The Episode

12/01/2023

ยอดขายรถใหม่กระฉูด ฉุดราคารถมือสอง!
(Yahoo Finance) -11/12/2023- ความผันผวนของตลาดรถยนต์มือสองยังคงดำเนินต่อไปในปี 2022 แต่อาจจะผ่อนคลายในปีนี้ The Manheim Used Vehicle Value Index (MUVVI) ในเดือนธันวาคมเพิ่มขึ้น 0.8% MoM แต่ลดลง 14.9% YoY ซึ่งเป็นราคาต่อปีที่ลดลงมากที่สุดนับแต่จัดตั้งดัชนี โดยที่ดัชนีเดือนธันวาคมอยู่ที่ 219.3 ยังสูงกว่าระดับก่อนเกิดโรคระบาดมาก (ดัชนีเฉลี่ยปี 2019 อยู่ที่ 151.5)
"เป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าปี 2022 ดัชนี MUVVI ลดลงอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน แต่สิ่งสำคัญคือต้องมองภาพรวม" Jonathan Smoke หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ Cox Automotive "ช่วง 3 ปีที่ผ่านมาตลาดมีความผันผวนอย่างมาก และการลดลงของดัชนีก็มาจากการเพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์ เพราะในเดือนธันวาคม 2021 เราเพิ่มขึ้น 47% YoY และระดับก่อนเกิดโรคระบาดจะไม่กลับมาอีก แต่ตัวชี้วัดทั้งหมดชี้ไปที่สมดุลในช่วงครึ่งหลังของปี 2023”
ความสมดุลนั้นอาจเกิดขึ้นที่ระดับตัวแทนจำหน่าย (dealer) โดยนักวิเคราะห์ของ Cox Automotive พบว่ายอดขายสาขาเดิมที่ตัวแทนจำหน่ายรถมือสองลดลง 7% ในเดือนธันวาคม MoM และลดลง 10% YoY ซึ่งคล้ายกับที่ Cox เห็นในเดือนพฤศจิกายน ตามข้อมูล Dealertrack
ในทางกลับกัน ยอดขายรถยนต์ใหม่ยังคงดีดตัวขึ้น โดยจากข้อมูลของ Dealertrack แสดงให้เห็นว่ายอดขายรถยนต์ขนาดเล็กใหม่ในเดือนธันวาคมเพิ่มขึ้น 4.9% YoY และปริมาณการขายเพิ่มขึ้น 12.2% จากเดือนพฤศจิกายน
Luxury sales boom!
ในความเป็นจริง ยอดขายรถยนต์ใหม่ที่สูงที่สุดในตลาดตามแนวโน้มที่เห็นในช่วงต้นปี 2022 ดูเหมือน BMW จะแข็งแกร่งที่สุด โดยยังคงรักษาตำแหน่งแบรนด์อันดับ 1 ในตลาด premium ได้ สามารถเอาชนะคู่แข่งอย่าง Mercedes-Benz ในขณะที่ทั้ง 2 แบรนด์มียอดขายลดลงทุกปีเนื่องจากการปิดตัวและผลกระทบจากสงครามรัสเซียในยูเครน แต่ถึงอย่างนั้น ทั้ง 2 แบรนด์ก็มียอดขายเพิ่มขึ้นอย่างในไตรมาสที่ 4 ซึ่งบ่งบอกถึงการกลับสู่ภาวะปกติและการเติบโต
ทาง Lamborghini เปิดเผยว่าในปี 2022 บริษัทมียอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 9,233 คัน เพิ่มขึ้น 10% YoY โดยตลาดเอเชียและอเมริกาเป็นตลาดสำคัญ ยอดขายขับเคลื่อนโดยรถ Urus “super SUV” ซึ่งมียอดส่งมอบสูงสุด 5,300 คันทั่วโลก Stephan Winkelmann CEO ของ Lamborghini ซึ่งเมื่อต้นปีที่ผ่านมากล่าวว่าความต้องการสินค้าหรูหรานั้นไม่เพียงพอ บริษัทต้อง “จัดการอย่างระมัดระวังและพิถีพิถัน” กับปริมาณการสั่งซื้อในอนาคตเพื่อรักษาระดับการเติบโตและความพิเศษที่ควบคุมได้
ในสหราชอาณาจักรเอง บริษัทลูกพี่ลูกน้องของ Lamborghini ภายใต้ชายคา VW อย่าง Bentley สามารถส่งมอบรถได้เป็นประวัติการณ์ที่ 15,174 คันในทุกพื้นที่การขาย เพิ่มขึ้น 4% เมื่อเทียบกับปี 2021 โดย Adrian Hallmark ประธานและซีอีโอของ Bentley กล่าวในแถลงการณ์ว่า “ในปีที่คาดเดาไม่ได้อีกปีหนึ่ง ธุรกิจเราได้เอาชนะอุปสรรคสำคัญและแสดงให้เห็นถึงความยอดเยี่ยมในการส่งมอบยอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน” Hallmark บอกกับ Yahoo Finance เมื่อต้นปีนี้ว่าเขา “ไม่เคยเห็นรูปแบบการใช้จ่าย” เช่นนี้กับผู้บริโภคระดับ luxury
Rolls-Royce Motorcars ซึ่งเป็นคู่แข่งรายสำคัญในประเทศของ Bentley ก็รายงานสถิติในปี 2022 ด้วยยอดส่งมอบรถยนต์ 6,000 คันเป็นครั้งแรก “ผมคิดว่าสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าปริมาณก็คือตำแหน่งราคาที่เราประสบความสำเร็จทั่วโลก” Torsten Müller-Ötvös ซีอีโอของ Rolls-Royce Motorcars กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับ Yahoo Finance “โดยเฉลี่ยแล้ว รถ Rolls-Royce 1 คันมีราคา 500,000 ดอลลาร์ และนั่นถือเป็นความสำเร็จเลยทีเดียว เทียบกับเมื่อ 10 ปีที่แล้วราคา 250,000 ดอลลาร์ ซึ่งทำให้แบรนด์อยู่ในตำแหน่งที่ค่อนข้างสูงขึ้นมาก”
ทาง Wall Street เองก็กำลังก้าวเข้าสู่การค้าสินค้าหรูหราระดับไฮเอนด์เช่นกัน โดยทาง Bank of America ก็ได้มีการเพิ่ม Ferrari ในรายการไอเดียรถยนต์ที่ดีที่สุดในปี 2023
นักวิเคราะห์ของ Bank of America อ้างอิงปัจจัยต่างๆ เช่น การขยายตัวของปริมาณ ความเอนเอียงที่สูงขึ้นในด้านราคา (bias) โอกาสในการออกใบอนุญาต และความมุ่งมั่นที่จะรักษา "วัฒนธรรมหรูหราเฉพาะตัว" (เช่น การควบคุมปริมาณการผลิต) ถือเป็น “upside risks” สำหรับหุ้นในอนาคต
Source: https://finance.yahoo.com/news/used-car-prices-post-biggest-drop-ever-as-new-luxury-car-sales-boom-195508615.html

