THE INSIDER - ดิ อินไซเดอร์

THE INSIDER - ดิ อินไซเดอร์ BUSINESS MEDIA - สื่อธุรกิจที่ตั้งใจทำ
สำหรับคนตัวเล็กที่อยากเติบโต❤️
ติดต่องาน Media: [email protected]
ติดต่องาน วิทยากร: [email protected]

ในโลกที่เต็มไปด้วยเสียงพูดทุกคนต่างอยากให้คนอื่นรับฟังและเข้าใจแต่ไม่ใช่ทุกคนที่พร้อมจะรับฟังเราการสนทนาจึงไม่ใช่แค่การพ...
10/08/2025

ในโลกที่เต็มไปด้วยเสียงพูด
ทุกคนต่างอยากให้คนอื่นรับฟังและเข้าใจ
แต่ไม่ใช่ทุกคนที่พร้อมจะรับฟังเรา
การสนทนาจึงไม่ใช่แค่การพูด
แต่เป็นการแลกเปลี่ยนความเข้าใจ
เราเคยตั้งใจฟังใครอย่างจริงใจหรือยัง?
ไม่ใช่เพียงแค่การฟังเพื่อโต้ตอบกลับ
แต่ฟังเพื่อเข้าใจให้ลึกเข้าไป
ซึ่งการฟังด้วยความตั้งใจและเข้าใจ
เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่มันจะหลงลืมกัน
มีสองสิ่งที่ควรจดจำไว้เสมอ
หนึ่งคือฟังในสิ่งที่เขาอยากพูด
สองคือพูดในสิ่งที่เขาอยากฟัง
ถ้าไม่จำเป็นต้องพูด ก็ขอให้เงียบ
เพราะบางคำพูดอาจกลายเป็นดาบสองคม
บางครั้งเราอาจเผลอพูดออกไปโดยไม่คิด
จนทำให้อีกฝ่ายเกิดความรู้สึกที่ไม่ดี
เพียงเพราะเราไม่ได้หยุดคิดไตร่ตรอง
ก่อนจะพูดอะไรบางอย่างออกไป
ในความสัมพันธ์ทั้งหลาย
ไม่ว่าจะเป็นคนรัก ครอบครัว หรือเพื่อน
การไม่ตั้งใจฟัง ก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการทะเลาะ
และการพูดในสิ่งที่อีกฝ่ายไม่อยากได้ยิน ก็เช่นกัน
สุดท้ายนี้...
หากเราอยากเป็นคนที่เข้าใจคนอื่น
เราไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่พูดเยอะ
แต่เป็นคนที่ตั้งใจและใส่ใจในทุกบทสนทนา
แล้วเราจะได้ยินเสียงที่เราไม่เคยได้ยินมาก่อน
เรียบเรียงโดย: THE INSIDER
#ฟัง

09/08/2025

เจาะลึกแนวคิด CK กับการสร้าง Fastwork ให้ไประดับโลก

คุณ CK Cheong ซีอีโอ Fastwork เล่าถึงเส้นทางที่เจ็บปวดแต่ทรงพลังของการสร้างธุรกิจที่ไม่ได้เกิดจากความอยากรวย แต่จากความฝันใหญ่ที่ต้อง All-in ทั้งแรงกาย แรงใจ และเวลา โดยมอง "สมอง" มากกว่า "เงินทุน" พร้อมเปลี่ยน Pain Point ให้กลายเป็นจุดแข็ง ทั้งหมดเพื่อสร้างแพลตฟอร์มบริการที่โลกยังไม่เคยมี
- ถ้าวันนี้ต้องเดิมพันทุกอย่างในชีวิต เพื่อสิ่งที่ไม่การันตีความสำเร็จ...จะกล้าทำไหม?
- ถ้ามีโอกาสเปลี่ยนค่าใช้จ่ายให้กลายเป็นทรัพย์สิน... จะมองหาโอกาสแบบไหน?
- ถ้าความสำเร็จต้องแลกด้วยการไม่มี Work-Life Balance ในช่วงแรกของชีวิต...พร้อมแล้วหรือยัง?
หาคำตอบเหล่านี้จากคุณ CK Cheong ได้ในคลิปนี้!

เรารู้จักตัวเองดีแค่ไหน?— ไม่ใช่รู้ว่าเก่งอะไร แต่รู้ว่าควรอยู่ตรงไหน ถึงจะทำให้เราไปได้ไกลที่สุดในปัจจุบัน "การบริหารตั...
09/08/2025

เรารู้จักตัวเองดีแค่ไหน?
— ไม่ใช่รู้ว่าเก่งอะไร แต่รู้ว่าควรอยู่ตรงไหน ถึงจะทำให้เราไปได้ไกลที่สุด
ในปัจจุบัน "การบริหารตัวเอง" เป็นหนึ่งในทักษะที่จะเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในโลกของการทำงาน ที่อาจจะต้องทำงานไปจนถึงอายุ 50-60 ปี จึงเกิดคำถามที่ว่า ตลอดระยะเวลาการทำงาน จะต้องวางตัวอย่างไรให้สร้างผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และรู้สึกเติมเต็มกับสิ่งที่ทำให้ได้มากที่สุด?
เริ่มต้นจากคำตอบ — คนที่ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่คนที่เก่งที่สุด หรือเรียนได้เกรดดีที่สุดเสมอไป แต่คือคนที่ "เข้าใจตนเองอย่างลึกซึ้ง" ไม่ว่าจะเป็น รู้ว่าตัวเองถนัดอะไร (Strengths), ทำงานอย่างไรได้ดีที่สุด (How You Perform), ยึดถือคุณค่าอะไร (Values), ควรอยู่ตรงไหน (Where You Belong), และควรสร้างผลงานอะไร (What Should You Contribute) ทุกคำถามนี้ไม่มีใครตอบให้เราได้ นอกจาก "ตัวเราเอง"
รู้จุดแข็งจาก Feedback ไม่ใช่ความรู้สึก — คนส่วนใหญ่มักคิดว่าตัวเองรู้ว่าถนัดอะไร แต่มักจะเข้าใจผิด วิธีที่ Peter F. Drucker แนะนำคือ "Feedback Analysis" เขียนสิ่งที่เราคาดว่าจะเกิดหลังจากตัดสินใจหรือทำอะไรบางอย่าง แล้วเปรียบเทียบกับผลลัพธ์จริงในอีก 9-12 เดือน สิ่งนี้จะค่อย ๆ ทำให้เราเห็นจุดแข็งและจุดอ่อนของเรา และสิ่งที่เราควรโฟกัสสิ่งที่ถนัด เพื่อสร้างความเป็นเลิศ มากกว่าพยายามฝืนตัวเองในการพัฒนาจุดอ่อนให้ดีขึ้นอย่างไร้ทิศทาง
คุณค่าที่ยึดถือ (Core Values) สำคัญยิ่งกว่าความสามารถ — บางคนทำงานได้ดีมาก แต่สุดท้ายลาออก เพราะรู้สึกว่า "นี่ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองเชื่อ" หากค่านิยมขององค์กรไม่สอดคล้องกับคุณค่า ต่อให้เงินเดือนหรือค่าแรงมากแค่ไหนก็ไม่ช่วยให้รู้สึกเติมเต็ม เพราะ "เราไม่สามารถโกหกตัวเองได้ในทุกวัน" แต่สิ่งที่เราต้องตอบตัวเองให้ได้คือ "อยากให้ตัวเองเป็นแบบไหน?"
อยู่ตรงไหน ถึงจะใช้ศักยภาพได้เต็มที่ — คนที่รู้จุดแข็ง วิธีทำงาน และค่านิยมของตัวเอง จะรู้ว่า "ควรปฏิเสธ" อะไร ไม่ใช่เพราะกลัวความยาก แต่เพราะรู้ว่า "ไม่เหมาะกับธรรมชาติของเรา" เช่น คนที่ไม่ชอบตัดสินใจไม่ควรรับตำแหน่ง CEO หรือคนที่ต้องการอิสระในการทำงานอาจไม่เหมาะกับองค์กรขนาดใหญ่ที่มีโครงสร้างซับซ้อน
เราควรสร้างผลงานอะไร? — เป็นคำถามที่คนทำงานควรถาม เพราะไม่ใช่แค่ต้องทำในสิ่งที่ถนัด แต่ ทำอย่างไรให้เกิด Impact มากที่สุดในระยะเวลาอันสั้น สิ่งนี้แยกคนทำงานธรรมดาออกจากคนที่จะเป็นผู้นำในอนาคต เราควรถามว่า "สถานการณ์ตอนนี้ต้องการอะไร?", "จากจุดแข็งและค่านิยมของฉัน ฉันช่วยอะไรได้?" และ "ผลลัพธ์แบบไหนที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงจริง ๆ?"
การบริหารความสัมพันธ์ (Managing Relationships) — ไม่มีใครทำงานคนเดียวแล้วสำเร็จ สิ่งที่หลายคนพลาดคือ "ไม่เข้าใจว่าเพื่อนร่วมงานทำงานยังไง" ทำให้เกิดความขัดแย้งโดยไม่รู้ตัว การเข้าใจว่าเจ้านายเป็นคนฟังหรือคนอ่าน, เพื่อนร่วมทีมถนัดอะไร, หรือคาดหวังอะไร จะช่วยให้เราสามารถทำงานร่วมกับคนอื่นได้ดีขึ้น
เตรียมตัวสำหรับครึ่งหลังของชีวิต — หากเราต้องทำงานไปจนถึงอายุ 50-60 ปี แต่หลายคนหมดไฟไปตั้งแต่อายุ 40 ปี เพราะไม่มีความท้าทายใหม่ ๆ Drucker แนะนำให้เริ่มวางแผน "อาชีพที่สอง" ตั้งแต่ยังมีพลัง ไม่ว่าจะเป็นการทำงานเพื่อสังคม การเป็นอาสาสมัคร หรือการสร้างกิจการใหม่ เพราะความสำเร็จไม่ควรถูกจำกัดอยู่แค่ไหนออฟฟิศ หรือในตำแหน่งงานปัจจุบัน
ดังนั้น "การบริหารตัวเอง" อาจเป็นเหมือนเรื่องพื้นฐานธรรมดา แต่ในโลกที่ทุกคนมีอิสระเท่ากัน การที่ "เข้าใจตัวเองได้ลึกกว่า" จึงเป็นสิ่งที่สร้างความแตกต่าง ยิ่งเรารู้จักจุดแข็ง วิธีทำงาน ค่านิยม และบทบาทของตัวเองมากเท่าไหร่ เรายิ่งมีโอกาสสร้างความแตกต่างมากเท่านั้น และไม่ใช่แค่ในการทำงาน แต่ในชีวิตของเราด้วย
เรียบเรียงโดย: THE INSIDER

