The People Everyone has their own inspiring story
(4)

TGI Wineday EP24: คำพิพากษาแห่งปารีส วันที่โลกไวน์ต้องจารึกในพระคัมภีร์เก่า มีเรื่องเล่าถึง ‘ดาวิด’ เด็กเลี้ยงแกะตัวเล็ก...
10/10/2025

TGI Wineday EP24: คำพิพากษาแห่งปารีส วันที่โลกไวน์ต้องจารึก
ในพระคัมภีร์เก่า มีเรื่องเล่าถึง ‘ดาวิด’ เด็กเลี้ยงแกะตัวเล็กจากอิสราเอล ผู้กล้าเผชิญหน้ากับ ‘โกไลแอธ’ นักรบยักษ์แห่งกองทัพฟิลิสเตีย ผู้สูงใหญ่ แข็งแรง และสวมเกราะเหล็กทั้งตัว ท่ามกลางความหวาดกลัวของผู้คน ดาวิดออกไปสู้โดยไม่มีดาบหรือโล่ มีเพียงหนังสติ๊กและหินห้าก้อน เขาเล็งและขว้างหินหนึ่งก้อนเข้าเป้ากลางหน้าผากโกไลแอธอย่างแม่นยำ จนยักษ์ล้มลงในทันที
เรื่องนี้กลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ที่ทรงพลังที่สุดของโลกตะวันตก ชัยชนะของ ‘คนตัวเล็ก’ ที่กล้าท้าทาย ‘ผู้ยิ่งใหญ่’ ด้วยปัญญา ความเชื่อมั่น และความจริงใจ มากกว่าด้วยกำลังหรือชื่อเสียง
หลายศตวรรษต่อมา เรื่องราวคล้ายกันเกิดขึ้นในโลกของไวน์ เมื่อผู้ผลิตหน้าใหม่จากแคลิฟอร์เนีย ดินแดนที่เพิ่งเริ่มสร้างตัวตนด้านไวน์ ขึ้นสังเวียนเดียวกันกับฝรั่งเศส แผ่นดินที่ถือครองความยิ่งใหญ่ของไวน์มานานนับพันปี
เหตุการณ์ครั้งนั้น คือ ‘The Judgment of Paris’ (1976)
วันที่โลกไวน์ถูกตัดสินในปารีส
24 พฤษภาคม 1976 ที่กรุงปารีส ใต้แสงแดดอุ่นของฤดูใบไม้ผลิ มีการจัดชิมไวน์แบบปิดตา (blind tasting) ที่ดูเหมือนจะเป็นเพียงกิจกรรมเล็ก ๆ สำหรับนักข่าวและผู้เชี่ยวชาญในแวดวงไวน์ฝรั่งเศส แต่ผลที่เกิดขึ้นกลับกลายเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ เมื่อไวน์จากแคลิฟอร์เนียสามารถเอาชนะไวน์ฝรั่งเศสทั้งในหมวดแดงและขาวได้อย่างหมดจด
ผู้จัดงานชื่อ ‘สตีเวน สเปอร์เรียร์’ (Steven Spurrier) เขาไม่ได้มีเจตนาจะล้มล้างใคร เพียงต้องการจัดกิจกรรมเปรียบเทียบเพื่อให้ชาวฝรั่งเศสได้รู้จักไวน์โลกใหม่ แต่ผลการตัดสินกลับสร้างแรงสั่นสะเทือนราวแผ่นดินไหว เมื่อผลประกาศออกมาว่าไวน์จาก Napa Valley และ Sonoma กลับคว้าคะแนนสูงสุดทั้งไวน์ขาวและไวน์แดง สองประเภท ล้มแชมป์ฝรั่งเศสได้อย่างเหนือความคาดหมาย
เหตุการณ์นี้ถูกสื่อเรียกว่า ‘The Judgment of Paris’ คำพิพากษาที่ทลายความเชื่อเดิม ๆ ของโลกไวน์ลงอย่างสิ้นเชิง
การท้าทายที่โลกไม่คาดคิด
บ่ายวันนั้น ณ ห้องประชุมเล็ก ๆ ของ InterContinental Hotel Paris เงียบกว่าที่ใครคาดไว้ ไม่มีแสงแฟลช ไม่มีสื่อจากสำนักใหญ่ ไม่มีใครตระหนักเลยว่าการชิมไวน์ที่จัดขึ้นอย่างเรียบง่ายนี้ จะกลายเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์
‘สตีเวน สเปอร์เรียร์’ ชาวอังกฤษที่รักไวน์ฝรั่งเศส เจ้าของร้านไวน์ Les Caves de la Madeleine และโรงเรียนสอนไวน์ L’Académie du Vin ชักชวน ‘แพทริเซีย กัลลาเกอร์’ (Patricia Gallagher) ชาวอเมริกัน ซึ่งเป็นผู้อำนวยการโรงเรียน มาช่วยคัดเลือกไวน์จากแคลิฟอร์เนีย 6 แบรนด์ และไวน์ฝรั่งเศส 6 แบรนด์ เพื่อแข่งขันกันในระบบ blind tasting ที่ไม่มีใครเห็นฉลากขวด
คณะกรรมการตัดสินทั้ง 11 คน ล้วนเป็นชาวฝรั่งเศสระดับแนวหน้า ทั้งนักเขียนไวน์ ผู้เชี่ยวชาญ และเจ้าของไวเนอรี เมื่อแต่ละคนเริ่มหมุนแก้ว ดมกลิ่น และจรดปลายปากลงชิม บรรยากาศเต็มไปด้วยสมาธิและความมั่นใจ ไม่มีใครในห้องนั้นคาดคิดเลยว่ารสชาติที่กำลังชื่นชมอาจไม่ได้มาจากฝรั่งเศส
ไวน์จาก Napa Valley และ Sonoma ถูกบรรจุในขวดเดียวกันกับไวน์จาก Bordeaux และ Burgundy ไม่มีใครรู้ว่าขวดใดคืออะไร ความเที่ยงตรงของสเปอร์เรียร์ อยู่ตรงที่การไม่เปิดเผยแม้แต่นิดเดียว แม้กระทั่งตัวเขาเองก็ไม่ทราบลำดับการจัดเสิร์ฟ เพื่อให้การตัดสินบริสุทธิ์ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
‘จอร์จ เอ็ม. เทเบอร์’ (George M. Taber) ผู้สื่อข่าวจาก Time Magazine เป็นเพียงคนเดียวในห้องที่รู้ว่าขวดไหนเป็นไวน์จากอเมริกา เขานั่งสังเกตเงียบ ๆ อยู่มุมห้อง จดบันทึกทุกปฏิกิริยา และในเวลาต่อมา เขาจะกลายเป็นผู้เล่าข่าวที่ทำให้โลกไวน์สะเทือน
เมื่อคณะกรรมการเริ่มให้คะแนน ความมั่นใจของฝรั่งเศสยังเต็มเปี่ยม เสียงชื่นชมดังขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนที่คะแนนรวมจะเผยสิ่งที่ไม่มีใครคาด ไวน์ที่ถูกยกย่องเหล่านั้นกลับเป็นไวน์จากแคลิฟอร์เนีย
คำพิพากษา: เมื่อดาวิดล้มยักษ์ในปารีส
บ่ายวันนั้น แผ่นกระดาษคะแนนถูกวางเรียงบนโต๊ะกลางห้อง สเปอร์เรียร์ มองตัวเลขตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา ชื่อที่อยู่บนสุดไม่ใช่ไวน์ฝรั่งเศส แต่คือ Stag’s Leap Wine Cellars Cabernet Sauvignon 1973 จากแคลิฟอร์เนีย ส่วนในหมวดไวน์ขาว Chardonnay 1973 จาก Chateau Montelena ก็คว้าอันดับหนึ่งเช่นกัน
