The Intelligence พื้นที่แลกเปลี่ยนความเห็นอย่างสร้างสรรค์

พันธมิตรกังวล: สหรัฐฯ เผชิญคำถามด้านความปลอดภัย หลังข้อมูลลับรั่วจากกลุ่มแชทกรณีข้อมูลทางการทหารของสหรัฐฯ รั่วไหลที่เกิด...
07/08/2025

พันธมิตรกังวล: สหรัฐฯ เผชิญคำถามด้านความปลอดภัย หลังข้อมูลลับรั่วจากกลุ่มแชท

กรณีข้อมูลทางการทหารของสหรัฐฯ รั่วไหลที่เกิดจากการใช้แอฟพลิเคชัน Signal ส่งข้อมูลที่มีความอ่อนไหวและเป็นเอกสารลับเกี่ยวกับปฏิบัติการของกองทัพสหรัฐฯ ในเยเมน โดยไม่ระมัดระวัง ทำให้พันธมิตรหลายประเทศกังวลกับความปลอดภัยในการสื่อสารกับรัฐบาลสหรัฐฯ ผู้นำหลายประเทศประเมินว่ากรณีดังกล่าวเป็นกรณีร้ายแรงและควรเป็นบทเรียนสำคัญของประเทศต่าง ๆ และไม่ควรมีความผิดพลาดซ้ำ เพราะอาจส่งผลกระทบต่อความร่วมมือด้านความมั่นคง การทหาร และความไว้วางใจระหว่างกัน นอกจากนี้ กรณีดังกล่าวสะท้อนว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ บางส่วนไม่เคร่งครัดปฏิบัติตามมาตรการรักษาความปลอดภัยในการสื่อสารและการรักษาความปลอดภัยข้อมูล และมีการใช้ช่องทางสื่อสารอย่างไม่เป็นทางการเพื่อส่งข่อมูลสำคัญ ทั้งที่สหรัฐฯ มีช่องทางสื่อสารระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงโดยเฉพาะอยู่แล้ว

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคือมีรายงานเมื่อ 25 มีนาคม 2568 ว่า กลุ่มแชทในแอปพลิเคชัน Signal ที่มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ ใช้งานอยู่นั้น นาย Michael Waltz ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งอยู่ในกลุ่มแชท ได้ส่งลิงค์กลุ่มแชทให้นาย Jeffrey Goldberg บรรณาธิการและผู้สื่อข่าวจาก สนข. The Atlantic เพิ่มเข้าไปเป็นสมาชิก ทำให้สามารถเข้าถึงและเห็นว่า นาย Pete Hegseth รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ส่งข้อมูลเกี่ยวกับปฏิบัติการทหารของสหรัฐฯ ต่อกลุ่มฮูษีในเยเมนผ่านกลุ่มแชทดังกล่าว ทั้งนี้ เมื่อมีการเปิดเผยเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในช่วงแรก ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ปกป้องนาย Waltz และยืนยันว่าไม่มีข้อมูลสำคัญรั่วไหล แต่ล่าสุดเมื่อ 27 มีนาคม 2568 ประธานาธิบดีทรัมป์เปลี่ยนท่าทีเป็นการย้ำว่านาย Waltz จะแสดงความรับผิดชอบต่อกรณีดังกล่าว ส่วนเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนอื่น ๆ ไม่ได้มีความผิด ด้านโฆษกทำเนียบประธานาธิบดีสหรัฐฯ ย้ำว่าผู้นำสหรัฐฯ เห็นข้อความทั้งหมดแล้ว ซึ่งไม่ใช่ข้อมูลลับหรือข้อมูลอ่อนไหว แต่เป็นการสนทนาเรื่องนโยบายสำคัญของประเทศ

กลุ่มประเทศพันธมิตรสหรัฐฯ ยังไม่แสดงท่าทีแข็งกร้าวต่อกรณีดังกล่าว แต่เชื่อว่าวิตกกังวล โดยเฉพาะกลุ่มความร่วมมือด้านข่าวกรอง Five Eyes ที่มีสหรัฐฯ แคนาดา สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์เป็นสมาชิก อย่างไรก็ตาม หน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ ยืนยันว่าไม่มีข้อมูลข่าวกรอง หรือข้อมูลลับที่รั่วไหลจากเหตุการณ์ดังกล่าว และไม่มีความผิดพลาดเกิดขึ้น

กรณีนี้ทำให้มีการตรวจสอบข้อมูลของนาย Michael Waltz ที่อยู่ในโลกออนไลน์ ผลพบว่ามีข้อมูลการติดต่อและรายชื่อบุคคลจำนวนมากที่เผยแพร่ผ่านบัญชีแอปพลิเคชันออนไลน์ของนาย Waltz ซึ่งเสี่ยงทำให้หน่วยข่าวกรองต่างประเทศรวบรวมข้อมูลสำคัญได้จำนวนมากและสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ต่อไป หลายฝ่ายเชื่อว่านาย Waltz จะต้องลาออกจากตำแหน่งเพื่อแสดงความรับผิดชอบ

#ข้อมูลรั่วไหล #ความมั่นคงแห่งชาติ #ทำเนียบขาว #เพนตากอน #ความปลอดภัยไซเบอร์ #เจ้าหน้าที่รัฐ #บทเรียนราคาแพง

03/08/2025

น่าคิดตาม! 🤔 สื่อดังออสเตรเลีย ABC ตีแผ่ประเด็นความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชาในอดีต ชี้ให้เห็นภาพการแข่งขันด้านอาวุธในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่น่าจับตา

📌 ประเด็นสำคัญ:

การแข่งขันด้านอาวุธ: ทั้งสองฝ่ายใช้อาวุธระดับสูงที่ไม่เคยปรากฏในความขัดแย้งครั้งก่อนๆ

🇹🇭 ไทย: ใช้ F-16, Gripen, โดรน และยานเกราะ Stryker

🇰🇭 กัมพูชา: พัฒนากองทัพอย่างรวดเร็วโดยได้รับการสนับสนุนจากจีน เช่น ระบบจรวดหลายลำกล้อง PHL-81

ข้อกังวล: นักวิเคราะห์แสดงความห่วงใยต่อการใช้อาวุธพิสัยไกล ซึ่งอาจทำให้สถานการณ์รุนแรงและควบคุมได้ยากขึ้นในอนาคต

ติดตามได้ใน PODCAST

#ข่าวต่างประเทศ #ความมั่นคง #ชายแดนไทยกัมพูชา #วิเคราะห์ข่าว #อาวุธยุทโธปกรณ์

03/08/2025

Nikkei Asia ตีแผ่! โซเชียลมีเดียกลายเป็น "แนวรบใหม่" ของข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา แม้ปืนจะสงบ แต่สงครามออนไลน์กลับดุเดือด สร้างความเกลียดชังที่อาจทิ้งบาดแผลยาวนาน

