สำนักข่าวราษฎร - Ratsadon News

สำนักข่าวราษฎร - Ratsadon News สำนักข่าวราษฎร เกาะติดความเคลื่อนไ

ตำรวจ บก.น.5 ตรวจค้นหนุ่มต่างชาติ ลักลอบขนจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า ย่านสุขุมวิท พบของกลางอื้อเมื่อวันที่ 14 ต.ค.2568 ชุดเคลื่อ...
14/10/2025

ตำรวจ บก.น.5 ตรวจค้นหนุ่มต่างชาติ ลักลอบขนจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า ย่านสุขุมวิท พบของกลางอื้อ

เมื่อวันที่ 14 ต.ค.2568 ชุดเคลื่อนที่เร็ว บก.น.5 ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.วิทวัฒน์ ชินคำ ผบก.น.5 และพ.ต.ท.วรายุทธ พวงนาค สว.สอบสวน สน.ลุมพินี ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าชุดเคลื่อนที่เร็ว บก.น.5 ร่วมกันจับกุม MR.ZIN MIN TUN สัญชาติ เมียนมาร์ อายุ : 32 ปี ในข้อกล่าวหาช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ หรือรับไว้ไว้โดยประการใดซึ่งของอันตนรู้ว่าเป็นของที่เข้ามาในราชอาณาจักร โดยยังไม่ได้ผ่านพิธีการศุลกากรโดยถูกต้อง ตามมาตรา 246 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2560“ ณ สถานที THE GAME BANGKOK ถ.สุขุมวิท แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร

พร้อมด้วยของกลาง
1. บุหรี่ไฟฟ้ายี่ห้อ QUIK จำนวน 27 ชิ้น
2.บุหรี่ไฟฟ้ายี่ห้อ ESKOBAR จำนวน 10 ชิ้น
3.บุหรี่ไฟฟ้ายี่ห้อ MARBO 9K จำนวน 28 ชิ้น
4.บุหรี่ไฟฟ้ายี่ห้อ ELFBAR จำนวน 26 ชิ้น
5.บุหรี่ไฟฟ้ายี่ห้อ MUHAMEDS จำนวน 2 ชิ้น
6.บุหรี่ไฟฟ้ายี่ห้อ JUNGLE BOYS จำนวน 1 ชิ้น
7.ถุงพลาสติกแบบซิปล็อคจำนวน 7 ถุง (ใช้ใส่ของกลางรายการที่ 1-6)

โดยขณะที่ชุดเคลื่อนที่เร็ว บก.น.5 ออกตรวจพื้นที่ภายในเขตรับผิดชอบ เมื่อผ่านไปถึง บริเวณหน้าร้าน THE GAME BANGKOK ถ.สุขุมวิท แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร พบ MR.ZIN MIN TUN ขับขี่รถจักรยานยนต์ยี่ห้อ ยามาฮา รุ่นเอ็นแม็ก สีดำ หมายเลขทะเบียน 9กฎ 3835 กทม ในลักษณะย้อนเส้นทางและไม่สวมหมวกนิรภัย มาในบริเวณดังกล่าว

เมื่อ MR.ZIN MIN TUN เห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แสดงอาการตกใจ ดูมีพิรุธ เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงเรียกให้หยุด และขออนุญาตทำการตรวจค้น โดย ร.ต.อ.ชัยวรรณ์ วั่นซ้วน (เจ้าพนักงาน ป.ป.ส. เลขประจำตัว 6800579) ได้สั่งการให้ จ.ส.ต.กิตติพล ทับเทียร เป็นผู้ตรวจค้น ขณะตรวจค้นในบริเวณนั้นมีแสงสว่างจากหลอดไฟฟ้าข้างทาง และไฟฉายของเจ้าหน้าที่ตำรวจส่องสว่างเพียงพอในการตรวจค้น ก่อนทำการตรวจค้นได้แสดงความบริสุทธิ์ จนเป็นที่พอใจแล้วจึงได้เริ่มทำการตรวจค้น ผลการตรวจค้นพบ บุหรี่ไฟฟ้ายี่ห้อ QUIK จำนวน 27 ชิ้น (ตามบัญชีของกลางรายการที่ 1) บุหรี่ไฟฟ้ายี่ห้อ ESKOBAR จำนวน 10 ชิ้น (ตามบัญชีของกลางรายการที่ 2) บุหรี่ไฟฟ้ายี่ห้อ MARBO 9K จำนวน 28 ชิ้น (ตามบัญชีของกลางรายการที่ 3) บุหรี่ไฟฟ้ายี่ห้อ ELFBAR จำนวน 26 ชิ้น (ตามบัญชีของกลางรายการที่ 4) บุหรี่ไฟฟ้ายี่ห้อ MUHAMEDS จำนวน 2 ชิ้น (ตามบัญชีของกลางรายการที่ 5) บุหรี่ไฟฟ้ายี่ห้อ JUNGLE BOYS จำนวน 1 ชิ้น (ตามบัญชีของกลางรายการที่ 6) โดยของกลางทั้งหมดแยกแบ่งบรรจุอยู่ในถุงพลาสติกแบบซิปล็อคจำนวน 7 ถุง (ตามบัญชีของกลางรายการที่ 7) (ใช้ใส่ของกลางรายการที่ 1-6) สอบถาม MR.ZIN MIN TUN ยอมรับว่า บุหรี่ไฟฟ้าของกลางดังกล่าวเป็นของตนเองจริง โดยได้นำมาจากเจ้านายชื่อตี๋ เพื่อมาขายให้กับลูกค้าชาวต่างชาติในย่านถนนสุขุมวิทในราคาชิ้นละ 250-300 บาท จากซอยสุขุมวิท 22 โดยได้ค่าแรงวันละ 400 บาท

เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้แจ้งข้อกล่าวหา พร้อมแจ้งสิทธิให้ผู้ถูกจับทราบ และทำบันทึกการจับกุม ควบคุมตัวผู้ถูกจับกุมพร้อมของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวน สน.ลุมพินี ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

#สำนักข่าวราษฎร #บกน5 #ลุมพินี #ตำรวจ

ส.ก.ยานนาวา เร่งช่วยเหลือเด็กถูกทิ้งนอนปั๊มน้ำมัน ย่านสาธุประดิษฐ์ ประสาน พม. บ้านพักเด็กเข้าดูแลต่อเนื่องเมื่อวันที่ 14...
14/10/2025

ส.ก.ยานนาวา เร่งช่วยเหลือเด็กถูกทิ้งนอนปั๊มน้ำมัน ย่านสาธุประดิษฐ์ ประสาน พม. บ้านพักเด็กเข้าดูแลต่อเนื่อง

เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2568 นายพุทธิพัชร์ ธันยายาธรรมนนท์ สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร เขตยานนาวา เปิดเผยว่า ได้รับแจ้งจากประชาชนว่าพบเด็กถูกทิ้งให้นอนอยู่ภายในปั๊มน้ำมัน บริเวณสาธุประดิษฐ์ ซอย 45 กรุงเทพมหานคร จึงได้ประสานทีมงานศูนย์ช่วยเหลือเด็ก ศูนย์พัฒนาสังคม และสำนักงานเขตยานนาวา ลงพื้นที่ตรวจสอบโดยเร่งด่วน

เมื่อเจ้าหน้าที่ถึงพื้นที่ พบเด็กอยู่ในบริเวณดังกล่าว จึงได้ให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นและพาไปยังที่พักเพื่อสอบถามข้อเท็จจริง จากการตรวจสอบทราบว่า เด็กมีบิดามารดาเป็นชาวเมียนมาและมีปัญหาความไม่เข้าใจกันภายในครอบครัว ทีมงานและเครือข่ายได้พยายามติดต่อและประสานให้ครอบครัวรับตัวเด็กกลับไปดูแล แต่บิดามารดาปฏิเสธไม่รับกลับ