ห้องทั้งห้องเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเริ่มมีเสียงกระซิบ เสียงหัวเราะอย่างไม่แน่ใจ และแววตาที่หันมามองหน้ากันอย่างงุนงง ผู้ชิมฝรั่งเศสบางคนพยายามอธิบายว่า “อาจมีความผิดพลาด” แต่ตัวเลขไม่เคยโกหก คะแนนเฉลี่ยจากกรรมการ 11 คนล้วนบ่งชี้ไปทางเดียวกันว่า “ไวน์อเมริกันชนะ”
จอร์จ เทเบอร์ จดทุกอย่างไว้ในสมุดเล่มเล็กของเขา แล้วเขียนรายงานสั้น ๆ ลงใน Time Magazine ด้วยพาดหัวเรียบ ๆ แต่กระแทกแรง
“ไวน์แคลิฟอร์เนียชนะไวน์ฝรั่งเศสในการชิมแบบไม่เปิดเผยฉลาก” (California wines beat French in blind tasting.)
เพียงไม่กี่ประโยคนี้ก็จุดระเบิดวงการไวน์ทั้งโลก ฝรั่งเศสโกรธแค้น ขณะที่สหรัฐอเมริกาเฉลิมฉลอง การแข่งขันที่ตั้งใจจะเป็นเพียงกิจกรรมสนุก ๆ กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ที่ทำให้โลกไวน์ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ไวน์จากพื้นที่ที่เคยถูกมองว่า ‘ไร้รากทางวัฒนธรรม’ ถูกยกระดับขึ้นมาเทียบเท่าราชาแห่งบอร์กโดซ์และเบอร์กันดี สื่อมวลชนเรียกเหตุการณ์นี้ว่า ‘David beats Goliath of wine’ ดาวิดตัวเล็กจากแคลิฟอร์เนียที่เอาชนะยักษ์ใหญ่แห่งฝรั่งเศส ด้วยความจริงเพียงอย่างเดียว คือ ‘รสชาติ’
สเปอร์เรียร์ ถูกขับไล่ออกจากสมาคมไวน์ฝรั่งเศส แต่สำหรับประวัติศาสตร์ เขากลายเป็นชายผู้เปิดประตูให้โลกไวน์ทั้งใบเข้าสู่ยุคใหม่ ยุคที่ชื่อเสียงและชาติไม่อาจเหนือกว่าความซื่อสัตย์ของประสาทสัมผัส
ถอดรหัสตำนาน: เมื่อตัวเลขไม่โกหก
หลังจากเสียงสะเทือนของ Judgment of Paris สงบลง วงการไวน์เริ่มหันกลับมาพิจารณาอย่างจริงจังว่า “เกิดอะไรขึ้นกันแน่” เหตุใดไวน์จากโลกใหม่จึงสามารถล้มยักษ์ฝรั่งเศสได้ในเกมที่ทุกอย่างดูเหมือนจะไม่เป็นไปได้
คำตอบหนึ่งมาจากงานของนักเศรษฐศาสตร์ชื่อ ‘ออร์ลีย์ แอชเชนเฟลเตอร์’ (Orley Ashenfelter) และ ‘ริชาร์ด ควอนด์ท’ (Richard Quandt) แห่งมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน ทั้งคู่สนใจเหตุการณ์นี้ในฐานะ ‘ข้อมูลเชิงพฤติกรรม’ ไม่ใช่แค่เรื่องรสชาติ พวกเขานำผลการชิมวันนั้นมาวิเคราะห์ด้วยเครื่องมือทางสถิติ เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างคะแนนและปัจจัยต่าง ๆ ของไวน์ เช่น อายุของวินเทจ ปริมาณน้ำฝน และอุณหภูมิในฤดูเก็บเกี่ยว
ผลลัพธ์น่าทึ่ง โมเดลทางคณิตศาสตร์ของพวกเขาสามารถ “ทำนายคุณภาพของไวน์” ได้ใกล้เคียงกับการประเมินของนักชิมมืออาชีพอย่างไม่น่าเชื่อ ข้อสรุปของทั้งคู่คือ “ความยอดเยี่ยมของไวน์ไม่ได้อยู่ที่ชื่อเสียงของแหล่งผลิต แต่อยู่ที่ข้อมูลเชิงประจักษ์”
พวกเขายังยืนยันด้วยว่าการตัดสินในปี 1976 ไม่ได้เป็นเพียงอุบัติเหตุทางรสชาติ แต่เป็นผลจากคุณภาพจริงของไวน์แคลิฟอร์เนีย ที่ได้รับการดูแลอย่างพิถีพิถัน ทั้งในไร่องุ่นและห้องหมัก จนสามารถท้าทายมาตรฐานของฝรั่งเศสได้ในระดับเทียบเท่า
คำว่า ‘blind tasting’ คือการพิสูจน์ว่าความจริงยังคงอยู่ในรสสัมผัสของผู้ดื่ม มากกว่าในตราสัญลักษณ์บนฉลากขวด
คำพิพากษาที่เปลี่ยนโลกไวน์ตลอดกาล
หลังเหตุการณ์วันนั้น โลกไวน์ไม่เคยเหมือนเดิมอีกต่อไป Judgment of Paris กลายเป็นสัญลักษณ์ของการล่มสลายของอคติและกำเนิดเสรีภาพในโลกการชิมไวน์ ไม่มีอีกแล้วการผูกขาดด้วยชื่อประเทศหรือศักดิ์ศรีของตระกูล เพราะความจริงที่ปรากฏในแก้ววันนั้น สอนให้รู้ว่า “คุณภาพไม่มีพรมแดน”
ไวน์จากแคลิฟอร์เนียถูกยอมรับในระดับสากล โรงบ่มใหม่ ๆ ผุดขึ้นทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นออสเตรเลีย ชิลี อาร์เจนตินา แอฟริกาใต้ หรือแม้แต่ในเอเชีย เสียงสะท้อนของเหตุการณ์ในปารีสปี 1976 ทำให้ผู้ผลิตไวน์รุ่นใหม่เชื่อมั่นว่า ความยิ่งใหญ่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ที่มีความใส่ใจและความเข้าใจในดินฟ้าอากาศ
สตีเวน สเปอร์เรียร์ กลายเป็นบุคคลที่ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ แม้จะถูกสังคมฝรั่งเศสต่อต้านในช่วงแรก แต่เมื่อเวลาผ่านไป เขาได้รับการยกย่องว่า เป็น ‘ผู้ปลดปล่อยโลกไวน์จากการยึดติดกับอดีต’ ส่วน แพทริเซีย กัลลาเกอร์ ผู้ร่วมจัดงาน ได้รับการกล่าวถึงในฐานะผู้สร้างสมดุลแห่งความกล้าและความอ่อนโยน
ครึ่งศตวรรษผ่านไป เหตุการณ์ครั้งนั้นยังคงถูกพูดถึงไม่ต่างจากตำนาน ‘ดาวิดกับโกไลแอธ’ เพราะนี่คือการต่อสู้ระหว่าง ‘ความเชื่อเดิม’ กับ ‘ความจริงที่พิสูจน์ได้’
ในท้ายที่สุด ‘คำพิพากษาแห่งปารีส’ ไม่ได้เป็นเพียงการตัดสินผู้ชนะ แต่เป็นการตัดสินว่าความงดงามของไวน์ไม่ได้อยู่ที่ถิ่นกำเนิด หากอยู่ที่จิตวิญญาณของผู้ทำและผู้ดื่มที่ยังคงค้นหาความจริงในแก้วของตนเองเสมอ
อนันต์ ลือประดิษฐ์
#คำพิพากษาแห่งปารีส #ประวัติศาสตร์ไวน์

