Khit ma dee Community สำหรับ พนักงานบริษัท
ที่ "คิดมาดี" บ้าง ไม่ดีบ้าง🤣🫣
BY Splendid The Creative Expertise

For work 082,457-6345

24/08/2025
18/08/2025

ตื่นตอนไหน ก็ได้งาน
รวม 7 เทคนิคการบริหารเวลา
เคยสงสัยไหมว่าทำไมบางคนถึงมักจะพูดเสมอว่า “ไม่มีเวลา” ทั้งที่จริงแล้วพวกเขาอาจจะไม่รู้จักวิธีที่จะบริหารเวลาก็ได้ ซึ่งในบริบทนี้ เราไม่ได้พูดถึงกลุ่มคนทำงานตัวเล็ก ๆ ที่ต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำเพื่อดูแลครอบครัว แต่เรากำลังหมายถึงกลุ่มผู้บริหารที่เป็นผู้นำองค์กร หากใครมองว่าพวกเขาทำงานจนไม่มีเวลาพัก นั่นมันก็สะท้อนถึงปัญหาในการจัดการเวลา มากกว่าจะเป็นการไม่มีเวลาจริง ๆ
ซึ่ง Victoria Repa CEO และ ผู้ก่อตั้งของ BetterMe ให้ความเห็นว่าองค์กรประกอบหนึ่งในสำคัญของการเป็นผู้นำที่ประสบความสำเร็จไม่ฝช่แค่การบริหารคนให้เป็น แต่เป็นการบริหารเวลาที่สามารถทำผลงานให้ออกมาอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดได้
ถ้าคุณลองมองผู้นำองค์กรระดับโลก คุณจะเห็นได้ว่าใน 1 วันของการทำงาน เขาสามารถสร้างสรรค์ผลงานออกมาได้มากมาย นั่นไม่ใช่เพราะพวกเขาทุ่มเวลาไปการทำงานทั้งหมด แต่เป็นเพราะพวกเขาจัดสรรเวลาให้ทุกอย่างไม่กดดันและมีความยืดหยุ่นมากพอที่จะสามารถสร้างงานที่มีคุณภาพได้ต่างหาก
ต่อไปนี้คือเทคนิคการบริหารเวลาสำหรับผู้นำ หรือแม้แต่คนทำงานที่นำมาปรับใช้ได้ เพื่อให้งานทุกอย่างออกมามีประสิทธิภาพ ในระยะเวลาที่กำหนด และไม่กดดันตัวเองจนเกินไป เพราะสิ่งสำคัญของการทำงานคือสุขภาพที่ดี ไม่ใช่แค่งานที่ดีเพียงอย่างเดียว
เขียนและเรียบเรียงโดย 100WEALTH
--
100WEALTH l ไปให้ถึง100ล้าน


#ไปให้ถึง100ล้าน
อ้างอิง
- https://rb .gy/iu954k

15/08/2025

แบรนด์ไหน “ไว้ใจได้” ลูกค้าก็พร้อมอยู่ด้วยไปยาวๆ
การสร้าง Brand Trust ไม่ใช่แค่ภาพลักษณ์ แต่คือ “การลงมือทำ” อย่างจริงใจและสม่ำเสมอ
การได้รับ “ความไว้วางใจ” จากลูกค้า เปรียบเสมือนการเจอกระแสของรายได้ทางการตลาด เพราะความไว้วางใจคือรากฐานของทุกความสำเร็จ ซึ่งเป็นสิ่งที่พาลูกค้ามาถึงจุดตัดสินใจซื้อ ทำให้กลับมาซื้ออีกครั้ง และกลายเป็นผู้สนับสนุนแบรนด์ได้โดยที่พร้อมจะแนะนำแบรนด์ให้กับคนรอบตัวอย่างภาคภูมิใจ และเมื่อความไว้วางใจเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ก็ยังสามารถ “เพิ่มมูลค่าของแบรนด์” ซึ่งสุดท้ายอาจมีค่ามากกว่าตัวบริษัทเสียอีก
ซึ่งจะทำให้ลูกค้าเชื่อใจได้อย่างไร มาดู 7 หนทางในการสร้าง Brand Trust ที่แบรนด์และนักการตลาดนำไปใช้ได้
▪️ 1. เปลี่ยนจาก “ฝ่ายขาย” เป็น “ฝ่ายให้บริการ”
→ เน้นช่วยเหลือก่อนขาย สร้างความน่าเชื่อถือ

▪️ 2. ใส่ใจความสุขของลูกค้าเป็นอันดับหนึ่ง
→ ดูแลลูกค้าอย่างจริงใจในทุกความน่าเชื่อถือ