ทั้งนี้ ทีมงานได้ประสานไปยังบ้านพักเด็กและครอบครัว เพื่อรับตัวเด็กเข้าสู่กระบวนการคุ้มครองและดูแลอย่างเหมาะสม โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะติดตามให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูสภาพจิตใจของเด็กอย่างต่อเนื่อง

นายพุทธิพัชร์ กล่าวขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ร่วมมือกัน ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคประชาชน และเครือข่ายต่างด้าว ที่ร่วมกันให้ความช่วยเหลือและดูแลเด็ก สตรี และผู้สูงอายุในพื้นที่อย่างเต็มความสามารถ เพื่อสร้างสังคมที่ปลอดภัยและมีคุณภาพชีวิตที่ดีร่วมกัน

#สํานักข่าวราษฎร #ยานนาวา #สาธุประดิษฐ์ #พม #กรุงเทพมหานคร #กทม

“รักชนก-สหัสวัต” โวยขบวนการไอโอ ยิงบอท ล้มประชาพิจารณ์สูตรบำนาญใหม่ ชี้ข้อผิดสังเกตคนเข้าเว็บประชาพิจารณ์ 900 เท่าในคืนเ...
14/10/2025

“รักชนก-สหัสวัต” โวยขบวนการไอโอ ยิงบอท ล้มประชาพิจารณ์สูตรบำนาญใหม่ ชี้ข้อผิดสังเกตคนเข้าเว็บประชาพิจารณ์ 900 เท่าในคืนเดียว ชี้เกลียดส้มได้แต่อย่าเล่นสกปรกบนผลประโยชน์ผู้ประกันตนหลายล้านคนทั่วประเทศ

เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2568 ที่อาคารรัฐสภา กลุ่มประกันสังคมก้าวหน้า นำโดย ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี กรรมการประกันสังคม สัดส่วนผู้ประกันตน ร่วมกับ รักชนก ศรีนอก สส. กรุงเทพฯ พรรคประชาชน และ สหัสวัต คุ้มคง สส.ชลบุรี พรรคประชาชน แถลงข่าวกรณีความพยายามของกลุ่มบุคคลในการขัดขวางกระบวนการประชาพิจารณ์บำนาญสูตรใหม่ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมหลายล้านคนทั่วประเทศ
ษัษฐรัมย์ ระบุว่าสูตรบำนาญใหม่นี้ คือสูตรที่คิดค่าเฉลี่ยพร้อมกับการปรับอัตราค่าเงิน ซึ่งจะทำให้ผู้ประกันตน 570,000 คนจาก 800,000 คนได้รับบำนาญเพิ่มขึ้นทันทีเฉลี่ย 10% และผู้ที่จะเกษียณอีก 10 ปีข้างหน้ากว่าอีก 3,000,000 คนจะได้รับบำนาญเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 7% โดยสูตรดังกล่าวผ่านการศึกษาโดยคณะกรรมการประกันสังคมมาตั้งแต่ปี 2563 และผ่านมติบอร์ดในหลักการตั้งแต่เดือนมีนาคม 2568 จนกระทั่งเดือนตุลาคมที่ผ่านมาได้มีกระบวนการการทำประชาพิจารณ์
อย่างไรก็ตามมีความพยายามในการล้มการทำประชาพิจารณ์บำนาญสูตรใหม่จากกลุ่มคนบางกลุ่ม ดังจะเห็นได้ว่ากระบวนการประชาพิจารณ์ที่ผ่านมาบนเว็ปไซต์ law.go.th ผู้เห็นด้วยมีอัตราส่วนสูงกว่าไม่เห็นด้วยประมาณ 62% ต่อ 38% มาอย่างต่อเนื่อง โดยมีการเข้ามาแสดงความเห็นโดยเฉลี่ยชั่วโมงละ 10 คน แต่เมื่อวันที่ 11-12 ตุลาคมที่ผ่านมา ในระยะเวลาเพียงประมาณ 5 ชั่วโมง กลับมีการเข้าไปทำประชาพิจารณ์ชั่วโมงละมากกว่า 900 คน ทำให้กระบวนการทำประชาพิจารณ์ถูกตั้งคำถามอย่างมาก ว่ามีการใช้ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร (ไอโอ) ยิงบ็อตเข้าไปในเว็บไซต์ดังกล่าว จนมีอัตราผู้เข้าทำประชาพิจารณ์สูงกว่าปกติถึง 900 เท่าในวันเดียวกันหรือไม่
ษัษฐรัมย์กล่าวต่อไปว่ามีการวิเคราะห์ว่าบำนาญสูตรใหม่นี้เป็นผลงานของกลุ่มประกันสังคมก้าวหน้า จึงมีความพยายามกีดขวางไม่ให้การกระทำนี้สำเร็จ แต่สำหรับตนแล้วไม่ว่าความพยายามขัดขวางจะมาจากกลุ่มการเมืองใด ความพยายามในการล้มประชาพิจารณ์อย่างไม่สุจริตใจคือความอำมหิตอย่างถึงที่สุดในการกีดขวางบำนาญของคนหาเช้ากินค่ำกว่า 570,000 คน นี่คือกระบวนการประชาพิจารณ์ที่ผิดปกติ มีระบบไอโอ และการยิงบ็อต ในระบบที่ไม่ได้มาตรฐานของเว็บไซต์ law.go.th ที่ใช้เป็นระบบกลางของการทำประชาพิจารณ์ทั้งประเทศ
ด้านรักชนกระบุว่าในฐานะที่ตนเป็นผู้ที่ช่วยผลักดันเรื่องนี้มาตลอด ตนสามารถรับรองได้ว่าผู้ประกันตนที่กำลังได้รับบำนาญอยู่ปัจจุบันจะได้รับประโยชน์อย่างแน่นอนจากบำนาญสูตรใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ประกันตนตามมาตรา 39 และสูตรดังกล่าวไม่ใช่การหารเฉลี่ยประโยชน์ที่ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 เคยได้รับอย่างที่มีการกล่าวหา อย่างไรก็ตามมีความพยายามที่จะบิดเบือนเนื้อหาเพื่อล้มบำนาญสูตรใหม่มาโดยตลอด
หลายคนอาจมองว่าบำนาญสูตรใหม่เป็นผลงานของกลุ่มประกันสังคมก้าวหน้า แต่ในเมื่อที่ผ่านมาไม่มีใครทำจนรอบนี้กลุ่มประกันสังคมก้าวหน้าหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาทำแล้วมีประชาชนได้ประโยชน์ ทำไมถึงจะต้องขวาง ตนเห็นความพยายามมาตลอดตั้งแต่จากกลุ่มคนที่สมัครรับเลือกตั้งเป็นบอร์ดประกันสังคมแล้วไม่ได้รับการเลือกตั้ง มาจนถึงกระบวนการไอโอที่โจมตีพรรคประชาชนมาตลอด และตอนนี้ก็เริ่มมาโจมตีงานของกลุ่มประกันสังคมก้าวหน้าแล้ว
รักชนกกล่าวต่อไปว่ากระบวนการประชาพิจารณ์ในเว็บไซต์เดิมนั้นคู่คี่สูสีมาโดยตลอด แต่เมื่อคืนในระยะเวลาแค่ 5 ชั่วโมง กลับมีผู้เข้ามาทำประชาพิจารณ์กว่า 5,000 คอมเมนต์ ซึ่งเป็นที่ชัดเจนว่ามีกระบวนการไอโอในการฟลัชความเห็นที่ไม่ได้มาจากคนจริงเข้ามา เพื่อเป็นกระบวนการในการล้มบำนาญสูตรใหม่
“หลายคนอาจจะไม่ชอบเกลียดและกลัวพวกเราแต่ท่านไม่จำเป็นที่จะต้องทำร้ายชีวิตผู้ประกันตนแบบนี้ ท่านจะทำไปทำไมในเมื่อมันมีผู้ที่ส่งมาตรา 33 และ 39 ที่ควรจะได้รับบำนาญ 4,000-5,000 บาท แต่ทุกทุกวันนี้ได้ไม่ถึง 2,000 บาท คนที่เกษียณอายุและรับบำนาญอยู่เงินที่จะได้เงินเพิ่มขึ้น ถึงคุณภาพของเขาอาจจะไม่ได้ดีขึ้นอย่างวิลิศมาหรา แต่มันจะทำให้เขาหายใจให้คอเพิ่มเติมขึ้นมาได้” รักชนกกล่าว
รักชนกกล่าวต่อไปว่าตนอยากเรียกร้องผู้ประกันตนและประชาชนทั่วประเทศ หลายคนส่งประกันสังคมอยู่และรู้ว่ามีการทำประชาพิจารณ์สูตรบำนาญนี้อยู่ แต่ท่านอาจไม่ได้รู้สึกว่าต้องเข้าไปทำ แต่ตนขอให้ทุกคนช่วยกันเข้าไปทำประชาพิจารณ์สนับสนุนสูตรนี้ให้ได้ผ่านออกมา เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของผู้ประกันตนและตัวท่านเองในอนาคต ประชาพิจารณ์นี้กำลังจะหมดในวันที่ 17 ตุลาคม แต่ตนเชื่อว่านี่จะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายของการขัดขวางบำนาญสูตรใหม่อย่างแน่นอน
ด้านสหัสวัตระุบว่าบำนาญสูตรนี้ถูกโจมตีว่าจะมีคนที่จะได้ประโยชน์น้อยลง แต่โดยข้อเท็จจริงคือผู้ที่รับบำนาญอยู่แล้วจะไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่จะได้รับบำนาญน้อยลงจากสูตรนี้ และสำหรับคนที่ยังเป็นผู้ประกันตนอยู่ ไม่ว่าจะเป็นมาตรา 33 หรือ 39 สูตรนี้จะเป็นหลักประกันในชีวิตของทุกคนว่าจะยังคงมีบำนาญที่สมเหตุสมผล
อาจจะมีบางคนบอกว่าฐานเงินเดือนของตัวเองสูง อาจจะไม่ได้รับผลกระทบ แต่นั่นไม่เป็นความจริงเพราะ 10 ปีที่แล้วไม่มีใครคิดว่าบริษัทรถยนต์ขนาดใหญ่จะปิดตัวลง ไม่มีคิดว่าจะมีการเลิกจ้างลูกจ้างในบริษัทชิ้นส่วนยานยนต์อย่างยานพันธุ์ และเมื่อเกิดการเลิกจ้างคนกลุ่มนี้ เมื่อศักยภาพในการส่งประกันสังคมลดลง หากเป็นสูตรเดิมคนที่ถูกเลิกจ้างในบั้นปลายชีวิตอาจจะได้เงินบำนาญเหลือไม่กี่พันบาท สูตรนี้จะเป็นหลักประกันว่าไม่ว่าท่านจะถูกเลิกจ้างในช่วงบั้นปลายชีวิตหรือไม่ จะยังคงได้รับบำนาญอย่างสมเหตุสมผล ส่งมากได้มากส่งน้อยได้น้อย นี่คือสูตรที่ยุติธรรมที่สุดสำหรับทุกคน ผ่านการคิดมาจากทางนักวิชาการนักคณิตศาสตร์ประกันภัยและคิดบนฐานข้อเท็จจริง

