บันทึกเรื่องราวของคุณเวลา

บันทึกเรื่องราวของคุณเวลา ข้อมูลการติดต่อ, แผนที่และเส้นทาง,แบบฟอร์มการติดต่อ,เวลาเปิดและปิด, การบริการ,การให้คะแนนความพอใจในการบริการ,รูปภาพทั้งหมด,วิดีโอทั้งหมดและข่าวสารจาก บันทึกเรื่องราวของคุณเวลา, ครีเอเตอร์ดิจิทัล, Bangkok.

อัสสลามูอาลัยกุมบันทึกเรื่องราวของคุณเวลา ฉบับที่ 81เกี่ยวกับการรักษาตัวด้วยโรคมะเร็งเนื้อเยื่อ ระยะที่สามเมื่อวันที่ 16...
26/08/2025

อัสสลามูอาลัยกุม

บันทึกเรื่องราวของคุณเวลา ฉบับที่ 81
เกี่ยวกับการรักษาตัวด้วยโรคมะเร็งเนื้อเยื่อ ระยะที่สาม

เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2568 ที่ผ่านมา ในช่วงเวลา 17:20 น. หนูมีอาการหนาวสั่น เหมือนจะเป็นไข้ มีอาการหายใจไม่ออก พยายามหายใจเองแล้ว แต่ก็หายใจไม่ได้ พยายามหายใจทางปากก็แล้ว แต่ก็ไม่ดีขึ้นเลย มีภาวะอ่อนเพลีย เพราะนอนไม่ได้ตลอดหลายคืน ตั้งแต่บินกลับมาจากกรุงเทพฯ ในวันที่ 25 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา อาการนอนไม่ได้ที่ว่านี้ เกิดจากการไอเป็นเลือด ตลอด 3 อาทิตย์ ที่หนูไม่ได้กินยาของโรงพยาบาลเลย ตั้งแต่กลับมาในวันนั้น จนถึงก่อนวันที่จะเข้าโรงพยาบาล

ทั้งนี้ การรักษากับแพทย์ทางเลือกที่หนูได้มีการพูดถึงในฉบับที่ 80 ก่อนหน้านี้ หนูได้ยุติการรักษาเป็นที่เรียบร้อยแล้วนะคะ ที่จริงหนูอยากรักษากับแพทย์ทางเลือกต่อ เนื่องจากรักษาผ่านมาครึ่งทางแล้ว แต่ด้วย ร่างกายที่ไม่มีสารอาหารตกถึงท้องเป็นเวลา 1 เดือน

ไม่ว่าจะเป็น……
ข้าว
เนื้อสัตว์
ผักสด
นม
อาหารเสริม
และอื่นๆอีกมากมาย
รวมไปถึงยาโรงพยาบาลทุกชนิดที่หมอจากโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ได้ให้ไว้ก่อนกลับบ้านนี้ด้วย

ทำให้หนูมีอาการที่แย่ลงค่อนข้างเยอะเอามากๆ ตั้งแต่กลับบ้านมารอบนี้ หนูป่วยแทบจะติดเตียง ไม่สามารถขยับร่างกาย หรือช่วยเหลือตัวเองได้เลย ต้องให้คุณแม่คอยช่วยเหลือ และดูแลอย่างใกล้ชิดแบบ 24 ชั่วโมง คอยประคอง พาไปห้องน้ำ พาไปนอน พาไปกินข้าว พาไปเดินเล่นหน้าบ้านคุณยาย และ มีการอาบแดดในยามเช้า และอื่นๆอีกมากมายนี้ด้วย

ในส่วนเรื่องที่มีการแอดมิดเข้าโรงพยาบาลปัตตานี ในวันที่ 16-21 สิงหาคม พ.ศ.2568 ที่ผ่านมานั้น คุณหมอฉุกเฉินบอกว่า “ หนูมีการหายใจที่ค่อนข้างเร็วมากๆ และแย่มากๆ มีไข้ด้วย และ ดูอ่อนเพลียค่อนข้างเยอะมากๆ จึงจำเป็นต้องให้หนูแอดมิดดูอาการที่โรงพยาบาลดูก่อน ”

ในช่วงวันที่ 16-19 สิงหาคม พ.ศ.2568 คุณหมอได้มีการแยกให้หนูอยู่ห้องคนเดียว เนื่องจากหนูมีอาการไอเป็นเลือดค่อนข้างเยอะ และไอต่อเนื่องก่อนที่จะมีการเข้ามาหาหมอที่โรงพยาบาลอีก บวกกับมีไข้ หัวใจเต้นเร็ว เลยมีความจำเป็นต้องแยกห้องอยู่คนเดียวหลายวัน และต้องรอฟังผลจากห้องแลปก่อน แต่ อัลฮัมดูลิลลาฮ ผลออกมาว่า หนูไม่ได้เป็นวัณโรค ตามที่เขาสงสัย

แต่ในช่วงที่หนูอยู่ในห้องแยกนั้น ผ่านไป 2-3 วัน ในตอนนั้น ก่อนจะมีการย้ายไปอยู่ห้องรวมของวอร์ดอายุรกรรมนั้น หนูมีอาการ แขนบวม ทั้งสองข้าง หน้าข้างหนึ่งก็บวม แต่ไม่รู้สาเหตุว่า อาการบวม ดังกล่าวมาจากอะไร

แพ้ยาฆ่าเชื้อที่ฉีดเข้าไปในเส้นเลือด ?
น้ำเกลือ ?
หรือเพราะโรคที่เป็น?

แต่คุณหมอทุกคนที่โรงพยาบาล ไม่ว่าจะเป็นหมอประคับประครอง หรือหมอเวรของวันนั้นๆ เขาได้บอกว่า “ อาการแขนบวมที่หนูเป็น มันเกิดจากตัวโรคที่หนูเป็น เนื่องจากก้อนเนื้อมันไปเบียดพวกเส้นเลือด และหลอดลม ทำให้ เลือดหรือน้ำที่อยู่ในร่างกายมันอุดตัน มันไม่สามารถผ่าน หรือลำเลียงไปในตำแหน่งอื่นได้ จึงทำให้มีอาการบวมดังกล่าว ตามที่หนูได้แจ้งไปในสตอรี่เพจก่อนหน้านี้ พร้อมแนบรูปภาพและวีดีโอให้เห็น

ทั้งนี้ หนูเองก็ยัง งง กับอาการบวมดังกล่าวเอามากๆ เนื่องจากหมอที่กรุงเทพฯ บอกว่า ”อาการแขนบวม คอบวม หน้าบวม มันจะเกิดขึ้นข้างขวา แต่ อาการบวมที่หนูเป็นตอนที่อยู่โรงพยาบาลนี้ที่เห็นได้ชัด มันเป็นข้างซ้าย มันบวม ตึง แน่น เหมือนปลายนิ้วมือ ซอก แขน มันแข็งโป๊ก เหมือน จะระเบิดตลอดเวลา มันเลยทำให้หนูยังไม่หายสงสัยสักที ว่าทำไมมันเป็นข้างซ้าย แล้วทำไมข้างขวาไม่เป็น อันนี้หนูสงสัยคนเดียวนะคะ “

อาการแขนบวมดังกล่าวที่หนูกำลังประสบอยู่ตอนนี้ ทำให้ตอนกลางคืน หนูนอนไม่ได้ แม้หนูจะกินยาแก้ปวดมอร์ฟีน แล้วก็ตาม มันเมื่อย มันขยับแขนซ้ายและขวาไม่ได้เลย แถมยังมีอาการไอเป็นเลือดตลอดทั้งวัน ทั้งคืน จนไม่สามารถนอนได้แล้ว แล้วยังคงมีอาการหน่วงๆ จี๊ดๆ บริเวณหน้าอกข้างขวา ที่มีก้อนเนื้อขนาด 6-7 cm นี้อีก

ทำให้อาการตอนนี้ของหนูค่อนข้างแย่ และยังไม่คงทีมากเท่าไหร่ ทั้งนี้ ตลอดการอยู่ที่โรงพยาบาล หรืออยู่ที่บ้านคุณยาย หนูยังคงใช้ชีวิตติดเตียง ไม่สามารถเดินลงจากเตียงได้เลย ถ้าลงจากเตียงได้ ก็จะมีอาการขาสั่น ขาไม่มีแรง และ จะมีอาการไอไม่หยุดตามมา จนต้องนั่งพักและหายใจทางปาก ต้องทายาที่คอ ที่ศีรษะ ที่จมูก เพราะมันจะช่วยให้การหายใจของหนูดีขึ้นได้บ้าง

หนูมักจะพูดอยู่เสมอว่า “ หนูมีอาการไอเป็นเลือดค่อนข้างเยอะ เวลามีคนชวนคุย หรือถามหนูมากเกินไปช่วงที่มาเยี่ยมที่บ้าน หนูจะมีอาการหายใจไม่ออกทันที ”

