NetZeroCarbon Everything about our planet and more 🌍

29/10/2025

REC คืออะไร? แล้วมีบทบาทยังไงในการบรรลุเป้าหมาย Net Zero? เดี๋ยวเรา recap ให้ฟัง #พลังงานสะอาด

คล้ายกับไทย ทุกครั้งที่ปลายปีมาเยือน ลมหนาวเริ่มพัดโชย ที่อินเดียมักจะมาพร้อมกับมลพิษฝุ่นครอบคลุมเมืองเดลี เมืองหลวงของป...
29/10/2025

คล้ายกับไทย ทุกครั้งที่ปลายปีมาเยือน ลมหนาวเริ่มพัดโชย ที่อินเดียมักจะมาพร้อมกับมลพิษฝุ่นครอบคลุมเมืองเดลี เมืองหลวงของประเทศ เป็นอันตรายต่อชาวเมืองไม่ต่างกับกรุงเทพฯ
ปัญหาฝุ่นของอินเดียเป็นปัญหาที่เรื้อรังมานานคล้ายกับประเทศไทย ทว่าในกรุงเดลี เมืองหลวง มีเทศกาลดีปาวลี อันเป็นเทศกาลแห่งแสงสว่างร่วมของศาสนาฮินดู ซิกข์ และเซน
‘เทศกาลดีปาวลี’ (Diwali) จะจัดขึ้นเป็นเวลา 5 วัน โดยเริ่มจากวันที่ 13 ของช่วงกาลปักษ์ถึงวันที่ 2 ของช่วงชุษณปักษ์ อันเป็นเดือนตามปฏิทินฮินดู ซึ่งในปี 2568 ตรงกับวันที่ 20 ตุลาคม เทศกาลนี้จะถึงจุดสว่างไสวที่สุดในวันที่ 3 ของเทศกาล เพราะจะมีการจุดพลุและประทัดจนทั่วทั้งเมืองไม่อาจหลับใหล และนั่นคือที่มาของปัญหาฝุ่นคลุมเมืองเดลี
ก่อนหน้าศาลสูงสุดของอินเดียได้มีห้ามการซื้อขายและจุดพลุบริเวณเดลี ทว่าก็มีการผ่อนปรนให้ใช้พลุและประทัดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเป็นเวลา 6 ชั่วโมงใน 2 วันของช่วงเทศกาลดีปาวลี แม้ผู้เชี่ยวชาญจะวิเคราะห์ไว้ว่าพลุและประทัดดังกล่าวปล่อยมลพิษน้อยกว่าชนิดปกติราว 20 – 30% และยังคงมีผลเสียต่อคุณภาพอากาศอยู่ดี
แต่จะโทษเพียงเทศกาลดีปาวลีอย่างเดียวก็คงไม่ได้ เพราะปัญหาฝุ่นของอินเดียยังมีอีก 2 ปัจจัยหลักคือการเผาทางการเกษตรและฝุ่นควันจากยานพาหนะ
จากรายงานของ India Today พบว่าการเผาไร่และตอซังบริเวณรัฐปัญจาบ เพิ่มขึ้น 3 เท่าใน 10 วัน ด้วยจำนวนการเผากว่า 350 แห่ง จากเพียง 116 แห่งในวันที่ 11 ตุลาคม ซึ่งอินเดียก็ประสบปัญหาในเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจคล้ายกับไทยที่การเผาที่วิธีการที่ถูกที่สุดในการจัดการพื้นที่หลังการเก็บเกี่ยว
มีรายงานว่ามลพิษดังกล่าวส่งผลให้ประชาชนเกิดอาการไอ แสบตา และหายใจไม่ออก อีกทั้งยังส่งผลต่อสุขภาพร่างกายในระยะยาวอีกด้วย
ส่วนประเทศไทยก็ใกล้เข้าฤดูฝุ่นอีกปีแล้ว เราก็หวังว่าฝุ่นร้ายจะเบาลงกว่าปีที่ผ่านๆ มา ไม่เหมือนกับอินเดียที่ต้องเผชิญฝุ่นร้ายจากหลายแหล่งจนปกคลุมไปทั่วนคร

#ภาวะโลกร้อน #ฝุ่น #ฝุ่นPM #อินเดีย #ดีปาวลี
ที่มา
https://www.bbc.com/news/articles/ckg4d9kq2eno
https://curadio.chula.ac.th/Program-Detail.php?id=12524