ในช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยอุปสรรค เราอาจหวังให้มันหมดไปหรือไม่ก็อยากให้มันเล็กลงกว่านี้ เพื่อจะได้ไม่เหนื่อยมากนักแต่ในความ...
09/08/2025

ในช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยอุปสรรค เราอาจหวังให้มันหมดไป
หรือไม่ก็อยากให้มันเล็กลงกว่านี้ เพื่อจะได้ไม่เหนื่อยมากนัก
แต่ในความเป็นจริง ปัญหาบางอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
และบางครั้งมันก็ใหญ่เกินจะควบคุม
สิ่งที่เราควรทำไม่ใช้หวังให้ปัญหาหมดไป
แต่เป็นการเปลี่ยนวิธีคิดเป็นการ "เพิ่มปริมาณของทักษะ"
เพราะเมื่อเราฝึกคิด ฝึกมองให้รอบด้าน
และเปิดใจเรียนรู้จากสิ่งที่กำลังเผชิญ ปัญหาเดิม ๆ จะยังอยู่
แต่ความรู้สึกที่มีต่อมันจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
การมีทักษะ ไม่ใช่แค่เรื่องของความรู้หรือความฉลาด
แต่เป็นการเข้าใจว่าทุกปัญหามีเหตุและผล มีทางออกเสมอ
เพียงแค่เราต้องใช้ใจที่สงบและสติที่มั่นคงในการมอง
เมื่อมุมมองเปลี่ยน ความรู้สึกก็เปลี่ยน ปัญหาที่เคยใหญ่โต
ก็กลายเป็นเพียงบททดสอบหนึ่งที่เราต้องพบเจอ
และในบางครั้ง เราไม่จำเป็นต้องรีบหาทางแก้ไขให้เร็วที่สุด
แต่เป็นการหยุดคิดวิเคราะห์ แล้วค่อย ๆ เดินไปกับมัน
เราอาจจะค้นพบว่า ปัญหาไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่คิด
เพียงแค่บางครั้งเราอาจปล่อยให้ความกลัวมาบดบังสติของเรา
จงเชื่อว่า ในตัวเรามีทักษะซ่อนอยู่ และมันจะค่อย ๆ เติบโตเมื่อเราใช้มัน
ปัญหาจึงไม่ใช่ศัตรู แต่เป็นครูคนหนึ่ง ที่ผลักเราให้แข็งแกร่ง
และเข้าใจโลกมากขึ้นในทุกก้าวของชีวิต
สุดท้าย อย่ามัวแต่คิดจะให้ปัญหาเล็กลง
เพราะชีวิตไม่ได้ง่ายขึ้นจากการหนี
แต่จะง่ายขึ้นจากการที่เรามีทักษะและปัญญา
เพียงพอที่จะยืนอยู่ท่ามกลางปัญหาได้อย่างมั่นคง
เรียบเรียงโดย: THE INSIDER
#ปัญญา

ถ้าลูกค้าไม่ต้องการให้เราแก้ไขปัญหา แล้วบทบาทของนักขายมืออาชีพควรเป็นอย่างไร?ในวันที่ข้อมูลต่าง ๆ หาได้ง่ายมากขึ้น โดยเฉ...
08/08/2025

