InfoStory สาระความรู้ ที่จะถูกถ่ายทอดผ่านภาพอินโฟกราฟิกสุดสบายตาและเรื่องราวแบบเพื่อนนั่งเล่าให้ฟัง :)
(1)

ติดต่อพวกเราสำหรับ งานบริการคิด Content และ Infographic หรือ งานโฆษณา ได้ที่ อีเมล์ [email protected]

ชวนส่อง "Bulletproof Coffee" กาแฟกันกระสุน สยบทุกความง่วง ☕🥱เชื่อว่าเพื่อน ๆ หลายคนน่าจะพอได้ยินเจ้ากาแฟกันกระสุน (Bulle...
26/10/2025

ชวนส่อง "Bulletproof Coffee" กาแฟกันกระสุน สยบทุกความง่วง ☕🥱

เชื่อว่าเพื่อน ๆ หลายคนน่าจะพอได้ยินเจ้ากาแฟกันกระสุน (Bulletproof Coffee) แก้วนี้มากันบ้างแล้ว เพราะมันเคยเป็นกระแสอยู่ช่วงนึงเมื่อประมาณสักช่วงก่อนโควิด จำได้ว่าช่วงนั้นกระแสสายสุขภาพคีโตกำลังมา เจ้าเมนูกาแฟกันกระสุนนี้ ก็เลยเป็นกระแสไปด้วย


เรื่องของเรื่องก็คือ เราเองเพิ่งจะได้ลองชิมเองอย่างจริงจังเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา 🤣 พอดีว่าเทรนเนอร์ฟิตเนสของเราเอง เขาได้แนะนำสูตรกาแฟผสมเนย ซึ่งเทรนเนอร์เขาบอกเราว่า มันจะช่วยให้คาเฟอันอยู่กับเราได้นานขึ้น ก็เลยไปนั่งหาข้อมูล เลยพบว่า อ้อออ ! มันคือกาแฟกันกระสุนที่เคยเป็นกระแสไปแล้วนี่เอง (รู้สึก เชย ขึ้นมาทันที 5555)

งั้นถือว่าแชร์เป็นสาระความรู้สบายสมองไปเลยละกัน วันนี้พวกเรา InfoStory ขอพาเพื่อน ๆ ไปรู้จักเจ้ากาแฟกันกระสุนกัน มันเป็นเพียงแค่กาแฟผสมเนยเองเหรอ ? แล้วส่วนผสมแค่ 2 อย่างนี้ มันทำให้คาเฟอีนอยู่ได้นานขึ้นได้ยังไงนะ ?

— — — — — — — — — — — —

[ 🔬 ใครเป็นคนคิดค้นสูตร “กาแฟกันกระสุน” อันนี้ขึ้นมานะ ]

ขอพูดถึงส่วนผสมของ กาแฟกันกระสุน กันสักนิด จริง ๆ มันคือ “กาแฟดำ + เนย + น้ำมันมะพร้าว” (เดี๋ยวเรามาเจาะในส่วนผสมให้นะ) คือใจนึงเราก็คิดว่า จะใช้คำว่าคิดค้นได้ไหมนะ เพราะแค่ลองใส่ส่วนผสมที่ไม่น่าจะเข้ากัน 2-3 อย่าง ก็ได้ออกมาเป็นสิ่งใหม่แล้ว แต่เอาเป็นว่า มันกลายเป็นส่วนผสมที่ลงตัวทั้งรสสัมผัสแล้วก็ประโยชน์ ☕️🧈🥥

(ประโยชน์ที่ว่านี่ อาจจะเป็นเฉพาะแต่ละบุคคลนะ อย่างเราเองที่กินกาแฟบ่อยอยู่แล้ว ส่วนตัวจับความต่างไม่ค่อยได้แห่ะ คือมันไม่ได้ดีดไปกว่าเดิมอะ 555)

ผู้คิดค้นเจ้าสูตรกาแฟนี้ คือคุณ Dave Asprey — นัก Biohacker* ชื่อดังชาวอเมริกัน ซึ่งเขาค้นพบระหว่างเดินทางในเทือกเขาหิมาลัย คือคุณเดฟเขาได้ลิ้มลองชาเนยจามรี (Yak Butter Tea) ของชาวทิเบต ซึ่งเดิมทีคนท้องถิ่นเขาดื่มเพื่อช่วยให้คนท้องถิ่นอยู่รอดในอากาศบางและอุณหภูมิติดลบ

(* 👋🏻ขอแวะตรงนี้แปปนึง เผื่อเพื่อน ๆ บางคนไม่คุ้นหู ชื่อเรียก “Biohacker” มาจากคำว่า “Biology” (ชีววิทยา) + “Hacker” (แฮ็กเกอร์) ซึ่งจะหมายถึง คนที่ทดลอง ปรับแต่ง หรือควบคุมชีววิทยาของตัวเอง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพร่างกายและสมองให้ดีขึ้น โดยที่ใช้วิธีธรรมชาติและทำได้เองที่บ้าน)

อะ มาต่อกัน หลังจากที่คุณเดฟเขาชิมชาแล้ว ประสบการณ์นั้นทำให้เขาคิดว่า ถ้าชาใส่เนยช่วยให้ร่างกายอึดทนลมทนหนาวได้ งั้นก็น่าจะลองดูกับกาแฟเหมือนกันนะ

คุณเดฟก็เลยนำแนวคิด "ไขมันให้พลังงาน" จากเนยตัวนี้มาดัดแปลง ปรับสูตรให้เข้ากับวิถีชีวิตตะวันตก โดยเปลี่ยนจากชาเป็นกาแฟ และใช้น้ำมันมะพร้าว (MCT Oil) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการสร้างพลังงานให้ถึงขีดสุด


ทีนี้ เจาะลึกลงไปอีกนิด ในมุมของวิทยาศาสตร์เนี่ย มันก็ไม่ได้เรียกว่ามโนซะทีเดียวนะ 🤓

🧈เพราะว่า เนย (ที่เขากล่าวถึงจะเป็น Grass fed butter และ Ghee) เนยพวกนี้มีไขมันสูงและเป็นกรดไขมันสายสั้น ส่วนน้ำมันมะพร้าว MCT (Medium Chain Triglycerides) มีคุณสมบัติพิเศษคือมันไม่ต้องผ่านกระบวนการย่อยแบบไขมันทั่วไป (ไม่ต้องใช้เอนไซม์จากตับอ่อนหรือกรดน้ำดีมากนัก) เมื่อเข้าสู่ตับ มันจะถูกเปลี่ยนเป็น คีโตนบอดี้ (Ketone bodies) ทันที

เท่าที่เราเข้าใจ ส่วนผสมพวกนี้มันทำงานกันเป็นทีมเวิร์คเลย
คาเฟอีนทำให้สมองตื่นตัว + ไขมันจากเนยจะช่วยทำให้คาเฟอีนดูดซึมช้าลง

ในขณะเดียวกัน MCT จะให้พลังงานต่อเนื่องจากคีโตน
ผลคือ คาเฟอีนทำงาน “ยาวกว่า นิ่งกว่า” และไม่พุ่งแค่วูบเดียวหรือไม่เหวี่ยงเหมือนกาแฟดำ

— — — — — — — — — — — —

เอาละ พูดมาขนาดนี้ เพื่อน ๆ หลายคนคงไปเริ่มลองเอาเนยใส่กาแฟดำกันแล้วแน่ๆเลย 😋

แต่ว่า เราเองยังแอบสงสัยอยู่ว่า ทำไมเราลองดื่มแล้ว มันไม่ได้เป็นอย่างที่สาธยายไว้ข้างบน….