▪️ 3. โปร่งใสในทุกแง่มุม
→ สื่อสารตรงไปตรงมา ไม่ปิดบังความน่าเชื่อถือ

▪️ 4. ให้ข้อมูลที่มีประโยชน์จริง
→ แบ่งปันข้อมูลที่ช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจง่ายความน่าเชื่อถือ

▪️ 5. สื่อสารแบบ Personalization
→ ส่งสารเฉพาะบุคคล ทำให้ลูกค้ารู้สึกความน่าเชื่อถือ

▪️ 6. แรงสนับสนุนจากลูกค้าจริง (Social Proof)
→ ใช้รีวิวและคำชมจากลูกค้าจริงสร้างความน่าเชื่อถือ

▪️7. สร้างประสบการณ์ที่ดีต่อเนื่อง
→ มอบประสบการณ์ที่ดีในทุกจุดสัมผัสกับแบรนด์
ง่าย
📍อ่านบทความฉบับเต็ม ดูลิงก์ในคอมเมนต์



!

12/08/2025

ไม่ใช่หัวหน้าที่ ‘รู้ลึก’ แต่เป็นหัวหน้า ‘รู้รอบ’ ก็สร้างพลังให้ทีมได้ รู้จัก 6 พลังของการเป็นหัวหน้า ที่มีทักษะแบบ Generalist
หัวหน้าหลายคนอาจกังวลว่าการไม่ได้เป็นหัวหน้าที่มีทักษะเชี่ยวชาญลงลึกแบบ Specialist แล้วจะบริหารหรือดูแลทีมได้ไม่ดีพอ แต่ในความจริงแล้วการมีทักษะ Generalist มีความจำเป็นและสร้างพลังต่อองค์กรกับทีมได้ไม่แพ้กัน ซึ่งโดยส่วนใหญ่คนเป็น ‘หัวหน้า’ มีทักษะแบบ Generalist เป็นส่วนมาก
จากผลสำรวจของ Harvard Business Review พบว่า ในกลุ่มผู้บริหารระดับ C-Suite จำนวน 17,000 คน มีจำนวนมากถึง 90% ในกลุ่ม ที่เป็นหัวหน้าแบบ Generalist
มีบทความจาก Forbes โดยคุณ Heather V. MacArthur ที่พูดถึงทักษะของการเป็นหัวหน้าแบบ Generalist กล่าวว่า
“หัวหน้าแบบ Generalist มักจะสามารถเชื่อมโยงแนวคิดจากหลายด้านเข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว ไม่ใช่แค่พร้อมปรับตัวสำหรับการเปลี่ยนแปลง แต่ยังสามารถผลักดันทั้งองค์กรและทีมให้ก้าวหน้ามากขึ้นอีกด้วย”
นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งบทความจาก Big Think โดยคุณ Mansoor Soomro ผู้เขียนหนังสือ The Generalist Advantage ที่กล่าวว่า หัวหน้าแบบ Generalist จะสามารถเติบโตได้ดี เพราะเป็นคนที่เปิดกว้างรับอะไรใหม่ ๆ อยากลองอยากเรียนรู้ในสิ่งต่าง ๆ อยู่เสมอ
“รู้รอบด้าน แม้ไม่รู้ลึก” ก็เป็นข้อได้เปรียบสำหรับลีดเดอร์
การรู้รอบด้านไม่ใช่ข้อเสียสำหรับหัวหน้า ในทางกลับกันแล้วมีข้อได้เปรียบมากกว่าที่คิด คุณ Gareth Mandel ผู้บริหารระดับสูงที่เคยทำงานให้กับ eHarmony และ ParshipMeet ในระดับ C-suit ได้ชี้ว่า “การไม่ยึดติดกับอุตสาหกรรม, บริษัท หรือหน้าที่ใดหน้าที่หนึ่ง ทำให้เขาเป็นหัวหน้าแบบยืดหยุ่น เข้าใจคนมากขึ้น สามารถรับมือกับปัญหาและการตัดสินใจเรื่องยุ่งยากหลายเรื่องพร้อมกันได้"
และในบทความของ Financial Poise จากคุณ David Spitulnik กล่าวว่า “คนที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำ ควรมีความเข้าใจในส่วนอื่น ๆ ขององค์กรที่ไม่ใช่เพียงแค่ตำแหน่งของตัวเอง เพราะแม้แต่บริษัทเล็ก ๆ ยังได้ประโยชน์จากการที่คนเรียนรู้และเข้าใจงานในหลายส่วนขององค์กร” นอกจากนี้หัวหน้าแบบ Generalist มักเปิดโอกาสให้ทีมเสมอ ในการแสดงความคิดเห็น ซึ่งส่งผลให้ทีมพัฒนาได้มากยิ่งขึ้น
6 พลังของการเป็นหัวหน้าที่มีทักษะแบบ Generalist
1. เป็นชนวนจุดประกายความคิดใหม่ ๆ
เนื่องจากทักษะเฉพาะตัวของหัวหน้าแบบ Generalist ใจกว้างเปิดรับทุกสิ่ง และหาจุดตรงกลางได้เสมอ ทีมจึงสบายใจ กล้านำเสนอแผนไอเดียใหม่ ๆ โดยไม่กล้วจะถูกมองข้าม ซึ่งทำให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่สร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ เช่น ทีมอยากลองเปลี่ยนวิธีการโปรโมทจากการพิมพ์บทความเป็นการทำวิดีโอบนโซเชียลแทน ก็กล้าเสนอเต็มที่ เพราะยังไงหัวหน้าแบบ Generalist ก็จะไม่มองข้ามและส่งเสริมให้ทีมได้ทำอย่างแน่นอน