🔥 การปะทะไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในโลกจริง แต่ลุกลามไปทั่วทุกแพลตฟอร์ม ตั้งแต่ Facebook, TikTok, X, Telegram ไปจนถึงในเกม Roblox!
🔍 ทั้งสองฝ่ายใช้ทุกกลยุทธ์:
#️⃣ ปั่นแฮชแท็กปลุกกระแสชาตินิยม
💬 ใช้ถ้อยคำแสดงความเกลียดชัง (Hate Speech)
🇬🇧 สร้างคอนเทนต์ภาษาอังกฤษเพื่อล็อบบี้ต่างชาติ
🗺️ พยายามแก้ไขแผนที่ชายแดนใน Google Maps
🤖 ใช้บัญชีอวตาร-ข่าวปลอม (Fake News)
💥 ถึงขั้นโจมตีทางไซเบอร์โดยกลุ่มแฮ็กเกอร์

ติดตามรับฟัง PODCAST ได้ในคลิปนี้

#สงครามไซเบอร์ #ข้อพิพาทชายแดน #ไทยกัมพูชา

สื่อมวลชนต่างประเทศรายงานสถานการณ์ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา หลังจากมีการปะทะกันเมื่อ 24-28 กรกฎาคม 2568 จนทำให้มีผู้เสียชี...
01/08/2025

สื่อมวลชนต่างประเทศรายงานสถานการณ์ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา หลังจากมีการปะทะกันเมื่อ 24-28 กรกฎาคม 2568 จนทำให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บทั้ง 2 ฝ่าย รวมทั้งมีประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณพรมแดนต้องอพยพออกจากพื้นที่และรอความช่วยเหลือในค่ายพักพิงชั่วคราว ปัจจุบันไทยและกัมพูชาเน้นย้ำว่าปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิง และนำคณะผู้แทนจากต่างประเทศเข้าสังเกตการณ์พื้นที่ขัดแย้งและพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวเพื่อให้เข้าใจเหตุการณ์

อย่างไรก็ดี มีข้อสังเกตว่า สื่อต่างประเทศให้ความสนใจรายงานในเชิงวิเคราะห์มากขึ้น โดย สนข.The Economist เมื่อ 31 กรกฎราคม 2568 นำเสนอมุมมองต่อสาเหตุที่ไทยและกัมพูชามีความขัดแย้งกันรุนแรงในครั้งนี้ว่า พื้นที่บริเวณพรมแดนดังกล่าวมีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์ชาตินิยม รวมทั้งการจัดทำแผนที่ของทั้ง 2 ฝ่าย และเชื่อมโยงกับสถานการณ์การเมืองในประเทศ

ด้าน สนข.ABC News รายงานว่าสถานการณ์ในพื้นที่ลดระดับความรุนแรงระหว่างกัน เพราะมีข้อตกลงหยุดยิง อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ยังเปราะบางเพราะมีรายงานการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงเป็นระยะ ๆ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการสอบสวนข้อเท็จจริงและให้ผู้แทนจากต่างประเทศเข้าพื้นที่เพื่อสังเกตการณ์ เนื่องจากกลุ่มปกป้องสิทธิมนุษยชนได้เรียกร้องให้สหประชาชาติ (UN) ตั้งประเด็นสอบสวนว่าเหตุการณ์นี้ มีการกระทำที่เข้าข่ายก่ออาชญากรรมสงครามหรือไม่

นอกจากนี้ เหตุการณ์ปะทะที่เกิดขึ้นทำให้ทั้ง 2 ฝ่าย รวมทั้งประเทศอื่น ๆ ได้เห็นศักยภาพและขีดความสามารถด้านการทหารของไทยและกัมพูชา โดยเห็นได้ว่าทั้งไทยและกัมพูชามียุทโธปกรณ์พร้อมทำสงคราม ซึ่งได้รับการสนับสนุนหรือทำข้อตกลงซื้อ - ขายจากต่างประเทศ เช่น จีน รัสเซีย สวีเดน และสหรัฐฯ

สื่ออ้างความเห็นของสถาบัน Stockholm International Peace Research Institute (SIPRI) ที่ประเมินว่า กรณีกัมพูชามีระบบยิงจรวดหลายลำกล้องรุ่น PHL-81 สะท้อนว่ากัมพูชามีความร่วมมือด้านการทหารใกล้ชิดกับจีนอย่างมาก รวมทั้งมีอาวุธสำคัญที่ได้รับมาจากการทำข้อตกลงกับรัสเซีย เช่น รถถังรุ่น BMP-3 ขณะที่ไทยมียุทโธปกรณ์ที่มีความสามารถในการโจมตีทางอากาศสูงมาก ทั้ง บ.โจมตีรุ่น F-16 อากาศยานไร้คนขับ และ บ.รุ่น Gripen ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศประเมินว่าไทยและกัมพูชามีอาวุธพร้อมสำหรับการเผชิญความขัดแย้งระดับสูงซึ่งเสี่ยงขยายขอบเขตพื้นที่ปะทะและเพิ่มบรรยากาศความตึงเครียดระหว่างประเทศในระยะยาว

นอกจากประเด็นความสามารถทางการทหารสื่อรายงานติดตามความคืบหน้าของไทยและกัมพูชาที่ยังต้องต่อสู้กันในเวทีระหว่างประเทศต่อไปอย่างเข้มข้น เนื่องจากกัมพูชายังไม่ล้มเลิกความพยายามที่จะยื่นเรียกร้องให้นานาชาติตัดสินให้ปราสาทและโบราณสถานในพื้นที่บริเวณพรมแดนไทย-กัมพูชา อยู่ภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา ซึ่งประเด็นนี้ยังเป็นปัญหาระหว่างประเทศที่คาดว่าจะยืดเยื้อและเสี่ยงทำให้เกิดความขัดแย้งทางการทหารระหว่างไทยกับกับกัมพูชาได้

ทั้งนี้ สื่ออ้างความเห้นของนาย Charles A. Ray อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำกัมพูชาว่าประเด็นกรรมสิทธิ์เหนือพื้นที่และโบราณสถานดังกล่าว เป็นเรื่องละเอียดอ่อนสำหรับทั้ง 2 ประเทศ และยังไม่มีตัวกลางจากประเทศใดสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ในรูปแบบผลประโยชน์ที่ลงตัว ดังนั้นจึงประเมินว่าการที่กัมพูชายังมุ่งมั่นจะดำเนินการเรื่องยืนยันกรรมสิทธิ์เหนือพื้นที่ปราสาทและโบราณสถานต่าง ๆ จะเป็นชนวนให้เกิดความตึงเครียดระหว่างไทยกับกัมพูชาต่อไป แม้ว่าจะมีข้อตกลงหยุดยิงในพื้นที่แล้วก็ตาม