ถ้าลูกค้าไม่ต้องการให้เราแก้ไขปัญหา แล้วบทบาทของนักขายมืออาชีพควรเป็นอย่างไร?
ในวันที่ข้อมูลต่าง ๆ หาได้ง่ายมากขึ้น โดยเฉพาะการมาของ AI ทำให้ลูกค้าจำนวนมากรู้จักปัญหาและวิธีแก้ไข ก่อนที่พวกเขาจะมาเจอเราด้วยซ้ำ แล้วเราในฐานะผู้ประกอบการ จะขายสินค้าอย่างไร ในวันที่เกิดการเปลี่ยนแปลงของโลก จากการขายในยุค "Solution Selling" สู่ยุคที่ลูกค้าไม่ต้องการคำแนะนำจากเซลส์อีกต่อไป
หลายปีที่ผ่านมา หลายองค์กรลงทุนกับกระบวนการ "Solution Selling" หรือการขายโดยเน้นเข้าใจปัญหาของลูกค้าแล้วนำเสนอแนวทางแก้ไขเฉพาะจุด แต่งานวิจัยจาก CEB (Corporate Executive Board) ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ Gartner ที่ให้บริการวิจัย พบว่า พฤติกรรมผู้ซื้อเปลี่ยนไปแบบพลิกกระดาน ลูกค้ามากกว่า 57% ของกระบวนการซื้อเสร็จสิ้นไปแล้ว ก่อนที่พวกเขาจะยอมคุยกับเซลส์ด้วยซ้ำ เพราะพวกเขาศึกษาหาข้อมูลด้วยตัวเอง และตัดสินใจเบื้องต้นด้วยตัวเอง
เมื่อข้อมูลไม่ใช่สิ่งที่หายากอีกต่อไป ลูกค้าจึงไม่ต้องการ "นักขายที่ดี" แต่ต้องการ "นักท้าทายความคิด" หรือ Challenger — คนที่สามารถนำเสนอแนวคิดใหม่ และสร้างความเชื่อมั่นในทางเลือกที่ลูกค้ายังมองไม่เห็น บทบาทของเซลส์ยุคใหม่จึงต้องเป็นมากกว่าการ "ขาย" แต่ต้อง "สอน-ปรับมุมมอง-ควบคุมบทสนทนา"
จากงานวิจัยของ CEB ที่สำรวจเซลส์กว่า 6,000 คน พบว่ามีเพียง 5 ประเภทหลักของนักขาย คือ Relationship Builder, Hard Worker, Lone Wolf, Reactive Problem Solver และ Challenger แต่ประเภทที่ประสบความสำเร็จสูงสุด โดยเฉพาะใน B2B Complex Sales คือ Challenger โดยมีผลงานขายดีกว่าค่าเฉลี่ยถึง 40% ในช่วงที่ลูกค้าต้องการคำแนะนำแบบ "ไม่ซ้ำใคร"
Challenger — เป็นคนที่ "เข้าใจธุรกิจของลูกค้าดีกว่าที่ลูกค้าเข้าใจตัวเอง" พวกเขาวางแผนก่อนเจรจา ตั้งคำถามให้ลูกค้าคิดในจุดที่ไม่เคยนึกถึง และกล้าปฏิเสธคำขอที่ไม่สมเหตุสมผลย่างสุภาพ ทั้งหมดนี้มาจากการมีความมั่นใจจาก Insight และ Data ที่ถูกต้องและชัดเจน
ความสามารถที่ทำให้ Challenger โดดเด่นคือ "Commercial Teaching" หรือการสอนเชิงกลยุทธ์ โดยไม่ใช่การให้ความรู้แบบทั่ว ๆ ไป แต่เป็นการเปิดโลกใหม่ให้กับลูกค้าเห็นว่า "สิ่งที่พวกเขาทำอยู่ตอนนี้ อาจพลาดโอกาสมหาศาล" และนี่แหละ เป็นการสร้าง Pain แบบตั้งใจ เพื่อปลุกให้ลูกค้าอยากเปลี่ยนก่อนที่จะเจ็บจริง
อีกหนึ่งจุดเด่นของ Challenger คือการควบคุมบทสนทนา พวกเขารู้ว่าจังหวะใดควร "ฟังอย่างตั้งใจ" และเมื่อใดควร "ผลักดันอย่างมั่นใจ" พวกเขาไม่ได้ให้ลูกค้ารู้สึกเหมือนโดนคำสั่ง แต่ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่า "กำลังเรียนรู้จากคนที่เข้าใจเกมธุรกิจอย่างลึกซึ้ง" เป็นการสร้างความเคารพซึ่งกันและกัน
แล้วถ้าเราอยู่ในฐานะผู้นำองค์กร หรือหัวหน้าทีมขาย สิ่งที่เรากำลังสอนทีมขาย เป็นการสอนเพื่อให้เขาแค่ปิดการขายหรือเป็น Challenge เพราะทักษะแบบนี้ไม่ใช่เกิดจากพรสวรรค์ แต่เกิดจากการฝึกฝน การโค้ช และการมีกรอบแนวคิด (Framework) ที่ชัดเจน และหากทำได้ ก็จะสามารถเปลี่ยนทั้งผลลัพธ์ และวัฒนธรรมการขายขององค์กร
ในยุคของการเข้าถึงข้อมูลได้ง่าย "คนขายที่รอให้ลูกค้าบอกปัญหาแล้วค่อยเสนอคำตอบ" จะถูกแทนที่ด้วยคนที่ "กล้าท้าทายลูกค้า" อย่างสร้างสรรค์ เพราะในโลกที่ลูกค้าฉลาดขึ้นทุกวัน คนที่ขายได้ไม่ใช่แค่คนที่คอยให้คำตอบ แต่เป็นคนที่ช่วยลูกค้า "ตั้งคำถามให้ถูก" ตั้งแต่ต้นต่างหาก
เรียบเรียงโดย: THE INSIDER

08/08/2025

นี่คือ 98 บทเรียนธุรกิจ จากที่ผมได้จากการคุยกับ “คมสันต์ แซ่ลี” ผู้สร้างธุรกิจ 70,000 ล้านบาท ด้วย 1 สมอง และ 2 มือ

ที่อยากให้รอยแผลของตัวเองเป็นบทเรียน
เพื่อคนอื่นจะได้ไม่ทำพลาด

และคุณ จะไม่รู้สึกเสียดายเวลาอ่านเลยสักนิด

(สำหรับคนที่ไม่ได้ตามข่าวว่า 70,000 ล้านมาจากไหน เป็นมูลค่าบริษัท Flash Express ที่ปิดรอบ Series-F ไปนะครับ)

Note : ที่หยิบมาแชร์นี้ น่าจะประมาณ 5% ของ session วันนั้น 😅 ขออนุญาตหยิบมาแชร์เฉพาะที่ public ได้นะครับ เพราะที่คมสันต์เล่าไว้ใน XCLUB นี่ ทั้งโหด มันส์ เข้ม และ super secret จริงๆ 😂

และขอบคุณทีม XCLUB - Executive Clubhouse ที่มุ่งมั่นสร้าง Clubhouse รวมตัวนักธุรกิจเก่งๆ ให้มาอยู่สังคมแห่งการแบ่งปันด้วยกันนะครับ 🔥

— เริ่ม —

1.คนที่เกิดมายากจนจะมองเห็นความต่างของ “มีเงิน” กับ “ไม่มีเงิน” ชัดเจนกว่าคนทั่วไป

เพราะความขาดแคลนทำให้สังเกตได้ว่าคนมีเงินมีทางเลือกและโอกาสมากกว่า คมสันต์มองเห็นตั้งแต่เด็กว่า คนมีเงินมีทางเลือกเสมอ ส่วนคนจนแทบไม่มีสิทธิ์เลือกอะไรเลย นี่แหละเชื้อเพลิงชีวิต เป็นแรงผลักดันให้คมสันต์หาทางเปลี่ยนสถานะตัวเอง

2.แรงผลักดันจากความลำบากในวัยเด็กสามารถกลายเป็นพลังขับเคลื่อนธุรกิจระดับประเทศได้

ความลำบากไม่ใช่ข้ออ้าง แต่เป็นพลังที่ผลักให้เราทำทุกวิถีทางเพื่อไม่กลับไปอยู่จุดเดิม และใช้มันเป็นเชื้อไฟให้วิ่งไกลกว่าคนอื่น

3.เมื่อประสบความสำเร็จแล้วอิสรภาพอาจลดลง ภาระอาจเพิ่มขึ้นมากกว่าที่คิด เราต้องเต็มใจยอมรับ

ทุกวันนี้คมสันต์ไปไหน จะพูดเสมอว่า ช่วยใจดีกับพนักงานผมด้วย ถ้าจะด่าอะไร ให้ด่าผม อย่าด่าเค้าและครอบครัวเค้า

4.เป้าหมาย “อยากรวย” ไม่จำเป็นต้องเริ่มจากความฝันเป็นผู้ประกอบการ

คมสันต์อยากดูแลครอบครัวให้ดีขึ้น ไม่เคยนึกว่าจะสร้างยูนิคอร์น แต่จุดเล็ก ๆ นี่แหละพาเขาไปได้ไกล บางคนฝันใหญ่จนกลับมาท้อแท้เอง คุณอาจจะเริ่มต้นจากความต้องการดูแลครอบครัวให้ดีขึ้น แล้วค่อยพบเส้นทางที่พาไปสู่การเป็นเจ้าของธุรกิจใหญ่โตในภายหลัง

5.นักลงทุนที่ให้เงินเรา ไม่ได้ให้แค่เงิน แต่ให้ความคาดหวังมหาศาลมาด้วย

เงินลงทุนคือสัญญาว่าจะสร้างผลตอบแทนกลับมา ดังนั้นทุกบาทที่รับมาคือความกดดันให้ทำให้ได้ตามหรือเหนือความคาดหวัง

6.การดูแลพนักงานนับแสนในหลายประเทศคือภารกิจที่ใหญ่เกินกว่าตัวเลขรายได้

เพราะหมายถึงการดูแลชีวิต ความเป็นอยู่ และความก้าวหน้าของคนจำนวนมหาศาล ซึ่งสะท้อนความเป็นผู้นำแท้จริง

7.การสร้างแพลตฟอร์มที่ครอบคลุมทั้งต้นน้ำถึงปลายน้ำทำให้เราควบคุมเกมได้มากขึ้น

เมื่อครองทั้งกระบวนการตั้งแต่ผลิตจนถึงขาย เราสามารถกำหนดมาตรฐาน ราคา และประสบการณ์ลูกค้าได้เอง

8.การทำธุรกิจทั่วไปต่างจาก Start-up ตรงที่ Start-up เริ่มจากปัญหาใหญ่และแก้ด้วยวิธีใหม่

ธุรกิจทั่วไปมองหากำไรจากสิ่งที่ทำได้อยู่แล้ว แต่ Start-up คือการมองหาโอกาสจากปัญหาที่คนอื่นมองข้ามหรือแก้ไม่ได้

9.ธุรกิจทั่วไปแลกกำไรจากส่วนต่างข้อมูลและต้นทุน แต่ Start-up แลกอนาคตจากการเปลี่ยนตลาด