11/01/2023

จำนวนประชากรของจีนมีแนวโน้มลดลงในปี 2022 จากการเกิดใหม่แตะระดับต่ำสุด!

(Bloomberg) -11/01/2023- ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านคาดการณ์ว่าจำนวนประชากรของจีนน่าจะเริ่มหดตัวเป็นครั้งแรกในรอบหลายทศวรรษ ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบระยะยาวต่อเศรษฐกิจของจีน โดย He Yafu นักประชากรศาสตร์รายงานว่าจำนวนการเกิดในปี 2022 (คาดว่าจะมีการรายงานในสัปดาห์หน้า) อาจจะต่ำเป็นประวัติการณ์ที่ 10 ล้านคน ซึ่งอาจจะน้อยกว่าปี 2021 ที่มีจำนวนการเกิด 10.6 ล้านคน อาจลดลงติดต่อกันเป็นปีที่ 6 และต่ำที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี 1949 โดย He เสริมว่าประเทศจีนมีแนวโน้มผู้เสียชีวิตมากกว่าปีที่แล้ว (ในปี 2021 มีจำนวนผู้เสียชีวิต 10.1 ล้านคน) ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการแพร่กระจายของเชื้อโควิด-19

การลดลงของประชากรน่าจะมาเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้มาก และอาจขัดขวางการเติบโตของเศรษฐกิจของประเทศที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก อาจส่งผลให้กำลังแรงงานหดตัวลง ความต้องการบ้านในระยะยาวลดลง และรัฐบาลอาจมีปัญหาในการจ่ายเงินสำหรับระบบบำนาญแห่งชาติ ผลร้ายแรงที่สุดคือเศรษฐกิจของจีนอาจไม่สามารถแซงหน้าสหรัฐอเมริกาได้ และอาจสูญเสียสถานะเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกให้กับอินเดียในปีนี้

ในหลายประเทศช่วงที่มีการระบาดใหญ่ของโควิด-19 มีจำนวนการเกิดของทารกลดลง เนื่องจากประชาชนกลัวการไปโรงพยาบาล และขาดแรงสนับสนุนจากครอบครัวเนื่องจากข้อจำกัดในการล็อกดาวน์ รวมถึงอาจไม่มีเงินค่าเลี้ยงดูบุตร

อย่างไรก็ตาม ปัญหาเพิ่มเติมส่วนหนึ่งมาจากการบังคับใช้ “นโยบายลูกคนเดียว” ที่ดำเนินมายาวนานหลายทศวรรษ ซึ่งทำให้อัตราส่วนเพศคลาดเคลื่อน เนื่องจากพ่อแม่ชาวจีนนิยมเลือกลูกชาย ส่งผลให้จำนวนสตรีในวัยเจริญพันธุ์ลดลงจนยากจะแก้ไข แม้ว่ารัฐบาลจะยุตินโยบายและอนุญาตให้ครอบครัวมีลูกมากขึ้นก็ตาม

โดยทาง Christopher Bedder รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยจีนของสถาบัน Gavekal Dragonomics ได้ให้ทัศนะว่า “มาตรการที่ใช้เพื่อเพิ่มอัตราการเกิดนั้นน้อยเกินไปและสายเกินไป และได้รับผลกระทบจากผลกระทบของ Covid Zero ต่ออัตราการเกิดโดยสิ้นเชิง”

