Siamsettakij นำเสนอข่าวทุกประเภทเพื่อการประชาสัมพันธ์เผยแพร่...

“โรงพยาบาลธีรพร” ขึ้นแท่นโรงพยาบาลเฉพาะทางศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าและการดูแลสุขภาพอย่างยั่งยืนแห่งแรกในไทย ยุค “อยู่สวย”ชู 5...
16/07/2025

“โรงพยาบาลธีรพร” ขึ้นแท่นโรงพยาบาลเฉพาะทางศัลยกรรมตกแต่งใบหน้า
และการดูแลสุขภาพอย่างยั่งยืนแห่งแรกในไทย ยุค “อยู่สวย”ชู 5 จุดเด่นเพื่อผู้รับบริการ ตั้งเป้าโต 10% รองรับ Wellness Tourism

โรงพยาบาลธีรพร (TEERAPORN HOSPITAL) โรงพยาบาลเฉพาะทางศัลยกรรมตกแต่งใบหน้า
และการดูแลสุขภาพอย่างยั่งยืนแห่งแรกในไทย ที่มีประสบการณ์มากกว่า 40 ปี เปิดเกมรุกธุรกิจศัลยกรรมและความงาม ยกระดับจากคลินิกสู่โรงพยาบาล ชู 5 จุดเด่น การเป็นผู้ริเริ่มศัลยกรรมบนใบหน้ามากกว่า 40 ปี ดูแลโดยทีมแพทย์ระดับอาจารย์แพทย์ ใช้เทคนิคที่ออกแบบมาให้เหมาะกับแต่ละบุคคล พร้อมใส่ใจทุกขั้นตอนเพื่อให้ได้รับประสบการณ์ที่อบอุ่น นวัตกรรมทางการแพทย์ที่
พัฒนาโดยทีมแพทย์เฉพาะทาง การผสานความเป็นไทยและความสากล นอกจากนี้เตรียมขยายกลุ่มบริการด้าน Skin & Longevity (ศูนย์ผิวพรรณและสุขภาพ) เพื่อรองรับตลาด Wellness Tourism หรือ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ที่เติบโตเฉลี่ยในช่วง 2563-2568 สูงถึง 20.9% ด้วยวิธีคิดแบบ “เกิดสวย อยู่สวย จากสวย” เพื่อการดูแลชีวิตอย่างยั่งยืนยาวนาน พร้อมตั้งเป้าเติบโต 10% ภายในปี 2568

ผศ.นพ.ชลธิศ สินรัชตานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสเตติก คอนเนค จำกัด (มหาชน) ผู้ก่อตั้งโรงพยาบาลธีรพร กล่าวว่า “การเปิดโรงพยาบาลธีรพรเป็นการต่อยอดความสำเร็จที่มาอย่างต่อเนื่องตลอดมากว่า 40 ปี ด้วย 5 จุดเด่น การเป็นผู้ริเริ่มศัลยกรรมบนใบหน้ามากกว่า 40 ปี ดูแลโดยทีมแพทย์ระดับอาจารย์แพทย์ ใช้เทคนิคที่ออกแบบมาให้เหมาะกับแต่ละบุคคล พร้อมใส่ใจทุกขั้นตอนเพื่อให้ได้รับประสบการณ์ที่อบอุ่น นวัตกรรมทางการแพทย์ที่พัฒนาโดยทีมแพทย์เฉพาะทาง การผสานความเป็นไทยและความสากล นอกจากนั้นยังเตรียมแผนรองรับการเติบโตของธุรกิจการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพทั่วโลก (Wellness Tourism) ที่ในช่วงปี 2563-2568 มีการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 20.9% และ ประเทศไทยยังมีศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และ Global Wellness Institute (GWI) โดยคาดการณ์ว่าปี 2568 นี้ ตัวเลขเศรษฐกิจเพื่อสุขภาพของทั้งโลกจะมีมูลค่าประมาณ 230 ล้านล้านบาท เช่นเดียวกับที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ว่าตลาดศัลยกรรมในประเทศไทยจะเติบโตขึ้น 2.8% โดยมีมูลค่า 76,000 ล้านบาท จึงเป็นโอกาสในการเปิดโรงพยาบาลธีรพรเพื่อรองรับการเติบโตดังกล่าว โดยใช้งบลงทุนรวมกว่า 630 ล้านบาท เพื่อต่อยอดความเชี่ยวชาญของโรงพยาบาลธีรพรที่เป็นที่ยอมรับในบริการศัลยกรรมเฉพาะทางใบหน้าอยู่แล้ว สู่บริการด้าน Skin & Longevity (ศูนย์ผิวพรรณและสุขภาพ) หรือชีวิตแบบ “อยู่สวย” ที่ให้ความสำคัญกับการมีสุขภาพดีอย่างยั่งยืนยาวนาน เราจึงเป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางศัลยกรรมตกแต่งใบหน้า และการดูแลสุขภาพอย่างยั่งยืนแห่งแรกของประเทศไทย โดยตั้งเป้าการเติบโต 10% ภายในปี 2568 พร้อมชู 3 แนวคิดเพื่อผู้รับบริการ”

3 แนวคิดสะท้อนความเป็นธีรพร
1. “Less is More” เทคนิคการผ่าและเย็บที่คิดค้นโดยคุณหมอชลธิศ
ธีรพรเป็นผู้คิดค้นเทคนิคเฉพาะอย่าง Face-Lock , Face-Contour , เสริมจมูกด้วยไขมัน นำมาสู่นิยามความสวย
แบบ ‘Less is more’ ด้วยวิธีการผ่าและเย็บที่เกิดแผลน้อย ฟื้นตัวไว ไม่ต้องนอนโรงพยาบาล และออกแบบมาเพื่อคนเอเชียโดยเฉพาะ ช่วยให้ผู้รับบริการดูดีได้ในแบบของตัวเอง ไม่ใช่ความสวยตามแฟชั่น

2 / 3
2. ทีมแพทย์ระดับอาจารย์แพทย์
ธีรพรเป็นศูนย์รวมทีมแพทย์เฉพาะทางระดับอาจารย์แพทย์ โดยแบ่งเป็น 6 ความเชี่ยวชาญหลัก คือ ทีมแพทย์ดึงหน้า ทีมแพทย์เสริมจมูก ทีมแพทย์ตา ทีมแพทย์ หู คอ จมูก ทีมแพทย์ Skin & Longevity และทีมวิสัญญีแพทย์
อีกทั้ง คุณหมอชลธิศ เป็นอดีตนายกสมาคมศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าแห่งอาเซียน และอดีตอาจารย์
ของคณะแพทย์ศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มีหนังสือและงานวิจัยที่ถูกตีพิมพ์และจำหน่ายไปทั่วโลก นอกจากนี้ยังได้รับเชิญ
ไปเป็นวิทยากรบนเวทีประชุมระดับโลกทั้งทวีปเอเชียและยุโรป

