THE INSIDER - ดิ อินไซเดอร์

THE INSIDER - ดิ อินไซเดอร์ BUSINESS MEDIA - สื่อธุรกิจที่ตั้งใจทำ
สำหรับคนตัวเล็กที่อยากเติบโต❤️
ติดต่องาน Media: [email protected]
ติดต่องาน วิทยากร: [email protected]

"ในยุคที่ทุกคนมีช่อง สิ่งที่ทำให้คุณแตกต่างคือ ความชัดเจนในสิ่งที่อยากส่งต่อ"— พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์ดูบทสัมภาษณ์เต็มได้ที่ล...
30/10/2025

"ในยุคที่ทุกคนมีช่อง สิ่งที่ทำให้คุณแตกต่างคือ ความชัดเจนในสิ่งที่อยากส่งต่อ"
— พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์
ดูบทสัมภาษณ์เต็มได้ที่ลิงก์ในคอมเมนต์

ชีวิตในยุคปัจจุบันเดินหน้าไปด้วยความรวดเร็ว ความกดดันจากการทำงานและการต้องบริหารจัดการทุกอย่างในเวลาเดียวกัน อาจทำให้เรา...
29/10/2025

ชีวิตในยุคปัจจุบันเดินหน้าไปด้วยความรวดเร็ว ความกดดันจากการทำงานและการต้องบริหารจัดการทุกอย่างในเวลาเดียวกัน อาจทำให้เรารู้สึกเหมือนกำลังวิ่งแข่งกับเวลาโดยไม่ได้หยุดพัก เหมือนกำลังต่อสู้กับเงาของตัวเอง ซึ่งบางครั้งการพยายามจัดการกับเวลามากเกินไปอาจทำให้เรารู้สึกว่าผลลัพธ์ที่ออกมานั้นไม่ได้ดีขึ้นเลย
แต่หากลองเปลี่ยนมุมมองใหม่สักหน่อย คุณอาจจะพบว่า "การบริหารพลังงาน" นั้นสำคัญกว่า "การบริหารเวลา" ผู้นำที่ประสบความสำเร็จไม่ได้แค่ทำงานหนัก แต่พวกเขาทำงานอย่างชาญฉลาด สร้างระบบที่ชัดเจนและยึดมั่นในกฎที่ไม่ยอมให้ความวุ่นวายเข้ามารบกวนชีวิตประจำวัน ซึ่งสามารถทำให้พวกเขาสามารถบริหารจัดการเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
[วางเป้าหมายเล็ก ๆ ที่ชัดเจน]
ลองเริ่มต้นวันด้วยการตั้งเป้าหมายที่เป็น "ชัยชนะ" สำหรับวันนี้ การตั้งคำถามว่า "ถ้าวันนี้ทุกอย่างพังไปหมด แต่มีแค่สิ่งเดียวที่จะสำเร็จ มันจะเป็นอะไร?" นี่แหละคือ MVD หรือ Minimum Viable Day ของคุณ ซึ่งจะช่วยกรองสิ่งที่รบกวนและทำให้คุณมีความชัดเจนตลอดทั้งวัน ทำให้คุณสามารถเริ่มต้นวันด้วยความชัดเจน ไม่ใช่ความวุ่นวาย
[15 นาทีเพื่อจัดการอีเมล]
อีเมลมีแนวโน้มจะขยายและยึดพื้นที่ของคุณในแต่ละวัน แต่คุณสามารถจัดการมันให้มีประสิทธิภาพได้ด้วยการตั้งเวลาแค่ 15 นาทีในการเช็คอีเมลในช่วงเช้าและเย็น คัดแยกอีเมลที่ต้องการการตอบสนองทันที อีเมลที่ต้องการการติดตาม และที่ไม่สำคัญให้ยกเลิกหรือส่งต่อไป
[ตั้งเวลาทำงานที่แน่นอน]
ก่อนเริ่มสัปดาห์ใหม่ ให้กำหนดเวลาในการทำงานให้ชัดเจนและปกป้องเวลานั้นเหมือนกับมันเป็นการนัดหมายสำคัญ อย่าปล่อยให้การประชุมที่ไม่ได้มีความสำคัญหรือข้อความจาก Slack มาทำให้คุณเสียเวลาไป คุณจะได้เวลาทำงานจริง ๆ ประมาณ 6-10 ชั่วโมงในแต่ละสัปดาห์
[เลือกแค่ 3 งานสำคัญ]
ในแต่ละวันเลือกงานที่มีผลกระทบสูงสุด 3 งาน ถ้าทำได้ครบแล้วก็ถือเป็นการชนะ ส่วนงานที่เหลือก็เป็นโบนัสไป สิ่งนี้จะช่วยให้คุณโฟกัสได้ดีขึ้นและลดความรู้สึกผิด คุณจะโฟกัสได้ดีขึ้น และประสบความสำเร็จได้เร็วขึ้น
[ล้างความคิดก่อนเริ่มงาน]
ทุกเช้าลองเขียนทุกสิ่งที่คุณคิด ไม่ว่าจะเป็นความกังวลหรือรายการงานที่ต้องทำ การล้าง(ทำความสะอาด)สมองก่อนทำงาน จะช่วยให้สมองของคุณพร้อมรับการทำงานได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้จะทำให้ความคิดที่ค้างคาในหัวลดลง และการทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น
[ปกป้องเวลาในการประชุม]
การประชุมเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาและพลังงานอย่างมาก ก่อนที่คุณจะรับคำเชิญในการประชุม ลองถามตัวเองว่า "เราต้องเข้าร่วมจริง ๆ หรือไม่?" หากคำตอบคือ "ไม่" ควรยกเลิกหรือปฏิเสธ ซึ่งอาจทำให้คุณสามารถจำนวนการประชุมที่ไม่จำเป็นได้มากถึง 50% ในแต่ละสัปดาห์
[กำหนดผลลัพธ์ล่วงหน้า]
ก่อนประชุมทุกครั้ง ให้ตั้งเป้าหมายว่าจะได้อะไรจากการประชุม เช่น "จะตัดสินใจเรื่องใด" หรือ "หาจุดร่วมในเรื่องใด" ถ้าไม่สามารถตั้งเป้าหมายได้ ก็ควรยกเลิกประชุมไปเลย สิ่งนี้จะทำให้หลีกเลี่ยงการเสียเวลาในการประชุมที่ไม่มีทิศทางได้
[จัดวันให้มีธีม]
ลองตั้งธีมให้แต่ละวัน เพื่อช่วยให้คุณสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น วันจันทร์อาจเป็นวันสำหรับการวางแผน วันอังคารเป็นวันที่จะทำงานร่วมกับทีม วันพุธสำหรับการทำงานเกี่ยวกับวิสัยทัศน์ เป็นต้น สิ่งนี้จะช่วยให้ลดการสับสนในงานและสร้างพลังงานในการทำงานด้วยความมุ่งเน้น
[ไม่ใช้โทรศัพท์ในตอนเช้า]
ลองใช้เวลา 90 นาทีแรกของวันด้วยการอ่าน วางแผน หรือออกกำลังกาย โดยไม่ให้โทรศัพท์มารบกวน จะทำให้คุณเริ่มต้นวันได้ด้วยความคิดและความมุ่งมั่น แทนที่จะเป็นการตอบโต้สิ่งที่เข้ามา
[เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับสัปดาห์ใหม่]
ทุกวันอาทิตย์หรือวันสุดท้ายของสัปดาห์ก่อนเริ่มสัปดาห์ใหม่ ให้ทบทวนเรื่องราวในสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่ามีอะไรที่ทำได้ดีบ้าง และอะไรที่ต้องปรับปรุง ตั้งเป้าหมายและวางแผนสำหรับสัปดาห์ใหม่ จะทำให้คุณเริ่มสัปดาห์ใหม่ด้วยความมั่นใจและควบคุมเวลาได้ดีมากขึ้น
[ทบทวนการทำงานที่สามารถทำให้เป็นระบบได้]
ทุกเดือนลองทบทวนว่าอะไรที่คุณทำซ้ำ ๆ ที่สามารถใช้ระบบ หรือผู้ช่วยเสมือนเข้ามาช่วยทำแทนได้ เช่น การติดตามลูกค้า การจัดการทางการเงิน หรือการตอบกลับอีเมล สิ่งนี้จะช่วยให้คุณประหยัดเวลาและลดความเหนื่อยล้าจากงานที่ต้องทำซ้ำ ๆ
[เตรียมตัวสำหรับการพักผ่อน]
ตั้งเวลา 1 ชั่วโมงก่อนเข้านอนเพื่อปิดงานทั้งหมด ทบทวนสิ่งที่ทำไปในวันนี้ และเขียนแผนสำหรับวันพรุ่งนี้ การหยุดการใช้โทรศัพท์และการลดแสงไฟ จะช่วยให้การนอนหลับได้ดีขึ้น ทำให้การฟื้นตัวในช่วงกลางคืนมีประสิทธิภาพ ส่งผลดีต่อการทำงานในวันถัดไป
[มอบหมายงานอย่างมีประสิทธิภาพ]
การมอบหมายงานไม่ใช่แค่การส่งต่อหน้าที่ แต่เป็นการมอบหมายการตัดสินใจด้วยการใช้กฎ เช่น ถ้าค่าใช้จ่ายไม่เกินเท่าใด และสอดคล้องกับสิ่งที่กำหนดไว้ ตัดสินใจทำได้เลย เป็นต้น สิ่งที่จะทำให้งานเดินหน้าได้ โดยที่บางอย่างไม่ต้องรอการอนุมัติจากคุณทุกอย่าง
[สร้างการสื่อสารที่ดีในทีม]
ใช้เวลา 10 นาทีในการโค้ชสมาชิกในทีม ถามคำถามที่ช่วยให้พวกเขาคิดออกว่าอะไรที่ติดขัด และสามารถปรับปรุงได้ จะทำให้ทีมงานรู้สึกมีส่วนร่วมและเติบโตไปพร้อม ๆ กับคุณ
[เริ่มวันใหม่ด้วยความสำเร็จเล็ก ๆ]
เริ่มต้นด้วยการทำสิ่งเล็ก ๆ เช่น การอาบน้ำเย็น ๆ การออกกำลังกาย หรือเขียนสิ่งที่อยากขอบคุณในชีวิต สิ่งเหล่านี้จะทำให้คุณรู้สึกเป็นคนที่ลงมือทำจริง ๆ การเริ่มต้นวันด้วยความสำเร็จเล็ก ๆ จะช่วยเพิ่มแรงบันดาลใจและความมั่นใจ
ด้วยพฤติกรรมเล็ก ๆ เหล่านี้ คุณสามารถประหยัดเวลาได้มากกว่า 20 ชั่วโมงในแต่ละสัปดาห์ ทำให้คุณสามารถมีเวลาเพิ่มขึ้นในการสร้างความสำเร็จในชีวิตและงาน และยังสามารถดูแลตัวเองได้ดีขึ้นในระยะยาว คำถามคือ คุณพร้อมหรือยังที่จะเริ่มเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเล็ก ๆ เพื่อชีวิตที่ดีกว่า?
เรียบเรียงโดย: THE INSIDER

