InfoStory สาระความรู้ ที่จะถูกถ่ายทอดผ่านภาพอินโฟกราฟิกสุดสบายตาและเรื่องราวแบบเพื่อนนั่งเล่าให้ฟัง :)
(1)

ติดต่อพวกเราสำหรับ งานบริการคิด Content และ Infographic หรือ งานโฆษณา ได้ที่ อีเมล์ [email protected]

เมื่อญี่ปุ่นไม่ได้มีแค่ปลาดิบ !ชวนส่อง สายพันธุ์แอปเปิ้ลญี่ปุ่น ลูกโต หอม หวาน 🎌🍏🍎เชื่อว่าเพื่อน ๆ หลายคนที่ชอบเดินซูเปอ...
10/07/2025

เมื่อญี่ปุ่นไม่ได้มีแค่ปลาดิบ !
ชวนส่อง สายพันธุ์แอปเปิ้ลญี่ปุ่น ลูกโต หอม หวาน 🎌🍏🍎

เชื่อว่าเพื่อน ๆ หลายคนที่ชอบเดินซูเปอร์มาร์เก็ต ก็น่าจะพอเห็นซุ้มผลไม้อย่าง Apple ที่อย่างในตอนนี้ก็คงจะเห็นเป็นทางฝั่งนิวซีแลนด์กับฝั่งญี่ปุ่น

ทีนี้ ๆ พวกแอปเปิ้ลฝั่งญี่ปุ่น ส่วนใหญ่ตัวผลจะค่อนข้างใหญ่เลย แล้วก็ถ้าไม่นับสายพันธุ์ฟูจิเนี่ย ก็จะเห็นเป็นพวก โอริน (Orin) ชินาโนะโกลด์ (Shinano Gold) เมเก็ตสึ (Meigetsu) ที่จะออกเป็นสีเขียวหรือสีเหลือนวลเนอะ

แอปเปิ้ลเขียวในหัวของเราจะค่อนข้างออกเปรี้ยวนำ แต่ของญี่ปุ่นเนี่ย ส่วนใหญ่จะไม่ได้เปรี้ยวเท่าไร จะเป็นหวานนำเลยดีกว่า (แต่อย่างแอปเปิ้ลโอริน ที่เขาว่ามันหวานไร้เปรี้ยว แต่สำหรับเรา มันยังแอบติดเปรี้ยวปลายลิ้นอยู่นะ กำลังสงสัยว่า หรือเป็นที่ลิ้นเรามีปัญหา 🤣)

ไม่เป็นไร ช่างเรื่องลิ้นของเราไปก่อน เอาเป็นว่าวันนี้พวกเรา InfoStory ขอมาเล่าเรื่องเกี่ยวกับแอปเปิ้ลญี่ปุ่นให้เพื่อน ๆ อ่านกันสบาย ๆ ดีกว่า !

**ปล. คำว่า “แอปเปิ้ล” จะสะกดให้ถูกคือ “แอปเปิล” ไม่มีไม้โทนะคร้าบบบ
แต่เพื่อให้อ่านแล้ว มันไม่ขัดแย้งกันเสียงในหัวของเพื่อน ๆ (หรือเพื่อนๆที่ใช้ Ai อ่านให้ มันก็จะไม่ออกเสียงแปร่ง ๆ 5555)

— — — — — — — — — — — — — — —

[ แอปเปิ้ล กับ ชาวญี่ปุ่น ไปรู้จักกันมาตอนไหนนะ ? 🎎🍎 ]

สำหรับเราแล้ว พอนึกถึงแอปเปิ้ล จะนึกถึงการเป็นผลไม้ของชาวตะวันตกหรือไม่ก็ทางฝั่งออสเตรเลียเสียมากกว่า ทีนี้ เราเลยเกิดคำถามเนิร์ด ๆ อันนี้ขึ้นมาในหัวนะแหละ 555

ก่อนยุคเมจิ (1868-1912) ญี่ปุ่นรู้จักแอปเปิ้ลเพียงในฐานะพืชป่าขนาดเล็กที่มีรสเปรี้ยวและฝาด เรียกว่า "วะริงโกะ" ((和林檎) ซึ่งไม่เป็นที่นิยมในการบริโภคมากนัก เพราะลูกเล็กมาก เท่านิ้วมือ

เรานั่งค้นหาต้นตอไกลขึ้นไปอีกก็พบว่า น่าจะเป็นผลไม้ที่นำเข้ามาจากจีน หมายถึงเขานำต้นแอปเปิ้ลมาปลูกนะ ไม่ใช่เอาแค่ตัวผลมาขาย 🤣


จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ญี่ปุ่นหันมาสนใจ “แอปเปิ้ล” แบบจริงจังเลยก็ในยุคเมจินี่ละ

ในปี ค.ศ. 1871 รัฐบาลเมจิสั่งนำเข้าแอปเปิ้ลตะวันตก 75 สายพันธุ์จากสหรัฐฯ เพื่อทดลองปลูกทั่วประเทศ แน่นอนว่าเติบโตได้ดีในภูมิภาคที่ค่อนข้างหนาวเย็นทางตอนเหนือของญี่ปุ่น

ทีนี้ก็สบายเลย เพราะถือว่าเกษตรกรชาวญี่ปุ่นตอนบนก็ได้พืชเศรษฐกิจใหม่ไปอีกตัว เพราะในช่วงนั้นเนี่ย รัฐบาลเมจิพยายามผลักดันเรื่องการปลูกข้าว แต่ก็ล้มเหลว เพราะสภาพอากาศหนาวเย็น

ในช่วงแรก แอปเปิ้ลเหล่านี้ถูกเรียกว่า "แอปเปิ้ลตะวันตก" เพื่อแยกความแตกต่างจาก "Wa-ringo" แต่เนื่องจากความนิยมที่เพิ่มขึ้นจากคุณภาพและขนาด ทำให้ในไม่ช้าก็เข้ามาแทนที่ตลาดทั้งหมดและเป็นที่รู้จักกันในชื่อ "แอปเปิ้ล" เท่านั้น

ไม่กี่ปีถัดมา มิชชันนารีอเมริกันนาม จอห์น อิง (John Ing) ถือผลแอปเปิ้ลลูกโตมาที่งานคริสต์มาสเมืองฮิโรซากิ — เมล็ดจากผลนั้นถูกเพาะจนกลายเป็นพันธุ์ “อินโด” (Indo) ซึ่งหวานและใหญ่กว่าวะริงโกะหลายเท่า

(คหสต. เออ เห็นไม๊ จริงด้วย ! คือเราไม่ได้คิดไปเองว่า แอปเปิ้ลมันเหมือนมีกลิ่นอายของฝรั่งตะวันตก 🤣 เอ…หรือเพราะเราตั้งใจดันทุรังในการค้นหาเรื่องนี้เฉพาะ มันเลยเจอคำตอบนี้กันนะ ก็น่าคิด ก็อ่านหูไว้หูละกันนะเพื่อน ๆ 🥲)

แม้ว่าการปลูกแอปเปิ้ลจะเริ่มต้นที่โตเกียวและฮอกไกโด แต่จังหวัดที่กลายเป็น "แผ่นดินแห่งพันธสัญญา" ของแอปเปิ้ลอย่างแท้จริงคือ อาโอโมริ (Aomori)

ทีนี้ เลยมาถึงคำถามที่เราก็สงสัยเหมือนกันว่า ทำไมจังหวัด "อาโอโมริ" เป็นแหล่งผลิตแอปเปิ้ลมากกว่าครึ่งหนึ่งของประเทศ ?

จังหวัดอาโอโมริ ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของญี่ปุ่น ก็อยู่ใต้ฮอกไกโดมานิดเดียว

✅ อุณหภูมิของกลางวันและกลางคืนที่ต่างกันสูง ตัวผลเก็บน้ำตาลนั้นได้ดี ทำให้แอปเปิ้ลชาติหวานจัดฉ่ำน้ำพิเศษ
✅ ดินมาจากภูเขาไฟร่วน + แหล่งน้ำสะอาด

อันที่จริงแล้ว เราคิดว่าที่ญี่ปุ่นเนี่ย ส่วนใหญ่สภาพแวดล้อมของการเกษตรน่าจะคล้าย ๆ กัน (ยกเว้นทางฝั่งเกาะคิวชู หรือถ้าไปทางเกาะโอกินาว่านี่ เหมือนไทยเลยละ 🤣) แต่อีกสิ่งสำคัญที่ทำให้จังหวัดอาโอโมริโดดเด่นเรื่องของแอปเปิ้ล… ก็ไปอ่านกันต่อเล้ยยยยยย ! (เอ้า มันลีลาจังละวะอิเพจจนี้ 555)


ทีนี้เรารู้เกี่ยวกับปัจจัยทางกายภาพ ซึ่งคือสภาพแวดล้อมและธรรมชาติไปแล้ว
มาถึงเรื่องราวปัจจัยทางจิตใจอย่าง “จิตวิญญาณจปปาริ (じょっぱり)” กันบ้าง