3. ความใส่ใจรายละเอียดเพื่อผู้รับบริการ
ทุกองค์ประกอบตลอดการบริการล้วนแสดงถึงความใส่ใจรายละเอียด เช่น ค่าบริการของโรงพยาบาลธีรพรไม่มีบวกเพิ่ม รับประกัน 1 ปี เพื่อไม่ให้ผู้รับบริการมีความกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย การมีวิสัญญีแพทย์คอยดูแลตลอดเพื่อความปลอดภัย แม้กระทั่งบริการสระผมหลังการผ่าตัด เพราะเข้าใจว่าผู้รับบริการอยากออกใช้ชีวิตต่ออย่างสะดวกสบายและดูดี เนื่องจากการผ่าตัดเป็นแผลเล็ก และการประคบอบแสงดูแลแผลหลังบริการ ฯลฯ
นอกจากเรื่องความเชี่ยวชาญในการทำศัลยกรรมเฉพาะทางใบหน้า ธีรพรยังเชื่อว่า ความสวยที่แท้จริงจะต้องไปพร้อมกับสุขภาพกายและคุณภาพชีวิต สะท้อนวิธีคิดของผู้บริโภคยุคใหม่ ที่ไม่ได้ต้องการแค่สวยหรือดูดี แต่ต้องการ “อยู่ดี” และ “อยู่สวย” ไปด้วยในระยะยาว และนี่คือที่มาของแนวคิด “เกิดสวย - อยู่สวย - จากสวย”
● “เกิดสวย” = คือการใช้ความก้าวหน้าทางการแพทย์ ที่ทำให้เกิดมาสมบูรณ์มากขึ้น หรือเรียกว่า “เกิดสวย”
● “อยู่สวย” = คือความสามารถในการออกแบบตัวเองให้สวยในแบบที่อยากเป็น หรือเลือกที่จะสวยได้ในแบบของตัวเอง พร้อมกับร่างกายที่แข็งแรง และห่างไกลโรค ถ้ามีทั้ง 2 อย่างนี้จึงเรียกว่า “อยู่สวย”
● “จากสวย” = คือการรักษาความสวยมั่นใจนั้นให้ยืนยาว จนถึงวันสุดท้ายของชีวิตที่เรียกว่า “จากสวย”
นายแพทย์ ธนจักร สินรัชตานันท์ ทีมแพทย์ผู้บริหารโรงพยาบาลธีรพร กล่าวเสริมว่า “ปัจจุบันเรามีบริการที่ตอบโจทย์
แนวคิด “เกิดสวย-อยู่สวย-จากสวย” ทั้งในกลุ่มของการทำศัลยกรรมตกแต่งใบหน้า ที่เราเป็นต้นแบบ ไม่ว่าจะเป็นศัลยกรรมผ่าตัดตา ศัลยกรรมผ่าตัดดึงหน้า และ Facial Contour และกลุ่ม Skin and Longevity โดยมีบริการที่โดดเด่นคือ Ultra Clear และ Personal Cells อีกทั้งยังใส่ใจรายละเอียดเพื่อประสบการณ์ที่ดีที่สุดของผู้รับบริการผ่าน 5 การให้บริการเด่นในโรงพยาบาลธีรพร”
1. ห้องผ่าตัด - ออกแบบผ่านเกณฑ์มาตรฐานกระทรวงสาธารณสุข
○ ขยาย Surgery OR จาก 6 ห้อง เป็น 12 ห้อง และ มีขนาดใหญ่ขึ้น
○ รองรับการผ่าตัดที่ต้องทำ General Anesthesia (GA)
2. เครื่องมือแพทย์มีเสถียรภาพด้วยเครื่องสำรองไฟฟ้า (Central UPS)
○ มีไฟฟ้าจ่ายได้ต่อเนื่องแม้ขณะไฟตก หรือ ไฟดับ และมีเครื่องกำเนิดไฟฟ้า (Generator) ทำให้สามารถผ่าตัดต่อเนื่องได้แม้ขณะไฟดับ
3. ระบบไฟฟ้าแสงสว่างที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้งานอาคาร
○ เราเลือกใช้หลอด LED ชนิดที่ไม่ปล่อยแสงสีฟ้า ไม่มีการใช้สารปรอทและปล่อยรังสี UV ปริมาณต่ำ
4. ระบบเติมอากาศบริสุทธิ์ของอาคาร
○ Central Outdoor Air Unit (OAU) สามารถกรองฝุ่น PM 2.5 จากภายนอกไม่ให้เข้าสู่อาคาร และสามารถควบคุมสภาวะอากาศภายในอาคารได้อย่างสม่ำเสมอ
3 / 3
5. ระบบปรับอากาศรักษ์โลก
○ ใช้สารทำความเย็นที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ใช้สารที่ทำลายชั้นบรรยากาศ
อัพเดทข้อมูล และ สอบถามบริการของโรงพยาบาลธีรพรได้ที่ https://teerapornclinic.com/ , https://www.facebook.com/Teerapornclinic.official และ Social Media ของ ธีรพร ทุกช่องทาง...
__________________________

92 ปี โรงมหรสพหลวงศาลาเฉลิมกรุง...เปิดเวทีแถลงข่าว ลิเกเฉลิมพระเกียรติฯ“ลิขิตรัก” จากมหรสพพื้นบ้าน...สู่มรดกทางวัฒนธรรมไ...
16/07/2025

92 ปี โรงมหรสพหลวงศาลาเฉลิมกรุง...เปิดเวทีแถลงข่าว ลิเกเฉลิมพระเกียรติฯ
“ลิขิตรัก” จากมหรสพพื้นบ้าน...สู่มรดกทางวัฒนธรรมไทยที่เติบโตไปกับยุคสมัย
รวมตัวพระเอกนางเอกลิเกดาวดังถ่ายทอดเรื่องราวของสามนครใหญ่ ผ่าน...ความรัก ความเสียสละ ความสามัคคี
บ่ายวันจันทร์ที่ 14 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา โรงมหรสพหลวงศาลาเฉลิมกรุง จัดงานแถลงข่าวการแสดงลิเกเฉลิมพระเกียรติฯ เรื่อง “ลิขิตรัก” เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 73 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และครบรอบ 92 ปี โรงมหรสพหลวงศาลาเฉลิมกรุง โดยมีศิลปินลิเกดาวรุ่ง และศิลปิน
มากฝีมือมาร่วมงานพร้อมหน้า บรรยากาศงานเริ่มต้นด้วย พิธีกร โกมุท คงเทศ นำเข้าสู่งานแถลงข่าวร่วมพูดคุยกับ อ.พงษ์ศักดิ์ สวนศรี ผู้กำกับการแสดง บอกเล่าความพิเศษของลิเกเรื่อง “ลิขิตรัก” ซึ่งเป็นเรื่องราวของความรักระหว่างชายและหญิงที่หลงทาง ด้วยอนุภาคของความดีและความซื่อสัตย์ จึงย้อนกลับมาหากันด้วยความรักและได้กลับมาครองคู่กันดังใจปรารถนา หนึ่งในไฮไลต์ของงานแถลงข่าวจัดแสดง 2 ฉากใหญ่ ให้สื่อมวลชนได้รับชม เริ่มต้นด้วยฉากแรก “ท้องพระโรงเมืองพุกาม” ต่อด้วยฉาก “อุทยานเมืองน่าน” โดยเป็นการรวมตัวของสี่คู่พระนาง ผ่านบทบาทของเรื่องราวความรัก และท่วงท่าร่ายรำที่อ่อนช้อยงดงาม ได้แก่ ต้อม นิรันดร์ - ซาย ภิสา สวนศรี, นีโน่ สุดที่รัก - แป้ง วนารี, ทองหยอด ลูกนารายณ์ – ตวงรัก ฐิติยา, บิ๊ก จักริน - พลอย อิสรีย์ภัค และโตโต้ แดนซ์

