Fleek Fleek is a modern lifestyle for well being publication in thailand :)

"อายุ 40 แล้วไง? ขอหน้าเด็กหน่อย" เมื่อความปรารถนาดีกลายเป็นผลร้ายที่เกินคาดเคยไหม? ที่มองกระจกแล้วเริ่มเห็นริ้วรอยที่ไม...
27/08/2025

"อายุ 40 แล้วไง? ขอหน้าเด็กหน่อย" เมื่อความปรารถนาดีกลายเป็นผลร้ายที่เกินคาด
เคยไหม? ที่มองกระจกแล้วเริ่มเห็นริ้วรอยที่ไม่คุ้นเคย ใบหน้าที่เคยอิ่มเอิบกลับดูโรยราลงไปบ้าง

นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับคนวัย 30-50 อย่างเรา ๆ ยุคนี้การดูแลตัวเองไม่ใช่เรื่องน่าอาย และเทคโนโลยีความงามก็ก้าวหน้าไปไกลจนน่าทึ่ง มีสารพัดวิธีให้เลือกสรร ทั้งโบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ หรือแม้แต่เครื่องยกกระชับที่โฆษณาว่า "เห็นผลเหมือนผ่าตัด แต่ไม่ต้องเจ็บตัว"

แต่เรื่องราวของ 'เคท' (นามสมมติ) ผู้บริหารสาววัย 30 ปลาย ๆ อาจทำให้เราต้องกลับมาคิดใหม่

เคทเล่าว่า เธอตัดสินใจทำทรีตเมนต์ยกกระชับใบหน้าด้วยคลื่นวิทยุ โดยหวังว่าจะช่วยชะลอวัย แต่เพียงไม่กี่เดือน เธอกลับรู้สึกว่าแก้มที่เคยอิ่มฟูกลับดูตอบลง ใบหน้าดูแห้งเหี่ยวไม่สดใสเหมือนเดิม หลังจากปรึกษาแพทย์หลายคน เธอจึงได้รู้ความจริงอันน่าตกใจว่า ไขมันใต้ผิวหนังของเธอถูกทำลายไปแล้ว ด้วยพลังงานความร้อนที่มากเกินไปจากเครื่องมือ ทำให้เธอต้องตัดสินใจทำศัลยกรรมยกกระชับใบหน้าทั้งที่ยังไม่ถึงวัย 40

"ฉันไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องทำศัลยกรรมใบหน้าตอนอายุไม่ถึง 40" เคทกล่าว "แต่ไม่มีวิธีอื่นที่จะฟื้นฟูความอ่อนเยาว์ของใบหน้าได้เลย"

เรื่องราวนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของเคทคนเดียว มีศัลยแพทย์ตกแต่งใบหน้าชื่อดังในนิวยอร์ก เล่าว่า เขาเริ่มเห็นคนไข้ที่มาด้วยปัญหาผิวหน้าทรุดโทรมจากการทำทรีตเมนต์เหล่านี้มากขึ้นเรื่อย ๆ

"ผิวของเธอดูตึงขึ้นก็จริง แต่ไขมันข้างในมันถูก 'เผา' ไปแล้ว" คุณหมอกล่าว "เมื่อผมผ่าตัดเข้าไป ผมพบว่าไขมันใต้ผิวหนังแข็งกระด้างเหมือนกระดูกอ่อน"

ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า เทคโนโลยีเหล่านี้อันตรายกว่าที่คิด เพราะหากใช้พลังงานสูงเกินไปหรือใช้โดยผู้ที่ไม่มีความเชี่ยวชาญพอ มันอาจเข้าไปทำลายไขมันใต้ผิวหนังซึ่งเป็นโครงสร้างสำคัญที่ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์และเต่งตึง เมื่อมันถูกทำลายไปแล้วก็ยากที่จะฟื้นฟูให้กลับมาเหมือนเดิม

สิ่งที่เคทได้เรียนรู้และอยากเตือนเพื่อน ๆ วัยเดียวกันคือ "ฉันคิดว่ากำลังทำสิ่งที่ป้องกันความแก่ แต่สุดท้ายกลับเร่งให้มันมาเร็วขึ้น ถ้าฉันย้อนเวลากลับไปได้ ฉันจะศึกษาข้อมูลให้มากกว่านี้"

5 คำถามสำคัญที่ต้องถามตัวเองก่อนตัดสินใจ
ก่อนที่เราจะตัดสินใจทำอะไรกับใบหน้า ลองถามตัวเองและผู้ให้บริการ 5 คำถามนี้ก่อน:

ใครคือผู้ให้บริการ? เขาหรือเธอเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังหรือศัลยกรรมตกแต่งโดยตรงหรือไม่?

เขามีประสบการณ์กับเครื่องมือนี้มากแค่ไหน? ถามจำนวนเคสที่เขาเคยทำ และผลลัพธ์ที่ได้

จะใช้พลังงานระดับไหน และทำไมต้องใช้ระดับนั้น? ควรหลีกเลี่ยงการใช้พลังงานที่สูงเกินไปโดยไม่จำเป็น

ต้องทำกี่ครั้ง และแต่ละครั้งห่างกันนานแค่ไหน? การทำถี่เกินไปอาจทำร้ายผิวมากกว่าให้ผลดี

มีความเสี่ยงอะไรบ้าง? หากผู้ให้บริการไม่สามารถตอบได้ หรือบอกว่าไม่มีความเสี่ยงเลย... ให้เดินออกมา

เรื่องราวของเคทเป็นอุทาหรณ์ให้เราทุกคนได้คิดว่า การดูแลตัวเองในวัยกลางคนไม่ใช่แค่การวิ่งตามเทรนด์ แต่คือการตัดสินใจอย่างมีสติ

นี่คือเรื่องราวที่ Fleek ได้อ่านเจอมาและคิดว่าจะมีประโยชน์สำหรับทุกคนนะคะ

PAÑPURI: เมื่อความหอมคือการเดินทางกลับสู่ภายในในยุคที่ชีวิตหมุนเร็วราวกับพายุ บางครั้งเราก็หลงลืม "จังหวะ" ที่เป็นของตัว...
26/08/2025

PAÑPURI: เมื่อความหอมคือการเดินทางกลับสู่ภายใน
ในยุคที่ชีวิตหมุนเร็วราวกับพายุ บางครั้งเราก็หลงลืม "จังหวะ" ที่เป็นของตัวเองไป

ปัญญ์ปุริ (PAÑPURI) แบรนด์ผู้เชี่ยวชาญด้านความงามแบบองค์รวม เข้าใจในความเหนื่อยล้าที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความวุ่นวายนั้น จึงได้สร้างสรรค์ Burnout Antidotes Wellness Fragrance Series คอลเลกชันล่าสุดที่ไม่ได้เป็นแค่น้ำหอม แต่เป็นเครื่องมือในการเยียวยาจิตใจและดึงเรากลับคืนสู่สมดุล

กลิ่นหอมจากธรรมชาติทั้ง 3 กลิ่นนี้ถูกรังสรรค์ขึ้นจากองค์ความรู้ด้านสุคนธบำบัด เพื่อให้คุณได้สร้าง "พื้นที่พักใจ" ที่เป็นของคุณเองในทุกที่ทุกเวลา:

THE FIRST: จุดเริ่มต้นของการพักใจ ด้วยกลิ่นที่ชวนให้นึกถึงความสงบและปลอบประโลม

KINDRED: โอบกอดความอบอุ่นและความผูกพันที่หล่อเลี้ยงจิตใจ

INTENTION: ชวนให้กลับมาอยู่กับปัจจุบันและตั้งเจตนารมณ์ที่ดีให้กับชีวิต

นอกจากกลิ่นหอมบำบัดแล้ว ปัญญ์ปุริยังได้นำเสนอศิลปะที่ลึกซึ้งและงดงามอย่าง "คินสึงิ" (Kintsugi) ศิลปะการซ่อมแซมเครื่องปั้นดินเผาที่แตกหักด้วยการใช้ทองคำ ศิลปะแขนงนี้สะท้อนปรัชญา "การยอมรับความไม่สมบูรณ์" และมองเห็นความงามในรอยร้าวที่เคยเกิดขึ้นในชีวิต