มาเรีย โครีนา มาชาโด : 'นารีขี่ม้าขาว' ผู้มอบความหวังให้ชาวเวเนซุเอลา คว้ารางวัลโนเบล สันติภาพ ประจำปี 2025รางวัลโนเบล ส...
10/10/2025

มาเรีย โครีนา มาชาโด : 'นารีขี่ม้าขาว' ผู้มอบความหวังให้ชาวเวเนซุเอลา คว้ารางวัลโนเบล สันติภาพ ประจำปี 2025
รางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ ประจำปี 2025 มอบให้แก่ ‘มาเรีย โครีนา มาชาโด’ (María Corina Machado) สตรีผู้กล้าหาญและมุ่งมั่นในการปกป้องสันติภาพของคนในประเทศ โดยไม่หวั่นเกรงต่ออำนาจ และสายตาที่ใครต่อใครต่างมองว่า ‘ผู้หญิง’ ไม่ควรมีสิทธิ์มีเสียง และยิ่งผิดแผกเข้าไปใหญ่หากมีผู้หญิงคนใด ลงสนามการเมืองของเวเนซุเอลา
แต่ไม่ใช่กับมาเรีย โครีนา มาชาโด เธอคนนี้แตกต่าง เพราะตั้งแต่เด็กก็เฝ้าถามผู้เป็นพ่อมาโดยตลอดว่าเพราะเหตุใด เสียงของผู้หญิงจึงมักถูกเพิกเฉยในสังคมแห่งนี้ และเพราะคำถามเช่นนี้ทำให้เธอเลือกเดินเส้นทางที่แตกต่างโดยไม่ย่อท้อ แม้ว่าเส้นทางการสร้างความเปลี่ยนแปลงในสังคมเช่นนี้จะยากเย็นเพียงใดก็ตาม
มาเรีย โครีนา มาชาโด คอยจุดไฟแห่งประชาธิปไตยให้ลุกโชนท่ามกลางความมืดที่กำลังปกคลุมบ้านเกิดของเธอและโลกใบนี้ เธอไม่ได้เป็นทายาทนักการเมือง ไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็น ‘ฮีโร่’ ของประเทศ แต่เธอตัดสินใจลุกขึ้นเพื่อต่อสู้กับสิ่งที่เชื่อว่า ‘ไม่ถูกต้อง’ และนั่นทำให้ชื่อของเธอกลายเป็นสัญลักษณ์ของความหวังของคนทั้งชาติ
เพราะเหตุนี้ คณะกรรมการ Norwegian Nobel Committee จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ให้มอบรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพประจำปี 2025 ให้กับเธอไปครอง โดยระบุข้อความดังต่อไปนี้
“เธอได้รับรางวัลนี้ เพื่อยกย่องการทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยในการส่งเสริมสิทธิประชาธิปไตยให้กับประชาชนชาวเวเนซุเอลา และเพื่อการต่อสู้ของเธอในการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนผ่านจากเผด็จการไปสู่ประชาธิปไตยอย่างยุติธรรมและสันติ
“ในฐานะผู้นำขบวนการประชาธิปไตยของเวเนซูเอลา ‘มาเรีย โครีนา มาชาโด’ ถือเป็นหนึ่งในแบบอย่างอันโดดเด่นที่สุดของความกล้าหาญ ที่หาได้ยากยิ่งในภูมิภาคลาตินอเมริกาในช่วงเวลานี้
“มาชาโดเป็นบุคคลสำคัญที่มีบทบาทสำคัญในการรวมฝ่ายค้านที่เคยแตกแยกให้มีจุดยืนร่วมกัน จุดยืนที่เรียกร้องให้มี ‘การเลือกตั้ง’ และ ‘รัฐบาล’ ที่เป็นตัวแทนของประชาชน ซึ่งนี่คือแก่นแท้ของประชาธิปไตย ซึ่งหมายรวมถึงการยืนหยัดบนหลักการร่วมกัน แม้จะมีความเห็นต่างกัน ในยุคที่ประชาธิปไตยกำลังถูกคุกคาม การปกป้องพื้นที่ร่วมนี้สำคัญยิ่งกว่าที่เคย
“เวเนซุเอลาเคยเป็นประเทศที่มีประชาธิปไตยและความรุ่งเรือง แต่กลับกลายเป็นรัฐเผด็จการที่โหดร้ายและกำลังเผชิญวิกฤตด้านมนุษยธรรมและเศรษฐกิจ ประชาชนส่วนใหญ่อดอยากและยากจน ขณะที่คนเพียงไม่กี่กลุ่มที่อยู่บนยอดอำนาจแห่งพีระมิดกลับร่ำรวยยิ่งขึ้น
“...ความพยายามร่วมกันของฝ่ายค้านทั้งก่อนและระหว่างการเลือกตั้งนั้น เปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญ ความคิดสร้างสรรค์ และความมุ่งมั่นในหนทางสันติ พวกเขาได้รับการสนับสนุนจากประชาคมนานาชาติเมื่อเปิดเผยผลคะแนนที่รวบรวมมาจากทั่วประเทศ ชี้ชัดว่าฝ่ายค้านชนะอย่างขาดลอย ทว่ารัฐบาลเผด็จการกลับปฏิเสธผลการเลือกตั้งและเกาะกุมอำนาจต่อไป
“ประชาธิปไตยคือเงื่อนไขพื้นฐานของสันติภาพอย่างยั่งยืน ทว่าโลกในปัจจุบันกลับกำลังเผชิญ การถอยร่นของประชาธิปไตย มีระบอบอำนาจนิยมเพิ่มขึ้นทั่วโลก พร้อมความรุนแรงและการละเมิดกฎหมาย รัฐบาลใช้อำนาจในทางมิชอบ ปิดปากสื่อ จับกุมนักวิจารณ์ และผลักดันสังคมเข้าสู่เผด็จการและการทหาร กล่าวได้ว่าปี 2024 เป็นปีที่มีการจัดการเลือกตั้งมากที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่กลับเป็นปีที่มีการเลือกตั้งที่เป็นธรรมลดลง
“...เมื่อระบอบเผด็จการยึดอำนาจ จำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องยกย่องผู้กล้าผู้ลุกขึ้นสู้เพื่อเสรีภาพ ประชาธิปไตยขึ้นอยู่กับผู้คนที่ไม่ยอมเงียบงัน ผู้ที่กล้าออกมายืนหยัดแม้จะเสี่ยงอันตราย และผู้ที่เตือนเราว่า เสรีภาพไม่ใช่สิ่งที่ถูกมอบให้ แต่เป็นสิ่งที่เราต้องปกป้องไว้ตราบชั่วชีวิต ด้วยคำพูด ด้วยความกล้า และด้วยความมุ่งมั่น
“มาชาโดเป็นผู้ที่ตอบโจทย์ทั้งสามข้อที่ ‘อัลเฟรด โนเบล’ (Alfred Nobel) กำหนดไว้สำหรับการมอบรางวัลสันติภาพ เธอสามารถรวมฝ่ายค้านของประเทศให้เป็นหนึ่งเดียว เธอไม่เคยสั่นคลอนในการต่อต้านการทำให้สังคมเวเนซุเอลากลายเป็นสังคมทหาร และเธอยังคงยืนหยัดสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยอย่างสันติ”
และนี่คือเรื่องราวส่วนหนึ่งในชีวิตที่ทำให้สตรีผู้นี้ กลายเป็น ‘นารีขี่ม้าขาว’ เข้ามาช่วยกอบกู้ความวุ่นวายภายในประเทศ
มาเรีย โครีนา มาชาโด เกิดเมื่อปี 1967 (ปัจจุบันอายุ 58 ปี) ณ กรุงการากัส ในครอบครัวชนชั้นกลางที่ให้ความสำคัญกับการศึกษามากกว่าสถานะทางสังคม พ่อของเธอเป็นวิศวกร ผู้เชื่อในพลังของความรู้และความซื่อสัตย์ ขณะที่แม่ของเธอปลูกฝังให้ลูก ๆ เชื่อมั่นในคุณค่าของความยุติธรรม
ตั้งแต่ยังเด็ก มาเรีย โครีนา มาชาโด เป็นคนช่างตั้งคำถาม เธอมักถามว่า “ทำไมประเทศเราถึงมีทั้งคนที่รวยมาก และคนที่จนมากขนาดนั้น” คำถามเหล่านี้ไม่ได้ถูกทิ้งไว้แค่ในวัยเยาว์ แต่กลายเป็นเชื้อเพลิงที่ผลักดันให้เธอลุกขึ้นสู้ในเวลาต่อมา
หลังเรียนจบด้านวิศวกรรมอุตสาหการจากมหาวิทยาลัยในการากัส ประเทศเวเนซุเอลา (Universidad Católica Andrés Bello) เธอเดินทางไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยเยล (Yale University) ในสหรัฐฯ ช่วงเวลานั้นเองที่เธอได้เห็นโลกอีกใบที่แตกต่าง และได้สัมผัสกับอิสรภาพอย่างแท้จริง
โลกใบนี้ทำให้ตัวตนของเธอไม่ถูกเพิกเฉย
และเป็นโลกใบเดียวกันที่ประชาชนสามารถมีเสียงและมีอำนาจในการเปลี่ยนแปลงประเทศ โดยไม่ต้องหวาดกลัวผู้มีอำนาจ
เมื่อกลับมาที่เวเนซุเอลา มาเรียไม่ได้เลือกเส้นทางนักธุรกิจหรือข้าราชการ แต่เลือกทำงานภาคประชาสังคม เธอก่อตั้งองค์กรชื่อ Súmate ในปี 2002 ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมประชาธิปไตยและความโปร่งใสของการเลือกตั้ง
ในขณะที่หลายคนกลัวรัฐบาลของ ‘ฮูโก้ ชาเบซ’ (Hugo Chávez) มาเรียกลับพูดในสิ่งที่หลายคนไม่กล้า เธอกล่าวหาตรง ๆ ว่าระบบการเลือกตั้งไม่โปร่งใส และยืนยันว่าประชาชนมีสิทธิ์ตรวจสอบอำนาจรัฐ
ปี 2004 เธอถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏ แต่นั่นไม่ทำให้เธอถอย เธอกลับยิ่งชัดเจนมากขึ้นว่า การนิ่งเฉยก็ไม่ต่างจากการยอมแพ้ให้กับความไม่เป็นธรรม
ในประเทศที่ผู้หญิงมักถูกกันออกจากวงการเมือง มาเรียตัดสินใจลงเล่นในสนามนี้เต็มตัว เธอลงสมัครเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2012 และกลายเป็นหนึ่งในนักการเมืองฝ่ายค้านที่ประชาชนเชื่อมั่นมากที่สุด
เมื่อฮูโก้ ชาเบซเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในปี 2013 ‘นิโคลัส มาดูโร’ (Nicolás Maduro) รองประธานาธิบดีในขณะนั้น ก็ประกาศว่าจะสานต่อเจตนารมณ์ของเขา
“เขาเป็นภัยคุกคามจริงและกำลังเติบโตต่อความมั่นคงของซีกโลกตะวันตก”
เธออธิบายถึงระบอบของเขาว่า เป็นระบอบที่ไม่สนใจความเป็นอยู่ของประชาชน และต้องการให้ประชาชนยากจน อ่อนแอ และขาดการศึกษา พร้อมทั้งบีบให้ผู้คนต้องอพยพออกไปเป็นล้าน ๆ คน
เธอยืนยันว่าไม่ได้ขอให้ต่างชาติยื่นมือเข้ามาแทรกแซง เพราะยังคงเชื่อมั่นและศรัทธาว่าการเปลี่ยนแปลงต้องมาจากข้างใน จากประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศขึ้นไปสู่ข้างบน แต่เธอเชื่อว่า การโค่นล้มมาดูโรจะเป็นทางออกที่ได้ประโยชน์ร่วมกันสำหรับทุกประเทศประชาธิปไตยในซีกโลกตะวันตก ไม่ว่าจะในมิติด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ การอพยพ หรือมนุษยธรรม
