คลินิกวิทยฐานะ PA กับครูสดใส

คลินิกวิทยฐานะ PA กับครูสดใส เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และพัฒนาครู

12/08/2025
12/08/2025

ทางเพจ #ดอกบัวใต้เสาชิงช้า ได้รวบรวม #แบบพิมพ์หนังสือราชการ ไว้ โดยได้เปิดให้ดาวน์โหลดแล้ว ⬇️ ที่ลิงก์นี้ https://shorturl.at/clO49 นะคะ

✅สามารถ save 📁 ไปใช้งานได้เลยค่ะ

❎ไม่ได้เปิดสิทธิ์เอดิเตอร์นะคะ เพื่อป้องกันการแก้ไขไฟล์ต้นฉบับค่ะ

#แบบพิมพ์หนังสือราชการ มีดังนี้
1. หนังสือภายนอก
2. หนังสือภายใน
3. หนังสือประทับตรา
4. คำสั่ง
5. ระเบียบ
6. ข้อบังคับ
7. ประกาศ
8. แถลงการณ์
9. ข่าว
10. หนังสือรับรอง
11. รายงานการประชุม (พร้อมวาระการประชุม)
12. แบบปกเอกสารลับ

ขอ🙏ไม่อนุญาตให้เผยแพร่ต่อในเชิงธุรกิจนะคะ

📔รวบรวมไว้ในหนังสืองานสารบรรณ ไม่ใช่เรื่องง่าย-ไม่ใช่เรื่องยาก #ดอกบัวใต้เสาชิงช้า

12/08/2025
👨‍🏫📌 ความรู้พื้นฐานในการเขียนรายงานการวิจัย มีองค์ประกอบสำคัญที่ควรรู้ เพื่อให้รายงานมีความถูกต้องตามหลักวิชาการ อ่านเข้...
12/08/2025

👨‍🏫📌 ความรู้พื้นฐานในการเขียนรายงานการวิจัย มีองค์ประกอบสำคัญที่ควรรู้ เพื่อให้รายงานมีความถูกต้องตามหลักวิชาการ อ่านเข้าใจง่าย และสื่อสารผลการวิจัยได้ครบถ้วน ดังนี้

1. ความหมายของรายงานการวิจัย

รายงานการวิจัยคือเอกสารที่นำเสนอผลการศึกษาวิจัยอย่างเป็นระบบและมีหลักฐานอ้างอิง เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจวัตถุประสงค์ วิธีการ ผลลัพธ์ และข้อสรุปของการวิจัย

2. โครงสร้างพื้นฐานของรายงานการวิจัย

แม้รูปแบบอาจแตกต่างตามสถาบันหรือคู่มือ แต่โดยทั่วไปประกอบด้วย
1. ส่วนต้น (Preliminary Part)
• ปกและปกใน
• บทคัดย่อ (Abstract)
• กิตติกรรมประกาศ (Acknowledgement)
• สารบัญ / สารบัญตาราง / สารบัญภาพ
2. ส่วนเนื้อหา (Text Part)
1. บทนำ
• ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา
• วัตถุประสงค์การวิจัย
• สมมติฐานการวิจัย (ถ้ามี)
• ขอบเขตการวิจัย
• นิยามศัพท์เฉพาะ
• ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
2. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
3. วิธีดำเนินการวิจัย
• ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
• เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
• ขั้นตอนการดำเนินงาน
• การวิเคราะห์ข้อมูล
4. ผลการวิจัย
• นำเสนอด้วยข้อความ ตาราง หรือภาพ
5. สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ
3. ส่วนท้าย (Reference & Appendix)
• บรรณานุกรม / เอกสารอ้างอิง
• ภาคผนวก

3. หลักการเขียนรายงานการวิจัย
• ใช้ภาษากระชับ ชัดเจน ไม่ใช้ภาษาพูด
• เน้นการอ้างอิงแหล่งข้อมูลทุกครั้งที่นำมาใช้
• นำเสนอข้อมูลตามลำดับเหตุผล
• ใช้ตารางและภาพเพื่อเสริมความเข้าใจ
• ยึดรูปแบบการอ้างอิงตามคู่มือ เช่น APA, IEEE, หรือรูปแบบของหน่วยงาน

4. ข้อควรระวัง
• หลีกเลี่ยงการคัดลอกผลงานผู้อื่น (Plagiarism)
• ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลและการวิเคราะห์
• เขียนให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้
• ตรวจสอบรูปแบบเอกสารตามข้อกำหนดของสถาบันหรือแหล่งทุน