#สำนักข่าวราษฎร #รักชนกศรีนอก #สหัสวัตคุ้มคง #ประกันสังคม #ประชาพิจารณ์ #พรรคประชาชน

ขบวนเคลื่อนไหวผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนแห่งประเทศไทยออกแถลงการณ์ ยืนเคียงข้าง “อังคณา นีละไพจิตร” ลั่นเรายืนข้างความจ...
14/10/2025

ขบวนเคลื่อนไหวผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนแห่งประเทศไทย
ออกแถลงการณ์ ยืนเคียงข้าง “อังคณา นีละไพจิตร” ลั่นเรายืนข้างความจริง หลักสิทธิมนุษยชน และศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์

เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2568 ขบวนเคลื่อนไหวผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนแห่งประเทศไทย ออกแถลงการณ์ ระบุว่า เรายืนข้างความจริง หลักสิทธิมนุษยชน และศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ เรายืนเคียงข้างอังคณา นีละไพจิตร

ในเวลาที่ความกลัวถูกปลอมเป็นความรักชาติ และความเกลียดชังถูกแต่งให้เป็นหน้าที่พลเมือง สังคมบางส่วนกลับหันไปโจมตีสมาชิกวุฒิสภาอิสระและผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนคนหนึ่ง อังคณา นีละไพจิตร ผู้หญิงกล้าหาญที่เพียงทำหน้าที่อันซื่อสัตย์ของเธอ ตั้งคำถามต่อความไม่ชอบมาพากล ด้วยความสุจริตใจ และยึดมั่นในหลักสิทธิมนุษยชน

อังคณารู้ดีว่าการพูดในยามนี้คือการ “สวนกระแส” แต่เธอก็เลือกพูด เพราะเธอเชื่อในศักดิ์ศรีของความจริง แม้ในวันที่อำนาจรัฐโหดร้ายกับครอบครัวนีละไพจิตรเพียงใด เธอยังคงยืนอยู่ฝ่ายของความถูกต้อง แม้ต้องอยู่ลำพัง เธอไม่ได้พูดเพื่อตัวเอง เธอพูดเพื่อปกป้องสิทธิของเราทุกคน เพราะสิทธิมนุษยชนไม่ได้เป็นเรื่องของนักกฎหมาย เอ็นจีโอหรือองค์กรใดองค์กรหนึ่งแต่มันอยู่ในลมหายใจและในชีวิตประจำวันของเราทุกคน สิทธิในการแสดงความคิดเห็นโดยไม่ถูกคุกคาม สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง สิทธิของพลเมืองที่จะตั้งคำถามต่ออำนาจรัฐ ทหาร และทุน หรือแม้กระทั่งอินฟลูเอนเซอร์ และสิทธิที่จะมีชีวิตอยู่โดยไม่ต้องหวาดกลัวและมั่งคงปลอดภัย

🔴การตั้งคำถามต่ออำนาจ คือหัวใจของประชาธิปไตย

การตั้งคำถามต่ออำนาจ ไม่ใช่การล้ำเส้นโดยเฉพาะอำนาจรัฐ หากคือการท้าทายอำนาจรัฐที่ละเลยความรับผิดชอบต่อประชาชน เพราะเมื่อรัฐไม่รับผิด ประชาชนมีสิทธิและหน้าที่ต้องลุกขึ้นถาม การตั้งคำถามคือรูปแบบสูงสุดของความรับผิดชอบพลเมือง และคือหนทางเดียวที่เราจะรักษาความจริง ความยุติธรรม และศักดิ์ศรีของมนุษย์ไว้ได้ เราตั้งคำถามกับอังคณา นีละไพจิตรในฐานะสมาชิกวุฒิสภาได้ แต่เราไม่สามารถสร้างความเกลียดชังได้

🔴เมื่อความรักชาติถูกบิดให้กลายเป็นอาวุธ
เป็นเรื่องน่ายินดีที่ประชาชนตื่นตัวต่อสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา แต่เมื่อเราตื่นตัว เราต้องถามว่า เรากำลังตื่นตัวเพื่อแก้ปัญหาด้วยสติ หรือช่วยปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารหรือไอโอปลุกความเกลียดชัง?
�🔴ลัทธิชาตินิยมที่ถูกปลุกปั่นในวันนี้ กำลังสร้างวัฒนธรรมแห่งความกลัวและความเกลียดชังในใจผู้คน