เพื่อน ๆ ทราบไหมว่า เกษตรกรชาวอาโอโมริยุคแรก ๆ ที่ปลูกแอปเปิ้ลเนี่ย ก็คือเหล่าซามูไรที่ถูกบังคับให้เลิกจับดาบ (เพราะหมดยุคแล้วตั้งแต่หมดยุคเอโดะไป) หันมาจับเสียมกันแทน

คอนเซ็ปต์ “จปปาริ (じょっぱり)” เป็นคำที่หมายถึงจิตวิญญาณของชาวอาโอโมริที่มีความซื่อสัตย์ ความขยันหมั่นเพียร และความมุ่งมั่น (ซึ่งเรียกว่า "Joppari" ในภาษาถิ่นอาโอโมริ) ในการผลิตแอปเปิ้ลแสนอร่อยให้กับผู้คนทั่วญี่ปุ่นและทั่วโลก ก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้จังหวัดนี้เป็นฐานที่สมบูรณ์แบบสำหรับการเพาะปลูกแอปเปิ้ล (เออ จริงๆถ้ามองว่าเป็นการตลาดเนี่ย ก็ถือว่า ครบเครื่อง 👍✨)

มากกว่านั้นเรื่องกายเรื่องใจ เรามองว่าอีกปัจจัยที่สำคัญไม่แพ้กันเลยคือ เรื่องของ Supply chain & logistics management

คือพอหลาย ๆ เหตุผลด้านบนมันสนับสนุนตัวแอปเปิ้ลจากจังหวัดอาโอโมริแล้วเนี่ย คือมันมี Story พร้อมแล้ว หลาย ๆ บริษัทพวกนี้ก็มาตั้งโรงงาน เซตระบบขนส่งกันในจังหวัดนี้เลย ควบคุมคุณภาพได้ดี มันก็เลยง่ายขึ้น เป็นรูปเป็นร่าง จึงไม่ได้แค่ส่งขายภายในประเทศ แต่พร้อมส่งออกไปทั่วโลก


แล้วไม่ได้มีแค่แอปเปิ้ลนะ แต่ผลิตภัณฑ์อย่าง พายแอปเปิ้ล ก็ถูกผลักดันโดยรัฐบาลญี่ปุ่นเช่นกัน
ที่มากไปกว่าแค่ของกินก็คือ วงเกิร์ลกรุ๊ปอย่าง “ริงโกะมุสุเมะ" (Ringomusume) ที่แปลว่า "ธิดาแอปเปิ้ล" ซึ่งสมาชิกแต่ละคนจะใช้ชื่อตามสายพันธุ์แอปเปิ้ลต่างๆ เพื่อโปรโมตผลผลิตของจังหวัดนั่นเองง ไม่รู้มีใครทันวงนี้ในรุ่นแรก ๆ บ้างไหม ? ถ้าทันก็คือ เราเป็นเด็ก gen Y เหมือนกันคร้าบ 🤣)

นอกจากจังหวัดอาโอโมริแล้ว จังหวัดที่ปลูกและส่งออกรองลงมาก็จังหวัดนากาโน่และอิวาเตะ ! นั่นเอง (แถวๆ นากาโน่ เราไปเที่ยวมาก็มีฟาร์มที่ทำพายแอปเปิ้ลอร่อย ๆ เยอะเลย)


💡แล้วเพื่อน ๆ ทราบไหมว่า ?

“แอปเปิ้ลฟูจิ” ที่เราคุ้นเคยกัน ไม่ได้กำเนิดจากต้นแอปเปิ้ลในบริเวณภูเขาไฟฟูจินะ 🤚👋

อาจเรียกได้ว่า เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดในการพัฒนาสายพันธุ์แอปเปิ้ลของญี่ปุ่น ซึ่งเกิดขึ้นที่เมืองฟูจิซากิ จังหวัดอาโอโมริ นั่นเอง ! (มันเลยเป็นฟูจิ ที่หมายถึงเมืองฟูจิซากิ น่ะนะ)

แอปเปิ้ลฟูจิ ถูกพัฒนาขึ้นในปี ค.ศ. 1939 ณ สถานีวิจัยพืชสวนโทโฮคุ ในเมืองฟูจิซากิ ซึ่งนักปรับปรุงพันธุ์ได้ประสบความสำเร็จในการผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่างแอปเปิ้ลอเมริกันสองชนิดคือ Red Delicious (เพื่อความกรอบและสีสัน) และ Ralls Janet (เพื่อความหวานและความสามารถในการเก็บรักษา) ประกอบกับสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์แบบของจังหวัดอาโอโมริ จึงได้ออกมาเป็นแอปเปิ้ลสีชมพู กรอบ หวาน ฉ่ำน้ำที่เราคุ้นเคยกันนี่เอง

— — — — — — —


#แอปเปิ้ลญี่ปุ่น #แอปเปิ้ล #แอปเปิล

แหล่งอ้างอิงเพิ่มเติม
- บทความ Japanese Apples: A Look at What Makes Them So Special จากเว็บ Japanlivingguide
- บทความ All About Japanese Apples: Why This Ordinary Yet Special Fruit Is So Loved In Japan จากเว็บ Japanese Taste
- บทความ Enjoy the variet จากเว็บ aomori-apple
- บทความ Top 6 Japanese Apples จากเว็บ TasteAtlas
- บทความ How Former Samurai and Farmers Cultivated the First Japanese Apples จากเว็บ AtlasObscura
- บทความ Aomori Is the Story of Apples and People จากเว็บ aomori-tourism

ผลไม้ชนิดไหนเป็น "ผลไม้ฤทธิ์ร้อน vs ผลไม้ฤทธิ์เย็น" กันบ้างนะ ?เมื่อสักต้นเดือนที่ผ่านมา มันมีบุฟเฟ่ต์ทุเรียนที่เพิ่งจัด...
27/06/2025

ผลไม้ชนิดไหนเป็น "ผลไม้ฤทธิ์ร้อน vs ผลไม้ฤทธิ์เย็น" กันบ้างนะ ?

เมื่อสักต้นเดือนที่ผ่านมา มันมีบุฟเฟ่ต์ทุเรียนที่เพิ่งจัดไปที่ Makro แล้วมันก็มีเพื่อนเราคนนึงที่ชอบกินทุเรียนมาก ๆ
ก็เลยคุยกันว่า เอ้อ พี่ไม่น่าพลาดที่แม็คโครเขาจัดบุฟเฟ่ต์ทุเรียนเลยนะ น่าจะคุ้มอยู่

พี่เขาก็บอกว่า ทุกวันนี้กูก็กินทุเรียนตามรถเข็นป้าแถวบ้านจนร้อนในระเบิดเต็มปากแล้วเนี่ย 🤣

แล้วเพื่อนอีกคนก็บอกว่า พี่ลองกินพวกผลไม้พวกมังคุดเข้าไปเสริมธาตุเย็นสิ 🧊

🤔ส่วนตัวเราที่นั่งฟังก็เลยได้คิดต่อไปพลางๆเรื่องอาหารฤทธิ์ร้อน-เย็น
พอดีว่าเราไม่ค่อยชอบกินทุเรียน เลยไม่เคยประสบกับอาการร้อนในจากการกินทุเรียนแบบเยอะ ๆ แต่จะเป็นช่วงที่กินของทอดติดต่อกันสัก 2 วัน (แค่ 2 วันก็ร้อนในเต็มปากแล้ว งงมาก 😵)

งั้นวันนี้พวกเรา InfoStory ขอพาเพื่อน ๆ ไปรู้จักกับเรื่องราวของอาหารฤทธิ์ร้อน-เย็น ผ่านการกินผลไม้กันดีกว่า !

ไว้เดี๋ยวโพสต่อ ๆ ไป เราจะทำเกี่ยวกับตัวอาหารกันต่อนะ !