สื่อต่างประเทศรายงานความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาความตึงเครียดบริเวณพรมแดนไทย-กัมพูชา โดยรายงานเมื่อ 30 กรกฎาคม 2568 กรณีไทยจ...
31/07/2025

สื่อต่างประเทศรายงานความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาความตึงเครียดบริเวณพรมแดนไทย-กัมพูชา โดยรายงานเมื่อ 30 กรกฎาคม 2568 กรณีไทยจะส่งคืนทหารกัมพูชาจำนวน 18 นาย ให้กับกัมพูชา หลังจากการดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายสากลเสร็จสิ้น ท่าทีดังกล่างของไทยมีขึ้นหลังจากรัฐบาลกัมพูชาเรียกร้องให้ไทยส่งตัวทหารจำนวน 20 นาย ที่ไทยควบคุมตัวไว้หลังจากมีมาตรการหยุดยิง ซึ่งฝ่ายกัมพูชาได้หารือประเด็นนี้กับไทยแล้ว และจะเจรจากับไทยต่อไปเพื่อให้ไทยส่งกลับนายทหารอย่างปลอดภัยและรวดเร็ว

สื่อมวลชนกัมพูชารายงานติดตามความคืบหน้าประเด็นนี้อย่างใกล้ชิด สำหรับสาเหตุที่ไทยควบคุมตัวทหารกัมพูชาไว้ เพราะมีรายงานว่าทั้งหมดเดินทางเข้าพื้นที่ไทยในช่วงเวลา 8 ชั่วโมงหลังจากข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้ในเวลา 00.00 น.เมื่อ 28 กรกฎาคม 2568 พร้อมกันนี้ ฝ่ายไทยยืนยันว่าทหารทั้ง 18 นายของกัมพูชาอยู่ภายใต้กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศและจะได้เดินทางกลับกัมพูชาทันทีหลังจากสถานการณ์บริเวณพรมแดนมีเสถียรภาพ

สื่อต่างประเทศรายงานความเสียหายที่เกิดขึ้นระหว่างการปะทะและความตึงเครียดระหว่างไทยกับกัมพูชาในห้วงที่ผ่านมา ทั้งจำนวนผู้เสียชีวิตของทั้ง 2 ฝ่าย โดยปัจจุบันไทยเปิดเผยว่ามีทหารเสียชีวิต 15 นาย และพลเรือนเสียชีวิต 15 ราย ด้านกัมพูชาเปิดเผยว่ามีทหารเสียชีวิต 5 นาย และพลเรือน 8 ราย ทั้ง 2 ประเทศมีผู้อพยพจากพื้นที่เสี่ยงภัยที่ยังต้องดูแลต่อไปจำนวนมากกว่า 300,000 คน รวมทั้งความพยายามของนานาชาติ โดยเฉพาะมาเลเซียที่ประสานงานให้เกิดการเจรจาและทำข้อตกลงหยุดยิง

สื่อต่างประเทศยังรายงานกรณีไทยระบุว่ากัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิงเป็นครั้งที่ 2 เนื่องจากมีหลักฐานว่ากัมพูชาปฏิบัติการทางทหารต่อพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ ในช่วงเวลากลางคืน พร้อมระบุว่ากัมพูชาทำให้ความเชื่อมั่นระหว่างกันลดลงและทำให้สถานการณ์ในพื้นที่ยังอยู่ในระดับเปราะบาง อย่างไรก็ตาม กัมพูชาปฏิเสธข้อกล่าวหา พร้อมเน้นรายงานว่ากัมพูชามีความคืบหน้าในการเชิญคณะผู้แทนจากต่างประเทศ 13 ประเทศ เพื่อลงพื้นที่จังหวัดพระวิหาร และจุดผ่านแดน ติดกับ จ.อุบลราชธานี

นอกจากนี้ สื่อสังคมออนไลน์กัมพูชามีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ เนื่องจากตั้งแต่ 30 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นมา เริ่มปรากฏกระแสโพสต์ข้อความชื่นชมประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ว่ามีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้เกิดสันติภาพระหว่างกัมพูชากับไทย และยกย่องว่าเป็นประธานาธิบดีแห่งสันติภาพ (President of Peace) พร้อมกับมีการรณรงค์ และ คู่กับภาพธงชาติกัมพูชา คาดว่าเพื่อทำให้นานาชาติเห็นว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯ สนับสนุนกัมพูชา

สื่อต่างประเทศติดตามความคืบหน้าสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างไทย-กัมพูชา โดยเมื่อ 30 กรกฎาคม 2568 รายงานว่ากัมพูชาละเมิดข...
30/07/2025

สื่อต่างประเทศติดตามความคืบหน้าสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างไทย-กัมพูชา โดยเมื่อ 30 กรกฎาคม 2568 รายงานว่ากัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ทำให้บรรยากาศด้านความปลอดภัยในพื้นที่ขัดแย้งยังไม่แน่นอน แม้ว่าข้อตกลงหยุดยิงจะยังมีผลบังคับใช้อยู่ ทั้งนี้ สื่อต่างประเทศอ้างรายงานของกองทัพและรัฐบาลไทยที่ระบุว่า กัมพูชายิงโจมตีในหลายพื้นที่ในช่วงเช้าของ 29 กรกฎาคม 2568 ต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน รวมทั้งในพื้นที่ภูมะเขือจ.ศรีสะเกษ ที่ทั้ง 2 ฝ่ายเคยปะทะกันอย่างรุนแรง

อย่างไรก็ดี การปะทะในปัจจุบันไม่มีการใช้อาวุธหนัก ขณะที่ฝ่ายไทยควบคุมสถานการณ์และตอบโต้อย่างเหมาะสม พร้อมทั้งได้ส่งหนังสือไปยังอาเซียน มาเลเซีย สหรัฐฯ และจีนเพื่อแจ้งให้เข้าใจเหตุการณ์ในพื้นที่ รวมทั้งกรณีกัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ซึ่งอาจบั่นทอนความเชื่อมั่นระหว่างกัน

สื่อต่างประเทศยังรายงานความคืบหน้าในการพบหารือกันระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพทั้ง 2 ฝ่าย เมื่อ 29 กรกฎาคม 2568 ซึ่งตกลงกันว่าจะยุติความเคลื่อนไหวด้านการหทาร หลีกเลี่ยงการปะทะและจัดตั้งทีมงานประสานงานระหว่างกันก่อนที่จะมีการประชุมในกรอบคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย – กัมพูชา (General Border Committee – GBC) ใน 4 สิงหาคม 2568 ที่กัมพูชา ซึ่งฝ่ายไทยกำลังรอหนังสือเชิญจากฝ่ายกัมพูชา

ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความตึงเครียดและการปะทะระหว่างไทย-กัมพูชาตามแนวชายแดน ยังวิตกกังวลต่อความมั่นคงปลอดภัย แม้ว่าจะมีข้อตกลงหยุดยิงระหว่างกันแล้ว แต่ไม่มั่นใจว่าจะเกิดเหตุการปะทะหรือตอบโต้กันอีกหรือไม่ ส่วนใหญ่จึงยังอยู่ในพื้นที่ศูนย์พักพิง แต่ก็มีบางส่วนที่ตัดสินใจเดินทางเข้าพื้นที่ เพื่อดูแลทรัพย์สิน ซึ่งฝ่ายทหารไทยก็ได้เตือนถึงความปลอดภัย และให้รอจนว่าฝ่ายความมั่นคงจะยินยอมให้เข้าพื้นที่

ด้านกัมพูชาแสดงท่าทีเมื่อ 29 กรกฎราคม 2568 เกี่ยวกับอุบัติเหตุและการปะทะที่เกิดขึ้นในช่วงที่จะมีการปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิง แต่ยืนยันว่าไม่มีการเคลื่อนไหวทางการทหารและละเมิดข้อตกลง ปฏิเสธข้อกล่าวของไทย พร้อมทั้งย้ำว่ากัมพูชาปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด ตลอดจนต้องการมีความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศเพื่อนบ้านรอบด้าน นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีกัมพูชาโพสต์ข้อความผ่านสื่อสังคมออนไลน์ระบุว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ แสดงความยินดีที่กัมพูชากับไทยบรรลุข้อตกลงหยุดยิง และสหรัฐฯ จะติดตามพัฒนาการสถานการณ์ร่วมกับมาเลเซียอย่างใกล้ชิด เพื่อให้มั่นใจว่าทั้ง 2 ฝ่ายปฏิบัติตามข้อตกลง

นักวิเคราะห์ต่างประเทศประเมินว่าข้อตกลงหยุดยิงระหว่าง ไทย- กัมพูชา เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีต่อการลดระดับความขัดแย้ง แต่ข้อตกลงดังกล่าวมีความเสี่ยงถูกใช้ประโยชน์ทางการเมืองทั้งในประเทศและต่างประเทศจากทั้ง 2 ฝ่าย ดังนั้นสถานากรณ์จึงยังมีความละเอียดอ่อน และเสนอให้มีการสำรวจพื้นที่บริเวณพรมแดนทันที เพื่อร่วมมือกันป้องกันความขัดแย้งในอนาคต รวมทั้งไม่ให้กลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติใช้ประโยชน์ในช่วงนี้ก่ออาชญากรรมข้ามแดน

สื่อต่างประเทศเมื่อ 28 กรกฎาคม 2568 รายงานกรณีผู้นำไทยและกัมพูชาพบหารือกันที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย เพื่อทำข้อตกลงหย...
29/07/2025

สื่อต่างประเทศเมื่อ 28 กรกฎาคม 2568 รายงานกรณีผู้นำไทยและกัมพูชาพบหารือกันที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย เพื่อทำข้อตกลงหยุดยิง โดยมีนายกรัฐมนตรีมาเลเซียเข้าร่วมด้วย ผลการหารือ ทั้ง 2 ฝ่ายเห็นพ้องที่จะหยุดยิงในเวลา 00.00 น.ของ 28 กรกฎาคม 2568 และตั้งกลไกหารือกันอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับฟื้นฟูช่องทางการติดต่อระหว่างกันทั้งในมิติการทูตและการทหาร

สาระสำคัญของข้อตกลงดังกล่าวระบุว่า ผู้นำทั้ง 2 ฝ่ายต้องการทำข้อตกลงหยุดยิงและกลับสู่สภาวะปกติ การเจรจาครั้งนี้ มีผู้นำสหรัฐฯ ติดตามอย่างใกล้ชิด รวมทั้งมีรัฐบาลจีนติดต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อส่งเสริมการเจรจาและการฟื้นฟูสันติภาพ สำหรับทั้ง 2 ประเทศตกลงที่จะหยุดยิงอย่างไม่มีเงื่อนไขในเวลา 00.00 น.ของ 28 กรกฎาคม 2568 จะเป็นขั้นตอนแรกที่มีความสำคัญต่อการลดระดับความตึงเครียดระหว่างประเทศ จากนั้นจะมีการประชุมอย่างไม่เป็นทางการระหว่างเจ้าหน้าที่ทหารในพื้นที่โดยมีผู้แทนจากอาเซียนเข้าร่วมสังเกตการณ์ด้วย ตลอดจนจะมีการประชุมในกรอบคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย -กัมพูชา (General Border Committee – GBC) ใน 4 สิงหาคม 2568 ที่กัมพูชา

ผู้นำสหรัฐฯ และมาเลเซียยินดีต่อกรณีดังกล่าว ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์โพสต์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ แสดงความยินดีและให้ความเห็นว่าการหยุดยิงจะช่วยปกป้องชีวิตของประชาชนได้จำนวนมาก พร้อมทั้งระบุว่าจะให้ทีมเจรจาการค้าหารือกับทั้ง 2 ประเทศ ด้านนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ทั้งนี้ มีข้อสังเกตที่น่าสนใจว่าผู้นำกัมพูชา รวมทั้งสมเด็จฯ ฮุน เซนประธานวุฒิสภาและอดีตผู้นำกัมพูชาแถลงถึงผู้นำสหรัฐฯ ว่ามีบทบาทสำคัญในสถานการณ์นี้

อย่างไรก็ดี ยังต้องติดตามพัฒนาการสถานการณ์ในพื้นที่อย่างใกล้ชิด เนื่องจากเมื่อ 29 กรกฎาคม 2568 ยังมีรายงานจากฝ่ายไทยว่ามีปฏิบัติการทางทหารตอบโต้กัน เข้าข่ายละเมิดข้อตกลงหยุดยิงที่ผู้นำรัฐบาลตกลงกันไว้ รองโฆษกกองทัพบกไทยยืนยันเมื่อ 29 กรกฎาคม 2568 ว่า กัมพูชาก่อกวนและยิงตอบโต้ในพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ และพื้นที่ปราสาทตาควาย จ.สุรินทร์ ทำให้ต้องเลื่อนการประชุมอย่างไม่เป็นทางการระหว่างผู้บัญชาการกองกำลังของ 2 ประเทศ จากกำหนดการเดิมในช่วง 07.00 น.ออกไปก่อน เพื่อตรวจสอบสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