เพราะฉะนั้นหนูอาจจะย้ำทุกคนตลอดว่า “ ถ้าทุกคนอยากคุย อยากรู้อะไรเกี่ยวกับตัวหนู หรือการรักษา อยากถามอะไรอื่นๆ หนูขอรบกวนสอบถามคุณแม่ หรือคนในครอบครัวคุณแม่หนูแทนนะคะ เพราะหนูอยู่บนเตียงคนไข้ ใส่สายออกซิเจน หนูอาจจะไม่พูดกับใครเลย บางคนที่มาเยี่ยมหนูตลอด 2-3 วันนี้ เขาอาจจะคิดว่าหนูพูดไม่ได้ เพราะหนูไม่พูดเลย ไม่มีการออกเสียงเลยสักนิด แต่ทุกคนที่มาเยี่ยมหนูมักจะได้ยินเสียงตอนที่หนูไอตลอด เพราะหนูจะมีอาการไอตลอด ทั้งวัน ทั้งคืน ไม่ว่าตอนที่มีคนมาเยี่ยม หรือว่าไม่มีคนมาเยี่ยมก็ตาม “

นี่จะเป็นบันทึกเรื่องราวของคุณเวลา
เกี่ยวกับการรักษาด้วยโรคมะเร็งเนื้อเยื่อ ระยะที่สาม
ฉบับแรกหลังจากที่ออกจากโรงพยาบาลปัตตานี
เมื่อวัน 21 สิงหาคม พ.ศ.2568 นะคะ
หนูอาจจะไม่สะดวกที่จะมาอัปเดตการรักษา หรือชีวิตของหนูเองที่อยู่ในกระบวนการรักษาแบบประคับประคองบ่อยๆให้ทราบได้นะคะ หนูต้องขอมาอัฟพี่ๆทุกคนด้วยนะคะ ที่ต่อจากนี้หนูอาจจะมาๆหายๆบ้าง เนื่องจากหนูยังมีร่างกายที่ไม่ค่อยแข็งแรง และมีอาการที่ยังไม่คงทีเอามากๆ เลยไม่มีแรงจะมานั่งเล่าเรื่องบทความการรักษานี้ได้ หนูต้องขอมาอัฟเป็นอย่างมากเลยนะคะ

ในส่วนยา ต่างๆ หนูจะแนบไว้ใต้โพสเหมือนเดิมนะคะ

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านบทความของหนูจนจบนะคะ

********

#เด็กกำพร้า #ผู้ป่วยมะเร็ง #มะเร็งเนื้อเยื่อ #ระยะที่สาม
#การรักษา #เด็กในวัย23ปี #เด็กที่อยู่กับแม่สองคน
#การแอดมิดเข้าโรงพยาบาลครั้งแรกหลังจากกลับมาจากกรุงเทพฯ #การรักษาแบบประคับประคอง
#ผู้ป่วยมะเร็งติดเตียง #รักษาตัวอยู่ที่บ้านเกิด

อัสสลามูอาลัยกุมบันทึกเรื่องราวของคุณเวลา ฉบับที่ 80 เกี่ยวกับการรักษาด้วยโรคมะเร็งเนื้อเยื่อ ระยะที่สามเมื่อวันที่ 25 ก...
31/07/2025

อัสสลามูอาลัยกุม

บันทึกเรื่องราวของคุณเวลา ฉบับที่ 80
เกี่ยวกับการรักษาด้วยโรคมะเร็งเนื้อเยื่อ ระยะที่สาม

เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ.2568 ที่ผ่านมา หนูกับคุณแม่ ได้มีการเดินทางมาถึงที่สนามบินหาดใหญ่ ในช่วงเวลา 14:00 น. หลังจากที่มาถึงสนามบิน หนูก็เดินทางไปพบคุณหมอที่เป็นแพทย์ทางเลือกที่หาดใหญ่ในกันต่อ…

ตอนนั้นก่อนที่หนูจะมีการเข้าไปพบคุณหมอดังกล่าว หนูแวะกินข้าว และแวะละหมาดที่ร้านอาหารบ้านสวนรุสนานี พอเวลาผ่านไป ราวๆ 30 นาที คุณหมอก็เดินทางมาถึงที่ร้านอาหารดังกล่าว และหนูก็ได้มีโอกาสยื่นเอกสาร ใบสแกนร่างกายทั้งหมดที่หนูได้ทำมา รวมถึงเอกสารสรุปการรักษาทั้งหมด ของคุณหมอผ่าตัดทุกแผนก และเอกสารสรุปการรักษาของคุณหมอมะเร็งให้เขาได้ดูด้วย

คือหนูต้องบอกก่อนนะคะว่า คุณหมอท่านนี้เขาทำงานที่โรงพยาบาลมาก่อน ก่อนที่เขาจะออกมาเปิดคลินิกเป็นของเขาเองที่หาดใหญ่ คุณหมอท่านนี้เขาเคยทำงานที่โรงพยาบาลในประเทศมาเลเซีย กับประเทศสิงคโปร์มาก่อน เขาเป็นแพทย์ทางเลือกที่ว่ารักษาแบบสมุนไพร ไม่ได้รักษาเหมือนหมอแผนปัจจุบันนะคะ เขาจะอ่านผลสรุปการรักษาได้ทุกอย่าง ไม่ใช่หมอกำปงที่ทุกคนเข้าใจนะคะ คือตอนนั้นหนูเองก็ไม่รู้จักคุณหมอท่านนี้เป็นการส่วนตัวเลยค่ะ พอดีมีบาบอ ที่โรงเรียนจงรักสัตย์วิทยา เขาได้ติดต่อหนูมา ตอนที่หนูมาถึงสนามบินหาดใหญ่กับคุณแม่พอดี เขาบอกว่าอยากให้หนูลองไปเจอ ไปลองพูดคุยกับหมอท่านนี้ดู เพราะว่าบาบอก็ทำการรักษากับหมอท่านนี้อยู่เหมือนกัน และคนรู้จักรอบตัวของบาบอเอง เขาก็ทำรักษากับหมอท่านนี้อยู่เหมือนกันค่ะ เขาเลยอยากให้หนูมีโอกาสพูดคุย และลองรักษากับหมอท่านนี้ดูค่ะ

พอตอนนั้นหนูได้มีการพูดคุยกับเขา แล้วพูดถึงแผนการรักษาต่างๆกับหมอท่านนี้แล้ว เขาก็ได้มีการสอบถามถึงอาการต่างๆ ที่หนูกำลังเป็นอยู่ ว่ามีอาการอะไรบ้าง แล้วได้มีการสอบถามข้อมูลคราวๆ มากมายเลยค่ะ พอเขาสอบถามจนจับจุดหลายอย่างได้แล้ว เขาจึงบอกหนูว่า จริงๆแล้ว สาเหตุของตัวโรคนี้ มันเกิดขึ้นบริเวณอื่น แต่ด้วยความก้อนเนื้อมันโผล่ให้เห็นที่หน้าอกข้างซ้าย ต่อด้วยที่ช่องท้อง และสุดท้ายก็บริเวณหัวไหล่ รักแร้ข้างซ้าย และล่าสุดยังมีเจอที่ ปอด ซี่โครง หลอดลม เส้นเลือดใหญ่ข้างขวาอีก มันก็ไม่แปลกที่หมอแผนปัจจุบันยังไม่สามารถคาดเดาตัวโรคนี้ได้ หรือหาสาเหตุของโรคนี้ได้เลย ทั้งที่ ผ่านมาก็รักษามาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะเป็น การผ่าตัด การรักษาด้วยฉายรังสีรักษา และรักษาด้วยยาเคมีบำบัด คือหมอเขารักษาไม่ตรงจุดเลย มันเลยทำให้ตัวโรคเป็นอย่างที่หมอแผนปัจจุบันคิดนั่นแหละ

คือตอนนี้หมออยากให้คนไข้ งดข้าว งดเนื้อสัตว์ทุกชนิด งดผลไม้ทุกชนิด งดยาโรงพยาบาลทุกตัวที่คนไข้กินอยู่ งดนมทุกชนิด และงดอาหารเสริมทุกตัว ห้ามกินเด็ดขาด! เพราะตลอดระยะเวลา 3 ปีกว่าที่ผ่านมา ร่างกายคนไข้ผ่านการรักษามาอย่างหนักหน่วง ตับกับไต เหมือนจะมีน้ำ น้ำที่ว่านี้ คือพวกยาที่คนไข้ได้รับ และอื่นๆ ที่หมอสั่งห้ามมาทั้งหมดนี้ด้วย ตอนนี้การรักษาของหมอ หมออยากให้คนไข้กินแค่ผักต้ม ผักนึ่ง น้ำเปล่าเป็นเวลา 5 วันก่อน และหลังครบ 5 วันก็มาพบหมอที่ปัตตานี ในส่วนเรื่องส่วนผสมของการทำอาหาร ห้ามใส่พวกซอสปรุงรสทุกชนิด คนไข้กินได้แค่ พริกไทย ขิง กระเทียม และหอมแดงเท่านั้น !

