
16/03/2025
#เสียงดังในหู
ไม่ใช่โรคที่รุนแรง แต่มีผลรบกวนการใช้ชีวิต เช่น การนอนหลับ และรบกวนจิตใจ จนอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพอื่นตามมา
สาเหตุ
พบได้หลากหลายในแต่ละคน มักเกิดจากหลายสาเหตุร่วมกัน
ทำให้การรักษาด้วยยาแผนปัจจุบัน อาจไม่ได้ผลชัดเจน เช่น
- ประสาทหูเสื่อมตามอายุ และ การใช้งาน
เช่น ได้ยินเสียงดังเป็นเวลานาน จากการทำงาน หรือที่อยู่อาศัย จากเครื่องจักร ปืน ปะทัด คอนเสิร์ต ใช้เลื่อยไฟฟ้า เป็นนักดนตรี เสียงจากหูฟัง ฟังเพลงหรือคุยโทรศัพท์นานๆ หากทำงานในที่มีเสียงดัง เลี่ยงไม่ได้ ควรใส่ที่อุดหูช่วยลดการสัมผัสกับแรงสั่นสะเทือน
- ประวัติเกิดอุบัติเหตุในอดีต ที่มีการกระแทก หรือการบาดเจ็บบริเวณใกล้ๆ หรือที่ใบหู
- การไหลเวียนเลือดมีปัญหา ซึ่งอาจเกิดจากโครงสร้างร่างกายที่ไม่สมดุล หรือโรคบางอย่าง เช่น คอบ่าไหล่ตึง กระดูกคอมีปัญหา เส้นเลือดในสมองตีบ เบาหวาน ความดันสูง ไขมันในเลือดสูง ยูริกในเลือดสูง โรคไต
- ขี้หูอุดตัน เยื่อแก้วหูทะลุ หูอักเสบ/ติดเชื้อ เนื้องอกของหู หินปูนในหู
- ยาบางชนิด อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงร่วม แต่ไม่ได้เป็นสาเหตุ 100% เพราะบางครั้งข้อมูลมาจากการเก็บสถิติ มักขึ้นกับขนาดและระยะเวลาในการใช้ ไม่แนะนำหยุดยาเอง ควรสังเกตสาเหตุร่วมอื่นๆก่อน ตัวอย่างยา เช่น แอสไพรินขนาดสูงกว่า 100 มิลลิกรัม/วัน ยาขับปัสสาวะฟูโรซีไมด์ ยาฆ่าเชื้อเจนตามัยซิน ยาพาราเซตามอลกินบ่อยๆ คลอโรควิน ยานอนหลับไดอะซีแปม
การรักษา แผนปัจจุบัน
- ยาขยายหลอดเลือด เพื่อเพิ่มเลือดไปเลี้ยงหูชั้นในมากขึ้น เช่น ฟลูนาริซีน เบตาฮีสทีน
- ยาคลายกังวล หรือยานอนหลับ เช่น โคลนาซีแปม
- วิตามินบี 12 หรือบี 1-6-12 บำรุงประสาทหู
- ยาลดอักเสบสเตียรอยด์ (ตามดุลยพินิจแพทย์)
- ยาอื่นๆ ที่อาจมีการสั่งใช้ เช่น กาบ้าเพนติน แร่ธาตุสังกะสี ธาตุเหล็ก (ควรให้หมอพิจารณาจากผลเลือด ไม่แนะนำซื้อธาตุเหล็กกินเอง เพราะอาจทำให้เหล็กเกิน หากไม่ได้ขาด)
- สมุนไพรที่มีข้อมูลเพิ่มการไหลเวียนเลือด เช่น ใบแปะก๊วย
ในทางอายุรเวท...เสียงในหู
เกิดจากการทำงานของธาตุลม (วาตะ) ที่ผิดปกติ ซึ่งมีสาเหตุได้จากหลายสาเหตุ เช่นกัน
ผู้ป่วยอาจลองเช็คดูว่า....เราจะปรับเปลี่ยนข้อไหนได้บ้าง
พฤติกรรม หรือสิ่งที่ทำให้วาตะเสียสมดุล
1. วาตะเสียสมดุลง่ายในช่วงวัยชรา เมื่อแก่ตัวลง ทุกคนจะมีวาตะเพิ่มขึ้น
2. ฤดูหนาว ฝน ไต้ฝุ่น มรสุม/ เวลาตีสองถึงหกโมงเช้า หลังอาหาร 2 ชั่วโมงขึ้นไป