#ครูผู้นำการเปลี่ยนแปลง
#คลินิกวิทยฐานะpaครูสดใส
#เทรนวันนี้

👨‍🏫📌 ความรู้พื้นฐานในการวิเคราะห์ปัญหา คือการทำความเข้าใจและแยกแยะปัญหาออกเป็นองค์ประกอบย่อย ๆ เพื่อหาสาเหตุและแนวทางแก้...
12/08/2025

👨‍🏫📌 ความรู้พื้นฐานในการวิเคราะห์ปัญหา คือการทำความเข้าใจและแยกแยะปัญหาออกเป็นองค์ประกอบย่อย ๆ เพื่อหาสาเหตุและแนวทางแก้ไขอย่างเป็นระบบ โดยหลักสำคัญมีดังนี้

1. ทำความเข้าใจกับปัญหา (Understanding the Problem)
• ระบุปัญหาให้ชัดเจน ว่า “อะไร” คือสิ่งที่เกิดขึ้น
• แยกให้ออกระหว่าง ปัญหาจริง กับ อาการของปัญหา
• กำหนดขอบเขตและเงื่อนไขของปัญหา

2. การรวบรวมข้อมูล (Data Gathering)
• เก็บข้อมูลจากหลายแหล่ง เช่น เอกสาร สถิติ การสังเกต การสัมภาษณ์
• พิจารณาความน่าเชื่อถือของข้อมูล
• ตรวจสอบว่าข้อมูลเพียงพอและครอบคลุมหรือไม่

3. การระบุสาเหตุ (Identifying Causes)
• ใช้เครื่องมือช่วย เช่น แผนผังสาเหตุ–ผล (Cause–Effect Diagram หรือ Fishbone)
• แยก “สาเหตุหลัก” (Root Causes) ออกจาก “สาเหตุรอง”
• วิเคราะห์ว่าปัจจัยใดมีผลมากที่สุดต่อปัญหา

4. การกำหนดเกณฑ์วิเคราะห์ (Setting Criteria)
• กำหนดตัวชี้วัดว่าการแก้ปัญหาที่ดีควรมีคุณสมบัติอย่างไร เช่น ประสิทธิภาพ ความคุ้มค่า ความเป็นไปได้
• พิจารณาทั้งด้านคุณภาพ เวลา ทรัพยากร และผลกระทบต่อผู้เกี่ยวข้อง

5. การคิดหาแนวทางแก้ไข (Generating Solutions)
• ระดมความคิด (Brainstorming) เพื่อให้ได้หลายทางเลือก
• พิจารณาความเป็นไปได้ของแต่ละทางเลือก
• ใช้เหตุผลและข้อมูลสนับสนุนในการเลือก

6. การประเมินและเลือกวิธี (Evaluation & Selection)
• เปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของแต่ละแนวทาง
• เลือกแนวทางที่เหมาะสมที่สุดตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้

7. การวางแผนและติดตามผล (Planning & Monitoring)
• จัดทำแผนปฏิบัติ (Action Plan)
• ติดตามและประเมินผลหลังดำเนินการ
• ปรับปรุงแก้ไขหากพบปัญหาใหม่

✳️ถ้าต้องการให้ครบถ้วนและใช้ได้จริง อาจเสริม เครื่องมือวิเคราะห์ปัญหา เช่น
• 5 Whys (ถาม “ทำไม” ซ้ำ ๆ เพื่อหาสาเหตุราก)
• SWOT Analysis (วิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส อุปสรรค)
• Pareto Chart (วิเคราะห์ปัญหาสำคัญตามหลัก 80/20)

#ครูผู้นำการเปลี่ยนแปลง
#คลินิกวิทยฐานะpaครูสดใส
#เทรนวันนี้

📌👨‍🏫 ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการวิจัยในชั้นเรียน (Classroom Action Research) สามารถสรุปได้ดังนี้1. ความหมายการวิจัยในชั้น...
12/08/2025

📌👨‍🏫 ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการวิจัยในชั้นเรียน (Classroom Action Research) สามารถสรุปได้ดังนี้

