Mutual Finding a common ground in society

“ถ้าคนรู้สึกรู้สากับสิ่งนั้น เค้าจะลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง แล้วถ้าคนจำนวนมากๆ รู้สึกรู้สากับสิ่งนั้นร่วมกัน มันจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเสมอ”

Mutual เกิดขึ้นเพราะความคิดความเชื่อแบบนี้

Mutual คือสื่อที่พยายามมองหา ‘ความเหมือน’ หรือ ‘ความร่วมกัน’ ในสังคมที่แตกต่างหลากหลาย ตั้งแต่ เพศ ร่างกาย วัย เชื้อชาติ ไปจนถึงความคิด ความเชื่อ ศรัทธา ที่ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน

แต่สิ่งที่ทุกคนมีเหมือนกันคือศัก

ดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์

และเราเชื่อว่าการรู้ร้อนรู้หนาว หรือทุกข์ร่วม สุขร่วมกับคนในสังคมเป็นสิ่งที่ควรมี

Finding common ground in society : เราต่างมีพื้นที่ตรงกลางร่วมกัน จึงเป็นแนวคิดสำคัญของ Mutual

คนไร้บ้านต้องการพื้นที่ปลอดภัย
LGBTQ+ ต้องการแว่นที่มองมาด้วยสายตาปกติ
ผู้พิการ ต้องการการยอมรับในฐานะพลเมืองคนหนึ่ง
เด็กเองก็ต้องการการรับฟังและเคารพในความคิดเห็น

เราทุกคนก็ต้องการเช่นนั้น

สังคมปัจจุบัน เราตั้งต้นและกำลังรดน้ำเมล็ดพันธุ์แห่งการเคารพในความแตกต่างหลากหลายแล้ว

ถัดจากนี้ เราจะหาความร่วมและความเหมือน และรดน้ำมันไปด้วยกัน

เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลง

“การที่ยังสามารถมีชีวิตได้อย่างอิสระ คือ การที่เราไม่มีครอบครัวแต่ยังสามารถทำอะไรที่อยากทำ เช่นออกไปไหนมาไหนเองได้ มีบริ...
01/10/2025

“การที่ยังสามารถมีชีวิตได้อย่างอิสระ คือ การที่เราไม่มีครอบครัวแต่ยังสามารถทำอะไรที่อยากทำ เช่นออกไปไหนมาไหนเองได้ มีบริการที่มาช่วยเสริมครอบครัวแทน แต่คำถามคือ การทดแทน (Compensation) ของสังคม มันตอบโจทย์เรื่องนี้จริงๆ หรือเปล่า เพราะถ้าไม่มีเงินก็ใช้บริการไม่ได้ ราคาสูงมากก็จ่ายไม่ไหว คงต้องนั่งอยู่บ้านเฉยๆ ไม่มีความสุขแน่นอน” อ.ณัฏฐพัชร กล่าว

ตอนนี้ประเทศไทยมีคนอายุเกิน 100 ปีเป็นจำนวนกว่า 45,561 คน

ถ้ามีอายุครบ 100 ปีในปีนี้ ก็เรียกได้ว่าผู้สูงวัยผ่านมาแล้ว 5 แผ่นดิน​ (รัชกาลที่ 6 - รัชกาลปัจจุบัน) แต่สำหรับคนที่ยังอายุไม่ใกล้เคียงกับเลขหลักร้อย คงมีคำถามในใจมากมายว่า การเป็นผู้สูงวัยที่มีอายุมากกว่า 100 ปีเป็นแบบไหน และ 1 ในคำถามที่ทุกคนน่าจะมีในใจ คือ “ถ้าเราอายุ 100 ปี ความสุขของเราจะเป็นอย่างไร?”

คำถามนี้เป็นคำถามปลายเปิด ไม่มีถูกผิด สำหรับบางคน ความสุข คือ ‘การไม่แก่ชรา’ หลายคนจึงความคิดตรงกันว่า ถ้าจากโลกนี้ไปก่อนแก่ได้ก็คงจะดี เพราะไม่อยากพึ่งพาใครในวัยที่ช่วยเหลือตัวเองลำบาก

แต่ถ้าเอาคำถามเดียวกันนี้ไปถามผู้สูงวัยอายุ 100 ปีขึ้นไป จาก ‘รายงานวิจัยวิถีชีวิตและความสุขของผู้สูงอายุเกิน 100 ปี’ สนับสนุนโดย สำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ (สำนัก9) ความสุขของพวกเขาคือ ‘การไม่มีหนี้สิน ไม่มีเงินออม แต่มีครอบครัวที่ดี’

“ปัจจัยของการมีชีวิตยืนยาวและมีคุณภาพ งานวิจัยนี้บ่งชี้ชัดเจนว่า สิ่งที่สำคัญ คือ ครอบครัวและการดูแลเอาใจใส่จากครอบครัว ไม่ได้หมายถึงเรื่องเงินทองนะ แต่หมายถึงการมีปฏิสัมพันธ์กับครอบครัว”

ผศ.ดร.ณัฏฐพัชร สโรบล อาจารย์ประจำภาควิชานโยบายสังคม การพัฒนาสังคมและการพัฒนาชุมชน คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 1 ในคณะวิจัย ชี้ว่า การที่คนในยุคนี้ไม่อยากแก่ ไม่อยากตกอยู่ในวัยที่ต้องพึ่งพิงใคร เป็นเพราะสังคมในปัจจุบันมีความเป็นปัจเจกมากขึ้น การมีครอบครัว มีลูกหลานคอยดูแล กลายเป็นเรื่องที่เรามองไม่เห็นภาพและจินตนาการไม่ค่อยออก

พอตั้งคำถามกับตัวเองว่า “อยากแก่อย่างโดดเดี่ยวหรือเปล่า” คำตอบจึงเป็นคำว่า “ไม่” และ “ขอไม่แก่ดีกว่า”

แต่ความคิดแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในหมู่คนโสดเท่านั้น เพราะคนมีคู่ในยุคนี้ก็คิดแบบนี้เช่นกัน

“คนโสดหลายคนมีความกังวลว่า เราจะแก่ตัวไปยังไงถ้าปราศจากครอบครัวหรือคู่คิด และตอนนี้คนมีคู่ก็คิดว่า ถ้ามีครอบครัวแล้วความสัมพันธ์ในครอบครัวมันลดลงไปมาก เราจะแก่ตัวไปยังไง หลายคนเลยมีความกังวลเมื่อนึกถึงอนาคต”

แม้ว่างานวิจัยจะชี้ว่า การมีเงินทองไม่สามารถทดแทนความสัมพันธ์ได้ แต่เมื่อคนในยุคนี้เตรียมตัวที่จะเข้าสู่วัยชรา มักมีเรื่องเงินมาเป็นประเด็นหลักเสมอ เพราะการมีเงินอาจทำให้บั้นปลายชีวิตมี ‘อิสระ’ ซึ่งเป็น 1 ในรูปแบบการแสวงหาความสุขที่ค้นพบในงานวิจัยชุดนี้

และจากงานวิจัย แม้ว่าผู้สูงอายุเกิน 100 ปีส่วนใหญ่ไม่มีหนี้ แต่ก็ยังไม่มีเงินออม เพื่อการเตรียมตัวสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างอิสระ การวางแผนทางการเงินแต่เนิ่นๆ จึงสำคัญ

“การที่ยังสามารถมีชีวิตได้อย่างอิสระ คือ การที่เราไม่มีครอบครัวแต่ยังสามารถทำอะไรที่อยากทำ เช่นออกไปไหนมาไหนเองได้ มีบริการที่มาช่วยเสริมครอบครัวแทน แต่คำถามคือ การทดแทน (Compensation) ของสังคม มันตอบโจทย์เรื่องนี้จริงๆ หรือเปล่า เพราะถ้าไม่มีเงินก็ใช้บริการไม่ได้ ราคาสูงมากก็จ่ายไม่ไหว คงต้องนั่งอยู่บ้านเฉยๆ ไม่มีความสุขแน่นอน” อ.ณัฏฐพัชร กล่าว