29/10/2025

หลักการขยายธุรกิจ IHAVECPU ยิ่งขายได้ ยิ่งซื้อเยอะ #ธุรกิจออนไลน์ #การตลาดวันละคลิป #พ่อค้าออนไลน์ #รอบรู้เรื่องธุรกิจ #บทเรียนธุรกิจ

29/10/2025

“กว่าจะมาเป็นแบไต๋” คือเรื่องราวของพี่หนุ่ย–พงศ์สุข จากเด็กโชว์ผู้ใช้เงินล้านหมดใน 4 ปี สู่เจ้าของอาณาจักรสื่อที่ยืนหยัดกว่า 25 ปีในโลกที่เปลี่ยนเร็วที่สุด พี่หนุ่ยเล่ากลยุทธ์การทำสื่อให้รอดในยุคที่ทุกคนเป็น Creator ได้ ตั้งแต่การบาลานซ์ระหว่าง “สื่อ–สปอนเซอร์–คนดู” ไปจนถึงการเข้าใจอัลกอริทึ่มที่ไม่แน่นอน พร้อมแนวคิด “สื่อสร้างบ้าน” ที่เน้นคุณค่า ความรู้ และการสื่อสารเพื่อสังคม มากกว่าการไล่ตามไวรัล

เพราะสุดท้ายแล้ว สื่อที่ยั่งยืน...ไม่ใช่สื่อที่ดังที่สุด แต่คือสื่อที่ “คนยังอยากฟัง” เสมอ

ฟังเรื่องราวเต็ม ๆ ได้ในคลิปนี้!
#แบไต๋ #หนุ่ยพงศ์สุข

[Media Partner]‘Work Life Festival 2025’ มหกรรมสุดยิ่งใหญ่เพื่อคนทำงาน! กับการรวมทุกมิติของชีวิตการทำงานไว้ในที่เดียว พร...
29/10/2025

