ายกันเกิดขึ้นในโลกของไวน์ เมื่อผู้ผลิตหน้าใหม่จากแคลิฟอร์เนีย ดินแดนที่เพิ่งเริ่มสร้างตัวตนด้านไวน์ ขึ้นสังเวียนเดียวกันกับฝรั่งเศส แผ่นดินที่ถือครองความยิ่งใหญ่ของไวน์มานานนับพันปี
เหตุการณ์ครั้งนั้น คือ ‘The Judgment of Paris’ (1976)
วันที่โลกไวน์ถูกตัดสินในปารีส
24 พฤษภาคม 1976 ที่กรุงปารีส ใต้แสงแดดอุ่นของฤดูใบไม้ผลิ มีการจัดชิมไวน์แบบปิดตา (blind tasting) ที่ดูเหมือนจะเป็นเพียงกิจกรรมเล็ก ๆ สำหรับนักข่าวและผู้เชี่ยวชาญในแวดวงไวน์ฝรั่งเศส แต่ผลที่เกิดขึ้นกลับกลายเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ เมื่อไวน์จากแคลิฟอร์เนียสามารถเอาชนะไวน์ฝรั่งเศสทั้งในหมวดแดงและขาวได้อย่างหมดจด
ผู้จัดงานชื่อ ‘สตีเวน สเปอร์เรียร์’ (Steven Spurrier) เขาไม่ได้มีเจตนาจะล้มล้างใคร เพียงต้องการจัดกิจกรรมเปรียบเทียบเพื่อให้ชาวฝรั่งเศสได้รู้จักไวน์โลกใหม่ แต่ผลการตัดสินกลับสร้างแรงสั่นสะเทือนราวแผ่นดินไหว เมื่อผลประกาศออกมาว่าไวน์จาก Napa Valley และ Sonoma กลับคว้าคะแนนสูงสุดทั้งไวน์ขาวและไวน์แดง สองประเภท ล้มแชมป์ฝรั่งเศสได้อย่างเหนือความคาดหมาย
เหตุการณ์นี้ถูกสื่อเรียกว่า ‘The Judgment of Paris’ คำพิพากษาที่ทลายความเชื่อเดิม ๆ ของโลกไวน์ลงอย่างสิ้นเชิง
การท้าทายที่โลกไม่คาดคิด
บ่ายวันนั้น ณ ห้องประชุมเล็ก ๆ ของ InterContinental Hotel Paris เงียบกว่าที่ใครคาดไว้ ไม่มีแสงแฟลช ไม่มีสื่อจากสำนักใหญ่ ไม่มีใครตระหนักเลยว่าการชิมไวน์ที่จัดขึ้นอย่างเรียบง่ายนี้ จะกลายเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์
‘สตีเวน สเปอร์เรียร์’ ชาวอังกฤษที่รักไวน์ฝรั่งเศส เจ้าของร้านไวน์ Les Caves de la Madeleine และโรงเรียนสอนไวน์ L’Académie du Vin ชักชวน ‘แพทริเซีย กัลลาเกอร์’ (Patricia Gallagher) ชาวอเมริกัน ซึ่งเป็นผู้อำนวยการโรงเรียน มาช่วยคัดเลือกไวน์จากแคลิฟอร์เนีย 6 แบรนด์ และไวน์ฝรั่งเศส 6 แบรนด์ เพื่อแข่งขันกันในระบบ blind tasting ที่ไม่มีใครเห็นฉลากขวด
คณะกรรมการตัดสินทั้ง 11 คน ล้วนเป็นชาวฝรั่งเศสระดับแนวหน้า ทั้งนักเขียนไวน์ ผู้เชี่ยวชาญ และเจ้าของไวเนอรี เมื่อแต่ละคนเริ่มหมุนแก้ว ดมกลิ่น และจรดปลายปากลงชิม บรรยากาศเต็มไปด้วยสมาธิและความมั่นใจ ไม่มีใครในห้องนั้นคาดคิดเลยว่ารสชาติที่กำลังชื่นชมอาจไม่ได้มาจากฝรั่งเศส
ไวน์จาก Napa Valley และ Sonoma ถูกบรรจุในขวดเดียวกันกับไวน์จาก Bordeaux และ Burgundy ไม่มีใครรู้ว่าขวดใดคืออะไร ความเที่ยงตรงของสเปอร์เรียร์ อยู่ตรงที่การไม่เปิดเผยแม้แต่นิดเดียว แม้กระทั่งตัวเขาเองก็ไม่ทราบลำดับการจัดเสิร์ฟ เพื่อให้การตัดสินบริสุทธิ์ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