1. ความหมาย

การวิจัยในชั้นเรียน คือ การศึกษาค้นคว้าอย่างเป็นระบบโดยครูหรือผู้สอน เพื่อแก้ปัญหา ปรับปรุง หรือพัฒนาการเรียนการสอนภายในชั้นเรียนของตนเอง โดยอาศัยข้อมูลจริงจากการจัดการเรียนการสอนและนักเรียน เพื่อให้ผลลัพธ์นำไปใช้ปรับปรุงคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียนได้ทันที

2. จุดมุ่งหมาย
• แก้ปัญหาการเรียนการสอนเฉพาะหน้าในชั้นเรียน
• พัฒนาวิธีการสอนและสื่อการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับผู้เรียน
• เพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและพัฒนาทักษะผู้เรียน
• ส่งเสริมให้ครูมีทักษะการคิดวิเคราะห์และพัฒนานวัตกรรมการสอน

3. ลักษณะสำคัญ
• ทำโดยครูผู้สอนเองในชั้นเรียนจริง
• มุ่งที่ปัญหาจริงและสถานการณ์จริงของผู้เรียน
• เน้นการปรับปรุงแก้ไขทันทีระหว่างการสอน
• เป็นกระบวนการต่อเนื่อง วางแผน → ปฏิบัติ → สังเกต → สะท้อนผล → ปรับปรุง

4. ขั้นตอนทั่วไป (วงจรการวิจัยในชั้นเรียน)
1. ระบุปัญหาและวิเคราะห์สภาพปัจจุบัน
2. วางแผนแก้ปัญหา (เลือกวิธีการสอน เทคนิค หรือสื่อใหม่)
3. ปฏิบัติการแก้ปัญหา (นำแผนไปใช้ในการสอนจริง)
4. สังเกตและเก็บข้อมูล (บันทึกพฤติกรรม ผลการเรียน และความคิดเห็นของนักเรียน)
5. วิเคราะห์และสรุปผล (เปรียบเทียบก่อนและหลัง)
6. ปรับปรุงและเผยแพร่ (นำผลไปใช้ต่อหรือแลกเปลี่ยนกับเพื่อนครู)

5. เครื่องมือที่ใช้เก็บข้อมูล
• แบบทดสอบ (ก่อนเรียน–หลังเรียน)
• แบบสังเกตพฤติกรรม
• แบบสอบถาม
• บันทึกการสอน
• การสัมภาษณ์นักเรียน

6. ประโยชน์
• ได้วิธีการสอนที่เหมาะสมกับผู้เรียน
• พัฒนาผลสัมฤทธิ์และทักษะผู้เรียน
• ครูเกิดความรู้และทักษะการวิจัย
• มีข้อมูลหลักฐานในการประเมินตนเองและพัฒนาวิชาชีพ

#ครูผู้นำการเปลี่ยนแปลง
#คลินิกวิทยฐานะpaครูสดใส
#เทรนวันนี้

12/08/2025

#ทรงพระเจริญ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ๑๒ สิงหาคม ๒๕๖๘

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ
ข้าพระพุทธเจ้า คณะผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่
สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ

👨‍🏫📌  #การบันทึกหลังสอน (Lesson Reflection หรือ Post-Teaching Record) คือการเขียนบันทึกสรุปและประเมินผลหลังจากการจัดการเ...
12/08/2025

👨‍🏫📌 #การบันทึกหลังสอน (Lesson Reflection หรือ Post-Teaching Record) คือการเขียนบันทึกสรุปและประเมินผลหลังจากการจัดการเรียนการสอนเสร็จสิ้นในแต่ละครั้ง เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการปรับปรุงและพัฒนาการสอนในครั้งต่อไป

♦️จุดประสงค์ของการบันทึกหลังสอน
1. ประเมินผลการสอน – ตรวจสอบว่าการสอนเป็นไปตามแผนหรือไม่
2. ประเมินผลผู้เรียน – ดูว่านักเรียนเข้าใจและบรรลุเป้าหมายการเรียนรู้มากน้อยแค่ไหน
3. ปรับปรุงการสอน – นำข้อบกพร่องและปัญหาที่พบไปแก้ไขในครั้งต่อไป
4. บันทึกเหตุการณ์สำคัญ – เก็บข้อมูลเป็นหลักฐานเพื่อใช้ในการประเมินตนเองหรือ PA