ด้านกัมพูชาแถลงว่าฝ่ายไทยยิงโจมตีในพื้นที่ของกัมพูชาก่อนเริ่มใช้ข้อตกลงหยุดยิง และตั้งแต่ช่วงเวลา 00.30 น.ของ 29 กรกฎาคม 2568 ฝ่ายกัมพูชารายงานว่าสถานการณ์ปกติและไม่มีการตอบโต้ทางการทหารระหว่างกัน

กัมพูชามีแนวโน้มใช้สถานการณ์จากเหตุการณ์ปะทะที่ผ่านมา สร้างโอกาสโจมตีภาพลักษณ์ของไทยและเผยแพร่ข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายตนเอง ปัจจุบันสื่อกัมพูชารายงานสถานการณ์ย้ำว่าปราสาทตาเมือนและปราสาทตาควาย และพื้นที่บริเวณช่องจอม อยู่ในจังหวัดอุดรมีชัยของกัมพูชา นอกจากนี้ สื่อมวลชนกัมพูชารายงานว่า รัฐบาลกัมพูชานำโดยกระทรวงแรงงานกัมพูชาเตรียมยื่นหนังสือเรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศคว่ำบาตรสินค้าไทย เพื่อตอบโต้ที่มีเหตุการณ์ทำร้าย ข่มขู่ และเลือกปฏิบัติต่อแรงงานชาวกัมพูชาที่อยู่ในไทย โดยในหนังสือดังกล่าวได้เรียกร้องให้ไทยปฏิบัติตามข้อตกลงทวิภาคีและกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยการปกป้องสิทธิและความปลอดภัยของแรงงานต่างชาติ

สื่อมวลชนต่างประเทศเมื่อ 28 กรกฎาคม 2568 ให้ความสนใจติดตามสถานการณ์ไทย-กัมพูชา เฉพาะอย่างยิ่งกรณีผู้นำรัฐบาลทั้ง 2 ประเท...
28/07/2025

สื่อมวลชนต่างประเทศเมื่อ 28 กรกฎาคม 2568 ให้ความสนใจติดตามสถานการณ์ไทย-กัมพูชา เฉพาะอย่างยิ่งกรณีผู้นำรัฐบาลทั้ง 2 ประเทศจะพบและเจรจากันที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย เพื่อแก้ไขปัญหาความตึงเครียดบริเวณพรมแดนที่มีการปะทะและตอบโต้กันด้วยมาตรการทางทหารอย่างต่อเนื่องจนทำให้มีรายงานผู้เสียชีวิต ได้รับบาดเจ็บ และต้องอพยพออกจากที่พักอาศัยจำนวนมาก สำหรับการเจรจาจะมีขึ้นในเวลา 15.00 น.ตามเวลาท้องถิ่น ผู้นำคณะเจรจาฝ่ายไทย คือ รักษาการนายกรัฐมนตรีภูมิธรรม เวชยชัย ขณะที่ผู้นำคณะเจรจาฝ่ายกัมพูชาคาดว่าจะเป็นสมเด็จฮุน มาเน็ต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ด้านทางการมาเลเซียยืนยันว่าผู้นำไทยและกัมพูชาจะเยือนมาเลเซีย ซึ่งเป็นประธานอาเซียนและเสนอเป็นตัวกลางแก้ไขวิกฤตที่เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

การเจรจาครั้งนี้มีขึ้นหลังจากไทย-กัมพูชาตอบโต้และปะทะทางการทหารระหว่างกันบริเวณพรมแดนตั้งแต่ 24 กรกฎาคม 2568 มีรายงานผู้เสียชีวิตของทั้ง 2 ฝ่ายรวมกันมากกว่า 30 คน รวมทั้งพลเรือน และเมื่อ 27 กรกฎาคม 2568 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ โพสต์ข้อความผ่านสื่อสังคมออนไลน์ Truth Social ว่าได้โน้มน้าวให้ผู้นำไทยและกัมพูชาเจรจาสันติภาพระหว่างกัน พัฒนาการของสถานการณ์ดังกล่าวทำให้สื่อต่างประเทศเชื่อมโยงว่าผู้นำไทยและกัมพูชาเจรจากันตามคำแนะนำของสหรัฐฯ แม้ว่าก่อนหน้านี้ ฝ่ายไทยจะเสนอการเจรจาทวิภาคีกับกัมพูชาไปแล้ว แต่กัมพูชายังไม่ยุติการยิงจรวดใส่พื้นที่ตามแนวชายแดน ชุมชน และโบราณสถานของไทย

สื่อต่างประเทศรายงานว่า การสู้รบและการตอบโต้ในพื้นที่จะยังดำเนินต่อไปหลังจากผู้นำสหรัฐฯ หารือกับผู้นำไทยและกัมพูชา แต่การเจรจาระหว่างผู้นำรัฐบาลของทั้ง 2 ฝ่ายก็เกิดขึ้นทันที ซึ่งประธานาธิบดีทรัมป์เชื่อว่าการเจรจาที่มาเลเซียจะเป็นขั้นตอนสำคัญสู่การลดระดับความขัดแย้ง ส่วนนายมาร์โค รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่าสหรัฐฯ มีความพร้อมจะอำนวยความสะดวกให้เกิดการเจรจาระหว่าง 2 ประเทศทั้งในปัจจุบันและในอนาคตต่อไป รวมทั้งได้โทรศัพท์หารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยและกัมพูชาแล้ว เพื่อย้ำความหวังของสหรัฐฯ ที่ต้องการให้ทั้ง 2 ฝ่ายทำข้อตกลงหยุดยิง

ผู้นำกัมพูชาเปิดเผยว่าการเจรจาครั้งนี้มีมาเลเซียเป็นเจ้าภาพ สหรัฐฯ เป็นเจ้าภาพร่วม และจะมีผู้แทนจากจีนเข้าร่วมการเจรจาด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีรายงานยืนยันว่ารัฐบาลจีนจะส่งเจ้าหน้าที่ระดับใดเข้าร่วม นอกจากนี้ มีข้อสังเกตว่าปัจจุบันสื่อมวลชนจีน เช่น สำนักข่าว Global Times รายงานว่าสื่อมวลชนสหรัฐฯ กำลังพยายามทำให้สถานการณ์ในไทย – กัมพูชาเป็นสงครามตัวแทน (proxy war) หรือการแข่งขันอิทธิพลระหว่างสหรัฐฯ กับจีน เนื่องจากมีการย้ำว่าไทยเป็นพันธมิตรด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ ส่วนกัมพูชามีความใกล้ชิดกับจีน ซึ่งจีนคัดค้านการนำเสนอมุมมองดังกล่าว เนื่องจากจะส่งผลกระทบต่อความเข้าใจสถานการณ์ระหว่างไทย-กัมพูชา รวมทั้งเสนอว่าประเด็นพรมแดนระหว่างประเทศควรมีพัฒนาการในเชิงความร่วมมือ มากกว่าความขัดแย้ง และประเทศมหาอำนาจไม่ควรเข้าไปแทรกแซงสถานการณ์