นอกจากที่หมอพูด คนไข้ห้ามกินเด็ดขาด ! หลังจากพบหมอวันอังคารที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ.2568 หมอจะให้ยา ให้เริ่มกินยาได้เลย

อัลฮัมดูลิลาฮ เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ.2568 ที่ผ่านมา หนูและครอบครัวคุณแม่ได้เดินทางไปพบหมอดังกล่าวอีกครั้ง หลังจากที่หนูได้พบเขาเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ.2568 ที่ผานมา

ทางคุณหมอได้มีการสอบถามถึงอาการดังกล่าวตลอด 5 วันที่ผ่านมา ว่าหนูได้ทำตามที่เขาบอกบ้างไหม หนูได้แจ้งเขาไปว่า หนูได้ทำตามที่เขาบอกทุกประการเลย ไม่แตะต้องของที่เขาห้ามสักอย่างเลย จากนั้นเขาก็บอก อัลฮัมดูลิลาฮ ดีมาก จากวันนี้ไป คนไข้สามารถทานนมยี่ห้อเมจิได้แล้วนะ ทานได้แค่ยี่ห้อเดียวเท่านั้น! และสามารถทานฟักทองได้ด้วย อย่างอื่นหมอยังไม่อนุญาตให้ทานนะครับ จนกว่าหมอจะประเมินอาการของคนไข้ทุกอาทิตย์ว่าดีขึ้นมากน้อยแค่ไหน แต่อัลฮัมดูลิลลาฮที่คนไข้รับฟัง และทำตามที่หมอบอกเป็นอย่างดี วันนี้หมอจะให้ยาให้กลับไปกินแล้วนะครับ ยาตัวนี้ที่หมอให้มี 4 ชุด จะมีค่าใช้จ่าย 700 บาท ต่อครั้ง ที่มีการเข้าพบหมอทุกอาทิตย์นะครับ

ในส่วนนัดของเรา เราจะพบกันอีกที เป็นวันอังคารที่ 5 สิงหาคม พ.ศ.2568 นี้นะครับ

อันนี้หนูจะเล่าเรื่องอุทาหรณ์ที่หนูพบเจอในวันที่หนูกลับมาถึงบ้านที่ปัตตานี ในคืนที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ.2568 ที่ผ่านมา

มีเฟส เฟสหนึ่ง เขาชื่อว่า Ho Ty เขามาก่อกวนในเพจหนู ไม่ว่าจะเป็นในโพสต่างๆ ที่หนูได้มีการอัปเดตการรักษา และทักมาก่อกวนในข้อความของเพจ เขาบอกว่า เขาโอนเงินเพื่ออยากช่วยเหลือหนูกับคุณแม่หนู และส่งสลิปการโอนเงินแนบไว้ ประมาณ 500 บาท ให้หนูเข้าไปตอบเขาหน่อย คือเขาไปเม้นเยอะมากเลย ในช่วงนั้น เขาบอกข้อความส่งไม่ได้ เลยไปบอกใต้คอมเม้นให้หนูเข้าไปตอบในข้อความ คือตอนนั้นหนูกลับมาถึงบ้านค่อนข้างดึกมากๆ เพราะเดินทางไกลตลอดทั้งวัน บวกกับป่วยด้วย ทำให้ไม่ได้ตอบแชทเขาไป จากนั้น ที่หนูเข้าไปอ่านในข้อความของเขา ในช่วงเวลา 03:00 เขาบอกว่า เขาโอนเงินมา 500บาท เพื่ออยากช่วยเหลือ และได้โอนเงินใหม่อีกครั้งในจำนวน 1,000 บาท แต่รอบนี้ไม่ได้ตั้งใจโอน แต่มือไปโดน อยากให้โอนคืน แล้วก็ได้มีการขอเบอร์ และแอดไลน์หนูด้วย เพื่อจะคุยเรื่องรายละเอียด แต่ด้วยความที่หนูไอถี่มากๆ หายใจไม่ออก เหนื่อย ไม่สามารถคุยได้ เขาก็เลยเงียบไป หนูอ่ะคิดว่าเขาโอนมาจริงๆ แล้วคิดว่าเขาอาจจะกดผิดจริงๆ หนูก็เลยโอนเงินคืนให้เขา ประมาณ 1,000 บาท จากนั้นเขาก็เงียบไป

พอจากที่เขาเงียบหายไป ตอนที่ได้เงินหนู หนูก็ไปตรวจสอบในบัญชีคุณแม่ วัน เวลา และชื่อ ตามที่เขาส่งมา คือไม่มีการโอนเงินเป็นชื่อของเขาเลย ทั้งสองบัญชี ไม่ว่าจะธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารกรุงเทพ
หนูเลยคิดว่า ฉันโดนเล่นงานจนได้ อัสตัฆฟีรุลลอฮ
บททดสอบใหม่ในช่วงกลับบ้าน เฮ้อ….

และจากนั้นในวันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ.2568 ช่วงเวลา 21:28 น. เขาทักมาหาหนูใหม่ เขามาขอเงิน 500 บาท ก่อนหน้านี้ใหม่กับหนู บอกหนูว่าแฟนเข้าโรงพยาบาล ค่าใช้จ่ายตอนนี้หนักมาก คือตอนนั้นคิดในใจ มันเริ่มจะแปลกๆแล้ว แล้วมีพี่ท่านหนึ่งในเพจ ทักมาถามหนูเรื่องนี้ว่า หนูได้โอนไปจริงไหม เพราะคนๆนี้เขาทักไปหาเขา แล้วแคปสลิปที่หนูโอนเงินก่อนหน้านี้ 1,000 บาท มาในแชทเขา เขาบอกว่านี่มันมิจฉาชีพแล้วน้อง น้องรีบไปแจ้งความเลยนะ ตอนนั้นหนูปรึกษาคนที่บ้าน คนที่บ้านเลยบอกว่า ลองไปทักบอกเขาดู ถ้ารอบนี้ยังไม่หยุดก่อก่วนทุกช่องทาง จะไปแจ้งความแล้วนะ หนูให้เวลาเขาไปลบข้อความตามโพสต่างๆก่อนเที่ยงวัน 27 กรกฎาคม พ.ศ.2568 นี้เท่านั้น ไม่งั้นหนูจะไม่ทนแล้ว เรื่องนี้จะไปถึงตำรวจแน่นอน จากนั้นเขาก็มา ขอโทษ แล้วก็เงียบหายไปเลย และไม่ก่อกวนอีกเลยตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้

ที่หนูออกมาเล่าเรื่องนี้ให้พี่ๆฟัง หนูอยากให้พี่ๆระวังด้วยนะคะ หนูเองขี้เกรงใจจริงๆนะคะ กลัวว่าเขาจะโอนผิดจริง เลยโอนให้เขาไป ตอนนั้นหนูไม่ได้คิดอะไรเลย เพราะมีโอกาสที่คนเราจะโอนผิดได้ แต่นั้นแหละค่ะ นี่เป็นการโดนมิจฉาชีพหลอก ในรอบที่ 2 ในชีวิตของหนูตลอด 23 ปี ที่ผ่านมา โปรดระวังตัวด้วยนะคะ

และในส่วนอาการป่วยของหนูในตอนนี้ก็จะมี อาการเหนื่อยมากๆ หายใจไม่ออก ไอถี่มากๆ ไม่ว่าจะช่วงกลางวันและช่วงกลางคืน หนูไม่ค่อยมีแรงเลย ต้องให้คุณแม่คอยดูแลอย่างใกล้ชิด ตลอด 24 ชั่วโมง หนูไม่สามารถเดินเองไปไหนมาไหนได้ เพราะร่างกายไม่ค่อยมีแรง หนูมักจะนั่งๆ นอนๆติดเตียงตลอดเลยตั้งแต่กลับมาจากกรุงเทพฯ ตอนนั้น
และอาจจะเป็นแบบนี้ไปอีกสักพักใหญ่ๆ จนกว่าหมอที่หนูรักษาอยู่ตอนนี้ เขาจะอนุญาตให้ทานอย่างอื่นได้นอกจาก ผักต้ม กับน้ำเปล่า แต่การรักษาแบบนี้ก็ดีอย่างหนึ่งนะคะ ทำให้หนูนอนหลับสนิท แบบที่ไม่ต้องพึ่งยาของโรงพยาบาล เหมือนตอนรักษาตัวตลอด 3 ปีที่ผ่านมาเลย
เพราะหนูเหนื่อยด้วย ค่อนข้างอ่อนเพลีย และไม่ค่อยมีแรง เลยทำให้การนอนหลับของหนูดีขึ้นมากๆเลย
อัลฮัมดูลิลาฮ