ติดตามอ่านบทความเรื่องผู้สูงวัยไทยอายุเกิน 100 ปี เร็วๆ นี้

เรื่อง : ธันยพร เกษรสิทธิ์
ภาพประกอบ : ภัทราภรณ์ สงสาร
#ผู้สูงอายุ #สูงวัย100ปี #ประชากรกลุ่มเฉพาะ #สำนัก9 #สสส #นับเราด้วยคน #เสียงที่คนอื่นไม่ได้ยิน #สานพลัง #สร้างนวัตกรรม #สื่อสารสุข ับเราด้วยคน #ก้าวสู่ทศวรรษที่3กับสสส

ท่ามกลางการสนทนาเรื่องสุขภาพใจ 1 ในประเด็นที่ถูกพูดถึง คือ การเข้าหาความช่วยเหลือและการรักษา แต่ถ้าเรามองย้อนกลับมาในสภา...
01/10/2025

ท่ามกลางการสนทนาเรื่องสุขภาพใจ 1 ในประเด็นที่ถูกพูดถึง คือ การเข้าหาความช่วยเหลือและการรักษา แต่ถ้าเรามองย้อนกลับมาในสภาพสังคมปัจจุบัน การคว้าชายเสื้อใครสักคนเพื่อขอความช่วยเหลือไม่ได้ง่ายขนาดนั้น เพราะเรามีกำแพงที่เรียกว่า ‘การตีตรา (Stigma)’ ขวางไว้อยู่

อาจารย์เติ้น ณัฐสุดา เต้พันธ์ คณบดีคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้อำนวยการสถาบันวิชาการเพื่อความยั่งยืนทางสุขภาพจิต (TIMS) อธิบายว่า การตีตรา (Stigma) คือ การที่เราติดป้ายว่าสิ่งที่เรามีหรือสิ่งที่เราเป็นนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ดี มีคุณค่าที่ด้อยกว่าหรือน้อยกว่าสิ่งอื่น ซึ่งสามารถเกิดได้จากคนทุกคน แม้กระทั่งตัวเราเองก็ตาม

ซึ่งในมุมมองของอ.เติ้น การตีตราไม่ใช่ตัวกระตุ้นให้คนเกิดโรคหรือภาวะสุขภาพจิต แต่มันเป็นกำแพงอันใหญ่ที่กั้นไม่ให้คนก้าวออกไปจัดการกับปัญหาตั้งแต่เนิ่นๆ

แม้รอยตีตราเป็นสิ่งที่เป็นนามธรรม มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า จับต้องไม่ได้ แต่การถูกตีตราเป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจริงและทิ้งความรู้สึกไม่ดีให้กับคนที่ถูกตีตราไว้เสมอ Mutual จึงสำรวจผู้คนในช่วงอายุ 18 - 59 ปี โดยให้พวกเขาลองอธิบายหน้าตาของการถูกตีตราจากประสบการณ์ที่พวกเขาเผชิญว่าร่องรอยของการตีตราที่อยู่บนร่างกายหรืออยู่ในหัวใจของพวกเขาหน้าตาเป็นอย่างไร และพวกเขาอยู่ร่วมกับรอยตีตรานี้อย่างไร

เพราะเรื่องสุขภาพจิตเป็นเรื่องของทุกคน และเป็นเรื่องที่นานาชาติต่างให้ความสำคัญ วันที่ 10 ตุลาคมของทุกปี จึงถูกกำหนดให้เป็นวันสุขภาพจิตโลก (World Mental Health Day) เพื่อให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพจิต ทั้งของตนเอง คนในครอบครัว คนรอบข้าง และไม่สร้างการตีตราที่ขวางเส้นทางการเข้าถึงแสงสว่างปลายทางของใครบางคน

อ่าน Canvas of Stigma : จากร่องรอยสู่ภาพวาด เล่าการตีตราผ่านลายเส้น https://mutualfinding.co/canvas-of-stigma

เรื่อง : ธันยพร เกษรสิทธิ์
ภาพประกอบ : บัว คำดี
#การตีตรา

เพราะกรุงเทพมหานครยังคงเป็นกรุงเทพฯ แบบที่เรารู้จัก เมืองที่ดูเหมือนนิ่งเฉยแต่เต็มไปด้วยชีวิต จนกระทั่งวันหนึ่ง แรงสั่นส...
30/09/2025

เพราะกรุงเทพมหานครยังคงเป็นกรุงเทพฯ แบบที่เรารู้จัก เมืองที่ดูเหมือนนิ่งเฉยแต่เต็มไปด้วยชีวิต จนกระทั่งวันหนึ่ง แรงสั่นสะเทือนมาเยือนเราโดยไม่ทันตั้งตัว กำแพงในบ้าน ในตึก ในใจที่เคยมั่นคง เริ่มปรากฏรอยแยก รอยร้าวเหล่านั้นเผยให้เห็นทั้งปัญหาและคุณค่า ทั้งความเจ็บและความหวังในเวลาเดียวกัน

ครบรอบ 10 ปีกับ TEDxBangkok ปีนี้กลับมาภายใต้แนวความคิด “Through The Cracks ผ่านรอยร้าว” ที่จะจัดขึ้นวันที่ 25 ตุลาคม 2568 ณ เคแบงก์สยามพิฆเนศฮอลล์ (อาคารสยามสแควร์วัน ชั้น 7) ที่อยากชวนทุกคนมองตรงไปยังรอยแตก รอยแยกในตัวเรา ในระบบ และในโลกเพื่อเรียนรู้ เข้าใจ และสร้างสิ่งใหม่จากความเปราะบางนั้น รอยร้าวที่อาจหมายถึง…

รอยร้าวของสังคม ความเหลื่อมล้ำ ความขัดแย้ง ความไม่เท่าเทียม ที่แผ่นดินไหวเปรียบเหมือนการเปิดโปงให้เห็นรากของปัญหา

รอยร้าวของระบบ ระบบรัฐ ระบบกฎหมาย ระบบที่เปรียบเหมือนมือที่มองไม่เห็น แต่ควบคุมชีวิตและลมหายใจของเราอยู่ในทุกเมื่อเชื่อวัน

รอยร้าวของตัวเราเอง ความล้มเหลว ความเปราะบาง ความผิดพลาด แต่ก็เป็นจุดที่แสงส่องเข้ามาได้

รอยร้าวของหัวใจ คนที่สูญเสีย คนที่ต้องแบกรับบางอย่างไว้ และที่สำคัญคือคำว่า “Through” ไม่ใช่แค่การมองรอยร้าว แต่มันคือ การผ่าน การรอด การเปลี่ยน”

โดยในปีนี้ผู้เข้าร่วมจะได้พบกับ 10+ Talks & Performances : พบกับนักคิด นักสร้าง นักเปลี่ยนแปลงจากหลากหลายวงการ ที่จะพาเราออกเดินทาง ผ่านมุมมองใหม่ๆ จากหุ่นยนต์เก็บขยะในอวกาศ วรรณกรรม non-binary ภาษีที่เราต้องจ่าย นิสัยของแผ่นเปลือกโลก ไปจนถึงหัวใจของเราขณะกำลังระบำอยู่ใต้ผืนน้ำ

และ 5+ Experiences & Activities : ประสบการณ์และกิจกรรมที่จะชวนคุณมองรอยร้าวในมุมใหม่ เห็นคุณค่าและความงามที่ซ่อนอยู่ ฟังเสียงที่ลอดผ่านรอยแตก และเชื่อมโยงชิ้นส่วนที่กระจัดกระจาย ให้กลับมาประกอบกันอีกครั้ง ผ่านกิจกรรมอย่าง Museum of Broken, Voices through the Cracks, และ Constructing Bangkok

ผู้ที่สนใจร่วมกิจกรรมสามารถติดตามรายละเอียดและสมัครเข้าร่วมงานปีนี้ได้ที่ https://www.eventpop.me/s/tedxbangkok2025 และสามารถติดตามความเคลื่อนไหวกิจกรรมได้ที่เว็บไซต์ www.tedxbangkok.com