เมื่อเราปลูกความเกลียด เราก็เก็บเกี่ยวแต่ความรุนแรง เมื่อเราหล่อเลี้ยงการแบ่งแยก เราก็ทำลายรากของความยุติธรรมและสันติภาพด้วยมือของเราเอง เราต้องถามกันอย่างตรงไปตรงมาว่า เรากำลังสร้างวัฒนธรรมแบบใดให้เติบโตในใจของเราเองหรือผู้คนในสังคม? ถ้าเราสร้างสังคมที่เติบโตบนความเกลียดชัง เราก็จะอยู่ในความเกลียดชังนั้นเอง แต่ถ้าเราปลูกวัฒนธรรมของความเข้าใจ ความยุติธรรม และความห่วงใยต่อกัน เราก็จะได้สังคมที่กล้ายืนหยัดเพื่อศักดิ์ศรีของทุกชีวิต ความรักชาติที่อาจมีคุณค่าได้ ไม่ได้วัดจากเสียงโห่ร้องของความเกลียดชังแต่จากความกล้าที่จะยืนหยัดเพื่อศักดิ์ศรีของทุกชีวิต แม้ในวันที่ชาติสั่นคลอน

ประเทศไทยมีพันธกรณีต่อกฎหมายสิทธิมนุษยชนและมนุษยธรรมระหว่างประเทศหลายฉบับ รวมถึงอนุสัญญาต่อต้านการทรมาน (CAT) และกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (IHL)ซึ่งกำหนดให้ทุกฝ่ายต้องเคารพศักดิ์ศรีของพลเรือน และจำกัดผลกระทบของความรุนแรง เพราะแม้ในยามที่มนุษย์ต้องต่อสู้กัน เรายังต้องไม่สูญเสียความเป็นมนุษย์ไปกับความขัดแย้ง

🔴บทเรียนจากรวันดา: เมื่อความมั่นคงของชาติกลืนศักดิ์ศรีมนุษย์

ปี 1994 ขบวนการ “ฮูตู พาวเวอร์” ในรวันดา ปลุกระดมความเกลียดชัง โดยอ้างว่าเป็น “การปกป้องชาติ” จากชนกลุ่มน้อยทุตซี ไม่ถึงร้อยวัน มีผู้ถูกสังหารกว่า 800,000 คน เพียงเพราะเกิดผิดชาติพันธุ์ รวันดา คือบทเรียนของมนุษยชาติ: ว่าความมั่นคงของรัฐไม่อาจมาก่อนความมั่นคงของชีวิต และความเงียบของโลกในเวลานั้น คือบาดแผลที่ยังไม่สมานจนทุกวันนี้ ความรักชาติที่แท้จริง ไม่อาจตั้งอยู่บนซากศพของเพื่อนมนุษย์การปกป้องประเทศจะไร้ค่า หากไม่ปกป้องศักดิ์ศรีของทุกชีวิต

เสียงของผู้หญิงนักปกป้องสิทธิฯ จากทั่วประเทศ
“อินฟลูเอนเซอร์ไม่ควรมีอภิสิทธิ์เหนือกฎหมาย การสื่อสารที่ปลุกปั่นความคลั่งชาติเป็นภัยต่อสังคม ต้องหยุดตั้งแต่ต้น”

“คนไทยหรือกัมพูชา เราคือมนุษย์เหมือนกัน ทุกคนมีสิทธิอยู่ในสันติภาพ ปลอดภัยจากความรุนแรงและการเลือกปฏิบัติ” “ความขัดแย้งไทย–กัมพูชา ผู้มีอำนาจทั้งสองฝ่ายต้องแก้ไขอย่างจริงจัง อย่าปล่อยให้ประชาชนทั้งสองประเทศต้องเกลียดชังและรับเคราะห์ จากความขัดแย้งที่เกิดจากผลประโยชน์และอำนาจของผู้ปกครองเอง”

“สงครามและความขัดแย้งนำมาซึ่งความสูญเสียที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น และไม่เกิดประโยชน์ต่อฝ่ายใด การจัดการความขัดแย้งควรมุ่งสู่การยุติอย่างสันติ โดยหลีกเลี่ยงความสูญเสียทุกรูปแบบ”

🔴ข้อเรียกร้องเร่งด่วน
ขบวนเคลื่อนไหวผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนแห่งประเทศไทย
• ขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทย กองทัพ และองค์กรอิสระอย่างคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ปฏิบัติหน้าที่ตามหลักสิทธิมนุษยชนสากลอย่างเร่งด่วน โปร่งใส และรับผิดชอบต่อประชาชนทันที รัฐต้องเคารพกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (IHL)
• ยุติการใช้วาทกรรมชาตินิยม และปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร (IO) ที่สร้างความเกลียดชังและต้องปกป้องศักดิ์ศรีของพลเรือนทุกคนโดยไม่เลือกฝ่าย

🔴ถ้อยแถลงต่อสื่อมวลชน
• เราขอเรียกร้องให้สื่อมวลชนทุกแขนงรายงานอย่างรอบด้าน ยึดมั่นในจรรยาบรรณ และไม่ขยายวาทกรรมแห่งความเกลียดชัง สื่อที่มีเกียรติไม่ใช่สื่อที่ปลุกปั่นความกลัว แต่คือสื่อที่กล้าปกป้องสติของสังคม และศักดิ์ศรีของมนุษย์ทุกคน “หน้าที่ของสื่อคือการส่องแสง ไม่ใช่ขยายความมืดมิด”

พลังของประชาชนคือพลังที่งดงามเสมอหากเราเรียกร้องเพื่อสิทธิมนุษยชน ความยุติธรรม และประชาธิปไตย เราขอให้ประชาชนใช้พลังนั้น ไปตั้งคำถามกับอำนาจที่เรามอบให้ ทำไมประชาชนยังเลือกตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ ( สสร.) ไม่ได้ 100%? ทำไมประชาชนจึงไม่มีสิทธิแก้รัฐธรรมนูญได้ทุกหมวด ทุกมาตรา? ทำไมเศรษฐกิจยังคงล้มเหลว ขณะที่ความเหลื่อมล้ำเพิ่มขึ้นและผู้คนต้องฆ่าตัวตาย? และทำไมความขัดแย้งในบ้านเมืองและที่ชายแดนจึงยังไม่คลี่คลายเสียที? หรือกรณีการซื้อหุ้นบางจาก เป็นการฟอกเงินของอดีตนายกฮุน เซน และของคุณทักษิณ ชินวัตร หรือไม่? รัฐมนตรีอย่างคุณธรรมนัส ผู้ที่สื่อรายงานว่าสนิทชิดเชื้อกับอินฟลูเอนเซอร์ดังกล่าว มีส่วนหรือไม่? และทั้งหมดนี้เกี่ยวพันอย่างไรกับเครือข่ายสแกมเมอร์ ที่ปล้นทรัพยากรและศักดิ์ศรีของประชาชนที่ด่านขุนทดและสร้างความเสียหายต่อประชาชนในวงกว้างและประเทศชาติหรือไม่?