และนี่จะเป็นการอัปเดตครั้งแรกหลังจากที่หนูกลับบ้านที่ปัตตานีนะคะ
หนูอาจเข้ามาอัปเดตบ่อยๆไม่ไหวนะคะ เนื่องด้วย หนูมีร่างกายที่ไม่แข็งแรงมากๆ เพราะอยู่ในช่วง Restart ร่างกายใหม่ ในรอบ 3 ปี ที่รักษากับหมอแผนปัจจุบันที่กรุงเทพฯมา อาจจะไม่สะดวกเข้ามาอัปเดตบ่อยๆได้ แต่ก็จะพยายาม เข้ามาอัปเดตการรักษาอยู่บ่อยๆนะคะ อินชาอัลลอฮ

ในส่วนพวกยา และข้อความที่หนูคุยกับมิจฉาชีพ
หนูจะขอแนบลงใต้โพสนี้นะคะ

**********

บันทึกเรื่องราวของคุณเวลา
เกี่ยวกับการรักษาด้วยโรคมะเร็งเนื้อเยื่อ ระยะที่สาม
ขอบคุณทุกที่เข้ามาอ่านบทความจนจบนะคะ

#เด็กกำพร้า #ผู้ป่วยมะเร็ง #มะเร็งเนื้อเยื่อ #ระยะที่สาม
#การรักษา #เด็กในวัย23ปี #เด็กที่อยู่กับแม่สองคน
#การรักษากับแพทย์ทางเลือกในครั้งแรก
#เด็กสู้ชีวิต #เด็กน้อยคนเก่ง
#บันทึกเรื่องราวของคุณเวลา #คุณเวลา

หนูจะกลับบ้านจริงๆแล้วนะคะ ขอบคุณสำหรับทุกการช่วยเหลือในเรื่องค่าใช้จ่าย ของการเดินทางของเราทั้งสองในครั้งนี้ด้วยนะคะ ญา...
23/07/2025

หนูจะกลับบ้านจริงๆแล้วนะคะ

ขอบคุณสำหรับทุกการช่วยเหลือในเรื่องค่าใช้จ่าย ของการเดินทางของเราทั้งสองในครั้งนี้ด้วยนะคะ ญาซากัลลอฮฮูคอยร็อน

หนูและคุณแม่จะมีการเดินทางกลับบ้านที่จังหวัดปัตตานี ในวันศุกร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ.2568 นี้นะคะ

* หนูจะขอแนบสลิปการโอนเงิน ใต้โพสของรูปภาพนี้นะคะ

ขอพระองค์ทรงตอบแทนทุกการช่วยเหลือของทุกคนที่มอบให้กับเราทั้งสองในครั้งนี้เป็นอย่างมากเลยนะคะ

امين يارب العالمين 🤲💕🥹

บันทึกเรื่องราวของคุณเวลา
เกี่ยวกับการเดินทางกลับบ้านที่จังหวัดปัตตานีอย่างถาวร

*******

#เด็กกำพร้า #ผู้ป่วยมะเร็ง #มะเร็งเนื้อเยื่อ #ระยะที่สาม
#การเดินทางกลับบ้านที่จังหวัดปัตตานี
#บันทึกเรื่องราวของคุณเวลา #คุณเวลา
#เด็กน้อยคนเก่ง #ฟีอามาลิลลาฮ
#การต่อสู้กับโรคมะเร็งได้จบลงอย่างสมบูรณ์แล้ว
#ขอให้เธอโชคดี #ขออัลลอฮคุ้มครองเธอและแม่เธอนะ

อัสสลามูอาลัยกุมบันทึกเรื่องราวของคุณเวลา ฉบับที่ 78เกี่ยวกับการรักษาด้วยโรคมะเร็งเนื้อเยื่อ ระยะที่สามเมื่อวาน ที่ 22 ก...
23/07/2025

อัสสลามูอาลัยกุม

บันทึกเรื่องราวของคุณเวลา ฉบับที่ 78
เกี่ยวกับการรักษาด้วยโรคมะเร็งเนื้อเยื่อ ระยะที่สาม

เมื่อวาน ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ.2568 ในช่วงเวลา 08:30 น. หนูและคุณแม่ได้มีการเดินทาง เพื่อเข้าพบคุณหมอมะเร็งวิทยา ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า

ทั้งนี้ในช่วงเวลา 11:40 น. ทางคุณหมอได้มีการเรียกหนูและคุณแม่เข้าพบในห้องตรวจ จากนั้นพอหนูเข้าไป พวกเราทั้งคู่ ก็นั่งบนเก้าอี้ ใกล้ๆกับคุณหมอ แล้วรอคุณหมอพูดถึงเรื่องดังกล่าว

ซึ่งระหว่างรอที่คุณหมออ่านผลประเมินการสแกนร่างกายด้วยเครื่องเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือที่เรียกว่า CT-Scan ที่หนูได้ไปทำมา เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ.2568 ที่โรงพยาบาลนพรัตราชธานี ที่มีนบุรี

คุณหมอก็อ่านอย่างละเอียด หลายรอบมากๆเลยค่ะ แล้วจากนั้นก็ได้มีการดูภาพถ่ายผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ ซ้ำๆ ไปๆมาๆ และดูเกี่ยวกับประวัติการรักษาทั้งหมดของแผนกมะเร็งวิทยาที่ ที่คุณหมอก่อนหน้านี้ที่หนูทำการรักษาไป ว่าเขาได้มีการประเมินการรักษาตลอด 3 ปีนี้ ทั้งหมดว่ายังไงบ้าง ทำอะไรบ้าง จนเขามีการพูดขึ้นมาว่า “ คนไข้ครับ จากที่ผมส่งไปสแกนเพิ่มเติม ผลวินิจฉัยในเอกสารข้างต้น มันบอกว่า พบเจอก้อนเนื้อบริเวณใหม่ ตรงบริเวณที่ทำการผ่าตัดใหญ่ครั้งแรก ก้อนเนื้อดังกล่าวมันอยู่ที่เส้นเลือดใหญ่ ติดกับหลอดลม ขนาดในตอนนี้อยู่ประมาณ 6-7 cm ซึ่งมันใหญ่มากๆเลยครับ จากที่เราสแกนรอบแรกตอนนั้น หลังจากที่จบเคมีบำบัด 5 ไซเคิล หรือ 5 เข็ม ที่ผ่านมา ของวันที่ 10 เมษายน พ.ศ.2568 คือตอนนั้นก่อนให้เคมีบำบัด ก้อนเนื้อตรงนี้ มันมีขนาดแค่ 2.7 cm
และพอหลังจากให้ยาเคมีบำบัดจบไป ก้อนตรงนี้มันก็ยุบลงหรือลดลง เหลือ 2.4 cm พอหลังจากนั้น ติดตามอาการผ่านไป 1-2 เดือน แล้วหมอก็ให้ไปสแกนต่อของรอบเดือน กรกฎาคม พ.ศ.2568 นี้ ปรากฏว่าก้อน มันใหญ่ขึ้นจาก 2.4 cm ในตอนนั้น เป็น 6.6 x6.7x7.6 cm
คือในตอนนี้ก้อนเนื้องอกดังกล่าว มันติดอยู่กับหลอดลม และเส้นเลือดใหญ่ค่อนข้างมาก และมีอยู่ตรงหน้าหัวใจข้างบนขวานี้ด้วย หมอว่าคนไข้จะต้องรีบทำการรักษาแบบโดยด่วน ก่อนที่ทุกอย่างมันจะแย่ไปมากกว่านี้ “ คือตอนนั้นที่รู้ผลก็พอจะรู้แล้วแหละ ว่าถ้าหากวันนี้เข้าพบหมอมะเร็งวิทยา หมอจะพูดประมาณแบบนี้ แต่พอเอาเข้าจริงๆ ตอนที่ฟังหมอบอก ก็คือหนูยังไม่ชินเหมือนเดิมกับสถานการณ์นี้ ตอนฟัง ไม่ว่าจะหนูและคุณแม่ ทุกคนต่างอิสติฆฟาร์กันตลอดเลย เผื่อจะทำให้จิตใจมันสงบ และมีสติ แบบไม่หลุดมากจนเกินไป ตอนที่หมอบอก จนหมอพูดว่า ” คนไข้ต้องรีบทำการผ่าตัดนะครับ คือถ้าไม่ทำอะไรเลยในตอนนี้ คือมันจะมีแย่กับแย่นะครับ “ จากนั้นหนูก็บอกไปว่า “ หมอคะ คือหนูจะไม่ผ่าตัดแล้วนะคะ หนูไม่ไหวแล้วค่ะ หนูผ่าตัดมาอย่างต่อเนื่องมา 3 ครั้งแล้ว โดยใช้เวลาไล่เลียกันเลย แถมร่างกายก็เริ่มจะรับไม่ไหวแล้วจริงๆ กับการผ่าตัดแต่ล่ะรอบ มันทั้งต้องใช้เงินจำนวนมากๆ ในการรักษา และต้องใช้กำลังในการต่อสู้กับการผ่าตัดตลอดที่รับการรักษานี้มาอย่างหนักหน่วง ไหนจะต้องใช้การฟื้นฟูร่างกายช่วงหลังที่ได้รับการผ่าตัดตอนที่อยู่โรงพยาบาล แล้วมีหลังจากที่ออกจากโรงพยาบาลนี้อีก คือมันใช้เวลาแบบนี้ แบบหลายเดือนมากๆ ไหนจะต้องได้รับการรักษาด้วยการฉายรังสีรักษานี้อีก แล้วก็คือต้องฟื้นฟูร่างกายหลังจากที่จบการรักษานี้ด้วย คือชีวิตหนูมันวนอยู่กับที่แบบนี้มา 3 รอบแล้ว
ตอนแรกคิดว่า หลังจากที่ให้ยาเคมีบำบัด แล้วไปสแกนร่างกาย คิดว่ามันจะทำให้ก้อนจาก 2.4 cm มันยุบลงได้มากกว่านี้อีก แต่เปล่าเลย หมอมาบอกว่า มันใหญ่ขึ้นมากกว่าเดิม เป็น 5 cm ซึ่งหนูก็พูดไม่ออกเลย พอมาฟังหมอบอกว่าจะผ่าตัดใหม่อีกครั้ง “ คือตอนนั้นหมอก็เงียบไปเลย…