“การเกษียณจะหมายถึงการก้าวไปข้างหน้า เมื่อเราปล่อยวางความโลภ ความเกลียดชัง ความเห็นที่ยึดมั่น และความคิดว่าฉันถูกต้องลงไ...
30/09/2025

“การเกษียณจะหมายถึงการก้าวไปข้างหน้า เมื่อเราปล่อยวางความโลภ ความเกลียดชัง ความเห็นที่ยึดมั่น และความคิดว่าฉันถูกต้องลงได้ เราจะเจอกับอิสระในการเลือกกิจกรรมที่ชอบ ตอบสนองพรสวรรค์ที่รัก”

นี่คือวัยเกษียณในมุมมองของ ‘คาร์เมล ชาเลฟ (Carmel Shalev)’ ผู้เขียนหนังสือ ‘In Praise of Ageing : ขอบใจวัยชรา’ การเกษียณสำหรับเธอไม่ได้หมายถึงการหยุดทุกอย่างในชีวิต แต่หมายถึงการก้าวไปข้างหน้าในรูปแบบใหม่ที่เราไม่เคยเป็นต่างหาก

การมองเห็นตัวเองเป็นคนสำคัญ ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่วัยชราจะทิ้งไปไม่ได้ แม้ว่าเสียงจากสังคมหรือคนรอบจะบอกว่าแก่ไป สูงวัยไป หรือทำอะไรเกินอายุ แต่ถ้าหากเราเชื่อว่าเราทำได้และเราอยากจะทำ การเป็นคนสูงวัยอาจพาเราไปเจอเรื่องสนุกที่มีมากกว่าตอนเป็นวัยรุ่นก็ได้

“สังคมบอกว่าการแก่คือความตาย แต่วันนี้คุณยังมีชีวิตอยู่”

‘แหม่ม’ วีรพร นิติประภา นักเขียนรางวัลซีไรต์และสตรีที่อยู่ในวัยสง่างามกล่าว ต่อให้เกษียณแล้วเธอก็ยังใช้ชีวิตได้อยู่ ถ้าใครจะบอกว่าการแก่คือความตายคงจะไม่ใช่ เพราะแหม่มยังคงมีลมหายใจไว้ทำอะไรสนุกๆ ในอนาคตอีกเยอะ

แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่ายิ่งอายุมากขึ้น บางส่วนของร่ายกายก็ต้องอ่อนแอลงตามกาลเวลา แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความจะเป็นสิ่งที่หยุดยั้งความสดใสของวัยชรา เชื่อเถอะว่า ยังมีอีกหลายอย่างที่ให้ทำและให้เราได้ค้นหาแม้ว่าร่างกายจะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่ก่อนแหม่มเองก็ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ พอเข้าวัยเกษียณที่อาจจะกลับกระโดดโลดเต้นยากหน่อย เธอเลยโลดแล่นในงานเขียนแทน

คำพูดที่ว่า “เป็นวัยรุ่นครั้งเดียว ต้องใช้ให้คุ้ม” ก็สามารถใช้กับวัยเกษียณได้เหมือนกัน คนเราต่างก็ต้องผ่านช่วงเวลาวัยชรากันแค่ครั้งเดียวเท่านั้น งั้นก็มาใช้ช่วงเวลานี้ให้ตามที่ต้องการจะดีกว่า

ไม่ว่าเป้าหมายในวัยเกษียณของคุณคือการดูซีรีส์จีน เลี้ยงหลาน เที่ยวรอบโลก เปิดคาเฟ่ หรือตามไปติ่งน้องหมีเนย ทุกเป้าหมายต่างก็มีความหมายและความสนุกของมันอยู่ทั้งนั้น อย่าลืมออกไปใช้ชีวิตในวัยเกษียณให้สนุกสุดๆ ไปเลย

สุขสันต์วันเกษียณ

เรื่อง : กองบรรณาธิการ
ภาพ : ณัฏฐพล พัฒนเสกศิษฐ์

#เรามีพื้นที่ตรงกลางร่วมกัน #วัยเกษียณ #สูงวัย

“ภาษาที่สวยงาม ไม่ใช่การเลือกใช้คำศัพท์โบราณ หรือมีความหมายอลังการ แต่เป็นการใช้คำที่เหมาะสม”มุมมองจากณัฐวดี ก้อนทอง ผู้...
30/09/2025

“ภาษาที่สวยงาม ไม่ใช่การเลือกใช้คำศัพท์โบราณ หรือมีความหมายอลังการ แต่เป็นการใช้คำที่เหมาะสม”

มุมมองจากณัฐวดี ก้อนทอง ผู้ช่วยศาสตราจารย์สาขาวิชาภาษาอังกฤษ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) หัวหน้าสาขาวิชาการแปลและล่ามในยุคดิจิทัล ที่อยู่กับการเรียนการสอนวิชาการแปลมามากกว่าสิบปี

ถ้ากาลเวลาทำให้ใจคนเปลี่ยน ภาษาที่มนุษย์ใช้เขียนก็เปลี่ยนไปตามยุคสมัยด้วยเช่นกัน

อย่างเช่นคำว่า ‘กอปร’ ที่คนยุคหนึ่งเคยเขียนกันเป็นปกติ ปัจจุบันอาจกลายเป็นคำแปลกตา หรืออ่านแล้วสร้างความรู้สึกหงุดหงิดเล็กๆ ในใจคนยุคใหม่ได้ เพราะพวกเขาคุ้นชินกับคำว่า ‘ประกอบ’ มากกว่า

นักแปลสำหรับณัฐวดี คือ คนกลางรับหน้าที่สื่อสารและถ่ายทอดความเข้าใจระหว่างคนเขียนและคนอ่าน แม้จะสื่อสารคนละภาษา แต่นักแปลช่วยได้ แล้วก็เป็นเรื่องที่เหล่านักแปลต้องเคยเจอ การแปลหนังสือที่เขียนมานาน ศัพท์ที่ใช้อาจทันสมัยในยุคหนึ่ง และกลายเป็นความล้าสมัยในอีกยุค

“การสะกดเป็นอีกเรื่องที่สำคัญมาก และกำลังมีปัญหาเยอะทีเดียว เดี๋ยวนี้ผู้เรียนสะกดคำภาษาไทยผิดเยอะมากๆ เมื่อก่อนนี้เราใช้พจนานุกรมเช็ก นักศึกษาก็จะบอกว่า ‘โห อาจารย์ เกินไป ใครมันจะไปเอามา’ แต่เดี๋ยวนี้ราชบัณฑิตยสภาเขามีแอปพลิเคชันแล้วนะ โหลดมาไม่ต้องเสียเงินเลย”

และเพราะภาษามีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด คำบางคำอาจถูกสะกดแบบหนึ่งในอดีต แต่ปัจจุบันอาจจะเปลี่ยนการสะกดหรือใช้คำอีกแบบเพื่อให้เข้ากับบริบทสังคมสมัยใหม่มากยิ่งขึ้น แบบนี้นี่เองที่ทำให้คนใช้ภาษาควรจะปรับตัวอยู่ตลอดเวลาเพราะบางทีภาษาก็มีระยะเวลาของมัน

“อย่างคำว่าคอมพิวเตอร์ เมื่อก่อนก็จะมีการบัญญัติไว้สองคำ คือ คอมพิวเตอร์ กับ คณิตกรณ์ แล้วเราก็พบว่าคอมพิวเตอร์เป็นคำที่ฮิตกว่า เพราะฉะนั้นเวลาที่เราพูดถึงสิ่งนี้ เราก็ใช้คำว่าคอมพิวเตอร์ทับศัพท์ แล้วทุกคนก็เข้าใจหมด”