สำหรับวันแสดงจริงยังมีนักแสดง นำโดยพระเอกลิเกโรงใหญ่ อ.พงษ์ศักดิ์ สวนศรี - เทพบัญชา หอมหวล ทายาทรุ่นที่ 2 ของอาจารย์หอมหวล รวมดาวดังพระเอกลิเกรุ่นใหม่ แน็กกี้ ธเนศพิพัฒ พระเอกจากคณะสองเทพบุตรสุดที่รัก โตโต้ ธนเดช ม้ามืดวงการลิเก ร่วมด้วยนักแสดงลิเกมากฝีมือ บลู รุ้งจรัส, ผาภูมิ มาลัยนาค, พงษ์พร พ่วงเพชร, หลุยส์ ชวนชื่น, โดนัท สุดที่รัก, จันทรา ดาราทิพย์, เจ้าขา มาลัยนาค ฯลฯ บรรเลงโดย วงดนตรีปี่พาทย์พิกุลทอง และวงเฉลิมราชย์ ร่วมด้วย คณะนักแสดงโขนศาลาเฉลิมกรุง กำกับการแสดงโดย อ.พงษ์ศักดิ์ สวนศรี – ไพรัช สวนศรี
“ลิขิตรัก” การแสดงลิเกโรงใหญ่ ที่นำเค้าโครงเรื่องของลิเกยุคกลางเรื่องราวของความรัก ความเสียสละ ความสามัคคี และกฎระเบียบของผู้นำในยุคสมัยก่อน สอดแทรกการแสดงตลกหลวง เพื่อเพิ่มความขบขันบันเทิงให้เหมาะสมกับท้องเรื่อง กล่าวถึงเมือง 3 เมือง เมืองที่ 1 เมืองน่าน มีพระราชธิดางามถึง 3 พระองค์ เป็นที่หมายตา ผู้นำของ 2 เมือง ได้แก่ เมืองพุกาม ซึ่งมีผู้นำเป็นบุรุษผู้รักกฎระเบียบ มีสี่ขุนพลคู่ใจ แต่ทุกคนยังไร้คู่ และอีกเมืองคือเมือง ฉัตรทวาย มีผู้นำที่ใฝ่ด้วยสงครามและโหยหาความรัก สร้างสงครามขึ้นเพื่อจะได้ความรักจาก 3 พระธิดามาครอบครอง แต่กลับต้องผิดหวัง เมื่อเมืองพุกามและเมืองน่าน 2 เมือง รวบรวมผนึกกำลังดั่งเป็นสุวรรณปฐพีเดียวกัน ต่อสู่กันจนได้ ชัยชนะรอดพ้นจากสงคราม เรื่องราวความรักจะถูก “ลิขิตรัก” ให้เป็นอย่างไร สัมผัสอรรถรสในมนต์เสน่ห์ลิเกไทยได้ ที่เวทีโรงมหรสพหลวงศาลาเฉลิมกรุง

ร่วมสืบสาน รักษา ต่อยอดด้านศิลปวัฒนธรรมไทย ผ่านศิลปะการแสดงพื้นบ้าน “ลิเก” เวทีที่ไม่เคยหลับใหล จากมหรสพพื้นบ้าน...สู่มรดกทางวัฒนธรรมไทยที่เติบโตไปกับยุคสมัย รวมตัวพระเอกนางเอกลิเกรุ่นใหม่ สืบทอดการแสดงพื้นบ้าน “ลิเก” ถ่ายทอดเรื่องราวของสามนครใหญ่ว่าด้วยเรื่อง ความรัก ความเสียสละ และความสามัคคี เรื่อง “ลิขิตรัก” ในวันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม 2568 รอบ 13.00 น. ณ โรงมหรสพหลวงศาลาเฉลิมกรุง บัตรราคา 1,200 บาท ทุกที่นั่ง จำหน่ายบัตรแล้ววันนี้ที่ศาลาเฉลิมกรุง โทร. 0-2225-8757-8 และไทยทิคเก็ตเมเจอร์ www.thaiticketmajor.com
__________________________

*ธรรมยาตราเดินเทสสันถี : ศาสตร์และศิลป์แห่งการเผยแผ่ธรรมะแบบพื้นถิ่น* ในยุคที่โลกที่หมุนเร็วด้วยเทคโนโลยีและข้อมูลข่าวสา...
16/07/2025

*ธรรมยาตราเดินเทสสันถี : ศาสตร์และศิลป์แห่งการเผยแผ่ธรรมะแบบพื้นถิ่น*

ในยุคที่โลกที่หมุนเร็วด้วยเทคโนโลยีและข้อมูลข่าวสาร “การเดิน” อาจดูเชื่องช้าและไม่ทันใจสำหรับผู้ที่ต้องการความเร่งรีบ แต่ที่จังหวัดลำพูนในเดือนมิถุนายน 2568 นี้ การเดินกลับกลายเป็นการตระหนักรู้ร่วมกัน ของประชาชนที่เข้าร่วมงาน “ธรรมยาตราเดินเทสสันถี ตามวิถีครูบาสู่บุคคลสำคัญของโลก” เป็นการฟื้นคืนจิตวิญญาณของประชาชนและชุมชน ที่เชื่อมอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ที่ทุกย่างก้าวตามรอยเส้นทางวิถีแห่งธรรม
คำว่า “ธรรมยาตรา” หมายถึง การเดินทางด้วยธรรมะ เป็นการเดินที่เต็มไปด้วยสติ ความศรัทธา และการแผ่เมตตา เปรียบเสมือนการนำพาธรรมะออกจากวัด ไปสู่ใจผู้คนในชุมชน
ส่วนคำว่า “เทสสันถี” มีรากศัพท์มาจากคำว่า “เทศสันตรี” หรือ “เทศสันติ” ซึ่งประกอบด้วย “เทศ” (เทศะ) หมายถึง สถานที่ และ “สันติ” (สันตรี) หมายถึง ความสงบสุข รวมความหมายว่า การเดินทางจาริกไปตามสถานที่ต่าง ๆ เพื่อปฏิบัติธรรมและโปรดสัตว์ให้เกิดความสงบสุข สำหรับภาษาล้านนา มีลักษณะการแปลงเสียง
เมื่อตัวอักษรกลางควบกับอักษรต่ำ เช่น “ตร” (สันตรี) กลายเป็น “ถ” (สันถี) จึงเกิดเป็นคำว่า “เทสสันถี”
เมื่อรวมกัน “ธรรมยาตราเดินเทสสันถี” หมายถึง การเดินทางจาริกของพระสงฆ์และพุทธศาสนิกชนไปยังชุมชนต่าง ๆ อย่างสงบสุข เพื่อเผยแผ่พระธรรมคำสอนในรูปแบบที่เรียบง่าย ตรงไปตรงมา เข้าใจได้โดยไม่ต้องตีความซับซ้อน มุ่งเน้นการเข้าถึงจิตใจของประชาชนอย่างลึกซึ้ง และเป็นพลังขับเคลื่อนวิถีชีวิตชุมชนให้มีความร่มเย็นและมั่นคงในคุณธรรมจริยธรรมอย่างเป็นรูปธรรม