2. เป็นสะพานเชื่อมระหว่างการสื่อสาร
แม้จะผสมผสานความคิดได้ แต่หากการสื่อสารติดขัด ก็อาจทำให้ผลลัพธ์ของงานนั้นไม่ออกมาดีเท่าที่ควร ซึ่งหัวหน้าแบบ Generalist จะสื่อสารได้มากกว่าแค่ภาษาเดียว ดังนั้นการการสื่อสารได้หลากหลายภาษาจะช่วยเข้าใจกันมากขึ้น โดยเฉพาะเวลาการคุยกันข้ามสายงาน เช่น หากทีมการตลาดและทีมกราฟิกสื่อสารกันไม่เข้าใจ หัวหน้าแบบ Generalist ก็จะเป็นตัวกลางคอยเชื่อมความต้องการของทั้งคู่ให้เข้าใจตรงกัน
3. เป็นสายตาที่มองการณ์ไกล
หากเป็นหัวหน้าแบบ Generalist ไม่ยากเลยที่จะมองได้ไกลกว่าคนอื่น ๆ เนื่องจากหัวหน้าจะมองเห็นภาพใหญ่และรู้ว่าสิ่งไหนที่คนอาจให้ความสนใจได้ในอนาคต เตรียมตัวให้พร้อม ลงมือทำมันได้ก่อน ทำให้สร้างความได้เปรียบได้การแข่งขันได้ เช่น หากอยากเพิ่มกลุ่มลูกค้าในวัย Gen Z ทางหัวหน้าแบบ Generalist อาจเริ่มศึกษาความสนใจของคนกลุ่มนี้ก่อน และปล่อยแคมเปญหรืองานต่าง ๆ มาเพื่อตอบโจทย์ได้ก่อนองค์กรอื่น
4. เป็นคนที่ปรับตัวได้ในทุกสถานการณ์
หนึ่งในทักษะของหัวหน้าแบบ Generalist คือการปรับตัวได้เร็ว ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน และยังคงดึงศักยภาพของตัวเองออกมาทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี บางครั้งอาจช่วยดึงศักยภาพให้ทีมพัฒนาอีกด้วย เช่น โดนย้ายมาดูแลโปรเจกต์ที่ไม่เคยทำมาก่อน ทางหัวหน้าแบบ Generalist ก็จะใช้เวลาในการศึกษาได้อย่างรวดเร็ว และเริ่มทำงานต่อได้ทันที หรืออาจเสนอไอเดียใหม่ ๆ ให้กับทีมสำหรับโปรเจกต์เพื่อเพิ่มความแปลกใหม่ให้แก่งานได้
5. เป็นตัวช่วยในการฝ่าวิกฤต
หากเจอวิกฤตหรือช่วงที่ลำบากอาจก่อให้เกิดความกังวล หัวหน้าแบบ Generalist จะช่วยให้มองทางออก เปลี่ยนจากความเสี่ยงเป็นโอกาสในการทดลอง จึงเป็นโอกาสให้กล้าลองในสิ่งที่องค์กรอื่นยังไม่กล้าทำ เช่น ถ้าลูกค้าอยากขอเปลี่ยนคอนเซปต์ของงานก่อนเดดไลน์ไม่กี่วัน ทางหัวหน้าแบบ Generalist ก็จะดึงสติให้ทีม ช่วยเปลี่ยนมุมมองเป็นเชิงบวกมากกว่าเชิงลบ และหาทางออกในการทำงานครั้งนี้ได้อย่างใจเย็น
6. เป็นคนสร้างวัฒนธรรมในการเรียนรู้
ทีมมักมองหัวหน้าเป็นต้นแบบ ถ้าหัวหน้าชอบทดลองสิ่งใหม่ ๆ ก็จะส่งผลให้ทีมก้าวไปข้างหน้า และกล้าคิดกล้าทำมากขึ้น เมื่อมีใจที่เปิดกว้างต่อการเรียนรู้ ไม่จำกัดแค่หน้าที่ของใครของมัน ทุกคนจะเข้าใจภาพรวมของธุรกิจได้ดีขึ้น ตัดสินใจแม่นยำขึ้น เป็นทีมเวิร์คมากขึ้น เหมือนเติมกำลังใจต่อกัน เช่น ฝ่ายบัญชีอยากรู้ว่าฝ่ายฝ่ายคอนเทนต์วางแผนยังไง ก็สามารถเข้าไปเรียนรู้ได้ ซึ่งทำให้งานมีประสิทธิภาพที่มากขึ้น และการตัดสินใจต่าง ๆ ก็ดีขึ้นด้วยเช่นกัน เพราะเข้าใจในมุมมอของอีกฝ่าย
หัวหน้าแบบ Generalist ก็มีข้อดีและข้อได้เปรียบมากมาย
ในยุคที่ธุรกิจและเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การเป็นหัวหน้าแบบ Generalist ถือว่าเป็นพลังให้ทีมกับคนรอบข้างพร้อมยอมรับและตามมันได้ทัน ดังนั้นหากคุณไม่ใช่หัวหน้าที่ ‘รู้ลึก’ ก็ไม่เป็นไร เพราะพลังหัวหน้ายุคใหม่คือ “คนที่รู้ในเรื่องรอบด้าน”
✍️ เรียบเรียง: ธัญวรัตน์ ปกรณ์รัศมี
#หัวหน้า #รู้ลึก #รู้รอบ