เป็นช่วงเวลาที่วาตะจะกำเริบง่าย
3. กินนอนไม่เป็นเวลา ใช้ชีวิตประจำวันไม่เป็นระเบียบ
4. กินอาหารก่อนถึงเวลา หรือก่อนที่อาหารมื้อที่แล้วจะย่อยสมบูรณ์
5. กินอาหารแห้ง ฉุน เผ็ดร้อน ขม ฝาด มากเกิน
6. ปล่อยให้ท้องว่างนานๆ อดอาหารมากเกินไป
7. กลั้นอุจจาระ ปัสสาวะ หรือทนกระหายน้ำ
8. อดนอน นอนไม่พอ นอนดึก
9. อารมณ์รุนแรง ฉุนเฉียวง่าย เศร้าโศก วิตกกังวล ความกลัว ขาดความมั่นใจ ความเครียดทั้งร่างกายและจิตใจ ประสาทตึงเครียดอยู่เสมอ
10. หายใจผิดปกติ หรืออยู่ในสถานะตื่นเต้น หวาดกลัวสุดขีด เมื่อประสบเหตุการณ์ร้ายแรง
11. เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต เช่น เริ่มเข้าทำงาน แต่งงาน เรียนต่อ ย้ายที่ทำงาน
12. กระวนกระวาย อยู่ไม่สุข วุ่นวายกับเหตุการณ์ต่างๆ รอบตัว
13. ทำงานมากไปจนเหนื่อยล้า โหมงานเกินกำลัง
14. เดินทางท่องเที่ยว ทำธุระนอกบ้าน หรือไปต่างจังหวัดบ่อย
15. สูดควัน หรือฝุ่นละอองมากเกินไป สูบบุหรี่ตลอดเวลา
16. หูได้รับเสียงดังมากอย่างต่อเนื่อง เช่น เสียงอึกทึกคึกโครม เสียงทีวี เสียงจากหูฟัง เครื่องเล่นเพลง
17. คุยเสียงดัง พูดมากเกินไป
18. อยู่ในที่อากาศแห้ง ตาก-ลม จนตัวเย็น
การปรับวาตะให้สมดุล
1. ใช้ชีวิตให้สม่ำเสมอ เช่น กินนอนเป็นเวลา
2. พักผ่อนให้มาก ไม่นอนดึก เข้านอนให้เร็ว ภายใน 4 ทุ่มครึ่ง
3. ถ้าเหนื่อยให้นอนพักช่วงสั้นๆ ประมาณ 30 นาที ตอนเย็นช่วง 4 โมงเย็น - 6 โมงเย็น เป็นช่วงที่วาตะเสียสมดุลได้ง่าย
4. ไม่ดูโทรทัศน์ หรือฟังดนตรีเสียงดัง โดยเฉพาะตั้งแต่ช่วงเวลาเย็น เป็นต้นไป
5. ไม่ส่งเสียงดัง หรือพูดนานเกินไป
6. ดีท็อกซ์หู : สร้างช่วงเวลาพักผ่อนและความเงียบในแต่ละวันของคุณ อาจช่วยให้ระบบการได้ยินฟื้นตัว
7. ไม่ทำอะไรพร้อมกันหลายๆ อย่าง
8. เมื่อรู้สึกเหนื่อย อย่าฝืน
9. ไม่กลั้นอุจจาระ ปัสสาวะ ผายลม อาเจียน จาม เรอ หาว หิว กระหายน้ำ หลั่งน้ำตา นอน หายใจ ......เป็นการฝืนความต้องการของร่างกาย
10. ดื่มน้ำอุ่น 1 แก้ว หลังตื่นนอน น้ำที่ผ่านการต้มเดือดมาแล้วอุณหภูมิ ประมาณ 50-60 องศาเซลเซียส น้ำอุ่นจะช่วยให้กระเพาะอาหารและลำไส้อบอุ่น
11. กลั้วคอด้วยน้ำมันงาดิบ หากหาไม่ได้อาจใช้น้ำมันมะพร้าว ประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ ประมาณ 30 วินาที แล้วคายออก ไม่กลืน นอกจากช่วยปรับวาตะให้สมดุลแล้ว ยังทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันสูงขึ้น ป้องกันหวัด ฟันผุ การอักเสบในช่องปาก ทำให้เหงือกแข็งแรง ระงับกลิ่นปาก