“ประเด็นหลักคือมีนโยบายมากมายเท่านั้นที่สามารถบรรลุผลได้ในขอบเขตนี้ เนื่องจากอัตราการเกิดที่ลดลงนั้นได้รับแรงผลักดันจากปัจจัยเชิงลึกเชิงโครงสร้าง” พร้อมเสริมว่าความท้าทายทางเศรษฐกิจที่เกิดจากประชากรสูงอายุของจีนและจำนวนประชากรที่ลดลงนั้นมีการพูดคุยกันมาหลายปีแล้ว “ดูเหมือนว่าผู้นำจะรู้ตัวช้าว่าปัญหาเหล่านั้นเป็นเรื่องจริงและมาถึงอย่างรวดเร็ว”

ในปี 2019 องค์การสหประชาชาติคาดการณ์ว่าประชากรของจีนจะมีจำนวนสูงสุดในปี 2031 และจากนั้นจะลดลง อย่างไรก็ตาม เมื่อปีที่แล้ว UN ได้ปรับประมาณการดังกล่าวให้มีจุดสูงสุดในช่วงต้นปี 2022 ปัจจุบันคาดว่าจีนจะสูญเสียประชากร 110 ล้านคนภายในปี 2050 และลดลงเหลือประมาณครึ่งหนึ่งของขนาดปัจจุบันภายในสิ้นศตวรรษนี้

Bloomberg Economics คาดการณ์ว่าการลดลงของประชากรวัยทำงานจะยิ่งมากขึ้น ซึ่งกลุ่มดังกล่าวจะลดลงเหลือประมาณ 650 ล้านคนในปี 2050 (ลดลงประมาณ 260 ล้านคนจากปี 2020) ซึ่งอาจบั่นทอนศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว เว้นแต่นโยบายของรัฐบาลในด้านการส่งเสริมการมีบุตรจะเริ่มได้ผล

Yuan Xin ศาสตราจารย์ด้านประชากรศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัย Nankai ในเมือง Tianjin กล่าวว่าอาจใช้เวลา 2-3 ปีกว่าประชากรจะปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง อ้างถึงการตัดสินใจของรัฐบาลที่จะผ่อนปรนข้อจำกัดการเกิดและแนะนำนโยบายเพื่อส่งเสริมการมีบุตร

“โดยปกติแล้วการเติบโตของประชากรจะวนเวียนอยู่ที่ 0 เป็นเวลา 2-3 ปีก่อนที่เราจะสรุปได้ว่าประเทศหนึ่งเข้าสู่ช่วงของการหดตัวของประชากรแล้ว” เสริม

เศรษฐกิจจีนอาจยังไม่ได้รับผลกระทบในทันทีจากจำนวนประชากรที่ลดลง แรงงานยังคงสามารถเปลี่ยนจากภาคการผลิตที่มีผลผลิตน้อยหรือในชนบท เช่น การทำฟาร์ม ไปยังพื้นที่อื่นได้ ตามทัศนะของ Wang Tao หัวหน้าฝ่ายเศรษฐศาสตร์เอเชียและหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จีนของ UBS AG “อุปทานแรงงานทั้งหมดสำหรับภาคนอกภาคการเกษตรยังคงสามารถเพิ่มขึ้นได้”
Wang คาดว่าการเปลี่ยนแปลงอายุเกษียณอาจช่วยแก้ปัญหาบางอย่างได้ ประเทศต่างๆ เช่น ญี่ปุ่นประสบความสำเร็จในการรักษาขนาดกำลังแรงงาน แม้ว่าจำนวนประชากรจะสูงวัยและมีจำนวนลดลง เนื่องจากผู้สูงอายุจำนวนมากกลับมาทำงานและผู้หญิงที่ออกจากงานเพื่อเลี้ยงดูครอบครัวได้กลับมา
จีนจะต้องเอาชนะความท้าทายบางอย่าง มีการถกกันถึงประเด็นนี้แต่ไม่เคยมีการนำไปใช้ในวงกว้าง และมักสร้างความไม่พอให้กับสาธารณชน โดยจีนยังคงรักษาเกณฑ์อายุ 60 สำหรับผู้ชาย และ 55 สำหรับผู้หญิง ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงมากว่า 4 ทศวรรษ แม้ว่าอายุขัยจะเพิ่มขึ้นก็ตาม ในทางตรงกันข้าม ผู้ชายและผู้หญิงส่วนใหญ่ในญี่ปุ่นและไต้หวันสามารถเกษียณและเริ่มรับเงินบำนาญในอีกไม่กี่ปีต่อมา

ปัญหาอาจเกิดขึ้นอีกครั้งในไม่ช้า โดยในการประชุม Central Economic Work Conference เมื่อเดือนที่แล้ว ผู้นำของจีนกล่าวว่าพวกเขาจะ “ผลักดันการเลื่อนอายุเกษียณตามกฎหมายอย่างค่อยเป็นค่อยไปในเวลาที่เหมาะสมเพื่อจัดการกับปัญหาประชากรสูงอายุและอัตราการเกิดต่ำ”

Source: Bloomberg

Bloomberg Daybreak Middle East Bloomberg Daybreak Middle East. Live from Dubai, connecting Asian markets to the European opens. The show will focus on global macro issues with a middle eastern context, provide expert analysis of major market moving stories and speak with the biggest newsmakers in th...