♦️โครงสร้างการบันทึกหลังสอน (ตัวอย่าง)
1. ข้อมูลพื้นฐาน
• วันที่สอน
• ชั้น/กลุ่มเรียน
• รายวิชา/หน่วยการเรียนรู้
• เรื่องที่สอน
2. สรุปผลการสอน
• สิ่งที่ทำได้ตามแผน
• สิ่งที่แตกต่างจากแผน
3. ผลการเรียนรู้ของนักเรียน
• จำนวนนักเรียนที่เข้าใจ/ยังไม่เข้าใจ
• ผลงานหรือคะแนนกิจกรรม
4. ปัญหาและอุปสรรค
• ด้านการสอน
• ด้านผู้เรียน
• ด้านสื่อหรืออุปกรณ์
5. แนวทางแก้ไขและปรับปรุง
• วิธีแก้ปัญหาในครั้งหน้า
• สื่อหรือกิจกรรมที่จะปรับเปลี่ยน
6. ข้อสังเกตเพิ่มเติม
• เหตุการณ์พิเศษ หรือพฤติกรรมเด่นของนักเรียน

#คลินิกวิทยฐานะpaครูสดใส
#ครูผู้นำการเปลี่ยนแปลง
#เทรนวันนี้
#ไฮไลท์

12/08/2025

✏️ การบันทึกหลังสอน...สิ่งเล็กๆ ที่ไม่ควรมองข้าม

การบันทึกหลังสอน คือเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ครู
✅ ทบทวนการสอนของตนเอง
✅ มองเห็นจุดแข็งและจุดที่ควรปรับปรุง
✅ วางแผนการสอนครั้งต่อไปได้มีคุณภาพยิ่งขึ้น

เมื่อครูบันทึกสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในห้องเรียน ไม่ว่าจะเป็น
📌 วิธีการสอนที่ใช้แล้วได้ผลดี
📌 ปัญหาหรืออุปสรรคที่พบ
📌 พฤติกรรมการเรียนรู้ของนักเรียน

สิ่งเหล่านี้จะกลายเป็น “คลังความรู้” ที่ช่วยพัฒนาการสอนอย่างต่อเนื่องเพราะ ครูที่เรียนรู้อยู่เสมอ คือแรงบันดาลใจให้นักเรียนรักการเรียนรู้เช่นกัน 🌱✨
มีครูหลายท่านทักมาว่าอยากได้ไฟล์เวียนบันทึกหลังสอนที่ผมเคยลงให้นานแล้ว ไฟล์นี้เหมาะกับคุณครูที่บันทึกหลังสอนแบบพิมพ์ และสามารถใช้จดหมายเวียนได้คล่องครับ
ลองนำไปปรับใช้ดูนะครับ>>
https://drive.google.com/drive/folders/16McqBSyPoYEaHw6RGXw4B-6APyfB4Bk5?usp=drive_link

12/08/2025

🔔 "จากปัญหาในห้องเรียน สู่การสร้างนวัตกรรมเพื่อผู้เรียน"

👩‍🏫 การวิจัยในชั้นเรียน (Classroom Research)
คือ เครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ครูเปลี่ยนบทบาท
จากผู้สอนเป็น "ครูนักวิจัย" ผู้มีระบบ
ความคิดเชิงวิทยาศาสตร์ในการแก้ปัญหา
พร้อมสร้างและพัฒนานวัตกรรมการสอน
ที่ตอบโจทย์ความแตกต่างของผู้เรียนได้อย่างแท้จริง

💁 มาดูกันว่าวงจรการวิจัยเชิงปฏิบัติการ
(Action Research Cycle)
จะช่วยขับเคลื่อนคุณภาพการศึกษาได้อย่างไร ⁉️

📘 การวิจัยในชั้นเรียน : กลไกขับเคลื่อนคุณภาพการศึกษาอย่างยั่งยืน

การวิจัยในชั้นเรียน (Classroom Research: CR) คือกระบวนการที่มุ่งแก้ปัญหาและยกระดับคุณภาพการจัดการเรียนรู้ของครูผู้สอนอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการ พัฒนาผลลัพธ์การเรียนรู้ (Learning Outcomes) ของผู้เรียนให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน

โดยแก่นแท้แล้ว การวิจัยในชั้นเรียนเปรียบเสมือนเครื่องมือที่ช่วยให้ครูเปลี่ยนจากการแก้ปัญหาตามสัญชาตญาณไปสู่การใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์ เพื่อสร้างและพัฒนานวัตกรรมการสอนที่ตอบโจทย์บริบทจริงของห้องเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