เชือก อวน ลูกทุ่น สารพัดสีสัน ที่คลื่นทะเลซัดสาดกลับคืนชายฝั่งอันดามัน สิ่งของไร้ค่าที่เราต่างเรียกมันรวม ๆ ด้วยชื่อว่า ...
28/10/2025

เชือก อวน ลูกทุ่น สารพัดสีสัน ที่คลื่นทะเลซัดสาดกลับคืนชายฝั่งอันดามัน สิ่งของไร้ค่าที่เราต่างเรียกมันรวม ๆ ด้วยชื่อว่า ‘ขยะทะเล’ คือ วัสดุที่เราต้องใช้ตกแต่งกระเป๋าจากอวนจับปลาที่จะมีเพียงชิ้นเดียวในโลกด้วยฝีมือของตัวเอง ภายใต้แบรนด์ SFTS (Souvenirs From The Sea)
คุณ ณ-วิยะดา โค้วศานติ เจ้าของไอเดียการชุบชีวิตขยะทะเลให้กลับมาโลดแล่นได้อีกครั้ง ด้วยวิธีการ Upcycling ที่กระบวนการผลิตจะไม่มีความเกี่ยวข้องกับการใช้เครื่องจักร หรือสารเคมี เพียงแต่นำขยะเหล่านั้นมาทำความสะอาดอีกครั้ง และออกแบบ ตกแต่ง เป็นของชิ้นใหม่ที่มีมูลค่าทางใจและสิ่งแวดล้อม โดยวัสดุลอยทะเลเหล่านี้ได้ถูกรวบรวมมาจาก 2 จังหวัดด้วยกัน คือ กระบี่ และตรัง เว้นแต่ผ้าปาเต๊ะที่เป็นของใหม่ เพราะต้องการเพิ่มสีสันและสร้างลวดลวยที่สวยงาม
การได้มาเยือน SFTS ถึงที่ในครั้งนี้ ทำให้เราได้เห็นถึงไอเดียสร้างสรรค์อันไม่จำกัด จากของเพียงไม่กี่ชิ้นแต่กลับสามารถประดิษฐ์ออกมาได้หลากหลายวัตถุประสงค์ในรูปแบบที่แตกต่างอย่างเป็นเอกลักษณ์ ไม่ว่าจะเป็นพวงกุญแจรูปสัตว์ต่าง ๆ หรือกระเป๋าสะพายขนาดน้อยใหญ่ ซึ่งทั้งหมดล้วนทำด้วยมือ สะท้อนถึงความใส่ใจในทุกขั้นตอนที่ไม่ใช่แค่ช่วยลดภาระทะเลเท่านั้น แต่ยังทำให้ผู้รับรู้สึกได้ถึงความพิเศษอีกด้วย
และเมื่อเราได้มีโอกาสลงมือทำด้วยตัวเองแล้ว ก็ยิ่งรู้สึกเห็นคุณค่าของสิ่งนี้มากขึ้นเพราะทุก ๆ รายละเอียดของลวดลายบนกระเป๋านั้น คือจินตนาการที่สะท้อนออกมาให้สามารถจับต้องได้จริง ทั้งยังช่วยสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับสิ่งแวดล้อมไปในตัวด้วย และมากไปกว่านั้นคือ ความแตกต่างที่ไม่ซ้ำใครนี้ ก็นำมาซึ่งบทสนทนาใหม่ ๆ กับผู้คนที่พบเจอในชีวิตประจำวัน ที่ไม่วายต้องแวะเข้ามาทักว่า ‘กระเป๋าใบนี้ทำมาจากอะไร ทำไมดูแปลกตา’ หรือจะเป็นคำชมที่ว่า ‘กระเป๋าสวยนะ ดูเข้ากันกับเราดี’ และอีกมากมาย
เห็นได้ว่าของที่มีคุณค่านั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นของใหม่แกะกล่องเสมอไป เพราะเพียงแค่ทำออกมาจากหัวใจก็สามารถสร้างความประทับใจไปได้ไม่รู้จบแล้ว