“ธรรมยาตราเดินเทสสันถี” เริ่มจัดครั้งแรกในปี พ.ศ. 2566 โดยภาคคณะสงฆ์ หน่วยงานรัฐ ภาคเอกชน และประชาชนในจังหวัดลำพูน เพื่อสืบสานแนวทาง และอุดมการณ์ของครูบาเจ้าศรีวิชัย พระเถระผู้มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาไทย โดยเฉพาะในเขตภาคเหนือ ที่สำคัญยังเป็นการสร้างความรับรู้ และประชาสัมพันธ์การเสนอชื่อครูบาเจ้าศรีวิชัยเป็นบุคคลสำคัญของโลกต่อองค์การยูเนสโกอีกด้วย
ท่านเป็นแบบอย่างของพระสงฆ์ผู้ยึดมั่นในหลักธรรมและมุ่งบำเพ็ญบารมี 10 ทัศ ด้วยท่านได้ตั้งสัจจะอธิษฐาน
ที่จะเป็นพระพุทธเจ้าอีกพระองค์ในอนาคต จึงต้องอาศัยการบำเพ็ญเพียรบารมีให้ครบ 10 ประการ
และได้อุทิศตนสร้างบารมีที่เป็นประโยชน์ต่อผู้คนและสังคม และมีคุณูปการโดดเด่นในการบูรณปฏิสังขรณ์
วัดวาอาราม ตลอดจนการส่งเสริมคุณธรรม ความสามัคคี และจิตสำนึกทางศาสนาแก่ประชาชนในพื้นที่ต่าง ๆ

สำหรับ “ธรรมยาตราเดินเทสสันถี ประจำปี 2568 ระหว่างวันที่ 1-11 มิถุนายน 2568 เป็นการจัดกิจกรรมครั้งที่ 3 สอดคล้องกับแผนการขับเคลื่อนการเสนอชื่อครูบาเจ้าศรีวิชัยเป็นบุคคลสำคัญของโลก
ทั้งยังเป็นการตอกย้ำถึงแนวทาง “ธรรมยาตรา” ตามแบบอย่างที่ครูบาเจ้าศรีวิชัยเคยปฏิบัติ ซึ่งเน้นการเดินทางเผยแผ่ธรรมะ ให้แก่พุทธศาสนิกชนในพื้นที่ต่างๆ ตลอด 11 วันของการธรรมยาตรา โดยจะเดินไปตามเส้นทางสำคัญทางประวัติศาสตร์ และศรัทธาที่เกี่ยวข้องกับชีวิต ครอบคลุมพื้นที่ในจังหวัดลำพูน รวมทั้งมีการจัดกิจกรรมทางศาสนาและวัฒนธรรม ณ วัดต่าง ๆ ตลอดเส้นทางธรรมยาตรา ได้แก่

วัดที่ 1 วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม เป็นวัดที่ศิษย์เอกรูปหนึ่งของครูบาเจ้าศรีวิชัย นั่นก็คือ ครูบาชัยวงศ์ษา เป็นเป็นผู้สร้างขึ้น ในอำเภอลี้ จังหวัดลำพูน เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวกะเหรี่ยง ที่เคยนับถือผี หันมาศรัทธาในพระพุทธศาสนา และเคารพนับถือครูบาเจ้าศรีวิชัย แม้ท่านจะไม่ได้สร้างวัดนี้โดยตรง แต่หลักธรรมและแนวปฏิบัติของท่านได้จุดประกายศรัทธาแก่ชุมชนอย่างกว้างขวาง เป็นจุดเริ่มต้นของการธรรมยาตราด้วยพลังศรัทธาของ
ศิษยานุศิษย์
วัดที่ ๒ วัดพระพุทธบาทผาหนาม เป็นวัดที่ศิษย์เอกรูปหนึ่งของครูบาเจ้าศรีวิชัย นั่นก็คือ ครูบาอภิชัยขาวปี วัดแห่งนี้เป็นวัดที่ครูบาศรีวิชัยเคยเดินทางมาเผยแผ่ธรรมะและปลุกพลังศรัทธาแก่ชาวบ้าน โดยเน้นการอยู่ร่วมกันอย่างสงบและเรียบง่าย แม้ในพื้นที่ห่างไกล ท่านยังเชื่อมโยงความศรัทธา
ให้หยั่งรากอย่างมั่นคง
วัดที่ 3 วัดแม่ตืน ตั้งอยู่ในพื้นที่ชนบทซึ่งในอดีตยังขาดแคลนทรัพยากร ครูบาเจ้าศรีวิชัย
ได้เคยเดินทางมายังพื้นที่นี้เพื่อเทศนาธรรมและสนับสนุนการบูรณะวัด ส่งเสริมให้ชาวบ้านมีวัดเป็นศูนย์รวมใจของชุมชน
วัดที่ 4 วัดบ้านปาง นี่คือบ้านเกิด และเป็นวัดประจำตระกูลของครูบาเจ้าศรีวิชัย ท่านได้ใช้ชีวิตวัยเยาว์ที่นี่
และเป็นสถานที่ที่ท่านบรรพชาเป็นสามเณรและศึกษาพระธรรมครั้งแรก วัดนี้จึงเปรียบเสมือน “จุดกำเนิด
แห่งแสงธรรม” ของท่าน และเป็นวัดที่ท่านได้ไปพัฒนาวัดอื่นๆ แล้ว ขอกลับมาละสังขาร หรือมรณภาพ ที่วัดแห่งนี้
วัดที่ 5 วัดห้วยหละ อยู่ในพื้นที่ที่ครูบาเจ้าศรีวิชัยเคยเดินทางผ่านและแสดงธรรมแก่ชาวบ้าน มีเรื่องเล่าขานถึง
ความศรัทธาของชาวบ้านที่ร่วมมือกันฟื้นฟูวัดด้วยแรงศรัทธาที่ครูบาริเริ่มไว้ ซึ่งสะท้อนพลังแห่งความร่วมมือที่เป็นหัวใจสำคัญของแนวทางธรรมยาตรา
วัดที่ 6 วัดบ้านโฮ่งหลวง เป็นวัดที่ครูบาเจ้าศรีวิชัยได้อุปสมบท
และเรียนธรรมะ คำสอน ภาวนา การทำสมาธิ จากพระอุปัชฌาย์ ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัด วัดแห่ง่นี้เป็นฐานการเผยแผ่ธรรมะ และจุดรวมของการสร้างความสมัครสมานสามัคคีในชุมชน ท่านเชื่อมโยงพลังใจของชาวบ้านผ่านทั้งธรรมะและการลงมือปฏิสังขรณ์วัดร่วมกัน
วัดที่ 7 วัดบ้านเวียงหนองล่อง เป็นพื้นที่ที่ได้รับอิทธิพลทางธรรมะจากครูบาเจ้าศรีวิชัย โดยเฉพาะเรื่องความเรียบง่าย ความอดทน และความเมตตา วัดแห่งนี้เป็นจุดพักของธรรมยาตราที่สื่อถึงการเชื่อมต่อธรรมะจากลุ่มน้ำลี้ สู่ลุ่มน้ำปิง
วัดที่ 8 วัดพระพุทธบาทตากผ้า พระอารามหลวง
วัดเก่าแก่ที่ครูบาศรีวิชัยเคยมีส่วนร่วมในการฟื้นฟูและส่งเสริมกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา วัดนี้ยังเคยเป็นสถานที่รวมศรัทธาในการเคลื่อนไหวเพื่อการสร้างทางขึ้นดอยสุเทพ หนึ่งในภารกิจอันยิ่งใหญ่ของครูบาเจ้าศรีวิชัย
วัดที่ 9 วัดรมณียาราม (กู่ละมัก) วัดโบราณที่สะท้อนความเชื่อมโยงระหว่างศรัทธาในยุคโบราณกับศรัทธาสมัยใหม่ ครูบาเจ้าศรีวิชัยเคยมาเยือนสถานที่นี้เพื่อเสริมแรงศรัทธาในการบูรณปฏิสังขรณ์แหล่งโบราณสถานอันทรงคุณค่าของวัด...
วัดที่ 10 วัดจามเทวี เดิมเป็นวัดร้าง ครูบาเจ้าศรีวิชัยได้เข้าไปบูรณะ และสร้างเสนาสนะ
และยกขึ้นเป็นวัด และภายหลังจากมรณภาพ ได้นำสรีระสังขารมาประกอบพิธีพระราชทานเพลิงศพ ณ วัดแห่งนี้ซึ่งเป็นวัดที่มีความเชื่อมโยงทางประวัติศาสตร์อย่างลึกซึ้งกับจามเทวีวงศ์ และเคยเป็นศูนย์กลางทางธรรมะ
ในสมัยโบราณ ครูบาเจ้าศรีวิชัยให้ความเคารพในปูชนียบุคคลในอดีต และเคยเข้ามาเยือนเพื่อสักการะและเสริมสร้างจิตสำนึกร่วมทางวัฒนธรรมแก่ประชาชน และ วัดที่ 11 วัดพระธาตุหริภุญชัย วรมหาวิหาร วัดสำคัญประจำเมืองลำพูน ซึ่งครูบาเจ้าศรีวิชัยเคยเป็นผู้นำในการปฏิสังขรณ์บูรณะครั้งใหญ่เป็นสัญลักษณ์ของการรวมพลังของมหาชน และจุดเริ่มต้นการสร้างถนนขึ้นดอยสุเทพในเวลาต่อมา...
การเสนอชื่อครูบาเจ้าศรีวิชัย เป็นบุคคลสำคัญของโลกต่อองค์การยูเนสโก เนื่องในโอกาสครบรอบ
150 ปีชาตกาล โดยรัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงวัฒนธรรมเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการร่วมกับ
จังหวัดลำพูน จังหวัดเชียงใหม่ หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง คณะสงฆ์ สถาบันการศึกษา นักวิชาการ และผู้ทรงคุณวุฒิ ในพื้นที่ โดยเมื่อเร็วๆ นี้ คณะผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม และนายวิวัฒน์ อินทร์ไทยวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน ได้ลงพื้นที่วัดพระธาตุหริภุญชัย วรมหาวิหาร จังหวัดลำพูน ตรวจเยี่ยมและรับฟังความคืบหน้าการดำเนินงาน ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการจัดทำเอกสารเสนอรายชื่อ ที่มีการรวบรวมข้อมูลครอบคลุมทั้งด้านศาสนา ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และพัฒนาการทางสังคม โดยพระเทพรัตนนายก เจ้าคณะจังหวัดลำพูน เจ้าอาวาส
วัดพระธาตุหริภุญชัย วรมหาวิหาร ให้ข้อมูลว่า ภาคคณะสงฆ์ได้ให้การส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินโครงการ เนื่องจากครูบาเจ้าศรีวิชัยได้รับการยกย่องว่าเป็น “ตนบุญแห่งล้านนา” ด้วยคุณูปการด้านการเผยแผ่ธรรม
และพัฒนาท้องถิ่น เช่น การสร้างทางขึ้นดอยสุเทพโดยไม่ใช้งบประมาณของรัฐ อาศัยแรงศรัทธา และจิตอาสาของประชาชน การบูรณะวัดวาอารามหลายแห่งในภาคเหนือ และการยึดมั่นในความสมถะอย่างแท้จริง