ท้ายที่สุดณัฐวดีก็อยากสนับสนุนให้ทุกคนเปิดรับคำใหม่ๆ ที่ไม่คุ้นเคย หรือแม้คำที่คิดว่าสะกดยากก็ไม่อยากให้ทิ้งไป เพราะทุกคำศัพท์มีความหมายมากกว่าตัวของมันเองเฉยๆ คำเหล่านั้นยังบอกได้ถึงที่มาที่ไป บริบทของสังคมที่คำนั้นๆ ถูกใช้ด้วย

เนื่องใน 30 กันยายน วันแปลภาษานานาชาติ (International Translation Day) Mutual ชวนท่องโลกบนหน้ากระดาษไปกับณัฐวดี ทำความเข้าใจอาชีพนักแปลที่เป็นตัวกลางระหว่างคนเขียนและคนอ่าน ใครพร้อมแล้ว ไถหน้าจอลงด้านล่างเพื่ออ่านบทสัมภาษณ์แบบเต็มๆ ในคอมเมนต์

เรื่อง : กองบรรณาธิการ
ภาพ : ณัฐวดี ก้อนทอง
ภาพประกอบ : บัว คำดี

#แปลภาษา #วันแปลภาษานานาชาติ #นักแปล #คำศัพท์ #คลังคำ

บางคนอาจคิดว่า การทำความเข้าอกเข้าใจคนอื่น จะต้องให้ความสำคัญกับเรื่องราวของคนคนนั้นให้มากที่สุด จนหลายครั้งก็หลงลืมที่จ...
29/09/2025

บางคนอาจคิดว่า การทำความเข้าอกเข้าใจคนอื่น จะต้องให้ความสำคัญกับเรื่องราวของคนคนนั้นให้มากที่สุด จนหลายครั้งก็หลงลืมที่จะฟังเสียงของตัวเอง ลืมไปว่าตอนนี้เรารู้สึกอย่างไร คิดอย่างไร มีอารมณ์แบบไหน และต้องการอะไร เพราะมัวแต่จดจ่อกับคนอื่นมากเกินไป

การพยายามเข้าใจคนอื่นไม่ใช่เรื่องผิด แต่ถ้าเราไม่ฟังเสียงตัวเอง ไม่เข้าใจตัวเองก่อน เราก็จะไม่มีทางเข้าใจคนอื่นได้

เช่น ถ้าเรารู้สึกเหนื่อยล้า ไม่พร้อมฟังเรื่องเครียด แต่ฝืนทนมานั่งฟังปัญหาของเพื่อน สุดท้ายเราก็ไม่สามารถเข้าใจเพื่อนได้เต็มร้อย และอาจเผลอทำสีหน้าเหนื่อยหน่ายใส่เพื่อนโดยไม่ได้ตั้งใจ

เพราะการสื่อสารกับตัวเอง ฟังเสียงหัวใจ ยอมรับความต้องการหรือแม้กระทั่งความอ่อนแอของตน จะทำให้เรามองคนอื่นด้วยความเข้าใจมากขึ้นว่า คนแต่ละคนมีความรู้สึกที่ซับซ้อน มีความเปราะบางเช่นกัน และเราจะเข้าใจว่าตัวเองสามารถทำอะไรเพื่ออีกฝ่ายได้บ้าง โดยที่ตัวเองไม่จำเป็นต้องฝืน 🫂

#เรามีพื้นที่ตรงกลางร่วมกัน🫂🤝💓 #เข้าใจตัวเอง

Allympic คือ เครือข่ายกีฬาที่เปิดโอกาสให้คนพิการและไม่พิการได้เล่นด้วยกัน อยู่ทีมเดียวกัน จัดขึ้นโดยมูลนิธิ ด้วยกันเพื่อ...
27/09/2025

Allympic คือ เครือข่ายกีฬาที่เปิดโอกาสให้คนพิการและไม่พิการได้เล่นด้วยกัน อยู่ทีมเดียวกัน จัดขึ้นโดยมูลนิธิ ด้วยกันเพื่อคนพิการและสังคม เพื่อนคนพิการและสังคม สนับสนุนโดย สำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ (สำนัก 9)

"เราไม่ใช่กีฬาเพื่อความเป็นเลิศ แต่เป็นกีฬาเพื่อความเป็นมิตร"

อาร์ต เจ้าหน้าที่ดูแลโครงการ Allympic กล่าว ไม่จำเป็นต้องเก่งกีฬาหรือมีทักษะมาก่อนก็เข้ามาเล่นกับออลลิมปิกได้ ขอแค่มีใจที่อยากจะทำความรู้จักเพื่อนใหม่ก็พอ

เมื่อเราเห็นข่าวการฆ่าตัวตาย โดยเฉพาะในพื้นที่สาธารณะ แน่นอนว่าเราจะต้องได้รับผลกระทบทางจิตใจไม่มากก็น้อย และในบางครั้ง ...
26/09/2025

เมื่อเราเห็นข่าวการฆ่าตัวตาย โดยเฉพาะในพื้นที่สาธารณะ แน่นอนว่าเราจะต้องได้รับผลกระทบทางจิตใจไม่มากก็น้อย และในบางครั้ง เหตุการณ์เหล่านี้สามารถก่อให้เกิดการบาดเจ็บหรือการเสียชีวิตของคนทั่วไปในสถานที่นั้นๆ ได้เช่นกัน อย่างกรณีในเมืองโยโกฮามะ ประเทศญี่ปุ่น ที่เด็กสาววัย 17 ปีที่กระโดดจากอาคารศูนย์การค้าและตกลงไปทับหญิงวัย 32 ปี จนท้ายที่สุดเสียชีวิตทั้งคู่ที่โรงพยาบาล

จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจนัก ที่เราจะเห็นคนบนโลกออนไลน์แสดงความไม่พอใจที่ผู้เสียชีวิตเลือกที่จะจบชีวิตตัวเองในสถานที่ที่มีผู้คนพลุกพล่าน

ทว่า ท่ามกลางการถกเถียงว่าจะหาวิธีการใดมาป้องกันไม่ให้เกิดการสูญเสียในที่สาธารณะขึ้น ก็มีความคิดเห็นจำนวนไม่น้อยที่ผลักให้ปัญหาสุขภาพจิตกลายเป็นปัญหาส่วนบุคคล ตลอดจนการตั้งคำถามแบบใจร้ายๆ ว่า “ถ้าจะตาย ทำไมไม่ตายเงียบๆ” สวนทางกับธีมการสื่อสารประจำปีของวันป้องกันการฆ่าตัวตายโลก (World Su***de Prevention Day) เมื่อวันที่ 10 กันยายนที่ผ่านมา ที่เน้นไปยังการตระหนักถึงความสำคัญของการลดทอนการตีตราและสนับสนุนการเปิดใจสนทนาเพื่อป้องกันการฆ่าตัวตาย

ซึ่งการแสดงความคิดเห็นอย่างไม่เข้าอกเข้าใจปัญหาสุขภาพจิต ยิ่งส่งผลในมวลในสังคมมีความเครียดเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะความคิดเห็นที่ตีตราว่าการเป็นผู้ป่วยด้านสุขภาพจิตคือภาระทางสังคม

จะดีกว่าไหม หากเราเปลี่ยนจากการถามหาความรับผิดชอบจากคนที่ไม่หายใจแล้วและคนใกล้ชิดของเขา เป็นการช่วยกันมองหาและเรียกร้องมาตรการป้องกันการจบชีวิตตัวเองที่ไม่ต้องปล่อยให้ใครต้องเผชิญกับการถูกตัดสินหรือรุมวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมเพียงลำพัง?