คุณสามารถเข้าร่วมเวิร์คชอป Kintsugi ได้ที่ PAÑPURI Pop-Up Store ณ Siam Center ชั้น G (วันนี้ – 31 สิงหาคม) เพื่อเรียนรู้การเยียวยาวัตถุและจิตใจไปพร้อมกัน

ค้นพบ “ความสงบที่อยู่กับตัวคุณมาตลอด” และกลับไปสู่จังหวะที่หัวใจคุณต้องการ ด้วยกลิ่นหอมและปรัชญาที่ปัญญ์ปุริตั้งใจมอบให้ในครั้งนี้




ในวงการแฟชั่นที่เต็มไปด้วยสีสัน ยูนิโคล่เลือกที่จะก้าวไปอีกขั้น ด้วยการประกาศแต่งตั้ง เคต แบลนเชตต์ นักแสดงหญิงเจ้าของรา...
25/08/2025

ในวงการแฟชั่นที่เต็มไปด้วยสีสัน ยูนิโคล่เลือกที่จะก้าวไปอีกขั้น ด้วยการประกาศแต่งตั้ง เคต แบลนเชตต์ นักแสดงหญิงเจ้าของรางวัลออสการ์และสไตล์ไอคอนระดับโลก เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ระดับโลกคนล่าสุด การร่วมงานครั้งนี้ไม่ใช่แค่การตลาด แต่เป็นการผสานรวมกันของปรัชญา "LifeWear" ของยูนิโคล่ที่มุ่งเน้นความเรียบง่ายเหนือกาลเวลา กับตัวตนของเคตที่เต็มไปด้วยความสง่างามและความมุ่งมั่น

คุณทาดาชิ ยาไน ผู้ก่อตั้งและประธานของยูนิโคล่ กล่าวถึงการตัดสินใจครั้งนี้ว่า "เราชื่นชมเคต แบลนเชตต์ ในฐานะนักแสดงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในยุคสมัยนี้ แต่ความชื่นชมของเราไม่ได้จำกัดอยู่แค่การแสดงเท่านั้น ความมุ่งมั่นของเธอในการเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ผู้หญิง การสนับสนุนศิลปินรุ่นใหม่ และการอุทิศตนเพื่อภารกิจด้านมนุษยธรรมและสิ่งแวดล้อม คือสิ่งที่สอดคล้องกับคุณค่าหลักของแบรนด์"

เคต แบลนเชตต์ กล่าวถึงความรู้สึกที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวยูนิโคล่ว่า "เสื้อผ้า LifeWear ของยูนิโคล่คือความสมบูรณ์แบบที่เข้าถึงได้ง่ายและมีคุณภาพ ดิฉันรู้สึกดีใจที่ได้รับโอกาสในการช่วยส่งเสริมปรัชญาสำคัญของแบรนด์ ทั้งการสนับสนุนคนรุ่นใหม่และการมีส่วนร่วมในการแก้ไขวิกฤตผู้ลี้ภัยทั่วโลก"

นอกจากความสำเร็จในวงการบันเทิงแล้ว เคต แบลนเชตต์ยังเป็นที่รู้จักในฐานะทูตสันถวไมตรีระดับโลกของ UNHCR และผู้สนับสนุนองค์กรเพื่อสังคมอีกมากมาย การผนึกกำลังกันในครั้งนี้จึงสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ร่วมกันในการสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ ให้กับสังคมและโลกใบนี้

กลับมาอีกครั้ง! เทรนด์ผิวแมตต์ที่ทุกคนรอคอยหลังจากปล่อยให้เทรนด์ผิวฉ่ำวาวแบบ Dewy Look ครองวงการมาพักใหญ่ ถึงเวลาแล้วที่...
18/08/2025

กลับมาอีกครั้ง! เทรนด์ผิวแมตต์ที่ทุกคนรอคอย
หลังจากปล่อยให้เทรนด์ผิวฉ่ำวาวแบบ Dewy Look ครองวงการมาพักใหญ่ ถึงเวลาแล้วที่การแต่งหน้าสไตล์แมตต์จะกลับมาทวงบัลลังก์!
เทรนด์นี้ไม่ได้หมายถึงผิวแมตต์ที่ดูแห้งแตกจนไม่เป็นธรรมชาติ แต่เป็นการแต่งหน้าที่เน้นความเรียบเนียน ดูไร้ที่ติ และติดทนนานตลอดวัน เหมาะสำหรับอากาศร้อนชื้นแบบบ้านเราที่สุด
ทำไมถึงต้องแต่งหน้าแบบแมตต์?
เรียบเนียนไร้ที่ติ: การใช้รองพื้นและแป้งแบบแมตต์จะช่วยอำพรางรูขุมขนและควบคุมความมันบนใบหน้า ทำให้ผิวดูเนียนกริบเหมือนผ่านการรีทัช
ติดทนนานตลอดวัน: หมดห่วงเรื่องหน้าเยิ้มหรือเมคอัพไหลระหว่างวัน เพราะผลิตภัณฑ์แบบแมตต์จะช่วยดูดซับความมันส่วนเกิน ทำให้เมคอัพของคุณยังคงสวยเป๊ะตั้งแต่เช้าจรดเย็น
ลุคคลาสสิกแต่ทันสมัย: ไม่ว่าจะเป็นลุคธรรมชาติหรือลุคจัดเต็ม การแต่งหน้าแบบแมตต์ก็สามารถปรับให้เข้ากับทุกโอกาส ให้ความรู้สึกที่หรูหราและดูดีอยู่เสมอ
เคล็ดลับสร้างลุคแมตต์ให้ดูสวยเป๊ะ
เตรียมผิวให้พร้อม: เริ่มต้นด้วยการบำรุงผิวด้วยมอยส์เจอไรเซอร์เนื้อบางเบา เพื่อให้ผิวชุ่มชื้นแต่ไม่มันเยิ้ม
เลือกรองพื้นเนื้อแมตต์: ทารองพื้นให้ทั่วใบหน้าและเกลี่ยให้เนียนสม่ำเสมอ หากต้องการปกปิดเป็นพิเศษ ให้ใช้คอนซีลเลอร์แบบแมตต์แตะเฉพาะจุด
เซ็ตด้วยแป้งฝุ่น: ใช้แปรงขนาดใหญ่แตะแป้งฝุ่นแล้วปัดเบาๆ ทั่วใบหน้า เพื่อล็อคเมคอัพให้ติดทน
เพิ่มมิติด้วยเมคอัพแมตต์: เลือกใช้บลัชออน อายแชโดว์ และลิปสติกเนื้อแมตต์ เพื่อให้ลุคโดยรวมดูเป็นไปในทิศทางเดียวกัน

ลองหยิบเครื่องสำอางเนื้อแมตต์ในกรุมาปัดฝุ่น แล้วมาสนุกกับการสร้างสรรค์ลุคใหม่ๆ กันเลย!