— — — — — — — — — — — — — — — —

[ 💡เจาะที่มาที่ไป ทำไมการกินอาหารถึงต้องดูสมดุลฤทธิ์ร้อน - เย็นกันนะ ? ]

เท่าที่เราค้นหามา แนวคิดการแบ่งอาหารเป็นฤทธิ์เย็น-ร้อนแบบนี้นี้มีรากฐานมาจาก ศาสตร์การแพทย์แผนจีน (Traditional Chinese Medicine - TCM) ที่มีอายุนับพันปีเลยละ โดยอยู่บนพื้นฐานของปรัชญา "หยิน-หยาง" (Yin-Yang)

เชื่อว่าเพื่อน ๆ คงน่าจะเดาได้เนอะ เพราะตำราแพทย์จีนโบราณส่วนใหญ่ ก็เริ่มจากจากรากฐานสำคัญคือ ปรัชญาและการสังเกตธรรมชาติ (เอาแล้ว เริ่มจะยาวแล้วน้า อย่าเพิ่งหาวกันนนน 🤣)

คือ ย้อนกลับไปในยุคเต๋าโบราณเมื่อราว 800-400 ปีก่อนคริสตกาล คนยุคนั้นเขาสังเกตเห็นว่าทุกสิ่งในจักรวาลล้วนมีสองขั้วตรงข้ามกันเสมอ เช่น กลางวันคู่กับกลางคืน ความร้อนคู่กับความเย็น การเคลื่อนไหวคู่กับความนิ่ง อินโฟกราฟิกสวยๆต้อง ๆ คู่กับเพจ InfoStory เย้ย… มีแอบหยอดตัวเอง แห่ะๆ

👲 พวกเขาตั้งชื่อคู่พลังนี้ว่า "หยิน (阴) และ หยาง (阳)"
ในที่นี้ เราอยากให้มองว่า หยิน เป็นพลังเย็น และหยาง เป็นพลังร้อน เพื่อเข้าใจง่าย ๆ

ต่อมา แนวคิดนี้ถูกจัดระเบียบผ่านโหราจารย์ชื่อดัง "โจวเหยียน" (Zou Yan) ช่วงศตวรรษที่ 5-3 ก่อนคริสตกาล และถูกนำเข้าไปสู่ราชสำนักจีน กลายเป็นรากฐานสำคัญของระบบแพทย์หลวง ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของการใช้หยิน-หยาง สำหรับการใช้วินิจฉัยและรักษาโรค ด้วยหลักการง่ายๆ คือเติมในสิ่งที่ร่างกายขาด และลดสิ่งที่ร่างกายมีเกิน เพื่อคืนสมดุล "ชี่" (气) หรือพลังชีวิตกลับคืนสู่ร่างกาย นั่นเอง

กลับมาที่ปัจจุบัน การกินถือว่าเป็นกิจกรรมที่สำคัญมากกกเนอะ เครียดก็กิน เหนื่อยก็กิน แฮปปี้ก็กิน ออกกำลังกายก็กิน หรือ จะลดน้ำหนักก็ยังต้อง(เลือก)กิน เลยเนอะ

ปรัชญาแนวคิดแบบหยิน-หยาง ก็เลยนำมาปรับใช้กับอาหารนี่ละ
แต่ในบทความนี้เราจะเน้นไปที่ผลไม้กันก่อนนะ เพราะตัวเริ่มเรื่องของเราคือเพื่อนที่กินทุเรียนจนเป็นร้อนใน 555


🤓 เพิ่มเติมนิดนึง เราว่าน่าสนใจดี
ถ้าเรานึกภาพหยินหยาง เพื่อน ๆ คงจะนึกถึงวงกลมหยดน้ำสีดำ สีขาว (แนวจีน ๆ เนอะ) อัตราส่วนมันน่าจะดูเท่ากัน

แต่ แต่ ! ความหมายของหยิน-หยางในแพทย์แผนจีน ความสมดุลของหยิน-หยาง อาจไม่ได้หมายถึงอย่างละ 50/50 น้าาา เขาบอกว่า “หยาง” ควรจะมากกว่าหยินประมาณ 10% (อันนี้เราฟังจากยูทูปช่อง Klaoshow มา คุณหมอพูดเองเลย เราก็เพิ่งทราบเหมือนกันแห่ะ) 💡

ดังนั้น การมี "หยาง" ที่คึกคักและสมบูรณ์อยู่บนรากฐานของ "หยิน" ที่เพียงพอ จึงเป็นสภาวะของคนที่มีสุขภาพดี

— — — — — — — — — —

[ ผลไม้ฤทธิ์ร้อน-เย็น 🍉🍈🍍]

โอะโห… กว่าจะมาเข้าเรื่องผลไม้ 5555 🤣
แต่เราคิดว่าหัวใจสำคัญของเรื่องนี้คือหลักการมากกว่า เลยเขียนข้างบนซะยาวเชียว

🔥 ผลไม้ฤทธิ์ร้อน ในโพสนี้เราจะหมายถึง ผลไม้ฤทธิ์ร้อนส่วนใหญ่มักมีรสหวานจัด น้ำตาลสูง เนื้อแน่น ให้พลังงานสูง และสามารถกระตุ้นระบบเผาผลาญให้ร่างกายอบอุ่นขึ้น ยกตัวอย่างเช่น

- ทุเรียน
ยกฉายาให้เลย "ราชา" แห่งผลไม้ฤทธิ์ร้อน นอกจากปริมาณน้ำตาลแล้ว นอกจากน้ำตาลแล้ว ทุเรียนยังมีซัลเฟอร์ (กำมะถัน) ที่ค่อนข้างสูง ที่จะปล่อยความร้อนมากเป็นพิเศษ (เออ แต่มันก็อร่อยนินา 😆👍)

ซัลเฟอร์ในทุเรียนยังเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ ไม่แนะนำให้กินพร้อมเหล้านะคร้าบบ (มันจะขัดขวางการทำงานของเอนไซม์ในตับที่ทำหน้าที่ย่อยสลายแอลกอฮอล์ นั่นเอง 🥲 เอ้า จะนอกเรื่องอีกแล้ววว)

- ขนุน
ผลขนุนสุกถูกจัดอยู่ในกลุ่มร้อนเพราะมีรสหวานจัดและน้ำตาลสูง (กลูโคส+ซูโครส)

- มะม่วงสุก (Ripe Mango)
มะม่วงสุกถูกเปลี่ยนฤทธิ์จากเย็นเป็นร้อนตามระดับความสุก ความหวานที่เพิ่มสูงขึ้น

- มะละกอสุก (Ripe Papaya)
เอ้าาาา อันนี้เรานึกว่าเป็นธาตุเย็นซะอีกก เพราะกินแล้วมันชุ่มฉ่ำ
แต่อันที่จริงที่มันออกไปทางธาตุร้อนเนี่ย ก็เพราะมันสัมพันธ์กับปริมาณน้ำตาลที่สูง นั่นเอง

🔥 การที่เราทานผลไม้ฤทธิ์ร้อนมากเกินไป อย่างเพื่อนเรากิน(เสมือน)บุฟเฟ่ต์ทุเรียนเนอะ ก็จะเป็นอาการหยินพร่อง ร่างกายร้อนภายใน คอแห้ง ปากแห้ง มือเท้า ร้อน เหงื่อออกบ่อย รักษาด้วยอาหารหรือยาที่มีฤทธิ์เย็น นั่นเอง


🥶 ผลไม้ฤทธิ์เย็น หลัก ๆ ก็จะเป็นผลไม้ฤทธิ์เย็นมักมีน้ำสูง รสหวานที่ไม่หวานจัด และมีคุณสมบัติช่วยระบายความร้อน เติมความสดชื่น และช่วยขับปัสสาวะ ยกตัวอย่างเช่น

- แตงโม & แคนตาลูป
อันนี้แน่นอนอยู่แล้ว มันสดชื่นของจริง ผลไม้กลุ่มนี้จะมีน้ำมากกว่า 90% และอุดมด้วยโพแทสเซียม ช่วยขับปัสสาวะ ลดอุณหภูมิร่างกายได้ดี

- ชมพู่
ผลไม้ที่มีน้ำสูงถึง 93% แน่นอนว่าฤทธิ์เย็นเลย (เราก็ชอบกินคู่กับแตงโม มันคล้ายร้อนได้ดีนะ)

- มังคุด
เราไปค้นหามา เขามีฉายาด้วยนะ ตรงข้ามกับทุเรียนเลย “ราชินีแห่งผลไม้ฤทธิ์เย็น” มีสารแซนโทนที่สูง เป็นสารในกลุ่มของฟลาโวนอยด์ (flavonoids) ต้านอนุมูลอิสระ ต้านอักเสบ เอาง่าย ๆ มันก็ฤทธิ์เย็นนะแหละ (โอะโห เพื่อนเราก็แม่นอยู่เหมือนกันนะเนี่ย 🤣)


สรุปสั้น ๆ ผลไม้ ฤทธิ์ร้อน หรือ ฤทธิ์เย็น พอจะสังเกตได้จากอะไรได้บ้างนะ ? 🤔

🔥 ฤทธิ์ร้อน ปริมาณน้ำและลักษณะของเนื้อผลไม้ เนื้อแน่น เหนียว หวานมัน

🥶 ฤทธิ์เย็น เนื้อฉ่ำน้ำ รสจืด, รสขม, รสเปรี้ยว หรือ อาจมีรสหวานที่ไม่หวานมาก

— — — — — — — — — —

[ รู้ไว้ใช่ว่า ? ผลไม้ที่มีฤทธิ์เย็น อาจกลายเป็นฤทธิ์ร้อนได้ด้วยนะ ! ]