#ททท #การท่องเที่ยว #กระบี่ #ขยะทะเล #งานคราฟต์

พื้นที่ชุ่มน้ำในประเทศไทยกำลังเข้าสู่วิกฤต เนื่องจากรัฐไม่รู้ถึงความสำคัญและทำลายพื้นที่ดังกล่าว จนปัจจุบันพื้นที่ชุ่มน้...
28/10/2025

พื้นที่ชุ่มน้ำในประเทศไทยกำลังเข้าสู่วิกฤต เนื่องจากรัฐไม่รู้ถึงความสำคัญและทำลายพื้นที่ดังกล่าว จนปัจจุบันพื้นที่ชุ่มน้ำหายไปเกือบครึ่ง นำสู่ปัญหาน้ำท่วม ขาดแคลนอาหาร กระทบความหลากหลายทางชีวภาพ และขาดแหล่งกักเก็บคาร์บอน
‘พื้นที่ชุ่มน้ำ’ (Wetland) คือพื้นที่ที่ปกคลุมไปด้วยน้ำหรือชุ่มไปด้วยน้ำตามฤดูกาล ทั้งจากน้ำใต้ดิน แม่น้ำ ทะเล หรือทะเลสาบ บางแห่งเป็นพื้นที่ที่รวมทั้งแหล่งน้ำจืดและน้ำเค็มเข้าด้วยกัน ทำให้มีพืชและสัตว์อาศัยอยู่หลายชนิด ส่งผลให้มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงโดยปริยาย
และเหตุที่มันเป็นแอ่งน้ำ ทำให้มันกลายเป็นพื้นที่พักน้ำ ป้องกันน้ำท่วม ลดการพังทลายของหน้าดิน ควบคุมการไหลเวียนของน้ำ นอกจากนั้นพื้นที่ชุ่มน้ำยังเป็นแหล่งอาหารของชุมชนท้องถิ่น อีกทั้งยังเป็นแหล่งดูดซับคาร์บอนที่สำคัญของโลก โดยมันสามารถกักเก็บคาร์บอนได้มากกว่าป่าไม้ 5 – 10 เท่า เลยทีเดียว
ปัจจุบันทั่วโลกมีพื้นที่ชุ่มน้ำเพียง 1.6 – 2% ของพื้นที่ทั้งหมด ส่วนในประเทศไทยมีสัดส่วนราว 7.5% ของพื้นที่ประเทศ ทว่าพื้นที่ชุ่มน้ำของเรากลับเสื่อมโทรมมากขึ้น จากการใช้พื้นที่โดยไม่ไตร่ตรองของรัฐและเอกชน
พื้นที่ชุ่มน้ำในไทยถูกใช้ไปกับการแปลงเป็นพื้นที่การเกษตร การแผ่ขยายของชุมชนเมือง การสร้างเขื่อน และการจัดการน้ำ มลพิษ รวมถึงการสร้างโครงการขนาดใหญ่ของรัฐ ทำให้ปัจจุบันมีพื้นที่ชุ่มน้ำลดลงเกินครึ่งนึงไปแล้ว
แม้ว่าเมื่อ 20 ปีที่แล้วไทยได้เข้าร่วมภาคีอนุสัญญาพื้นที่ชุ่มน้ำโลก หรืออนุสัญญาแรมซาร์ (Ramsar Convention) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่ออนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากพื้นที่ลุ่มน้ำอย่างยั่งยืน ทว่าอีกด้านหนึ่งกฎหมายคุ้มครองพื้นที่ชุ่มน้ำในไทยกลับยังคงกลวงเปล่า ทั้งยังไม่มีแม้คำนิยามของ ‘พื้นที่ชุ่มน้ำ’ ในเชิงกฎหมาย ทำให้การมีอยู่ของพวกมันเป็นสิ่งคลุมเครือ
อย่างไรก็ดีพรรคประชาชนได้ดำเนินการยื่นร่าง พ.ร.บ.พื้นที่ชุ่มน้ำเข้าสภาฯ เมื่อวันที่ 2 ต.ค. ที่ผ่านมาแล้ว เนื่องจากเกิดปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากในหลายจังหวัด ซึ่งพ.ร.บ. นี้จะทำให้พื้นที่ชุ่มน้ำได้รับการคุ้มครองโดยกฎหมายอย่างแท้จริง โดยเราก็ต้องดูกันต่อไปว่าจะมีการบังคับใช้เมื่อใด