เราขอให้รัฐตอบคำถามเหล่านี้ด้วยความจริงและเราขอให้ประชาชนใช้พลังของตนเอง ตั้งคำถามเหล่านี้ต่อไป ด้วยความกล้าหาญและมีสติเพราะประชาชนไม่ใช่ผู้สมรู้ร่วมคิดในความเงียบหรือความเกลียดชัง แต่คือเจ้าของอำนาจอธิปไตย ที่มีสิทธิรู้ มีสิทธิถาม และมีสิทธิเปลี่ยนแปลงอนาคตของตนเอง

🔴บทเรียนจาก 14 ตุลาคม: ประชาชนคือหัวใจของชาติ

การตื่นตัวทางการเมืองหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 คือจุดเปลี่ยนสำคัญของอุดมคติทางการเมืองไทยสมัยใหม่ ในวันที่นิสิตนักศึกษาและประชาชนลุกขึ้นตั้งคำถามต่ออำนาจ สังคมไทยได้เรียนรู้ว่า อำนาจรัฐจะมีความหมาย ก็ต่อเมื่อประชาชนกล้ายืนหยัดในศักดิ์ศรีของตนเอง

เราผ่านความเจ็บปวดของเหตุการณ์ 14 ตุลาคมมาแล้ว และบทเรียนนั้นยังเตือนเราอยู่ทุกวันว่า ความเข้มแข็งของชาติไม่ได้มาจากความเงียบ แต่มาจากสังคมที่ยอมรับการตรวจสอบของประชาชนบนหลักสิทธิ เสรีภาพ ความยุติธรรม และความรับผิดชอบร่วมกัน ชาติที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่ชาติที่ไม่เคยผิดพลาด แต่คือชาติที่กล้ายอมรับความจริง และลุกขึ้นแก้ไขด้วยศักดิ์ศรี

เรายืนเคียงข้าง อังคณา นีละไพจิตร นักปกป้องสิทธิมนุษยชนและประชาชนทุกคน ไม่ใช่เพราะเห็นด้วย ในทุกถ้อยคำของพวกเธอและเขา แต่เพราะเรายืนข้างหลักการเดียวกัน ว่ามนุษย์ทุกคนมีสิทธิในความปลอดภัย ศักดิ์ศรี และความจริง ความมั่นคงที่แท้จริงไม่อาจตั้งอยู่บนความกลัวสันติภาพไม่อาจเกิดจากการปลุกความเกลียดชังและความยุติธรรมไม่อาจบังเกิด หากรัฐและผู้มีอำนาจไม่ยอมรับความรับผิดชอบของตนเอง

ขบวนเคลื่อนไหวผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนแห่งประเทศไทย(Community Women Human Rights Defenders Collective of Thailand)
วันที่ 14 ตุลาคม 2568

หมายเหตุ : ขบวนเคลื่อนไหวผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชน คือขบวนเคลื่อนไหวรากหญ้าที่เป็นตัวแทนของผู้หญิงจากชุมชนซึ่งต่อสู้ในเรื่องต่างๆ ถึง 19 ประเด็นจากทั่วประเทศ
พวกเราคือแม่ คนทำงานดูแล ชนเผ่าพื้นเมือง คนชนบทและคนจนเมือง แรงงานสิ่งทอ แรงงานไร้ที่ดินทำกิน พนักงานบริการ และเยาวชนนักกิจกรรม ที่ทุ่มเทเพื่อดูแลรักษาชีวิต ผืนดิน และวิถีชีวิตของครอบครัวและชุมชน เราลุกขึ้นสู้เพื่อที่ดิน ที่อยู่อาศัย เราต่อต้านการทำเหมืองแร่และโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ต่างๆ เราเรียกร้องสิทธิและการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายให้แก่ผู้หญิงแรงงานข้ามชาติ ผู้ลี้ภัย ผู้หญิงพิการ รวมทั้งให้การสนับสนุน แก่ผู้หญิงในพื้นที่ความขัดแย้งสามจังหวัดภาคใต้ของไทยและในพม่า เราเรียกร้องค่าตอบแทนแม่และคนทำงานดูแล ( Care Income )

#สำนักข่าวราษฎร #อังคณานีละไพจิตร #สิทธิมนุษยชน #ขบวนเคลื่อนไหวผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนแห่งประเทศไทย #อังคณา #วุฒิสภา

14/10/2025

CLIP🔴 “ทวี สอดส่อง” หนุนร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้ง 3 ฉบับ ซัด รธน.60 ทำองค์กรอิสระ อำนาจล้นฟ้า แต่อำนาจของประชาชนและอำนาจของพรรคการเมือง รัฐบาลเสียงข้างมากถูกจำกัดไม่สามารถที่จะผลักดันนโยบายที่หาเสียงไว้กับประชาชนได้ ส่วนที่ไม่มีเลยคือ กลไกการตรวจสอบกองทัพ องค์กรอิสระ หรือการปฏิรูปศาล ผลลัพธ์ที่ตามมาคือ การทำให้ประเทศอยู่ภายใต้กติกาที่ไม่สมดุลระหว่างอำนาจของประชาชนกับอำนาจชนชั้นนำ

#สํานักข่าวราษฎร #ทวีสอดส่อง #ประชุมสภา #แก้รัฐธรรมนูญ #พรรคประชาชาติ #รัฐธรรมนูญ

‘เพื่อไทย’ ร่วมรำลึก ‘14 ตุลา 2516’ นพ.เชิดชัย บอกญาติวีรชน เตรียมผ่านสภาวาระ 2-3 พ.ร.บ.ส่งเสริมสังคมสันติสุข จะนิรโทษกร...
14/10/2025

‘เพื่อไทย’ ร่วมรำลึก ‘14 ตุลา 2516’ นพ.เชิดชัย บอกญาติวีรชน เตรียมผ่านสภาวาระ 2-3 พ.ร.บ.ส่งเสริมสังคมสันติสุข จะนิรโทษกรรมตั้งแต่ เสื้อเหลือง-เสื้อแดง-กปปส. และม็อบราษฎร ปี 63-64

เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2568 พรรคเพื่อไทย นำโดย นพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์ นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด และ นางสาวเพ็ญชิสา หงษ์อุปถัมภ์ชัย สส.บัญชีรายชื่อ ร่วมวางพวงหรีดรำลึกเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ณ อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา บริเวณแยกคอกวัว ถนนราชดำเนินกลาง
นายแพทย์เชิดชัย ตันติศิรินทร์ กล่าวว่าเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เป็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดรองลงมาจากเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ 2475 โดยคนที่ผ่านเหตุการณ์ดังกล่าวจนมาถึงทุกวันนี้ก็ต้องมีอายุร่วม 70-80 ปี ซึ่งตนเองในสมัยนั้นก็เป็นคณะกรรมการจัดงาน และอยู่ร่วมชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยตั้งแต่ปลายเดือนมิถุนายน เหตุการณ์ลุกลามบานปลายขึ้น นักศึกษาจัดการชุมนุมที่ธรรมศาสตร์และมีนักศึกษาถูกจับจำนวน 13 คน ในสมัยนั้นเรียกว่า กบฏ 13 นักศึกษา และมีการจัดชุมนุมใหญ่จนเป็นที่มาของ 14 ตุลาคม 2516
นพ.เชิดชัย กล่าวต่อว่าอนุสาวรีย์นี้ ยังเปล่งแสงไม่เต็มที่ แต่จะค่อยเปล่งแสงเหมือนแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ที่รอการต่อยอดให้สว่างไสว ซึ่งวันนี้ในสภาผู้แทนราษฎรก็มีการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญให้มีการร่างรัฐธรรมนูญ โดยมีการแก้ไขเพิ่มเติมหมวดที่ 15 เพื่อให้ทุกภาคส่วนได้ร่วมในการแก้ไขปัญหาของชาติบ้านเมือง
“ฝากญาติวีรชนว่า ในคณะกรรมาธิการฯ กำลังพิจารณา พ.ร.บ.ส่งเสริมสังคมสันติสุข ซึ่งผ่านสภาฯ วาระ 1 แล้ว ขณะนี้อยู่ในวาระ 2 และกำลังจะเข้าสภาฯ เพื่อพิจารณาในวาระ 2-3 เร็วๆ นี้ จะมีนิรโทษกรรมเหตุการณ์ตั้งแต่เสื้อเหลือง เสื้อแดง กปปส. ม็อบราษฎรปี 63-64 ขอให้ทุกท่านได้โปรดติดตามและให้กำลังใจ เพื่อให้กฎหมายสำเร็จด้วยดี” นพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์ กล่าว