คอนเซ็ปต์ง่าย ๆ เลยก็คือ จากหยินไปหยาง ไม่สมดุล ก็อาจเสมือนเป็นการดึง "น้ำ" (พลังหยิน) ในผลไม้ออกไปจนเหลือแต่พลังงานที่เข้มข้น (หยาง) ในผลไม้นั้น ๆ หรือปริมาณน้ำตาลที่สูงขึ้น ก็เปลี่ยนธาตุไปได้
(เท่าที่เราเข้าใจนะ คิดว่ามันอาจจะมีลึกมากกว่านี้ แต่เราคิดว่าเข้าใจเท่านี้ก็น่าจะเพียงพอ)

เช่น พวกมะม่วงที่สุกมาก ๆ มะละกอสุก หรือกล้วย ที่เดิมทีผลไม้พวกนี้มีฤทธิ์เย็น (ถ้าไม่สุกงอม) แต่พอสุกปั้บ น้ำตาลก็จะพุ่งสูงทันที ฤทธิ์เย็น(หยิน) ก็จะค่อย ๆ หายไปแทนที่ด้วยฤทธิ์ร้อน(หยาง) นั่นเองคร้าบบ


แหล่งอ้างอิงเพิ่มเติม
- ฟังหมอจีนไขสมดุลหยิน-หยาง กินยังไงให้แข็งแรง!? จ่ากช่องยูทูป Klaoshow
- บทความ Importance of Heating and Cooling Effects of Food โดย Dr. Amrita Sharma (สาขา Ayurveda) จากเว็บ Practo
- บทความ สุขภาพกับ " ผลไม้ " สไตล์แพทย์จีน จากเพจ แพทย์จีน มธ.
- บทความ Warming and cooling characteristics of common foods จากเว็บ pingminghealth
- บทความ ผลไม้ฤทธิ์ร้อน ฤทธิ์เย็นมีอะไรบ้างนะ จากเว็บ kasemradtcm
- บทความ หยิน-หยาง โดย พจ.ลดาวรรณ จากมหาวิทยาลัยมหิดล

ขนมซองนั้นก็มี อาหารกล่องนี้ก็เจอ เคยสงสัยไหมว่า "สาร INS" มันคือสารอะไรกันนะ ? 🤔💡ท่ามกลางเรื่องราวของการเมืองและอังเคิล...
20/06/2025

ขนมซองนั้นก็มี อาหารกล่องนี้ก็เจอ
เคยสงสัยไหมว่า "สาร INS" มันคือสารอะไรกันนะ ? 🤔💡

ท่ามกลางเรื่องราวของการเมืองและอังเคิล ที่ร้อนระอุตอนนี้ 🔥
แน่นอนว่า ! เพจของเราก็เกาะกระแสไม่ค่อยเก่ง 🥲
งั้นสำหรับเพื่อน ๆ ที่อยากพักเปลี่ยนเรื่องอ่านกัน ก็มาอ่านโพสของพวกเราได้นะค้าบ 😆🙏

วันก่อนเรานึกสงสัยว่า ทำไมอาหารแช่แข็งกล่องนี้ มันถึงอยู่ได้เป็นเดือนเลย ก็เลยพลิกกล่องอาหารดูแล้วเจอสารพัดตัวเลข INS แต่อ่านไปก็ไม่รู้อยู่ดีว่าเป็นสารอะไร 🥲

สำหรับบางคนแค่เห็นก็รีบวาง…บางคนไม่สนใจเลย
สำหรับบางคนก็อาจจะกังวล และนึกถึงอันตรายจากเรื่องอาหารแปรรูปสูง (UPF)

เอาจริงสิ่งนี้มันอยู่รอบตัวเราม๊ากกก จนเราก็ลืมสังเกตไปเลย 🧐
เราจะบอกว่ามันก็น่ากลัว เพราะว่าเราไม่สามารถหลีกหนีการรับสารเคมีอะไรก็ไม่รู้เข้าสู่ร่างกายได้เลย

หากแต่.. มันก็ไม่ได้น่ากลัวมากขนาดที่ว่ากินไม่ได้เลยขนาดนั้นนะ (คือ มันก็ปลอดภัยและถ้าเรากินในปริมาณที่ฉลากระบุ มันก็ไม่เกิดปัญหา…. หรืออาจจะแค่ในตอนนี้ แห่ะ ๆ 😅)

งั้นวันนี้พวกเรา InfoStory จะมาชวนเพื่อน ๆ รู้จักไปพร้อม ๆ กัน
ทั้งน่ากลัว แต่ก็ทำให้ติดงอมแงม ก็อย่างว่าละหน้าที่ของอาหารแปรรูปขั้นสูง มันต้องเนรมิต รูป รส กลิ่น ให้เราประทับใจขั้นสุดนะแหละเนอะ

(แต่นึกอีกภาพตามดูให้ชวนคิด ถ้าไม่มีสารเหล่านี้… แล้วร้านสะดวกซื้อเขาจะขายอะไรกันได้นะ ? 🤔)

(ปล. ตอนท้ายบทความ เรามี คหสต. ของเราเอง เผื่อเพื่อน ๆ ข้ามไปอ่านข้างล่าง แล้วมาพูดคุยแบ่งปันมุมมองกันได้นะ อยากรู้เทคนิคการกินของเพื่อน ๆ เหมือนกัน 🥰🙏)

— — — — — — — — — — — — — — —

INS ย่อมาจาก International Numbering System for Food Additives—ระบบเลขสากลสำหรับวัตถุเจือปนอาหาร คิดค้นโดยคณะกรรมการ Codex Alimentarius ขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO)‑องค์การอนามัยโลก (WHO) ตั้งแต่ปี 1989

คำถามที่เรานึกสงสัยก็คือว่า… เอ้ะ อะไรคือแรงบันดาลใจในการจัดตั้งเจ้าเลข INS อันนี้กันนะ ?

จุดเริ่มต้นของเจ้าตัวเลขสากล INS ตัวนี้เนี่ย มันเริ่มจากปี 1955 FAO กับ WHO เรียกประชุม “Joint Conference on Food Additives” ครั้งแรกหลังพบว่าประเทศต่าง ๆ คุมสารเติมแต่งกันคนละแบบ

คือก่อนหน้านี้เนี่ย ที่ยุโรปเขาเจอปัญหาว่า สารแต่งสีที่ใส่ในขนมหวานประเทศหนึ่ง อาจเป็นสารต้องห้ามในอีกประเทศ
หรือกลิ่นแต่งสตรอว์เบอร์รีที่ใช้ในลูกอม อาจไม่มีมาตรฐานกลาง แถมสารเคมีปรุงแต่งแต่ละอย่าง ก็ใช้ชื่อทางเคมีที่ยาวและยากต่อการจำเอาเสียมาก ๆ เลย

ซึ่งนั่นเป็นอุปสรรคต่อการค้าและความปลอดภัยผู้บริโภคอย่างเรา (INS ก็เป็นปัญหาเหมือนกัน เพราะจำไม่ได้ 555555)

ก็เลยเป็นที่มาของการตั้งตัวเลขให้กับมาตรฐานอาหารระหว่างประเทศที่กำลังก่อตัวภายใต้ชื่อ Codex Alimentarius (ก่อตั้ง 1963) แต่ว่าสำหรับทวีปยุโรป เขาได้เริ่มใช้ตัวเลขที่ขึ้นด้วย E มาก่อนเลย เพราะว่าองค์กร Codex Committee เนี่ยกว่าจะตั้งกว่าจะเถียงกัน มันก็กินเวลานานอยู่

ต่อมา Codex Committee เลยนำตัวเลข E‑number ที่ยุโรปใช้กัน นำมาใส่เป็นรหัส INS สำหรับใช้สากล เช่น สีผสมอาหารสังเคราะห์สีเหลืองมะนาว (Tartrazine) = INS 102 = E102 ตัวเลขเดียวกัน (แต่เหมือนจะไม่ใช่ทั้งหมดนะ เอาเป็นว่าบ้านเราก็ยึดตัวเลข INS กันนี่ละ)

— — — — — — — —

มา ๆ ชวนมาอ่านกันต่อสักนิดว่าไอเจ้าสาร INS ที่เราชอบเห็นกันในอาหารรอบตัวเรา มันมีอะไรบ้าง ?
แล้วเขาใส่ไปทำไมกันนะ ? 🤔

(ในเมื่อเราหนีไม่ได้ ก็รู้จักเขาไว้สักหน่อยเนอะ เราขอหยิบตัวอย่างที่เห็นบ่อยมาน้า ถ้าหยิบทุกกลุ่มมา สงสัยอาจต้องเขียนเรียงความของจริง เพราะมันเยอะม๊ากกกก กกก กก…)

1. กลุ่มสารควบคุมความเป็นกรดหรือด่าง (Acidity/Alkalinity Regulators)

พวกสารปรับให้เป็นกรด เชื่อว่าคงคุ้นชื่อกันเช่น กรดซิตริก (INS 330), กรดมาลิก (INS 296) ปรับค่า pH เปรี้ยวพอหยุดเชื้อแบคทีเรีย สำหรับสารปรับให้ด่าง ก็พวก โซเดียมไบคาร์บอเนต INS 500