อ่าน แทน ‘คำถาม’ ว่าทำไมเลือกตายที่นี่ ด้วย ‘วิธีป้องกัน’ ดีกว่าไหม? สำรวจมาตรการการป้องกันการฆ่าตัวตายในที่สาธารณะจากทั่วโลก mutualfinding.co/public-suicide-prevention/

เรื่อง : ธันยพร เกษรสิทธิ์
ภาพประกอบ : ภัทราภรณ์ สงสาร
#ป้องกันการฆ่าตัวตาย #ที่สาธารณะ ***dePrevention

“การหย่าในสังคมม้งยากมาก เพราะผู้หญิงจะเสียเปรียบ เราต้องจ่ายค่าปรับให้ชุมชนทั้งหมด แต่พี่ใช้ความรู้ด้านสิทธิสตรีมาคุยกั...
26/09/2025

“การหย่าในสังคมม้งยากมาก เพราะผู้หญิงจะเสียเปรียบ เราต้องจ่ายค่าปรับให้ชุมชนทั้งหมด แต่พี่ใช้ความรู้ด้านสิทธิสตรีมาคุยกับผู้ใหญ่บ้านจนสามารถหย่าได้โดยจ่ายแค่ไก่หนึ่งตัวกับเหล้าหนึ่งขวด”

จริงๆ ประเพณีผู่มีมานานแล้วแต่หายไป บางตระกูลยังใช้แต่ไม่เปิดเผย บางบ้านรับลูกสาวกลับมาเงียบๆ แน่งน้อยเปรียบเทียบว่าเป็นเหมือนพิธีเรียกขวัญกลับบ้าน แต่ถ้าลูกสาวเกิดป่วยและเสียชีวิตขึ้นมา พ่อแม่ก็ยังไม่กล้าเอาร่างเข้าบ้านอยู่ดี

“พอแต่งงานไปก็เหมือนย้ายทะเบียนบ้าน ความเชื่อเดิมที่ว่าผู้หญิงที่หย่ากลับบ้านแล้ว จะไม่มีที่อยู่ เร่ร่อนไปเรื่อยๆ เมื่อตายไป ทำให้ต้องทนทุกข์อยู่กับสามี บางคนก็ฆ่าตัวตาย เพราะไม่รู้ว่าตัวเองมีทางเลือกอื่นหรือถ้าหย่าก็ต้องหาสามีใหม่ บางคนยอมไปเป็นเมียน้อยเพื่อจะได้มีที่พึ่ง”

“พี่ถูกสามีฉุดไปตั้งแต่อายุ 17 ปี ตอนนั้นไม่เข้าใจเลยว่าทำไมต้องมีประเพณีแบบนี้”

แน่งน้อย แซ่เซ่ง ประธานเครือข่ายสตรีชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย เล่าความหลังกว่า 40 ปีให้ฟังในวันนี้ที่อายุ 60 ปีแล้ว

ประเพณีฉุดที่แน่งน้อยพูดถึงคือหนึ่งในประเพณีของชาติพันธุ์ม้ง ซึ่งตอนนี้ทั้ง 18 ตระกูลแซ่ของม้งทั่วไทยแทบไม่มีประเพณีนี้แล้ว

เล่าโดยย่อ 43 ปีก่อน แน่งน้อยเกิดตั้งท้องกับแฟนที่คบกันมา 4-5 ปี และถูกฉุดไปที่บ้านฝ่ายชายโดยการอุ้มขึ้นรถ พอไปถึงบ้านก็พบว่าเขามีเมียอยู่แล้ว 1 คน

“เขา(สามี) บอกคนที่หนึ่งว่าไม่ต้องทำร้าย ไม่ต้องตบตี เราคุยกันดีๆ นะคือเขาตกลงกับเมียเขาแล้วไงว่าเขาจะมาเอาพี่ไป ความรู้สึกตอนนั้น คือ ไม่เป็นไรในเมื่อเราท้องก็มาอยู่ตรงนี้ก่อน ให้เราออกเดือนก่อนแล้วก็เราค่อยกลับไปหาพ่อแม่ ม้งถือว่าจะไปคลอดลูกในบ้านพ่อแม่ไม่ได้ จะผิดกฎจารีตผิดผี”

แน่งน้อยอุ้มลูกคนแรกเดินเท้ากลับบ้านไปหาพ่อแม่ราวๆ 50 กิโลเมตร ใช้เวลา 1 วันเต็ม ก่อนจะพบว่าพ่อแม่ไม่ให้กลับมา

“พ่อแม่ไม่ให้อยู่ เขาก็ถามว่าสามีทุบตีไหมทำร้ายไหม เราก็บอกว่าไม่ได้ตี ไม่ได้ด่า พ่อแม่ก็ให้เรากลับบ้าน วันรุ่งขึ้นสามีขับรถมาตาม พ่อแม่บอกว่าเมื่อเขาไม่ได้ทำร้ายเราเนี่ยเราก็ต้องกลับไป”

นั่นเป็นเหตุการณ์แรกที่แน่งน้อยตั้งคำถามกับตัวเองว่า “ทำไมลูกสาวถึงไม่ได้กลับบ้าน”

🌺การกลับมาของ ‘ผู่’

12 ปีก่อน แน่งน้อยตัดสินใจหย่ากับสามีหลังจากรอให้ลูกทุกคนเติบโตและดูแลตัวเองได้ และเธอก็ได้เป็นส่วนหนึ่งของการรื้อฟื้น ‘ผู่’ หรือ รับลูกสาวกลับบ้าน ผ่าน โครงการ ‘รับลูกสาวกลับบ้าน’ หรือ ‘โครงการฟื้นฟูกฎจารีตและแก้ไขปัญหาความรุนแรงเพื่อสร้างความเป็นธรรมให้กับผู้หญิงและเด็กชาวม้ง’ ที่แผนงานสุขภาวะผู้หญิงฯ ดำเนินการร่วมกับเครือข่ายสตรีม้งในประเทศไทย โดยได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

“การหย่าในสังคมม้งยากมาก เพราะผู้หญิงจะเสียเปรียบ เราต้องจ่ายค่าปรับให้ชุมชนทั้งหมด แต่พี่ใช้ความรู้ด้านสิทธิสตรีมาคุยกับผู้ใหญ่บ้านจนสามารถหย่าได้โดยจ่ายแค่ไก่หนึ่งตัวกับเหล้าหนึ่งขวด”

จริงๆ ประเพณีผู่มีมานานแล้วแต่หายไป บางตระกูลยังใช้แต่ไม่เปิดเผย บางบ้านรับลูกสาวกลับมาเงียบๆ แน่งน้อยเปรียบเทียบว่าเป็นเหมือนพิธีเรียกขวัญกลับบ้าน แต่ถ้าลูกสาวเกิดป่วยและเสียชีวิตขึ้นมา พ่อแม่ก็ยังไม่กล้าเอาร่างเข้าบ้านอยู่ดี

“พอแต่งงานไปก็เหมือนย้ายทะเบียนบ้าน ความเชื่อเดิมที่ว่าผู้หญิงที่หย่ากลับบ้านแล้ว จะไม่มีที่อยู่ เร่ร่อนไปเรื่อยๆ เมื่อตายไป ทำให้ต้องทนทุกข์อยู่กับสามี บางคนก็ฆ่าตัวตาย เพราะไม่รู้ว่าตัวเองมีทางเลือกอื่นหรือถ้าหย่าก็ต้องหาสามีใหม่ บางคนยอมไปเป็นเมียน้อยเพื่อจะได้มีที่พึ่ง”

🌺รื้อฟื้นเพื่อดึงคุณค่าของลูกสาวกลับมา

โครงการรับลูกสาวกลับบ้านมุ่งทำความเข้าใจกับครอบครัวชาวม้งใน 13 จังหวัดภาคเหนือว่าลูกสาวไม่ใช่เพียงผู้มาเยือน แต่เป็นคนในครอบครัว หากสะใภ้ม้งประสบปัญหาจนไม่สามารถอยู่กับครอบครัวสามีได้ พวกเธอยังสามารถกลับคืนสู่ครอบครัวเดิมได้ รวมถึงให้ความสำคัญกับการทำงานร่วมกับผู้นำในชุมชนให้เริ่มมองเห็นชีวิตและความเป็นมนุษย์ของผู้หญิงม้ง จนผู้นำหลายๆ คนมองเห็นว่า ความเชื่อเดิมที่ถูกส่งต่อมายาวนานจำเป็นต้องปรับเปลี่ยน