โมเดลธุรกิจแบบ Start-up จึงเน้นการเติบโตอย่างรวดเร็ว เพื่อครองตลาดก่อนคู่แข่งจะตามทัน

10.การถูกปฏิเสธหลายสิบครั้งเป็นเรื่องปกติของผู้ประกอบการที่มองไกล

เพราะวิสัยทัศน์ที่ยิ่งใหญ่มักจะไม่ถูกเข้าใจตั้งแต่แรก คนส่วนใหญ่จะมองว่ามันเสี่ยงเกินไปจนกว่าจะเห็นผลสำเร็จจริง

11.ข้ออ้างของนักลงทุนบางครั้งสะท้อนว่าเขาไม่เชื่อในตัวเรามากพอ

การไม่ได้ทุนอาจไม่ได้หมายถึงไอเดียไม่ดี แต่หมายถึงเรายังขาย “ตัวเรา” ได้ไม่ดีพอ

12.นักลงทุนกลัวสิ่งที่เขาไม่คุ้นเคย เช่น ผู้ก่อตั้งไทยที่ไปหาทุนจีน

เพราะเขามองว่ามีความเสี่ยงจากความแตกต่างทางวัฒนธรรมและการควบคุมธุรกิจ

13.การได้ “นักลงทุนคนแรก” อาจเกิดจากปัจจัยที่ไม่ใช่แผนธุรกิจ

บางครั้งนักลงทุนเลือกเพราะเชื่อในคน เชื่อในทีม มากกว่าตัวตัวเลขในสไลด์

14.การดึงคนเก่งต้องทำให้เขาเชื่อในตัวเรา ก่อนจะขายวิสัยทัศน์ของธุรกิจ

เพราะคนเก่งไม่เสี่ยงทำงานกับคนที่เขาไม่เชื่อใจ แม้ไอเดียธุรกิจจะดีแค่ไหนก็ตาม

15.ถามคนในองค์กรเป้าหมายว่า “ใครคือคนที่เสียดายที่สุดถ้าเขาลาออก”

นี่คือวิธีตรงที่สุดในการหา Top Talent ที่มีค่ามากกว่าตำแหน่งในโครงสร้าง

16.คนเก่งมักตัดสินใจด้วยข้อมูลและตัวเลข ไม่ใช่ความรู้สึก

ดังนั้นการโน้มน้าวต้องมาพร้อมหลักฐานที่ชัดเจนและตรรกะที่แข็งแรง

17.การลงทุนในการสร้างความสัมพันธ์ส่วนตัวอาจเปลี่ยนอนาคตธุรกิจได้

เพราะความไว้ใจและความผูกพันส่วนตัวคือกาวที่ทำให้การร่วมงานราบรื่นในระยะยาว

18.การชวนคนมาร่วมงานอาจเริ่มจากการชวนมาเที่ยว แต่ต้องมีแผนรองรับหลังจากนั้น

กิจกรรมไม่ทางการช่วยเปิดใจ แต่ต้องตามด้วยแผนธุรกิจที่จริงจังเพื่อให้เขาเชื่อ

19.การเตรียมข้อมูลก่อนคุยกับคนเก่งคือการแสดงความจริงจังและเคารพเวลาเขา

มันบอกว่าคุณไม่ได้แค่ “อยาก” ร่วมงาน แต่ “พร้อม” ร่วมงานแล้วตั้งแต่ก่อนคุย

20.การเป็น CEO ไม่ใช่การทำทุกอย่าง แต่คือการกำหนด “ทิศ” ให้ชัดที่สุด

เพราะทีมจะวิ่งได้เร็วและตรงเป้าก็ต่อเมื่อรู้แน่ชัดว่ากำลังจะไปที่ไหน

21.การมี COO ที่เก่งคือการมีเครื่องยนต์ที่ขับเรือฝ่าคลื่นได้

ผู้นำไม่ต้องทำทุกอย่างเอง แต่อย่าประมาทพลังของคนที่ขับเครื่องให้วิ่งได้เสถียร

22.ถ้าเราคุมได้ทั้งต้นน้ำถึงปลายน้ำ เราไม่ได้รอให้ตลาดเลือกเรา แต่เราเลือกตลาด

อยู่แค่ปลายทางจะโดนกดราคาเสมอ แต่ถ้าคุมทั้งระบบ เราคือผู้กำหนดเกม

23.โอกาสทางธุรกิจซ่อนอยู่ในการเปลี่ยนเล็ก ๆ ของพฤติกรรมผู้บริโภค

สังเกตให้ลึกกว่าคนอื่น แล้วคุณจะเห็นคลื่นลูกใหม่ก่อนใคร

24.ถ้าเห็นเทรนด์ก่อนคนอื่น เราจะชนะก่อนเริ่มแข่ง

ความได้เปรียบของผู้นำไม่ใช่แค่เร็วกว่า แต่คือ "รู้ก่อน"

25.การร่วมทุนกับพันธมิตรที่เข้าใจตลาดช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มความเร็ว