คือในมุมวิทยาศาสตร์ มันก็มีข้อจำกัดเบา ๆ นะ ซึ่งขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล (อาจจะเช่นเรา ละมั้ง)

ต้องบอกว่า เจ้ากาแฟกันกระสุนสูตรนี้ มันอาจไม่ได้ให้ผลลัพธ์เดียวกันกับทุกคน เพราะร่างกายแต่ละคนมีความสามารถในการสร้างและใช้คีโตนไม่เท่ากัน แล้วพวกบทความต่าง ๆ ที่เราพยายามหาอ่านมาเกี่ยวกับ เจ้าน้ำมัน MCT ที่ใส่มาเพื่อเพิ่มคีโตน ในส่วนเรื่องของ “ผลต่อสมาธิหรือสมองในระยะยาว” ยังต้องศึกษาเพิ่มเติม คือยังไม่ได้มีการยืนยันออกมาแบบเต็ม ๆ นะ

อีกทั้งคนที่มีปัญหาไขมันในเลือดสูง ควรระวังไขมันอิ่มตัวจากเนย/กี คือมันเป็นเครื่องดื่มที่ให้พลังงานสูงนะ อย่าลืมว่ามันไม่ใช่แค่กาแฟดำ และหากเราดื่มแทนมื้อเช้าโดยไม่มีโปรตีนหรือผักเลย อันนี้อาจจะไม่ได้โอเคมากเท่าไร เพราะเสี่ยงขาดสารอาหารได้ (หากว่าเพื่อน ๆ ไม่ได้ปรับสภาพเป็นสายคีโตจริง ๆ นะ)


ใครลองกันมาแล้ว ให้ผลลัพธ์ยังไง มาแชร์ให้เราฟังกันบ้างน้าาาา ! 😍


#กาแฟ
#กาแฟเนย

แหล่งอ้างอิงเพิ่มเติม
- บทความ How Bulletproof Coffee Got Its Peculiar Name จากเว็บ tastingtable
- บทความ What’s the Story Behind Bulletproof Coffee? จากเว็บ wanderlust
- บทความ กาแฟกันกระสุน โดยคุณโตมร ศุขปรีชา จากเว็บ the101
- บทความ 3 Potential Downsides of Bulletproof Coffee จากเว็บ healthline

ชวนรู้จักเบียร์ Märzen ฉายาเบียร์แห่ง Oktoberfest ! 🍻🇩🇪พอถึงช่วงต้นตุลาของทุกปี ก็จะต้องมีคอนเทนต์อะไรสักนิดเกี่ยวกับเทศ...
01/10/2025

ชวนรู้จักเบียร์ Märzen ฉายาเบียร์แห่ง Oktoberfest ! 🍻🇩🇪

พอถึงช่วงต้นตุลาของทุกปี ก็จะต้องมีคอนเทนต์อะไรสักนิดเกี่ยวกับเทศกาล Oktoberfest สักหน่อย แต่ปีนี้ไม่ค่อยเห็นคนพูดถึงกันเท่าไร อาจเพราะมีเรื่องราวที่น่าสนใจรายวันทับกันเต็มไปหมดเลย

จำความได้ตอนที่เราไปเทศกาล Oktoberfest ที่แบบว่าภาพตัดจริงจังเลยเนี่ยก็คงสัก 10 ปีก่อน เรียกได้ว่าสนุกสุดเหวี่ยงเลย แถมแก้วเบียร์ที่เต็นท์ของ Paulaner ก็ใหญ่และหนักม๊ากก ตอนนั้นเราเองก็ไม่ได้สนใจหรอกว่ามันเป็นเบียร์ประเภทอะไร รู้แค่ว่ามันสดชื่นดี …. สดชื่นไปสักพัก อ้าว ภาพตัดเฉย ทำไมมันเช้าแล้วหว่าา … 🤣 (แถมโดนเพื่อนเอาปากกาเมจิคมาเขียนหน้าด้วย 😵‍💫)

แต่วันนี้พวกเราพอจะทราบแล้ว ว่าเจ้าเบียร์ที่ทำเราวาร์ปไปเมื่อ 10 ปีก่อนเนี่ย มันไม่ใช่เบียร์ลาเกอร์ฉบับปกติ ๆ แต่มันคือเบียร์ลาเกอร์ “Märzen” ฉายาเบียร์แห่ง Oktoberfest นั่นเองคร้าบบ

งั้นถ้าเพื่อน ๆ อยากแวะพักอ่านอะไรเบา ๆ แถมความสดชื่น กันสักนิด ขอเชิญแวะมาอ่านเรื่องราวกับพวกเรา InfoStory กันดีกว่า ! 🤩

— — — — — — — — — — — — — — —

[ Märzen ฉายาเบียร์แห่ง Oktoberfest นี้ มีที่มานะ ! 🤩 ]

อาจฟังดูเหมือนเป็นกิมมิค เรียกแขกมางาน Oktoberfest แต่ว่าเรื่องราวของเจ้าเบียร์ตัวนี้อาจมีมากกว่านั้นสักนิด

🍺 Märzen เป็นเบียร์ในกลุ่มเบียร์ลาเกอร์ (Lager) มีสีน้ำตาลแดง มีต้นกำเนิดจากแคว้นบาวาเรียนี่ละ
ซึ่งชื่อของเค้าเองเนี่ย März ที่เพื่อน ๆ น่าจะพอเดากันได้ว่าเป็นภาษาเยอรมันที่หมายถึง เดือนมีนาคม

ซึ่งเบียร์แห่งเดือนมีนาคมอันนี้เนี่ย ย้อนกลับไปในสมัยก่อน เขาจะผลิตเบียร์ตัวนี้ในช่วงเดือนมีนาคม และกว่ามันจะมาดื่มได้เนี่ยก็ต้องสักช่วงเดือนตุลาคมเลยละ

เหตุผลที่ต้องผลิตในเดือนมีนาคมนั้น คือในสมัยก่อนในยุคที่ยังไม่มีตู้เย็น กฎหมายของแคว้นบาวาเรียโบราณ (Reinheitsgebot) ได้สั่งห้ามการต้มเบียร์ในช่วงฤดูร้อน (ระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงกันยายน) เนื่องจากความร้อนสูงเสี่ยงทำให้เบียร์ติดเชื้อแบคทีเรียจนเน่าเสียได้ง่าย และยังเสี่ยงต่อการเกิดไฟไหม้จากการต้มน้ำร้อนในโรงเบียร์ไม้อีกด้วย

ดังนั้น โรงเบียร์ในบาวาเรียจึงนิยมผลิตเบียร์ล็อตใหญ่ในเดือนมีนาคม ก็เลยต้องหาวิธีในการถนอมเบียร์ให้อยู่ได้นานขึ้น ในที่นี้คืออยู่ในจนผ่านช่วงกฎหมายห้ามผลิตเบียร์ และได้ทันดื่มทันทีหลังจากหมดช่วงระยะเวลาห้ามผลิตนั่นเอง โดยเขาก็จะใส่มอลต์มากขึ้นและเพิ่มปริมาณฮอปส์ เพื่อให้เบียร์เก็บได้ทนกว่าและสดอยู่ตลอดฤดูร้อน จากนั้นเบียร์ชนิดนี้ถูกเก็บไว้ในถ้ำเย็นหรือห้องใต้ดินที่มีน้ำแข็ง และพร้อมดื่มได้ตั้งแต่ฤดูใบไม้ร่วงเป็นต้นไป

จึงทำให้เบียร์ Märzen จึงมีฉายา "เบียร์แห่ง Oktoberfest" เพราะการได้ดื่มเฉลิมฉลองเบียร์ชนิดนี้ในช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วง ก็หมายถึงจุดเริ่มต้นแห่งความสุขของชาวเยอรมันนั่นเอง

เมื่อเทศกาล Oktoberfest เริ่มต้นขึ้นครั้งแรกในปี 1810 เพื่อจัดเป็นงานเฉลิมฉลองอภิเษกสมรสของกษัตริย์ลุดวิกที่ 1 กับเจ้าหญิงเทเรซ่า เจ้าเบียร์ Märzen ตัวนี้ละที่กลายเป็นพระเอกของงาน ที่พร้อมเสิร์ฟในช่วงเวลานั้นพอดี ด้วยรสชาติที่เข้มข้นและกลมกล่อมกว่าลาเกอร์ทั่วไป จึงถูกเลือกให้เป็นเบียร์หลักของงานนับตั้งแต่นั้นมา

ด้วยวิธีการผลิตแบบนี้เนี่ย ทำให้เบียร์ Märzen มีรสมอลต์ชัดเจนปนกลิ่นหอมคาราเมล แต่ก็จะมีแอลกอฮอล์ประมาณ 5.8% ซึ่งก็ไม่น้อยเท่าไรเลยนะ


ถ้าเพื่อน ๆ ท่านไหนที่ดูฟุตบอล ก็อยากให้นึกถึงภาพที่นักเตะผู้เล่นคนใหม่ ๆ ที่เพิ่งมาเข้าร่วมทีมบาเยิร์นมิวนิก จะต้องตอกเบียร์จากถังไม้ ประมาณนั้นเลย

ทีนี้เราก็จะเห็นว่าสีของเบียร์มันดูสดใสกว่าที่สีที่เบียร์ Märzen มันควรจะเป็น ก็เลยไปหาข้อมูลเพิ่มเติมมาสักนิด โดยในปัจจุบัน เบียร์ที่เสิร์ฟในเต็นท์ต่างๆ ของเทศกาล Oktoberfest ส่วนใหญ่จะนิยมใช้เบียร์สไตล์ "Festbier" ซึ่งเป็นเบียร์ที่พัฒนามาจาก Märzen ให้มีสีทองสว่างและดื่มง่ายขึ้น เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศการดื่มเฉลิมฉลองที่ยาวนาน นั่นเองคร้าบ (ตัวพวกเราเองก็ไม่อาจแยกความแตกต่างได้ขนาดนั้น ต้องขออภัยที่อธิบายได้เพียงเท่านี้นะคร้าบ 🥲)


เอ้อ พูดมาตั้งนาน อาจลืมแวะอธิบายสักนิดว่า “Oktoberfest” คือเทศกาลอะไรเนอะ ?