แล้วถามหนูว่า ” ได้เจอกับหมอ ผ่าตัด CVT บ้างไหมครับ “ หนูตอบไปว่า “ เจอแล้วค่ะ ตอนนั้นหมอ Plastic เขาส่งไป consults เรื่องที่เจอก้อนในทรวงอก แล้วกระจายไปตามปอดตรงนี้ด้วย ให้เขาช่วยประเมินดูว่าจะทำการรักษาแบบไหนได้บ้างไหม แต่ตอนนั้นที่หนูมีการเข้าพบ คุณหมอ CVT หมอเขาบอกว่า ถ้าจะให้เขาเข้าไปตัดก้อนตำแหน่งเดียวมันก็ทำได้อยู่หรอก แต่เปอร์เซ็นที่หนูจะรอดจากการผ่าตัดใหญ่ที่จะเกิดขึ้นใหม่นั้นโดยเปิดแผลใหญ่ แผลเก่าทั้งหมดเพื่อเข้าไปตัดก้อนเนื้อตรงนี้ที่เดียว คือมันได้ไม่คุ้มกับที่เสียตรงนี้เลย แล้วมีการกระจายของก้อนไปอยู่ตามปอดและซี่โครงนี้อีก คือมันมีหลายจุดมาก แล้วเขาเองก็ไม่สามารถเข้าไปตัดก้อนทั้งหมดในนั้นได้ เพราะที่กระจายตามปอด กับซี่โครง มันมีขนาดเพียงแค่ ครึ่งเซน ซึ่งมันเล็กมากๆ เขาบอกว่า ถ้าจะรักษาด้วยการให้ยามีบำบัด ในส่วนนี้มันก็จะดีกว่าการผ่าตัดใหม่ที่จะเกิดขึ้นตรงนี้อย่างแน่นอน คือเขาพูดมาแบบนี้เลยค่ะหมอ หนูพบเข้าวันนั้น น่าจะช่วงประมาณ เมื่อ เดือน พฤษภาคม หรือ มิถุนายน 68 นี้แหละค่ะ ถ้าหนูจำไม่ผิด แต่ถ้าหากหมอจะอยากอ่านผลสรุปตรงนี้ของหมอแผนกนั้น มันก็ต้องหาในข้อมูลในเครื่องคอมพิวเตอร์ของหมอเลยค่ะ หนูบอกรายละเอียดชัดเจนตรงนี้ไม่ได้เหมือนกันค่ะ

แต่ในส่วนของคุณหมอผ่าตัด Plastic นี้ หนูมีพบเขาช่วงสิ้นเดือนนี้ พอดีเขานัดฟังผลการประเมินของหมอแผนก CVT นี้เหมือนกัน แต่เรื่องก้อนใหม่ที่หมอบอกเมื่อกี้เข้ายังไม่ทราบเรื่อง เพราะหนูยังไม่มีการเข้าพบเขาเลยค่ะ ”จากนั้นหมอขอเวลาไปปรึกษาอาจารย์แพทย์สักครู่

เวลาผ่านไป 30 นาที……..
หมอเดินกลับมา แล้วบอกว่า “ คนไข้ครับ หมอได้มีการปรึกษากับอาจารย์แพทย์ของแผนกมะเร็งวิทยาในส่วนตรงนี้แล้วนะครับ เขาบอกตอนนี้การผ่าตัดก็ทำไม่ได้เหมือนกันครับ เพราะมีโอกาสที่ก้อนเนื้อบริเวณนั้น มันจะอุดตัน และทำให้มันแตกได้ทันที ถ้าหากทำการผ่าตัดไป แล้วไปแตกในห้องผ่าตัดอีก มันจะเป็นเรื่องใหญ่เลยครับ

ในส่วนตรงนี้หมอจะส่งคนไข้ไป consult กับหมอแผนกรังสีรักษาดูก่อน ว่าเขาสามารถฉายรังสีรักษา ตรงนี้ได้ไหม ทำภายในอาทิตย์นี้เลย พอเสร็จจากนั้นก็เข้าพบหมอ เพื่อจะให้เคมีบำบัดทันที! “ คือตอนนั้นที่ฟังอึ้งนะ บอกตามตรง หนูบอกหมอไปว่า ” มันทำได้หรือคะ วันนั้นหมอฉายรังสีรักษา บอกหนูว่า ทำไม่ได้แล้วนะ ถ้าหากจะทำบริเวณเดิมซ้ำๆ เกิน 3 ครั้ง มันอันตราย และประสิทธิภาพของการฉายรังสีรักษาก็ไม่ได้ช่วยเรื่องนี้ได้มากขนาดนั้นได้ “ จากนั้นหมอก็ตอบกลับมาว่า ” คนไข้ลองเอาใบนี้ไปให้เขาดูก่อน แล้วให้เขาดูผลก้อนเนื้อตรงตำแหน่งใหม่นี้นะครับ ถ้าหากเขาทำได้ ก็ติดต่อทำทันที แต่ถ้าทำไม่ได้ก็รีบกลับมาพบหมอทันที ไปตอนนี้เลยครับคนไข้ “

จากนั้นหนูรอรับเอกสารตรงจุดบริเวณ พบพยาบาลหลังจากเข้าพบแพทย์ ผ่านไปสักพักก็เอาเอกสารดังกล่าว แล้วไปยื่นที่ตึกรังสีรักษากันต่อ….

ในช่วงเวลา 13:30 น. หนูได้การเข้าพบคุณหมอรังสีรักษาดังกล่าวนะคะ แล้วได้มีการยื่นเอกสารที่คุณหมอมะเร็งแนบไว้ไปให้เขาดูด้วย จากนั้นเขาได้อ่านไปสักแล้ว แล้วดูผลก้อนเนื้อดังกล่าวผ่านทางคอม เขาก็พูดขึ้นมาว่า “ จากที่หมอดูเรื่องดังกล่าวแล้ว ผมคิดว่าทำการฉายรังสีรักษาบริเวณใหม่ที่มีก้อนเนื้อดังกล่าว มันทำไม่ได้แล้วนะครับ คนไข้ฉายรังสีบริเวณตำแหน่งนี้เดิมๆมา 3 ครั้งแล้ว แล้วถ้าหากจะฉายรังสีตรงนี้ใหม่อีก คือมันอันตรายในระยะยาว และประสิทธิภาพต่างๆบริเวณที่ฉายในส่วนตรงนี้ มันอาจจะไม่มีผลอะไรเลยกับก้อนเนื้อตรงนี้ได้เลย นัดของเราที่โรงพยาบาลเฉพาะทางมะเร็งกรุงเทพฯ นี้มีนัดอีกวันไหนนะครับ ” หนูตอบไปว่า “ เรามีนัดอีกที ช่วงเดือนพฤศจิกายน 68 ค่ะ ”หมอจึงถามกลับมาว่า “ คนไข้อยากไปเจอหมอที่นั้นอีกไหม หรือจะให้หมอโอนข้อมูลมาโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้านี้เลยครับ “ หนูตอบไปว่า “ โอนมาที่นี่เลยก็ได้ค่ะ หนูจะได้ขึ้นมาติดตามอาการกับหมอทุกแผนกที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าทีเดียว และหนูจะได้ไม่ต้องเดินทางหลายที่หลายรอบ เวลามา F/U หรือติดตามอาการ” จากนั้นหมอก็บอกว่า “ ได้ครับ เดี่ยวหมอลงวันนัดติดตามอาการของแผนกรังสีรักษาเป็น 3 เดือนนะครับ แล้ววันนี้มีอาการอะไรไหม หรืออยากได้ยาอะไรไหมครับ “ หนูตอบไปว่า “ ช่วงหลังๆมานี้ หนูมีอาการไอถี่มาก ทั้งตอนกลางวัน และตอนกลางคืน จนนอนไม่ได้ มีเหนื่อย หายใจไม่ออก แล้วมีแน่นหน้าอก ตึงๆ หน่วงๆด้วยค่ะ ” จากนั้นหมอก็ตอบว่า โอเค งั้นหมอจ่ายยาให้นะครับ แล้วก็รอรับเอกสารยา และใบนัดหน้าห้องตรวจได้เลยครับ “