ประเด็นที่สื่อต่างประเทศให้ความสนใจนอกจากการเจรจาระหว่างผู้นำรัฐบาลไทย-กัมพูชา และสถานการณ์ในพื้นที่ปะทะ คือ การช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้ง โดยเฉพาะประชาชนและพลเรือนที่ต้องอพยพออกจากที่อยู่อาศัย ปัจจุบันจำนวนรวมมากกว่า 218,000 คน ดังนั้น การให้ความดูแลและช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวจึงควรเป็นเป้าหมายสำคัญของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งประชาชนของทั้ง 2 ฝ่ายที่ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากจะเป็นประโยชน์ต่อการรักษาความมั่นคงในสังคมรวมทั้งส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประชาชนในประเทศ

กรณีประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ประกาศเมื่อ 26 กรกฎาคม 2568 ว่าได้หารือกับไทยและกัมพูชาเพื่อให้หยุดยิงระหว่างกัน...
27/07/2025

กรณีประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ประกาศเมื่อ 26 กรกฎาคม 2568 ว่าได้หารือกับไทยและกัมพูชาเพื่อให้หยุดยิงระหว่างกัน รวมทั้งได้รับการตอบรับจากผู้นำกัมพูชาเมื่อ 27 กรกฎาคม 2568 ว่าพร้อมจะหยุดยิงกับไทย ทำให้บทบาทผู้นำโลกของสหรัฐฯ ได้รับความสนใจอีกครั้ง เฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสหรัฐฯ เป็นพันธมิตรด้านความมั่นคงของไทย และมีความร่วมมือด้านการทหารระหว่างกันมาโดยตลอด ทั้งการฝึกร่วมและการซื้อ-ขายอาวุธ ขณะที่กัมพูชาถูกสื่อสหรัฐฯ ประเมินว่ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจีน ทั้งฝึกร่วมกับจีนและซื้ออาวุธจากจีนเพิ่มขึ้น

ผู้นำสหรัฐฯ กำลังใช้สถานการณ์ไทย-กัมพูชาเสริมอิทธิพลสหรัฐฯ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก ซึ่งไม่ว่าไทยกับกัมพูชาจะมีท่าทีตอบรับข้อเสนอของสหรัฐฯ ในรูปแบบใด หรือยุติการปะทะหรือไม่ ประธานาธิบดีทรัมป์ก็จะยังสามารถบอกกับชาวอเมริกันได้ว่า ตนเองได้แสดงบทบาทเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยแล้ว เพราะได้หารือโดยตรงกับผู้นำของทั้ง 2 ฝ่าย และได้รับการยืนยันว่าต้องการยุติสงคราม เท่ากับว่า ผู้นำสหรัฐฯมีส่วนร่วมกับการแก้ไขความขัดแย้งระหว่างประเทศ

ประธานาธิบดีทรัมป์จะได้ผลงานการดำเนินนโยบายต่างประเทศจากการแสดงบทบาทครั้งนี้เพื่อลดแรงกดดันจากการที่ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในตะวันออกกลางและสงครามรัสเซีย-ยูเครนได้ ทั้งที่ประกาศว่าจะเป็นความสำเร็จอันดับแรก ๆ หลังจากได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังได้โอกาสกลับเข้าไปมีอิทธิพลต่อความมั่นคงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในกัมพูชา ที่ความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ ค่อนข้างห่างเหิน เนื่องจากประเด็นสิทธิมนุษยชนและการเมือง จนทำให้จีนขยายอิทธิพลในกัมพูชาได้อย่างรวดเร็วทั้งในมิติการเมือง เศรษฐกิจและการทหาร

ประเด็นที่น่าติดตามต่อไปเกี่ยวกับบทบาทของสหรัฐฯ ต่อจากนี้ ได้แก่ 1) ความเคลื่อนไหวของทีมเจรจาการค้าของสหรัฐฯ ซึ่งอาจดำเนินการตามที่ผู้นำสหรัฐฯ ระบุว่าจะเจรจาการค้ากับไทยและกัมพูชา หากยุติความตึงเครียดครั้งนี้ได้ กรณีนี้จะเป็นโอกาสทั้งสำหรับไทยและกัมพูชา 2) การตอบสนองจากจีน ซึ่งอาจประเมินได้ในชั้นนี้ว่ามีบทบาทน้อยกว่าสหรัฐฯ ในการแก้ไขปัญหาระหว่างประเทศ เพราะแม้ว่าก่อนหน้านี้จะเสนอเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ย แต่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน ยังไม่ได่แสดงท่าทีโดยตรง และ 3) ทิศทางการดำเนินนโยบายของกัมพูชาต่อสหรัฐฯ และจีน โดยเฉพาะผู้นำกัมพูชาอาจใช้ความสัมพันธ์กับผู้นำสหรัฐฯ ในกรณีนี้ถ่วงดุลกับอิทธิพลจีน รวมทั้งอาจใช้โอกาสนี้ปรับปรุงความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ เพราะรัฐบาลที่นำโดยประธานาธิบดีทรัมป์ อาจไม่ได้กดดันกัมพูชาเรื่องสิทธิมนุษยชนและการเมือง มากเท่ารัฐบาลสหรัฐฯ ที่นำโดยรัฐบาลพรรคเดโมแครต ซึ่งจะให้ความสำคัญกับเรื่องประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนมากกว่า

การที่ผู้นำสหรัฐฯ ต้องการแสดงบทบาทในสถานการณ์นี้ อาจเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ดึงดูดให้นานาชาติติดตามและสนใจท่าทีไทยและกัมพูชา ต่อข้อเสนอของผู้นำสหรัฐฯ จึงอาจเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายในการเผยแพร่ข้อมูลทั้งอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ เพื่อสร้างความได้เปรียบในการทำให้เวทีระหว่างประเทศเข้าใจเหตุความตึงเครียดครั้งนี้
รวมทั้งนโยบายการต่างประเทศในระยะยาวของไทยต่อการบริหารจัดการชายแดนไทยกับกัมพูชา และประเทศอื่น ๆ