‘จอร์จ เอ็ม. เทเบอร์’ (George M. Taber) ผู้สื่อข่าวจาก Time Magazine เป็นเพียงคนเดียวในห้องที่รู้ว่าขวดไหนเป็นไวน์จากอเมริกา เขานั่งสังเกตเงียบ ๆ อยู่มุมห้อง จดบันทึกทุกปฏิกิริยา และในเวลาต่อมา เขาจะกลายเป็นผู้เล่าข่าวที่ทำให้โลกไวน์สะเทือน
เมื่อคณะกรรมการเริ่มให้คะแนน ความมั่นใจของฝรั่งเศสยังเต็มเปี่ยม เสียงชื่นชมดังขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนที่คะแนนรวมจะเผยสิ่งที่ไม่มีใครคาด ไวน์ที่ถูกยกย่องเหล่านั้นกลับเป็นไวน์จากแคลิฟอร์เนีย
คำพิพากษา: เมื่อดาวิดล้มยักษ์ในปารีส
บ่ายวันนั้น แผ่นกระดาษคะแนนถูกวางเรียงบนโต๊ะกลางห้อง สเปอร์เรียร์ มองตัวเลขตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา ชื่อที่อยู่บนสุดไม่ใช่ไวน์ฝรั่งเศส แต่คือ Stag’s Leap Wine Cellars Cabernet Sauvignon 1973 จากแคลิฟอร์เนีย ส่วนในหมวดไวน์ขาว Chardonnay 1973 จาก Chateau Montelena ก็คว้าอันดับหนึ่งเช่นกัน
ห้องทั้งห้องเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเริ่มมีเสียงกระซิบ เสียงหัวเราะอย่างไม่แน่ใจ และแววตาที่หันมามองหน้ากันอย่างงุนงง ผู้ชิมฝรั่งเศสบางคนพยายามอธิบายว่า “อาจมีความผิดพลาด” แต่ตัวเลขไม่เคยโกหก คะแนนเฉลี่ยจากกรรมการ 11 คนล้วนบ่งชี้ไปทางเดียวกันว่า “ไวน์อเมริกันชนะ”
จอร์จ เทเบอร์ จดทุกอย่างไว้ในสมุดเล่มเล็กของเขา แล้วเขียนรายงานสั้น ๆ ลงใน Time Magazine ด้วยพาดหัวเรียบ ๆ แต่กระแทกแรง
“ไวน์แคลิฟอร์เนียชนะไวน์ฝรั่งเศสในการชิมแบบไม่เปิดเผยฉลาก” (California wines beat French in blind tasting.)
เพียงไม่กี่ประโยคนี้ก็จุดระเบิดวงการไวน์ทั้งโลก ฝรั่งเศสโกรธแค้น ขณะที่สหรัฐอเมริกาเฉลิมฉลอง การแข่งขันที่ตั้งใจจะเป็นเพียงกิจกรรมสนุก ๆ กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ที่ทำให้โลกไวน์ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ไวน์จากพื้นที่ที่เคยถูกมองว่า ‘ไร้รากทางวัฒนธรรม’ ถูกยกระดับขึ้นมาเทียบเท่าราชาแห่งบอร์กโดซ์และเบอร์กันดี สื่อมวลชนเรียกเหตุการณ์นี้ว่า ‘David beats Goliath of wine’ ดาวิดตัวเล็กจากแคลิฟอร์เนียที่เอาชนะยักษ์ใหญ่แห่งฝรั่งเศส ด้วยความจริงเพียงอย่างเดียว คือ ‘รสชาติ’
สเปอร์เรียร์ ถูกขับไล่ออกจากสมาคมไวน์ฝรั่งเศส แต่สำหรับประวัติศาสตร์ เขากลายเป็นชายผู้เปิดประตูให้โลกไวน์ทั้งใบเข้าสู่ยุคใหม่ ยุคที่ชื่อเสียงและชาติไม่อาจเหนือกว่าความซื่อสัตย์ของประสาทสัมผัส
ถอดรหัสตำนาน: เมื่อตัวเลขไม่โกหก
หลังจากเสียงสะเทือนของ Judgment of Paris สงบลง วงการไวน์เริ่มหันกลับมาพิจารณาอย่างจริงจังว่า “เกิดอะไรขึ้นกันแน่” เหตุใดไวน์จากโลกใหม่จึงสามารถล้มยักษ์ฝรั่งเศสได้ในเกมที่ทุกอย่างดูเหมือนจะไม่เป็นไปได้