#ภาวะโลกร้อน #พื้นที่ชุ่มน้ำ #ป่าชายเลน #น้ำท่วม
ที่มา
https://policywatch.thaipbs.or.th/article/agriculture-55
https://www.epa.gov/wetlands/what-wetland

“พระเจ้าอยู่หัวเป็นน้ำ ฉันจะเป็นป่า ป่าที่ถวายความจงรักภักดีต่อน้ำ พระเจ้าอยู่หัวสร้างอ่างเก็บน้ำ ฉันจะสร้างป่า” พระราชด...
27/10/2025

“พระเจ้าอยู่หัวเป็นน้ำ ฉันจะเป็นป่า ป่าที่ถวายความจงรักภักดีต่อน้ำ พระเจ้าอยู่หัวสร้างอ่างเก็บน้ำ ฉันจะสร้างป่า” พระราชดำรัส สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ปวงชนชาวไทยต่างคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี และได้เห็นพระองค์ทรงเป็นแบบอย่างแห่งการทรงงาน ในการเป็นกำลังสำคัญเคียงคู่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรตลอดระยะเวลากว่าครึ่งศตวรรษ

และเพื่อรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ บทความนี้ขอพาทุกท่านย้อนถึงพระราชกรณียกิจสำคัญอันทรงคุณค่า ด้านสิ่งแวดล้อม ที่สร้างคุณูปการแก่แผ่นดินไทย และพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีแก่ราษฎรไทยตลอดมา ซึ่งได้แก่

“โครงการป่ารักน้ำ” พระราชปณิธานคืนความชุ่มชื้นสู่ผืนดิน เพื่อฟื้นฟูสภาพป่าต้นน้ำ พัฒนาที่ดินรกร้าง ป่าเสื่อมโทรม ซึ่งเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2525 ณ บ้านถ้ำติ้ว อำเภอส่องดาว จังหวัดสกลนคร โดยโปรดให้ชาวบ้านร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการอนุรักษ์ต้นไม้ เริ่มด้วยการนำไม้โตเร็วมาปลูกเพื่อเป็นร่มเงาแก่ไม้เศรษฐกิจ และช่วยกันดูแล เพื่อสร้างความรู้สึกรักและหวงแหนต้นไม้ให้เกิดแก่ประชาชน เมื่อไม้เศรษฐกิจเติบโตแข็งแรงก็อนุญาตให้ชาวบ้านตัดไม้เพื่อใช้สอยได้

"โครงการฟาร์มตัวอย่างตามพระราชดำริ" แหล่งเรียนรู้ด้านเกษตรแบบครบวงจร ที่ถ่ายทอดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2540 ณ บ้านขุนแตะ อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อสร้างงาน สร้างรายได้ และส่งเสริมงานด้านศิลปหัตถกรรมพื้นบ้าน อันสอดคล้องกับสภาพภูมิประเทศและวิถีชีวิตของชุมชนในแต่ละพื้นที่ โดยมีแนวคิดสำคัญคือ "ขาดทุนคือกำไร" หรือการมองข้ามผลกำไรทางธุรกิจ แต่ยึดประโยชน์สุขของประชาชนเป็นที่ตั้ง โดยไม่ต้องทำลายทรัพยากรธรรมชาติจนหมดสิ้นไป ซึ่งปัจจุบันนี้มีโครงการดังกล่าวกว่า 50 แห่งทั่วประเทศ

“โครงการสมเด็จฯ อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล” ณ เกาะมันใน จังหวัดระยอง นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานทรัพย์สินส่วนพระองค์ ให้กรมประมงดำเนินโครงการตามพระราชดำริ พัฒนาพื้นที่ประมาณ 137 ไร่ เพื่ออนุรักษ์เต่าทะเล โดยพระราชทานเต่าทะเลสำหรับเพาะพันธุ์ และลูกเต่าทะเลรวม 100 ตัว นำไปปล่อยสู่ท้องทะเลอ่าวไทย ที่เกาะมันใน เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2522 เพื่อขยายพันธุ์ในท้องทะเลไทยจนประสบผลสำเร็จ และหัวใจการอนุรักษ์นี้ก็ได้ถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นจนถึงปัจจุบัน

พระราชกรณียกิจเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ซึ่งทั้งหมดล้วนสะท้อนให้เห็นพระปรีชาญาณอันลึกซึ้งด้านสิ่งแวดล้อม ทรงเข้าใจความสัมพันธ์ของ “ป่า – น้ำ – คน” อย่างแท้จริง

#พระพันปีหลวง
#สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์

สถิตอยู่ในใจตราบนิรันดร์ น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ หาที่สุดมิได้ข้าพระพุทธเจ้า ผู้บริหาร และพนักงาน บริษัท เนทซีโรคาร์...
25/10/2025

สถิตอยู่ในใจตราบนิรันดร์
น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ หาที่สุดมิได้
ข้าพระพุทธเจ้า ผู้บริหาร และพนักงาน บริษัท เนทซีโรคาร์บอน จำกัด

‘หม่าล่าหม้อไฟ’ เมนูจากแดนไกล ที่ครองใจคนไทยจำนวนมาก จนแทบจะกลายเป็นอาหารประจำชาติตัวเองไปแล้วทุกวันนี้นั้น เบื้องหลังขอ...
24/10/2025

‘หม่าล่าหม้อไฟ’ เมนูจากแดนไกล ที่ครองใจคนไทยจำนวนมาก จนแทบจะกลายเป็นอาหารประจำชาติตัวเองไปแล้วทุกวันนี้นั้น เบื้องหลังของมันกลับสร้างขยะอาหารจำนวนไม่น้อยเอาไว้เช่นกัน
ข้อมูลในเมืองเฉิงตู ประเทศจีน ที่ผู้คนนิยมหม้อไฟรสเผ็ดร้อนเป็นชีวิตจิตใจนั้น มีการทิ้งน้ำมันใช้แล้วราว 150,000 ตัน จากร้านอาหารในเมืองนี้ทุกปี ทำให้บริษัทเสฉวนจินฉาง เอ็นไวรอนเมนทัล โพรเทคชั่น เทคโนโลยี จำกัด มองเห็นลู่ทางในการเปลี่ยนขยะเหล่านี้ให้กลายเป็นทรัพยากรอันล้ำค่าอีกครั้ง ด้วยคติประจำใจคือ ‘ปล่อยให้น้ำมันจากท่อระบายน้ำ ได้ทะยานขึ้นไปสู่ท้องฟ้า’
บริษัทแห่งนี้ได้ทำการเก็บรวบรวมน้ำซุปเข้มข้นจากร้านหม้อไฟ และร้านอาหารอื่น ๆ ทั่วเฉิงตู จากนั้นนำมาคัดกรองพิเศษแยกน้ำออกจากน้ำมัน (รวมถึงน้ำมันจากร้านเคเอฟซี) เพื่อส่งต่อไปยังถังขนาดใหญ่และเข้าสู่กระบวนการกลั่นที่กำจัดน้ำและสิ่งเจือปนที่เหลืออยู่ จนได้เป็นน้ำมันเกรดอุตสาหกรรมที่ใสและมีสีเหลือง พร้อมส่งออกไปยังลูกค้าในโซนยุโรป สหรัฐอเมริกา และสิงคโปร์ ในการนำไปผลิตเชื้อเพลิงการบินที่ยั่งยืน (SAF) ต่อไป
นอกจากนี้เสฉวนจินฉางก็ยังได้ร่วมมือกับบริษัท Honeywell ผู้นำด้านเทคโนโลยีที่สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน ในการร่วมก่อสร้างโรงงานผลิต SAF ปริมาณ 300,000 ตันต่อปี ณ เมืองซุยหนิง มณฑลเสฉวน ประเทศจีน เพื่อขยายกำลังการผลิตและส่งเสริมอุตสาหกรรมการบินอย่างยั่งยืนในจีนร่วมด้วย
แม้ว่ารูปแบบธุรกิจนี้ จะยังไม่ได้เกิดขึ้นอย่างแพร่หลาย แต่ก็ถือได้ว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี และมีโอกาสอีกมากมายที่จะตามมาได้ในอนาคต อย่างถ้าร้านไหนมีการจัดการขยะอาหารในรูปแบบดังกล่าว การแปะป้ายว่า ‘หม่าล่ามื้อนี้ของคุณ กำลังช่วยเติมเชื้อเพลิงเครื่องบินในอนาคต’ ก็อาจกลายเป็นอีกหนึ่งจุดขาย ที่ทั้งสร้างความแตกต่าง และสร้างความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อมไปได้พร้อมๆ กันอย่างลงตัว