Oktoberfest เป็นเทศกาลพื้นเมืองของแคว้นบาวาเรีย (Bavaria) ประเทศเยอรมนี
โดยเขาจะจัดขึ้นทุกปีที่เมือง มิวนิก (Munich) เริ่มตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกันยายน ไปจบในวันอาทิตย์แรกของเดือนตุลาคม อย่างปีนี้ก็จะเป็นช่วงวันที่ 20 กันยายน - 5 ตุลาคม เทศกาลงานดื่มนี้เนี่ย มีผู้เข้าร่วมกว่า 6–7 ล้านคนต่อปี กลายเป็นเทศกาลเบียร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกเลยละ !

ถ้าเพื่อน ๆ ที่ไปเคยไปเยือนมาแล้ว ก็คงจะเห็นแบรนด์เบียร์เยอรมันแค่ไม่กี่แบรนด์เนอะ เพราะเขาจะเสิร์ฟเฉพาะเบียร์ที่ต้มโดยโรงเบียร์ 6 แห่งในมิวนิก เท่านั้น ได้แก่ Hofbräu, Augustiner, Paulaner, Spaten, Löwenbräu, Hacker-Pschorr

แต่พอไปแล้ว ช่วงเพลิน ๆ หน่อย เข้าเต็นท์ท์ไหน ๆ ก็คือๆกันแล้วละคร้าบบ 🤣 คนแน่นทุกเต็นท์





แหล่งอ้างอิงเพิ่มเติม
- หนังสือ Writer's Taste เขียนโดย อุทิศ เหมะกูล (ขอบอกว่าเล่มนี้อ่านสนุกมาก ได้รู้จักหลายๆแบรนด์และเรื่องราวของเบียร์แต่ละชนิด ดื่มไปพร้อมได้ความรู้ไป)
- บทความ Oktoberfest Märzen - The Original The one that started it all จากเว็บ Paulaner
- บทความ What Are Oktoberfest Lagers? จากเว็บ beantobarstool
- บทความ Beer Design Case Study: Marzen จากเว็บ beersmith

ชวนส่อง "นัตโตะ" เหนียวยืด กลิ่นแรง ถั่วเน่าที่คนญี่ปุ่นรักจริงจัง 🫘🇯🇵💖ช่วงนี้เราเห็นเริ่มมีคนไทยหันมากิน “นัตโตะ” หรือถ...
21/09/2025

ชวนส่อง "นัตโตะ" เหนียวยืด กลิ่นแรง ถั่วเน่าที่คนญี่ปุ่นรักจริงจัง 🫘🇯🇵💖

ช่วงนี้เราเห็นเริ่มมีคนไทยหันมากิน “นัตโตะ” หรือถั่วเน่าญี่ปุ่นกันมากขึ้น เอาจริง ๆ ก็เห็นมาตั้งแต่ปีก่อนแล้ว ก่อนชาเขียวญี่ปุ่นจะบูมเสียอีกนะ (หรืออาจเป็นเพราะเราเสิร์ชเกี่ยวกับอาหารญี่ปุ่นหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ มันเลยขึ้นฟีดมาให้
🤣)

งั้นเอาเป็นว่า วันนี้พวกเรา InfoStory ขอชวนเพื่อน ๆ ไปรู้จักถั่วเน่าญี่ปุ่นกันสักนิดดีกว่า😋

— — — — — — — — — —

[ กว่าจะมาเป็น "นัตโตะ" ถั่วเน่าขวัญใจชาวญี่ปุ่น 🫘🎌 ]

1. คัดเลือกถั่วเหลือง และนำมาต้มจนสุก

คัดเลือกถั่วเหลืองเมล็ดเล็ก (เพราะให้เนื้อสัมผัสดีกว่าและหมักได้ทั่วถึง) แล้วนำไปแช่น้ำและต้มหรือนึ่งจนสุกนุ่ม


2. ถั่วเหลืองสุกจะถูกนำมาหมักด้วยแบคทีเรียชนิดดีที่มีชื่อว่า Bacillus subtilis (var.natto)

ในอดีต กรรมวิธีดั้งเดิมคือการนำถั่วเหลืองสุกไปห่อด้วยฟางข้าว เท่าที่เราอ่านมาคือว่า สมัยก่อนโน้นคนญี่ปุ่นพบเจ้าตัวแบคทีเรียตัวนี้โดยบังเอิญจากการหมักฟางข้าวทิ้ง คือมันเป็นแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติ แต่ปัจจุบันน่าจะไม่ธรรมชาติมากแล้วละ (เพราะเป็นการผลิตระดับอุตสาหกรรมแล้วละเนอะ) จากนั้นทิ้งไว้ประมาณ 1 วันในอุณหภูมิที่เหมาะสม เพื่อให้แบคทีเรียเจริญเติบโต (เห็นเขาว่าประมาณ 40 องศา เลยนะ มันก็อุ่นๆแล้วละนะ)

โดยเจ้ากลิ่นเหม็นมันก็มาจากการย่อยสลายโปรตีนจากขั้นตอนนี้ละเด้ออ 🤭


3. หลังหมักเสร็จจะนำไปทำให้เย็นอย่างรวดเร็วเพื่อหยุดการเจริญเติบโต แล้วบ่มในอุณหภูมิต่ำ 1–3 วัน เพื่อให้รสชาติกลมกล่อมขึ้น เสร็จแล้วจึงได้ออกมาเป็นนัตโตะถั่วเหลืองเหนียวพร้อมเส้นยืด ๆ

โพลีแซ็กคาไรด์ → ทำให้เกิด “เส้นยืดเหนียว” ที่เป็นเอกลักษณ์ (มันคือพอลิเมอร์ของกรดอะมิโนกลูตามิก และมีส่วนของ ฟรุกแทน (Fructan) ซึ่งเป็นน้ำตาลโพลีแซ็กคาไรด์)

แอมโมเนีย และกรดอะมิโน → ทำให้เกิดกลิ่นแรงและรสอูมามิ

— — — — — — — — — —

[ ถึงแม้จะชื่อว่าถั่วเน่า แต่ถือเป็นซุปเปอร์ฟู้ดนะ ! 🌟 ]

คำนี้อาจจะฟังกันจนเบื่อแล้วเนอะ แต่ต้องเกริ่นสักนิดคือคำนิยามของซุปเปอร์ฟู้ด ซึ่งคือกลุ่มอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงเป็นพิเศษ อุดมด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายในปริมาณที่เข้มข้นมากกว่าอาหารทั่วไป

✅ Probiotic สูง - จากกระบวนการที่เราได้พูดให้ฟังคร่าว ๆ ข้างบนแล้ว ด้วยวิธีการหมักแบบนี้ละ แน่นอนว่า Probiotic ก็จะสูง ! ช่วยเสริมสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้ สนับสนุนระบบย่อยอาหาร

✅ วิตามิน K2 สูง - วิตามินตัวนี้จะมีบทบาทสำคัญในการพากล้ามเนื้อแคลเซียมไปสู่กระดูก

คำถามคือ… เอ้ะ วิตามิน K2 มันมาจากไหน ?