หลัก ๆ เลยคือ เพิ่มประสิทธิภาพของสารกันบูด ควบคุมรสชาติพวกรสเปรี้ยว พบบ่อยใน น้ำอัดลม, แยม, เยลลี่, ลูกอม, อาหารกระป๋อง


2. กลุ่มสารป้องกันการจับตัวเป็นก้อน (Anti-caking Agents)

เราจะเห็นเจ้าสารนี้อยู่ในกลุ่มอาหาร เครื่องปรุง เครื่องเทศบด ว่าง่าย ๆ คืออาหารที่เป็นผง (นึกภาพผงชูรส กาแฟผง) โดยสารนี้จะช่วยให้ผงไม่จับตัวกันเป็นก้อน โดยตัวสารจะเข้าไปเคลือบอนุภาคของอาหารทำให้อาหารคงความชื้นต่ำนั่นเอง ชื่อที่เราพอจะเห็นบนฉลากก็มี

INS 551 — ซิลิคอนไดออกไซด์
INS 552 — แคลเซียมซิลิเกต
INS 553b — แมกนีเซียมซิลิเกต
INS 341 — แคลเซียมฟอสเฟต

เราคุ้นหูเกือบหมดเลย แค่ตัวแคลเซียมฟอสเฟต ออกจะเห็นในข่าว(ที่ไม่ค่อยดี) บ่อย ๆ

3. กลุ่มสารต้านออกซิเดชัน (Antioxidants)

ตัวนี้ก็ตรงตามชื่อเลย ช่วยรักษา ยืดอายุอาหารที่อาจเน่าเสียจากปฏิกิริยาออกซิเดชันกับออกซิเจนในอากาศ คือน้องสารจะเข้าไปทำปฏิกิริยากับอนุมูลอิสระที่จะเข้ามาทำลายอาหาร ภาพในหัวเราคิดเหมือนกับสารต้านอนุมูลอิสระตามอาหารเสริม แต่ว่าอันนี้เป็นตัวที่ใช้สำหรับการเก็บอาหาร เช่น การเหม็นหืนของไขมัน, การเปลี่ยนสี, การสูญเสียวิตามิน ซึ่ง

กลุ่มอาหารที่เราพบสารตัวนี้บ่อย ๆ ก็คือ ซีเรียลอบกรอบ, ขนมอบกรอบ, น้ำมันพืชบรรจุขวด

INS 320 — บีเอชเอ Butylated hydroxyanisole (BHA)
INS 321 — บีเอชที Butylated hydroxytoluene (BHT)
INS 300 — กรดแอสคอร์บิก / วิตามิน C Ascorbic acid (สารภาพว่าเราเคยคุ้นหูแค่ตัวนี้ 5555)


4. กลุ่มสารแต่งสีแต่งกลิ่นสังเคราะห์

แต่งสีอาหารให้มีสีสันสม่ำเสมอ เพราะสีธรรมชาติมันอาจเสียไประหว่างการประกอบอาหาร
ส่วนแต่งกลิ่นก็ให้เรานึกภาพง่าย ๆ ว่า เค้กวานิลลา ที่ไม่ได้ทำจากฝักวานิลลาจริง ๆ แต่กลิ่นห๊อมหอม
หลักการทำงานของเขาที่เราพอจะเข้าใจง่าย ๆ ว่า คือ การที่โมเลกุลของสีสังเคราะห์มีความสามารถในการดูดกลืนแสงที่ความยาวคลื่นเฉพาะ จนแสดงออกให้เราเห็นเป็นสีนั้น ๆ น่ะนะ

INS 102 — ทาร์ตราซีน (เหลือง)
INS 110 — ซันเซ็ตเยลโลว์ (ส้ม)
INS 129 — อัลลูร่าเรด (แดง)
INS 171 — ไทเทเนียมไดออกไซด์ (ขาว) (ตัวนี้แอบเห็นบ่อยม๊าก ไม่แน่ใจป่านนี้กระเพาะของเราสีขาวรึยังนะ หยอกๆ 😜)


5. กลุ่มสารให้ความหวานแทนน้ำตาล (Intense Sweeteners)

ใครเคยคุ้นบ้าง….. หมากฝรั่ง Sugar free ! น้ำอัมลมซ่าน้ำตาล 0% !
แอลกอฮอล์ 0% (เอ้ย อันนี้ไม่เกี่ยวววววว 🤣 เช็คดูว่าอ่านกันอะป่าวน้า)

ไอที่ว่าน้ำตาล 0% นี่ละ เขาก็ใส่เจ้าสารตัวนี้กันทั้งนั้น เพราะมนุษย์สมัยใหม่อย่างพวกเรา จะคุ้นชินและชอบรส “หวาน” ถ้าเขาทำแบบไร้ความหวาน 0% เลย… เราเชื่อว่าอาหารกลุ่ม “UPF” มันก็คงไม่น่าสนใจแล้วละ

เจ้าโมเลกุลของสารตัวนี้สามารถจับกับตัวรับรสหวาน (Sweet taste receptors) บนลิ้นได้พอดีและกระตุ้นได้รุนแรงกว่าน้ำตาลทรายหลายเท่า และพออ่านชื่อแล้ว

INS 951 — แอสปาร์เทม Aspartame
INS 955 — ซูคราโลส Sucralose
INS 960 — สตีวิออลไกลโคไซด์ Steviol glycosides (สตีเวีย)
INS 961 — นีโอเทม Neotame

ลองหยิบของในตู้เย็นมาพลิกดูฉลาก ก็น่าจะเจอตัวเลขเหล่านี้ (ของเราเป็นพลิกมาดูในตู้เย็นเป็นน้ำผลไม้ 5555)


6. กลุ่มสารอิมัลซิไฟเออร์ (Emulsifiers)

อันนี้ก็ฮ้อตฮิตเลย แล้วก็ลึกกว่าแค่ชื่อของมัน คือสารตัวนี้ทำให้วัตถุดิบที่มีเนื้อสัมผัสไม่เข้ากัน เช่น น้ำและน้ำมันซึ่งปกติไม่เข้ากัน สามารถรวมตัวเป็นเนื้อเดียวกันได้อย่างคงตัว ไม่แยกชั้น เราเข้าว่ามันทำหน้าแบบนี้นะ โมเลกุลของอิมัลซิไฟเออร์มี 2 ส่วนในตัวเดียว คือ ส่วนที่ชอบน้ำ (Hydrophilic) และส่วนที่ชอบน้ำมัน (Lipophilic) โดยจะหันส่วนที่ชอบน้ำมันเข้าหาหยดน้ำมัน และหันส่วนที่ชอบน้ำออกไปด้านนอก

เราจะพบเห็นได้ในไอศกรีม ซอสมายองเนส ช็อกโกแลตบาร์ เค้ก

INS 322 — เลซิทิน Lecithins
INS 471 — โมโน-ไดกลีเซอไรด์ของกรดไขมัน Mono- & Diglycerides of fatty acids
INS 433 — โพลีซอร์เบต 80 Polysorbate 80

(ส่วนตัวเราคุ้นหูแค่ เลซิทิน เพราะออกข่าว(ที่ไม่ดี) บ่อย ๆ)


7. กลุ่มสารสร้าง/รักษาฟอง (Foaming Agents)

ให้นึกถึงภาพเบียร์ดำสีเข้ม ๆ ที่มีฟองนุ่ม ๆ (ยี่ห้อที่เราชื่นชอบก็ใส่เยอะซะด้วย🥲) แล้วไอเจ้าฟองนี่เนี่ย ก็ไม่หายไปง่าย ๆ ด้วย แต่ส่วนตัวเราคิดว่า มันคือสารง่าย ๆ นี่ละ อย่างเช่น คาร์บอนไดออกไซด์ (INS 942, 290 (CO₂) นั่นเอง

(ใช่แล้ว ถ้ามีการใส่ CO₂ เข้าไปก็ต้องระบุตัวเลขนี้ด้วยนะ) เราเลยบอกว่า ไอเจ้าสาร INS มันมีทั้งตัวที่อันตรายน่ากลัว และตัวที่ไม่อันตรายทั่วๆไป ปะปนกัน นั่นละนะ (แหม…พอเป็นเบียร์ที่ตัวเองชื่นชอบก็พูดในแง่ดีเลยนะ 5555 🤣)

หรือมากไปกว่าแค่ CO₂ สารเหล่านี้จะลดแรงตึงผิวของของเหลว ทำให้สามารถดักจับฟองอากาศไว้ได้ง่ายขึ้น และสร้างชั้นฟิล์มที่แข็งแรงรอบๆ ฟองอากาศเพื่อป้องกันไม่ให้ฟองยุบตัวเร็วเกินไป

นอกจากเบียร์แล้ว ก็มีพวก วิปครีมกระป๋อง, มูส ที่เขาใช้กันบ่อย ๆ นะ


8. กลุ่มสารดูดความชื้น/คุมความชื้น (Humectants)