สถานการณ์ความตึงเครียดและการปะทะทางทหารบริเวณพรมแดนไทย-กัมพูชาระหว่าง 24-27 กรกฎาคม 2568 ยังคงได้รับความสนใจจากสื่อต่างป...
27/07/2025

สถานการณ์ความตึงเครียดและการปะทะทางทหารบริเวณพรมแดนไทย-กัมพูชาระหว่าง 24-27 กรกฎาคม 2568 ยังคงได้รับความสนใจจากสื่อต่างประเทศที่เน้นรายงานท่าทีอย่างเป็นทางการของรัฐบาลทั้ง 2 ฝ่ายที่ปัจจุบันแสดงจุดยืนว่าต้องการสันติภาพและหยุดยิงระหว่างกัน ตลอดจนมีการประเมินว่าไทยยังคงเป้นฝ่ายได้เปรียบทางการทหารและเศรษฐกิจมากกว่ากัมพูชมหากสถานการณ์ยืดเยื้อ

อย่างไรก็ดี สถานการณ์ในพื้นที่พรมแดนยังน่าห่วงกังวล เพราะมีรายงานการยิงตอบโต้และการปะทะทางทหาร รวมทั้งมีรายงานการยึดครองพื้นที่บริเวณพรมแดนเพื่อช่วงชิงความได้เปรียบทางการทหาร ปฏิบัติการทางทหารต่าง ๆ ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ สื่อต่างประเทศรายงานว่าปัจจุบันคนไทยประมาณ 140,000 คนต้องอพยพออกจากพื้นที่เพื่อความปลอดภัย ขณะที่ชาวกัมพูชาประมาณ 38,000 ต้องอพยพออกจากพื้นที่อยู่อาศัยเช่นเดียวกัน อ่านต่อได้ที่ : https://intsharing.co/2025/07/27/media-attitude/

มหาอำนาจโลกอย่างสหรัฐฯ ติดตามและแสดงบทบาทในสถานการณ์ความตึงเครียดไทย-กัมพูชา โดยสหรัฐฯ มีท่าทีทันทีในวันที่ไทยกับกัมพูชา...
27/07/2025

มหาอำนาจโลกอย่างสหรัฐฯ ติดตามและแสดงบทบาทในสถานการณ์ความตึงเครียดไทย-กัมพูชา โดยสหรัฐฯ มีท่าทีทันทีในวันที่ไทยกับกัมพูชาเริ่มปะทะกันทางทหารบริเวณพรมแดน เมื่อ 24 กรกฎาคม 2568 โดยเริ่มจากสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำกรุงเทพฯ เมื่อ 24 กรกฎาคม 2568 เผยแพร่แถลงการณ์เกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว 2 ฉบับ และต่อมาเมื่อ 25 กรกฎาคม 2568 ยกระดับเป็นคำเตือนชาวอเมริกันเรื่องการเดินทางในไทยและกัมพูชา (Travel Advisory) ซึ่งสะท้อนว่าสหรัฐฯกังวลต่อความปลอดภัยของชาวอเมริกันที่อยู่ในต่างประเทศ ทั้งนี้ สหรัฐฯตอบสนองตามเหตุการณ์ในพื้นที่เป็นลำดับและเป็นขั้นตอน ตลอดจนมีการอ้างถึงข้อมูลมาตรการของไทยสะท้อนว่ามีการประสานข้อมูลระหว่างกันอย่างต่อเนื่อง จนถึงระดับผู้นำสหรัฐฯ

ส่วนท่าทีจากกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อ 24 กรกฎาคม 2568 นาย Thomas Pigott รองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ได้กล่าวถึงสถานการณ์ไทย – กัมพูชาระหว่างการแถลงข่าวประจำสัปดาห์ต่อสื่อมวลชนสหรัฐฯ โดยแสดงความกังวลประเด็นผลกระทบต่อพลเรือน พร้อมเรียกร้องให้แก้ไขความตึงเครียดตามแนวทางสันติภาพ ทั้งนี้ นาย Thomas กล่าวถึงประเด็นไทยต่อเนื่องจากการเล่าถึงความคืบหน้ายุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกของสหรัฐฯ ประกอบด้วยเรื่องความสัมพันธ์สหรัฐฯ กับญี่ปุ่น อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ จากนั้นก็แสดงท่าทีของสหรัฐฯต่อสถานการณ์ไทย-กัมพูชา

ในวันเดียวกัน สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำกรุงเทพฯ ออกเป็นแถลงการณ์ของสำนักงานโฆษก ว่า สหรัฐอเมริกามีความกังวลอย่างยิ่งเกี่ยวกับรายงานการต่อสู้ที่ทวีความรุนแรงขึ้นตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เรารู้สึกตกใจเป็นอย่างมากกับรายงานถึงอันตรายที่เกิดขึ้นกับพลเรือนผู้บริสุทธิ์ เราขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อการสูญเสียชีวิต เราเรียกร้องอย่างจริงจังให้ยุติการโจมตีโดยทันทีปกป้องพลเรือน และระงับข้อพิพาทด้วยสันติวิธี ซึ่งถ้อยแถลงนี้มีกำหนดถึง 25 กรกฎาคม 2568

ต่อมาเมื่อ 25 กรกฎาคม 2568 สำนักงานโฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์อีกครั้ง แต่ยังไม่ยกระดับการแจ้งเตือนเดินทาง หรือ Travel Advisory โดยเนื้อหาระบุว่า พลเรือนอเมริกันควรหลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังพื้นที่ใกล้เคียงพรมแดนไทย-กัมพูชา หรือในระยะ 50 กิโลเมตร เนื่องจากสถานการณ์ความขัดแย้งทางการทหารยังเกิดขึ้นในพื้นที่ โดยทางการไทยประกาศปิดจุดข้ามแดนทั้งทางบกและทางทะเลในพื้นที่ จ.จันทบุรีและ จ.ตราด ปิดทำการโรงพยาบาล 11 แห่ง และสถานศึกษา 751 แห่งใน 6 จังหวัด พร้อมย้ำให้ชาวอเมริกันในพื้นที่ติดตามข่าวสารและปฏิบัติตามคำแนะนำของรัฐบาลไทยอย่างใกล้ชิด