#สำนักข่าวราษฎร #พรรคเพื่อไทย #14ตุลา16 #พรบส่งเสริมสังคมสันติสุข

“พริษฐ์” ชี้รัฐธรรมนูญ 60 พาประเทศเจอ 3 วิกฤต ประชาธิปไตยถดถอย-นโยบายล้าหลัง-ทุจริตเรื้อรัง จำเป็นต้องแก้ไขเพื่อสร้างระบ...
14/10/2025

“พริษฐ์” ชี้รัฐธรรมนูญ 60 พาประเทศเจอ 3 วิกฤต ประชาธิปไตยถดถอย-นโยบายล้าหลัง-ทุจริตเรื้อรัง จำเป็นต้องแก้ไขเพื่อสร้างระบบการเมืองที่ตอบโจทย์ประชาชน ขอรัฐสภารับหลักการทั้ง 3 ร่าง เปิดทางสู่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ชูจุดแข็งร่าง ปชน. เรื่อง การมีส่วนร่วมประชาชน-ป้องกันการกินรวบ
วันที่ 14 ตุลาคม 2568 ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพิ่มหมวด 15/1 พริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ลุกขึ้นอภิปรายเสนอร่างฉบับพรรคประชาชน โดยกล่าวว่า ตลอด 2 ปีที่ผ่านมาที่ตนเข้ามาทำหน้าที่ผู้แทนราษฎร ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ต้องอภิปรายว่าทำไมเราควรเดินหน้าสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่ด้วยเหตุการณ์ทางการเมืองที่ผ่านมา รัฐสภารอบนี้มีองค์ประกอบที่ไม่เหมือนครั้งก่อน เรามี สส. พรรคร่วมฝ่ายค้านที่ผลักดันการแก้รัฐธรรมนูญได้เต็มที่ โดยไม่ต้องเกรงใจใครเหมือนกับสมัยเป็นรัฐบาล เรามี สส. พรรคร่วมรัฐบาลที่รู้ดีว่าความอยู่รอดของรัฐบาลขึ้นอยู่กับความสำเร็จของเราในวาระเรื่องรัฐธรรมนูญ เรามี สว. ที่ได้รับความชัดเจนจากศาลรัฐธรรมนูญว่าไม่จำเป็นต้องไปทำประชามติมาก่อนการพิจารณาวันนี้
ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 3 ฉบับที่รัฐสภากำลังพิจารณา มีรายละเอียดที่แตกต่างกันพอสมควรเกี่ยวกับกลไกในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่ในเมื่อวันนี้เป็นเพียงการพิจารณาในวาระที่ 1 หรือชั้นรับหลักการ คำถามเดียวที่เราต้องพิจารณาและหาคำตอบร่วมกันคือรัฐภาแห่งนี้เห็นด้วยหรือไม่ กับการ “เปิดทางไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่” ซึ่งเป็นหลักการที่ทั้ง 3 ร่างเสนอไว้เหมือนกัน
คำถามนี้ไม่ใช่คำถามใหม่ แต่เป็นคำถามที่หลายภาคส่วนเคยตอบกันไปแล้วหลายรอบตลอด 5 ปีที่ผ่านมา รัฐสภาชุดที่แล้วเคยตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญที่ประกอบไปด้วยตัวแทนทุกพรรค ซึ่งได้ไล่ศึกษาปัญหาในกว่า 200 มาตราของรัฐธรรมนูญ 2560 จัดทำรายงานกว่า 600 หน้า โดยส่วนใหญ่มีข้อสรุปตรงกันว่าประเทศควรมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2566 กว่า 70 เปอร์เซ็นต์ของประชาชน ก็ลงคะแนนให้พรรคที่มีนโยบายสนับสนุนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
อย่างไรก็ตาม ตลอด 3 ปีที่ผ่านมาที่บทสนทนาเรื่องรัฐธรรมนูญถูกดึงไปคุยกันแต่เรื่องเทคนิค ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจำนวนประชามติหรือเรื่องคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ สังคมเราอาจเริ่มหลงลืมไปแล้วว่า “เราจะอยากแก้รัฐธรรมนูญกันไปทำไม”
สำหรับใครที่ตั้งคำถามว่า “ถ้าแก้รัฐธรรมนูญ ประเทศจะดีขึ้นอย่างไร” ตนอยากชวนมองมุมกลับด้วยว่า “พอไม่แก้รัฐธรรมนูญ ประเทศเสียหายอย่างไร?”
ไม่ว่าจะเป็น เรามีตึก สตง. ถล่มลงมากลางกรุงเมื่อ 6 เดือนก่อนโดยยังไม่มีหน่วยงานรัฐต้องรับผิดชอบ เรามี กกต. ที่เอาผิดใครไม่ค่อยได้ เสมือนว่าประเทศนี้ไม่มีการทุจริตเลือกตั้ง เรามี ป.ป.ช. ที่ถูกมองว่ายืนตรงข้ามความโปร่งใส อย่างเช่นในคดีแหวนแม่-นาฬิกาเพื่อน เรามีพรรคการเมืองที่ถูกยุบเพราะเสนอร่างกฎหมาย นักการเมืองที่ถูกตัดสิทธิตลอดชีวิตเพราะโพสต์เฟซบุ๊กสมัยเป็นนิสิตนักศึกษา เรามี สส. ที่ป้ายชื่อเขียนว่าพรรคหนึ่ง แต่ทำงานให้กับอีกพรรคหนึ่ง เรามีกลุ่ม สว. ที่โชคดีที่สุดในโลก แพ็กกันเข้ามาได้ทั้งที่โอกาสน้อยกว่าถูกหวยรางวัลที่ 1 ถึง 70 งวดติดต่อกัน เรามีท้องถิ่นที่มีอำนาจจำกัด กำหนดเส้นทางรถเมล์เองก็ไม่ได้ สัดส่วนงบที่ท้องถิ่นมีในการพัฒนาก็ไม่เพิ่มมาเกือบ 10 ปี เรามีเยาวชนนักเคลื่อนไหวที่ถูกปฏิเสธการประกันตัวแม้ไม่เคยมีพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการหลบหนี เรามีนักวิชาการและสื่อที่ถูกทุนใหญ่หรือผู้มีอิทธิพลไล่ฟ้องปิดปาก เรามีโครงการขนาดใหญ่ ที่รับฟังความเห็นประชาชนในพื้นที่แค่พอเป็นพิธีกรรม ความไม่ปกติทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลลัพธ์และมีสาเหตุบางส่วนจากรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ออกแบบระบบการเมืองที่ “ไม่เกรงใจประชาชน” และ “ไม่มีประชาชนอยู่ในสมการ”
เมื่อเป็นเช่นนี้ ชีวิตประชาชนเลยต้องเผชิญกับ 3 วิกฤตระดับชาติที่หนักหนาสาหัสลงเรื่อยๆ ตั้งแต่รัฐธรรมนูญ 2560 บังคับใช้ (1) วิกฤต “ประชาธิปไตยถดถอย” 20 ปีที่แล้ว ประเทศไทยเคยเป็นดาวรุ่งของภูมิภาคเรื่องประชาธิปไตย คนไทยเคยรู้สึกว่าคะแนนเสียงของเขากำหนดอนาคตได้ แต่วันนี้รัฐธรรมนูญ 2560 ทำให้สถาบันทางการเมืองขาดความยึดโยงกับประชาชน ประชาชนเลือก สส. เข้าไปในสภา ประชาชนเลือกรัฐบาลเข้าไปในทำเนียบ แต่คนที่ชี้ขาดว่ากฎหมายไหนเสนอได้หรือไม่ได้ นโยบายไหนทำได้หรือไม่ได้ บุคคลไหนเป็นรัฐมนตรีได้หรือไม่ได้ และ สสร. แบบไหนมีได้หรือไม่ได้ กลับเป็นตุลาการ 9 คนในศาลรัฐธรรมนูญที่ประชาชนไม่เคยให้ความเห็นชอบ