ต่อมาในปี 2015 เวเนซุเอลาเข้าสู่ห้วงรัฐประหารโดยประธานาธิบดีมาดูโร เธอจึงออกมาเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ และเป็นอีกครั้งที่ทำให้เห็นว่าเธอต่อสู้มากเพียงใดเพื่อไม่ให้บ้านเกิดถูกไฟแห่งการรัฐประหารแผดเผาจนไม่เหลือซาก โดยในแถลงการณ์เมื่อปี 2015 ระบุว่า
“ดิฉัน มาเรีย โครีนา มาชาโด แห่ง National Assembly (Venezuela) ประเทศของดิฉันกำลังเผชิญช่วงเวลาที่มืดมนและสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ ไม่เพียงแต่ของยุคนี้ แต่รวมถึงอนาคตของคนรุ่นถัดไปด้วย เราได้เผชิญรัฐประหารที่เกิดขึ้นโดยรัฐบาลของตัวเอง นายมาดูโรและระบอบของเขาได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เผด็จการทหาร นี้มีความเชื่อมโยงกับโลกอาชญากรรมใต้ดินและเครือข่ายค้ายาระหว่างประเทศ พวกเขาไม่มีความละอายหรือศีลธรรมในการปราบปรามและกดขี่ประชาชนของตนเอง
“ในช่วงไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา การปราบปรามได้ทวีความรุนแรงขึ้น ทั้งการตามล่า การเซ็นเซอร์ และการทรมาน นักศึกษา นักข่าว ผู้ใช้โซเชียลมีเดีย สมาชิกสหภาพแรงงาน และนักธุรกิจ ถูกจับกุมโดยไม่มีหมายจับและโดยไม่กระทำความผิดใด ๆ นายกเทศมนตรีเมืองการากัส ‘อันโตนิโอ เลเดสม่า’ (Antonio Ledezma) ถูกจับตัวจากสำนักงานของเขาโดยไม่มีหมายจับ และถูกส่งไปยังเรือนจำทหาร Ramo Verde ซึ่งเป็นสถานที่เดียวกับที่ผู้นำฝ่ายค้าน ‘เลโอโปลโด โลเปซ’ (Leopoldo López) ถูกคุมขังมากว่าหนึ่งปีแล้วลงนาม
“ดิฉันเคยถูกทำร้ายร่างกาย ดิฉันถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการร้าย เป็นคนทรยศต่อชาติ เพียงเพราะได้กล่าวประณามการละเมิดสิทธิมนุษยชนของเวเนซุเอลาต่อ Organization of American States ดิฉันถูกใส่ร้ายว่ามีส่วนพัวพันกับการลอบสังหารและสมคบคิด ครอบครัวของดิฉันถูกโจมตี และแม้แต่ชีวิตของลูก ๆ ก็ถูกข่มขู่เป็นอันตราย ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา ดิฉันถูกห้ามออกนอกประเทศ ไม่สามารถบอกเล่าให้โลกได้รับรู้ถึงการต่อสู้ของชาวเวเนซุเอลา ที่ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะยืนหยัดต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและเสรีภาพจนกว่าจะสำเร็จ
“ดังนั้น ดิฉันอยากจะพูดกับผู้ศรัทธาในประชาธิปไตยทั่วโลกว่า เราต้องการให้คุณเปล่งเสียง ออกมาพูด และยืนเคียงข้างประชาชนเวเนซุเอลา เราหวังว่าโลกจะลุกขึ้นยืนอย่างแข็งขัน เพื่อสนับสนุนการต่อสู้ของเราเพื่อประชาธิปไตย และปฏิเสธระบอบเผด็จการที่กำลังปกครองประเทศของเราอยู่ในขณะนี้ ชาวเวเนซุเอลาจะทำหน้าที่ของเรา และเราจะบรรลุการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยและเสรีภาพอย่างสันติในไม่ช้านี้
“จงเชื่อมั่นในเรา และเราก็เชื่อมั่นว่าโลกจะยืนหยัดเคียงข้างเราเช่นกัน”
เธอพูดตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อม ไม่กลัวถูกโจมตี เอ่ยอ้างถึงภาพฝันในการก่อร่างสร้างเวเนซุเอลาใหม่ ที่ไม่มีการกดขี่ ไม่มีความจนที่ถูกผลิตซ้ำ ไม่มีรัฐบาลที่ผูกขาดอำนาจ และปิดปากสื่อจนไม่กล้ารายงานความจริงของประเทศให้ประชาชนรับรู้
“นี่ไม่ใช่แค่การต่อสู้ทางการเมือง แต่มันคือการต่อสู้ระหว่างความดีและความชั่ว”
ในปี 2023 เธอกลายเป็นผู้นำฝ่ายค้านที่ได้รับการสนับสนุนสูงสุดจากประชาชนทั่วประเทศ เสียงตะโกน “¡Con María Corina sí se puede!” ดังก้องทั่วทุกมุมเมือง ไม่ว่าเธอจะเดินทางไปหาเสียงที่ไหน ประชาชนต่างออกมาร่วมขบวนอย่างหนาแน่น และต่างร้องตะโกนสนับสนุนเธอทุกฝีก้าว
แม้เธอจะถูกห้ามลงสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดี หลังจากชนะไพรมารีในปี 2023 ด้วยคะแนนกว่า 92% และต่อมาถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง ถูกจับตา ถูกคุกคาม และถูกบีบให้เงียบ แต่เธอก็ยังยืนอยู่ที่เดิม คอยอยู่เคียงข้างประชาชนไม่หนีหายไปไหน
“ฉันไม่ได้ต่อสู้เพื่อตัวฉันเอง แต่เพื่อลูกหลานของเรา ที่ควรจะได้เติบโตในประเทศเสรีและยุติธรรม”
เมื่อถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง มาเรียจึงผลักดันให้ ‘เอ็ดมุนโด กอนซาเลซ อูร์รูเตีย’ (Edmundo González) อดีตนักการทูตลงสมัครแทน หลังการเลือกตั้ง เขาได้รับการยอมรับจากสหรัฐฯ และรัฐสภายุโรป (European Parliament) ว่าเป็นผู้นำที่ชอบธรรมของเวเนซุเอลา
คืนสุดท้ายที่มาชาโดได้นอนที่บ้าน คือคืนก่อนวันเลือกตั้งประธานาธิบดี 27 กรกฎาคม 2024 เธอไม่ได้เก็บกระเป๋าเพราะตั้งใจว่าจะกลับบ้านในวันรุ่งขึ้น และเมื่อการนับคะแนนเริ่มต้นขึ้น ผลเบื้องต้นก็แสดงให้เห็นว่า เอ็ดมุนโด กอนซาเลซ อูร์รูเตีย พันธมิตรของเธอ มีคะแนนนำอย่างมาก
เช้าวันถัดมา รัฐบาลประกาศชัยชนะของมาดูโร ทว่าเมื่อมาดูโรประกาศชัยชนะและออกหมายจับ กอนซาเลซก็ลี้ภัยไปสเปน จากนั้นมาดูโรก็กล่าวหาว่า มาเรียหนีออกนอกประเทศเช่นกัน พร้อมเรียกทั้งคู่ว่า ‘พวกขี้ขลาด’ ในการแถลงข่าวทางโทรทัศน์
“ฉันอยู่ในเวเนซุเอลา และไม่เคยจากไปไหน” เธอให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Elle ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2025 ที่ผ่านมา
จากนั้น จึงเริ่มเรียกร้องให้มีหลักฐานยืนยันชัยชนะ ขณะที่ชาวเวเนซุเอลาจำนวนมากออกมาชุมนุมประท้วง มาชาโดปรากฏตัวโดยไม่บอกกล่าว เธอปีนขึ้นไปบนหลังคารถและกล่าวกับฝูงชนว่า
“เราจะไม่ออกจากท้องถนนนี้!”
รัฐบาลตอบโต้ด้วยการปราบปรามอย่างโหดร้าย ตามรายงานของ Human Rights Watch ความรุนแรงแพร่กระจายไปทั่ว ผู้คนถูกโจมตีไม่เว้นแม้แต่เยาวชน ผู้หญิง ผู้สูงอายุ และคนที่เพียงแค่เดินอยู่ริมถนน
“ตอนนั้น ฉันต้องตัดสินใจปกป้องตัวเอง” มาชาโดเล่า
นั่นคือตอนที่เธอตัดสินใจ “หายตัวไปจากหน้าสื่อ”
น่าเศร้าที่การต่อสู้ของมาเรีย ทำให้สามีของเธอลี้ภัยออกนอกประเทศ เช่นเดียวกับพี่น้องและแม่วัยกว่า 80 ปี ส่วนลูก ๆ ของเธอทั้ง 3 คน คือ เฮนริเกและริคาร์โดก็ได้ลี้ภัยออกไปพร้อมกัน เหลือเพียง อนา โครีนา ลูกสาวคนโต ที่ยืนยันจะอยู่เคียงข้างแม่ แต่สุดื้ายแล้ว มาเรียก็ได้รู้ว่า เธอไม่สามารถเป็นแม่ที่ดี และนักสู้เพื่อประชาธิปไตยได้พร้อมกัน
สำหรับใครหลายคน เธอคือนักการเมืองหญิงแกร่ง แต่สำหรับคนเวเนซุเอลาจำนวนมาก เธอคือความหวัง คนที่กล้าพูดในสิ่งที่คนทั้งประเทศอยากพูด คนที่ไม่ยอมแพ้แม้ต้องเผชิญอำนาจที่น่าหวาดเกรง อำนาจที่หมายรวมถึงการปลิดชีวิตของเธอได้ โดยที่อาจไม่มีใคร ‘กล้า’ ตามหาความจริง
แต่ในอีกมุมหนึ่งเธอก็เป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ต้องรับความคาดหวังของคนทั้งประเทศไว้บนบ่าพร้อมกับคำว่า ‘แม่’ และเธอรู้ดีว่า การลุกขึ้นสู้อาจพรากช่วงเวลาสำคัญกับลูก ๆ ไป และรู้ดีว่า ความกล้าในวันวาน อาจแลกมาด้วยความสูญเสียที่ไม่มีแม่คนไหนอยากเผชิญ
แต่สุดท้ายแล้ว แม่คนนี้ก็ยังคงต่อสู้เพื่อคนทั้งชาติ และทำให้โลกเห็นแล้วว่าการต่อสู้ที่ไม่ลดละ แม้จะถูกคุกคาม ต้องอยู่ห่างจากครอบครัว ไปจนถึงการไม่สามารถใช้ชีวิตกลางที่สาธารณะได้ เพราะอาจถูกอุ้มหายในสักวันหนึ่ง ผู้หญิงคนนี้ก็ยังยืนหยัดเคียงข้างชาวเวเนซุเอลาอยู่เรื่อยมา
The People ขอแสดงความยินดีกับสตรีผู้แข็งแกร่งแห่งเวเนซุเอลา เจ้าของรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ ประจำปี 2025
เรื่อง : วันวิสาข์ โปทอง
ภาพ : Getty Imges
#โนเบลสันติภาพ #รางวัลโนเบล #มาริอาโครีนามาชาโด #หญิงแกร่งเวเนซุเอลา #ประชาธิปไตย #สิทธิมนุษยชน #ผู้นำหญิง #แรงบันดาลใจ