อย่างไรก็ดี สหรัฐฯ ยกระดับการแจ้งเตืนพลเรือนชาวอเมริกันในวันเดียวกัน โดยประกาศ Travel Advisory ในระดับ 4 ห้ามชาวอเมริกันเดินทางไปยังพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะในระยะ 50 กิโลเมตร เนื่องจากมีสถานการณ์สู้รบทางการทหาร มีรายงานความรุนแรง การใช้ปืนใหญ่และจรวดโจมตีตอบโต้กันจนทำให้พลเรือนเสียชีวิต ชาวอเมริกันควรหลีกเลี่ยงพื้นที่ดังกล่าวและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด รวมทั้งปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัดเนื่องจากรัฐบาลสหรัฐฯ มีข้อจำกัดในการให้ความช่วยเหลือในพื้นที่ดังกล่าว เพราะมีความเสี่ยงที่จะเกิดความขัดแย้งด้วยอาวุธ หากชางอเมริกันเดินทางไปในพื้นที่ดังกล่าวก็ขอให้เตรียมแผนอพยพ โดยที่รัฐบาลสหรัฐฯ อาจไม่สามารถให้ความช่วยเหลือได้

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา สหรัฐฯ แจ้งเตือนชางอเมริกันให้หลีกเลี่ยงและเพ่ิมความระมัดระวังการเดินทางไปยังพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยในระดับ 2 เนื่องจากมีเหตุก่อความไม่สงบ

ล่าสุด ผู้นำสหรัฐฯ หรือประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งแสดงท่าทีผ่านสื่อสังคมออนไลน์ Truth Social เมื่อ 26 กรกฎาคม 2568 ว่าได้โทรศัพท์หารือกับผู้นำรัฐบาลกัมพูชาและผู้นำรัฐบาลไทยแล้ว ได้รับการตอบรับจากทั้ง 2 ฝ่ายว่าจะหยุดยิง การพูดคุยทางโทรศัพท์เป็นไปด้วยดี โดยฝ่ายไทยต้องการหยุดยิงทันทีเช่นเดียวกัน รวมทั้งต้องการสันติภาพ และต่อจากนี้ตนเองจะเป็นผู้ส่งข้อความดังกล่าวไปยังผู้นำกัมพูชาว่าจากนี้ไปทั้ง 2 ฝ่ายจะหยุดยิงและสร้างสันติภาพร่วมกัน นอกจากนี้ ไทยและกัมพูชายังต้องการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งในมุมมองของสหรัฐฯ รวมทั้งไทยและกัมพูชาปัจจุบันเชื่อว่าการเจรจาการค้าในช่วงที่มีการปะทะและการต่อสู้ระหว่างกันนี้จะไม่เหมาะสม ดังนั้น การต่อสู้ต้องยุติก่อน จึงจะมีการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ได้

ผู้นำสหรัฐฯ ยังโพสต์ข้อความเกี่ยวกับผลการหารือกับกัมพูชาและไทยผ่าน Truth Social โดยระบุว่าโทรศัพท์คุยกับผู้นำกัมพูชาก่อนเพื่อแจ้งให้ยุติการทำสงคราม ส่วนในการโทรศัพท์หารือกับผู้นำไทย ประธานาธิบดีทรัมป์จะขอให้หยุดยิงและยุติสงครามที่กำลังขยายตัวครั้งนี้ นอกจากนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ระบุว่า ปัจจุบันเป็นช่วงเวลาบังเอิญที่ทั้ง 3 ประเทศกำลังเจรจาการค้าระหว่างกัน แต่ไม่ต้องการทำข้อตกลง หากยังมีความขัดแย้งและการต่อสู้ดำเนินอยู่ ทั้งนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศ ว่า ได้พยายามแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนนี้เพราะมีประชาชนเสียชีวิต เปรียบเทียสถานการณ์ไทย – กัมพูชากับปากีสถาน – อินเดีย ซึ่งประธานาธิบดีทรัมป์ประสบความสำเร็จในการไกล่เกลี่ยมาแล้ว

ท่าทีของผู้นำสหรัฐฯ ทำให้นักวิเคราะห์เชื่อว่า สหรัฐฯ กำลังใช้การเจรจาการค้า โดยเฉพาะอัตราภาษีตอบโต้ เป็นเงื่อนไขกดดันกัมพูชาและไทยให้ยุติความขัดแย้ง อย่างไรก็ดี ผู้นำสหรัฐฯไม่ได้กล่าวถึงการเจรจาอัตราภาษีโดยตรง และระบุว่าจะหารือกับทั้ง 2 ประเทศในระดับที่เท่าเทียมกัน คาดว่ากรณีนี้ ผู้นำสหรัฐฯ พยายามสร้างบทบาทการไกล่เกลี่ยและแก้ไขปัญหาขัดแย้งในเวทีระหว่างประเทศ เพื่อสร้างผลงานและสร้างความน่าเชื่อถืแในห้วงที่ยังไม่ประสบความสำเร็จในการแก้ไขปัญหารัสเซีย-ยูเครน และอิสราเอล-ปาเลสไตน์

หากสหรัฐฯ ประสบความสำเร็จที่ทำให้ไทยและกัมพูชาหยุดยิงได้ ในมิติเชิงในเชิงแข่งขันทางยุทธศาสตร์อาจทำให้อิทธิพล และบทบาทของจีนในกัมพูชา ลดทอนลงได้ จากในห้วงประธานาธิบดีทรัมป์ 2.0 นี้ ความร่วมมือทางทหารระหว่างสหรัฐฯ กับจีนใกล้ชิดกันมากขึ้น ขณะที่ไทยที่ใกล้ชิดกับสหรัฐฯ กับสหรัฐฯ อยู่แล้วอาจมีเงื่อนไขมากขึ้นที่สหรัฐฯ จะใช้ดำเนินความสัมพันธ์กับไทย ทั้งในแง่มุมเชิงบวกและลบ

นอกจากนี้ การที่ผู้นำสหรัฐฯ หยิบยกเรื่องการเจรจาการค้ามาพร้อมกับการโน้มน้าวให้ไทยและกัมพูชาหยุดยิงสะท้อนเทคนิคการดำเนินนโยบายต่างประเทศของประธานาธิบดีทรัมป์ที่จะนำเรื่องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของ สหรัฐฯ ผูกโยงกับเรื่องต่างประเทศ เพื่อสร้างแรงกดดันและข้อต่อรอง เหมือนกรณีกดดันผู้นำยูเครนให้เจรจากับรัสเซีย แลกเปลี่่ยนกับการให้ความช่วยเหลือด้านการทหารต่อไป รวมทั้งต้องให้สหรัฐฯ ได้ส่วนแบ่งจากการขายแร่ธรรมชาติของยูเครนด้วย

ถ้อยแถลงของไทยต่อสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ณ ที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (แบบปิด)
26/07/2025

ถ้อยแถลงของไทยต่อสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ณ ที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (แบบปิด)

ที่อยู่

Bangkok

เบอร์โทรศัพท์

+66632536193

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ The Intelligenceผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง The Intelligence:

แชร์