#ขยะอาหาร #หม่าล่าหม้อไฟ #หม่าล่า #เชื้อเพลิง #เครื่องบิน
ที่มา :
https://www.lifestyleasia.com/bk/whats-on/news-whats-on/hotpot-oil-turned-to-jet-fuel-sichuan-jinshang-environmental-protection/
https://www.saladplate.com/from-hotpot-to-high-altitudes-chengdus-sichuan-jinshang-environmental-protection-technology-co-transforms-leftover-steamboat-oil-into-sustainable-jet-fuel/
https://www.asiaone.com/lifestyle/hotpot-high-altitudes-how-china-using-leftover-oil-fuel-planes

หลายปีผ่านมานี้ความไม่มั่นคงของโลก ได้กระตุกให้ราคาทองคำขึ้นสูงจนเป็นประวัติการณ์ แต่สิ่งที่เรานึกไม่ถึงคือมันดันทำให้ป่...
24/10/2025

หลายปีผ่านมานี้ความไม่มั่นคงของโลก ได้กระตุกให้ราคาทองคำขึ้นสูงจนเป็นประวัติการณ์ แต่สิ่งที่เรานึกไม่ถึงคือมันดันทำให้ป่าแอมะซอนถูกรุกจากการทำเหมืองทองผิดกฎหมาย อีกทั้งยังปล่อยมลพิษลงสู่แหล่งน้ำอีกด้วย
โครงการติดตามเขตแอมะซอนแอนดีน (Monitoring of the Andes Amazon Program; MAAP) และ Conservación Amazónica องค์กรพันธมิตรในเปรู ได้รายงานว่าการทำเหมืองทองผิดกฎหมายในประเทศเปรูได้ทำลายพื้นที่ป่าแอมะซอนไปแล้ว 139,169 เฮกตาร์ (ราว 875,000 ไร่)
ตั้งแต่ปี 1984 พื้นที่ป่าในประเทศเปรูได้ถูกถางทำลายเพื่อแปรสภาพเป็นเหมือง และมันก็กำลังแผ่ขยายไปทั่วประเทศอย่างรวดเร็ว
การทำเหมืองทองทำให้แหล่งน้ำเป็นพิษ เนื่องจากพวกทำเหมืองผิดกฎหมายได้ใช้เครื่องขุดลอก ซึ่งเป็นเครื่องจักรที่ลอยอยู่กลางน้ำ มีการสูบและปล่อยตะกอนใต้น้ำ เพื่อหาทองที่ซ่อนอยู่ผ่านสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ และสิ่งมีชีวิต
ขณะที่ราคาทองกำลังพุ่งสูงที่สุดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เหล่าชนพื้นเมืองกลับได้รับผลกระทบจากทำเหมืองดังกล่าว เนื่องจากพวกทำเหมืองผิดกฎหมายมาพร้อมกลุ่มติดอาวุธ ตัดต้นไม้ไม่เลือกหน้า ทำลายที่อยู่อาศัย แหล่งหากิน และแหล่งน้ำของพวกเขา
ขณะที่อีกชุดข้อมูลจากชุมชนแม่น้ำในเปรูตอนเหนือระบุว่า ค่าเฉลี่ยของสารปรอทที่พบในแม่น้ำบริเวณดังกล่าวมีสูงกว่าที่องค์การอนามัยโลก (World Health Organization; WHO) จำกัดไว้ถึง 4 เท่า และมีแหล่งน้ำกว่า 225 แห่งได้รับผลกระทบดังกล่าว

#ทองคำ #ราคาทอง #ทองราคาขึ้น #ป่าแอมะซอน #ทำลายป่า #ภาวะโลกร้อน
ที่มา:
https://www.bangkokbiznews.com/environment/1203483
https://www.maapprogram.org/gold-mining-peru-amazon/
https://www.theguardian.com/environment/2025/oct/08/gold-mining-deforestation-peru-amazon

เป็นที่รู้กันดีว่าอุณหภูมิโลกของเรากำลังพุ่งสูงขึ้น ความร้อนแพร่กระจายไปทั่วทุกหัวระแหง ทว่าบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกตอนเหนื...
23/10/2025