(2) วิกฤต “นโยบายล้าหลัง” 20 ปีที่แล้ว ประเทศไทยถูกมองว่าเป็นต้นตำรับของนโยบายที่ก้าวหน้าในหลายด้าน จนเป็นทั้งฉันทามติภายในประเทศ และที่ชื่นชมในเวทีนานาชาติ เช่น นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค แต่วันนี้รัฐธรรมนูญ 2560 กลับไม่สามารถสนับสนุนให้รัฐบาลมีสมาธิและแรงจูงใจ ในการคิดค้นและผลักดันนโยบายใหม่ๆ สมาธิของรัฐบาลต้องเสียไปบางส่วนกับคณะนักร้องที่บางครั้งก็ร้องแบบมีมูล แต่หลายครั้งก็ร้องแบบไม่สมเหตุสมผล แรงจูงใจของรัฐบาลในการขับเคลื่อนโยบายให้สำเร็จก็มีไม่มากเท่าที่ควร เพราะความอยู่รอดของรัฐบาลยุคนี้ แทบจะไม่ขึ้นอยู่กับความสำเร็จในการผลักดันนโยบาย
(3) วิกฤต “ทุจริตเรื้อรัง” ตอนประกาศบังคับใช้รัฐธรรมนูญ 2560 ผู้สนับสนุนหลายคนภูมิใจว่านี่คือรัฐธรรมนูญปราบโกง แต่วันนี้ชัดเจนแล้วว่ารัฐธรรมนูญ 2560 ปราบโกงไม่ได้จริง แต่ปราบได้เฉพาะคนที่อยากปราบ คะแนนความโปร่งใสของไทย (Corruption Perception Index) ดิ่งลงมาแย่เท่ากับประเทศเนปาลที่เพิ่งประท้วงกันไปครั้งใหญ่เพื่อต่อต้านการทุจริต รัฐมนตรี สส. สว. จะทุจริตต่อหน้าที่แค่ไหน กกต. สตง. จะเกียร์ว่างต่อการทุจริตแค่ไหน ประชาชนก็เข้าชื่อถอดถอนไม่ได้เหมือนในอดีต
“ผมไม่เคยบอกว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะเป็นยาวิเศษที่ทำให้ทุกปัญหาหมดไปทันที ทำให้การค้าขายดีขึ้นทันที หรือทำให้คนโกงหมดประเทศทันที แต่ในเมื่อรัฐธรรมนูญ 2560 ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าไม่สามารถสร้างระบบการเมืองที่ตอบโจทย์ประชาชนและเป็นที่พึ่งของประชาชนได้ คำถามคือแล้วทำไมเรายังอยากติดอยู่ในกับดักของรัฐธรรมนูญ 2560 หรือลึกๆ แล้วเรากำลังกังวลอะไร กับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่”
พริษฐ์กล่าวต่อว่าตนต้องการคลายทุกข้อกังวลที่สมาชิกรัฐสภาหรือประชาชนอาจมี บางคนอาจกังวลว่ารัฐบาลจะสนใจแต่เรื่องแก้รัฐธรรมนูญ แต่ไม่สนใจเรื่องปากท้อง ในมุมหนึ่งถ้า ครม. จะไร้ความสามารถ ถึงขั้นทำเรื่องแก้รัฐธรรมนูญควบคู่กับแก้ปัญหาเศรษฐกิจหรือปัญหาความมั่นคงไม่ได้ พี่น้องคนไทยก็ไม่ควรให้เขาได้เป็นรัฐบาลต่อ แต่ในอีกมุมหนึ่ง จะบอกว่าการแก้รัฐธรรมนูญไม่ส่งผลต่อปากท้องเลยสักนิด ก็คงจะไม่ใช่ ถ้ารัฐธรรมนูญทำให้นายกฯ และรัฐบาลต้องเปลี่ยนกันทุกๆ ปี แล้วนักลงทุนที่ไหนจะอยากขนเงินมาลงทุนในไทย ยกเว้น “ทุนเทา” ที่จ้องฉวยโอกาสจากจังหวะชุลมุนแบบนี้ ถ้ารัฐธรรมนูญทำให้คนโกงหากินจากภาษีประชาชนได้เรื่อยๆ แล้วเราจะเหลืองบส่วนไหนมาทำสวัสดิการประชาชน ถ้ารัฐธรรมนูญทำให้ใครจะทำงานการเมืองได้ ต้องพึ่งบ้านใหญ่หรือทุนใหญ่ แล้วใครในสภาจะเป็นตัวแทนที่เอาประชาชนเป็นใหญ่
หรือถ้ากลัวว่าเรากำลังแก้ปัญหาผิดจุด เพราะปัญหาไม่ได้อยู่ที่รัฐธรรมนูญ แต่ปัญหาอยู่ที่นักการเมือง ตนไม่ปฏิเสธว่านักการเมืองหลายคนในประเทศนี้มีปัญหาจริง แต่ประเทศเราจะได้นักการเมืองแบบไหน ก็ขึ้นอยู่กับรัฐธรรมนูญเขียนเกี่ยวกับนักการเมืองไว้อย่างไร ถ้ารัฐธรรมนูญเขียนให้ สส. ย้ายพรรคกลางสภากันได้เป็นว่าเล่น ประเทศเราก็จะได้แต่นักการเมืองที่วันๆ คิดแต่จะ “รวมมุ้ง” เพื่อไปต่อรองตำแหน่งใน ครม. ถ้ารัฐธรรมนูญเขียนให้ สว. มาจากการเลือกกันเองแบบพิสดาร ที่ส่งเสริมให้ฮั้วกันได้ ประเทศเราก็จะได้นักการเมืองในวุฒิสภาที่ไม่มีใครตอบได้ว่าเป็นตัวแทนประชาชนคนไหนหรือกลุ่มใด
หรือถ้ากลัวว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จะเขียนออกมาแย่กว่าเดิมโดยมีแต่นักการเมืองที่ได้ประโยชน์ ตนต้องย้ำว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะเขียนมาแย่แค่ไหน ก็ไม่สามารถนำมาบังคับใช้กับคนไทยได้ หากคนไทยไม่โหวตเห็นชอบด้วย เพราะรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะบังคับใช้ได้ ต้องผ่านความเห็นชอบของประชาชนในประชามติอย่างน้อย 2 รอบ
หรือถ้ากลัวว่าการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะ “ใช้เวลานานเกินไป ตรงไหนเป็นปัญหา ก็ควรจะแก้แค่มาตรานั้น” ตนก็ต้องย้ำว่าบางปัญหานั้นเชื่อมโยงกับหลายมาตรา การแก้แค่ 1 ประเด็นอาจจำเป็นต้องแก้หลายสิบมาตราอยู่ดี เช่น หากเราจะหันมาใช้ระบบสภาเดี่ยว แค่เรื่องเดียวก็ต้องแก้อย่างน้อย 81 มาตรา
“หากรัฐธรรมนูญ 2560 เปรียบเสมือนบ้านหลังหนึ่งที่มีสภาพปัญหาในแทบทุกห้อง เราจะซ่อมเป็นรายจุดไปก็ทำได้ แต่หากปัญหาลามไปถึงเสาเข็มหรือทางเชื่อมระหว่างห้อง การสร้างบ้านหลังใหม่ที่เราทุกคนได้ร่วมออกแบบตั้งแต่ต้นอาจจะเรียบง่ายกว่า รวดเร็วกว่า และทำให้เกิดความรู้สึกที่ดีกว่า ว่าบ้านหลังนี้เป็นของพวกเราทุกคน”
พริษฐ์กล่าวว่า ดังนั้น หากเราเห็นตรงกันว่าบ้านเรามีปัญหา และเราควรมาร่วมกันออกแบบบ้านหลังใหม่ที่ดีกว่าเดิม ตนขอเชิญชวนให้ลงมติรับหลักการร่างรัฐธรรมนูญทั้ง 3 ร่างที่มีหลักการเดียวกัน คือการเดินหน้าสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ส่วนรายละเอียดเรื่องกลไกในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่บางคนอาจมีความเห็นต่างกับร่างของพรรคประชาชนในบางเรื่อง เป็นรายละเอียดที่ไปถกกันต่อได้ในชั้นกรรมาธิการ