30/07/2025

เชื่อว่าคนที่เคยดูซีรีส์เรื่อง “สงครามส่งด่วน” น่าจะยังจำฉากที่ตัวละครเสี่ยวหยูวาดกราฟบางอย่างที่มี 2 แกนบนกระจกรถของสันติ เพื่อหาช่องว่างในตลาดให้ Thunder Express มาสู้กับคู่แข่งกันได้อยู่
รู้ไหมว่ากราฟอันนั้นคือ “Positioning Cross” หรือบางตำราจะเรียก “Positioning Map”
เป็นเครื่องมือที่นักการตลาดเอาไว้ดูภาพรวมของอุตสาหกรรมว่าใครเป็นคู่แข่งของแบรนด์เรา และมีช่องว่างในตลาดตรงไหนบ้างเราสามารถลงไปเล่นได้ ?
แล้วถ้าเราอยากใช้เครื่องมือ Positioning Cross เหมือนในซีรีส์บ้างต้องทำอย่างไร ?
TODAYBizview จะสรุปให้ฟังแบบเข้าใจง่ายๆ
Positioning Cross เป็นเครื่องมือการตลาดชนิดหนึ่งที่มีลักษณะเป็นแผนภาพ 4 ช่อง
โดยแต่ละช่องจะระบุตำแหน่งทางการตลาดของแบรนด์ในอุตสาหกรรม คล้ายแผนที่ที่บอกว่าแบรนด์เราอยู่ตรงไหน ตรงไหนมีผู้เล่นเยอะ และตรงไหนมีผู้เล่นน้อย
ยกตัวอย่างเช่น แบรนด์รถยนต์ธรรมดาๆ กับแบรนด์รถยนต์หรู ถ้าเอามาพล็อตลงบน Positioning Cross จะต้องอยู่คนละช่องกัน
ทีนี้แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าแบรนด์อะไร ควรอยู่ตรงไหนของแผนที่ มาดูวิธีกัน
1. ให้เรากำหนดปัจจัย 2 อย่าง ที่คิดว่าลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าของเราจากตรงนี้
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราอยากเปิดร้านกาแฟ สิ่งที่ทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อกาแฟสักแก้วก็อาจจะเป็น “ราคา” และ “บรรยากาศของร้าน”
พอได้แล้วให้เราเอาปัจจัยที่เลือกมาแทนค่าบน “แกนแนวนอน” และ “แกนแนวตั้ง” อย่างในเคสนี้จะกำหนดว่า
- แกนแนวนอน คือ “ราคา” จากถูกไปแพง เริ่มจาก “ฝั่งซ้ายไปขวา”
- แกนแนวตั้งคือ คือ “บรรยากาศของร้าน” จากบรรยากาศไม่ดีไปบรรยากาศดี เริ่มจาก “ล่างขึ้นบน”
จากนั้นให้เราเอาแกนแนวนอนและแนวตั้งมาวางซ้อนกันเป็นรูปตัว X เพื่อให้ได้ช่องทั้งหมด 4 ช่อง
(คล้ายที่เสี่ยวหยูวาดบนกระจกรถของสันติ) ก็จะได้โครงสร้างของ Positioning Cross ในเบื้องต้นแล้ว
แต่ต้องบอกไว้ก่อนว่า แต่ละอุตสาหกรรมจะมีปัจจัยที่ลูกค้าตัดสินใจซื้อแตกต่างกันพอสมควร
- ธุรกิจขนส่ง ลูกค้าอาจจะตัดสินใจซื้อด้วย ความสะดวก และ ความรวดเร็วในการส่ง
- ธุรกิจสายการบิน ลูกค้าอาจจะตัดสินใจซื้อด้วย ราคา และ ความสะดวกสบาย
- ธุรกิจแฟชั่น ลูกค้าอาจจะตัดสินใจซื้อด้วย ความสวยงาม และ คุณภาพของสินค้า
ซึ่งตรงนี้ก็ขึ้นอยู่กับมุมมองของนักการตลาดแต่ละคนด้วยว่าจะใช้ปัจจัยไหนมาวางเป็น Positioning Cross ?