การรื้อฟื้นประเพณีผู่จึงไม่ใช่ ไม่ใช่แค่การกลับมาทำพิธีกรรม แต่เป็นการคืนศักดิ์ศรีและคุณค่าให้ผู้หญิงม้งในชุมชน

“เป้าหมายของเราคือต้องการให้ผู้หญิงกลับมาสู่อ้อมกอดพ่อแม่ด้วยความรักโดยไม่ต้องมีน้ำตาแล้ว ไม่ต้องกลัวว่ากลับมาแล้วจะไม่มีที่อยู่ พ่อแม่จะไม่รับ พิธีกรรมที่รื้อฟื้น ต้องการให้ผู้หญิงกลับมาด้วยความภาคภูมิใจว่าฉันน่ะกลับมาเป็นลูกสาวพ่อแม่เหมือนเดิมแล้ว”

ในช่วงต้น แน่งน้อยบอกว่าเงินทุนสนับสนุนจากโครงการฯ ถูกนำไปใช้ในขั้นตอนต่างๆ ตั้งแต่การประสานงานกับผู้ใหญ่ในชุมชน การช่วยเหลือค่าใช้จ่ายสำหรับผู้หญิงที่หย่าร้างที่ไม่มีเงินทำพิธี ไปจนถึงค่าเดินทางเพื่อติดตามชีวิตหลังจากเข้าร่วมพิธีแล้ว

“ถึงแม้เงินทุนจะหมดไปแล้ว แต่เราก็เริ่มต้นและวางรากฐานบางอย่างที่สืบเนื่องมาจนถึงวันนี้ ทุกวันนี้ผู้หญิงที่หย่าร้างสามารถกลับบ้านได้โดยไม่ต้องกลัวแล้ว อย่างในบางตระกูล เช่น แซ่มัว และแซ่ว่าง ที่นำพิธีนี้มาใช้กันทั้งโลก ทำให้ผู้หญิงที่หย่าร้างสามารถดูแลพ่อแม่ได้ ซึ่งแตกต่างจากในอดีตที่ผู้หญิงมักจะเอาตัวรอดคนเดียว”

การรื้อฟื้นประเพณีนี้ยังส่งผลกระทบในวงกว้าง ทำให้ผู้ชายในชุมชนเริ่มให้ความเกรงใจและเคารพผู้หญิงมากขึ้น ส่งผลให้ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวลดลงอย่างชัดเจน และครอบครัวมีความสุขมากขึ้น

การได้กลับมาเป็นลูกสาวของบ้านอีกครั้ง ส่งผลต่อพ่อแม่ด้วย

“พ่อกับแม่เนี่ยเขาก็รักลูกสาวของเขามาก แต่แคร์เรื่องตระกูลเขาก็เลยไม่กล้าอ้าปาก ลึกๆ แล้วพอลูกกลับมา เขาก็ดีใจมากแล้วลูกสาวก็ดีใจว่าฉันยังเป็นลูกสาวตระกูลนี้อยู่นะ”

เปรียบเทียบกับตอนที่ยังไม่มีการรื้อฟื้นพิธี แน่งน้อยเล่า ลูกสาวจะไม่ได้ดูแลพ่อแม่เลย แต่ตอนนี้ลูกสาวกลับมาเป็นฝ่ายดูแลพ่อแม่ ทุกคนในครอบครัวดีใจมาก

และสถิติการเป็นเมียน้อยลดลงอย่างมาก เพราะสะใภ้ที่ตัดสินใจหย่ามีบ้านให้กลับและพ่อแม่เองก็มั่นใจว่าเมื่อลูกสาวผ่านพิธีผู่แล้วบรรพชนที่ล่วงลับไปก็นับกลับมาเป็นแซ่เดียวกันเหมือนเดิม

นับตั้งแต่รื้อฟื้นมามีลูกสาวม้งเข้าพิธีผู่ 200-300 คนแล้ว ยังไม่รวมช่วงที่โครงการฯ ยังดำเนินอยู่ มีผู้นำสตรีม้งจากประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ ลาว เวียดนาม และจีน และผู้นำสตรีชาวม้งอพยพในสหรัฐอเมริกา ที่ทราบข่าวเกี่ยวกับการฟื้นฟูพิธีรับลูกสาวกลับบ้านในประเทศไทย จึงติดต่อมายังเครือข่ายสตรีม้งในประเทศไทยขอมาศึกษาดูงานและเรียนรู้แนวคิดการสร้างการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว โดยมีเป้าหมายที่จะนำไปประยุกต์ใช้กับชุมชนม้งในประเทศของตนด้วย

การมีบ้านให้กลับ ไม่เพียงส่งผลทางใจต่อครอบครัวแต่เมื่อเวลาเปลี่ยนไป ผู้หญิงม้งได้รับการศึกษา มีหน้าที่การงานเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้ การเลิกราแล้วกลับไปใช้แซ่เดิมได้ ส่งผลดีอีกหลายด้าน โดยเฉพาะเศรษฐกิจ

“เดิมหลายคนต้องเปลี่ยนศาสนา บางคนมีบ้านมีไร่มีสวนก็ต้องขายแล้วย้ายไปอยู่ในเมือง หรือรายที่เป็นข้าราชการก็ต้องทำเรื่องย้าย ไม่กลับมาอยู่ชุมชน เพราะกลับบ้านพ่อแม่ไม่ได้ แต่พอมีพิธีผู่ เขาหย่าเสร็จก็ไม่ต้องย้ายไปไหน อยู่ทำงานในบ้านของเขา หลายคนมีความสามารถ บางคนเก่งเรื่องการพัฒนาก็มาพัฒนาชุมชนตัวเอง”

มันจึงไม่ได้เป็นเรื่องแค่เลี้ยงตัวเอง เลี้ยงครอบครัว แต่ผู้หญิงม้งที่หย่าแล้วก็กลับมาอยู่และพัฒนา มีตัวตนและมีคุณค่าสำหรับชุมชนในปัจจุบัน

🌺พิธีผู่ทำให้การหย่าร้างมากขึ้น?

จนถึงปัจจุบัน แน่งน้อยยอมรับว่ากำลังสำคัญที่มีส่วนช่วยเริ่มต้น ผลักดัน และขับเคลื่อนให้พิธีผู่ ดำเนินมาจนถึงทุกวันนี้แม้โครงการฯ จะปิดตัวไปแล้ว คือ ผู้ชายในชุมชนม้ง

“เขามาหนุนเสริมเราเพราะว่าผู้หญิงม้งแล้วพูดอะไร แรกๆ ชุมชนจะไม่ค่อยเชื่อ เราต้องฝากผ่านผู้นำที่เป็นผู้ชายไปช่วยประสานไปช่วยคุย ผู้นำบางคนมีลูกสาวที่หย่าแล้ว บางคนนับถือศาสนาคริสต์แต่อยากเข้ามาช่วยเหลือเรา อีกหลายคนเป็นผู้เฒ่าผู้แก่ที่เขาอยากจะถ่ายทอดเรื่องนี้ให้ม้งรู้ว่ายังมีอยู่นะ”

อีกการเปลี่ยนแปลงที่ตามมาแบบค่อยเป็นค่อยไปคือ การใช้ความรุนแรงในครอบครัวลดน้อยลง

“เมื่อผู้หญิงมีสิทธิกลับบ้าน ผู้ชายก็เริ่มเกรงใจ ทำร้ายร่างกายและจิตใจน้อยลง รวมถึงการนอกใจด้วย ครอบครัวดูมีความสุขมากขึ้น อันนี้สังเกตจากพื้นทีที่ไปทำงาน”

อีกคำถามที่แน่งน้อยเจอบ่อยมากคือ พิธีผู่จะทำให้การหย่าร้างมากขึ้นไหม

“เขาบอกว่าไม่มีผู้หญิงคนไหนหรอกที่อยากจะหย่าถ้าครอบครัวอบอุ่น ใครมาฉุดฉันก็ไม่ไป ฉันก็จะอยู่กับสามี”