#แต่งหน้า #แต่งหน้าแมตต์ #เมคอัพ #เทรนด์แต่งหน้า #รองพื้นแมตต์ #แป้งคุมมัน #ผิวแมตต์ #เครื่องสำอาง #รีวิวเครื่องสำอาง #สอนแต่งหน้า

มาสคอตไม่ใช่แค่ตุ๊กตาน่ารัก แต่เป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยเชื่อมโยงแบรนด์กับผู้คนได้สำเร็จ การใช้มาสคอตในการตลาดเป็นกลยุทธ์ที่...
15/08/2025

มาสคอตไม่ใช่แค่ตุ๊กตาน่ารัก แต่เป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยเชื่อมโยงแบรนด์กับผู้คนได้สำเร็จ การใช้มาสคอตในการตลาดเป็นกลยุทธ์ที่ล้ำลึกกว่าที่คิด เพราะมันเข้าถึงจิตวิทยาของผู้บริโภคได้อย่างตรงจุด บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกถึงเบื้องหลังความสำเร็จของมาสคอต ที่ทำให้หลายธุรกิจเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด

ทำไมเราถึงหลงรักมาสคอต? (เบื้องหลังจิตวิทยาแห่งความผูกพัน)
เคยสงสัยไหมว่าทำไมเราถึงรู้สึกผูกพันกับมาสคอตตัวโปรด? นั่นเพราะสมองของเรามีแนวโน้มที่จะมองเห็น "ความเป็นมนุษย์" ในสิ่งของหรือตัวละครที่ไม่ใช่มนุษย์ (Anthropomorphism) ทำให้เราสามารถสร้างความสัมพันธ์ทางอารมณ์กับมาสคอตได้ง่ายขึ้น มาสคอตจึงทำหน้าที่เป็นเหมือน "เพื่อน" หรือ "ตัวแทน" ของแบรนด์ที่เข้าถึงและจับต้องได้จริง

1. สร้างความน่าเชื่อถือและความไว้ใจ

มาสคอตช่วยลดช่องว่างระหว่างแบรนด์กับลูกค้า โดยเฉพาะสำหรับแบรนด์ใหม่ๆ ที่ยังไม่เป็นที่รู้จัก มาสคอตที่มีบุคลิกเป็นมิตรและอบอุ่นจะช่วยให้ลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์นั้นๆ เข้าถึงง่ายและน่าเชื่อถือมากขึ้น เหมือนมีคนคุ้นเคยมาแนะนำผลิตภัณฑ์ให้

2. กระตุ้นความทรงจำและสร้างการจดจำ

สมองของมนุษย์จดจำภาพและเรื่องราวได้ดีกว่าข้อความ มาสคอตที่มีเอกลักษณ์จึงทำหน้าที่เป็น "จุดยึดความทรงจำ" ที่ทำให้ผู้บริโภคจดจำแบรนด์ได้ง่ายขึ้นในตลาดที่มีการแข่งขันสูง เมื่อนึกถึงสินค้าหรือบริการนั้นๆ ภาพของมาสคอตก็จะปรากฏขึ้นมาทันที

3. เล่าเรื่องและสร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจ

มาสคอตคือเครื่องมือการเล่าเรื่องที่ทรงพลัง แบรนด์สามารถสร้างเรื่องราว (Storytelling) ให้กับมาสคอตได้ ทำให้ลูกค้าได้รู้จักกับ "ชีวิต" และ "นิสัย" ของตัวละครนั้นๆ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความผูกพันทางอารมณ์ในระยะยาวได้เป็นอย่างดี

จากเพื่อนสู่แฟนคลับ: เมื่อมาสคอตกลายเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์
มาสคอตที่ประสบความสำเร็จไม่ได้เป็นแค่โลโก้ แต่เป็นเหมือนตัวแทนของแบรนด์ที่มีชีวิต มีบุคลิก และมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนผ่านช่องทางต่างๆ ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือ "น้องหมีเนย" จากร้าน Butterbear ที่กลายเป็นกระแสไวรัลในโซเชียลมีเดีย เพราะมีภาพลักษณ์ที่น่ารักและมีการสื่อสารที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงใจ

มาสคอตยังมีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับเปลี่ยนให้เข้ากับแคมเปญการตลาดต่างๆ ได้ง่ายกว่าการใช้คนจริงๆ นอกจากนี้ยังเป็นทรัพย์สินทางปัญญาที่อยู่กับแบรนด์ได้ตลอดไป ช่วยให้แบรนด์มีภาพลักษณ์ที่คงที่และไม่ขึ้นอยู่กับกระแสของบุคคล

เทคนิคสร้างมาสคอตให้โดนใจกลุ่มแฟนคลับ
หากต้องการสร้างมาสคอตให้ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่แค่ดีไซน์ให้สวยอย่างเดียว แต่ต้องวางแผนอย่างรอบคอบตามหลักการตลาดเชิงจิตวิทยา:

กำหนดบุคลิกให้ชัดเจน: มาสคอตต้องมีบุคลิกที่สอดคล้องกับคุณค่าและภาพลักษณ์ของแบรนด์ เช่น หากแบรนด์เน้นความสนุกสนาน มาสคอตก็ควรมีบุคลิกที่ร่าเริงและขี้เล่น

สร้างเรื่องราวที่น่าติดตาม: ให้มาสคอตมีที่มาที่ไป มีความชอบหรือมีภารกิจบางอย่าง เพื่อให้แฟนๆ รู้สึกอยากติดตามและเอาใจช่วย

มีปฏิสัมพันธ์กับแฟนคลับ: ใช้โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางหลักในการสื่อสาร ให้มาสคอตมีปฏิสัมพันธ์กับคอมเมนต์ต่างๆ หรือแม้แต่สร้างมีม (Meme) ที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง

การที่มาสคอตเข้ามามีบทบาทในโลกธุรกิจมากขึ้นสะท้อนให้เห็นว่าในยุคที่ผู้บริโภคต้องการความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง แบรนด์ที่มี "หัวใจ" และ "บุคลิก" ที่ชัดเจนย่อมได้เปรียบ และมาสคอตนี่แหละคือคำตอบที่ทำให้ธุรกิจต่างๆ สามารถเข้าไปนั่งอยู่ในใจของผู้คนได้อย่างแท้จริง 💖

#มาสคอต #การตลาด #จิตวิทยาผู้บริโภค #สร้างแบรนด์ #แฟนคลับ #แบรนด์ดิ้ง #การตลาดออนไลน์

คุณเคยคิดไหมว่าพลาสติกที่เราใช้ในชีวิตประจำวันจะกลายเป็นภัยเงียบที่มองไม่เห็น? ทุกวันนี้ไมโครพลาสติกได้แทรกซึมไปทั่วทุกม...
14/08/2025