อย่าฉลาดอยู่คนเดียว ฉลาดร่วมกันแล้วโตเร็วกว่า

26.ถือหุ้นใหญ่คือการถือเข็มทิศของเรือไว้ในมือ

ไม่มีใครลบคุณออกจากทิศทาง ถ้าคุณถือทิศทางนั้นเอง

27.แบรนด์ต่างชาติในตลาดไทย ถ้าไม่เข้าใจคนไทย ก็อยู่ยาก

บริบทคือทุกสิ่ง ต่อให้เก่งแค่ไหน ถ้าไม่เข้าใจตลาด ก็แพ้คนท้องถิ่น

28.ซัพพลายเชนที่อยู่ในประเทศคือประตูสู่การสร้างงานและเศรษฐกิจใหม่

ถ้าของผลิตในไทย คนไทยจะได้โตไปพร้อมแบรนด์

29.R&D ในประเทศคือการปลูกต้นไม้แห่งความรู้ให้เติบโตยาวนาน

วันนี้ลงทุนในคน พรุ่งนี้เราได้นวัตกรรมที่ไม่ต้องซื้อจากต่างชาติ

30.การสร้างศูนย์นวัตกรรมในไทยคือการลงทุนในอนาคตของคนไทยเอง

แบรนด์ระดับโลกที่ยั่งยืน ต้องสร้างคนไปพร้อมกับสร้างกำไร

31.อย่ารอให้เทรนด์เปลี่ยนแล้วค่อยปรับ จงสร้างเทรนด์เอง

ผู้สร้างเทรนด์จะเป็นผู้นำตลาด ส่วนผู้ตามจะรอส่วนลด

32.ทุกยุคของ E-commerce จะมีคนรอดไม่กี่ราย และพวกเขาคือคนที่ปรับตัวทัน

เทคโนโลยีเปลี่ยนได้ทุกปี แต่สัญชาตญาณปรับตัวเร็วต่างหากที่รอด

33.Affiliate ง่ายแต่ไม่ยั่งยืน เพราะวันหนึ่งโรงงานจะขายตรง

อาชีพที่ไม่มีต้นน้ำของตัวเอง มีวันหมดอายุ

34.บ่อปลาที่สร้างเองทำให้เราไม่ต้องแย่งตกปลากับใคร

พอเรามีบ่อเป็นของตัวเอง ลูกค้าจะมาตกที่เรา

35.เจ้าของแบรนด์ที่น่าเชื่อถือคือโฆษณาที่มีชีวิต

ทุกการกระทำของคุณคือโฆษณาให้แบรนด์ อย่าทำให้ผิดหวัง

36.ชื่อเสียงของผู้นำอาจทำให้บริษัทลดค่าโฆษณาเหลือศูนย์

Elon Musk ทวีตทีเดียว คนทั่วโลกแชร์ นั่นคือพลังของความน่าเชื่อถือ

37.เงินเดือนซื้อเวลา หุ้นซื้อหัวใจ

เงินทำให้คนอยู่ แต่หุ้นทำให้เขาสู้สุดใจ

38.หุ้นทำให้พนักงานคิดเหมือนเจ้าของ และสู้เหมือนเจ้าของ

เมื่อผลตอบแทนโตไปพร้อมความสำเร็จ เขาจะไม่ยอมให้ล้ม

39.องค์กรที่เติบโตเร็วต้องให้รางวัลทั้งระยะสั้นและระยะยาว

เงินเดือนพอให้อยู่อย่างมั่นคง แต่หุ้นจะทำให้คนกล้าฝันใหญ่

40.ผู้นำต้องยอมรับว่าแม้รวยแล้วก็ยังเป็นมนุษย์ธรรมดา

คุณยังมีความเหนื่อย ความกลัว และความไม่แน่ใจเหมือนทุกคน

41.เวลาที่เราเลือกใช้เองคืออิสระที่แท้จริงของผู้นำ

อย่าหลงกับภาพลักษณ์ “ตื่นเช้า = สำเร็จ” เพราะคนสำเร็จจริง เลือกเวลาทำงานเอง

42.การทำงานตอนกลางคืนคือการได้พื้นที่เงียบให้คิดใหญ่

ช่วงเวลาที่ไม่มีคนรบกวน คือช่วงที่ความคิดเปลี่ยนชีวิตมักเกิดขึ้น

43.ความสุขของผู้นำไม่ใช่การมีทุกอย่าง แต่คือการได้สร้างบางอย่างที่ยิ่งใหญ่กว่า

เมื่อเป้าหมายคือ “สร้างโลกให้ดีขึ้น” ความสุขก็มาเอง

44.ความกล้าทำให้เริ่ม ความเชื่อทำให้เดินต่อ

เริ่มจากความบ้า แต่รอดด้วยความเชื่อที่มั่นคง

45.ไม่ใช่ทุกการตัดสินใจจะชนะ แต่ทุกการตัดสินใจต้องเดินหน้า

จงกล้าทำผิด ดีกว่าไม่กล้าทำอะไรเลย

46.ธุรกิจที่ดีคือธุรกิจที่ทำให้คนรอบข้างเติบโตไปพร้อมกัน

ถ้าคุณสำเร็จแต่คนรอบข้างทุกข์ใจ มันไม่เรียกว่าความสำเร็จ

47.เงินที่ใช้ลงทุนในคนจะกลับมาหลายเท่าผ่านความทุ่มเทของเขา

จ่ายให้คนที่ใช่ คือการจ่ายเพื่อปลดล็อกศักยภาพที่คุณซื้อไม่ได้จากใคร

48.การทำธุรกิจไม่ใช่การแข่งว่ารวยกว่าใคร แต่คือการแข่งว่าให้โอกาสได้มากกว่าใคร

วัดผลความสำเร็จที่คนที่คุณพาขึ้นมาด้วย

49.ความบ้าบิ่นที่คำนวณแล้วคือจุดเริ่มของทุกการเปลี่ยนแปลงใหญ่

บ้าอย่างฉลาดคือทักษะผู้ก่อตั้งที่โลกต้องการ

50.การล้มคือบทเรียนราคาแพง แต่คุ้มกว่าการไม่ลอง

ล้มแล้วยังเดินได้ เท่ากับชนะคนที่ยืนเฉยอยู่ที่เดิม

51.ช่วงที่สบายที่สุด อาจเป็นเวลาที่ต้องหาความท้าทายใหม่เพื่อไม่ให้หยุดโต

ถ้ารู้สึกสบายเกินไป แปลว่าคุณอาจกำลังช้าลงโดยไม่รู้ตัว

52.การเดินทางท่องโลกคือการลงทุนซื้อมุมมอง ไม่ใช่แค่ซื้อความสุข

ทุกเมือง ทุกวัฒนธรรม คือแรงบันดาลใจใหม่ของการทำธุรกิจ

53.นักลงทุนที่ใช่ มองคนก่อนมองแผนธุรกิจ

เพราะไอเดียเปลี่ยนได้ทุกวัน แต่ “คนทำ” คือสิ่งเปลี่ยนไม่ได้

54.การหาคนเก่งเริ่มจากการรู้ว่าใครคือ “เพชรเม็ดงามที่สุด” ในองค์กรของเขา

อย่าหาคนที่ว่าง หาคนที่ “องค์กรเสียดายถ้าเขาลาออก”

55.อยากได้คนที่ค่าตัวแพง ต้องให้สิ่งที่เงินซื้อไม่ได้ ความเชื่อในตัวเรา

เขาไม่ได้เลือกงาน เขาเลือกคนที่จะนำพาเขาไปอนาคตที่ใหญ่กว่า

56.การถูกปฏิเสธไม่ใช่สัญญาณให้ถอย แต่เป็นสัญญาณให้คมขึ้น

ทุก No คือบทเรียนที่ทำให้แผนเราแน่นขึ้น คมขึ้น ดีกว่าเดิม

57.การกล้าชวนคนที่เก่งกว่าเรามาร่วมทีมคือความฉลาดของผู้นำ

ถ้าเราไม่ยอมให้คนเก่งกว่าเข้ามา แปลว่าเรากลัวความจริง

58.การเตรียมข้อมูลให้มากกว่าที่คู่สนทนาคาด คือการชนะตั้งแต่ยังไม่เริ่มคุย

มันแสดงว่าเรา “พร้อม” ไม่ใช่แค่ “อยากได้โอกาส”

59.การเป็น CEO ไม่ใช่การทำทุกอย่าง แต่คือการกำหนด “ทิศ” ให้ชัดที่สุด

ทีมทำงานจะเคลื่อนไหวได้เร็วเมื่อรู้ว่ากำลังไปไหน ไม่ใช่แค่ต้องทำอะไร

60.การมี COO ที่เก่งคือการทำให้กลไกทุกอย่างไหลลื่น แม้ในวันที่ผู้นำไม่อยู่

ธุรกิจที่ดีต้องรันได้แม้วัน CEO ไม่ว่าง

61.อยู่แค่ปลายทางของห่วงโซ่ = โดนกดราคาเสมอ

แต่ถ้าคุณขยับขึ้นมาอยู่ต้นทาง = คุณกลายเป็นคน “ตั้งราคา” แทน

62.การครอง Supply Chain คือการเปลี่ยนสถานะจากผู้เล่น เป็นเจ้าของกระดาน

คุณไม่ได้รอเกมเริ่มอีกต่อไป แต่กำหนดว่า “ใครจะได้เล่น”

63.แบรนด์เกิดได้จากพฤติกรรมเล็ก ๆ ของผู้บริโภคที่คนอื่นมองข้าม

ยิ่งละเอียด ยิ่งเข้าใจ ยิ่งนำหน้า

64.เทรนด์ที่คนอื่นยังไม่เห็น คือโอกาสทองที่ต้องรีบคว้า

เวลาทุกคนเห็นเหมือนกัน โอกาสนั้นก็แพงเกินไปแล้ว

65.การมีพาร์ทเนอร์ที่คิดเหมือนกันคือการเร่งสปีดความสำเร็จ 10 เท่า

อย่าทำทุกอย่างคนเดียว เพราะธุรกิจใหญ่ขึ้นด้วยการ “ร่วม”

66.ถือหุ้นเยอะเท่าไหร่ = มีสิทธิ์กำหนดทิศทางได้มากเท่านั้น

ถ้าอยากรักษาความฝันไว้ ต้องถืออำนาจไว้ด้วย

67.แบรนด์ต่างชาติที่ไม่เคารพบริบทในไทย = ไปไม่รอด

อย่าคิดว่า Global จะชนะ Local โดยไม่ปรับตัว ดังนั้นคุณมีโอกาสเสมอ อย่าดูถูกตัวเอง

68.ถ้าฐานการผลิตอยู่ที่นี่ = งานจะอยู่กับคนไทย

นี่คือการพัฒนาเศรษฐกิจแบบยั่งยืน ไม่ใช่แค่โกยยอดขาย

69.R&D ที่อยู่ในไทย = ความรู้ที่ถ่ายทอดได้จริง ไม่ต้องพึ่งแค่เทคโนโลยีข้างนอก

เราจะไม่เป็นแค่ผู้ใช้เทคโนโลยี แต่เป็นผู้ “สร้าง”

70.คนไทยสร้างของพรีเมียมได้ ถ้าได้รับโอกาสและองค์ความรู้ระดับโลก

อย่าจำกัดฝันของคนไทยไว้แค่ “สินค้าโลว์คอสต์”

71.ไม่ใช่แค่รอดใน Live Commerce แต่ต้องสร้างแพลตฟอร์มเองได้

แพลตฟอร์มที่ยั่งยืน คือของที่คุณ “สร้าง” ไม่ใช่ของที่คุณ “เช่าใช้”