2. เมื่อเราได้โครงสร้างของ Positioning Cross แล้ว ให้พยายามเติมแบรนด์ลงในช่องต่างๆ ตามโครงสร้างที่เราวางเอาไว้
อย่างในเคสของร้านกาแฟข้างต้น Positioning Cross ของเราจะมีช่องทั้งหมด 4 ช่อง ได้แก่
- ร้านกาแฟที่ “ราคาถูก” และ “บรรยากาศดี” จะอยู่ช่อง “ซ้าย-บน”
- ร้านกาแฟที่ “ราคาสูง” และ “บรรยากาศดี” จะอยู่ช่อง “ขวา-บน”
- ร้านกาแฟที่ “ราคาถูก” และ “บรรยากาศไม่ดี” จะอยู่ช่อง “ซ้าย-ล่าง”
- ร้านกาแฟที่ “ราคาสูง” และ “บรรยากาศไม่ดี” จะอยู่ช่อง “ขวา-ล่าง”
ซึ่งเรามีหน้าที่ต้องวิเคราะห์ และหาให้ได้ว่าแบรนด์อะไรควรจะต้องอยู่ตรงไหนของแผนที่
โดยมีวิธีง่ายๆ ที่หลายคนนิยมใช้ เพื่อให้พล็อตแบรนด์ในแผนที่ให้แม่นยำขึ้น ก็คือ “การทำแบบสอบถาม” เป็นสเกลตัวเลข
ยกตัวอย่างเช่น ในเคสของร้านกาแฟข้างต้น เราอาจจะทำแบบสอบง่ายๆ 2 ข้อ ตามปัจจัยเรื่อง ราคา และ บรรยากาศของร้าน ที่เรากำหนดไว้ ได้แก่
1. คิดว่ากาแฟแบรนด์ A มีราคา ถูกหรือแพง โดยกำหนดคะแนน 1 - 10
(โดยที่ 1 = ถูกมาก และ 10 = แพงมาก)
2. คิดว่ากาแฟแบรนด์ A มีบรรยากาศเป็นอย่างไร โดยกำหนดคะแนน 1 - 10
(โดยที่ 1 = บรรยากาศธรรมดา และ 10 = บรรยากาศดีมาก)
สมมติว่าถ้าเราทำแบบสำรวจร้านกาแฟในตลาด แล้วพบว่าแบรนด์ Starbucks ได้คะแนนในเรื่องของราคาอยู่ที่ 8 และได้คะแนนเรื่องบรรยากาศในร้านที่ 10
เราก็อาจจะพล็อต Starbuck ให้อยู่ในช่อง “ขวา-บน” คือเป็นแบรนด์ที่ขายกาแฟในราคาสูงแต่ตกแต่งร้านสวย บรรยากาศดีนั่นเอง
3. วิเคราะห์ “ช่องว่างในตลาด” จาก Positioning Cross
เมื่อเราเติมแบรนด์ต่าง ๆ ใน Positioning Cross ครบ 4 ช่องแล้ว เราจะสามารถเห็นภาพรวมของตลาดได้เลยว่าพื้นที่ตรงไหนมีการแข่งขันสูง และพื้นที่ตรงไหนไม่ค่อยมีคู่แข่ง ?
อย่างในเคสร้านกาแฟข้างต้น สมมติว่าเราพล็อตแผนที่แล้วพบว่า ในตลาดไม่ค่อยมีร้านกาแฟที่ “ราคาถูก” และ “บรรยากาศดี”
เราก็อาจใช้ข้อมูลตรงนี้มาปรับปรุงโมเดลร้านกาแฟของเราให้เป็นร้านกาแฟที่ขายราคาถูก แต่บรรยากาศดี เพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งในตลาดได้
เหมือนกับในซีรีส์สงครามส่งด่วน ในฉากที่สันติเห็นว่าคู่แข่งของ Thunder Express คือ Easy Express มีตำแหน่งในตลาดแบบเดียวกัน คือ “ค่าขนส่งถูก” และ “สะดวก”
ก่อนที่สันติจะตัดสินใจวางตำแหน่งของ Thunder Express ใหม่ให้เป็นแบรนด์ที่ “ค่าส่งถูก” และ “สะดวกมาก”
และพัฒนาบริการรับสินค้าถึงหน้าบ้านลูกค้าให้ลูกค้าได้รับความสะดวกกว่าแบรนด์อื่นในตลาดเป็นแบรนด์แรกนั่นเอง