12/11/2021

[Eye on China]

Alibaba รายงานยอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่ทิศทางการเติบโตเริ่มช้าลง!

Alibaba รายงานยอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์แต่ทิศทางการเติบโตเริ่มช้าลงจากปัญหาเรื่องเศรษฐกิจในประเทศจีนและการแทรกแซงบริษัทเทคโนโลยีของรัฐบาล

ทาง Alibaba รายงานยอดการทำรายการ (gross merchandise volume) ในวันที่ 11 พฤษจิกายนที่ระดับ 540,300 ล้านหยวน หรือประมาณ 84,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเป็นการเติบโต 8.5% จากปีก่อน แต่เติบโตน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์ของ Citi ได้ประเมิณไว้ที่ระดับการเติบโต 15% หรือประมาณ 578,000 ล้านหยวน (90,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) หรือหากจะเทียบความคาดหวังของนักวิเคราะห์ที่ให้ไว้ต่ำสุดที่ระดับ 86,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ Alibaba ก็ทำได้แย่กว่า

ซึ่งยอดขายในปีนี้เติบโตช้าลงจากปีก่อนหน้า (2020) ที่ได้รายงานการเติบโตจากปี 2019 ไว้ถึง 26%

ในขณะที่คู่แข่งอย่าง JD.com รายงานยอดการทำรายการที่ 349,100 ล้านหยวน (54,600 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) โดยถือเป็นการเติบโตที่ระดับ 28.6% แต่ก็ถือว่ายังน้อยกว่าปีก่อนที่รายงานการเติบโตถึง 33%

Source: https://edition.cnn.com/2021/11/10/business/china-singles-day-intl-hnk/index.html

Alibaba reported another year of record sales figures for Singles Day, the world's largest annual shopping event.

11/11/2021

[Eye on China]

JD.com ทุบสถิติยอดการซื้อขายใน 1 วันที่ 48,700 ล้านเหรียญสหรัฐ!
ยักษ์ใหญ่ e-commerce เมืองจีนอย่าง JD.com ได้รายงานยอดขายจากมหกรรม 11.11 ในวันเดียวที่ 311,400 ล้านหยวน หรือประมาณ 48,600 ล้านเหรียญ (ข้อมูล ณ เวลา 14.09 น. ตามเวลาท้องถิ่น) โดยได้ทุบสถิติยอดขายเมื่อปีก่อนลงเรียบร้อย สะท้อนถึงความต้องใช้จ่ายของผู้บริโภคในช่วงมหกรรม 11.11 ได้เป็นอย่างดี โดยมหกรรมช็อปปิ้งครั้งใหญ่ของจีนในครั้งนี้ได้กลบทับมหกรรม Black Friday และ Cyber Monday ของสหรัฐฯ ในเชิงของยอดขายเป็นที่เรียบร้อย
ยอดการใช้จ่ายในระบบของ JD.com เมื่อปีก่อนมีมูลค่ารวม 271,500 ล้านหยวน ซึ่งในขณะนี้มหกรรม 11.11 ก็ยังคงดำเนินต่อไปอีกหลายชั่วโมงจนกว่าจะถึงเวลาเที่ยงคืน ซึ่ง Alibaba ที่คู่แข่งของ JD.com จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่รายงานรายการการใช้จ่ายแต่อย่างใด
มหกรรมนี้ได้ถูกริเริ่มครั้งแรกจาก Alibaba ในปี 2009 ซึ่ง ณ ปัจจุบัน ผู้ค้าปลีกทั่วประเทศจีนได้นำโมเดลนี้ในการทำโปรโมชั่นเช่นกัน โดยเป็นการลดราคาสินค้าครั้งใหญ่เพื่อจูงใจให้ผู้บริโภคหันมาจับจ่ายในระบบของตนเอง
ก่อนหน้านี้ในช่วง 20 ตุลาคม – 31 ตุลาคม ทาง JD.com ได้เปิดให้ลูกค้า pre-sale เข้ามาก่อนที่จะเริ่มมาการใช้จ่ายจริงในวันนี้ โดยระยะเวลาในการขายที่ยาวนานเป็น 1 ในเหตุผลที่ทำให้ JD.com สามารถที่จะเพิ่มจำนวนรายการให้มากขึ้นได้ในปีนี้
โดยความรู้สึกของชาวจีนต่อมหกรรม 11.11 ในปีนี้นั้นแตกต่างออกไปจากครั้งที่ผ่านมา เนื่องด้วยเหตุผลเรื่องของการปราบปรามธุรกิจเทคโนโลยีในประเทศจีนเอง รวมถึงความกังวลในเรื่องของการเติบโตทางเศรษฐศาสตร์ แต่ถึงอย่างไรก็ตามทาง CEO ของ JD.com ก็ได้ให้สัมภาษณ์กับทาง CNBC ว่าความต้องการซื้อของผู้บริโภคในจีนยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง

แปลและเรียบเรียงโดย: The Episode
อ้างอิง:
https://www.cnbc.com/2021/11/11/china-singles-day-jd-smashes-its-record-with-48point7-billion-in-sales.html

There are still several hours left of Singles Day this year with JD's sales ending at midnight China time on Friday so its transaction volume will increase.