💁‍♀️ หลักการสำคัญของการวิจัยในชั้นเรียน
การวิจัยในชั้นเรียนมีหลักการสำคัญที่แตกต่างจากการวิจัยทั่วไป ดังนี้
✨️ ครูในฐานะนักวิจัย : ครูคือผู้เชี่ยวชาญที่ใกล้ชิดกับผู้เรียนมากที่สุด ทำให้สามารถระบุและทำความเข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างลึกซึ้ง การวิจัยจึงเริ่มต้นจากคำถามที่มาจากประสบการณ์จริงในแต่ละวันของครู

✨️ เป้าหมายเชิงปฏิบัติ : การวิจัยประเภทนี้ไม่ได้มุ่งสร้างทฤษฎีใหม่ แต่มีเป้าหมายที่ชัดเจน คือ การค้นหาวิธีปฏิบัติที่สามารถนำไปใช้แก้ไขปัญหาในห้องเรียนได้อย่างทันท่วงที

✨️ กระบวนการที่เป็นระบบ : การวิจัยช่วยเปลี่ยนการแก้ปัญหาที่อาศัยเพียงประสบการณ์ส่วนตัว ให้กลายเป็นกระบวนการที่มีแบบแผน สามารถตรวจสอบและอ้างอิงข้อมูลเชิงประจักษ์ได้ ทำให้การแก้ไขปัญหามีความน่าเชื่อถือและยั่งยืน

📙 วงจรการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research Cycle)
การวิจัยในชั้นเรียนดำเนินไปตามวงจรที่เข้าใจง่ายและสามารถปฏิบัติได้จริง ซึ่งเป็นที่รู้จักในนาม วงจรวิจัยเชิงปฏิบัติการ ประกอบด้วย 4 ขั้นตอนหลัก ได้แก่
🔸️ การวางแผน (Plan) : ครูระบุปัญหาที่เจาะจง กำหนดวัตถุประสงค์ และออกแบบนวัตกรรมหรือกิจกรรมใหม่ ๆ ที่คาดว่าจะสามารถแก้ไขปัญหานั้นได้ เช่น การสร้างสื่อการสอนใหม่ หรือการปรับเปลี่ยนเทคนิคการสอน

🔸️ การปฏิบัติ (Act) : ครูนำแผนที่วางไว้ไปใช้จริงในห้องเรียน โดยทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้และสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิด

🔸️ การสังเกต (Observe) : ในขณะที่ดำเนินการสอน ครูจะทำการรวบรวมข้อมูลอย่างเป็นระบบเพื่อประเมินผลที่เกิดขึ้น เช่น การใช้แบบสังเกตพฤติกรรม แบบทดสอบ หรือการวิเคราะห์ชิ้นงานของผู้เรียน เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงประจักษ์ที่สามารถนำมาวิเคราะห์ได้

🔸️ การสะท้อนผล (Reflect) : ครูนำข้อมูลที่รวบรวมได้มาวิเคราะห์และประเมินผล เพื่อพิจารณาว่าวิธีการที่ใช้นั้นประสบความสำเร็จตามเป้าหมายหรือไม่ ผลลัพธ์จากการสะท้อนนี้จะเป็นรากฐานสำคัญในการตัดสินใจว่าจะปรับปรุงแผนเดิมเพื่อเริ่มวงจรใหม่ หรือจะนำแนวทางที่ประสบความสำเร็จไปขยายผลต่อไป

💘 จากครูผู้สอน สู่ครูนักวิจัย...
📌 การวิจัยในชั้นเรียนเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาวิชาชีพครูและเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ครูสามารถสร้างและปรับปรุงการจัดการเรียนการสอนได้อย่างต่อเนื่อง
📌 การทำความเข้าใจและประยุกต์ใช้วงจรการวิจัยนี้จะช่วยให้ครูมีวิธีคิดเชิงระบบ สามารถสร้างนวัตกรรมการสอนที่ตอบสนองต่อความแตกต่างของผู้เรียนแต่ละคนได้อย่างแท้จริง
📌 อันจะนำไปสู่การยกระดับคุณภาพการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

สาวิตรี จุ้ยทอง

#วิชาการหวานเจี๊ยบ #วิจัยในชั้นเรียน #นวัตกรรม #นิเทศให้คำปรึกษา #แลกเปลี่ยนเรียนรู้

ที่อยู่

นวมินทร์
Bangkok
10240

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ คลินิกวิทยฐานะ PA กับครูสดใสผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์