จากนั้นหนูก็เดินไปรอหน้าห้องตรวจ สักพักพี่พยาบาลเขาก็ได้ยื่นเอกสารใบนัด และเอกสารใบสั่งยา เพื่อไปรับยาตึกเฉลิมพระเกียรติกันต่อ…..

พอหนูรับยาเสร็จ ก็เดินทางขึ้นไปชั้น 3 ของแผนกมะเร็งวิทยากันต่อ ผ่านไปสักพัก ……

ในช่วงเวลา 14:30 น. คุณหมอมะเร็งได้เรียกหนูและคุณแม่เข้าพบในห้องตรวจใหม่อีกครั้งในรอบที่สอง หมอถามมาว่า ” หมอเขาว่ายังไงบ้างครับ ทำได้ไหม ? ” หนูตอบไปว่า “ หมอเขาทำไม่ได้ค่ะ หมอเขาบอกว่า ไม่สามารถฉายรังสีบริเวณซ้ำๆได้ เนื่องจากหนูทำการรักษาบริเวณนั้นแล้ว 3 ครั้ง แล้วถ้าจะทำอีก มันจะมีผลในระยะยาว และประสิทธิภาพจากการฉายตรงนี้ ก็จะไม่มีประสิทธิภาพอะไรเลย ฉายไปก็ไม่รู้ว่าบริเวณก้อนตรงนี้จะยุบได้ไหม เพราะบริเวณจุดนี้มันโดนใช้งานมาแล้ว 3 ครั้ง จึงคิดว่าทำไม่ได้ค่ะ อ๋อ แล้วเมื่อกี้หมอรังสีรักษาเขาแนะนำถึงแผนกหนึ่ง ให้หนูลองไปปรึกษาดู ก่อนที่จะมีการออกมาจากห้องตรวจเมื่อกี้ค่ะ เขาบอกว่า จะเป็นวิธีที่ใส่อุปกรณ์เข้าไปในหลอดเลือด เพื่อป้องกันอาการแตก และอุดตันของหลอดเลือด และหลอดลม แต่จะทำได้ไหมนั้น ต้องขึ้นอยู่กับหมอแผนกนั้นอีกที แต่ต้องใช้เวลาในการรักษาตรงนี้ไปอีกสักระยะหนึ่งเลย ไม่ว่าจะต้องจองเตียง และอื่นๆ อีกมากมาย ถ้าหากหนูสนใจ เขาจะส่งไปให้ แต่ถ้าหนูไม่สนใจ ก็ไม่ได้อะไร เขาแนะนำอีกวิธีหนึ่งเชยๆ เพื่อจะเป็นทางในการรักษาค่ะ เห็นเขาบอกว่าเป็นแผนกที่ร่วมรักษากับแผนกรังสีรักษาอะไรสักอย่างนี่แหละค่ะหมอ “

จากนั้นหมอก็บอกว่า ” ตอนนี้คนไข้เหลือวิธีสุดท้ายแล้วนะครับ แต่ผลจากวิธีนี้ ก็ไม่ได้ช่วยก้อนตรงนี้มากเหมือนกัน ถ้าเทียบกับการรักษาตลอดหลายปี หลายเดือนที่ผ่านมา นั้นก็คือ ให้ยาเคมีบำบัดใหม่อีกครั้ง รอบนี้ให้ 5-6 ไซเคิล ไม่ต้องแอดมิด ให้ยาเสร็จ คนไข้กลับบ้าน ได้เลย ยาตัวนี้เป็นสูตรไม่แรงกว่ารอบแรกที่ให้ไปก่อนหน้านี้นะครับ ยาสูตรนี้ผลข้างเคียงมันกลางๆหน่อย หมออยากแนะนำให้คนไข้ลองทำนะครับ เพราะไม่มีทางไหนจะช่วยคนไข้ได้เท่านี้แล้วจริงๆ “

ตอนนั้นที่นั่งฟัง หนูน้ำตาไหล่ตลอดเลย แล้วก็แบบมีคุยกับหมอถึงการรักษาทุกวิธีทางที่คิดว่าตัวเองจะรอด และมีโอกาสทำให้ก้อนเนื้อตรงนี้มันยุบลง จนมันไม่ต้องดันไปที่หลอดลม หรือหลอดเลือดจนแตก ไม่เช่นนั้นก็จะถึงขั้นวิกฤตของชีวิตแล้วจริงๆ ” หนูถามไปว่า หมอคะแล้ว หนูไม่สามารถให้ยามุ่งเป้าได้เลยหรือคะ ? เห็นคนอื่นเขาได้กัน หนูไม่เคยได้ยินหมอจะพูดถึงยาตัวนี้กับหนูเลย ” หมอตอบกลับมาว่า “ คือ ตอนนี้ยาทุกตัวที่ให้คนไข้ไป มันไม่มีการตอบสนองต่อตัวโรค และชนิดของโรคที่คนไข้เป็นเลยสักนิดเลยครับ ยาเคมีบำบัดสูตรแรงที่เคยให้ไป ก็ไม่ทำให้ทุกอย่างดีขึ้นเลย ยามุ่งเป้านี้ก็ด้วย ครับ ถ้าหากคนไข้อยากให้ก้อนมันยุบลงนิดหนึ่ง จะลองให้เคมีบำบัดสูตรใหม่นี้ก่อนไหม ให้สัก 1-2 เข็มก็ได้ ถ้าไม่ได้ผลก็ไม่ต้องให้ต่อเลยครับ ”

คือตอนนั้นคิดในใจ หนูจะให้ไปทำไมอ่ะยาเคมีบำบัด ในเมื่อหมอก็บอกอยู่ ยามันไม่ตอบสนองต่อโรคเลย ยามุ่งเป้าที่เขาบอกว่า ผลิตให้ในไทยที่โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ก็ใช้ไม่ได้ต่อตัวโรคนี้อีก ผ่าตัดก็ไม่ได้ ฉายแสงก็ไม่ได้ คือมันก็ถึงจุดสิ้นสุดของเรื่องแล้วจริงๆสินะ

ตอนนั้นหนูกลับไปมองหน้าแม่ แล้วแม่ถามว่าจะเอายังไงกันต่อดี เพราะในใจแม่อ่ะ เขาอยากให้กลับแล้ว เพราะเหนื่อยแล้วจริงๆ ส่วนหนูก็เริ่มจะรับไม่ไหวกับการผ่าตัดแล้วจริงๆ ตอนแรกหนูอ่ะ อยากให้ยาเคมีบำบัด เพราะกลัวว่าก้อนเนื้อมันจะไปดันหลอดลม กับเส้นเลือดใหญ่ จนทำให้มันอุดตัน และแตก แล้วที่นี้ก็จะเป็นเรื่องอีก พอฟังจากทึ่หมอพูดแล้ว จากที่ดูหลายๆทางแล้ว หนูเลยตัดสินใจไปว่า “ งั้นหนูจะไม่รับการรักษาทุกช่องทางเลยนะคะ เพราะดูจากการประเมินหลายๆทางที่หมอบอกมา โอกาสที่ก้อนมันจะยุบลง มันไม่มีสักทางที่จะช่วยได้เลย แล้วแม่หนูเองอยากให้หนูลองรักษากับพวกแพทย์ทางเลือกดูด้วย ในเมื่อมันทำอะไรไม่ได้แล้ว หนูเลยคิดว่าอยากลองดูทางนี้อีกทาง เพราะในเมื่อหมอเองก็บอกแล้ว ว่าแทบจะมองหาวิธีทางรักษาต่อของโรค และชนิดที่เป็นของโรคหนูไม่ได้แล้ว นั่นก็แสดงว่า มันก็ถึงจุดอิ่มตัว ทางตันของเรื่องนี้แล้วจริงๆ “