ตอบได้ว่า ก็มาจากกระบวนการหมักด้วยแบคทีเรีย Bacillus subtilis natto (คือ มันก็มีอยู่อย่างเดียว 5555) แบคทีเรียสายพันธุ์พิเศษนี้มีความสามารถในการสังเคราะห์หรือสร้างวิตามิน K2 ขึ้นมาเอง ในระหว่างกระบวนการเจริญเติบโตและย่อยสลายสารอาหารในถั่วเหลือง ก็คือกินถั่วเหลืองแล้วย่อยออกมาเป็น K2 เป็นผลพลอยได้ (เราว่าน่าทึ่งดีเนอะะ🤩)

แล้วก็เจ้าวิตามิน K2 ที่แบคทีเรียในนัตโตะสร้างขึ้นส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปแบบ Menaquinone-7 (MK-7) มีประสิทธิภาพสูงและร่างกายเราดูดซึมไปใช้ได้ง่าย

✅ แหล่งโปรตีนคุณภาพดี - อันนี้ส่วนตัวเราก็มองว่า ถ้ามันมีประโยชน์ตามข้อ 1 และ 2 แล้วเนี่ย โปรตีนสูงแน่นอน (แล้วก็มีถั่วด้วยอีกนะ)

— — — — — — — — — —

[ นานาสาระไปกับนัตโตะ ! 🫘🇯🇵 🎎]

ชาวญี่ปุ่นกินนัตโตะปีละกว่า 700,000 ตัน หรือเฉลี่ยเกือบ 40 กล่องต่อปี !

ถ้าถามว่าทำไมพวกเขาชอบกินกันขนาดนั้น ก็คงต้องย้อนไปยังเรื่องราวความเป็นมาสักเล็กน้อย

นัตโตะเป็นอาหารที่อยู่คู่ญี่ปุ่นมานานกว่า 1,000 ปี และมีหลายตำนานที่เล่าถึงจุดเริ่มต้น ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีบันทึกไว้ชัดเจน แต่ก็เป็นเรื่องเล่าเป็นตำนานละกันนะ คือคนญี่ปุ่นเชื่อกันว่าเป็นการค้นพบโดย "ความบังเอิญ" เมื่อพันกว่าปีก่อนใน สมัยเฮอัน (Heian Period, ค.ศ. 794-1185) เรื่องเล่าที่โด่งดังและเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายที่สุดเกี่ยวข้องกับนักรบนามว่า มินาโมโตะ โนะ โยชิอิเอะ (Minamoto no Yoshiie)

ในระหว่างการเดินทัพทางตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น กองทัพของโยชิอิเอะได้ต้มถั่วเหลืองเพื่อเป็นเสบียงให้ม้า แต่ถูกข้าศึกลอบโจมตีอย่างกะทันหัน ทำให้พวกเขาต้องรีบเก็บถั่วเหลืองที่ยังอุ่นๆ ยัดใส่ "ถุงฟางข้าว" แล้วหลบหนีไป

หลายวันต่อมา เมื่อเปิดถุงฟางออกดูก็พบว่าถั่วเหลืองได้เปลี่ยนสภาพไป มีลักษณะเป็นเมือกเหนียวยืดและส่งกลิ่นเฉพาะตัว แต่ด้วยความหิวโหย เหล่าทหารได้ลองชิมและพบว่ามันมีรสชาติอร่อยอย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อโยชิอิเอะได้ลองชิมด้วยตนเองก็ชื่นชอบในรสชาติ จึงได้นำวิธีการนี้ไปเผยแพร่

(😤ฮึ่ม… อ่านแล้วก็คุ้นๆกับต้นกำเนิด เนยและชีส ของชาวยุโรปเหมือนกันนะ แต่เป็นตำนานเด็กเลี้ยงแพะแทน)

🏯เวลาผ่านมาเรื่อย ๆ วาร์ปมาในยุคเอโดะ (ค.ศ. 1603–1868) กันเลยละกันนะ เพราะยุคสมัยนี้เนี่ย เป็นยุคที่เหล่าซามูไรเริ่มตกงานกันละ ความสงบสุขในยุคนั้นก็เหมือนการเข้ามาของ AI ในยุคนี้ (อวสานซามูไร👺) ทำให้นัตโตะได้แพร่หลายจากกลุ่มนักรบสู่สามัญชน

โดยว่ากันว่าที่เมืองมิโตะ จังหวัดอิบารากิ ถือได้ว่าเป็นศูนย์กลางการผลิตนัตโตะ และเป็นจุดที่ทำให้นัตโตะโด่งดังไปทั่วญี่ปุ่น จนทุกวันนี้ (แบรนด์ “มิโตะนัตโตะ” ก็กลายเป็นแบรนด์ระดับประเทศด้วยเช่นกัน)


แล้วเพื่อน ๆ ทราบไหมว่า ที่ญี่ปุ่นเค้าก็มีวันนัตโตะด้วยเหมือนกันนะ ! มันคือวันที่ 10 กรกฎาคม (7/10 ออกเสียงว่า なっとうNa-to ในภาษาญี่ปุ่น)

แต่สำหรับคนญี่ปุ่นแล้ว ไม่ต้องรอให้ถึงวันนัตโตะหรอก เพราะส่วนใหญ่เขาก็จะนิยมกินกันเป็นอาหารเช้า นิยมกินนัตโตะกับข้าวสวยร้อนๆ และซุปมิโสะเป็นอาหารเช้า

เคล็ดลับความอร่อย(ที่เราแอบไปลักพักจำมาจากยูทูป 🤣) คือ "การคนนัตโตะ" ก่อนรับประทาน ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่ายิ่งคนมากเท่าไหร่ จะยิ่งทำให้อากาศเข้าไปผสมกับเมือกเกิดเป็นฟองละเอียด เนื้อสัมผัสจะนุ่มฟูขึ้น และที่สำคัญที่สุดคือเป็นการกระตุ้น "รสอูมามิ” ของนัตโตะให้ออกมาเด่นชัดยิ่งขึ้นนั่นเองคร้าบ

— — — — — — — — — —

[ 🌏 นอกจากนัตโตะของญี่ปุ่นแล้ว ประเทศอื่น ๆ ก็มีนัตโตะเหมือนกันนะ ]

🇰🇷 ชองกุกจัง (청국장) หรือแกงถั่วหมักเกาหลี ที่หน้าตาอาจดูไม่คล้าย แต่วิธีการทำคล้าย คือเป็นการต้มถั่วเหลืองแล้วนำไปหมัก แต่จะใช้เวลาหมักสั้นกว่ามาก แต่ถ้าเราเสิร์ชภาพใน google เราก็จะเจอเป็นซุปเนอะ เพราะว่าคนเกาหลีเองก็ไม่นิยมกินชองกุกจังแบบดิบๆ กับข้าวเหมือนนัตโตะของชาวญี่ปุ่น แต่นิยมใช้เป็น "วัตถุดิบหลัก" ในการทำซุปหรือสตูว์ร้อนๆ ที่เรียกว่า "ชองกุกจัง จิเก (Cheonggukjang Jjigae)" นั่นเองคร้าบ

🇮🇳 🇳🇵 คีเนมา (Kinema) นัตโตะจากฝั่งของอินเดียและเนปาล โดยนิยมในชาวเขาในแถบเทือกเขาหิมาลัย โดยเฉพาะในเนปาลและรัฐสิกขิมของอินเดีย โดยเขาจะนำต้มถั่วเหลืองแล้วนำมาทุบให้แตกเล็กน้อย จากนั้นห่อด้วยใบไม้แล้วนำไปหมักใกล้กับเตาไฟเพื่อรักษาอุณหภูมิประมาณ 1-3 วัน จนเกิดการหมักและมีกลิ่นคล้ายนัตโตะญี่ปุ่นนะแหละ มีลักษณะเหนียวเล็กน้อย แต่ไม่ยืดเป็นเส้นยาวเท่านัตโตะ แต่ก็เช่นเดียวกัน ไม่นิยมทานดิบๆแบบคนญี่ปุ่น เขาจะใช้ไปทำเมนูแกงกะหรี่คีเนมา (Kinema Curry) กินกับข้าว หรือทำคีเนมาผัด (Sautéed Kinema) นำไปผัดคลุกกับผักต่างๆ เช่น มะเขือเทศ หัวหอม เพื่อทำเป็นกับข้าว

🇹🇭 ถั่วเน่าไทย เดิมทีเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านของชาวล้านนา เพื่อให้สามารถเก็บ "ถั่วเน่า" ซึ่งเป็นเครื่องปรุงรสสำคัญไว้ใช้ได้ตลอดทั้งปี เราจำได้ว่าเคยทานแบบใส่ในแกงแค แกงฮังเล


ตอนที่เราไปเที่ยวญี่ปุ่นเอง ก็ไปซื้อชุด home kit มาทำกินเองสบายๆ ไม่มั่นใจที่ดองกี้จะมีขายรึเปล่านะ ว่าแล้วก็ขอแว้บเดินออกไปดูดีกว่า 🫘😋