คุณเคยคิดไหมว่าพลาสติกที่เราใช้ในชีวิตประจำวันจะกลายเป็นภัยเงียบที่มองไม่เห็น? ทุกวันนี้ไมโครพลาสติกได้แทรกซึมไปทั่วทุกมุมโลก ตั้งแต่ใต้ท้องทะเลลึกไปจนถึงอากาศที่เราหายใจเข้าไปในแต่ละวัน จนกระทั่งล่าสุดพบว่ามันสามารถเดินทางเข้าสู่ร่างกายทารกในครรภ์ผ่านทางรกของแม่ได้อีกด้วย
🧴ไมโครพลาสติกคืออะไร ทำไมเราต้องกังวล?
ไมโครพลาสติกคือเศษพลาสติกขนาดเล็กจิ๋วที่มีขนาดต่ำกว่า 5 มิลลิเมตร ซึ่งเล็กพอที่จะเล็ดลอดเข้าสู่ระบบป้องกันตามธรรมชาติของร่างกายได้ และเนื่องจากร่างกายไม่สามารถย่อยสลายได้ เจ้าเศษพลาสติกเหล่านี้จึงจะสะสมอยู่ในอวัยวะต่างๆ ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพที่น่าตกใจ
🧠สมองคือเป้าหมายหลักของไมโครพลาสติก
งานวิจัยชิ้นล่าสุดที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature Medicine เปิดเผยข้อมูลที่น่าตกใจว่า สมองมีระดับไมโครพลาสติกและนาโนพลาสติกสูงกว่าอวัยวะอื่นๆ ถึง 7-30 เท่า! และสิ่งที่น่ากังวลไปกว่านั้นคือ ในเนื้อเยื่อสมองของผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมนั้นพบไมโครพลาสติกในปริมาณที่สูงกว่าคนปกติถึง 10 เท่า!
👨‍🔬นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าการสะสมของไมโครพลาสติกอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น โรคหัวใจและหลอดเลือด, ปัญหาการมีบุตร, ปัญหาระบบทางเดินอาหารและทางเดินหายใจ ไปจนถึง มะเร็งลำไส้ใหญ่และปอด
เรากำลังบริโภคไมโครพลาสติกเท่าไหร่?
ดร. จูดิธ เอนค์ อดีตผู้บริหาร EPA และประธานองค์กร Beyond Plastics ได้ออกมาเตือนถึงเรื่องนี้ว่า "เศษพลาสติกเล็กๆ เหล่านี้กำลังฝังตัวอยู่ในทุกส่วนของร่างกายมนุษย์ ทั้งในเลือด ปอด สมอง ตับ และแม้แต่รกกับน้ำนมแม่"
ข้อมูลจากงานวิจัยระบุว่า คนอเมริกันโดยเฉลี่ยบริโภคไมโครพลาสติกถึง 39,000-52,000 ชิ้นต่อปี และตัวเลขที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือ ผู้เสียชีวิตในปี 2024 มีระดับไมโครพลาสติกในเนื้อเยื่อสูงกว่าผู้เสียชีวิตในปี 2016 ถึง 50% ซึ่งเป็นผลมาจากการผลิตพลาสติกที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ไมโครพลาสติกเข้าสู่ร่างกายได้อย่างไร? เราไม่อาจหลีกเลี่ยงไมโครพลาสติกได้เลย เพราะมันอยู่รอบตัวเราในทุกๆ วัน ไม่ว่าจะเป็น
-น้ำดื่มบรรจุขวดพลาสติก: นี่คือแหล่งใหญ่ที่สุดของการปนเปื้อน
-อาหารและเครื่องดื่มร้อนๆ: การอุ่นอาหารในภาชนะพลาสติกจะทำให้พลาสติกหลุดออกมามากขึ้น
-อาหารแปรรูป: เช่น นักเก็ตไก่ ที่มักจะมีส่วนประกอบของพลาสติก
-เสื้อผ้า: โดยเฉพาะเสื้อผ้าที่ทำจากใยสังเคราะห์ เช่น โพลีเอสเตอร์ คิดเป็น 35% ของไมโครพลาสติกทั้งหมด
-อากาศ: เราหายใจเอาไมโครพลาสติกเข้าไปในทุกๆ วัน
-ผิวหนัง: สามารถดูดซึมผ่านทางครีมบำรุงและเครื่องสำอางได้
7 วิธีง่ายๆ เพื่อลดความเสี่ยงจากไมโครพลาสติก
แม้เราจะไม่สามารถกำจัดไมโครพลาสติกให้หมดไปได้ แต่เราก็สามารถลดปริมาณการสัมผัสได้ด้วยวิธีง่ายๆ ดังนี้:

💚เลือกเสื้อผ้าจากใยธรรมชาติ: เช่น ผ้าฝ้าย, ลินิน, ขนสัตว์ และหลีกเลี่ยงเสื้อผ้าใยสังเคราะห์ รวมถึงการตากผ้าแทนการใช้เครื่องอบแห้ง

💚ใช้เครื่องฟอกอากาศ HEPA: เพื่อช่วยดักจับฝุ่นและไมโครพลาสติกในอากาศ รวมถึงการดูดฝุ่นบ่อยๆ และถอดรองเท้าก่อนเข้าบ้าน

💚เลี่ยงภาชนะพลาสติกในครัว: เปลี่ยนมาใช้ภาชนะที่ทำจากแก้ว, สเตนเลส หรือเซรามิก รวมถึงเขียงที่ทำจากไม้ไผ่ และหลีกเลี่ยงกระทะเคลือบเทฟลอน

💚เปลี่ยนมาใช้ชาใบแทนซองชา: เพราะซองชาส่วนใหญ่ทำจากพลาสติก เมื่อโดนน้ำร้อนก็จะปล่อยไมโครพลาสติกออกมาเป็นล้านชิ้น

💚ซื้อของจากตลาดนัดหรือตลาดเกษตรกร: นอกจากจะช่วยสนับสนุนเกษตรกรแล้ว ยังช่วยลดการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกอีกด้วย

💚เก็บครีมบำรุงให้พ้นแสงแดดและความร้อน: เพื่อป้องกันไม่ให้พลาสติกสลายตัวและปนเปื้อนผลิตภัณฑ์

💚สนับสนุนกฎหมายควบคุมพลาสติก: ร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันและสนับสนุนกฎหมายที่จำกัดการผลิตและใช้พลาสติก

เริ่มทำวันนี้ เพื่อสุขภาพที่ดีในอนาคต การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวันเหล่านี้อาจช่วยปกป้องสุขภาพของคุณและคนที่คุณรักจากภัยเงียบที่ชื่อว่าไมโครพลาสติกได้ในระยะยาว เพราะแม้การเลี่ยงให้ได้ 100% จะเป็นไปไม่ได้ แต่การลดการสัมผัสให้ได้มากที่สุดนั้นเป็นสิ่งที่เราทุกคนสามารถทำได้ค่ะ

#ไมโครพลาสติก #สุขภาพ #พลาสติกอันตราย #ลดขยะพลาสติก #สิ่งแวดล้อม #ป้องกันสุขภาพ #ชีวิตยั่งยืน #สุขภาพดี #ลดพลاสติก #รักษ์โลก #ปลอดพิษ #สุขภาพครอบครัว #เคล็ดลับสุขภาพ

  ยูนิโคล่ ร่วมกับ กรุงเทพมหานคร เปิดตัว UNIQLO Clothing Corner แห่งแรก �ณ BKK Food Bank สำนักงานเขตสวนหลวง พร้อมส่งเสริ...
14/08/2025

ยูนิโคล่ ร่วมกับ กรุงเทพมหานคร เปิดตัว UNIQLO Clothing Corner แห่งแรก �ณ BKK Food Bank สำนักงานเขตสวนหลวง พร้อมส่งเสริมคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบาง�ด้วยเสื้อผ้าคุณภาพดีจาก RE.UNIQLO
ยูนิโคล่ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญกับกรุงเทพมหานคร เปิดตัว UNIQLO Clothing Corner หรือ มุมแบ่งปันเสื้อผ้าจากยูนิโคล่ แห่งแรก ณ BKK Food Bank สำนักงานเขต�สวนหลวง โดยมี นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และ มร. โยชิทาเกะ วากากุวะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยูนิโคล่ (ประเทศไทย) จำกัด ให้เกียรติร่วมเปิดงาน พร้อมส่งมอบเสื้อผ้าคุณภาพดีจากโครงการ RE.UNIQLO ให้แก่กลุ่มผู้เปราะบางที่มาใช้บริการ