31/05/2021

[Thailand Focus]

Foxconn Technology Group ทุ่มเงินหลายพันล้านเหรียญในธุรกิจ EV กับ ปตท.!

โดยเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ปตท. ได้แถลงถึงการร่วมมือกันระหว่าง Foxconn ยักษ์ใหญ่แห่งวงการอิเล็กทรอนิกส์ในไต้หวันกับ ปตท. ของประเทศไทยในการผลิตฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์สำหรับยานยนต์ EV ด้วยมูลค่ากว่า 1,000 ล้านเหรียญ และอาจจะสูงถึง 2,000 ล้านเหรียญในอนาคต

การร่วมมือกันในครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจากทางรัฐบาลไทยเป็นอย่างดี โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้พูดถึงดีลการร่วมมือกันครั้งนี้ว่ารัฐบาลต้องการให้ประเทศไทยเป็นผู้นำในธุรกิจยานยนต์และต้องการเป็นผู้ส่งออกหลักในอุตสาหกรรมนี้

โดย JV ใหม่นี้เบื้องต้นจะเน้นสร้าง EV platform สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ในไทยและจะขยับขยายไปในโซนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นลำดับ

Souce : Bloomberg

https://www.bloombergquint.com/business/foxconn-strikes-thailand-pact-to-broaden-electric-car-ambitions

Foxconn Strikes Thailand Pact to Broaden Electric-Car Ambitions

26/05/2021

[Global Situation]

CEO Morgan Stanley คาด Fed จะเพิ่มดอกเบี้ยในต้นปีหน้า!

James Gorman, CEO ของ Morgan Stanley คาดการณ์ว่า Fed จะเริ่ม tapering พันธบัตรภายในสิ้นปีนี้และจะเริ่มปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยในต้นปี 2022 ซึ่งคาดว่าจะปรับเร็วกว่าที่ Wall Street เคยคาดการณ์ไว้

Gorman กล่าวในงานประชุม ณ กรุงโตเกียวเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาว่า "ผมคาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะเริ่มปรับเพิ่มขึ้นในต้นปีหน้าไม่ใช่ในปี 2023 อย่างที่เคยคาด"

ก่อนหน้านี้ นักเศรษฐศาสตร์ของ Morgan Stanley นำโดย Ellen Zentner เคยคาดการณ์ว่า Fed จะเริ่มชะลอการซื้อสินทรัพย์ตั้งแต่เดือนเมษายน 2022 และจะรักษาระดับอัตราดอกเบี้ยไปจนถึงไตรมาส 3 ปี 2023 ซึ่งในปัจจุบัน Gorman คาดว่า Fed จะเริ่มระวังและไม่คิดจะปล่อยให้เงินเฟ้อปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นระยะเวลานาน

Souce : The Standard Hongkong

https://www.thestandard.com.hk/breaking-news/section/2/173072/Morgan-Stanley-chief-James-Gorman-says-rates-will-rise-early-next-year

Morgan Stanley Chief Executive Officer James Gorman said he expects the U.S. Federal Reserve to begin tapering its bond buying toward the end of this year and start raising interest rates in early 202...

26/05/2021

[Stock Radar]

Amazon ซื้อกิจการ MGM Studios ด้วยเม็ดเงิน 8,450 ล้านเหรียญ!

นับเป็นก้าวสำคัญสำหรับ Amazon ในการเข้าสู่อุตสาหกรรมบันเทิงและธุรกิจวิดีโอสตรีมมิ่ง โดยดีลครั้งนี้นับเป็นดีลที่มีมูลค่ามากเป็นอันดับ 2 ที่ Amazon เคยมีการซื้อกิจการมา โดยดีลที่มีมูลค่ามากที่สุดคือการที่ Amazon เข้าซื้อ Whole Foods ในปี 2017 ด้วยมูลค่า 13,700 ล้านเหรียญ

ก้าวสำคัญครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความต้องการของ Amazon ในการเข้าสู่ตลาดวิดีโอสตรีมมิ่งท้าชนกับ Netflix และ Disney และผู้ให้บริการวิดีโอสตรีมมิ่งอื่น ๆ

ดีลครั้งนี้ นับเป็นดีลที่เกิดขึ้นในช่วงที่ Amazon โดนทางการสหรัฐนำโดยอัยการ Karl Racine สอบสวนในข้อหาผูกขาดทางการค้าซึ่งส่งผลต่อผู้บริโภคและภาวะการแข่งขันโดยรวม

เพิ่มเติม : MGM ถือครองลิขสิทธิ์ในภาพยนตร์ชื่อดังอย่าง James Bond

Source : CNBC News

Amazon to buy MGM Studios for $8.45 billion
https://www.cnbc.com/2021/05/26/amazon-to-buy-mgm-studios-for-8point45-billion.html?__source=iosappshare%7Ccom.apple.UIKit.activity.CopyToPasteboard

The deal emphasizes Amazon's willingness to spend deeply to remain competitive in a crowded streaming market.