#นัตโตะ
#ถั่วเน่าญี่ปุ่น

แหล่งอ้างอิงเพิ่มเติม
- บทความ Natto – What It Is, Why You Should Eat It And Where To Buy It จากเว็บ lisatselebidis
- บทความ นัตโตะ ถั่วหมักญี่ปุ่นที่ได้ชื่อว่าเป็นสุดยอดอาหารเพื่อสุขภาพ (Superfood) จากเว็บ honmononippon
- บทความ What Is Natto: A Look at Japan’s Polarizing Superfood จากเว็บ Japan living guide
- บทความ What is Japanese Natto? A Guide to Japan’s Fermented Superfood จากเว็บ Japanese Taste
- บทความ 4 วิธี Mix & Match นัตโตะให้อร่อยจนคนไม่ชอบยังต้องเปลี่ยนใจ จากเว็บ Japan Guide Book Thai

ชวนรู้จัก "NALANYA HERBS" นวัตกรรม Facial Longevity แบรนด์ไทย มาตรฐานระดับโลก 🧴🌿🏆วันนี้พวกเรา InfoStory จะชวนมาคุยเรื่อง...
09/09/2025

ชวนรู้จัก "NALANYA HERBS" นวัตกรรม Facial Longevity แบรนด์ไทย มาตรฐานระดับโลก 🧴🌿🏆

วันนี้พวกเรา InfoStory จะชวนมาคุยเรื่องราวของความสวยความงามกันนิดนึง เพราะวันนี้เรามีโอกาสได้รับฟังข้อมูลดีดีของทางแบรนด์ NALANYA HERBS ที่จะมาแชร์ความรู้เกี่ยวกับเครื่องสำอางดูแลผิวหน้าด้วยนวัตกรรมสารออกฤทธื์ชะลอวัย Tri-HERBOSOME กัน 🤓

[ NALANYA HERBS x InfoStory ]

เชื่อว่าเพื่อน ๆ หลายคนน่าจะยังไม่คุ้นหูกับแบรนด์ NALANYA HERBS ต้องบอกว่า NALANYA HERBS เป็นแบรนด์น้องใหม่ ที่ไม่ได้ใหม่ประสบการณ์ เพราะจัดเต็มด้วยเทคโนโลยีบำรุงผิวหน้า

มารู้จักแบรนด์ “NALANYA HERBS” กันสักนิด 🌟

NALANYA HERBS แบรนด์เครื่องสำอางไทย ผู้นำวิจัยค้นคว้าและผลิต Facial Skin Longevity ตามศาสตร์ชะลอวัยผิวหน้า (Facial Anti-Aging Science) เป็นบริษัทที่ค้นพบสารออกฤทธิ์ชะลอวัยผิวหน้า (อนุภาค Tri-HERBOSOME ขนาด 100-150 นาโนเมตร) จากสารสกัดบริสุทธิ์ของสมุนไพร 3 ชนิด (มะขามป้อม แก่นมะหาด บัวบก) ซึ่งมีคุณสมบัติ ปกป้อง ฟื้นฟู บำรุงรักษาสุขภาพผิวหน้า ตามศาสตร์ชะลอวัย ไม่ต้องพึ่งพา NAD+ ที่ลดลงตามอายุขัย

มีแนวความคิดสำคัญคือ "Skincare ของโลกยุคใหม่ ยืดอายุการทำงานของเซลล์ผิวหน้า" (Wellness, Anti-Aging Science,Longevity)

นอกจากเรื่องของคุณภาพเครื่องสำอางแล้ว สิ่งที่เราชอบอีกอย่างหนึ่งก็คือ เป้าหมายสำคัญของแบรนด์ NALANYA HERBS ซึ่งมีจุดมุ่งหมายคือการก่อตั้งศูนย์ฟอกไตเพื่อผู้ยากไร้ โดยไม่มีค่าตอบแทน

แน่นอนว่าพอเป็นการเรียบเรียงและเล่าเรื่องในสไตล์พวกเรา ไม่ต้องกลัวว่าพวกเราจะมาอัดๆการขาย เพราะเราไม่ได้เก่งในเรื่องของการอธิบายสรรพคุณอะไรแบบนั้น แต่จะขอเป็นการแชร์ความรู้ไปแทนนะคร้าบ เราเชื่อว่ามีสาระที่เพื่อน ๆ อาจจะพึ่งรู้ไปพร้อมกับพวกเราอย่างแน่นอน

ในภาพต่อ ๆ ไปเราจะเจาะลึกไปทีละเรื่องราวของ NALANYA HERBS กัน !



ชวนรู้จัก "กาฮ์วะ (Gahwa)" กาแฟอาหรับ ☕🌙วันนี้เรานั่งเสิร์ชดูเมนูกาแฟเล่น ๆ ก็เลยไปเจอกาแฟตัวนึงมาเป็นกาแฟอาหรับ  "กาฮ์ว...
31/08/2025

ชวนรู้จัก "กาฮ์วะ (Gahwa)" กาแฟอาหรับ ☕🌙

วันนี้เรานั่งเสิร์ชดูเมนูกาแฟเล่น ๆ ก็เลยไปเจอกาแฟตัวนึงมาเป็นกาแฟอาหรับ "กาฮ์วะ (Gahwa)" ด้วยอุปกรณ์อะไรต่าง ๆ ที่มันดูหรูหรา แต่ว่าอันที่จริงแล้วมันกลับเป็นกาแฟที่เข้าถึงได้ไม่ยากเลยนะ

งั้นวันนี้พวกเรา InfoStory ขอพาเพื่อน ๆ ไปรู้จักกันสักหน่อย 🥰

— — — — — — —

🇦🇪🇦🇬🇸🇦ต้นกำเนิดของกาแฟอาหรับก็เหมือนกับกาแฟอื่นๆคือเริ่มจากเด็กหนุ่มนามว่า คาลดิ (Kaldi) เด็กเลี้ยงแพะที่ค้นพบเมล็ดกาแฟโดยบังเอิญ

แต่กาแฟสำหรับชาวอาหรับแล้วอาจจะมีเรื่องที่ต่างออกไปอีกนิดนึง คือมีตัวละครสำคัญอย่างกลุ่มนักบวชนิกายซูฟี (Sufi) ในเยเมนเป็นผู้บุกเบิกการดื่มกาแฟอย่างแพร่หลาย ในช่วงศตวรรศที่ 9 พวกเขาใช้กาแฟเป็นเครื่องมือช่วยในการทำสมาธิและประกอบพิธีกรรมทางศาสนา แล้วไม่นานนัก ความนิยมของกาแฟก็ได้แพร่กระจายออกจากอารามสู่สาธารณชน เมืองท่า "โมคา" (Mocha) กลายเป็นศูนย์กลางการค้ากาแฟที่สำคัญที่สุดของโลกในยุคนั้น

จากนั้นกาแฟจากเยเมน ก็แพร่ขยายตามกลุ่มนักบวชเข้ามาถึงประเทศในแถบตะวันออกกลาง ✈️

💨🏃ขอวาร์ปมาในช่วงศตวรรษที่ 16 "ร้านกาแฟ" หรือที่เรียกว่า "ก็อฮ์วะฮ์ คอเนะฮ์" (Qahveh Khaneh) แห่งแรกๆ ในตะวันออกกลาง ได้ถือกำเนิดขึ้นในเมืองใหญ่ที่เป็นศูนย์กลางทางปัญญาและวัฒนธรรม เช่น ไคโร ดามัสกัส แบกแดด และอิสตันบูล สถานที่เหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ที่สำหรับดื่มกาแฟ แต่เป็นศูนย์กลางของสังคม ที่ที่ผู้คนมาพบปะสังสรรค์ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ฟังดนตรี เล่นหมากรุก ส่วนตัวเรานึกถึงแนวคอฟฟี่เฮ้าส์แบบของยุโรปและอเมริกันที่มีการแลกเปลี่ยนอะไรกัน (ซึ่งมันก็คือฟีลแบบสถานที่ต้นกำเนิดของตลาดหุ้นอะไรทำนองนั้น)

ณ จุดนี้เองละ ที่กาแฟได้วิวัฒนาการจากเครื่องดื่มสำหรับศาสนา กลายมาเป็นหัวใจสำคัญของปฏิสัมพันธ์ทางสังคม และเป็นจุดเริ่มต้นของพิธีกรรมการชงและเสิร์ฟ "Gahwa" ที่เปี่ยมไปด้วยความหมายและสัญลักษณ์แห่งการต้อนรับ ซึ่งได้รับการสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน (ไม่นับเรื่องเก็งกำไรของพ่อค้าตะวันออกกลางด้วยนะ 😅😂)