เป็นที่รู้กันดีว่าอุณหภูมิโลกของเรากำลังพุ่งสูงขึ้น ความร้อนแพร่กระจายไปทั่วทุกหัวระแหง ทว่าบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกตอนเหนือกลับมีคลื่นความร้อนปริศนา ที่ทำให้อุณหภูมิของมันพุ่งสูงเกินกว่าที่ควรจะเป็นเสียอีก
อุณหภูมิผิวน้ำของมหาสมุทรแปซิฟิกตอนเหนือช่วงเดือนกรกฎาคม – กันยายน สูงกว่าปี 2022 ถึง 0.25 องศาเซลเซียส ความร้อนนั้นแผ่ขยายไปทั่วจนมีขนาดใหญ่กว่าเมดิเตอร์เรเนียนถึง 10 เท่า แม้เราจะสามารถบอกได้ว่าปัญหาโลกร้อนคือสาเหตุของคลื่นความร้อนมหาสมุทร ทว่านักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่สามารถหาสาเหตุแน่ชัดได้ว่าทำไมบริเวณนี้ถึงร้อนกว่า และร้อนนานขนาดนี้
BBC ได้วิเคราะห์ไว้ว่าอุณหภูมิของบริเวณแปซิฟิกเหนือไม่ได้สูงขึ้นในรอบหลายศตวรรษอย่างเดียว ทว่าในปี 2025 ได้สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และภาวะที่น่าหวาดหวั่นนี้ได้อยู่เหนือการคำนวณของเหล่านักวิทยาศาสตร์ พวกเขาใช้จำลองผ่านคอมพิวเตอร์เป็นตัวช่วยและพบว่ามันมีโอกาสที่จะมีอุณหภูมิสูงขึ้นขนาดนี้ได้น้อยกว่า 1% ต่อปีเสียอีก
กระนั้นนักวิทยาศาสตร์ก็คิดว่าสภาพอากาศมีส่วนสำคัญ เนื่องจากกระแสลมแปซิฟิกฤดูร้อนนี้อ่อนกำลังกว่าปีอื่น ทำให้ความเย็นจากกระแสน้ำเย็นไม่สามารถเข้ามาแทนที่ความร้อนที่อยู่บนผิวน้ำได้ทัน
อีกทั้งยังมีการคาดการณ์ไว้อีกว่าอาจมีส่วนมาจากการยกเลิกใช้ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (Sulfur dioxide) เป็นเชื้อเพลิงเรือขนส่งสินค้า แม้ว่ามันจะเป็นอันตรายต่อมนุษย์ แต่สารนั้นก็ช่วยสะท้อนความร้อนจากแสงอาทิตย์กลับไปสู่ชั้นบรรยากาศได้
สมมติฐานสุดท้ายคือประเทศจีนมีอากาศสะอาดขึ้น (?) นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่ามลพิษทางอากาศช่วยสะท้อนความร้อนได้เหมือนกับซัลเฟอร์ไดออกไซด์
การหายไปของมลพิษและซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ทำให้เราได้เห็นว่าแท้จริงแล้วการพุ่งสูงของอุณหภูมิโลกได้พุ่งสูงขึ้นไปขนาดไหนแล้ว คลื่นความร้อนปริศนานี้อาจเป็นการเตือนภัยครั้งแรกของโลกก็ได้

#ภาวะโลกร้อน #คลื่นความร้อน #คลื่นความร้อนมหาสมุทร #อุณหภูมิโลก #อุณหภูมิโลกสูงขึ้น
ที่มา :
https://www.bbc.com/news/articles/ce3xynwwx4yo
https://berkeleyearth.org/august-2025-temperature-update/

ประเทศไทยอาจคุ้นเคยกับยุงเป็นอย่างดี ส่วนประเทศอันหนาวเหน็บที่อยู่อีกซีกโลกอย่างไอซ์แลนด์กลับไม่ได้มียุงเป็นสัตว์ประจำถิ...
23/10/2025