แต่คนที่ลงเอยด้วยการหย่า อย่างน้อยการมีอยู่ของพิธีนี้ก็เป็นการบอกเขาว่า อย่างไรก็ยังมีบ้านให้กลับ

ไม่มีการกินยาหรือผูกคอฆ่าตัวตาย ไม่มีการหนีแบบหายสาบสูญเหมือนเมื่อก่อน

“กลับมาเห็นคุณค่าในตัวเอง โดยไม่จำเป็นต้องมาพึ่งพาคุณค่าของสามี เพราะรู้ว่าตัวเองก็มีคุณค่า”

และสำหรับลูกสาวที่กลับบ้านมาพร้อมกับลูกตัวเล็ก แน่งน้อยบอกว่า

“ถ้าเราสามารถกลับมาอยู่บ้านได้อย่างภาคภูมิใจ ลูกๆ ก็จะได้เรียนรู้ว่าความสุขและคุณค่าขึ้นอยู่กับตัวเอง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนอื่น” แน่งน้อยทิ้งท้าย

เรื่อง : ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ
ภาพประกอบ : ภัทราภรณ์ สงสาร
ภาพ : ฮาชาวนา สตูดิโอ (https://www.facebook.com/sornchaijong?locale=th_TH)

#กลุ่มชาติพันธุ์ #ประเพณีผู่ #ประชากรกลุ่มเฉพาะ #สำนัก9 #สสส #นับเราด้วยคน #เสียงที่คนอื่นไม่ได้ยิน #สานพลัง #สร้างนวัตกรรม #สื่อสารสุข ับเราด้วยคน #ก้าวสู่ทศวรรษที่3กับสสส

คนเร่ร่อน คนจรจัด คนไร้บ้าน สามคำนี้ คือที่เรียกกลุ่มคนเดียวกัน แต่แสดงอคติต่อกลุ่มคนนั้นไม่เหมือนกันลองนึกภาพเวลาเราไถม...
25/09/2025

คนเร่ร่อน คนจรจัด คนไร้บ้าน

สามคำนี้ คือที่เรียกกลุ่มคนเดียวกัน แต่แสดงอคติต่อกลุ่มคนนั้นไม่เหมือนกัน
ลองนึกภาพเวลาเราไถมือถืออ่านข่าวหรือโพสต์ในโซเชียล พอเห็นคำว่า ‘คนจรจัด’ หรือ ‘คนเร่ร่อน’ เรารู้สึกยังไง? เคยไหมที่ความหมายของคำเหล่านี้มันพาเราคิดต่อแบบอัตโนมัติว่า พวกเขาน่ากลัว สกปรก หรือน่ารำคาญ แค่คำไม่กี่คำในข่าวหรือในโพสต์ที่เราเห็นแวบๆ บนหน้าจอ มันกลายเป็นภาพจำที่ทำให้คนไร้บ้านหลายคนถูกมองว่าเป็นปัญหาของสังคมไปได้อย่างไร

ปรากฏการณ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของการทำงานของอคติในใจเรา ซึ่งนำไปสู่การสร้างภาพเหมารวมต่อกลุ่มคนต่าง ๆ งานวิจัยโครงการสร้างสังคม DEE (Diversity, Equity and Empathy): ศึกษาสถานการณ์อคติต่อกลุ่มเปราะบางและสื่อสารเพื่อสร้างความตระหนักรู้ของสังคม สนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สำนัก 9

งานวิจัยโครงการสร้างสังคม DEE อธิบายไว้ว่า ภาพเหมารวมเกิดจากความเชื่อที่มองว่าประชากรกลุ่มหนึ่ง สมาชิกทั้งหมดหรือส่วนใหญ่มีคุณลักษณะเฉพาะแบบหนึ่ง โดยใช้ข้อมูลบางส่วนหรือข้อมูลที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง แม้ภาพเหมารวมจะเป็นเพียงความเชื่อที่ไม่สะท้อนความซับซ้อนของคนกลุ่มต่างๆ แต่หลายครั้งที่ความเชื่อนั้นกลับถูกสร้างและส่งต่อ จนกลายเป็นมาตรฐานในการตัดสินคน

หนึ่งในรูปแบบการส่งต่อที่มีอิทธิพลต่อการรับรู้ของผู้คนคือ สื่อ ไม่ว่าจะเป็นข่าว บทความ รายการโทรทัศน์ หรือโพสต์ในโซเชียลมีเดีย สื่อจำนวนไม่น้อยมักเลือกใช้คำและภาพบางอย่างซ้ำๆ เพื่อเล่าเรื่องเกี่ยวกับกลุ่มคนใดกลุ่มคนหนึ่ง ทำให้ผู้ชมเกิดความเชื่อและรับรู้แบบเหมารวม

ผลการวิจัยยังพบว่า การแสดงทัศนคติของผู้คนบนโลกออนไลน์ต่อคนไร้บ้าน มีข้อความในเชิงลบมากกว่าเชิงบวกถึง 10 เท่า และยังสะท้อนอคติที่หลากหลาย ตั้งแต่เรื่องรูปลักษณ์ พฤติกรรม สุขภาพ การใช้พื้นที่สาธารณะ ไปจนถึงการทำงานและการเข้าสังคม

บทความนี้จะชวนมาทบทวนชื่อเรียกทั้งสามของคนไร้บ้านในสื่อออนไลน์ เพราะชื่อเรียกเปรียบเสมือนประตูบานแรกที่จะเปิด-ปิด ให้-ไม่ให้ คนไร้บ้านเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสังคมเดียวกัน และอยากชวนพวกเราสำรวจตัวเองว่าเมื่อเห็นคำเรียกเหล่านั้น เรากำลังมองเห็นคนไร้บ้านเป็นอย่างไรอย่างตรงไปตรงมา

อ่านบทความเต็มได้ที่: https://penguinhomeless.com/สำรวจคำเรยกคนไรบน/
#คนไร้บ้าน #อคติ

“คนจรจัด-คนเร่ร่อน-คนไร้บ้าน”
ชวนสำรวจว่าคำเรียกคนไร้บ้านแต่ละคำถูกใช้ในสื่อออนไลน์อย่างไร
ทำไมคำเรียก ‘คนจรจัด’ ถึงมักปรากฏในข่าวอาชญากรรมและความรุนแรง?
ทำไมคำเรียก ‘คนเร่ร่อน’ จึงมักถูกโยงกับความรู้สึกรำคาญใจของคนในชุมชนต่อพฤติกรรมของคนไร้บ้าน?
และเพราะอะไร ‘คนไร้บ้าน’ จึงดูเป็นคำกลาง และเป็นคำที่เริ่มเปิดพื้นที่ให้เห็นคุณค่า ความพยายาม ความนึกคิด รวมไปถึงความต้องการพื้นฐานที่คนไร้บ้านมีไม่ต่างจากคนอื่น
ชื่อที่เรียกคนไร้บ้านทั้งสามนี้ได้มาจากการเก็บข้อมูล รวบรวม และสรุปผลในรายงานสำรวจภูมิทัศน์คนไร้บ้านในสื่อออนไลน์ โดยแผนงานพัฒนาองค์ความรู้เพื่อสร้างเสริมและขับเคลื่อนนโยบายเพื่อสุขภาวะคนไร้บ้าน โดยศึกษาสื่อออนไลน์ที่เกี่ยวข้องกับคนไร้บ้าน ระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 ถึงวันที่ 30 เมษายน 2568 พบว่ามีสื่อรวมทั้งสิ้น 726 สื่อ แบ่งเป็นข่าวจากเว็บไซต์ จำนวน 228 ข่าว (31.4%) และโพสต์บน Facebook จำนวน 498 โพสต์ (68.6%)
เราพบว่าแต่ละชื่อถูกสื่อเอามาเรียกคนไร้บ้านด้วยวิธี ลีลา มุมมอง และการให้บทบาทที่แตกต่างกัน และในด้านหนึ่งมันสะท้อนกลับไปที่สื่อเองว่าคิดต่อคนไร้บ้านอย่างไร ขณะเดียวกันก็ฉายให้เห็นภาพใหญ่ว่าคนไร้บ้านถูกมองแบบไหน นำไปสู่การตอบคำถามสำคัญว่า ทำไมคนไร้บ้านถึงถูกมองว่าเป็นอื่นตลอดเวลา
และบางทีชื่อเรียกก็คือ ‘ภาพแรกในใจ’ ต่อคนไร้บ้าน ซึ่งเปลี่ยนยากแต่ไม่ได้หมายความว่าเปลี่ยนไม่ได้
อ่านบทความเต็มได้ที่: https://penguinhomeless.com/สำรวจคำเรยกคนไรบน/
#คนไร้บ้าน