[Media Partner]
‘Work Life Festival 2025’ มหกรรมสุดยิ่งใหญ่เพื่อคนทำงาน! กับการรวมทุกมิติของชีวิตการทำงานไว้ในที่เดียว พร้อมแผนที่ที่จะทำให้การเดินทางทุกก้าวของคุณมีความหมาย
เข้าร่วมงานฟรี! กับเฟสติวัลสำหรับคนทำงานที่ครบเครื่องที่สุดแห่งปี ยกระดับชีวิตการทำงานในทุกมิติ ทั้ง Work, Wealth, Well-being และ We-creation ผ่านไฮไลต์ที่คุณห้ามพลาด!
[ 🌟 Highlight ภายในงาน ]
👉🏻 2 เวทีหลัก อัปเดตเทรนด์แห่งอนาคต
SkillForce Stage: พลิกโฉมเส้นทางอาชีพของคุณสู่ยุคใหม่กับธีม 'SKILL ROADMAP Revolution'
Make Rich Stage: คว้าโอกาสสร้างความมั่งคั่งไปกับคลื่นลูกใหม่ในธีม 'Riding the Next Wave to Riches'
👉🏻 4 + 1 Expo กว่า 60 บูท พร้อมโซนพิเศษจาก SET
รวมแบรนด์ที่คนทำงานต้องการ ไว้ในที่เดียวไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เงิน รวมถึงสุขภาพกายและจิตใจ
👉🏻 50+ Speakers
รวมพลเหล่าผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้คำแนะนำรอบด้าน ไม่พลาดทุกการอัปสกิล
👉🏻 40+ Sessions
คอนเทนต์จัดเต็มที่คนทำงานต้องรู้
ทั้งทักษะเรื่องงาน เงิน และทักษะเรื่องชีวิต
เข้าร่วมงานฟรี ลงทะเบียนได้แล้ววันนี้! > https://www.zipeventapp.com/e/Work-Life-Festival-2025?ref=MP

แล้วพบกันที่
🗓️ 7-8 พฤศจิกายน 2568
📍 Samyan Mitrtown

"ดีไซน์ที่ดี ไม่ได้เริ่มจากแรงบันดาลใจ แต่มันเริ่มจาก ปัญหาจริงของผู้คน" — เป็นประโยคสั้น ๆ จากคุณเปรี้ยว-อาทิตย์ จันทรา...
28/10/2025