และแน่นอนว่าวิถีชีวิตของชาวอาหรับก็คือเครื่องเทศเครื่องเทศจึงเป็นส่วนประกอบสำคัญของกาแฟอาหรับนั่นเองคร้าบ

— — — — — — —

[ มารู้จักกาแฟอาหรับ กาแฟเครื่องเทศสุดหอมกรุ่น ☕️ ]

หัวใจหลักคือเมล็ดกาแฟสายพันธุ์ อาราบิก้า (Arabica) ที่มีระดับการคั่วอ่อนถึงปานกลาง (Light to Medium Roast) เพราะ การคั่วระดับนี้ทำให้รสชาติไม่ขมจัด แต่เปิดโอกาสให้ “กลิ่นเครื่องเทศ” โดดเด่นขึ้นมาแทน ✨⭐️


เครื่องเทศ (The Spices) เราขอเรียกว่าเป็นจิตวิญญาณแห่งกาแฟอาหรับเลยก็ว่าได้ แน่นอนว่าเขาไม่ได้ใส่นมหรือน้ำตาลแต่อย่างใดนะ 🤣

🌿กระวาน (Cardamom): ถือเป็น "ราชาแห่งเครื่องเทศ" ในการทำ Gahwa และเป็นส่วนผสมที่ขาดไม่ได้โดยเด็ดขาด กระวานเขียวที่ถูกบดใหม่ๆ จะให้กลิ่นหอมสดชื่นอันเป็นเอกลักษณ์

🌿หญ้าฝรั่น (Saffron): ถือว่าเป็นเครื่องเทศราคาแพงที่ช่วยเพิ่มกลิ่นหอมหรูหรา และที่สำคัญคือมอบสีทองงดงามให้กับน้ำกาแฟ เราไปหาอ่านมาเพิ่มอีก เขาบอกว่าการใส่หญ้าฝรั่นยังเป็นการแสดงถึงการให้เกียรติและเคารพต่อแขกผู้มาเยือน

🌿กานพลู (Cloves): เพิ่มมิติของรสชาติให้มีความเผ็ดร้อนเล็กน้อยและมีกลิ่นหอมลุ่มลึก

🧄เครื่องเทศอื่นๆ: ในบางสูตรอาจมีการเพิ่ม อบเชย (Cinnamon) เพื่อให้ความหอมหวาน, น้ำกุหลาบ (Rosewater) เพื่อเพิ่มกลิ่นที่นุ่มนวล หรือ ขิง (Ginger) เพื่อรสชาติที่สดชื่น


ที่นี่ มารู้จักอุปกรณ์สุดสวยงามกันสักหน่อย ☕️🍶

☕️ดัลละห์ (Dallah) หม้อต้มกาแฟสไตล์ชาวอาหรับ

ดัลละห์ คือหม้อต้มและกาน้ำสำหรับเสิร์ฟที่มีรูปทรงเป็นเอกลักษณ์ ที่เห็นแล้ว ก็คือรู้เลยว่าเป็นกลิ่นอายชาวอาหรับ มีลักษณะเด่นคือ ตัวหม้อทรงสูงช่วงกลางคอด มีพวยกาที่ยาวโค้งคล้ายจันทร์เสี้ยว เจ้าความโค้งตรงนี้ เค้าไม่ได้ออกแบบมาเพื่อแค่ความสวยงามนะ แต่ยังออกแบบมาเพื่อการรินที่แม่นยำ และมีฝาปิดทรงแหลม

ดัลละห์มักทำจากโลหะ เช่น ทองเหลือง ทองแดง หรือเงิน และมักจะมีการแกะสลักลวดลายเรขาคณิต คือเป็นการโชว์ศิลปะไปในตัว


ฟินจาน (Finjan): ถ้วยกาแฟจิ๋ว แต่แจ๋ว 🍶

แก้วสำหรับดื่มกาแฟจะเรียกว่าฟินจาน ซึ่งเป็นถ้วยเซรามิกหรือพอร์ซเลนขนาดเล็ก ที่ไม่มีหูจับ (เรานึกถึงถ้วยชาจีนเลย) ขนาดที่เล็กของถ้วยจงใจให้รินกาแฟได้ในปริมาณน้อย เพื่อให้การดื่มเป็นการค่อยๆ จิบ สนทนา และเจ้าบ้านสามารถรินเติมให้ได้เรื่อยๆ เป็นการยืดเวลาแห่งการสังสรรค์และแสดงถึงความใส่ใจ


🥄ครกและสาก (Mehbash)

เราอ่านประสิทธิภาพการคั่วเมล็ดกาแฟด้วยเครื่องคั่ว และบดด้วยเครื่องบด แต่ในแบบอาหรับดั้งเดิม เมล็ดกาแฟคั่วและเครื่องเทศจะถูกบดในครกและสากที่เรียกว่า เมห์บาช (Mehbash) เสียงของการตำเมล็ดกาแฟที่ดังเป็นจังหวะ เขาเปรียบเสมือนกันว่าเป็นเหมือน "ดนตรีแห่งการต้อนรับ" ของชาวเบดูอินในสมัยก่อน เพราะมันคือสัญญาณที่บอกเพื่อนบ้านหรือผู้สัญจรผ่านไปมาว่า กาแฟร้อน ๆ แก้วนี้ กำลังจะพร้อมเสิร์ฟแล้วนะ ขอเชื้อเชิญให้มาร่วมวงดื่มด้วยกัน

— — — — — — —

[ วิธีชงกาแฟแบบอาหรับ ☕️🇸🇦]

ทีนี้พอเรารู้จักอุปกรณ์แล้ว เราก็มาดูวิธีชงปิดท้ายกันสักหน่อย

นำเมล็ดกาแฟที่คั่วเสร็จแล้วไปพักใน ภาชนะไม้ เพื่อคงความหอม (ไม่ใช้โลหะ เพราะทำให้เย็นเร็วเกินไปและเสียรสชาติ)

จากนั้นเริ่มบดเมล็ด (Grinding) ก็คือใช้ Mehbash (ครกและสาก) บดจนได้ผงละเอียด (แต่ไม่ละเอียดเท่า Mocha pot นะ เราอ่านดูแล้วประมาณว่า Fine grinding)

จากนั้นต้มกาแฟ ต้มน้ำสะอาดในดัลลาห์ (Dallah) ก็ต้มในหม้อกาแฟอาหรับอันนั้นเลย แล้วใส่ผงกาแฟลงไป ประมาณ 5–6 กรัม ต่อ น้ำ 100 มล.

ค่อยๆเคี่ยวกาแฟบนไฟอ่อนประมาณ 5–10 นาที แต่อย่าให้เดือดมากเกินไป เพราะจะทำให้รสขมของกาแฟแตกตัวง่าย (แล้วกลบกลิ่นเครื่องเทศ)

แล้วก็รอให้กาแฟเกิดฟองละเอียดเล็ก ๆ ด้านบน แล้วค่อย ๆ ใส่เครื่องเทศ จากนั้นคนเบา ๆ ให้เครื่องเทศเข้ากัน แล้วพักทิ้งไว้ 5 นาที ให้กากตกลงก้นหม้อ


🥰เสร็จแล้วก็พร้อมเสิร์ฟลงบนฟินจานได้เลย

โดยจะรินกาแฟลงใน ฟินจาน (Finjan) ปริมาณเพียง 1/3–1/2 ถ้วย เท่านั้น ไม่ได้รินเต็มนะ 😂

จากที่เราดูใน YouTube เหมือนเค้าจะรินสูงเล็กน้อย เพื่อให้เกิดฟองบาง ๆ ที่ผิวกาแฟ

อ้อ ! แล้วเขาก็จะเสิร์ฟพร้อมอินทผาลัม (Dates) เพื่อเพิ่มความหวานธรรมชาติแทนน้ำตาล (แน่นอนว่า ไม่ต้องใส่นมกับน้ำตาลนะ 😁)

ถ้าเราไปทานกาแฟในบ้านของชาวอาหรับ เจ้าบ้านผู้เสิร์ฟเขาจะใช้มือซ้ายถือดัลลาห์ มือขวาถือถ้วย ส่วนเราในฐานะแขกก็จะรับด้วยมือขวาเท่านั้น

เมื่อแขกไม่ต้องการดื่มต่อ ต้อง “เขย่าถ้วยเบา ๆ” เพื่อส่งสัญญาณ มิฉะนั้นเจ้าบ้านจะเติมให้ตลอด ไม่ต้องนอนกันแล้วคร้าบ 😂🥰


#กาแฟอาหรับ

เริ่มต้นทำอาหารฉบับมือใหม่ ! เครื่องครัว รอบตัว มีอะไรกันบ้างนะ ? 🤔🍽️เชื่อว่าเพื่อน ๆ หลายคนที่เป็นมือใหม่หัดเข้าครัว ก็...
15/08/2025

เริ่มต้นทำอาหารฉบับมือใหม่ ! เครื่องครัว รอบตัว มีอะไรกันบ้างนะ ? 🤔🍽️

เชื่อว่าเพื่อน ๆ หลายคนที่เป็นมือใหม่หัดเข้าครัว ก็คงจะมี pain point คล้าย ๆ เรา บางทีมันก็สับสนกับอุปกรณ์เต็มไปหมด ว่าอันไหนจะใช้ยังไง ทำอะไรดี ?