ลองหยิบกล่อมหมากฝรั่งหรือลูกอมมาดู เจอสารนี้แน่นอน (ระหว่างที่พิมอยู่ก็อมลูกอม แล้วก็หยิบมาดูตาม เย้ยย…กลืนสารเคมีไปอีกหนึ่งอึก… แต่มันไม่อมก็ไม่ได้ มันเขียนไปหลับไปงะ 😭) อะไปดูชื่อสารกันก่อน คุ้นแน่นอน ชื่อคุ้นกว่าสารให้ความหวานแทนน้ำตาลอีกนะ

INS 420 — ซอร์บิทอล Sorbitol
INS 421 — แมนิทอล Mannitol
INS 422 — กลีเซอรอล Glycerol / Glycerine

พวกนี้ส่วนใหญ่จะเป็นสารที่มีหมู่ไฮดรอกซิล (-OH) จำนวนมากในโมเลกุล อ่านชื่อ -OH ก็พอเดาได้เลยว่าเกี่ยวกับน้ำเนอะ คือเจ้าสารพวกนี้จะสามารถสร้างพันธะไฮโดรเจนกับโมเลกุลของน้ำได้อย่างดี จึงดึงดูดและจับน้ำไว้ไม่ให้ระเหยออกไปจับโมเลกุลน้ำด้วยพันธะไฮโดรเจนนั่นเอง

(ลองพลิกดูซองที่มาส์กหน้า ก็เจอสารตัวนี้นะ)


9. กลุ่มสารทำให้ข้น / หนืด(Thickeners)

สารหมวดนี้ ถ้าเพื่อน ๆ ท่านไหนที่อ่านหนังสือ “Ultra Processed People” แล้วก็คงจะคุ้นชื่อกันดี เพราะมันคือเจ้าสารที่ผู้เขียนคุณ Christ พูดถึงในช่วงแรก ๆ เลย ที่บอกว่า ลูกสาวของเขาติดไอศกรีม แล้วตัวเขาตั้งข้อสงสัยว่า ทำไมอากาศร้อนขนาดนี้ ไอศกรีมเจลาโต้ถึงไม่ละลายเป็นน้ำ แล้วทำไมอยู่ในตู้แช่แข็ง ถึงไม่ได้แข็งตัวละ ?

นี่ละ มันคือเจ้าสารตัวนี้ด้วย มันจะช่วยเพิ่มความหนืด (Viscosity) ของผลิตภัณฑ์อาหารที่เป็นของเหลว ทำให้มีเนื้อสัมผัสที่ข้นขึ้น สารส่วนใหญ่ (เช่นตัว 412) จะเป็นพอลิแซ็กคาไรด์ยาวที่ดูดน้ำแล้วขยาย → ก็คือ เพิ่มความหนืดไม่ก่อเจลแข็ง, ช่วยให้ซอสเคลือบชิ้นอาหารได้ดี

INS 412 — กัวร์กัม Guar gum
INS 401 — โซเดียมอัลจิเนต Sodium alginate
INS 440 — เพกทิน Pectin

อย่างเช่นเจ้า INS 412 กัวร์กัม ส่วนใหญ่ก็จะทำมาจากแป้งมันสำปะหลังดัดแปลง (Modified Starch) ที่ในหนังสือพูดเยอะมาก (คิดว่าถ้าเป็นไฟล์ PDF กด Ctrl.F คงจะเจอไฮไลท์สีเหลืองทั้งเล่ม 🤣)


10. กลุ่มสารคงตัว(Stabilisers)

จากข้อ 9 คำถามเกี่ยวกับไอศกรีมว่า ทำไมพวกไอติมเจลาโต้ที่เหนียวหนึบ พอมันเจออากาศร้อน ๆ แล้วมันถึงละลายช้าจัง ไม่เหลวเป็นน้ำ ส่วนสำคัญคือก็เจ้าสารนี้ละเด้อออ ช่วยรักษาโครงสร้างและเนื้อสัมผัสของอาหารให้คงสภาพเดิม ป้องกันการแยกชั้น หรือรักษาสภาพความเป็นเนื้อเดียวกันของผลิตภัณฑ์

หลักการทำงานคร่าว ๆ คือ การดูดซับน้ำและพองตัวเป็นโครงสร้างแบบเจล (Gel-like structure) ที่มีความหนืดสูง ซึ่งโครงสร้างนี้จะช่วยพยุงและโอบล้อมส่วนประกอบต่างๆ (เช่น ผลึกน้ำแข็ง, หยดไขมัน, ชิ้นผลไม้) ไม่ให้เคลื่อนที่มารวมตัวกัน

ส่วนตัวเราเอง สารภาพว่ายังแยกไม่ออกเท่าไร ระหว่างข้อ 6 กลุ่มสารอิมัลซิไฟเออร์ (Emulsifiers) กับข้อนี้นะ (อาจจะลึกพอสมควร ขอไปศึกษาเพิ่มเติมก่อนคร้าบ) เพราะหน้าที่ของมันก็แอบคล้ายกันอยู่

INS 415 — แซนแทนกัม Xanthan gum (อันนี้ในหนังสือ “Ultra Processed People” ก็พูดเยอะอยู่)
INS 407 — คาราจีแนน Carrageenan
INS 410 — กัมเมล็ดคาร็อบ / ลูกแห้ว Locust bean gum


ที่เราหยิบมานี่แค่น้ำจิ้มเลย เพราะมันยังมีอีกหลายกลุ่มมากที่ไม่ได้พูดถึง เช่น สารเคลือบผิว (Glazing Agent), สารเพิ่มปริมาณ (Bulking Agent), สารทำให้แน่น (Firming Agent), สารปรับปรุงคุณภาพแป้ง (Flour Treatment Agent), กลุ่มสารกันเสีย (Preservatives)

โอ้ยยย อีกเยอะเลย 🤧

แต่เราคิดว่า แค่นี้เพื่อน ๆ ก็คงอ่านกันพอหอมปากหอมคอแล้ว (หรืออาจจะเยอะไป 🤣 ขออภัยค้าบผม🙏)
ไว้ถ้าท่านไหนอยากอ่านเรื่องตรงนี้อีก ก็บอกเราได้นะ จะได้มีแรงจัดทำ เพราะเรื่องนี้แอบยากนิดนึง ใช้เวลาค้นหาอ่านนานพอสมควร 🤓


[ ปิดท้ายด้วย คหสต. ของเราสักเล็กน้อย 🤓🙏 ]

ในมุมมองของเรา (ผู้บริโภค) ถึงแม้จะรับรู้ว่าสารเหล่านี้มันอยู่รอบตัวมาก และก็กังวลอยู่เหมือนกัน

คือเอาจริงนะ เราลองไม่เข้า 7-11 (ทำ challenge กับตัวเองเพราะอยากลอง555) ทีนี้พอสั่งแต่ร้านออร์แกนิคเลยเนี่ย มันก็ตีไปมื้อนึง ประมาณ 250+ บาท (โอยยย 🤣) พอสั่งร้านตามสั่ง เอาดี ๆ บางร้านเขาก็อาจจะใช้ของที่มาจากร้านสะดวกซื้อ วัตถุดิบแช่แข็งบางอันที่แน่นอนว่า มันก็มีสาร INS (เช่น กลุ่มสารกันเสีย กลุ่มสารต้านออกซิเดชัน) เอ้า ! หรืออย่างแค่ซอสซีอิ๊ว มันก็มีแล้วเนอะ 😆

กลายเป็นว่าพอจะมากินราคาถูกหน่อย เราก็คงไม่รู้หรอกว่าร้านค้าเขาใช้อะไรทำบ้าง จะไป mention บอกร้านเขาว่า ไม่เอา UPF นะครับ … แห่ะ ๆ ก็คงตลกดี

แต่ต้องบอกว่าสาร "INS" ที่เราเห็นกันในฉลากของอาหารรอบตัวเราเนี่ย ส่วนใหญ่เขาก็ขึ้นทะเบียนที่ระบุว่าปลอดภัยในระดับประชากรโลกบริโภคได้ หากรับมันในปริมาณที่พอดีต่อวัน ก็จะไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพมากเท่าไร

แต่คำถามคือ ! ปริมาณที่พอดี คือเท่าไร ? ร้านอาหารต้องเหยาะซีอิ๊วกี่หยดสำหรับทำผัดกะเพรา ? เนื้อหมู เนื้อไก่ แช่แข็งมาไหม ? ปรุงรสได้แค่ไหน ? ใส่ผงชูรสได้มากขนาดไหน ? (เอ่อเนอะ พอพูดแล้วก็ขมวดคิ้ว กังวลมานิดนึงละ 🥲😂)

เออ คือเราก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน นอกจากจะต้องศึกษาแต่ละสารในฉลากของเครื่องปรุงอย่างละเอียด และทำอาหารเองที่บ้าน (แต่เวลายุ่งๆมันก็ขี้เกียจงะ 🥲)