แจ็คสัน หวัง เหมาสุภาพโอสถ อาหารเสริมสุขภาพที่อยู่เคียงข้างคนไทยมา 70 ปี หลังร่วมงาน Under The Castleหลังจากที่ แจ็คสัน ...
10/10/2025

แจ็คสัน หวัง เหมาสุภาพโอสถ อาหารเสริมสุขภาพที่อยู่เคียงข้างคนไทยมา 70 ปี หลังร่วมงาน Under The Castle
หลังจากที่ แจ็คสัน หวัง (Jackson Wang) ศิลปินระดับโลกเดินทางเข้าร่วมการเปิด บ้านผีสิงแฟนตาซีเสมือนจริง ‘Under the Castle” ด้วยฝีมือและการออกแบบของ แจ็คสัน หวัง และทีม TEAM WANG design ซึ่งจัดแสดงระหว่างวันที่ 7 ตุลาคม - 2 พฤศจิกายน 2568 ที่ EMSPHERE
ซึ่งงานครั้งนี้ ‘สุภาพโอสถ’ ร่วมเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนหลักด้วยการเป็นแบรนด์ที่มีผลิตภัณฑ์อยู่ในถึงของที่ระลึกสำหรับแขกและผู้ร่วมงาน ซึ่งสำหรับแจ็คสัน เขาเลือก ‘น้ำมันงาดำรำข้าวสกัดเย็น’ กลับไปฝากคุณแม่และทำให้ ‘สุภาพโอสถ’ กลายเป็นที่พูดถึงในโลกออนไลน์
โดย ‘น้ำมันงาดำรำข้าวสกัดเย็น’ มีคุณสมบัติในการคืนมวลกระดูก ป้องกันอาการข้อเข่าเสื่อม และโรคนอนไม่หลับ เหมาะกับทุกเพศทุกวัย
อีกทั้ง ‘สุภาพโอสถ’ ยังเป็นแบรนด์อาหารเสริมที่อยู่เคียงข้างสุขภาพคนไทยมานานกว่า 70 ปี ที่เริ่มต้นจากร้านขายยาแผนโบราณในช่วงหลังยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 สู่การเป็นผู้นำในวงการสุขภาพ
#แจ็คสันหวัง #สุภาพโอสถ

‘Eldest Daughter’ โลกของลูกสาวคนโต และคำปลอบจาก Taylor Swiftในหลายครอบครัว ‘ลูกสาวคนโต’ แม้จะยังอายุน้อย แต่พวกเธอกลับต้...
10/10/2025