30/07/2025

เจาะลึกเทคนิคหา “Consumer Insight” สู่กลยุทธ์พลิกเกมตลาด ชนะใจลูกค้า และการแข่งขันทุกสมรภูมิ Red Ocean – Blue Ocean

ในยุคการแข่งขันสูง มีทั้งผู้เล่นแข็งแกร่ง และผู้ท้าชิงหน้าใหม่ แบรนด์ที่จะครองใจลูกค้า และชนะสมรภูมิการแข่งขันเดือด Red Ocean หรือพื้นที่ใหม่อย่าง Blue Ocean ต้องเข้าใจ “ความต้องการลึกๆ ในใจของลูกค้า” สิ่งนี้เรียกว่า “Insight” ที่อยู่ในใจ หรืออยู่ในความคิดลึกๆ ของลูกค้า

ในงาน เซสชั่น “Decoded: พลิกเกมการตลาดจากสิ่งที่ลูกค้าไม่เคยพูด Data ไม่เคยบอกคุณ” โดย คุณบังอร สุวรรณมลคล, CEO & Founder of Hummingbirds Consulting ได้พาไปหาคำตอบทำไม Insight ถึงมีความสำคัญกับแบรนด์ หรือธุรกิจ พร้อมเผยเทคนิคการหา Inisght พาแบรนด์มัดใจลูกค้า และชนะการแข่งขัน

🎯 เทคนิคหา “Insight” ลูกค้า เปลี่ยนให้เป็น Game Changer

👉🏻I = Invisible Truths: ความจริงที่ซ่อนอยู่ทรงพลังอย่างมาก จะไม่ถูกพูดถึง จนกว่าแบรนด์จะค้นหาผ่านการพูดคุยกับลูกค้าในเชิงลึก

- รู้จักเทคนิคหา Insight ด้วย “ทฤษฎีไข่ดาว" คือการมองหา “Context Understanding First” คือการเข้าใจบริบทของสิ่งรอบข้าง วิถีชีวิต และความต้องการของลูกค้าก่อน แล้วเปลี่ยนให้เป็น “โซลูชัน” หรือ “การตลาด” ของแบรนด์

การจะได้ Insight ลูกค้าตามทฤษฎีไข่ดาว แบรนด์ควรเร่ิมจากตั้งคำถามทั่วไปก่อน เพื่อให้เข้าใจภาพรวม หรือบริบท จากนั้นค่อยถามคำถามเฉพาะเจาะจง

👉🏻N = Needs Thay Can’t Name: ลูกค้ามีความต้องการหลายอย่างที่ระบุไม่ได้ ด้วย “Design Thinking Concept”

1. Problem Space: ต้องเข้าใจ Pain point ของลูกค้า และความต้องการที่แอบซ่อนอยู่

2. Ideation Space: จากนั้นดีไซน์ไอเดียว่าปัญหานั้นๆ จะแก้ด้วยโซลูชันอะไร

3. Solution Space: เอาไอเดียมาทดสอบ เพื่อทำให้เป็นโซลูชันที่ช่วยแก้ปัญหาลูกค้าได้จริง

👉🏻S = Subconscious Driver: ความคิด ความเชื่อ ความรู้สึกที่อยู่ใต้ระดับการรับรู้ของมนุษย์ที่ไม่สามารถพูดออกมาได้ตรงๆ แต่เป็นแรงผลักดันให้เกิดพฤติกรรม