คำตอบหนึ่งมาจากงานของนักเศรษฐศาสตร์ชื่อ ‘ออร์ลีย์ แอชเชนเฟลเตอร์’ (Orley Ashenfelter) และ ‘ริชาร์ด ควอนด์ท’ (Richard Quandt) แห่งมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน ทั้งคู่สนใจเหตุการณ์นี้ในฐานะ ‘ข้อมูลเชิงพฤติกรรม’ ไม่ใช่แค่เรื่องรสชาติ พวกเขานำผลการชิมวันนั้นมาวิเคราะห์ด้วยเครื่องมือทางสถิติ เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างคะแนนและปัจจัยต่าง ๆ ของไวน์ เช่น อายุของวินเทจ ปริมาณน้ำฝน และอุณหภูมิในฤดูเก็บเกี่ยว
ผลลัพธ์น่าทึ่ง โมเดลทางคณิตศาสตร์ของพวกเขาสามารถ “ทำนายคุณภาพของไวน์” ได้ใกล้เคียงกับการประเมินของนักชิมมืออาชีพอย่างไม่น่าเชื่อ ข้อสรุปของทั้งคู่คือ “ความยอดเยี่ยมของไวน์ไม่ได้อยู่ที่ชื่อเสียงของแหล่งผลิต แต่อยู่ที่ข้อมูลเชิงประจักษ์”
พวกเขายังยืนยันด้วยว่าการตัดสินในปี 1976 ไม่ได้เป็นเพียงอุบัติเหตุทางรสชาติ แต่เป็นผลจากคุณภาพจริงของไวน์แคลิฟอร์เนีย ที่ได้รับการดูแลอย่างพิถีพิถัน ทั้งในไร่องุ่นและห้องหมัก จนสามารถท้าทายมาตรฐานของฝรั่งเศสได้ในระดับเทียบเท่า
คำว่า ‘blind tasting’ คือการพิสูจน์ว่าความจริงยังคงอยู่ในรสสัมผัสของผู้ดื่ม มากกว่าในตราสัญลักษณ์บนฉลากขวด
คำพิพากษาที่เปลี่ยนโลกไวน์ตลอดกาล
หลังเหตุการณ์วันนั้น โลกไวน์ไม่เคยเหมือนเดิมอีกต่อไป Judgment of Paris กลายเป็นสัญลักษณ์ของการล่มสลายของอคติและกำเนิดเสรีภาพในโลกการชิมไวน์ ไม่มีอีกแล้วการผูกขาดด้วยชื่อประเทศหรือศักดิ์ศรีของตระกูล เพราะความจริงที่ปรากฏในแก้ววันนั้น สอนให้รู้ว่า “คุณภาพไม่มีพรมแดน”
ไวน์จากแคลิฟอร์เนียถูกยอมรับในระดับสากล โรงบ่มใหม่ ๆ ผุดขึ้นทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นออสเตรเลีย ชิลี อาร์เจนตินา แอฟริกาใต้ หรือแม้แต่ในเอเชีย เสียงสะท้อนของเหตุการณ์ในปารีสปี 1976 ทำให้ผู้ผลิตไวน์รุ่นใหม่เชื่อมั่นว่า ความยิ่งใหญ่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ที่มีความใส่ใจและความเข้าใจในดินฟ้าอากาศ
สตีเวน สเปอร์เรียร์ กลายเป็นบุคคลที่ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ แม้จะถูกสังคมฝรั่งเศสต่อต้านในช่วงแรก แต่เมื่อเวลาผ่านไป เขาได้รับการยกย่องว่า เป็น ‘ผู้ปลดปล่อยโลกไวน์จากการยึดติดกับอดีต’ ส่วน แพทริเซีย กัลลาเกอร์ ผู้ร่วมจัดงาน ได้รับการกล่าวถึงในฐานะผู้สร้างสมดุลแห่งความกล้าและความอ่อนโยน
ครึ่งศตวรรษผ่านไป เหตุการณ์ครั้งนั้นยังคงถูกพูดถึงไม่ต่างจากตำนาน ‘ดาวิดกับโกไลแอธ’ เพราะนี่คือการต่อสู้ระหว่าง ‘ความเชื่อเดิม’ กับ ‘ความจริงที่พิสูจน์ได้’
ในท้ายที่สุด ‘คำพิพากษาแห่งปารีส’ ไม่ได้เป็นเพียงการตัดสินผู้ชนะ แต่เป็นการตัดสินว่าความงดงามของไวน์ไม่ได้อยู่ที่ถิ่นกำเนิด หากอยู่ที่จิตวิญญาณของผู้ทำและผู้ดื่มที่ยังคงค้นหาความจริงในแก้วของตนเองเสมอ
อนันต์ ลือประดิษฐ์
#คำพิพากษาแห่งปารีส #ประวัติศาสตร์ไวน์