26/05/2021

[Global Situation]

ไม่ใช่เพียงแค่อินเดียเท่านั้นที่ยอดผู้ติดเชื้อพุ่งสูง!

ปัจจุบันอินเดียเป็นประเทศที่มีการระบาดของเชื้อไวรัส Covid-19 ในระดับสูง แต่ไม่ใช่เพียงแค่อินเดียเท่านั้นที่เป็นแบบนี้ จากข้อมูลของสถาบัน Johns Hopkins University มีประเทศอาร์เจนตินาในแถบลาตินอเมริกา ถึงประเทศเนปาลในแถบเอเชีย และอีกหลาย ๆ ประเทศก็ล้วนรายงานผลผู้ติดเชื้อในระดับสูงเช่นกัน

Dr.Tedros, director-general ของ WHO ได้แสดงความกังวลต่อยอดผู้ติดเชื้อที่เร่งตัวขึ้น "อินเดียยังเป็นประเทศที่มีความน่ากังวลสูง แต่ไม่ใช่เพียงแค่อินเดียเท่านั้นที่ต้องการความช่วยเหลือฉุกเฉิน"

เรามาดูกันดีกว่าว่าประเทศไหนบ้างที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อเร่งตัวขึ้น

1.อาร์เจนตินา
- มีจำนวนผู้ติดเชื้อสะสมมากกว่า 3.5 ล้านราย ตามการรายงานของ Hopkins วันที่ 23 พ.ค.
- จำนวนผู้เสียชีวิตสะสมมากกว่า 74,000 ราย ตามการรายงานของ Hopkins วันที่ 23 พ.ค.
- มีประชากรราว 19.25% ที่ได้รับวัคซีนแล้วอย่างน้อย 1 โดส

จำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศอาร์เจนตินาเร่งตัวขึ้นเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ส่งผลให้ทางรัฐบาลจำเป็นที่จะต้องสั่ง lockdown ประเทศจนถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม โดยได้มีการสั่งปิดโรงเรียนและธุรกิจที่สามารถหยุดได้ รวมถึงการเว้นระยะห่างทางสังคม กิจกรรมทางศาสนาและงานกีฬาทุกชนิด

จำนวนผู้ติดเชื้อในอาร์เจนตินาเร่งตัวขึ้นจากวันละ 5,000 คนในช่วงต้นเดือนมีนาคมไปสู่ระดับสูงสุดที่มีผู้ติดเชื้อมากกว่า 39,000 คนเมื่อวันพุธที่ผ่านมาตามข้อมูลของ Hopkins รวมถึงจำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นจาก 112 คนในวันที่ 1 มีนาคมมาสู่ระดับ 744 คนเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาอีกด้วย

การระบาดที่มากขึ้นส่งผลต่อระบบสาธารณสุขของอาร์เจนตินา รวมถึงการกระจายวัคซีนที่ล่าช้าโดยปัจจุบันฉีดได้แล้วเพียง 19% ของจำนวนประชากร 45 ล้านคน โดยในจำนวน 19% นี้คือผู้ที่ได้รับวัคซีนเพียงแค่ 1 โดส

2.เนปาล
- จำนวนผู้ติดเชื้อสะสมมากกว่า 513,000 ราย ตามการรายงานของ Hopkins วันที่ 23 พ.ค.
- จำนวนผู้เสียชีวิตสะสมมากกว่า 6,300 ราย ตามการรายงานของ Hopkins วันที่ 23 พ.ค.
- จำนวนผู้ที่ได้รับวัคซีนอย่างน้อย 1 โดสประมาณ 7.3% ของประชากร

การระบาดของเชื้อไวรัส Covid-19 ส่งผลอย่างยิ่งต่อประเทศที่มีระบบสาธารณสุขที่อ่อนแออย่างเนปาล Dr.Samir Kumar Adhikari หัวหน้าโฆษกกระทรวงสาธารณสุขกล่าวว่า "ระบบโครงสร้างสาธารณสุขของรับกำลังเข้าสู่ระดับวิกฤต ปริมาณออกซิเจนไม่เพียงพอต่อความต้องการ และเราไม่มีวัคซีนเหลือแล้ว!"

เนปาลเป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลและมีประชากรประมาณ 29 ล้านคน โดยมีพรมแดนติดกับประเทศอินเดียที่กำลังมีการระบาดอยู่ในปัจจุบัน เนปาลจึงได้รับผลกระทบจากการ lockdown ของอินเดียไปด้วยเนื่องจากแรงงานส่วนใหญ่จำเป็นต้องกลับเนปาลภายหลังการระบาดในอินเดีย ทำให้พวกเขาเหล่านี้ขาดงานและขาดรายได้

เนปาลเริ่มฉีดวัคซีนไปแล้วเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมาโดยฉีดวัคซีน AstraZeneca ที่ได้รับจากอินเดียและโครงการ Covax แต่ปัจจุบันอินเดียชะลอการส่งออกวัคซีนแล้วเนื่องจากต้องใช้บรรเทาการระบาดภายในประเทศก่อน