การขับเคลื่อนโครงการนอกจากการรวบรวมข้อมูลภายในประเทศแล้ว คณะทำงานจัดทำเอกสาร
ยังได้ลงพื้นที่เก็บข้อมูล ณ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ได้รับอิทธิพลจากแนวคิดและผลงานของครูบาเจ้าศรีวิชัย เพื่อแสดงให้เห็นถึงคุณูปการที่มีผลกระทบในวงกว้าง ทั้งในประเทศ และในระดับสากลการลงพื้นที่ใน 3 ประเทศดังกล่าว จึงเป็นการรวบรวมหลักฐานที่แสดงถึงแนวคิด จริยธรรม และผลงานซึ่งได้รับการยอมรับ และมีคุณค่าร่วมในกลุ่มวัฒนธรรมพุทธที่หลากหลาย เพื่อนำข้อมูลมาจัดเรียบเรียงและจัดทำเป็นข้อเสนอฉบับสมบูรณ์ เพื่อยื่นต่อองค์การยูเนสโกให้พิจารณาประกาศการยกย่องและจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 150 ปีชาตกาล ของครูบาเจ้าศรีวิชัย ในปี พ.ศ. 2571 โดยทุกฝ่ายอยู่ระหว่างดำเนินงานตามแผนงานที่วางไว้ และมั่นใจว่าจะสามารถดำเนินการได้ทันตามกรอบเวลาที่กำหนด...
__________________________

ฮุนได พลิกโฉมวงการ SUV ไทย! เปิดตัว “The all-new SANTA FE”  ชูดีไซน์ Boxy พร้อมสร้างมาตรฐานใหม่ที่เหนือกว่า  ด้วยสโลแกน ...
16/07/2025

ฮุนได พลิกโฉมวงการ SUV ไทย! เปิดตัว “The all-new SANTA FE”
ชูดีไซน์ Boxy พร้อมสร้างมาตรฐานใหม่ที่เหนือกว่า
ด้วยสโลแกน “Open for More Horizons”

· SUV ดีไซน์ Boxy หรูหรา อเนกประสงค์ พร้อมฝาท้ายเปิดกว้าง และพื้นที่เก็บสัมภาระที่กว้างที่สุดเท่าที่เคยทำมา เสมือนห้องนั่งเล่นเคลื่อนที่
· สมรรถนะไฮบริดเหนือชั้น ขุมพลัง 1.6 Turbo Parallel Hybrid 232 แรงม้า แรงบิด 367 นิวตัน-เมตร ประหยัดสูงสุด 19.6 กม./ลิตร
· ห้องโดยสารกว้างขวาง 3 แถว 6 ที่นั่ง หรูหรา พร้อม Captain Seat เบาะแถวสองปรับไฟฟ้าหนึ่งเดียวในตลาด สบายเหมือนเลาจน์ส่วนตัว จอคู่ Panoramic Curved Display 12.3 นิ้ว + 12.3 นิ้ว ฟังก์ชันครบ
· สัมผัสจริง 19-20 ก.ค. นี้ ทดลองขับ The all-new SANTA FE ได้ที่เมกะบางนา และโชว์รูมฮุนไดทั่วประเทศ

กรุงเทพฯ 15 กรกฎาคม 2568 – ฮุนได โมบิลิตี้ ประเทศไทย เดินเกมรุกตลาดรถยนต์ต่อเนื่อง ด้วยการเปิดตัวยานยนต์ D-SUV ใหม่ล่าสุด “The all-new SANTA FE” นับเป็นเจเนอเรชันที่ 5 ของ SANTA FE ภายใต้สโลแกน “Open for More Horizons เพราะมากกว่าเส้นขอบฟ้า คือคำว่าอิสระ” สะท้อนจิตวิญญาณ SUV ยุคใหม่ที่พร้อมพาคุณออกไปสู่จุดหมายใหม่ สัมผัสประสบการณ์ใหม่ และขยายขอบเขตการใช้ชีวิตให้ไกลกว่าที่เคย เพราะ The all-new SANTA FE ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนโฉม แต่เป็นการรีเซตภาพลักษณ์ SUV ยุคใหม่ ด้วยเส้นสายทรงพลังที่ผสานความหรูหราและอารมณ์แห่งการผจญภัยในหนึ่งเดียว ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังเครื่องยนต์ไฮบริดที่ให้สมรรถนะเหนือชั้น แต่ยังประหยัดพลังงาน พร้อมอัดแน่นเทคโนโลยีอัจฉริยะและระบบความปลอดภัยที่ครบครัน พร้อมวางจำหน่ายในราคาเริ่มต้น 1.599 ล้านบาท