จากนั่นหมอถามมาว่า ” คนไข้ได้คิดถึงเรื่องนี้บ้างไหม เรื่องที่ว่า ถ้าหากคนไข้ไม่มีทางรักษาแล้ว คนไข้จะอยู่รักษาต่อที่นี่ต่อจนกว่าจะมีทางเลือกที่ดีกว่านี้ หรืออยากกลับไปใช้ชีวิตที่เหลือที่บ้านครับ “ หนูตอบคุณหมอไปว่า ” หนูมีคิดไว้อยู่แล้วค่ะ ก่อนที่จะมาเข้าพบหมอในวันนี้ หนูก็พูดเกริ่นๆกับแม่หนูเรื่องนี้อยู่เหมือนกันค่ะว่า ถ้าหากหมอไม่มีทางรักษาหนูแล้ว แบบไม่มีทางออกจากเรื่องนี้แล้ว หมอจะมีคำถามหนึ่ง ถามคนไข้และญาติคนไข้ มาว่า คนไข้อยากรักษาต่อไหม หรือจะพอแค่นี้ ถ้าหากในระยะยาวเจ็บปวด ทรมานจากอาการของโรค อยากให้หมอช่วยต่อลมหายใจ ด้วยการเจาะคอ หรือใส่ที่เครื่องช่วยให้หายใจ เพื่อยื้อชีวิตนี้ไหม หรือจะปล่อยให้ไปอย่างสงบ ตามที่ใจต้องการ คือเรื่องนี้คนที่บ้านหนูก็บอกหนูว่า ถ้าหมอหมดหนทางการรักษาแล้ว ก็กลับบ้านเราเถอะ กลับมาใช้ชีวิตที่เหลือ รักษาเท่าที่ได้ และได้กลับไปใช้เวลากับครอบครัวให้เต็มที่ ตามที่ใจคาดหวัง ถ้าหากมันถึงเวลาที่จะไปจริงๆ ก็ต้องไป คนเราจะหลบหนีเรื่องแบบนี้ไม่ได้อยู่แล้วค่ะหมอ มันเป็นเรื่องปกติที่คนเราจะต้องเจอ เกิด แก่ เจ็บตาย ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมาจากพระเจ้าทั้งนั้น ถ้าหากพระเจ้าเมตตาหนู หนูอาจจะมีชีวิตที่ยาวนานและได้ใช้เวลาที่เหลือกับแม่กันต่อ แต่ถ้ามันถึงจุดที่ต้องไป ก็ต้องยอมรับและตะวักกัลแล้วค่ะ ”
จากนั้นหมอบอกว่า “ หมอขอเวลาสักครูนะครับ ”

ผ่านไป 20 นาที……
หมอกลับมาพร้อมอาจารย์แพทย์ท่านหนึ่ง แล้วพูดขึ้นมาว่า “ อาจารย์ครับ คนไข้คนนี้เป็นเคสมะเร็ง……… ชนิด…….. คนไข้เขาผ่านรักษามาแล้ว 3 ปีครับ และตลอดการรักษาของเขา เขาผ่าตัดมาตลอด 3 ครั้ง ฉายแสงไปแล้ว 90แสง 90 ครั้ง และให้เคมีบำบัดไปแล้วด้วย 5 ไซเคิล พึ่งจบเมื่อเดือนมีนาคม 2568 ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ผลจากการสแกนหลังจากให้ยาไป ก้อนมันยุบ 2.4 cm จากเดิม 2.7 cm ทั้งนี้ ผมส่งให้ไปสแกนอีกครั้งของรอบเดือนนี้ ปรากฏว่า ก้อนจาก 2.4 ในตอนนั้น ใหญ่ขึ้นเป็น 6-7 cm คือมันใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนเอง แล้วก้อนก็กลับมา แล้วทั้งนี้ คนไข้เองก็เริ่มจะผ่าตัดไม่ไหวแล้ว แล้วจากการประเมินจากที่ผมดู ตอนแรกว่าจะส่งให้หมอแผนก CVT ผ่าตัดตรงนี้ดู เพราะเขาทำการผ่าตัดรอบแรกตรงบริเวณนี้ด้วย แต่จากที่ผมดูไปดูมาแล้ว คือมันผ่าไม่ได้แล้วครับ เพราะก้อนมันไปกินหลายตำแหน่งเกินไป มันมีโอกาสที่มันจะดันอวัยวะอื่นๆจนแตกได้ มันอาจจะเป็นเรื่องใหญ่เลยทีนี้

ในส่วนเรื่องการรักษาต่อจากนี้ คนไข้กับญาติมีความเห็นอยากไปรักษากับแพทย์ทางเลือกกันต่อที่บ้านเกิดครับ เพราะเขารู้สึกว่าอยากลองทางนี้ดูบ้าง ไหนๆโอกาสของการรักษาของแผนปัจจุบันในตอนนี้มันแทบจะไม่เห็นถึงทางออกของเรื่องนี้แล้ว เขาเลยบอกว่าอยากกลับบ้านแล้วครับ อาจารย์มีความเห็นว่ายังไงครับ “

จากนั้นเขาบอกว่า ” ผมของดูที่คอ แขนขวา และหน้าหน่อยได้ไหมครับ “ หนูตอบไปว่า “ได้ค่ะ ” จากนั้นหนูให้เขาดู เขาก็บอกว่า “ ตอนนี้อาการบวมที่หน้ายังไม่มี แขนก็ยังไม่บวม คอก็ยังไม่บวม คนไข้เหนื่อยไหมครับ ก้มหน้า เงยหน้าได้ไหม ลองขยับให้หมอดูหน่อย “ จากนั่นหมอก็พูดขึ้นมาว่า ” คือคนไข้ครับ คือตอนนี้ถ้าหากคนไข้ไม่รักษาด้วยยาเคมีบำบัดสูตรที่จะให้ ที่เป็นทางเลือกสุดท้ายแล้ว มันจะมีอาการรุนแรงที่ว่า หน้าคนไข้จะบวมมากๆ แขนก็จะบวมมากๆ และลำคอนี้ก็ด้วย การหายใจก็จะแย่ลงเรื่อยๆ อากาศที่ผ่านหลอดลมก็ผ่านได้ไม่หมด คือ ตอนนี้มันช่วยอะไรไม่ได้แล้ว ถ้าหากคนไข้ตัดสินใจไปทางนั้นแล้ว หมอจะช่วยตรงนี้ ในตอนที่คนไข้มีอาการ หรือเป็นอะไรไปไม่ได้แล้วเหมือนกันครับ “ จากนั้น หนูก็หันกลับไปถามคุณแม่ว่า “ อุมมีจะเอายังไงดี ถ้าอุมมีตัดสินใจแล้วก็เอาเลย แต่ต้องยอมรับว่าต่อจากนี้ ถ้าเดะเป็นอะไรไป ต้องยอมรับผลที่จะตามมาตรงนี้ให้ได้ด้วย เพราะเขาจะปล่อยแล้วจริงๆ ” แม่ก็บอกว่า “ ไม่เป็นไร ถ้าถึงเวลานั้นจริงๆ ถ้าทำอะไรไม่ได้แล้วก็ตะวักกัล และมอบหมายต่อพระเจ้าเถอะ”

จากนั้นหนูบอกหมอไปว่า “ งั้นหนูเลือกกลับบ้านเลยนะคะหมอ ” จากนั้นหมอก็ถามว่า“ คนไข้เป็นคนที่ไหนครับ ” หนูตอบไปว่า “คนปัตตานีค่ะ ” แล้วทำไมมารักษาที่นี่ล่ะครับ มาเอง หรือว่ายังไงครับ “ หนูตอบไปว่า ” ตอนแรกหนูขึ้นมาทำงาน แล้วหนูมีอาการเป็นลม หน้ามืดที่หน้าป้ายรถเมล์ที่รามคำแหง แล้วไปหาหมอที่คลินิก หมอให้เลือกระหว่างโรงพยาบาลนพรัตราชธานี กับ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ตอนนั้นหนูไม่ได้คิดอะไรเลยค่ะ คิดแค่ว่าไปสะดวก แล้วใกล้หอพัก เลยตัดสินใจมาที่นี่ค่ะ “