72.ผู้เล่นที่โตไววันนี้ อาจไม่ใช่คนที่อยู่รอดพรุ่งนี้ ถ้าไม่คิดแบบเจ้าของ

ยิ่งขายเก่ง ยิ่งต้องรีบคิดเรื่องสร้างฐานเอง

73.AI กำลังฆ่าคนกลางที่ไม่มีคุณค่าเพิ่มในระบบ

คุณต้องอยู่ในตำแหน่งที่ AI แทนไม่ได้

74.แบรนด์ที่ไม่มีตัวตนเจ้าของจะอ่อนแรงลงเรื่อย ๆ

คนไม่ได้ซื้อแค่ของ แต่ซื้อความเชื่อที่อยู่เบื้องหลัง

75.ชื่อของคุณ = สินทรัพย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของธุรกิจ

ทุกโพสต์ ทุกคำพูด สร้างมูลค่าได้หรือทำลายมูลค่าก็ได้

76.ถ้าคุณ “ไม่ถือหุ้น” กับพนักงาน ก็อย่าหวังว่าเขาจะถือฝันไปกับคุณ

หุ้น = พันธะทางใจที่เงินเดือนให้ไม่ได้

77.การแบ่งหุ้นไม่ใช่การเสียสัดส่วน แต่มันคือการ “เพิ่มพลัง” ของบริษัท

เจ้าของมากคน = พลังใจมากทวี

78.คนจะไม่ลาออกง่าย ถ้าเขารู้ว่าตัวเอง “โตไปพร้อมหุ้น”

หุ้นสร้างความรู้สึกว่า “เรากำลังสร้างอะไรที่ใหญ่กว่าตัวเองอยู่”

79.การบอกว่า “ฉันก็มีวันที่ทุกข์” ทำให้คุณเป็นผู้นำที่มนุษย์เชื่อมถึง

ไม่ต้องสมบูรณ์แบบ แค่ “จริง” พอ

80.การทำงานดึกไม่ผิด ถ้ามันคือเวลาที่ดีที่สุดของคุณ

หากคุณสร้างสิ่งยิ่งใหญ่ตอนตี 2 ก็อย่าขอโทษใครที่ไม่ตื่นเช้า

81.ทุกคนมี peak time ของตัวเอง จงใช้มันให้เกิดประโยชน์สูงสุด

อย่าพยายามทำตัวให้เหมือนคนอื่น เพราะความสำเร็จไม่ต้องเหมือนใคร

82.ไม่มีผู้นำคนไหนโตมาเพราะอยู่ใน comfort zone

ทุกความสบาย = สัญญาณเตือนว่าคุณอาจหยุดพัฒนา

83.จงอยู่กับคนที่ทำให้คุณรู้สึก “ตัวเล็ก” แล้วคุณจะโตไวขึ้นมาก

เพราะคนเก่งจะยืดคุณจนถึงจุดที่คุณไม่เคยรู้ว่าคุณไปได้

84.แบรนด์ที่ดีไม่ได้มีแต่สินค้า แต่ต้องมี “ทิศ” และ “ใจ”

สองสิ่งนี้คือแกนที่ดึงดูดลูกค้าแบบไม่ต้องลดราคา

85.ธุรกิจไม่ใช่แค่กลยุทธ์ มันคือความกล้าเดินหน้าตอนที่ทุกคนหยุด

ใครกล้าเดินต่อแม้ไม่มีคนปรบมือ คนนั้นถึงเส้นชัยก่อน

86.จงลงทุนในคนที่ “คิดแทนคุณ” แม้คุณไม่อยู่ตรงนั้น

คนแบบนี้คือ Rare asset ที่เงินก็ซื้อไม่ได้

87.ทีมที่มี “เจ้าของร่วม” จะไม่รอคำสั่ง แต่จะหาทางชนะเสมอ

เขาไม่รอแค่เป้าหมายจากคุณ แต่จะสร้างเส้นทางเอง

88.วัฒนธรรมองค์กรคือสินทรัพย์ที่ไม่มีในงบดุล แต่มูลค่าสูงที่สุดในระยะยาว

ถ้าคุณรักษาวัฒนธรรมดีไว้ได้ ทุกคนจะเป็น CEO ของหน้าที่ตัวเอง

89.จงสร้างแบรนด์จาก “ความจริง” ไม่ใช่จาก “ความเท่”

ของจริงขายได้นาน ของเท่ขายได้แค่แป๊บเดียว

90.อย่าถามว่า “ปีนี้จะกำไรกี่ล้าน” แต่ถามว่า “ปีนี้จะให้คนกี่พันชีวิต”

เมื่อคุณให้มากพอ กำไรจะกลับมาเอง

91.ถ้าคุณไม่เคยโดนคนดูถูก คุณยังไม่กล้าแตกต่างมากพอ

ทุกคนที่เปลี่ยนโลก เคยถูกหัวเราะก่อนจะถูกเชิดชู

92.เมื่อไม่มีใครเชื่อในฝันคุณ จงเป็นคนแรกที่เชื่อเองให้สุด

ถ้าคุณยังไม่เชื่อเอง อย่าหวังให้ใครลงทุนในมัน

93.ธุรกิจ = การเปลี่ยนสิ่งที่ “ไม่มีใครกล้าทำ” ให้กลายเป็นสิ่งที่ “ใคร ๆ ก็ใช้”

ความยิ่งใหญ่เกิดจากการทำเรื่องธรรมดาให้ไม่ธรรมดา

94.กล้าที่จะเลิกเร็วกับสิ่งที่ไม่เวิร์ก คือทักษะที่เจ้าของต้องฝึกให้ได้

ความดื้อที่ผิดจังหวะ จะพาคุณจมเรือเอง

95.ทุกคนมีสิทธิ์เริ่มต้นใหม่ ถ้าไม่กลัวที่จะยอมรับว่าทางเดิมผิด

เส้นชัยไม่อยู่ที่คนเริ่มเร็ว แต่อยู่ที่คนกล้าหันขวาเมื่อซ้ายตัน

96.บริษัทที่ดี ไม่ได้มีแต่แผนธุรกิจ แต่มี “ความหวัง” ที่คนอยากเดินตาม

ความหวังคือสิ่งที่ทำให้คนอยู่แม้ในวันที่บริษัทยังไม่มีกำไร

97.จงสร้างอนาคตที่คนอื่นอยากเป็นส่วนหนึ่ง ไม่ใช่แค่ทีมงาน แต่รวมถึงลูกค้า

เพราะเมื่อทุกคนรู้สึกเป็นเจ้าของ เขาจะช่วยคุณรักษามันไว้

98.จงทำสิ่งที่วันนี้คนหัวเราะเยาะ เพราะวันหนึ่งมันจะเป็นสิ่งที่เขาอยากเลียนแบบ

ถ้า คมสันต์ แซ่ลีผ่านเสียงหัวเราะเยาะ จนสร้างธุรกิจ 70,00 ล้านได้ = คุณก็ทำได้

———

Note อีกครั้ง..
ที่หยิบมาแชร์นี้ น่าจะประมาณ 5% ของ session วันนั้น 😅 ขออนุญาตหยิบมาแชร์เฉพาะที่ public ได้นะครับ เพราะที่คมสันต์เล่าไว้ใน XCLUB นี่ ทั้งโหด มันส์ เข้ม และ super secret จริงๆ 😂)

ขอบคุณ XCLUB ที่เป็น Clubhouse บ้านอีกหลังของนักธุรกิจ ให้มาอยู่สังคมเดียวกันนะครับ 🔥

หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์นะครับ 😊
ใครกำลังมีไฟ หรือกำลังมีแผนสร้างฝันของตัวเอง
อย่าลืม share เก็บ ไว้หรือ share ไปให้เพื่อนๆ ด้วยนะ❤️

ปล. ตอนนี้ คมสันต์ ตั้งแถวใหม่แล้วนะครับ ชื่อ Mad Unicorn ธุรกิจที่สร้างความสุขให้ทุกคน ผ่านขนม จูจุ๊ฟป็อป (ผมและภรรยาชอบมาก โดยเฉพาะรส Marshmellow😋) สามารถไปอุดหนุน และ ติดตามกันได้ ที่ช่อง คมสันต์ แซ่ลี นะครับ

ปล2. แถวใหม่ที่คมสันต์ ตั้งขึ้นมา ปลายทางจะทำให้ คนไทย แบรนด์ไทย มีความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกธุรกิจ ที่ท้าชนกับแบรนด์ระดับโลกได้เลย รอชมกันนะครับบบ 🤩 🦄