อย่างวันก่อนเราไปเดิน Makro ก็ปล่อยเบลออยู่นะ เครื่องครัวให้เลือกเยอะม๊าก เลือกไม่ถูก แต่ก็ไปเสร็จพวกที่ขายเป็น Set เช่นพวกเซ็ตมีดเชฟ เซตหม้อกระทะ ที่เขาแพ็ครวมๆกัน 😂 (คือเราก็คิดว่า โอเคละ เขาแพ็คไว้แบบนี้ แปลว่าเจ้าอุปกรณ์พวกนี้มันต้องใช้บ่อย หรือเป็นกลุ่ม All-round ละ)

ทีนี้ พอเริ่มทำไปเรื่อย ๆ อุปกรณ์ใหม่ๆก็งอกขึ้นมา (เหมือนรองเท้าวิ่งนั่นละนะ 5555) งั้นในโพสนี้ พวกเรา InfoStory ขอพาเพื่อน ๆ ไปรู้จักแต่ละอุปกรณ์เครื่องครัวยอดนิยมมีติดครัวทุกบ้านกัน ว่าหลัก ๆ แล้ว ของครัวแต่ละชิ้นมันใช้ทำอะไรกันบ้าง ? 🥰

(ในแต่ละภาพมีบทความสั้นให้อ่านกันไปเพลินเพลินด้วยน้าา 🤓)

ฉลากโภชนาการบนถุงขนม บอกอะไรกับเราบ้างนะ ? ✨💡ก่อนอื่นเลยทางเพจ InfoStory ขอเป็นกำลังใจให้พี่ ๆ ทหารที่ประจำการกันอยู่ทุก...
30/07/2025

ฉลากโภชนาการบนถุงขนม บอกอะไรกับเราบ้างนะ ? ✨💡

ก่อนอื่นเลยทางเพจ InfoStory ขอเป็นกำลังใจให้พี่ ๆ ทหารที่ประจำการกันอยู่ทุกท่าน และขอบคุณพี่ๆทหารพราน ที่เพิ่งสำเร็จภารกิจไปด้วยนะครับ รวมถึงพี่ๆสื่อ นักข่าวทุกท่านที่ช่วยนำเสนอข้อเท็จจริงกันตลอดเวลา

อยากบอกว่าไม่ได้หายไปไหน ติดตามข่าวสารทุกช่องทางเลย วันนี้เองก็ยังมีข่าว Tsunami มาให้ติดตามกันเพิ่มอีก (ไหนจะหุ้น NOVO ที่ ดิ่งลงไป -21% อีกกกก 😅)

เรื่องเครียด ๆ เต็มไปหมดเลย งั้นวันนี้พวกเราขอเขียนเรื่องราวสาระความรู้พักสมองสำหรับเพื่อน ๆ กันเช่นเคยคร้าบ 🥰


เมื่อวันก่อนเรากินขนมอบกรอบไป 1 ซอง (ถุงใหญ่) ไม่ได้ตั้งใจจะกินหมด แต่มันเผลอไปเลย นั่งดูหนัง Fantastic 4 แล้วหยิบกิน ๆ แปปเดียวหมดเลย ทีนี้ออกจากโรงก็เลยเหลือบมองไปที่ฉลาก ก็แอบตกใจอยู่ เพราะว่าที่ข้างถุงเขาเขียนว่า ควรแบ่งทาน 3 ครั้ง (สะ สามมมครั้งงง ! 555) และปริมาณไขมัน ต่อการบริโภค 1 ครั้ง = 30% ปริมาณโซเดียม 13%
(= ว่า เรากินหมดถุง ได้ไขมันไปเรียบร้อย 90% แถมฟรีโซเดียมอีก 39% ของปริมาณที่ร่างกายรับได้ต่อวัน 🥶

ก็เลยเกิดความอยากรู้เกี่ยวกับเรื่องราวของฉลาก เอ้า ไปอ่านแบบสบายๆสมอง กันดีกว่า !

— — — — — — — — — — — — — — —

[ มีใครเคยสงสัยบ้างว่า ฉลากโภชนาการ มันเกิดขึ้นมาตั้งแต่ตอนไหนนะ ? 🤔 ]

ไม่เป็นไร ถ้าไม่มีใครสงสัย เราขอสงสัยเอง 😆
ต้องบอกว่าจุดเริ่มต้นของการติดฉลากบนอาหารหรือขนมเนี่ย เพิ่งเริ่มมีมาไม่นานนะ โดยจุดเริ่มต้นของฉลากไม่ได้มาจากเรื่องโภชนาการ แต่มาจากเรื่องความปลอดภัยของอาหาร เพราะในสมัยนั้น อาหารที่ส่งออก ยังไม่มีมาตรฐานการผลิตที่ชัดเจน การปลอมปนอาหารเป็นปัญหาใหญ่ นำไปสู่การออกกฎหมายสำคัญคือ "พระราชบัญญัติอาหารและยาอันบริสุทธิ์" (Pure Food and Drug Act) ในปี ค.ศ. 1906 ในสหรัฐอเมริกา นั่นเองคร้าบ

แต่กว่าจะได้ใช้กันอย่างเป็นทางการก็ประมาณช่วงปี ค.ศ. 1970 ที่องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา อย. (FDA) ได้กำหนดให้ การแสดงข้อมูลโภชนาการเป็นภาคบังคับ แต่ทั้งทางฝั่งอเมริกาและยุโรปเนี่ย เขาก็เพิ่งมาดีไซน์ให้ฉลากมันอ่านง่ายขึ้นในช่วงปี 2010 นี่เองนะ

ส่วนตัวเราคิดว่า ในอนาคตอันใกล้ อาจจะสัก 5 ปี เราอาจจะได้เห็นข้อมูลโภชนาการที่ปรับปรุงขึ้น ตามไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ที่ใส่ใจเรื่องพวกนี้กันมากขึ้น (และแน่นอนว่า…เหล่าบริษัทอุตสาหกรรมต่าง ๆ ก็ต้องหาช่องว่างกันมากขึ้น 5555 และเราก็คงไม่ได้อ่านอะไรกันง่ายๆ เช่นเคย)

[ แล้วเรื่องราวของฉลากโภชนาการของไทยละ ? 🇹🇭 ]

สำหรับประเทศไทย การพัฒนาฉลากโภชนาการเกิดขึ้นโดยมีแรงผลักดันสำคัญจากการค้าที่เปิดกว้างขึ้น และสถานการณ์ปัญหาสุขภาพของคนไทย โดยเฉพาะโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่ทวีความรุนแรงขึ้น

ของไทยเราก็เพิ่งมาเริ่มใช้งานในช่วงปี ค.ศ. 1998 เหตุผลก็คล้าย ๆ กับทางฝั่งอเมริกา คือ คุ้มครองผู้บริโภค เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ และ เพื่อประสิทธิภาพในการส่งออก (อารมณ์ว่าตลาดโลกจะได้ยอมรับ) โดยฉลากที่ใช้ในช่วงแรกคือฉลากโภชนาการแบบเต็ม (Full format) หรือฉลากที่อยู่ด้านหลังซองขนมที่ใหญ่ ๆ ยาว ๆ อันนั้นละ