จากนั้นหมอก็ถามว่า “โรงพยาบาลไหนบ้างครับ ที่ใกล้กับบ้านของคนไข้” หนูตอบไปว่า ” น่าจะโรงพยาบาลปัตตานีค่ะ “ แล้วหมอถามต่อว่า ” ใกล้ที่ว่านี้ยังไงครับ “ หนูตอบไปว่า” ก็โรงพยาบาลนี้อยู่ในเมือง แต่บ้านหนูอยู่ในชุมชน ชนบท การเดินทางไปมา ก็อาจจะใช้เวลา ขั้นต่ำ 10-15 นาที แต่ถ้าหากว่าหมอกลัวว่าที่นี่ไม่มีหมอ หรือหมอควบคุมโรคหนูไม่ได้ ก็น่าจะเป็นโรงพยาลที่ใหญ่ที่สุดในสามจังหวัด ที่มีเครื่องมือพร้อม และมีคุณหมอหลากหลายรูปแบบ อาจจะไม่เท่ากรุงเทพ ฯ มากนัก แต่ก็น่าจะบรรเทาอาการปวด หรือป่วยของหนูตรงนี้ได้ โรงพยาบาลที่ว่านี้ คือจะเป็นโรงพยาบาล ม.อ หาดใหญ่ค่ะ ”

จากนั้นหมอก็ตอบมาว่า “ อ๋อ ไม่ครับ ผมไม่ต้องการโรงพยาบาลที่ใหญ่ หรือเครื่องมือพร้อมหรอกครับ ตอนนี้คือผมแค่ต้องการโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้คนไข้มากที่สุด ที่สามารถจ่ายยาให้ยาคนไข้ได้ เวลามีอาการปวด ทรมาน ตลอดอยู่ในช่วงระยะประคับประคองนี่เชยๆครับ ไม่ต้องเดินทางไกล หรือทำให้คนไข้เหนื่อยด้วย ”
จากนั้นหนูตอบว่า “ งั้นก็โรงพยาบาลปัตตานีเลยค่ะ ” จากนั่นหมอก็เงียบไปและเขียนเอกสารการรักษา……

ผ่านไปสักพัก….

หมอยื่นเอกสารมา แล้วบอกว่า “ นี่คือประวัติการรักษาของโรคมะเร็งนะครับ คนไข้กลับบ้านไป แล้วก็ไปยื่นที่โรงพยาบาลปัตตานี ในนี้หมอกำกับพวกยาที่ต้องการให้คนไข้แล้ว และบอกเรื่องอื่นๆที่อยู่ในนี้หมดแล้วนะครับ เขาน่าจะรับช่วงต่อตรงนี้ได้เลย ในส่วนวันนี้หมอจะให้ยาแก้ปวดชนิดรุนแรงแบบน้ำนะครับให้คนไข้กลับไปกินที่บ้านจังหวัดปัตตานีหลายๆตัวเลยนะครับ ยานี้จะเป็นยาเสพติดที่เรียกว่า มอร์ฟีน มันจะบรรเทาอาการปวดของคนไข้ให้ดีขึ้นในระดับหนึ่ง มันไม่ถึงกับติดนะครับ ถ้าไม่เคยทานมาก่อน ก็จะมีอาการอาเจียนไปสักพัก แต่ถ้าหากทานต่อนานๆ มันก็จะดีขึ้น แต่กินเวลาที่ปวดเท่านั้นครับ เพราะผม คิดว่าต่อจากนี้อาการมันจะเริ่มออกมาแล้ว แต่ถ้าหากคนไข้จะเปลี่ยนใจอยากให้ยาเคมีบำบัดต่อ หมอให้เวลา 2 อาทิตย์ แค่สองอาทิตย์นี่เท่านั้น ! นะครับ แต่ถ้าไม่เอาอะไรแล้วก็ไม่ต้องมาก็ได้ครับ หมอจะนัดติดตามอาการคนไข้อีกครั้งในรอบสุดท้าย เป็นวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ.2568 นี้นะครับ พร้อมเจาะเลือด เอ็กซเรย์ปอด ” หนูตอบไปว่า “ อ๋อ ค่ะ ”

และนี่คือรายละเอียดการรักษาทั้งหมดของโรคมะเร็งเนื้อเยื่อ ระยะที่สาม ที่หนูได้มีการทำการรักษามาทั้งหมดใน 3 ปีนี้ และนี่คือบทสรุปสุดท้ายของเรื่องทั้งหมด ก่อนที่หนูจะมีการเดินทางกลับบ้านที่จังหวัดปัตตานีนี้ และคิดว่าหนูน่าจะไม่ขึ้นกรุงเทพฯ อีกแล้ว แต่ถ้ามีโอกาสจริงๆ อินชาอัลลอฮ หนูจะกลับมาเที่ยวกับแม่อีกครั้งนะคะ

ในส่วนเรื่องนัดกับคุณหมอ Plastic ช่วงสิ้นเดือนนี้ เพื่อฟังผลเรื่องการประเมินของการรักษาด้วยการผ่าตัดจากคุณหมอ CVT หนูจะมีการเข้าพบเขา ในวันพรุ่งนี้ ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ.2568 แทนนะคะ หนูและคุณแม่จะเข้าไปลา และขอบคุณเขาที่ช่วยเหลือเรื่องการผ่าตัดรอบที่สามในตอนนั้น และบอกเขาถึงเรื่องการรักษาของหนูที่หมอมะเร็งพูดถึงและวางแผนเรื่องนี้ว่ายังไง ?

ทั้งนี้ เดี่ยวหนูจะมาอัปเดตการรักษาตลอดการเข้าพบกับคุณหมอดังกล่าวอีกทีนะคะ

ตอนนี้หนูกับคุณแม่กำลังทะยอยเก็บของ เตรียมโอนคืนห้องให้กับเจ้าของตึก และเตรียมย้ายของออกแล้ว คิดว่าจะกลับปัตตานีภายในอาทิตย์นี้ หลังจากพบหมอผ่าตัดเสร็จ และเคลียร์ของเสร็จก็จะกลับบ้านทันที

รอบนี้หนูอาจจะต้องเดินทางกลับบ้านด้วยเครื่องบินนะคะ เนื่องด้วยหนูมีร่างกายที่ไม่แข็งแรงแบบมากๆแล้ว คิดว่ากลับกับรถไฟ หรือรถทัวร์ ที่ใช้เวลาในการเดินทางนานๆไม่ได้จริงๆ เพราะการหายใจในตอนนี้ของหนู มันหายใจไม่ไหว หายใจแบบไม่สุดแล้วจริงๆ เหนื่อย แน่นหน้าอก ตลอดเวลา คิดว่าถ้าจะต้องกลับในรอบนี้ คงจะต้องกลับไปโดยเร็วที่สุด โดยใช้เวลาไม่นาน ในการเดินทาง แต่อาจจะหมดค่าตั๋วเครื่องบินตรงนี้ กับค่ารถโดยสารจากสนามบิน หาดใหญ่ไปลงปัตตานี มากพอสมควรอยู่เหมือนกัน เนื่องด้วยไม่ได้จองอะไรล่วงหน้าเลย มันเกิดจากการตัดสินใจปุ๊บปับ แบบไม่ทันตั้งตัว ของหลายๆฝ่าย เลยคิดว่า รอบนี้น่าจะหมดไปเยอะ

ถ้ายังไงหนูจะมีการอัปเดตการรักษาในส่วนตรงนี้ตลอดให้ทุกคนได้ทราบนะคะ อินชาอัลลอฮ
ฝากดูอาร์และเป็นกำลังใจในการรักษาตัวด้วยโรคมะเร็งเนื้อเยื่อ ระยะที่สามของหนูด้วยนะคะ
ญาซากัลลอฮฮูคอยร็อน

บันทึกเรื่องราวของคุณเวลา
เกี่ยวกับการรักษาด้วยโรคมะเร็งเนื้อเยื่อ ระยะที่สาม
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านบทความจนจบนะคะ

*********

ปล. เอกสารและใบเสร็จต่างๆ หนูจะแนบไว้ใต้โพสนะคะ

#เด็กกำพร้า #ผู้ป่วยมะเร็ง #มะเร็งเนื้อเยื่อ #ระยะที่สาม
#การรักษา #เด็กในวัย23ปี #เด็กที่อยู่กับแม่สองคน
#พบหมอแผนกมะเร็งวิทยารอบสุดท้าย
#ฟังผลการประเมินร่างกายรอบสุดท้าย
#การพูดคุยถึงแผนการรักษาของโรคมะเร็ง
#การเดินทางที่แสนยาวนาน #เด็กสู้ชีวิต
#ต่อสู้กับโรคมะเร็ง #เด็กน้อยคนเก่ง #กลับบ้าน
#เก่งมากๆเลยนะ #อดทนต่อไปนะ
#รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ
#บันทึกเรื่องราวของคุณเวลา #คุณเวลา
#ขอให้โชคดีนะ #ขอให้มีความสุขกับเวลาที่เหลือ
#อัลลอฮคุ้มครองนะคะคนดี

ที่อยู่

Bangkok

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ บันทึกเรื่องราวของคุณเวลาผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์