- Unspoken Truth หรือความจริงที่ไม่ได้พูดออกมา มักไม่ได้ปรากฏให้เห็นใน Data ไม่มีในออนไลน์ และโฆษณา ดังนั้นการสื่อสารที่ดี คือ การพูดระดับ Subconscious ที่เข้าใจความต้องการลึกๆ ในใจของลูกค้า

👉🏻I = Intuition for Future: Insight ช่วยคาดการณ์อนาคตบางอย่างได้โดยที่ Data ยังไม่ได้บอก

👉🏻 G = Gap in the Market: เติมเต็มช่องว่างในตลาด โดยอย่าตามแต่ Demand ลูกค้า

เทคนิคสร้างเกมที่ทำให้แบรนด์ชนะ ก่อนอื่นต้องรู้ Insight 2 มุมคือ

– Expectation สิ่งที่ลูกค้าคาดหวัง หรือความฝันของลูกค้า

– Experience ความจริง หรือสิ่งที่เจอในตลาด

เมื่อเข้าใจ 2 มุมแล้ว จะทำให้แบรนด์เห็น “Need Gap” ที่ยังไม่มีใครตอบสนองลูกค้า และเมื่อแบรนด์ตอบโจทย์ Need Gap ได้ จะสร้างประสบการณ์สุดว้าว! ให้กับลูกค้า

👉🏻 H = Human Centered Innovation: ความเข้าใจลูกค้าคือหัวใจสำคัญของการพัฒนานวัตกรรม

Innovation ที่จะได้การตอบรับดีจากลูกค้า ต้องมาจาก Empathy หรือความเข้าอกเข้าใจลูกค้า และช่วยแก้ปัญหาลูกค้าได้จริง

เพราะฉะนั้นนวัตกรรมที่ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา หรือไม่ได้ตอบโจทย์ความต้องการ ลูกค้าย่อมไม่สนใจ แบรนด์จึงไม่ควรเสียเวลาพัฒนานวัตกรรมที่ลูกค้าไม่สนใจ

👉🏻 T = Truth That Transform Strategy: Insight เป็นส่วนผสมของกลยุทธ์

แบรนด์ที่มี Insight จะเป็นส่วนผสมสำคัญในการพัฒนา “กลยุทธ์การตลาด” ที่สร้าง Impact และชนะตลาดได้

ไม่แค่นั้น คุณบังอร ยังได้แชร์กลยุทธ์การแข่งขันในตลาด Red Ocean และ Blue Ocean ไว้อย่างน่าสนใจ...

🎯 กลยุทธ์แข่งขันในตลาด "Red Ocean"

1. Low-cost Strategy: สู้ด้วยราคา

แบรนด์/ธุรกิจที่จะใช้กลยุทธ์ Low-cost ต้องมีความได้เปรียบทางการแข่งขันด้านต้นทุน หากไม่มีความได้เปรียบด้านต้นทุน ไม่แนะนำให้แบรนด์แข่งขันด้วยกลยุทธ์นี้

2. Differentiation Strategy: สู้ที่ความแตกต่าง ด้วย 4 วิธีดังนี้

– Product Strategy
– Communication Strategy
– Experience Strategy
– Branding Strategy

3. Niche Strategy: สู้ที่ตลาด Niche เพื่อสร้างชัยชนะเล็กๆ ก่อน แล้วค่อยก้าวไปสู่ตลาด Mass

แบรนด์/ธุรกิจสามารถนำแนวคิด “The Ripple Effects” มาปรับใช้กับการวางกลยุทธ์แบรนด์ นั่นคือ From Niche to Mass เริ่มต้นจากตลาด Niche ก่อน จากนั้นค่อนขยายไปสู่ตลาด Mass

🎯 กลยุทธ์ “Blue Ocean”

1. ดึงดูดลูกค้าที่ออกจากตลาดหรือแบรนด์ให้กลับมา

2. ขยายฐานลูกค้าใหม่ ที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์กับแบรนด์ หรือผลิตภัณฑ์ใน Category นั้นๆ มาก่อน

3. มองหากลุ่มลูกค้าใหม่ที่แบรนด์ไม่เคยทำตลาดมาก่อน

👉🏻อ่านเพิ่มเติม พร้อมตัวอย่างเคสได้ที่ลิงก์ในคอมเมนต์

!