เอาเป็นว่า เพียงแต่ให้เรารู้กันว่าอาหารชิ้นนั้นที่มีสารเหล่านี้จัดเป็น "อาหารแปรรูปขั้นสูง (UPF)" ควรเลือกบริโภคแต่พอดี

**ที่สำคัญคือ เราต้องไม่กลัวจนประสาทจะกินหัวไปก่อน ถ้ากังวลมากก็ต้องวางแผนเมนูต่อมื้อต่อวันให้ดี เราว่าบางทีเก็บแรงไว้ออกกำลังกาย พักผ่อนนอนให้เพียงพอ มีแรงไว้ทำงานหาเงินมาแบ่งเบาบางมื้อให้ได้กินอาหารคลีน ๆ ดี ๆ บ้างแทนเนอะ ไว้พวกเรา InfoStory จะหาเรื่องราวเกี่ยวกับ UPF มาให้อ่านกันเรื่อย ๆ นะ 🥰



#อาหารแปรรูปสูง

แหล่งอ้างอิงเพิ่มเติม
- หนังสือ Ultra-Processed People เขียนโดย Chris van Tulleken
- รายงาน CLASS NAMES AND THE INTERNATIONAL NUMBERING SYSTEM FOR FOOD ADDITIVES โดย FOA UN และ WHO
- วีดีโอ คนสู้โรค ปรับก่อนป่วย : สารกันบูดในอาหารกับวิธีการสังเกตฉลากส่วนประกอบ โดย ThaiPBS
- Introduction to International Numbering System (INS) for Food Additives โดย Copperpod Dip

ยาดมที่เราดมมันทุกวัน ว่าแต่..เราดมอะไรกันไปบ้างนะ ? 🤩👃ทุกครั้งเวลาที่เรากำลังเครียด หรือกำลังใช้สมองหนัก ๆ หนึ่งในอุปกร...
28/05/2025

ยาดมที่เราดมมันทุกวัน ว่าแต่..เราดมอะไรกันไปบ้างนะ ? 🤩👃

ทุกครั้งเวลาที่เรากำลังเครียด หรือกำลังใช้สมองหนัก ๆ หนึ่งในอุปกรณ์ติดตัวที่ต้องมีก็คือ “ยาดม”
พอได้ “ดม” แล้วก็รู้สึกฟิน จนไม่รู้ตอนนี้เรียกว่าติดรึยังนะ … 😂

งั้นในวันนี้พวกเรา InfoStory ขอพาเพื่อน ๆ ไปรู้จักกับเรื่องราวของ “ยาดม” ทำไมดมแล้วถึงรู้สึกดี๊ดี ?

— — — — — — — — — — — —

[ ทำไมดมยาดมแล้วถึงรู้สึกสดชื่น ? ]

จากในภาพอินโฟกราฟิกของยาดมยี่ห้อดังต่าง ๆ ที่เราติดจมูกกัน จะเห็นว่าส่วนผสมที่เป็น “สามเกลอแห่งกลิ่นยาดม”

(อันนี้เราคิดขึ้นมาเองนะ มันชวนนึกถึงสามเกลอจริง ๆ 😂 อย่างเช่น เมนทอล การบูร และพิมเสน ที่เมื่อรวมพลังกันแล้ว ก็ทำให้สมองและจมูกของเรารู้สึกโล่งแบบสุดๆ)

“เกล็ดสะระแหน่ (Menthol)" คือพระเอกหลักที่หลอกสมองของเราผ่านตัวรับประสาท TRPM8 ว่า "มีลมเย็นๆ วิ่งเข้ามาในโพรงจมูก" ทั้งๆ ที่จริงแล้วความดันอากาศในจมูกไม่ได้เปลี่ยนไปเลย

“การบูร (Camphor)” เมื่อสูดเข้าไปจะทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น เกิดความอุ่นเบาๆ ช่วยลดอาการแน่นจมูก แต่หากดมในปริมาณมากเกินไปก็จะหลายเป็นพิษได้เด้อ (โดยมากจะมีอัตราส่วนผสมที่ไม่เยอะเท่าไรนะ เท่าที่เราสังเกตตามฉลากของยาดมหลายยี่ห้อ)

“พิมเสน (Borneol)” กลิ่นหอม เย็น ฉุน เข้มคล้ายการบูร ช่วยให้เซลล์เยื่อบุโพรงจมูกชุ่มชื้นขึ้น ทำให้สารอื่นๆ อย่างเมนทอลและการบูรซึมลึกและทำงานได้ดีขึ้นไปอีก

🤩 ทีนี้ ไอเจ้าสามเกลอแห่งกลิ่นนี่เนี่ย ที่มันทำให้เรารู้สึกดี๊ดีเวลาดมยาดม เพราะมันช่วยทำหน้าที่ประสานกัน (คล้ายกับทีมฟุตบอลที่มีกองกลางที่ดี ช่วยผ่านบอลจนถึง Striker ได้) คือ เกล็ดสะระแหน่ (Menthol) ช่วยกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกว่ามันเย็น ในขณะที่ การบูร (Camphor) และ พิมเสน (Borneol) ช่วยกระตุ้นสมองส่วนที่เรียกว่า Reticular formation ซึ่งทำหน้าที่คอย "ปลุก" สมองให้ตื่นตัวเบาๆ คล้ายๆ กับดื่มกาแฟนิดๆ ทำให้เรารู้สึกหายง่วง กระปรี้กระเปร่าขึ้น

😌 พอทั้ง 3 กลิ่นวิ่งเข้าสู่จมูกเราก็ปรื้ด สามประสาน ทำให้เรารู้สึกดี ผ่อนคลายขึ้นมาในช่วงเวลาสั้น ๆ ทันที

แล้วก็จริง ๆ ยังมีพวกน้ำมันหอมระเหยจากยาดม สามารถผ่านเยื่อเมือกในจมูกเข้าไปสู่ระบบสมองส่วนลิมบิก (Limbic System) หรือที่เรียกง่ายๆ ว่าเป็น "ห้องควบคุมอารมณ์" ของเรา ซึ่งส่งผลโดยตรงต่ออารมณ์ ความทรงจำ และความรู้สึกสงบ ทำให้ช่วยลดความวิตกกังวลหรือเครียดได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

โดยมากส่วนผสมสามเกลอตรงนี้ เขาจะบดเป็นผงหรือผลึกสีขาวกัน แต่เราเข้าใจว่าในยาดมสมุนไพรที่เราเห็น เขาน่าจะเพิ่มเป็นสมุนไพรอื่น ๆ เข้าไปด้วย เพราะจะให้เปิดมาแล้วเป็นก้อนผลึกสีขาว ของส่วนผสมทั้ง 3 นี้…ก็อาจจะดูน่ากลัวไปนิด 😅


ทีนี้ เราเคยซื้อยาดมจากตอนที่ไปเที่ยวอิตาลีและฝรั่งเศส (ของฝรั่งถ้าจำไม่ผิดน่าจะของท้องถิ่นจากแคว้น Provence มันมีแนวยาดมลาเวนเดอร์เยอะพอสมควร) เราเลยขอเรียกว่าแก๊งสมุนไพร "หอมละมุนปรุงอารมณ์" 🌼🍊

กลุ่มนี้เน้นกลิ่นหวาน อบอุ่น หรือซิตรัส มาช่วยเกลี่ยกลิ่นให้กลมกล่อมขึ้น (คล้าย ๆ กับสมุนไพรที่อยู่ในชาสมุนไพร Tisane นั่นเอง)

- กลุ่มเครื่องเทศอุ่น เช่น กานพลู อบเชย เฟนเนล ให้กลิ่นเผ็ดหอม ช่วยลดความฉุนของเมนทอลได้

- ดอกไม้หอม เช่น ลาเวนเดอร์ ช่วยผ่อนคลาย ลดตึงเครียด

- กลิ่นซิตรัส เช่น ผิวส้ม มะกรูด ช่วยเพิ่มความสดชื่น

— — — — — — — — — — — —

[ 🤓 ระหว่าง เกล็ดสะระแหน่ กับ ใบสะระแหน่นะ - “เคมี” กับ “พฤกษา” ]

อันนี้เป็นอีกหนึ่งข้อสงสัยของเราเอง เพราะเห็นส่วนใหญ่จะใช้เกล็ดสะระแหน่กันเยอะเลย

แต่ก็มีบางยี่ห้อที่เขาใช้ใบสะระแหน่ ว่าแต่ เอ้ะ มันต่างกันยังไงนะ ?