ทั้งนี้ หลักคิดหรือจุดแข็งสำคัญของพรรคประชาชนมีเพียง 3 ข้อ จุดแข็งข้อที่หนึ่ง คือการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน แม้เรายืนยันว่าการที่ สสร. มาจากการเลือกตั้ง 100% จะทำให้รัฐธรรมนูญมีความชอบธรรมทางประชาธิปไตยมากที่สุด แม้เราไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 10 กันยายนที่ผ่านมา ทั้งในเชิงกระบวนการที่ตอบเกินคำถามและในเชิงเนื้อหาที่เรามองว่าขัดกับหลักการประชาธิปไตย แต่เราตระหนักดีว่าคำวินิจฉัยของรัฐธรรมนูญ ทำให้ข้อเสนอ สสร.ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ไปต่อได้ยากในวันนี้ เราจึงพยายามออกแบบกลไกในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่เปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมได้มากที่สุด โดยไม่ขัดต่อคำวินิจฉัย
ในเมื่อคำวินิจฉัยเขียนห้ามเฉพาะไม่ให้ “ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญโดยตรง” เราจึงออกแบบกลไกที่มี 2 องค์ประกอบทำงานคู่ขนานกัน คือ (1) คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญที่มีหน้าที่ในการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ในเมื่อศาลวินิจฉัยให้ประชาชนเลือกผู้ร่างโดยตรงไม่ได้ เราจึงออกแบบให้ประชาชน “เลือกทางอ้อม” โดยเลือกเข้ามาเบื้องต้น 70 คน ใช้ประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง ก่อนให้รัฐสภาคัดเลือกเหลือ 35 คน (2) สภาที่ปรึกษาการยกร่างรัฐธรรมนูญที่มีหน้าที่รับฟัง รวมรวม และสะท้อนความเห็นประชาชน ในเมื่อสภาที่ปรึกษานี้ไม่ได้เป็นผู้ร่างและไม่มีอำนาจลงมติเรื่องเนื้อหา เราจึงออกแบบให้ประชาชน “เลือกทางตรง” ได้ 100 คน ใช้จังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง โดยมีอย่างน้อย 1 คนในทุกจังหวัดทั่วประเทศ
จุดแข็งข้อที่ 2 ป้องกันการกินรวบ-ผูกขาด ในเมื่อรัฐธรรมนูญเป็นกติกาที่ทุกคนต้องใช้ในการอยู่ร่วมกัน กติกาดังกล่าวจะเป็นที่ยอมรับต่อเมื่อการร่างกติกาไม่ถูกผูกขาดโดยกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แม้คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญทำให้รัฐสภาอาจจำเป็นต้องมีบทบาทสำคัญในการคัดเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญ แต่หากไปดูเนื้อหาในร่างของพรรคประชาชน จะเห็นว่าพอรัฐสภาต้องคัดเลือกกรรมาธิการยกร่าง 35 คนจากที่ประชาชนเลือกมา 70 คน เราไม่ได้ออกแบบให้การคัดเลือกนั้นใช้ “มติเสียงข้างมากของสมาชิกรัฐสภา” เพราะนั่นหมายความว่าหากวันหนึ่งเรามีพรรคการเมืองที่มี สส. 200 คน และมี สว. ที่คิดคล้ายกับพรรคนั้นอีก 160 คน รวมกันเป็น 360 คน ซึ่งเป็นเสียงข้างมากของรัฐสภา จะสามารถแพ็กกันและผูกขาดได้อย่างเบ็ดเสร็จว่าจะคัดเลือกใครเข้ามาเป็นกรรมาธิการทั้ง 35 คนในคณะ
ดังนั้นเพื่อป้องกันการผูกขาด จึงออกแบบให้การคัดเลือกเป็นการเสนอชื่อตามสัดส่วนของกลุ่มความคิดต่างๆ ในรัฐสภา เมื่อสมาชิกรัฐสภามี 700 คน และกรรมาธิการยกร่างมี 35 คน จึงกำหนดให้ สส. สว. ที่รวมตัวกันได้ 20 คน มีสิทธิคัดเลือกกรรมาธิการ 1 คน จะไม่มีกลุ่มใดที่ผูกขาดการคัดเลือกกรรมาธิการ และกรรมาธิการยกร่างจะมีตัวแทนที่สะท้อนความหลากหลายทางความคิดที่มีอยู่ในรัฐสภาและในสังคม
จุดแข็งข้อที่ 3 กำหนดกรอบเนื้อหาที่ชัดเจน ตนเข้าใจดีว่าเนื้อหาในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จะเขียนไว้อย่างไรบ้าง เป็นหน้าที่ของกรรมาธิการยกร่าง หรือ สสร. ที่จะต้องถกกันในอนาคต อย่างไรก็ตาม ตนเข้าใจพี่น้องประชาชนจำนวนหนึ่งที่อาจรู้สึกว่าตอบตัวเองได้ยากว่าเห็นด้วยกับการริเริ่มให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ หากไม่เห็นภาพเลยว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะมีเนื้อหาที่ดีกว่ารัฐธรรมนูญปัจจุบันอย่างไร
พรรคประชาชนจึงได้เพิ่ม “กรอบเนื้อหา” ทั้งหมด 9 ข้อเข้าไปในร่างมาตรา 256/26 ว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ควรยึดหลักการพื้นฐานอะไร หรือกำหนดเนื้อหาไปในทิศทางไหน โดย 2 ข้อแรกระบุชัดว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จะต้องไม่เปลี่ยนแปลงรูปแบบรัฐจากการเป็นรัฐเดี่ยว และจะต้องไม่เปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ส่วน 7 ข้อหลัง เป็นการพูดถึงประเด็นที่เราเห็นว่าเป็นปัญหาในรัฐธรรมนูญ 2560 และรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ควรทำให้ดีกว่าเดิม เช่น การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ การออกแบบสถาบันทางการเมืองให้ยึดโยงประชาชน การยกระดับกลไกในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต การรองรับระบบราชการและนโยบายที่เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลง
พริษฐ์ สรุปทิ้งท้ายว่าตนไม่ได้บอกว่ารัฐธรรมนูญ เป็น “ยาวิเศษ” ที่ทำให้ทุกปัญหาหายไปทันที แต่รัฐธรรมนูญเป็นเหมือนกับอากาศที่เราหายใจกันอยู่ ล่องหน จับต้องได้ยาก แต่ส่งผลกระทบต่อเราทุกวินาทีโดยไม่รู้ตัว การมีรัฐธรรมนูญที่ดีหรืออากาศที่บริสุทธิ์อาจไม่ได้จะทำให้เศรษฐกิจเราดีขึ้นชั่วข้ามคืน แต่ถ้ารัฐธรรมนูญหรืออากาศเป็นพิษ สุขภาพเราในการทำมาหากินและศักภาพของประเทศในการแข่งขันกับโลกก็จะค่อยๆถูกทำลาย การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จึงเป็นโอกาสในการออกแบบระบบการเมืองที่ประชาชนหวังพึ่งได้

#สำนักข่าวราษฎร #แก้รัฐธรรมนูญ #ประชุมสภา #พริษฐ์วัชรสินธุ #พรรคประชาชน

ที่อยู่

Bangkok

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ สำนักข่าวราษฎร - Ratsadon Newsผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์