29/06/2025

ครีมบำรุงผิวหน้า น้องใหม่จากแบรนด์ “วีญ่า” 🩵

ครีมเนื้อบางเบา แต่บำรุงล้ำลึก
💧 เติมน้ำให้ผิว อิ่มฟู ดูสุขภาพดี
💄 แต่งหน้าติดง่าย ผิวฉ่ำตลอดวัน
🧬 ช่วยลดเลือนริ้วรอย ฟื้นฟูชั้นไขมันใต้ผิว
💦 ดึงน้ำเข้าสู่ผิว → กระจายสู่เซลล์ผิว → กักเก็บความชุ่มชื้นยาวนาน

เปิดตัววันนี้! โปรโมชั่นพิเศษ
จากปกติ 790.- เหลือเพียง 590.- เท่านั้น

📍 ช่องทางสั่งซื้อ
Line: (อย่าลืมใส่ @)
Facebook: viyacream
Instagram:
Tiktok:


#วีญ่า #วีญ่าครีม #บำรุงผิวหน้า #เพิ่มความชุ่มชื้น #กระจ่างใส #ลดริ้วรอย #เพิ่มคอลลาเจน #ผิวหน้าอิ่มฟู #ผิวอิ่มน้ำ #ดึงน้ำสู่ผิว #กักเก็บความชุ่มชื้น

03/06/2025

หลายคนใช้ ChatGPT เป็นเครื่องมือช่วยทำงาน ทำการบ้าน คือถามคำถาม ได้คำตอบ แล้วก็จบ ซึ่งเป็นการใช้ประโยชน์จาก AI ได้ไม่เต็มที่ จริงๆ แล้ว ChatGPT สามารถเป็นเครื่องมือช่วยให้เรียนรู้ได้ดีและเร็วขึ้น ถ้ารู้ว่าต้องสั่งงานมันอย่างไร บทความนี้จะแนะนำ 10 คำสั่ง ที่สามารถนำไปใช้เพื่อช่วยให้การเรียนรู้ในเรื่องต่างๆ ของคุณดีขึ้นและเร็วขึ้น
10 คำสั่ง ChatGPT ขั้นเทพ ช่วยให้เรียนรู้ได้เร็วขึ้น
[1] เปลี่ยนเนื้อหายากๆ ให้เข้าใจง่ายด้วยภาพ
ถ้าคุณต้องอ่านเนื้อหาที่ยากและยาว ChatGPT สามารถช่วยสรุปหรือทำเป็นผังความคิด (flowchart) เพื่อให้เห็นภาพรวมและจุดเชื่อมโยงต่างๆ ได้ง่ายขึ้น
ลองสั่ง: "ช่วยทำ flowchart อธิบาย [หัวข้อ] โดยแสดงความเชื่อมโยงของแต่ละส่วน"
[2] สร้างแบบทดสอบส่วนตัว
แทนที่จะใช้แฟลชการ์ดแบบเดิมๆ ให้ ChatGPT สร้างแบบทดสอบตามเรื่องที่คุณกำลังเรียน โดยเน้นจุดที่คุณยังไม่ค่อยเข้าใจ
ลองสั่ง: "ช่วยตั้งคำถามเกี่ยวกับ [วิชา/หัวข้อ] พร้อมอธิบายคำตอบในแต่ละข้อ"
[3] สรุปเนื้อหาวิดีโอยาว ๆ ให้เหลือเฉพาะใจความสำคัญ
ถ้าคุณดูวิดีโอสอนหรือฟังเลคเชอร์นานๆ แล้วจำประเด็นสำคัญไม่ค่อยได้ ลองคัดลอกสคริปต์ (ถ้ามี) มาให้ ChatGPT ช่วยสรุป
ลองสั่ง: "ช่วยสรุปใจความสำคัญของเนื้อหาและประเด็นหลักจากวีดีโอนี้"
[4 ] อธิบายเรื่องยากให้ง่ายด้วยการเปรียบเทียบ
บางเรื่องอาจเข้าใจยากเพราะเป็นเรื่องที่จับต้องไม่ได้ แต่ ChatGPT สามารถช่วยอธิบายโดยใช้การเปรียบเทียบกับสิ่งที่คุ้นเคย
ลองสั่ง: "ช่วยอธิบาย [เรื่องที่เข้าใจยาก] โดยเปรียบเทียบกับเรื่องง่ายๆ"
[5] ใช้ ChatGPT เป็นติวเตอร์เฉพาะทาง
ChatGPT มีข้อมูลในหลากหลายสาขาวิชา คุณสามารถให้มันทำหน้าที่เหมือนผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆ แล้วสอนคุณทีละขั้นตอนได้
ลองสั่ง: ช่วยสอน [ทักษะ] แบบทีละขั้นตอน ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้าน [สาขา]

ที่อยู่

Bangkok

เบอร์โทรศัพท์

+66824576345

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Khit ma deeผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง Khit ma dee:

แชร์