ทุกวันนี้เราอยู่ท่ามกลางข้อมูลข่าวสารที่ไม่รู้จบ ไหนจะ AI ที่แทบจะแยกไม่ออกแล้วว่าอันไหนคือรูปจริง หรือถูกสร้างขึ้นมา พอ...
24/09/2025

ทุกวันนี้เราอยู่ท่ามกลางข้อมูลข่าวสารที่ไม่รู้จบ ไหนจะ AI ที่แทบจะแยกไม่ออกแล้วว่าอันไหนคือรูปจริง หรือถูกสร้างขึ้นมา พอๆ กับข่าวปลอมที่ถูกแชร์ต่อกันเป็นพันๆ ยอดแชร์ ท่ามกลางข้อมูลที่หลากหลายขนาดนี้ คำถามที่สำคัญตามมาคือแล้วมีอันไหนบ้างที่เป็นเรื่องจริง

ที่น่ากังวลคือข่าวที่มีมากมายได้สร้างชุดความเชื่อแบบหนึ่งขึ้นมา และความเชื่อเหล่านั้นดันไปทำร้ายใครหลายคน หนึ่งกลุ่มประชากรที่เจอผลกระทบจากข่าวต่างๆ คือ กลุ่มประชากรข้ามชาติ

“คนมักแชร์ในสิ่งที่เขาเชื่อ แชร์ให้เห็นว่าเขามีจุดยืนคล้ายๆ กัน อันนี้จะเป็นตัวหนุนเสริมให้เนื้อหามันกระจายเร็ว”

‘สมเกียรติ จันทรสีมา’ ผู้อำนวยการสำนักเครือข่ายและการมีส่วนร่วมสาธารณะ Thai PBS กล่าวว่าใครๆ ก็อยากส่งต่อสิ่งที่ตัวเองเชื่อกันทั้งนั้น ยิ่งคนเชื่อเยอะก็ยิ่งกระจายไปได้ไว เพียงแต่ว่าในยุคนี้แค่เชื่อแล้วส่งต่ออย่างเดียวก็ไม่น่าพอ เพราะสิ่งที่เราเชื่ออาจจะไม่ใช่เรื่องจริงเสมอไป และบางทีมันก็ไปทำร้ายคนอื่นอีกเช่นกัน

C-Site (ซีไซต์) จึงเป็นการเครื่องมือการสื่อสารอย่างหนึ่ง ที่พยายามนำเสนอความจริงขึ้นมา นี่คือช่องทางรายงานข่าวจาก ThaiPBS ที่เปิดโอกาสให้ทุกคนในสังคมได้เป็นนักข่าวพลเมืองผ่านการนำเสนอข้อเท็จจริง อีกชุดหนึ่งผ่านสายตาของพลเมือง ซึ่งไม่ว่าจะเป็นใครก็สามารถปักหมุดรายงาน ส่งต่อ แจ้งสถานการณ์ที่เกิดขึ้นรอบตัวผ่าน C-Site ได้อย่างทันท่วงที เรื่องที่สามารถเอามาส่งต่อได้ก็มีหลากหลาย ทั้งวิถีชีวิต ข่าว ภัยพิบัติ ส่งต่อความรู้ และร้องทุกข์

ความพิเศษของ C-Site คือการปักหมุดได้ เป็นการสื่อสารกันบนพิกัดภูมิศาสตร์ ซึ่งไม่ว่าอยู่ตรงไหนของมุมโลกก็สามารถสื่อสารแจ้งข่าวกันได้

“การอธิบายผ่านพิกัดมันเป็นสารตั้งต้นในการเล่าเรื่อง แต่ที่สำคัญ คือ หนึ่งหมุดพิกัดอาจจะบอกอะไรบางอย่าง ถ้าเป็นสิบหมุดพิกัดที่ปักเข้ามา มันอาจจะสะท้อนอะไรมากกว่า ทำให้เราเห็นภาพรวมอะไรบางอย่าง”

C-Site ไม่ได้ทำให้คนหันมาสนใจประเด็นสิ่งแวดล้อมเพียงอย่างเดียว แต่ประเด็นการลดอคติต่อกลุ่มประชากรข้ามชาติก็ด้วย สมเกียรติบอกว่าสิ่งแรกที่ทำได้คือทำให้ประชากรข้ามชาติ ‘ปรากฏตัว’ ในสายตาของคนในสังคมมากขึ้น ที่ผ่านมาเราเห็นประชากรข้ามชาติผ่านข่าวในทีวี ข่าวในเฟสบุ๊กบ้าง ผ่านสายตาของคนอื่น แต่การปักหมุดและเล่าเรื่องราวของประชากรข้ามชาติใน C-Site ของตัวเอง ทำให้สังคมไทยเห็นว่าพวกเขามี ‘ชีวิต’ มุมอื่นที่ไม่ใช่แค่แรงงานหรือวัตถุทางเศรษฐกิจ ซึ่งบางคนอาจใช้ชีวิตเกินกว่าจินตนาการของเราอีกด้วย

“สังคมเราเป็นสังคมพหุวัฒนธรรม มีความผสมปนเปกันไปหมดเลย กลุ่มที่เป็นประชากรข้ามชาติก็เป็นกลุ่มหนึ่งในสังคม งั้นสิ่งที่เราพยายามทำอันดับแรกคือทำให้เขาปรากฏตัว อธิบายตัวเองในแบบที่เขาเป็น”

การเล่าข่าวผ่าน C-Site จึงเป็นการนำเสนอมิติอื่นๆ ของประชากรข้ามชาตินอกเหนือจากที่เรามักเห็นในสื่ออื่นๆ ทำให้เห็นว่าเขามีตัวตน มีวิถีชีวิต มีที่อยู่เป็นหลักเป็นแหล่ง สมเกียรติบอกว่า จากทั้งหมดนี้เขาคาดหวังให้ C-Site ลดช่องว่างความห่างที่คนทั่วไปมีต่อประชากรข้ามชาติมากขึ้น

อ่าน “C-Site ทำให้พวกเขาปรากฏตัว” แอปพลิเคชันเล่า 'ความจริง' ของประชากรข้ามชาติผ่านการปักหมุด https://mutualfinding.co/csite/

เรื่อง : ณัฐริฎา ศิริสอน
ภาพประกอบ : บัว คำดี

#เรามีพื้นที่ตรงกลางร่วมกัน #ประชากรข้ามชาติ

23/09/2025

‘ล่ามภาษามือ’ อาจดูเหมือนเป็นแค่คนแปลภาษาที่อยู่ในช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ บนจอทีวี แต่ในโลกความเป็นจริง ล่ามภาษามือก็ไม่ต่างกับล่ามภาษาพูด พวกเขาสามารถปรากฏตัวได้ทุกที่ขึ้นอยู่กับว่า สถานที่แห่งนั้นมีผู้ต้องการรับบริการหรือไม่ หากมี ล่ามภาษามือก็จะเป็นสะพานเชื่อมโลกของคนหูหนวกกับคนหูดีเข้าหากัน

ที่อยู่

1371 ถนนพหลโยธิน แขวงพญาไท เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร
Bangkok
10400

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Mutualผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง Mutual:

แชร์