‘Eldest Daughter’ โลกของลูกสาวคนโต และคำปลอบจาก Taylor Swift
ในหลายครอบครัว ‘ลูกสาวคนโต’ แม้จะยังอายุน้อย แต่พวกเธอกลับต้องกลายเป็นผู้ใหญ่โดยอัตโนมัติ
เธออาจเริ่มต้นจากการช่วยเลี้ยงน้อง ดูแลบ้าน หรือหาเงินใช้หนี้แทนพ่อแม่ โดยไม่เคยได้ออกไปเที่ยวเล่น หรือสัมผัสชีวิตเช่นเดียวกับคนวัยเดียวกัน
สิ่งที่พวกเธอทำอยู่นั้น มีชื่อเรียกในทางจิตวิทยาว่า ‘Parentification’ คือภาวะที่เด็กต้องสวมบทบาทเป็นพ่อแม่ ทั้งในทางอารมณ์และภาระชีวิต
นี่คือหัวใจของเพลง ‘Eldest Daughter’ ที่ถูกบรรจุอยู่ในอัลบั้มชุดที่ 12 ‘The Life of a Showgirl’ ของ ‘เทย์เลอร์ สวิฟต์’ (Taylor Swift)
แม้จะอยู่ในอัลบั้มสไตล์ป๊อบสดใส แต่ Eldest Daughter กลับเลือกสะท้อนถึงความเหนื่อยล้าของผู้หญิงที่เติบโตเร็วเกินวัย
💃‘Parentification’ เมื่อเด็กกลายเป็นผู้ใหญ่แทน
คำว่า Parentification คือภาวะในครอบครัวที่บทบาท ‘ผู้ดูแล’ ถูกโยนให้แก่เด็ก โดยเฉพาะลูกคนโต ไม่ว่าจะทางอารมณ์ (ต้องปลอบใจพ่อแม่) หรือทางปฏิบัติ (ช่วยจ่ายหนี้ ดูแลบ้าน) เด็กที่โดน Parentification มักเรียนรู้เร็ว กลายเป็นผู้รับผิดชอบก่อนกาลเวลา และเมื่อได้หันกลับมามองตัวเอง พวกเขาก็พบว่าตัวเองไม่เคยมีโอกาส ‘เป็นเด็ก’ อย่างเต็มที่
ผลกระทบในระยะยาวอาจเป็นความรู้สึกผิดถ้าไม่ได้ช่วยเหลือที่บ้าน สุขภาพจิตที่ถูกกดเก็บอารมณ์ ความสัมพันธ์ที่เสียสมดุล และความยากในการ ‘แยกตัวตน’ ออกจากบทบาทที่ถูกมอบให้
อันที่จริงแล้ว Parentification ไม่ได้เกิดจากพ่อแม่เป็นคนเลว แต่มักเกิดจากสถานการณ์ที่ครอบครัวขาดแคลนทรัพยากร มีปัญหา หรือมีความคาดหวังสูง เมื่อเด็กโตขึ้น พวกเขาจะรับภาระที่ควรเป็นของผู้ใหญ่โดยอัตโนมัติ
ศิลปินหลายคนที่เคยผ่านประสบการณ์นี้มักเขียนเพลงเพื่อระบาย และ Eldest Daughter คือหนึ่งในนั้น
เทย์เลอร์ สวิฟต์ เคยให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเพลงนี้ว่า “ฉันเป็นลูกสาวคนโตของครอบครัว เมื่อคุณได้คุยกับลูกสาวคนโตคนอื่น ๆ คุณมักจะพบว่าประสบการณ์ของพวกเราคล้ายกันอย่างน่าประหลาด
💃 ตีความ Eldest Daughter
Everybody's so punk on the internet
Everyone's unbothered till they're not
Every joke's just trolling and memes
Sad as it seems, apathy is hot
Everybody's cutthroat in the comments
Every single hot take is cold as ice
When you found me, I said I was busy, that was a lie
เพลงเริ่มต้นด้วยการวิพากษ์วัฒนธรรมออนไลน์ที่ทุกคนพยายามดูเท่ ดูไม่สนใจ ในโลกที่ทุกอย่างเป็นเพียงมุกตลกและมีม ความเฉยชากลายเป็นสิ่งที่ ‘ดูดี’ และเธอยังบอกด้วยว่า เมื่อมีใครเข้ามาพบเธอ เธอบอกว่าตัวเองยุ่ง แต่นั่นเป็นเพียงคำโกหก
I have been afflicted by a terminal uniqueness
I’ve been dying just from trying to seem cool
But I'm not a bad bitch, and this isn't savage
But I'm never gonna let you down
I'm never gonna leave you out
ในช่วงถัดมา เทย์เลอร์สารภาพว่าเธอรู้สึกเหมือนถูกสาปด้วยความโดดเด่น เธอพยายามดูเท่จนเกือบตาย ทั้งที่ความจริงคือ เธอไม่ได้เป็น ‘bad bitch’ หรือคนที่ดุดัน เธอเป็นเพียงคนที่ต้องการความมั่นคง คนที่สัญญาว่าจะไม่ทิ้ง ไม่ทำให้ผิดหวัง ไม่เหมือนคนอื่น ๆ ที่ทรยศ
Every eldest daughter was the first lamb to the slaughter. So we all dressed up as wolves and we looked fire
นี่คือจุดสำคัญของเพลง เธอพูดถึงลูกสาวคนโตทุกคนว่าเป็นลูกแกะตัวแรกที่ถูกส่งไปเชือด และด้วยเหตุนี้ พวกเธอทุกคนจึงต้องแปลงโฉมเป็นหมาป่า เพื่อให้ดูแข็งแกร่งและเกรี้ยวกราด
เมื่อเรานำเพลงมาเชื่อมโยงกับแนวคิด Parentification เส้นเรื่องราวจะชัดเจนมาก เริ่มต้นจากผู้หญิงคนหนึ่งเติบโตมาในบ้านที่เต็มไปด้วยปัญหา ไม่เคยมีใครสอนให้เธอได้เป็น ‘ลูก’ อย่างที่ควรจะเป็น แถมเธอยังเรียนรู้ว่าความอ่อนแอคือ ‘จุดอ่อน’ จึงแสร้งทำตัวเข้มแข็งเพื่อเป็นเกราะป้องกัน เหมือนลูกแกะที่ต้องแต่งตัวเป็นหมาป่า
เนื้อหาในเพลงนี้พยายามบอกว่า “ใช่ ฉันก็เคยพยายามแสร้งให้ดูไม่รู้สึกอะไร แต่สุดท้าย ฉันก็เหนื่อย” และในที่สุด เพลงก็เปิดทางให้เธอยอมรับว่า “ฉันมีสิทธิ์ที่จะอ่อนโยน ฉันมีสิทธิ์ที่จะกลับไปหาความไร้เดียงสาในตัวเอง” โดยเฉพาะในท่อนนี้
We lie back
A beautiful, beautiful time lapse
Ferris wheels, kisses, and lilacs
And things I said were dumb
'Cause I thought that I'd never find that beautiful, beautiful life that Shimmers that innocent light back
Like when we were young
Every youngest child felt
They were raised up in the wild
But now you're home
ในโลกความจริง ลูกสาวคนโตผู้เป็น ‘เดอะแบก’ ของครอบครัว หลายคนไม่กล้าแม้กระทั่งยอมรับว่าตัวเองเหนื่อยแทบขาดใจ เพราะกลัวจะถูกมองว่า “ไม่กตัญญู”
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่อ่านบทความนี้แล้วรู้สึกว่า “ใครเอาเรื่องของฉันมาเขียนเนี่ย” หรือถ้าคุณเคยเป็น ‘เสาหลัก’ ของครอบครัวตั้งแต่อายุยังน้อย ถ้าคุณเคยรู้สึกว่าต้องเข้มแข็งเสมอ เพราะกลัวว่าทุกอย่างจะพังทลายถ้าคุณล้ม ถ้าคุณเคยต้อง “แต่งตัวเป็นหมาป่า” เพื่อปกป้องตัวเองและครอบครัว แม้ลึก ๆ แล้วคุณก็แค่อยากได้ความอบอุ่น
Eldest Daughter คือคำปลอบโยนจากเทย์เลอร์ สวิฟต์ ที่บอกว่าคุณว่า
“ถ้าคุณเหนื่อย คุณสมควรได้พัก และความอ่อนโยนไม่ใช่ความอ่อนแอ การปกป้องตัวเองคือสิทธิ์ที่ทุกคนพึงมี”
เรื่อง: พาฝัน ศรีเริงหล้า
ภาพ: Getty Images
#เทย์เลอร์สวิฟต์ #เพลง

คุณยายลิเก: สายใยรักของลูกชาย กับรอยยิ้มที่ไม่อาจต้านคลื่นความทุกข์ จากวิกฤตน้ำท่วมปทุมธานีแม้สถานการณ์น้ำท่วมในจังหวัดป...
10/10/2025