ประเทศไทยอาจคุ้นเคยกับยุงเป็นอย่างดี ส่วนประเทศอันหนาวเหน็บที่อยู่อีกซีกโลกอย่างไอซ์แลนด์กลับไม่ได้มียุงเป็นสัตว์ประจำถิ่น ทว่าอุณหภูมิที่สูงขึ้นกลับทำให้ประเทศที่ไม่มีเคยมียุงกลายเป็นที่อยู่อาศัยของพวกมัน
‘ไอซ์แลนด์’ อยู่ในยุโรปตอนเหนือ ตั้งบนเกาะในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ เนื่องจากอยู่เกือบเหนือสุดของโลกทำให้เป็นประเทศที่มีอุณหภูมิหนาวเย็นเกือบตลอดปี และไม่เหมาะสำหรับการเป็นที่อยู่อาศัยของแมลงหลายชนิด ซึ่งยุงก็เป็นหนึ่งในนั้น
แต่ด้วยผลพวงของภาวะโลกร้อน ที่ทำให้อากาศบริเวณขั้วโลกเหนือ รวมถึงไอซ์แลนด์ มีอุณภูมิสูงขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ โดยมีผลวิจัยบอกว่าบริเวณนั้นได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อนมากกว่าบริเวณอื่นของโลกถึง 4 เท่า ทำให้ธารน้ำแข็งเริ่มละลายและกลายเป็นสถานที่เหมาะเจาะสำหรับการวางไข่ของยุงไปโดยปริยาย
การเข้ามาของยุงเท่ากับว่าเป็นการนำโรคต่างถิ่นเข้าสู่ไอซ์แลนด์ด้วย ทั้งไข้เลือดออก ไข้ปวดข้อยุงลาย และไข้ซิกา แน่นอนว่าชาวไอซ์แลนด์ย่อมไม่คุ้นชินกับไข้พวกนี้ ต่างกับชาวเมืองร้อนอย่างเราที่รู้วิธีรับมือและมีภูมิคุ้มกันจากโรคที่มียุงเป็นพาหะ
อีกสิ่งที่น่าเป็นห่วงคือยุงพวกนี้สามารถต้านทานสภาพอากาศของไอซ์แลนด์และความหนาวเหน็บได้ โดยการหาที่อยู่อาศัยในฤดูหนาว เช่น ชั้นใต้ดิน ยุ้งฉาง
นอกจากไอซ์แลนด์แล้ว ยังมีพื้นที่อื่นที่พบยุงทั้งที่ไม่ใช่ถิ่นกำเนิดของพวกมัน เช่น แอนตาร์กติกาที่พบยุงเป็นครั้งแรก สหราชอาณาจักรที่พบยุงสายพันธุ์เมืองร้อนเป็นครั้งแรก แสดงให้เห็นว่าภาวะโลกร้อนส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไม่รู้จบ และเราในฐานะคนไทยเองก็คงรู้ว่าโรคร้ายจากยุงนั้นอันตรายแค่ไหน (อีกทั้งยังสงสัยด้วยว่า ยุงไอซ์แลนด์นี่จะบินหรือเดิน)

#ภาวะโลกร้อน #อุณหภูมิโลก #อุณหภูมิโลกสูงขึ้น #ไอซ์แลนด์ #ขั้วโลกเหนือ #ธารน้ำแข็ง
ที่มา :
https://www.theguardian.com/environment/2025/oct/21/mosquitoes-found-iceland-first-time-climate-crisis-warms-country
https://www.britannica.com/place/Iceland
https://heathealth.info/news/climate-change-drives-record-breaking-heat-in-iceland-and-greenland-challenging-cold-adapted-ecosystems-and-societies/

22/10/2025

เลิกสร้างเมืองจากความกลัว ปลดล็อกศักยภาพของเมือง-คนที่จะอยู่กับน้ำ ให้เข้าใจธรรมชาติอย่างแท้จริง
กับ คุณกชกร วรอาคม ภูมิสถาปนิก


#กทม #กรุงเทพมหานคร #ชัชชาติ #สร้างเมือง

ที่อยู่

33 SoiSoonvijai 4 Bangkapi Huaykwang
Bangkok
10310

เวลาทำการ

จันทร์ 09:00 - 17:30
อังคาร 09:00 - 17:30
พุธ 09:00 - 17:30
พฤหัสบดี 09:00 - 17:30
ศุกร์ 09:00 - 17:30

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ NetZeroCarbonผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง NetZeroCarbon:

แชร์