3.บาห์เรน
- จำนวนผู้ติดเชื้อสะสมมากกว่า 218,000 ราย ตามการรายงานของ Hopkins วันที่ 23 พ.ค.
- จำนวนผู้เสียชีวิตสะสมประมาณ 820 ราย ตามการรายงานของ Hopkins เมื่อวันที่ 23 พ.ค.
- จำนวนผู้ได้รับวัคซีนอย่างน้อย 1 โดสประมาณ 51.8% ของประชากรทั้งหมด

บาห์เรนเป็นประเทศที่มีการอนุมัติให้ใช้วัคซีนหลากหลายยี่ห้อในการฉีดให้ประชากร ทั้ง Pfizer Sinopham และ Sputnik โดยประเทศที่มีการกระจายวัคซีนมากพอ ๆ กันอย่างอิสราเอลและสหราชอาณาจักรไม่มีการเร่งตัวขึ้นของผู้ติดเชื้ออย่างบาห์เรน การระบาดในครั้งนี้ส่งผลในเกิดความกังวลในประสิทธิภาพของ Sinopham และ Sputnik เพราะประชากรอิสราเอลและสหราชอาณาจักรล้วนฉีดวัคซีนที่ผลิตจากประเทศแถบตะวันตกทั้งสิ้น

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม จำนวนผู้เสียชีวิตต่อวันของบาห์เรนก็ไม่ได้เพิ่มสูงขึ้นตามยอดผู้ติดเชื้อ

4.ไต้หวัน
- จำนวนผู้ติดเชื้อสะสมมากกว่า 4,300 ราย ตามการรายงานของ Hopkins เมื่อวันที่ 23 พ.ค.
- จำนวนผู้เสียชีวิตสะสม 23 ราย ตามการรายงานของ Hopkins เมื่อวันที่ 23 พ.ค.
- จำนวนผู้ที่ได้รับวัคซีนอย่างน้อย 1 โดสประมาณ 0.14% ของประชากรทั้งหมด

จากประชากรทั้งหมด 24 ล้านคน มีจำนวนผู้ติดเชื้อ 1,128 รายและผู้เสียชีวิต 12 รายเมื่อสิ้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ถือว่าไต้หวันควบคุมการระบาดได้ดีมากประเทศหนึ่ง แต่ปัจจุบันจำนวนผู้ติดเชื้อเร่งตัวขึ้นมาเป็นวันละ 200 ราย เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ถึงแม้จำนวนผู้ติดเชื้อจะน้อยเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ แต่ก็นำความกังวลมาสู่ไต้หวันพอสมควร รัฐบาลจึงได้มีมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม ปิดบางธุรกิจและกระชับการเข้าออกพรมแดนให้เข้มงวดขึ้น

Souce : CNBC News

India isn't the only one. Covid cases are rising at record levels in these places too
https://www.cnbc.com/2021/05/25/covid-argentina-nepal-and-others-see-cases-rising-rapidly-like-india.html?__source=iosappshare%7Ccom.apple.UIKit.activity.CopyToPasteboard

Nations from Argentina to Nepal have reported record increases in Covid cases in the last few weeks, data compiled by Johns Hopkins University showed.

25/05/2021

[Global Situation]

วัคซีน Covid-19 ของ Moderna มีประสิทธิภาพ 100% ในกลุ่มวัยรุ่น!

เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา Moderna แจ้งผลการทดสอบวัคซีนป้องกัน Covid -19 โดยมีประสิทธิภาพ 100% ในกลุ่มวัยรุ่นอายุ 12 -17 ปี โดยทางบริษัทมีแผนที่จะให้ทาง FDA ของสหรัฐประกาศใช้ฉุกเฉินในกลุ่มวัยรุ่นภายในเดือนหน้า โดยทาง Pfizer และ BioNTech ก็ได้มีการเตรียมนำวัคซีนของตนเองไปใช้ในประชากรอายุ 12-15 ปีภายในเดือนนี้เช่นกัน

Stephane Bancel CEO ของ Moderna กล่าวว่า "mRNA-1273 มีประสิทธิภาพสูงมากในการป้องกันเชื้อไวรัส Covid-19 ในกลุ่มวัยรุ่น" ในการทดลองเฟส 2/3 โดยมีผู้ร่วมทดลอง 3,700 คนเป็นวัยรุ่น ผลปรากฏว่าไม่มีผู้ใดในกลุ่มทดลองนี้ติดเชื้อไวรัสหลังจากได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 และผลข้างเคียงที่พบได้มากที่สุดภายหลังจากได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 คือปวดหัว เหนื่อยล้า ปวดกล้ามเนื้อ และหนาวสั่น

ข้อมูลใหม่นี้ออกมาหลังจากที่บริษัทได้เผยผลการทดลองการฉีดวัคซีนเข็มแรกในกลุ่มประชากรอายุ 12-17 ปีที่มีประสิทธิภาพ 96% ในการป้องกันไวรัส Covid-19

อย่างไรก็ดีกระบวนการขออนุมัติจะใช้เวลาประมาณ 1 เดือน ส่วนทาง Pfizer และ BioNTech ได้มีการขออนุมัติไปตั้งแต่วันที่ 9 เมษายนและได้รับอนุมัติจากทาง FDA แล้วในวันที่ 10 พฤษภาคม

Souce : CNBC News

Moderna says its Covid vaccine is 100% effective in teens, plans to seek FDA OK
https://www.cnbc.com/2021/05/25/covid-vaccine-moderna-says-shot-is-100percent-effective-in-teens-plans-to-seek-fda-ok-in-june.html?__source=iosappshare%7Ccom.apple.UIKit.activity.CopyToPasteboard

Moderna's Covid-19 vaccine is the second shot behind Pfizer's to demonstrate high efficacy in younger age groups.