💡 ประเด็นคือว่า เวลาเราเจออะไรยาว ๆ แถมตัวเล็กๆแบบนั้น คือมันเข้าใจยาก แล้วก็ขี้เกียจอ่าน กว่าจะซื้อแต่ละอย่าง ต้องมานั่งพลิกถุงแล้วเพ่งสายตา ก็เสียเวลา แถมงง ๆ ด้วยว่า สรุปมันมีอะไรที่ต้องรู้ก่อนซื้อบ้าง

ในปี 2011 "ฉลากหวาน มัน เค็ม" (GDA - Guideline Daily Amount) ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นมานั่นเอง มันก็คือฉลากบอกพลังงาน ไขมัน น้ำตาล โซเดียม อยู่บนหน้าซอง เข้าใจง่าย ๆ และบอกด้วยว่า ผู้ผลิตแนะนำให้เรากินปริมาณเท่าไร ต่อการบริโภค 1 ครั้ง (คือเอาฉลาก Full format มาย่อส่วนนั่นเอง) โดยอาหารที่ต้องมีฉลาก GDA คือ ขนมขบเคี้ยว เบเกอรี่ ของหวาน บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาหารแช่แข็ง เครื่องดื่ม (อันนี้คือบังคับเลย ✋)

— — — — — — — — — — — — — — —

แต่ปัญหาคือ ขนมบางซอง บอกเราว่า ควรแบ่งการกินเป็น 3 ครั้ง (แต่เอาจริง นั่งกินไปดูทีวีไป อ่าว..หมดซอง จบ ครบ ใน 1 การบริโภค) แล้วเราก็ไม่รู้ว่า 1 หน่วยบริโภคเนี่ย มันต้องกี่ชิ้น บางอย่างมันหารเท่าตรงตัวเลยไม่ได้ 555

ตอนที่เราอ่านหนังสือ Ultra Processed People คุณ Chris เขาก็เขียนไว้ย่อหน้านึงว่า “มันเป็นความตั้งใจของผู้ผลิตที่จะให้ข้อมูลที่ครุมเครือแบบนั้น” ก็เพราะมันเป็นธุรกิจน่ะเนอะ สุดท้ายแล้ว เราก็ต้านความอยากกินให้หมดไม่ได้อยู่ดี และนั่นอาจเป็นปัญหา เพราะเรากำลังได้รับสารอาหารที่เกินจำเป็นไปต่อวัน 😵

ซึ่งเกณฑ์มาตรฐานต่อวัน (100%) ที่พอเหมาะกับร่างกาย
- พลังงาน (Energy): ไม่เกิน 2,000 กิโลแคลอรี
- น้ำตาล (Sugar): ไม่เกิน 65 กรัม
- ไขมัน (Fat): ไม่เกิน 65 กรัม
- โซเดียม (Sodium): ไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัม

ทีนี้เรื่องของเรื่องคือ เรากินขนม 20 บาท 1 ซอง (เขาก็บอกว่า ให้แบ่งกิน 2 ครั้ง แต่… ซองมันแค่นั้นเองงะ กิน 5 นาทีก็หมดแว้วงะ 😅) ทีนี้การบริโภค ต่อ 1 ครั้ง โดยเฉลี่ยของขนมอบกรอบ เราจะได้รับไขมันเฉลี่ย 30% โซเดียมเฉลี่ย 9-13% อันนี้คือต่อ 1 ครั้งนะ

แล้วเรากินหมดซอง ก็คือ คูณ 2 ไปจุก ๆ 555
สรุปคือ แค่ขนม 20 บาท ซองเดียว เรารับไขมันประมาณ 60% ต่อเกณฑ์มาตรฐานต่อวัน แล้วเราก็ไปกินข้าวเที่ยง ข้าวเย็นอีก (แต่ก็นะ…บางทีคิดมากไปก็อาจไม่ช่วยอะไร เพราะสุดท้ายมันก็เผลอกินไปแล้ว บางทีมันเครียด มันก็อยากกินบ้างนะ 🥲)

ตรงนี้ก็จะบอกเพื่อน ๆ ว่า อย่าลืมดูกันให้ดีดีด้วยน้า ท่านไหนที่มีโรคประจำตัวอยู่ การมองข้ามเรื่องพวกนี้ไป ก็อาจไม่ดีเท่าไรนัก (ซึ่งตรงนี้จะไปว่าผู้ผลิตก็ไม่ได้ เพราะเขาก็ถือว่าบอกแล้ว ต่อให้เราจะต้องคิดคำนวณเยอะก่อนกินกันก็ตาม)

แต่สำหรับพวกเราที่สุขภาพยังดีอยู่ ยอมรับว่าบางทีมันก็กินไปเหมือนกันนะ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่รีบแล้วขี้เกียจคิด

— — — — — — — — — — — — — — —

[ Fun Fact ! โดยเฉลี่ยแล้ว ของกินเหล่านี้มีอะไรที่น่าจับตามองบ้าง ? ]

🍪 คุกกี้สอดไส้ (3-4 ชิ้น) อาจมีปริมาณน้ำตาลมากถึง 22% ที่เราควรได้รับต่อวัน

🍰 เค้กกล้วยหอม (1 ชิ้น) อาจมีปริมาณน้ำตาลมากถึง 46% ต่อวัน

🍜 บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป (1 ซอง) อาจมีปริมาณโซเดียม 90% ของทั้งวัน

🥫 อาหารกล่องแช่แข็ง (1 กล่อง) อาจมีปริมาณโซเดียมมากถึง 65% ต่อวัน (เออ อันนี้ของจริง ลองเข้าไปดูโซนอาหารแช่แข็งในร้านสะดวกซื้อ ก็แอบตกใจอยู่ บางทีรีบหาของกิน แต่ไม่อยากกินมาม่าอยากลดโซเดียม ไปกินอาหารกล่อง ก็อ้าว…ไม่ต่างกัน 5555 แต่ก็ไม่รู้จะทำอะไรได้เหมือนกันแห่ะ)

🧃 น้ำผลไม้ (แบบกล่อง) 1 กล่อง อาจมีปริมาณน้ำตาลมากถึง 30% ต่อวัน

(*%Thai RDI หรือ Thai Recommended Daily Intakes)

— — — — — — — — — — — — — — —

[ เกี่ยวกับวันหมดอายุ “BBE vs EXP” มันต่างกันยังไงนะ ? ]

อีกเรื่องนึงที่น่าสนใจ จริง ๆ มันก็รอบตัวมาก ๆ เลยละ จนบางครั้งก็ลืมสังเกตไป
วันก่อนเราหยิบขนมปังมากินแล้วก็ตกใจมาก เพราะวันที่มัน BBE มันเลยมาแล้ว 2 วัน 🤣 (ซึ่งรสชาติมันปกติเลย ราไม่ขึ้น)

ว่าแต่ เพื่อน ๆ ทราบไหมว่าตรงฉลากที่มีบอกวันหมดอายุ “BBE vs EXP” มันต่างกันยังไงนะ ?

BBE - Best Before (ควรบริโภคก่อน) - วันสิ้นสุดคุณภาพ ถึงเลยไปแล้ว ยังคงกินได้
EXP - Expiry Date (วันหมดอายุ) - ห้ามบริโภคหลังวันที่ระบุเอาไว้

ส่วนใหญ่ที่เราเห็น BBE - Best Before คือพวก ขนมปัง ขนมแห้ง ผลไม้อบแห้ง หรือประเภทนม รวมไปถึงพวกวิตามินบางชนิด แต่บางทีเราก็แพนิค เห็นหมดจะหมดอายุไม่ว่าจะ BBE หรือ EXP เราก็ไม่กินเลยวันแล้ว 🤣


#ฉลากโภชนาการ
#ฉลากอาหาร

แหล่งอ้างอิงเพิ่มเติม
- บทความ ฉลากโภชนาการ จากเว็บ กองอาหาร (อย.)
- บทความ อ่านฉลากโภชนาการ อย่างไรให้ถูกต้อง จากเว็บ คณะแพทย์มหาวิทยาลัยมหิดล
- บทความ ฉลากโภชนาการ สาระสำคัญในอนาคต จากเว็บ ศูนย์ห้องปฏิบัติการและวิจัยทางการแพทย์ AMARC
- บทความจาก ศูนย์ห้องปฏิบัติการและวิจัยทางการแพทย์
- บทความ The origins and evolution of Nutrition Facts labeling จากเว็บ fooddive
- บทความ Nutrition Facts labels have a complicated legacy – a historian explains the science and politics of translating food into information จากเว็บ theconversation

ที่อยู่

Bangkok
10110

เบอร์โทรศัพท์

+66839776891

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ InfoStoryผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง InfoStory:

แชร์