นายเจ กิว จอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮุนได โมบิลิตี้ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “The all-new SANTA FE ไม่ได้เป็นเพียง SUV รุ่นใหม่ แต่คือสัญลักษณ์แห่งความมุ่งมั่นของฮุนไดในการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับตลาด SUV ทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก ฮุนไดก้าวขึ้นเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ลำดับ 3 ของโลก ด้วยยอดจำหน่ายมากกว่า 4 ล้านคันต่อปีในกว่า 190 ประเทศ ความสำเร็จนี้เกิดจากการสร้างนวัตกรรมและกำหนดทิศทางใหม่ให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์มาอย่างต่อเนื่อง สำหรับประเทศไทย ฮุนไดให้ความสำคัญอย่างมากในฐานะตลาดยุทธศาสตร์หลักในอาเซียน และพร้อมลงทุนอย่างจริงจังเพื่อสร้างความเติบโตระยะยาว พร้อมก้าวขึ้นเป็นผู้นำตลาด และส่งมอบรถยนต์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคในทุกมิติ ทั้งวันนี้และอนาคต”

ทุกรายละเอียดของ The all-new SANTA FE สะท้อนถึงความเข้าใจความต้องการของลูกค้าอันลึกซึ้ง ทั้งในเรื่องของการออกแบบพื้นที่ภายในห้องโดยสารที่กว้างที่สุดเท่าที่เคยทำมาเมื่อเทียบกับ SANTA FE รุ่นเดิม ที่นั่งแบบ Captain Seats สิ่งอำนวยความสะดวก ความปลอดภัย เพราะแก่นแท้แห่งความงามต้องเริ่มต้นจากฟังก์ชันการใช้งานที่สมบูรณ์แบบและตอบสนองประโยชน์สูงสุดในชีวิตจริง นำเสนอผ่านรูปลักษณ์ทรงเหลี่ยม สไตล์ Boxy Design ที่เฉียบคม สะท้อนความแข็งแกร่งและความพรีเมียมแบบ SUV ยุโรป

2 / 4
นายวัลลภ เฉลิมวงศาเวช กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮุนได โมบิลิตี้ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “The all-new SANTA FE รุ่นใหม่นี้พัฒนาขึ้นจากการผสานดีไซน์แห่งอนาคต ด้วยรูปทรงเหลี่ยม สไตล์ Boxy Design เข้ากับฟังก์ชันที่ตอบโจทย์ชีวิตจริง ทุกมิติของรถถูกออกแบบอย่างมีเหตุผลและความหมาย ทุกเส้นสายและเหลี่ยมมุมสะท้อนเจตนารมณ์ที่ชัดเจน ห้องโดยสาร 3 แถว 6 ที่นั่ง พร้อม Captain Seat ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ด้วยพื้นที่ห้องเก็บสัมภาระท้าย ที่ขยายพื้นที่ได้กว้างขวางเสมือนห้องนั่งเล่นเคลื่อนที่ (Living Room-Like) มาพร้อมเทคโนโลยี Turbo Hybrid ของฮุนได ที่ทั้งแรงและประหยัด โดยสื่อสารผ่านคำว่า Open for More Horizons ซึ่งไม่ใช่เป็นแค่สโลแกน แต่คือแนวคิดเบื้องหลังการออกแบบในทุกองค์ประกอบ และต้องการสื่อสารว่า “เพราะมากกว่าเส้นขอบฟ้า คือคำว่าอิสระ” ทำให้มั่นใจได้ว่านี่คือ SUV ที่ตอบโจทย์การเดินทางทุกไลฟ์สไตล์ ให้อิสระทั้งในชีวิตประจำวันและการเดินทางพักผ่อน พร้อมพาทั้งผู้ขับและผู้โดยสารไปสัมผัสประสบการณ์ใหม่ และเปิดโลกแห่งการผจญภัย ให้คุณใช้ชีวิตได้เต็มที่และดื่มด่ำยิ่งกว่าเดิม”

ห้องโดยสารกว้างขวาง หรูหรา และอเนกประสงค์เกินคลาส
ห้องโดยสาร SANTA FE ใหม่ ผสานความหรูหรา ความอเนกประสงค์ และเทคโนโลยีเหนือระดับ โดดเด่นด้วยเบาะแถวสองแบบ Captain Seat ปรับไฟฟ้า หนึ่งเดียวในคลาส มอบความสะดวกสบายเสมือนเลาจน์ส่วนตัว พร้อมจอคู่ Panoramic Curved Display ขนาด 12.3 นิ้ว + 12.3 นิ้ว เชื่อมต่อจอมาตรวัดและอินโฟเทนเมนต์อย่างไร้รอยต่อ Bi-directional Multi-console ที่เก็บของคอนโซลกลางที่ใช้งานสะดวกทั้งผู้ขับและผู้โดยสารแถวสอง ขณะที่ Dual Wireless Charger มาพร้อมพัดลมระบายความร้อน เพื่อชาร์จสมาร์ตโฟนได้รวดเร็วและปลอดภัย เสริมบรรยากาศพรีเมียมด้วย Ambient Light Colour ถึง 64 เฉดสี ในห้องโดยสาร

ขุมพลังไฮบริดที่จัดเต็มพลังและความประหยัด
The all-new SANTA FE Gen 5 ขับเคลื่อนด้วย 1.6 Turbo Parallel Hybrid Technology ที่ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรีลิเธียมไอออนโพลิเมอร์ขนาด 1.49 kWh ให้พลังสูงสุดถึง 232 แรงม้าที่ 5,600 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 367 นิวตัน-เมตร ที่ 1,000–4,100 รอบ/นาที พร้อมมาตรฐานการปล่อยไอเสีย Euro 6 และระบบขับเคลื่อนล้อหน้า (FWD) ที่เหมาะกับทุกสภาพการขับขี่ มอบอัตราการประหยัดน้ำมันเฉลี่ยสูงสุดที่ 19.6 กม./ลิตร ระบบบังคับเลี้ยวเป็นพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า ให้ความแม่นยำและตอบสนองทันใจ ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท และด้านหลังแบบมัลติลิงค์ มอบประสบการณ์ขับที่นุ่มนวลและมั่นคง ระบบเบรกทั้งหน้าและหลังเป็นดิสก์เบรกพร้อมช่องระบายความร้อน เสริมความมั่นใจในการเบรก พร้อมล้ออัลลอยหรู ขนาด 18 นิ้ว เติมเต็มความ พรีเมียมและสมรรถนะในทุกมิติ