ส่วนใครชอบบทความธุรกิจแบบนี้ ก็อย่าลืม ติดตาม Nop Pongsatorn กันไว้นะครับ เดี๋ยวมาเขียนให้ทุกสัปดาห์

#คมสันต์

เมื่อโลกเต็มไปด้วยการสื่อสาร การตลาด และทางเลือกนับไม่ถ้วน การที่ใครบางคนจะ "เลือก" ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง บางครั้งไม่ได้เกิด...
08/08/2025

เมื่อโลกเต็มไปด้วยการสื่อสาร การตลาด และทางเลือกนับไม่ถ้วน การที่ใครบางคนจะ "เลือก" ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง บางครั้งไม่ได้เกิดจากเหตุผลที่ใหญ่โต แต่กลับเกิดจากรายละเอียดเล็ก ๆ ที่ถูกจัดวางอย่างฉลาด เพื่อชี้นำพฤติกรรมโดยไม่รู้ตัว สิ่งนี้จึงเป็นศิลปะของการชักจูง "แบบเบา ๆ" ที่มีพลังมากกว่าที่คาดคิด โดยเรียกสิ่งนี้ว่า "Nudge Theory"
"Nudge Theory" เกิดขึ้นจากงานวิจัยของ Richard Thaler (นักเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม) และ Cass Sunstein (นักกฎหมายจาก Harvard) ซึ่งทั้งคู่ได้ร่วมกันเขียนหนังสือชื่อ Nudge: Improving Decisions About Health, Wealth, and Happiness ในปี 2008 โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อเสนอแนวคิดว่า การออกแบบสภาพแวดล้อมหรือ "choice architecture" อย่างชาญฉลาดสามารถชี้นำการตัดสินใจของมนุษย์ได้ โดยไม่ต้องบังคับ หรือจำกัดสิทธิของบุคคล
[หลักการและวิธีการใช้]
"Nudge Theory" มีหลักการสำคัญที่เรียกว่า "Libertarian Paternalism" คือการออกแบบให้คน "ยังมีอิสระในการเลือก" แต่ถูกชี้นำให้เลือกทางที่ดีกว่าสำหรับตัวเองและสังคม โดยมีองค์ประกอบสำคัญคือ
[1] Choice Architecture (สถาปัตยกรรมของการเลือก): การจัดวางหรือออกแบบวิธีการเสนอทางเลือก เช่น การจัดวางอาหารในโรงอาหาร (ของที่วางในระดับสายตาจะถูกเลือกมากกว่า)
[2] Default Options (ค่าเริ่มต้น): การตั้งค่าทางเลือกเริ่มต้นที่ส่งเสริมพฤติกรรมดี เช่น สมัครบริจาคอวัยวะโดยอัตโนมัติ เว้นแต่จะเลือกปฏิเสธ
[3] Salience (การเน้นจุดสำคัญ): ทำให้บางทางเลือกโดดเด่น เพื่อดึงดูดความสนใจ เช่น การใช้สีแดงบนป้ายเตือน
[4] Feedback (การให้ข้อมูลย้อนกลับ): ให้ข้อมูลแก่ผู้ใช้เกี่ยวกับผลลัพธ์ของการกระทำ
[5] Incentives (แรงจูงใจ): กระตุ้นพฤติกรรมโดยให้รางวัล หรือชี้ให้เห็นผลได้ผลเสีย
[6] Priming & Framing (การปูพื้นทางความคิด และกรอบการนำเสนอ): ใช้ภาษาหรือภาพที่ชี้นำอารมณ์ เช่น "คุณต้องการประหยัดเงินใช่ไหม?"
[กรณีศึกษาและแนวทางการประยุกต์ใช้]
แพลตฟอร์มอย่าง Amazon หรือ Lazada ใช้ Nudge เช่น การแสดงจำนวนสินค้าที่ "เหลือไม่มากแล้ว" หรือการขึ้นข้อความ "มีคนสั่งซื้อสิ่งนี้ใน 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา" เพื่อสร้างความเร่งเร้าแบบอ่อน (gentle urgency) ซึ่งช่วยเพิ่มยอดขายอย่างเห็นได้ชัด หรือ แอปสุขภาพหลายแอป เช่น Fitbit หรือแอปฝึกสมาธิอย่าง Headspace ใช้การส่ง "เตือนความจำแบบอ่อนโยน" ไม่ใช่เพื่อสั่ง แต่เพื่อสะกิดให้ผู้ใช้กลับมาออกกำลังกายหรือทำสมาธิ ซึ่งให้ผลลัพธ์ด้านพฤติกรรมดีกว่าการเตือนแบบตรง ๆ
[ข้อแนะนำและข้อควรระวัง]
- ควรมีจริยธรรมในการออกแบบ Nudge โดยการให้ข้อมูลอย่างครบถ้วน
- ใช้เฉพาะกับสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้อย่างแท้จริง เช่น สุขภาพ การเงิน การศึกษา
- หลีกเลี่ยงการใช้ Nudge เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวโดยไม่คำนึงถึงผู้ใช้
- ระวังเรื่อง "Manipulation" หรือการโน้มน้าวแบบไม่บริสุทธิ์ใจ
"Nudge Theory" เป็นแนวทางในการ "เข้าใจพฤติกรรมมนุษย์" และ "ออกแบบประสบการณ์" ให้ช่วยชี้นำการตัดสินใจในทางที่ดีขึ้นโดยที่ผู้คนยังมีเสรีภาพในการเลือกอย่างเต็มที่ ในยุคที่ทุกการตัดสินใจคือโอกาส Nudge คือเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการสร้างความเปลี่ยนแปลง โดยไม่ต้องเปลี่ยนใครอย่างรุนแรง
เรียบเรียงโดย: THE INSIDER
#พฤติกรรม

ชีวิตไม่เคยมีคำว่าง่ายไม่ว่ากับใครก็ตามไม่มีเส้นทางไหนโรยด้วยกลีบกุหลาบทุกความสำเร็จมีเบื้องหลังอยู่มากมายบางครั้งล้มเหล...
08/08/2025

ชีวิตไม่เคยมีคำว่าง่ายไม่ว่ากับใครก็ตาม
ไม่มีเส้นทางไหนโรยด้วยกลีบกุหลาบ
ทุกความสำเร็จมีเบื้องหลังอยู่มากมาย
บางครั้งล้มเหลว บางครั้งท้อและเหนื่อย
แต่ความท้าทายไม่ใช่สิ่งที่เราต้องหลีกหนี
แต่มันคือพื้นที่ให้เราได้พิสูจน์ตัวเราเอง
บางวันเราอาจรู้สึกอยากจะถอยกลับ
แต่ใจที่ไม่ยอมแพ้ของเรา
จะพาเราก้าวไปข้างหน้าเสมอ
เราอาจจะล้มเหลวหลายครั้งระหว่างทาง
แต่ความล้มเหลวไม่ใช่เรื่องน่าอาย
แต่ในทางตรงกันข้าม มันคือบทเรียนที่ล้ำค่า
เพราะคนที่ล้มแล้วลุก คือคนที่จะก้าวไปข้างหน้า
ไม่มีความสำเร็จใด ได้มาอย่างง่ายดาย
มันต้องแลกมากับหยาดเหงื่อและคราบน้ำตา
ทุกบททดสอบ คือการฝึกฝนจิตใจของเรา
ให้เราแข็งแกร่งและอดทนเพิ่มขึ้น
และสร้างความเชื่อมั่นให้กับตัวเองมากขึ้น
แม้บางครั้งเราอาจจะต้องยอมแพ้กับบางสิ่ง
เพื่อให้เราได้เรียนรู้สิ่งที่สำคัญมากกว่า
ความผิดพลาดอาจทำให้เรารู้สึกเจ็บ
แต่จิตใจที่เข้มแข็งของเรา จะค่อยๆ รักษาและเยียวยา
และผลักเราให้ก้าวไปข้างหน้า ต่อไป
อย่าให้ความกลัวมาฉุดรั้งความฝันของเราไว้
เพราะความฝันจะอยู่กับคนที่กล้าลงมือทำ
กล้าล้ม กล้าเจ็บ กล้าล้มเหลว และกล้าที่จะเริ่มต้นใหม่
ทุกความพยายาม ที่ไม่ยอมแพ้ จะนำมาซึ่งความสำเร็จ
เรียบเรียงโดย: THE INSIDER
#กล้าล้มเพื่อได้ลุก

เมื่อพูดถึงความสำเร็จของผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ชื่อของ "อูน-ชนิสรา วงศ์ดีประสิทธิ์" ผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์ Diamond Grains มั...
07/08/2025