โครงการ RE.UNIQLO เริ่มต้นดำเนินการในประเทศไทยมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อหมุนเวียนและต่ออายุการใช้งานเสื้อผ้า เพื่อให้เสื้อผ้าได้ใช้ประโยชน์สูงสุดตลอดอายุการใช้งาน ตลอดระยะเวลากว่าทศวรรษที่ผ่านมายูนิโคล่ได้รวบรวมและส่งต่อเสื้อผ้าคุณภาพดีกว่า 288,064 ชิ้น ให้แก่ผู้ที่ต้องการมากกว่า 50,000 คน ทั่วประเทศผ่านความร่วมมือกับมูลนิธิต่าง ๆ โดยในครั้งนี้ ยูนิโคล่ ได้ร่วมมือกับกรุงเทพมหานคร เปิดตัว UNIQLO Clothing Corner สาขานำร่องที่ BKK Food Bank สำนักงานเขตสวนหลวง เพื่อให้กลุ่มเปราะบางที่เข้ามาใช้บริการได้มีโอกาสเลือกสรรเสื้อผ้าคุณภาพดีจากยูนิโคล่ได้ด้วยตนเอง ความร่วมมือครั้งนี้สอดคล้องกับแนวคิดของโครงการ RE.UNIQLO และการดำเนินโครงการ BKK Food Bank ซึ่งเปรียบเสมือนมินิมาร์ทที่รวบรวมสินค้าอุปโภคบริโภคส่วนเกินจากพื้นที่ต่าง ๆ มาส่งมอบให้แก่ผู้ที่มีความต้องการโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ซึ่งโครงการจัดดำเนินงานอยู่ในพื้นที่สำนักงานเขต 50 แห่งทั่วกรุงเทพฯ การจัดตั้ง UNIQLO Clothing Corner ในครั้งนี้ สอดคล้องกับพันธกิจของยูนิโคล่ในการช่วยเติมเต็มความต้องการขั้นพื้นฐานด้านเครื่องแต่งกาย พร้อมช่วยให้กลุ่มเปราะบางสามารถเข้าถึงเสื้อผ้าที่มีคุณภาพดีได้มากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ในบริเวณพื้นที่ใกล้เคียงกับสำนักงานเขตสวนหลวง ยังเป็นที่ตั้งของ ร้านยูนิโคล่ โรดไซด์ พัฒนาการ ซึ่งเป็นร้านสาขาของยูนิโคล่ที่มุ่งเน้นการเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่เข้มแข็งในชุมชนภายใต้กิจกรรม Neighbors Helping Neighbors โดยมีร้านยูนิโคล่ โรดไซด์ พัฒนาการ ทำหน้าที่ตัวกลางขับเคลื่อนกิจกรรมดังกล่าว ผ่านการติดตั้งกล่องรับบริจาคเสื้อผ้าตามจุดต่าง ๆ ในพื้นที่ เช่น มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต และ สถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น เพื่อรณรงค์ให้นักศึกษา รวมถึงคนในชุมชนร่วมกันส่งต่อเสื้อผ้าที่ใช้แล้วคุณภาพดี สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของยูนิโคล่ในการส่งต่อพลังแห่งเสื้อผ้าให้แก่ผู้ที่ต้องการอย่างแท้จริง
นาย #ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า “โครงการ BKK Food Bank ของกรุงเทพมหานคร เกิดขึ้นจากแนวคิดที่ต้องการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนกลุ่มเปราะบาง การสนับสนุนจากภาคเอกชนอย่าง ยูนิโคล่ ประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การจัดตั้งโครงการ UNIQLO Clothing Corner ถือเป็นส่วนสำคัญที่เข้ามาช่วยเติมเต็มความต้องการขั้นพื้นฐานด้านเครื่องแต่งกาย ทำให้กลุ่มเปราะบางได้มีโอกาสเข้าถึงเสื้อผ้าที่มีคุณภาพ ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยปกป้องร่างกาย แต่ยังช่วยเสริมสร้างความมั่นใจและยกระดับคุณภาพชีวิตของพวกเขาได้อย่างแท้จริง ความร่วมมือในครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นตัวอย่างที่ดีของการผนึกกำลังกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์สังคมที่น่าอยู่และยั่งยืนสำหรับทุกคน”
มร. โยชิทาเกะ วากากุวะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยูนิโคล่ (ประเทศไทย) กล่าวเกี่ยวกับการเปิดตัวโครงการนี้ว่า “ที่ยูนิโคล่ เราเชื่อมั่นในพลังของเสื้อผ้าที่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตให้ดีขึ้นได้ การร่วมมือกับกรุงเทพมหานครเพื่อจัดตั้ง UNIQLO Clothing Corner ในวันนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการสานต่อวิสัยทัศน์ด้านความยั่งยืนภายใต้โครงการ RE.UNIQLO ซึ่งไม่เพียงแต่เน้นย้ำการยืดอายุการใช้งานเสื้อผ้าและลดขยะสิ่งทอเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงแก่นแท้ของปรัชญาไลฟ์แวร์ ( ) ที่ #ยูนิโคล่ ยึดถือมาโดยตลอด นั่นคือการสร้างสรรค์เสื้อผ้าที่ตอบโจทย์ชีวิตประจำวันของทุกคน นอกจากนี้ การจัดตั้ง UNIQLO Clothing Corner ยังสอดคล้องกับกิจกรรม Neighbors Helping Neighbors ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชน โดยมีร้านสาขาของยูนิโคล่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการรวบรวมเสื้อผ้าคุณภาพดีจากคนในพื้นที่ ก่อนจะนำไปส่งมอบให้แก่ผู้ที่มีความต้องการต่อไป การประกาศเปิดตัวโครงการในวันนี้ ถือเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ในอนาคต ยูนิโคล่ ประเทศไทย มีแผนที่จะขยายโครงการ Clothing Corner ให้ครอบคลุมการให้บริการครบทั้ง 50 สำนักงานเขตทั่วกรุงเทพฯ เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในวงกว้าง พร้อมส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้คนในสังคมไทยอย่างยั่งยืน”

  Instagram ปล่อยฟีเจอร์ใหม่ เพิ่มลูกเล่นให้ผู้ใช้ไทยเชื่อมต่อกับเพื่อนง่ายขึ้นInstagram ประกาศฟีเจอร์ใหม่ ให้ผู้ใช้ได้แ...
13/08/2025

Instagram ปล่อยฟีเจอร์ใหม่ เพิ่มลูกเล่นให้ผู้ใช้ไทยเชื่อมต่อกับเพื่อนง่ายขึ้น

Instagram ประกาศฟีเจอร์ใหม่ ให้ผู้ใช้ได้แชร์เกี่ยวกับชีวิตประจำวัน และสถานที่ที่ไปได้ง่ายขึ้น โดยมีฟีเจอร์ต่างๆ เพิ่มเติมได้แก่ Instargram Map, แท็บ “Friends” ในหน้า Reels, และ Repost ซึ่งทั้งหมดเป็นฟีเจอร์ที่ทำให้ผู้ใช้สามารถอัปเดตความเป็นไปเกี่ยวกับเพื่อนบนแพลตฟอร์ม และทำให้เชื่อมต่อกับชุมชนได้ง่ายขึ้นผ่านสิ่งที่สนใจ
ฟีเจอร์ล่าสุดที่ Instagram ปล่อยออกมาให้สนุกกับคอนเทนต์ได้มากขึ้นมีดังต่อไปนี้
Instagram Map (เปิดใช้งานเฉพาะเมื่อผู้ใช้อนุญาตเท่านั้น)
ฟีเจอร์แชร์โลเคชันนี้เปิดใช้ได้งานเฉพาะเมื่อผู้ใช้อนุญาตเท่านั้น (opt-in) ช่วยให้สามารถแชร์สถานที่ล่าสุดที่ใช้แอปฯ กับเพื่อนๆ ได้ อำนวยความสะดวกในการประสานงาน ติดต่อกัน หรือรู้สึกว่ามีเพื่อนอยูใกล้ๆ แม้ตัวจะอยู่ไกลกันก็ตาม Instagram Map จะทำให้สามารถดูคอนเทนต์ต่างๆ ที่มีการปักหมุดโลเคชัน หาสถานที่ และสำรวจกิจกรรมรอบตัวที่เพื่อนๆ หรือครีเอเตอร์คนโปรดได้แชร์ หรือมีส่วนร่วม
การควบคุมความเป็นส่วนตัว: การแชร์โลเคชันจะปิดไว้เป็นค่าเริ่มต้น และโลเคชันจะอัปเดตก็ต่อเมื่อเปิดใช้งานแอปฯ ผู้ใช้จะสามารถควบคุมการตั้งค่าคนที่มองเห็นโลเคชันได้อย่างสมบูรณ์ (เช่น Close Friends เท่านั้น เป็นต้น) และยังสามารถซ่อนโลเคชันไม่ให้ผู้ติดตามบางคนเห็น หรือซ่อนโลเคชันเฉพาะสถานที่ได้อีกด้วย
แท็บ ‘Friends’ บนหน้า Reels
‘Friends' เป็นแท็บใหม่ที่แสดงให้เห็น Reels ที่เพื่อนกดถูกใจ คอมเมนต์ รีโพสต์ และสร้างขึ้น ผู้ใช้สามารถเริ่มบทสนทนากับเพื่อนและคนที่ติดตามกันและกันได้ผ่านช่องคำตอบเมื่อแตะที่รูปโปรไฟล์ของเพื่อน
การควบคุมความเป็นส่วนตัว: Instagram มอบความเป็นส่วนตัว โดยให้ผู้ใช้ไม่ต้องแสดงคอนเทนต์ที่ตนเองมีส่วนร่วมด้วยในแท็บ “Friends” โดยจะสามารถ ซ่อนการกดถูกใจ คอมเมนต์ และการรีโพสต์ของตนเองในแท็บซ่อนการกดถูกใจ คอมเมนต์ และการรีโพสต์ของบัญชีที่ไม่อยากเห็น