คุณยายลิเก: สายใยรักของลูกชาย กับรอยยิ้มที่ไม่อาจต้านคลื่นความทุกข์ จากวิกฤตน้ำท่วมปทุมธานี
แม้สถานการณ์น้ำท่วมในจังหวัดปทุมธานีจะยืดเยื้อและสร้างความยากลำบากแก่ชุมชนหลายแห่ง โดยเฉพาะชุมชนโดยรอบ วัดไก่เตี้ย ตำบลกระแชง อำเภอสามโคก ที่น้ำท่วมนานกว่าหนึ่งเดือน แต่ท่ามกลางวิกฤตที่ท้าทายนี้ ยังมีบ้านหลังเล็ก ๆ หลังหนึ่งในพื้นที่วัดที่กลายเป็นศูนย์กลางของความรักและความเข้มแข็ง นั่นคือบ้านของ คุณยายทิพวรรณ หรือที่รู้จักกันในชื่อ "ยายลิเก" อดีตนักแสดงลิเกผู้เปี่ยมล้นไปด้วยรอยยิ้ม และลูกชายของเธอ นายนเรศ
นเรศและแม่เลือกที่จะปักหลักอยู่ในพื้นที่วัดไก่เตี้ยเนื่องจากไม่มีทางเลือกและที่ไป แม้ว่าระดับน้ำจะยังคงสูงและล้อมรอบบ้านไว้ทั้งหมด "ผมต้องอยู่ดูแม่ครับ พ่อเสียไปแล้ว เหลือกันแค่สองคน แม่ล้มบ่อย ต้องคอยพยุงขึ้นลงบ้านเอง" นเรศเล่าด้วยน้ำเสียงที่แสดงความห่วงใยอย่างชัดเจน
เดิมทีนเรศทำงานรับจ้างทั่วไป แต่ในช่วงน้ำท่วมนี้เขาต้องหยุดงานทุกอย่างเพื่อทำหน้าที่ดูแลแม่แบบเต็มเวลา ทุกการตัดสินใจในชีวิตประจำวันของเขาผูกพันอยู่กับความปลอดภัยและการดูแลคุณยายทิพวรรณอย่างใกล้ชิด เขาไม่สามารถออกไปไหนไกลได้ และต้องคอยจัดการทุกความจำเป็นพื้นฐานในบ้านที่รายล้อมไปด้วยน้ำ
แม้จะต้องเผชิญกับสถานการณ์น้ำท่วม แต่คุณยายทิพวรรณกลับมีท่าทีที่ใจเย็นและเข้มแข็ง "ปีนี้ยังไม่หนักเท่าปี 2554 ตอนนั้นน้ำขึ้นสูงมาก ท่วมถึงชั้นสองของบ้าน ปีนี้ยังดีหน่อย แค่พื้นบ้านกับลานข้างนอก" คุณยายกล่าวอย่างเป็นกันเอง
สิ่งที่ช่วยยึดเหนี่ยวใจของแม่ลูกคู่นี้ในช่วงเวลาที่ทุกอย่างดูขาดความมั่นคงคือ ความผูกพันที่แน่นแฟ้น นเรศทำหน้าที่คอยพยุงแม่ดูแลทุกอย่างอย่างไม่ย่อท้อ ส่วนคุณยายแม้จะเดินไม่สะดวก แต่ก็ยังคงมอบรอยยิ้มและกำลังใจให้ลูกชายอยู่เสมอ
ในช่วงที่ระดับน้ำยังไม่ลดลง เสียงหัวเราะและเรื่องราวในอดีตกลายเป็นยาใจชั้นดี นเรศเล่าด้วยความภูมิใจว่าแม่ของเขาเคยเป็นนักแสดงลิเกที่สร้างรอยยิ้มให้กับคนทั้งซอย และแม้แต่วันนี้ที่น้ำท่วมสูงเพียงใด “แม่ร้องลิเกเพราะมากเลยครับ เสียงหวานติดหู” คำชมที่มาจากใจของลูกชายก็ยังทำให้ "ยายลิเก" ยิ้มอาย ๆ และหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข (เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2568)
เรื่องและภาพ : อานันท์ ชนมหาตระกูล / Thai News Pix
#น้ำท่วมปทุมธานี #น้ำท่วมไทย #ภัยพิบัติ #ชีวิตแม่ลูก #ยายลิเก #วัดไก่เตี้ย #น้ำท่วม2568

“ทุกครั้งที่ผมสร้างโรงเรียน เราจะมีนักโทษลดน้อยลง การบริจาคเงินให้กับโรงเรียน ทำให้เด็กนักเรียนที่ยากจนจำนวนมากได้รับโอก...
10/10/2025

“ทุกครั้งที่ผมสร้างโรงเรียน เราจะมีนักโทษลดน้อยลง การบริจาคเงินให้กับโรงเรียน ทำให้เด็กนักเรียนที่ยากจนจำนวนมากได้รับโอกาสทางการศึกษาที่มากขึ้นซึ่งมันเปลี่ยนชีวิตพวกเขาได้”
แม้ว่าเราจะรู้จักกับ กู่ เทียนเล่อ ในฐานะนักแสดงดังจากฝั่งฮ่องกง แต่ช่วงหลายปีมานี้เขามีชื่อเสียงที่จีนและเกาะฮ่องกงในฐานะนักสังคมสงเคราะห์ ซึ่งตลอดระยะเวลาเกือบ 10 ปีที่ผ่านมาเขาบริจาคเงินมากกว่า 30 ล้านเหรียญฮ่องกง (125 ล้านบาท) มาใช้ในการสร้างโรงเรียน
จากปี 2009 ถึง 2018 กู่ เทียนเล่อ สร้างโรงเรียนบนพื้นที่ขาดแคลนที่จีนร่วม 100 โรงเรียน! จนกลายเป็นข่าวใหญ่เมื่อ 2 ปีที่แล้ว
ที่น่าสนใจคือ ในหลายปีที่ผ่านมา การทำงานการกุศลของเขา ทำอย่างเรียบง่าย และไม่ป่าวร้องในสังคม แม้สื่อมาถามเขาก็ตอบเพียงว่า “ผมไม่อยากพูดอะไรมากกว่านี้เกี่ยวกับเรื่องการกุศล”
อะไรคือสาเหตุที่ทำให้เขามาทำงานการกุศลที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้?
คำตอบก็คือ เหตุการณ์มันเริ่มต้นที่ ในสมัยวัยรุ่น...เขาเคยติดคุกมาก่อน
แล้วอะไรคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้วัยรุ่นคะนองในอดีตพบกับจุดกลับใจทำให้เขากลายเป็นซูเปอร์สตาร์ใจบุญเช่นทุกวันนี้..
สื่อพยายามติดตามว่า เพราะเหตุใด กู่ เทียนเล่อ ถึงทำงานเพื่อสังคมอย่างหนัก เลยย้อนกลับไปดูว่า เขามีชีวิตในช่วงก่อนเข้าวงการในแบบไหน?
ในเว็บไซต์ baijiahao.baidu.com ได้พูดถึงจุดเปลี่ยนชีวิตของกู่ เทียนเล่อว่า น่าจะเป็นช่วงวัยรุ่น ตอนเขาเรียนจบระดับมัธยมศึกษาออกมาทำงานเอง
ตอนที่กู่ เทียนเล่อ อายุ 18 ปี เขาเคยถูกตัดสินให้จำคุก 22 เดือนข้อหาลักขโมย ก่อนที่จะเข้าคุก เลยฝากให้น้องชายดูแลแฟน
สิ่งที่เขาไม่คาดคิดคือ น้องรักหักเหลี่ยมโหด น้องชายและแฟนสาวของเขานอกใจมาคบกัน มันทำให้กู่ เทียนเล่อคุมตัวเองไม่ได้ เขาระเบิดอารมณ์จนมีเหตุทะเลาะเบาะแว้งชกต่อยกับคนอื่นในคุก จนถูกเพิ่มโทษจากหนึ่งปีเป็นสองปี
เมื่อเขาออกจากคุก จุดเปลี่ยนชีวิตมาจากคนที่สอนเขาเรื่องการใช้ชีวิต คือแม่ชีวัย 70 ปี ทำให้ชีวิตของกู่ เทียนเล่อเปลี่ยนไป ไม่หวนกลับมาทางเดิมอีก ชีวิตเขาเลยเปลี่ยนไปตั้งแต่นั้นมา
ครั้งหนึ่ง มีสื่อไปถามกู่ เทียนเล่อว่า ทำไมคุณรับงานแสดงละครเยอะมากในทุกปี แต่เอารายได้ที่ได้รับไปบริจาค?
เขาตอบไปว่า “ทุกครั้งที่ผมสร้างโรงเรียน เราจะมีนักโทษลดน้อยลง การบริจาคเงินให้กับโรงเรียน ทำให้เด็กนักเรียนที่ยากจนจำนวนมากได้รับโอกาสทางการการศึกษาที่มากขึ้นซึ่งมันเปลี่ยนชีวิตพวกเขาได้”
เมื่อเขาเริ่มมีชื่อเสียง มีเงินทอง กู่ เทียนเล่อค่อย ๆ บริจาคสร้างและซ่อมแซมโรงเรียน ซึ่งด้วยความที่เขาบริจาคแบบเงียบเชียบ แม้ว่าจะมีสื่อจำนวนมากอยากสัมภาษณ์ว่าเขาบริจาคไปเท่าไหร่ แต่เขาก็ไม่เคยเปิดเผย เขาแค่อยากทำความดีโดยที่ไม่พูดถึงเรื่องเงิน และการบริจาคเงินให้โรงเรียน และเขาไม่เคยตั้งเป้าว่าจะบริจาคเท่าไหร่ เขาบอกเพียงว่าจะทำตราบเท่าที่มีความสามารถ
เขาตอบสั้นๆ เพียงว่า “ผมไม่อยากพูดอะไรมากกว่านี้เกี่ยวกับเรื่องการกุศล”
กู่ เทียนเล่อ บอกว่า “การช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ แม้จะเพียงน้อยนิด แต่เปลี่ยนชีวิตคนได้มากมาย”
และเขาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เขาได้ทำตามสิ่งที่เขาพูดแล้ว..
#กู่เทียนเล่อ #นักแสดง #การศึกษา