12. นวดศีรษะ คอบ่าไหล่ ด้วยตนเองทุกวัน อาจทำช่วงก่อนนอน ด้วยน้ำมันสมุนไพร หากทำได้อาจหาเวลาไปนวดน้ำมันทั้งตัว ถ้าเป็นน้ำมันอุ่นๆ ยิ่งดี เน้นที่ศีรษะ ใบหน้า หน้าผาก คอ บ่า ไหล่ เท้า (จุดต่างๆ บนเท้าหลายจุดมีผลดีต่อหู) ช่วยลดความเครียด ทำให้จิตใจสงบ ผ่อนคลายความเหนื่อยล้าจากทำงาน กระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ฟื้นฟูร่างกาย ทำให้รู้สึกสบายและนอนหลับสนิท
13. การออกกำลังกายสม่ำเสมอให้เหงื่อออก แต่ไม่ออกหนักมากเกินไป ไม่ออกกำลังหลังกินอิ่มใหม่ๆ
14. อาบน้ำอุ่น
15. กินอาหารอุ่นๆร้อนๆ ซดน้ำแกงร้อนๆ แต่อย่าให้รสชาติเข้มข้นเกินไป หลีกเลี่ยงการดื่มหรือกินของเย็นๆ งดหวาน เค็ม มัน
16. หลังกินอิ่มใหม่ๆ หลังอาหาร 1 ชั่วโมง กผะจะเพิ่มสูง หากทำกิจกรรมต่างๆ หลังกินเสร็จทันที จะทำให้วาตะเสียสมดุลและระบบย่อยอาหารทำงานได้ไม่ดี ดังนั้น เมื่อกินเสร็จให้นั่งพักสัก 10 นาที เพื่อให้กผะอยู่ในภาวะปกติและระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างราบรื่น
17. งดชา กาแฟ เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน แอลกอฮอล์ บุหรี่ สารกระตุ้นทุกรูปแบบ ถ้าต้องการดื่มจริงๆ ไม่ควรเกินบ่ายสาม
18. งดแป้งสาลีฟอกขาว ขนมปัง มันฝรั่ง กะหล่ำปีดิบ เห็ด และถั่ว แต่ถ้าเป็นถั่วแขกปรุงสุกช่วยปรับสมดุลวาตะได้
19. งดผลไม้สดหลังอาหาร
20. ขับถ่ายให้ได้ทุกวัน
21. ระวังไม่ให้ตัวเย็น
22. นั่งสมาธิ อยู่กับลมหายใจ โยคะ ทำให้จิตใจสงบไม่ฟุ้งซ่าน
23. เปิดไฟให้สว่าง และติดม่านหน้าต่างสีสดใส ในห้องทำงาน ห้องส่วนตัวที่บ้าน การอยู่ในห้องมืดเป็นเวลานานๆ ทำให้วาตะเสียสมดุลได้ง่าย
24. รักษาความชื้นภายในห้องให้คงที่ อากาศที่แห้ง ฤดูหนาว ลมเย็นและแห้ง อากาศแห้งในห้องแอร์ จะทำให้วาตะเสียสมดุลได้ง่าย สร้างความชื้นในบรรยากาศรอบๆ
25. ประดับห้องด้วยต้นไม้เขียวๆในบ้าน ที่ทำงาน
26. งดการมีเพศสัมพันธ์ ในเวลาที่วาตะเสียสมดุล จำกัดตามฤดูกาล สัปดาห์ละ 1-2 ครั้งหรือมากกว่านั้นในฤดูหนาว ประมาณ 1 ชั่วโมงหลังอาหารเย็น เสร็จภายใน 4 ทุ่ม
27. ปรุงอาหารด้วยเครื่องเทศ โดยเฉพาะยี่หร่า เทียนข้าวเปลือก ลูกกระวาน
28. ดื่มนมใส่ผลอินทผลัม หรือนมอัลมอนด์อุ่นๆ เป็นอาหารว่าง หรือเวลาหิว ระวังอย่าดื่มนมพร้อมอาหารรสหวาน และผลไม้รสเปรี้ยว เพราะจะทำให้เกิดของเสียตกค้าง แต่สามารถดื่มพร้อมผลไม้แห้ง ธัญพืชได้
29. แครอทสุก ขิง งา กระเทียม ช่วยปรับสมดุลวาตะได้ดี
30. ดมกลิ่นหอม เช่น น้ำมันลาเวนเดอร์ แซนดัลวู้ด ดอกกุหลาบ คาโมมายด์ ดอกส้ม