มั่นใจด้วย Hyundai SmartSense เทคโนโลยีความปลอดภัยเหนือชั้น
ความปลอดภัยยังคงเป็นหัวใจสำคัญของ The all-new SANTA FE ติดตั้งชุดเทคโนโลยีอัจฉริยะ Hyundai SmartSense ถึง 13 ระบบ ที่ครบครันที่สุดในคลาส มอบความมั่นใจทุกเส้นทางด้วยระบบช่วยขับอันชาญฉลาด ทั้ง Smart Cruise Control พร้อม Stop & Go ที่ควบคุมความเร็วและรักษาระยะห่างจากรถคันหน้า, Forward Collision-Avoidance Assist (FCA) ระบบเบรกอัตโนมัติหากเสี่ยงต่อการชนปะทะด้านหน้า, Blind-Spot Collision-Avoidance Assist (BCA) ระบบเตือนและช่วยเบรกเมื่อเปลี่ยนเลน, Lane Following Assist และ Lane Keeping Assist ระบบรักษาตำแหน่งรถให้อยู่กลางเลน, Rear Cross-Traffic Collision-Avoidance Assist ระบบเบรกอัตโนมัติเมื่อถอยหลังหรือมีรถวิ่งตัดหลัง, Safe Exit Assist ระบบเตือนและล็อกประตูอัตโนมัติหากมีรถแล่นผ่านขณะเปิดประตู, Surround View Monitor (เฉพาะรุ่น Prestige) กล้องรอบคันช่วยให้จอดได้อย่างมั่นใจ และ Reverse Parking Collision-
3 / 4
Avoidance Assist ระบบช่วยเบรกเมื่อมีสิ่งกีดขวางขณะถอยจอด เพื่อทำให้ทุกการเดินทางของคุณปลอดภัยและอุ่นใจยิ่งกว่าเดิม

The all-new SANTA FE นำเสนอ 2 รุ่นย่อย ได้แก่ Exclusive ราคา 1.599 ล้านบาท และ Prestige ราคา 1.749 ล้านบาท มาพร้อม 3 เฉดสีภายนอกสุดพรีเมียม ได้แก่ Beach Sand, Pearl White และ Space Black เสริมความมั่นใจด้วยการรับประกันคุณภาพ 5 ปี หรือ 150,000 กม. และการรับประกันแบตเตอรีไฮบริด 8 ปี หรือ 160,000 กม. พร้อมดอกเบี้ยพิเศษช่วงเปิดตัว 1.99% ดาวน์ 25% ผ่อน 48 เดือน เมื่อออกรถภายใน 31 สิงหาคม 2568

เชิญมาสัมผัสและทดลองขับ The all-new SANTA FE ได้ด้วยตัวคุณเองที่โชว์รูมฮุนไดทั่วประเทศ และในวันที่ 19-20 กรกฎาคม 2568 พบกับงาน “The all-new SANTA FE: Meet The New Horizon” ณ ศูนย์การค้า เมกะบางนา แล้วมาร่วมเปิดประสบการณ์กับมาตรฐานใหม่ของ SUV ยุคใหม่ที่ทุกคนรอคอยไปด้วยกัน

– จบข่าว –

เกี่ยวกับ บริษัท ฮุนได มอเตอร์ จำกัด
ฮุนได มอเตอร์ ก่อตั้งขึ้นในปี 1967 จนถึงปัจจุบัน บริษัทได้ดำเนินธุรกิจในมากกว่า 200 ประเทศทั่วโลก และมีบุคลากรร่วมงานมากกว่า 120,000 ตำแหน่ง พร้อมอุทิศตนให้กับการรับมือความท้าทายด้านโมบิลิตี้ในทุกพื้นที่ ฮุนได มอเตอร์ เร่งเปลี่ยนถ่ายรูปแบบการดำเนินธุรกิจ สู่การเป็นผู้ให้บริการด้านสมาร์ทโมบิลิตี้ ภายใต้วิสัยทัศน์ “ก้าวไปข้างหน้าเพื่อมนุษยชาติ” (Progress for Humanity) บริษัทยังลงทุนในเทคโนโลยีขั้นสูงด้านหุ่นยนต์ และยานพาหนะเพื่อการขนส่งทางอากาศ เอเอเอ็ม (AAM - Advanced Air Mobility) เพื่อเร่งเปิดตัวนวัตกรรมใหม่ของบริการขนส่งแห่งอนาคต ซึ่งจะมาปฏิวัติวงการโมบิลิตี้ ฮุนไดยังเดินหน้าเปิดตัวยานพาหนะไร้มลพิษซึ่งมาพร้อมกับเทคโนโลยีระดับชั้นนำอย่างพลังงานไฮโดรเจนและพลังงานไฟฟ้า เพื่ออนาคตที่ยั่งยืนของโลก สำหรับข้อมูลอื่นของ ฮุนได มอเตอร์ รวมถึงข้อมูลผลิตภัณฑ์ ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่: http://worldwide.hyundai.com หรือ http://globalpr.hyundai.com

เกี่ยวกับ ฮุนได โมบิลิตี้ (ประเทศไทย)
ฮุนได โมบิลิตี้ (ประเทศไทย) ก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการในประเทศไทย เมื่อเดือนเมษายน 2566 ในฐานะบริษัทในเครือของฮุนได มอเตอร์ โดยมีเป้าหมายในการเป็นผู้นำวงการรถยนต์และผู้ให้บริการด้านโมบิลิตี้ นอกจากนั้น บริษัทยังเตรียมมอบเทคโนโลยีนวัตกรรมใหม่ ที่เป็นประโยชน์และรองรับทุกไลฟ์สไตล์ให้กับผู้บริโภค ด้วยผลิตภัณฑ์ด้านโมบิลิตี้ที่ครบถ้วนในทุกมิติ ฮุนได โมบิลิตี้ (ประเทศไทย) พร้อมแล้วที่จะเติบโตไปกับลูกค้าทุกท่าน และพร้อมดูแลผู้บริโภคชาวไทย ในฐานะเพื่อนร่วมทางที่แท้จริงในทุกการเดินทาง...
__________________________

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ซับน้ำตา เยียวยาครอบครัวผู้สูญเสียและผู้บาดเจ็บจากอัคคีภัยโรงงานผลิตกระดาษทิชชู นิคมอุตสาหกรรมเหมราช ...
16/07/2025

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ซับน้ำตา เยียวยาครอบครัวผู้สูญเสียและผู้บาดเจ็บจากอัคคีภัยโรงงานผลิตกระดาษทิชชู นิคมอุตสาหกรรมเหมราช อำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี
วันนี้ (วันพุธที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2568) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการ พร้อมด้วย นายจารุรัตน์ คุณัตถานนท์ กรรมการและเหรัญญิก นางชุติมา ตันติศิริวัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการ และนายรัชพร ประสงค์ทรัพย์ หัวหน้าแผนกสาธารณภัย ฝ่ายสังคมสงเคราะห์ นำทีมลงพื้นที่จังหวัดสระบุรี มอบเงินช่วยเหลือค่าฌาปนกิจศพแก่ญาติผู้เสียชีวิตรายละ 20,000 บาท จำนวน 10 ราย รวมเป็นเงินจำนวน 200,000 บาท (สองแสนบาทถ้วน) โดยมี นายวัฒนพงษ์ พงศ์กิจจาเลิศ หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดสระบุรี นายสันทัศน์ รันดาเว นายอำเภอหนองแค และนายชูชีพ มิสุนา รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบลบัวลอย ร่วมในพิธี ณ ที่ว่าการอำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี
โดยเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 ที่ผ่านมา มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นางศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ และ นายรัชพร ประสงค์ทรัพย์ หัวหน้าแผนกสาธารณภัย ได้เข้าเยี่ยมเยียนและช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุดังกล่าว โดยมอบเงินปลอบขวัญ จำนวน 2 รายๆ ละ 5,000 บาท พร้อมกระเช้าสุขภาพ รวมงบประมาณทั้งสิ้น11,690 บาท (หนึ่งหมื่นหนึ่งพันหกร้อยเก้าสิบบาทถ้วน) โดยมี นายวัฒนพงษ์ พงศ์กิจจาเลิศ หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดสระบุรี พร้อมด้วย นางพัฒนิดา เพ็ญสุทธิชาติบุตร หัวหน้าฝ่ายสงเคราะห์ผู้ประสบภัย สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดสระบุรี ร่วมในพิธี
รวมงบประมาณการเยียวยาครอบครัวผู้สูญเสียและผู้บาดเจ็บจากอัคคีภัยโรงงานผลิตกระดาษทิชชู นิคมอุตสาหกรรมเหมราช อำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี เป็นเงินทั้งสิ้น 211,690 บาท (สองแสนหนึ่งหมื่นหนึ่งพันหกร้อยเก้าสิบบาทถ้วน)
ตลอดระยะเวลากว่า 115 ปี ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา เป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ดังปณิธาน มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต
ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมงานสาธารณกุศลมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ที่ เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung
มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”
#แอปพลิเคชันและสายด่วนป่อเต็กตึ๊ง1418
#ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน...
__________________________