ผู้ใช้สามารถรีโพสต์ และคอนเทนต์บนหน้าฟีดที่เปิดเป็นสาธารณะได้แล้ว คอนเทนต์ที่ได้รับการรีโพสต์จะขึ้นในแท็บ Repost ใหม่ในหน้าโปรไฟล์ของผู้ใช้เสมือนเป็นที่จัดเก็บ Reels โปรดส่วนตัว นอกจากนี้โพสต์จะขึ้นในหน้าฟีดของผู้ติดตาม และแท็บ ‘Friends’ บนหน้า Reels อีกด้วย
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการที่ ได้ทำให้เชื่อมต่อกับเพื่อนผ่านคอนเทนต์ สถานที่ และสิ่งที่ผู้ใช้ให้ความสำคัญได้ง่ายขึ้น

คำเตือนถึงแม่ๆ ทั่วโลก: “ถ้าแม่ไม่ไหว...ก็ไม่มีใครไหว!”คุณแม่หลายคนอาจเคยรู้สึกว่า "ฉันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว" ตั้งแต...
12/08/2025

คำเตือนถึงแม่ๆ ทั่วโลก: “ถ้าแม่ไม่ไหว...ก็ไม่มีใครไหว!”

คุณแม่หลายคนอาจเคยรู้สึกว่า "ฉันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว" ตั้งแต่วินาทีที่ได้เป็นแม่ จากความสุขที่ท่วมท้นสู่ความเหนื่อยล้า ความสับสน ความเจ็บปวด และความรู้สึกที่ว่าตัวเองกำลังจะหายไป... นี่คือความจริงที่หลายคนอาจไม่เคยรู้เกี่ยวกับ #สุขภาพจิต ของคุณแม่

ไม่ใช่แค่เรื่องของคนไม่กี่คน...แต่คือภาวะวิกฤตที่ต้องใส่ใจ

ข้อมูลจากงานวิจัยล่าสุดในวารสาร JAMA Internal Medicine เผยว่า มีคุณแม่เพียง 26% เท่านั้นที่บอกว่าสุขภาพจิตของตัวเอง "ยอดเยี่ยม" ซึ่งลดลงอย่างน่าใจหายจาก 40% จากที่เคยสำรวจ นี่คือสัญญาณเตือนที่ชัดเจนว่าคุณแม่กำลังเผชิญกับความยากลำบากมากขึ้นกว่าที่เคย

สิ่งที่ทรงพลังที่สุดจากข้อมูลนี้คือ "ความรู้สึกที่ผิดปกติอย่างลึกซึ้งในใจ" ที่คุณแม่หลายคนกำลังเผชิญอยู่ ไม่ว่าจะเป็น #ภาวะซึมเศร้าหลังคลอด, #ความเครียด ในชีวิตประจำวัน, ความคิดที่รบกวนจิตใจ, #อารมณ์ฉุนเฉียว และเรื่องที่น่าเศร้าคือการx่าตัวxาย ซึ่งทั้งหมดนี้คือเรื่องที่โลกกำลังมองข้ามมาโดยตลอด

ทำไมสุขภาพจิตคุณแม่จึงถูกละเลย?

ในอดีตนั้น คำว่า "สุขภาพจิตคุณแม่" แทบจะไม่มีอยู่ในสารบบทางการแพทย์เลยด้วยซ้ำ! เพราะในยุค 90s แพทย์หลายคนยังเชื่อว่าผู้หญิงไม่จำเป็นต้องได้รับการดูแลด้านสุขภาพจิตแบบเฉพาะทาง และการพูดถึงปัญหานี้เป็นเรื่องที่ไม่ควร

แต่ในปัจจุบันที่ผู้หญิงได้เข้ามามีส่วนร่วมในการศึกษาทางการแพทย์มากขึ้น ทำให้เรามีข้อมูลและงานวิจัยที่สนับสนุนความรู้สึกของคุณแม่ได้อย่างชัดเจนแล้วว่า ปัญหาเหล่านี้คือ "ภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข" ที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องของปัจเจกบุคคล แต่ส่งผลกระทบต่อทั้งเศรษฐกิจ สังคม และครอบครัวทั้งหมด

สุขภาพใจแม่...แก้ไขได้ด้วยความเข้าใจและพลังจากชุมชน

การจะช่วยให้คุณแม่รู้สึกดีขึ้นได้ ต้องเริ่มจากการเข้าใจว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่สามารถแก้ไขได้ด้วยการไปเข้าคลาสโยคะเพียงอย่างเดียว แต่มันต้องอาศัยการสนับสนุนจากหลายภาคส่วน ทั้งจากสังคมที่ควรมีนโยบายสนับสนุนการลาคลอดและการดูแลบุตรที่เหมาะสม และจากสังคมที่คุณแม่สามารถพูดคุยและระบายความรู้สึกที่แท้จริงได้

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือคุณแม่ต้องกล้าที่จะหันมาใส่ใจตัวเอง แนะนำให้ลองถามตัวเองง่ายๆ ว่า "มีอะไรที่ต้องเปลี่ยนไปบ้างเพื่อให้ฉันรู้สึกดีขึ้นแม้เพียงนิดเดียว?" คำตอบอาจแตกต่างกันไปในแต่ละคน บางคนอาจแค่ต้องการเวลาไปเล่นกับลูก, บางคนอาจต้องการเวลาพักผ่อนคนเดียว แต่ไม่ว่าคำตอบจะเป็นอะไร การให้ความสำคัญกับความต้องการของตัวเองก็คือจุดเริ่มต้นของการเยียวยา

การได้พบกับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตคุณแม่โดยเฉพาะก็เป็นเรื่องที่จำเป็น เพราะเมื่อแขนหักก็ต้องไปหาหมอกระดูก เมื่อต้องรับมือกับการเป็นแม่ การมีผู้เชี่ยวชาญที่เข้าใจบริบททั้งหมดของมันก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน

จำไว้เสมอว่าคุณแม่ไม่ได้โดดเดี่ยวในเรื่องนี้ และความรู้สึกที่คุณเป็นอยู่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ อย่ากลัวที่จะขอความช่วยเหลือ และจงเชื่อมั่นว่าสุขภาพใจของคุณมีความสำคัญไม่แพ้สุขภาพกาย เพราะ "ถ้าแม่ไม่ไหว...ก็ไม่มีใครไหว!" .... ขอส่งกำลังใจให้คุณแม่ทุกคน

#สุขภาพจิตคุณแม่ #แม่และเด็ก #คุณแม่มือใหม่ #ซึมเศร้าหลังคลอด #สุขภาพใจ #รักตัวเอง #ครอบครัว #ฮีลใจ

คุยกับ AI ดีกว่าคุยกับคนจริง? เมื่อ   กลายเป็น '  #นักบำบัด' ส่วนตัวในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น...
08/08/2025

คุยกับ AI ดีกว่าคุยกับคนจริง? เมื่อ กลายเป็น ' #นักบำบัด' ส่วนตัว

ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้นเรื่อยๆ หลายคนอาจเคยลองใช้ ChatGPT เพื่อขอคำปรึกษาปัญหาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน ความสัมพันธ์ หรือแม้แต่ปัญหาด้านสุขภาพจิต จนอาจเกิดคำถามขึ้นในใจว่า "เราสามารถเชื่อใจให้ ChatGPT เป็นนักบำบัดได้จริงหรือ?"

สำหรับกลุ่มคนวัยทำงาน ที่เผชิญกับความเครียดและแรงกดดันรอบด้าน การมีเครื่องมือที่พร้อมให้คำปรึกษาได้ตลอด 24 ชั่วโมง อาจดูเหมือนเป็นทางออกที่สะดวกสบายและน่าดึงดูด แต่การพึ่งพา AI ในเรื่องละเอียดอ่อนอย่างสุขภาพจิตนั้น มีทั้งข้อดีและข้อจำกัดที่ควรทำความเข้าใจ

เมื่อ AI กลายเป็นเพื่อนคู่คิด...ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นได้จริงหรือ?

อย่างเช่น ในกรณีที่เราอาจรู้สึกน้อยใจเพราะไม่ได้รับเชิญไปงานเพื่อนสนิท แต่ก็ไม่กล้าปรึกษาใคร จึงตัดสินใจระบายความรู้สึกทั้งหมดกับ ChatGPT และสิ่งที่ได้กลับมาคือชุดคำแนะนำที่เป็นรูปธรรม เช่น การเขียน "Love List" เพื่อระลึกถึงคนที่รักเรา ซึ่งช่วยให้เธอรู้สึกดีขึ้นในเวลาไม่กี่นาที

ซึ่งมีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่ใช้ AI เป็นที่ปรึกษาเพื่อรับมือกับความวิตกกังวล ปัญหาความสัมพันธ์ หรือแม้แต่ปัญหาสุขภาพจิตที่ได้รับการวินิจฉัยแล้ว และอีกหลายครั้ง ที่เราพบว่าบางคนถึงขั้นชอบคำตอบของ ChatGPT มากกว่าคำตอบของนักบำบัดตัวจริงเสียอีก!

ข้อจำกัดที่ควรระวัง...ก่อนจะเชื่อใจ AI ทั้งหมด

แม้จะดูเหมือนเป็นเครื่องมือมหัศจรรย์ แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตหลายท่านก็ยังคงสงสัยในประสิทธิภาพและประโยชน์ของการใช้ AI เพื่อการบำบัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ละเอียดอ่อนและรุนแรง

AI ไม่มี "ความรู้สึก" และไม่สามารถเข้าใจอารมณ์หรือบริบทชีวิตที่ซับซ้อนของคนเราได้อย่างแท้จริง ทำให้คำแนะนำที่ได้อาจไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสม โดยเฉพาะในสถานการณ์วิกฤต เช่น การประเมินความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย ซึ่งเป็นสิ่งที่ AI ทำไม่ได้เลย

อีกทั้ง ChatGPT มีความเอนเอียงไปในแนวทางการบำบัดแบบ Cognitive Behavioral Therapy (CBT) อย่างมาก ซึ่งแม้จะดีสำหรับบางคน แต่ไม่ใช่ทุกคนจะเหมาะกับแนวทางนี้ หากผู้ใช้ไม่รู้ว่ามีแนวทางการบำบัดแบบอื่นอยู่ ก็อาจไม่ได้รับการแก้ปัญหาที่ตรงจุดและอาจทำให้ท้อใจกับการบำบัดไปเลย

ความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัว: การเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวที่ละเอียดอ่อนให้ AI รับรู้มีความเสี่ยงที่ข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำไปใช้ในทางอื่นได้ในอนาคต ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องระวังอย่างยิ่ง

ดังนั้น AI เป็น "เครื่องมือเสริม" ไม่ใช่ "นักบำบัด" ตัวจริง

อย่างไรก็ตาม AI มีข้อดีในแง่ของการเข้าถึงที่ง่าย สะดวก และไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งอาจเป็นประโยชน์สำหรับคนที่มีปัญหาในระดับที่ไม่รุนแรง หรือใช้เป็นเครื่องมือเพื่อเสริมการบำบัดที่เรากำลังทำอยู่แล้ว เช่น การใช้ AI เพื่อช่วยคิดกิจกรรมใหม่ๆ ในการบำบัดภาวะ #ซึมเศร้า

ดังนั้น แม้ว่า ChatGPT จะเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เราได้ระบายและจัดระเบียบความคิดได้ แต่สิ่งสำคัญคือเราต้องตระหนักอยู่เสมอว่า AI ไม่สามารถแทนที่ความสัมพันธ์และความเข้าใจที่ลึกซึ้งของนักบำบัดตัวจริงได้ สำหรับปัญหาที่ซับซ้อนและละเอียดอ่อน การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่เป็นมนุษย์ยังคงเป็นทางเลือกที่ดีและปลอดภัยที่สุดค่ะ

รีวิวเฟอร์นิเจอร์สุดฮีลใจ: AOMORI SERIES จาก Index Living Mall! 🌿ใครที่กำลังมองหาเฟอร์นิเจอร์แต่งบ้านที่ไม่ได้มีแค่ดีไซน...
08/08/2025

รีวิวเฟอร์นิเจอร์สุดฮีลใจ: AOMORI SERIES จาก Index Living Mall! 🌿

ใครที่กำลังมองหาเฟอร์นิเจอร์แต่งบ้านที่ไม่ได้มีแค่ดีไซน์สวย แต่ยังช่วยฮีลใจให้รู้สึกผ่อนคลายจากความเหนื่อยล้าในแต่ละวัน ต้องไม่พลาดคอลเลกชันใหม่ล่าสุดจาก Index Living Mall ที่ชื่อว่า “AOMORI SERIES” เลยค่ะ!

บอกเลยว่านี่ไม่ใช่แค่เฟอร์นิเจอร์ไม้จริงธรรมดาๆ แต่คือการผสมผสานงานดีไซน์สไตล์ JAPANDI ที่รวมความสงบแบบ Zen ของญี่ปุ่นเข้ากับความอบอุ่นแบบสแกนดิเนเวียนได้อย่างลงตัวสุดๆ

สัมผัสความอบอุ่นที่มาพร้อมดีไซน์สุดละมุน

ทันทีที่ได้เห็น AOMORI SERIES สิ่งแรกที่สะดุดตาคือ เส้นสายที่โค้งมน ต่างจากเฟอร์นิเจอร์ไม้ทั่วไปที่เน้นเส้นตรง ทำให้รู้สึกถึงความอ่อนโยนและนุ่มนวลอย่างน่าประหลาดใจ บวกกับลวดลายเนื้อไม้ที่เผยให้เห็นความสวยงามตามธรรมชาติ และสีเอิร์ธโทนที่เรียบง่ายสบายตา ทำให้บรรยากาศในบ้านดูอบอุ่นและสงบขึ้นทันที

ทางแบรนด์บอกว่าแรงบันดาลใจคือการสร้าง "Slow Living Space" หรือพื้นที่ที่ให้เราได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ เหมือนกับช่วงเวลาสบายๆ ในตอนเช้าที่คุณได้จิบกาแฟแก้วโปรดเพื่อเตรียมตัวสำหรับวันใหม่ ซึ่งพอได้ลองใช้เฟอร์นิเจอร์เหล่านี้แล้วก็รู้สึกได้ถึงความหมายนั้นจริงๆ ค่ะ

ตอบโจทย์ชีวิตคนเมือง...ทั้งสวยและใช้งานได้จริง!