25/05/2021

[ASEAN Update]

เศรษฐกิจสิงคโปร์มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วในไตรมาสที่ 1 จากผลการเติบโตที่มากกว่าคาดในอุตสาหกรรมการผลิต โดยรัฐบาลสิงคโปร์ยังคงระดับการคาดการการเติบโตของ GDP จาก 4% เป็น 6% ในปี 2021 แต่ยังคงมีความกังวลจากการเร่งตัวของโรคระบาด Covid-19 การเติบโตครั้งนี้นับเป็นการเจริญเติบโตที่สูงที่สุดของสิงคโปร์นับตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2019 (ก่อนเกิด Covid) หากเราเปรียบเทียบไตรมาสต่อไตรมาสเศรษฐกิจของสิงคโปร์ก็ขยายตัวที่ระดับ 3.1% ซึ่งสูงกว่าที่รัฐบาลได้มีการคาดการณ์ไว้ที่ 2% เช่นกัน

อุตสาหกรรมที่มีการขยายและหดตัวแตกต่างกันมากที่สุดเมื่อสิ้นไตรมาสที่ 1 มีดังต่อไปนี้

1.อุตสาหกรรมการผลิตขยายตัวที่ 10.7% จากปีที่แล้ว โดยได้รับอานิสงค์จากการผลิตสินค้าอิเล็คทรอนิกส์ วิศวกรรมที่มีความแม่นยำสูง และผลิตภัณฑ์เคมี

2.กลุ่มก่อสร้างหดตัว 22.7% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า จากการลดลงของการก่อสร้างทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน

3.กลุ่มธุรกิจบริการหดตัวลงเล็กน้อยในระดับ 0.5% จากปีที่แล้ว เพิ่มขึ้นจากระดับการหดตัว 4.7% ในไตรมาสก่อนหน้า

สถานการณ์ Covid-19 ในสิงคโปร์ก็ทำท่าเร่งตัวขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยรัฐบาลได้มีการกำหนดมาตรการที่เข้มงวดมากขึ้นตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคมที่ผ่านมา ยังผลให้แผน travel bubble กับฮ่องกงต้องเลื่อนออกไปก่อน

Song Seng Wun นักเศรษฐศาสตร์ของ CIMB กล่าวว่า วิถีทางเศรษฐกิจของสิงคโปร์จะขยายตัวได้ ต้องขึ้นอยู่กับการระบาดของ Covid-19 ในภูมิภาคและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก เนื่องจากว่า สิงคโปร์เป็นประเทศที่ตลาดในประเทศค่อนข้างเล็ก (pretty small) ทำให้การส่งออกของสิงคโปร์คิดเป็น 3 เท่าของขนาดเศรษฐกิจภายใน (สิงคโปร์มีขนาด อัตราส่วนการส่งออกต่อ GDP มากกว่า 170% โดยนับเป็นหนึ่งในประเทศที่มีขนาดการส่งออกต่อ GDP ที่สูงที่สุดในโลก : World Bank) การเติบโตของอุปสงค์โลกจึงส่งผลดีต่อประเทศที่มุ่งเน้นการส่งออก (export-oriented) อย่างสิงคโปร์

ทางกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมของสิงคโปร์กล่าวว่า ในภาพรวม เศรษฐกิจสิงคโปร์จะกลับมาฟื้นตัวภายในปีนี้ "เคียงคู่ไปกับเศรษฐกิจโลกที่จะกลับมาฟื้นตัวและความคืบหน้าของการฉีดวัคซีนภายในประเทศ"

เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาสิงคโปร์รายงานความคืบหน้าสถานการณ์ Covid-19 โดยมีผู้ติดเชื้อแล้ว 61,800 ราย เสียชีวิต 32 ราย ล่าสุดประชากร 2 ล้านคนหรือคิดเป็นราวๆ 1 ใน 3 ของประชากรทั้งหมดของสิงคโปร์ได้รับวัคซีนแล้วอย่างน้อย 1 โดสตั้งแต่วันที่ 17 พฤษภาคมที่ผ่านมา

Source: CNBC News
Singapore's economy grows at its fastest pace in more than a year
https://www.cnbc.com/2021/05/25/singapore-updates-q1-gdp-full-year-2021-economic-forecasts.html?__source=iosappshare%7Ccom.apple.UIKit.activity.CopyToPasteboard

The Southeast Asian economy expanded by 1.3% in the first quarter of 2021 compared with a year ago, the ministry of trade and industry said.