5 ศาสนารวมใจ วธ. จัดพิธีเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคมรมว.วัฒนธรรม...
15/07/2025

5 ศาสนารวมใจ วธ. จัดพิธีเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม
รมว.วัฒนธรรม “แพทองธาร” รวมพลัง 5 องค์การทางศาสนาแสดงสามัคคีของคนไทยทั้งชาติ...

วันที่ 15 กรกฎาคม 2568 เวลา 14.00 น. กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมการศาสนา กำหนดจัดพิธีทางศาสนามหามงคล 5 ศาสนา เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม ในวันที่ 15 กรกฎาคม 2568
ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เพื่อถวายพระราชกุศลและถวายพระพรชัยมงคล แสดงความจงรักภักดีและสำนึก ในพระมหากรุณาธิคุณ
ที่พระองค์ทรงมีต่อพสกนิกรทุกหมู่เหล่า โดยการจัดพิธีในครั้งนี้นับเป็นการรวมพลังศรัทธาและความสามัคคีของประชาชนชาวไทยจากทุกศาสนา ภายใต้ร่มพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงเป็นองค์อัครศาสนูปถัมภก ผู้ทรงทำนุบำรุงและอุปถัมภ์ศาสนาทุกศาสนาอย่างเสมอภาคและต่อเนื่องตลอดรัชสมัย ทั้งนี้ กรมการศาสนาได้ประสานความร่วมมือกับองค์การทางศาสนาทั้ง 15 องค์การ จาก 5 ศาสนา ได้แก่ ศาสนาพุทธ ศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์ ศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู และศาสนาซิกข์ รวมทั้งหน่วยงานเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง โดยมีผู้เข้าร่วมทั้งผู้ประกอบพิธีทางศาสนา ผู้นำทางศาสนา ศาสนิกชน เครือข่ายสถานศึกษา ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่กระทรวงวัฒนธรรม รวมกว่า 1,000 คน
นางสาวแพทองธาร ชินวัตร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า การจัดพิธีทางศาสนามหามงคล 5 ศาสนาในครั้งนี้ เป็นกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาและพระองค์ผู้ทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของ
คนไทยทั้งชาติ ทรงมุ่งมั่นในการสืบสาน รักษา และต่อยอดแนวพระราชดำริของรัชกาลที่ 9 รวมทั้งทรงอุปถัมภ์และส่งเสริมกิจการ
ทางศาสนาต่างๆ อย่างเสมอภาค และทรงทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมไทย พร้อมทั้งส่งเสริมการอนุรักษ์ขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามของชาติให้คงอยู่สืบไป
“การจัดกิจกรรมประกอบด้วย พิธีถวายพระพรชัยมงคล และพิธีทางศาสนา 5 ศาสนา เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล ได้แก่ พิธีเจริญพระพุทธมนต์ (ศาสนาพุทธ) พิธีดุอาอ์ขอพร (ศาสนาอิสลาม) พิธีอธิษฐานภาวนา (ศาสนาคริสต์) พิธีสวดมนต์ขอพร (ศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู) และพิธีสวดอัรดาสและกีรตัน (ศาสนาซิกข์) นอกจากนี้ ยังมีการจัดแสดงนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ เกี่ยวกับพระราชกรณียกิจด้านศาสนาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว การจัดแสดงศาสนวัตถุสำคัญ และการสาธิตผลิตภัณฑ์ชุมชนศาสนิกสัมพันธ์จาก 10 ชุมชนของแต่ละศาสนา
เป็นการสะท้อนถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรม วิถีชีวิต ความเชื่อ และอัตลักษณ์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของแต่ละศาสนา พร้อมทั้งแสดงถึง
ความร่วมมือของคนชุมชน ในการสื่อสารคุณค่าและภูมิปัญญาของตนเองต่อสังคมในวงกว้าง นอกจากนี้ ในส่วนของภูมิภาค วธ.ได้ให้สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดทุกจังหวัด (สวจ.) ร่วมมือกับส่วนราชการ องค์การศาสนา องค์กรภาคเอกชน วัดและศาสนสถานจัดพิธี ทางศาสนา
เฉลิมพระเกียรติ เพื่อถวายพระราชกุศลตามความเหมาะสมของสถานที่ รวมถึงร่วมประดิษฐานพระบรมฉายาลักษณ์ ประดับธงชาติ ธง วปร ณ สถานที่ราชการ วัด ศาสนสถาน สถานศึกษา สำนักงาน ตลอดถึงอาคารบ้านเรือนของประชาชนอีกด้วย” นางสาวแพทองธาร กล่าว
รมว.วัฒนธรรม กล่าวต่อว่า พิธีทางศาสนาในครั้งนี้มิได้เป็นเพียงกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติเท่านั้น หากแต่ยังเป็นเวทีสำคัญที่สะท้อน
ถึงพลังแห่งความศรัทธา ความสมานฉันท์ และการอยู่ร่วมกันอย่างกลมเกลียวของประชาชนในสังคมพหุวัฒนธรรม ภายใต้ร่มพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงทำนุบำรุงศาสนา ผู้ทรงเป็นศูนย์รวมดวงใจ เป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้ประชาชนทุกหมู่เหล่า ได้แสดงออกถึงความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ด้วยการยึดมั่นในหลักธรรมทางศาสนา ปฏิบัติตนในทางคุณงามความดี และร่วมสร้างสังคมไทยให้เป็นสังคมแห่งศรัทธา ความเข้าใจ และความสามัคคีอย่างยั่งยืน...
ทั้งนี้ ภายในงานมีการจัดกิจกรรมสาธิตจาก 10 ชุมชนศาสนิกสัมพันธ์ เช่น ร้อยมาลัย พับใบเตย เขียนอักษรอาหรับ คลุมฮิญาบ
โพกหัวซิกข์ และชิมขนมพื้นถิ่นหลากหลาย เช่น ขนมฝรั่งกุฎีจีน เกชาดัช ซาโมซา ชาอินเดีย ฯลฯ เปิดโอกาสให้ผู้ร่วมงานได้เรียนรู้และลงมือทำจริง สะท้อนความหลากหลายทางวัฒนธรรม ความเชื่อ และอัตลักษณ์ของแต่ละศาสนา เสริมสร้างความเข้าใจอันดีในสังคมพหุวัฒนธรรมอีกด้วย...
__________________________

ที่อยู่

Bangkok

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Siamsettakijผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง Siamsettakij:

แชร์