สะระแหน่ (Peppermint) คือพืชตระกูล Mentha ที่มนุษย์เรานำใบไปกลั่นด้วยไอน้ำ เพื่อสกัดเอา "น้ำมันสะระแหน่" ออกมา น้ำมันตัวนี้เต็มไปด้วยสารระเหยซับซ้อนกว่า 40 ชนิด ไม่ว่าจะเป็นเมนทอล (menthol), เมนโทน (menthone), เมนทิลอะซิเตต (menthyl acetate), พูลิโกน (pulegone) และสารอื่นๆ อีกมากมาย กลิ่นที่ได้จึงมีทั้งความเย็นซ่า หวานละมุน ปนความเขียวแบบสมุนไพร 🍃

แต่พอเรานำเจ้าน้ำมันสะระแหน่ไปแช่เย็นจัดๆ จนถึง -22 °C ขึ้นไป เคมีมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น! 🌬️❄️

แท่นแท๊น นั่นก็คือ “เกล็ดสะระแหน่ (Menthol)" ที่เข้มข้นถึง 99% จะแข็งตัวกลายเป็นผลึกสีขาวใสที่เราเรียกว่า "เกล็ดสะระแหน่" ซึ่งจะเหลือกลิ่นเด่นเพียงหนึ่งเดียวคือความเย็นจัด อมหวานอ่อนๆ ซึ่งจะไม่ได้มีกลิ่นเขียวจากใบสะระแหน่สดๆแล้วนะ

🌬️ เอ ว่าแต่…. ทำไมเกล็ดสะระแหน่ถึงเป็นที่นิยมของ ยาดม ยุคใหม่ ?

เพราะเกล็ดนี้สามารถให้ความเย็นชัดเจนแรงกว่าน้ำมันสะระแหน่ทั่วไปถึง 6-8 เท่า! แถมละลายง่ายที่อุณหภูมิร่างกาย (36-38 °C) จึงให้ความรู้สึกสดชื่นทันทีที่ดม กลายเป็นตัวเอกในโลกของยาดมไปอย่างง่ายดาย 🌟 (จากที่เราไปหามาพบว่า ประเทศจีน คือแหล่งผลิตเกล็ดสะระแหน่ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วยนะ

— — — — — — — — — — — —

[ มนุษย์เริ่มดมยาดมมาตั้งแต่เมื่อไรกันนะ ? 🤔 ]

ปิดท้ายกันด้วยเรื่องราวประวัติศาสตร์สักนิด เรื่องราวของยาดม อาจเรียกว่าเป็นวิวัฒนาการอย่างน่าสนใจ จากควันหอมในวิหารโบราณ สู่ผลึกเมนทอลในหลอดพลาสติกเล็ก ๆ ที่เราใช้เสียบจมูกกันทุกวันนี้

เท่าที่เราค้นหามา ตาม Timeline มันก็จะมี 2 เส้นที่เกิดขึ้นใกล้เคียงกัน คือ

👲 จีนโบราณ: ถุงหอมและยาเปิดทวาร
เมื่อราว 3,000 ปีก่อน สมัยราชวงศ์โจวได้พัฒนาถุงหอมที่เรียกว่า “香囊” (เซียงหนาง) ซึ่งเป็นถุงผ้าไหมเล็ก ๆ บรรจุสมุนไพรหอมอย่างอบเชย กำยาน และพิมเสน แล้วนำมาผูกไว้ที่เอวเพื่อดับกลิ่นกายและขับไล่โรคภัย ถือเป็นการพกพา "กลิ่นรักษา" แบบพกพารุ่นแรกสุดในประวัติศาสตร์

ต่อมาแพทย์จีนเริ่มจัดให้พิมเสนกับการบูรเป็นยา "เปิดทวาร" (开窍药 - kāi qiào yào ไม่รู้อ่านยังไงแห่ะ) โดยบดเป็นผงละเอียดสำหรับสูดเวลาที่มีอาการหน้ามืดหรือวิงเวียน ก่อนที่ภูมิปัญญานี้จะวิวัฒนาการไปสู่ขวดสูดผงยาสูบ (鼻烟壶 - bí yān hú) ซึ่งกลายเป็นแฟชั่นสำคัญในยุคราชวงศ์ชิง โดยผู้คนเชื่อว่าช่วยบรรเทาอาการหวัด ปวดศีรษะ และยังถือเป็นมารยาทในการยื่นขวดเล็ก ๆ ให้ผู้อื่นสูดด้วย

🇪🇬 ในขณะเดียวกัน เมื่อ 4,000 ปีก่อน นักบวชชาวอียิปต์โบราณได้เผายางไม้สน-มดยอบ ในวิหารเพื่อสื่อสารกับเทพเจ้า แต่ในเวาลเดียวกันพวกเขาก็พบว่าควันหอม‐ระเหยนี้ช่วย “ปลุก” คนหน้ามืดให้คืนสติได้ จึงใช้กลิ่นเป็นยากู้ชีพเบื้องต้น (ต่อมาก็ขยับไปทางฝั่งชาวกรีกโบราณ)

🇬🇧 แต่ช่วงที่ยาดม เริ่มเป็นยาดม (คือมี packaging เป็นกระปุกยาดม) คือในช่วงศตวรรษที่ 18–19 ที่ชาวอังกฤษในยุควิกตรอเรีย เขาใช้ส่งที่เรียกว่า “Smelling Salts” ก็คือยาดมนะแหละ พูดให้ยาวทำไม 😂

ไอเจ้า Smelling Salts เนี่ย ก้ถือว่าเป็นหนึ่งในแฟชั่นของผู้หญิงในยุควิกตอเรียเลยนะ

คือให้เรานึกภาพหญิงสาวยุควิกตอเรียที่ใส่ชุด "คอร์เซ็ต" ที่รัดแน่นจนทำให้สุภาพสตรีวิกตอเรียเป็นลมได้ง่าย จึงเกิดการคิดค้น "Smelling Salts" หรือเกลือแอมโมเนียผสมน้ำมันลาเวนเดอร์ ซึ่งถูกบรรจุในขวดเงินเล็ก ๆ ทันทีที่เปิดฝา กลิ่นฉุนรุนแรงของแอมโมเนียจะช่วยกระตุ้นระบบหายใจ ทำให้คืนสติได้อย่างรวดเร็ว และกลายเป็นทั้งเครื่องมือแพทย์และเครื่องประดับบนโต๊ะเครื่องแป้งที่ขาดไม่ได้ของสาวยุคนั้นไปนั่นเอง

มาที่ฝั่งของชาวไทยกันสักนิด เท่าที่เราหามา เหมือนจะพบการใช้ยาดมครั้งแรก ๆ ในช่วงสมัยรัชกาลที่ 2 โดยเริ่มจากน้ำอบและยาดมส้มมือสูตรตำรับวัง ซึ่งมีการบรรจุเมนทอล การบูร และพิมเสนรวมกับผิวส้มโอมือ จนมาถึงรัชกาลที่ 5 ก็ได้มีผลิตภัณฑ์ยาดมในแบบสมัยใหม่มากขึ้น

เราเข้าใจว่าในยุคนั้นมีการรับวัฒนธรรมของชาวตะวันตกมาเยอะเหมือนกัน ในจะสูตรยาดมสมุนไพรโบราณจากฝั่งจีนอีก อย่างเช่นแบรนด์ "โป๊ยเซียน" ก็กำเนิดในปี พ.ศ. 2479 จากร้านขายยาสมุนไพรของพ่อค้าชาวแต้จิ๋วในย่านเยาวราช ประมาณนี้


สำหรับปัจจุบันนี้ การที่ได้ไปท่องเที่ยวในหลาย ๆ ประเทศ แล้วได้ไปลองดมยาดมของประเทศนั้น ๆ เนี่ย เราว่ามันก็แอบฟินเหมือนกันนะ เพราะหลาย ๆ ที่ ก็พยายามดึงกลิ่นเฉพาะ ๆ ตัวของสมุนไพรท้องถิ่นหรือกลิ่นที่หากเราซื้อกลับมา พอดมแล้วก็นึกถึงช่วงเวลาดีดีที่ได้ไปพักผ่อนท่องเที่ยวอยู่เหมือนกันนะ 🥰 (แต่ในยุโรปหลาย ๆ ที่ก็มาเป็นในรูปแบบของครีมทามือแทน)


#ยาดม
#หอม #กลิ่น

แหล่งอ้างอิงเพิ่มเติม
- ข้อมูลผลิตภัณฑ์จากภาพอินโฟกราฟิก จากฉลากผลิตภัณฑ์แต่ละอันเลย
- บทความ Your brain responds to inhalants จากเว็บ houmatoday
- บทความ ffects of d Borneol and d Camphor inhalations on Emotional States จากเว็บ traditionalmedicineconference (เขียนโดยคุณ Akarat S.)
- บทความ The Dawn of Perfume จากเว็บ perfumesociety
- บทความ Chinese Scented Sachet, Xiangnang จากเว็บ zhangruying
- บทความ Therapeutic applications of eucalyptus essential oils จาก Springer Nature

ที่อยู่

Amphoe Bangkok Noi

เบอร์โทรศัพท์

+66839776891

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ InfoStoryผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง InfoStory:

แชร์