10/10/2025

หญิงสาวที่มีรอยยิ้มแสนหวานและมอบความสดใสให้กับผู้คน แต่ชีวิตหลังสปอตไลท์คือชีวิตที่เต็มไปด้วยน้ำตาและการต่อสู้กับโรคซึมเศร้า
เธอคือ ‘จ้าวลู่ซือ’ นางเอกแถวหน้าแดนมังกรที่เคยละเลยใจตัวเอง แต่ต่อสู้จนสามารถกลับมามีรอยยิ้มได้อีกครั้ง
เพราะบางครั้งคนที่ยิ้มจนใจละลาย อาจซ่อนน้ำตาเอาไว้ เรื่องราวของจ้าวลู่ซือในวันที่ต้องกลับมารักษาใจตัวเองเป็นอย่างไร ฟัง Vibe จะเล่าให้ฟัง
เรื่อง : ณัฐธนีย์ ลิ้มวัฒนาพันธ์
ลำดับภาพ : สิมิลัน จำนงค์ทอง
#ฟังVibe #จ้าวลู่ซือ #นักแสดงจีน #จีน #เกมรักในเงาลวง

ลาสโล คราซนาโฮร์ไก : เจ้าแห่งหายนะร่วมสมัย นักเขียนผู้คว้ารางวัลโนเบล สาขา วรรณกรรม ประจำปี 2025รางวัลโนเบล สาขาวรรณกรรม...
09/10/2025

ลาสโล คราซนาโฮร์ไก : เจ้าแห่งหายนะร่วมสมัย นักเขียนผู้คว้ารางวัลโนเบล สาขา วรรณกรรม ประจำปี 2025
รางวัลโนเบล สาขาวรรณกรรม ประจำปี 2025 มอบให้กับ ‘ลาสโล คราซนาโฮร์ไก’ (László Krasznahorkai) นักเขียนชาวฮังการี ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็น ‘เจ้าแห่งหายนะร่วมสมัย’ (The Contemporary Master of Apocalypse) ด้วยผลงานวรรณกรรมที่ทั้งมืดมน ลึกล้ำ และสะท้อนให้เห็นพลังของศิลปะท่ามกลางความสิ้นหวังของมนุษยชาติ
คณะกรรมการรางวัลโนเบลให้เหตุผลในการมอบรางวัลว่า เป็นเพราะ “ผลงานอันทรงพลังและเปี่ยมวิสัยทัศน์ของเขา ที่ในท่ามกลางความหวาดกลัวแห่งวันสิ้นโลก ยังยืนยันถึงพลังของศิลปะได้อย่างน่าทึ่ง” (“for his compelling and visionary oeuvre that, in the midst of apocalyptic terror, reaffirms the power of art.”)
คราซนาโฮร์ไก เกิดที่เมือง Gyula ประเทศฮังการี เมื่อปี 1954 เขาเริ่มสร้างชื่อจากนิยายเรื่องแรก Sátántangó (1985) ผลงานที่ถูกยกย่องว่าเป็นภาพสะท้อนอันเยือกเย็นของชุมชนชนบทที่กำลังล่มสลาย ด้วยสำนวนยาวและหม่นเศร้าแบบที่นักวิจารณ์เปรียบกับ ‘คาฟคา’ (Kafka) และ ‘เบ็คเก็ตต์’ (Beckett) ต่อมา Sátántangó ถูกผู้กำกับ ‘เบลา ทาร์’ (Béla Tarr) นำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ความยาวกว่า 7 ชั่วโมง จนกลายเป็นตำนานของโลกภาพยนตร์อาร์ตเฮาส์
ตลอดสี่ทศวรรษของการเขียน คราซนาโฮร์ไก ได้สำรวจด้านมืดของความเป็นมนุษย์ ผ่านประโยคยาวราวสายน้ำและโครงสร้างที่ท้าทายการอ่าน เขามักพาผู้อ่านเข้าสู่โลกที่ความจริงและความบ้าคลั่งแทบจะแยกไม่ออก ผลงานเด่นอื่นของเขา เช่น The Melancholy of Resistance และ War and War ซึ่งเขาเคยเขียนในระหว่างใช้ชีวิตอยู่ที่นิวยอร์ก ได้รับแรงสนับสนุนจากกวีบีตชื่อดัง ‘อัลเลน กินส์เบิร์ก’ (Allen Ginsberg) ในการผลักดันให้หนังสือสำเร็จออกมา
นักวิจารณ์วรรณกรรมชื่อดัง ‘ซูซาน ซอนแท็ก’ (Susan Sontag) เคยเรียกเขาว่า “the contemporary Hungarian master of apocalypse” หรือ “เจ้าแห่งหายนะร่วมสมัยแห่งฮังการี” ในขณะที่ ‘ดับเบิลยู.จี. เซบัลด์’ (W.G. Sebald) ยกย่องความเป็นสากลของสายตาและภาษาที่เขาใช้สร้างโลกอันวิปลาสแต่เปี่ยมมนุษยธรรม
การคว้ารางวัลโนเบลในปีนี้นับเป็นการยืนยันว่า ‘ลาสโล คราซนาโฮร์ไก’ (László Krasznahorkai) คือหนึ่งในนักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของยุคสมัย ผู้กล้าเผชิญหน้ากับ ‘หายนะ’ ไม่ใช่เพื่อมองดูมันพังทลาย แต่เพื่อค้นหาว่าภายใต้ซากปรักหักพังนั้น ศิลปะยังคงมีพลังเยียวยาโลกอยู่เพียงใด
#วรรณกรรม #หนังสือ #นวนิยาย #โนเบล #รางวัลโนเบล

ที่อยู่

1854 ชั้น 6 Debaratna Road, Bang Na Tai, Bang Na
Bangkok
10260

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ The Peopleผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง The People:

แชร์

Everyone Has Their Own Story

“คน” คือผู้เปลี่ยนแปลงโลก เราจึงเชื่อมั่นว่าเรื่องราวของผู้คนย่อมนำไปสู่การเรียนรู้ การสร้างพลัง และแรงบันดาลใจ เพื่อก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ในอนาคต

The PEOPLE คืออะไร

The PEOPLE คือ สื่อ ที่นำเสนอเนื้อหาสร้างสรรค์ ตามหลักการพื้นฐานของ journalism ผ่านช่องทางดิจิทัลแฟลตฟอร์ม เช่น เว็บไซต์ www.thepeople.co , เพจ และโซเชียลมีเดียอื่นๆ เรารวบรวมข้อมูลเรื่อง “คน” ที่เจาะลึกในทุกแง่มุม นำเสนอในหลากหลายรูปแบบ และวิธีการ ตั้งแต่เรียบเรียงเป็นเรื่องราว ชีวประวัติ บทสัมภาษณ์ จนถึงบทวิเคราะห์ วิธีคิดของบุคคลที่มีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงสังคม ธุรกิจ การเมือง ฯลฯ ซึ่งเป็นภาพสะท้อนของความเคลื่อนไหวต่างๆ ที่เกิดขึ้น จากอดีต ปัจจุบัน จนถึงอนาคต The PEOPLE ยังเป็นฐานข้อมูลที่มีความสำคัญสำหรับการค้นหา ค้นคว้า มีคุณภาพ มีความน่าเชื่อถือ และสามารถอ้างอิงได้ เหนืออื่นใด เราฝันจะเป็นคลังข้อมูลเรื่องคนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

THE PEOPLE Co Official