เมื่อพูดถึงความสำเร็จของผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ชื่อของ "อูน-ชนิสรา วงศ์ดีประสิทธิ์" ผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์ Diamond Grains มักจะอยู่ในลิสต์ของใครหลายคน นอกจากนี้ยังทำให้หลายคนเข้าใจว่าเธอเป็นคนขยัน มี Passion ในการทำงาน แต่เบื้องหลังเป็นสิ่งที่ตรงกันข้าม เพราะเธอขับเคลื่อนสิ่งที่เรียกว่างาน ด้วยคำว่า "ความรับผิดชอบ"
แม้ภาพจำแบรนด์ของคุณอูน คือ "Diamond Grains" แต่ปัจจุบันเธอยังมีแบรนด์อีก 5 แบรนด์ที่วางจำหน่ายในตลาดแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Moleculogy, Home To My Heart, Compassoul, และ Puckchumm และอีกหนึ่งแบรนด์กำลังตามมา ทำให้หลายคนมองเธอว่าเป็นคนขยัน ทำหลาย ๆ สิ่งพร้อมกันได้ แต่คุณอูนกลับบอกว่า เธอไม่ใช่คนขยันเลย เพราะสิ่งที่ทำ ล้วนเกิดจาก "ความสนุก" เมื่อสนุกกับสิ่งที่ทำ จึงทำให้เต็มที่กับทุกสิ่งที่ทำ
อีกหนึ่งความเข้าใจผิดที่คนมักมองจากภายนอกคือ การที่คุณอูนสามารถเปลี่ยน Passion ให้กลายเป็น Profession ได้ แต่แท้จริงแล้ว คุณอูนบอกว่า หากสิ่งใดเรียกว่างาน "ไม่มีงานไหนที่ทำด้วย Passion" เพราะถ้าเป็น Passion จริง ๆ เธอจะทำโดยไม่ขอรับเงินเลย เช่น การร้องเพลง หรือการบรรยาย แต่หากจะเป็นที่ต้องรับเงิน ก็จะนำเงินทั้งหมดที่รับมาไปบริจาค เป็นการแยก "สิ่งที่รัก" ออกจาก "งานที่ต้องรับผิดชอบ" ช่วยให้เธอทำงานได้ แม้ในวันที่ไม่มีแรงหรือหมดพลัง
"งาน" ในมุมมองของคุณอูน คือสิ่งที่ต้องตอบโจทย์ "ลูกค้า" ไม่ใช่ตอบโจทย์ "ตัวเราเอง" ถ้าเราใส่ Passion เข้าไปมากเกินไป งานนั้นจะกลายเป็นสิ่งที่เราชอบ แต่ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาให้ใครเลย ซึ่งนั่นไม่ใช่หน้าที่ของธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจที่ต้องการการเติบโต ความชอบของเราควรเป็นแค่เครื่องมือเล็ก ๆ ในการทำงานเท่านั้น แต่สิ่งที่ควรเป็นหัวใจคือ "ความสามารถในการแก้ปัญหาให้ผู้อื่น"
คำว่า "Burnout" จึงเกิดขึ้นกับคุณอูนน้อยมาก เพราะเธอไม่ได้ทำงานด้วย "ไฟ" ที่จะหมดได้ แต่ทำด้วย "ความรับผิดชอบ" ที่ไม่เคยหายไป เธอบอกว่า งานที่ทำทุกวันนี้ ยังเหมือนวันแรก ตื่นเช้าคิดงาน ก่อนนอนเคลียร์งาน ทำทุกวันโดยไม่ต้องรอแรงบันดาลใจ เพราะรู้ว่า "ไม่มีเมื่อวานที่การันตีวันนี้ได้ และไม่มีพรุ่งนี้ที่จะการันตีอนาคตได้" จึงต้องใช้ทุกวันให้คุ้มค่า ให้สมกับความเชื่อใจที่ทีมงานและลูกค้ามอบให้
จุดเริ่มต้นของ "Diamond Grains" มาจากแนวคิดของคุณแพ็ค-วุฒิกานต์ (สามีของคุณอูน) ซึ่งอยากเริ่มต้นทำธุรกิจร่วมกัน ความโชคดีคือ "โลกธุรกิจนี้" ตรงกับสิ่งที่คุณอูนถนัด นั่นคือเรื่องของอาหาร — การได้ทำในสิ่งที่ชอบ อยู่ในโลกที่เราถนัด จะช่วยแก้ปัญหาได้อย่างต่อเนื่อง เพราะเธอเชื่อว่า "ถ้าต้องแก้ปัญหาในสิ่งที่ไม่ชอบ เราก็จะเกิดความท้อได้เร็ว" การเริ่มต้นธุรกิจจึงควรมาจากการเข้าใจว่า เราถนัดที่จะแก้ปัญหาอะไรให้กับคนอื่นมากกว่าคำว่า เรารักที่จะทำอะไร
ช่วงเริ่มต้นทำ Diamond Grains ไม่ได้สวยหรูอย่างที่คิด 3 ปีแรกเงียบมาก เพราะมัวแต่คิดว่าจะขายอะไรดี โดยไม่เคยถามว่า "ผู้บริโภคต้องการอะไร" จุดเปลี่ยนคือเมื่อเงินลงทุนเริ่มร่อยหรอ ถึงขั้นที่คุณแพ็คเอ่ยปากขอจำนำทองที่ได้ตอนเรียนจบ ความเข้าใจครั้งนั้นคือ "ธุรกิจ" ไม่ควรเริ่มจากความชอบเพียงอย่างเดียว เพราะลูกค้าไม่ได้จ่ายเงินให้ความชอบของเรา แต่จ่ายให้เรา เพราะเราช่วยเขาแก้ปัญหาได้จริง
อีกหนึ่งบทเรียนที่คุณอูนอยากแบ่งปัน คือเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างผู้ร่วมก่อตั้ง เป็นเรื่องปกติที่จะทะเลาะกันบ้าง แต่สิ่งที่ทำให้ร่วมงานกันได้ยาวนานคือ "ความเชื่อใจ" และ "การให้เกียรติ" ในสิทธิการตัดสินใจ ต่างคนสามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างเต็มที่ แต่ในแต่ละเรื่อง ต้องมีคนรับผิดชอบอย่างชัดเจน และเมื่อเกิดผลลัพธ์ขึ้น ไม่ว่าจะดีหรือร้าย คนที่ตัดสินใจต้องเป็นคนรับผิดชอบ ไม่ใช่การกล่าวโทษกันและกัน — นี่คือรากฐานของความร่วมมือที่ยั่งยืน
นอกจากนี้คุณอูนยังเล่าถึงการบริหารคนในองค์กรว่า หัวใจของทีม คือการมี "พื้นที่ปลอดภัย" ให้ลองผิดลองถูก พนักงานทุกคนในองค์กรของเธอรู้ว่า พื้นที่นี้ผิดพลาดได้ ล้มได้ ตราบใดที่ไม่ล้มซ้ำที่เดิม และต้องลุกขึ้นมาเก่งกว่าเดิมเสมอ พร้อมกับความมั่นคงทางการเงิน โอกาสในการพัฒนาทักษะ และความเคารพในทุกความคิด แม้จะเป็นไอเดียที่ฟังดูงี่เง่าที่สุด แต่ไอเดียนั้น อาจเป็นจุดเริ่มต้นของนวัตกรรมครั้งสำคัญ
คุณอูนทิ้งท้ายไว้ว่า สิ่งที่สำคัญกว่าการมองว่าตัวเราเองเป็น "Founder" คือคำถามที่ว่า "So, what did you found and find?" เราค้นพบอะไร แล้วการค้นพบของเรามีคุณค่ากับใคร?, เรากำลังสร้างคุณค่าให้กับโลก หรือแค่หาวิธีทำให้โลกยอมรับเรา? ดังนั้น เส้นทางของผู้ประกอบการจึงไม่ใช่แค่การหา Passion หรือทำสิ่งที่เรารัก แต่เป็นการสร้างสิ่งที่มีคุณค่า และรับผิดชอบสิ่งนั้นให้ได้ทุกวัน
เรียบเรียงโดย: THE INSIDER

ที่อยู่

Bangkok
10110

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ THE INSIDER - ดิ อินไซเดอร์ผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง THE INSIDER - ดิ อินไซเดอร์:

แชร์