สำหรับใครที่อยู่คอนโดมิเนียมหรือห้องที่มีพื้นที่จำกัด ไม่ต้องกังวลเลยค่ะ เพราะ AOMORI SERIES ออกแบบมาให้มีหลายขนาด และมีไอเท็มให้เลือกครบทุกห้องในบ้าน ทั้งห้องนอน (มีเตียงให้เลือกตั้งแต่ 3.5, 5, 6 ฟุต), ห้องนั่งเล่น, โซฟา ไปจนถึงมุมทานอาหาร แถมยังมีของตกแต่ง Mood & Tone เดียวกันให้เลือกจัดเซตอีกกว่า 20 รายการ! จะเลือกแต่งแบบครบชุดหรือแยกชิ้นก็ดูดีไปหมด

ที่สำคัญคือเฟอร์นิเจอร์ซีรีส์นี้ยังเป็นมิตรกับโลกด้วย เพราะทำมาจาก ไม้ยางพารา ที่ไม่ผลิตน้ำยางแล้ว ซึ่งเป็นการนำทรัพยากรธรรมชาติมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และที่น่ารักไปกว่านั้นคือ ทางแบรนด์ยังนำ ผ้าขาวม้าทอมือจากจังหวัดน่าน มาเป็นของตกแต่งสุดเก๋ ไม่ว่าจะเป็นผ้าคาดเตียงหรือผ้าคาดโต๊ะอาหาร ที่ช่วยเพิ่มลูกเล่นและสะท้อนความเรียบง่ายแบบไทยๆ ได้อย่างลงตัว

ถ้าคุณกำลังมองหาเฟอร์นิเจอร์ที่จะมาช่วยเติมเต็มความสุขและสร้างบรรยากาศดีๆ ให้กับบ้าน นี่คือซีรีส์ที่คุณควรไปลองสัมผัสด้วยตัวเองค่ะ เพราะความรู้สึกที่ได้ "หยุดพัก" จริงๆ มันดีกว่าที่คิด! ไปดูของจริงกันได้เลยที่ Index Living Mall ทุกสาขา หรือจะช้อปออนไลน์ก็ได้เช่นกันค่ะ!

All-new HYUNDAI SANTA FE: SUV ไฮบริดสุดพรีเมียม ที่ให้ครบจบในคันเดียว!ทุกคนที่กำลังมองหารถ SUV ไซส์ใหญ่ 3 แถว 6 ที่นั่ง ...
08/08/2025

All-new HYUNDAI SANTA FE: SUV ไฮบริดสุดพรีเมียม ที่ให้ครบจบในคันเดียว!

ทุกคนที่กำลังมองหารถ SUV ไซส์ใหญ่ 3 แถว 6 ที่นั่ง ต้องรีบมามุงทางนี้เลยค่ะ! ✨ เพราะล่าสุด Hyundai Mobility (ประเทศไทย) ได้เปิดตัว The all-new SANTA FE รถยนต์ไฮบริดระดับเรือธงที่มาพร้อมดีไซน์ล้ำๆ ฟังก์ชันแน่นๆ และความคุ้มค่าเกินราคาแบบที่ต้องบอกต่อ!

บอกเลยว่ารถคันนี้ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์แบบไร้ขีดจำกัด ตั้งแต่สายครอบครัวไปจนถึงสายแอดเวนเจอร์ และนี่คือ 10 เหตุผลเด็ดๆ ที่คุณต้องลองสัมผัสด้วยตัวเอง! 👇

10 เหตุผลที่ทำให้ The all-new SANTA FE เป็น SUV ในฝันของทุกคน!

ดีไซน์ Boxy สุดเท่: โดดเด่นด้วยดีไซน์ทรงเหลี่ยมที่เป็นเอกลักษณ์ ดูแข็งแกร่งแต่ก็ทันสมัย สะดุดตาทุกมุมมอง!

พื้นที่สัมภาระใหญ่สะใจ: เก็บของได้จุใจถึง 1,949 ลิตร! ไม่ว่าจะถุงกอล์ฟ 4 ใบ หรือจักรยาน 3 คัน ก็ขนได้สบายๆ พร้อมลุยทุกทริป!

พลังแรงสั่งได้: เครื่องยนต์ไฮบริดเทอร์โบให้กำลังถึง 232 แรงม้า และแรงบิด 367 นิวตัน-เมตร ตอบสนองทันใจแม้รถไซส์ใหญ่ก็ขับคล่องตัว!

Hybrid ทั้งแรงและประหยัด: นอกจากจะขับสนุกแล้ว ยังประหยัดน้ำมันสุดๆ เฉลี่ยสูงสุดถึง 19.6 กม./ลิตร!

เบาะ Captain Seat แถว 2: ปรับไฟฟ้าได้และมีฟังก์ชัน "One Touch Relaxation" แค่กดปุ่มเดียวก็เอนนอนได้ทันที! บอกเลยว่าสบายเหมือนนั่งเฟิร์สคลาส!

ฟีเจอร์พรีเมียมจัดเต็ม: มีครบทั้งจอ Panoramic Curved Display 2 จอ, ที่ชาร์จไร้สาย 2 จุด, ไฟ Ambient Light 64 เฉดสี และหลังคา Sunroof ไฟฟ้า 2 บาน!

ความสะดวกสบายทุกจุด: พอร์ตชาร์จ USB-C 6 ตำแหน่ง, ที่วางแก้ว 16 จุด และคอนโซลกลางที่เปิดได้ทั้งจากด้านหน้าและด้านหลัง!

ระบบความปลอดภัย Hyundai SmartSense: อุ่นใจตลอดการเดินทางด้วยเทคโนโลยีช่วยขับขี่อัจฉริยะถึง 13 ระบบ!

ช่วงล่างจูนพิเศษ: ขับในเมืองก็นุ่มสบาย ออกถนนใหญ่ก็แน่นหนึบ มั่นใจได้ทุกสภาพถนน!

รางวัลระดับโลกการันตี: คว้ารางวัลมาแล้วกว่า 13 รางวัลในปี 2024-2025 ทั้งดีไซน์, ความปลอดภัย และสมรรถนะ!

The all-new SANTA FE มีให้เลือก 2 รุ่น ได้แก่ รุ่น Exclusive (1,599,000 บาท) และ รุ่น Prestige (1,749,000 บาท) พร้อมการรับประกันคุณภาพตัวรถนาน 5 ปี และแบตเตอรี่ไฮบริด 8 ปี!

อยากรู้ว่าดีจริงไหม ต้องลองมาสัมผัสด้วยตัวเอง! ไปทดลองขับได้เลยที่โชว์รูมฮุนไดทั่วประเทศ แล้วคุณจะเข้าใจคำว่า “Open for More Horizons” มากกว่าเส้นขอบฟ้าคือคำว่าอิสระ!

#รถยนต์ไฮบริด #รถยนต์ครอบครัว #รีวิวรถยนต์ #รถใหม่ #รถน่าใช้ #ยานยนต์

ที่อยู่

Sugarplum Co. , Ltd
Bangkok
10600

เบอร์โทรศัพท์

+66919262697

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Fleekผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์