"ดีไซน์ที่ดี ไม่ได้เริ่มจากแรงบันดาลใจ แต่มันเริ่มจาก ปัญหาจริงของผู้คน" — เป็นประโยคสั้น ๆ จากคุณเปรี้ยว-อาทิตย์ จันทรางศุ ได้พูดสะกิดความคิดของ member ที่เข้าฟังใน XCLUB Master Class เพราะมันตีแสกกลางแนวคิดของคนทำธุรกิจยุคใหม่ว่า "ดีไซน์" ไม่ใช่เรื่องของความสวยหรือเท่เพียงอย่างเดียว แต่เป็น "เครื่องมือเชิงกลยุทธ์" ที่ทำให้ธุรกิจเติบโตได้จริง
เมื่อเวลาผ่านไป บทบาทของ "ดีไซน์" ในองค์กรก็เปลี่ยนจากการออกแบบเสื้อผ้า มาเป็นการออกแบบกลยุทธ์ทางธุรกิจ และนั่นคือเหตุผลที่ GQ มีตำแหน่ง Chief Design Officer (CDO) ซึ่งไม่ใช่แค่หัวหน้าฝ่ายออกแบบ แต่คือคนที่ต้อง "มองอนาคตของธุรกิจผ่านสายตาแห่งดีไซน์"
CDO ต้องตอบให้ได้ว่า "แบรนด์จะไปทางไหนต่อ" ไม่ใช่แค่ "จะออกแบบอะไรต่อ"
คุณเปรี้ยวอธิบายความแตกต่างระหว่าง Head of Design กับ Chief Design Officer ว่า...
- Head Design คือคนที่ทำให้สิ่งที่วางแผนเกิดขึ้นจริง
- CDO คือคนที่มองว่า "เราควรจะไปทางไหน" ตั้งคำถามกับอนาคตของแบรนด์ตลอดเวลา
บทบาทนี้จึงเป็นมากกว่าคนที่ออกแบบอยู่ที่โต๊ะ แต่ต้องลงพื้นที่เพื่อ "รับฟัง" จากคนจริง ๆ ฟังให้ลึก ฟังให้มากพอ จนเข้าใจชีวิตของผู้ใช้สินค้าอย่างแท้จริง
"การฟัง" สำหรับคุณเปรี้ยวไม่ใช่แค่การรับรู้เสียง แต่เป็นการสังเกตแบบเชิงลึก หมายถึงความอยากรู้อยากเห็นในทุกสิ่งที่เกี่ยวกับผู้คน เพราะทุก "Pain Point" ที่เจอ อาจกลายเป็น "โอกาสทางธุรกิจ" ที่ซ่อนอยู่
และตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือ "GQ Pro Med Scrubs" — ชุดกาวน์แพทย์ที่ออกแบบจากการพูดคุยเชิงลึกกับคุณหมอหลายร้อย หลายพันคน
จากการพูดคุยนั้น GQ พบว่า หมอแทบทุกคนมีของยึดเหนี่ยวจิตใจ เช่น พระเครื่อง แต่กลับไม่มีจุดที่เหมาะสมในการพกพาในระหว่างการทำงาน จะใส่กระเป๋ากางเกงก็ไม่เหมาะสม จะวางไว้ในกระเป๋าสะพายก็ไม่ปลอดภัย
GQ จึงเพิ่ม "กระเป๋าเล็ก ๆ บริเวณอกข้างซ้าย" สำหรับเก็บสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่ตอบโจทย์ทั้งประโยชน์การใช้งานและความรู้สึกที่ดี เพราะกระเป๋าอยู่ใกล้หัวใจ — รายละเอียดเล็ก ๆ ที่เปลี่ยน "เสื้อผ้า" ให้กลายเป็น "ความรู้สึก"
"Insight ที่ดี" จะพาเราไปสู่ Innovation ที่ใช่ และสร้าง Emotional Connection ที่อยู่ยาว นั่นคือสิ่งที่คุณเปรี้ยวเรียกว่า "2I 1E Framework" (Insight + Innovation + Emotional)
2I 1E Framework เป็นกรอบความคิดของทีมดีไซน์ของ GQ
- Insight: ฟังและเข้าใจปัญหาจริงของผู้คน
- Innovation: แปลง Insight เป็นการออกแบบใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์
- Emotional: เชื่อมความรู้สึกให้เกิดความผูกพันระหว่างคนกับแบรนด์
เมื่อทั้งสามวงกลมมาบรรจบกัน นั่นคือ "จุดกึ่งกลางของดีไซน์ที่ขายได้" หรือ Design That Sells
สิ่งที่น่าสนใจคือ GQ ไม่เคยตั้งเป้าว่าต้องออกสินค้าใหม่กี่ชิ้นต่อปี เพราะเป้าหมายไม่ใช่ "ออกใหม่ให้มาก" แต่เป็น "แก้ปัญหาได้จริง"
"ทุกครั้งที่เราแก้ปัญหาให้ลูกค้าได้ เราไม่ได้แค่ยอดขาย แต่เราได้ Trust และ Loyalty ซึ่งเป็นรากฐานของการเติบโต"
คำพูดนี้เป็นสิ่งที่สะท้อนความเข้าใจลึกซึ้งใน Business Strategy ว่า "ความยั่งยืน" ไม่ได้มาจากเทรนด์ แต่มาจาก "การแก้ปัญหาที่ไม่หมดอายุ"
คุณเปรี้ยวย้ำว่า GQ ไม่วิ่งตามเทรนด์ เพราะเทรนด์มาแล้วก็ไป แต่ "ปัญหาจะอยู่ตลอดไป" ถ้าไม่มีคนแก้ นั่นคือเหตุผลที่เป็นคำถามประจำของ GQ คือ "What's Next?" คำถามที่ดูเรียบง่ายแต่ทรงพลัง เพราะมันบังคับให้ทุกคนในองค์กรไม่หยุดแค่การประชุม แต่ต้องคิดต่อว่า "แล้วต่อไปเราจะทำอะไร"
ในมุมมองของการสร้างทีม คุณเปรี้ยวมองว่าทีมที่ดีคือ "เพื่อนร่วมรบ" ไม่ใช่ "ลูกน้องกับเจ้านาย" แต่ละคนไม่จำเป็นต้องเก่งทุกอย่าง แค่เก่งในสิ่งที่ทำ แล้วประกอบเป็นภาพใหญ่รวมกัน
"ศัตรูจริงของทีมคือปัญหาภายนอก แต่เรามักแพ้เพราะรบกันเอง" ผู้นำจึงต้องจัดการ "ศึกใน" ก่อนออกไปรบในตลาด
อีกหนึ่งแนวคิดที่คุณเปรี้ยวเน้นคือ "ความจริงใจต้องสื่อสารออกไป" เพราะในยุคที่ทุกคนทำภาพสวยได้หมด ความจริงใจจึงกลายเป็น "ความแตกต่างที่แท้จริง" แม้แต่ "ถุงใส่สินค้า" GQ ยังมองว่าเป็น "Free Billboard of the Brand" ที่ต้องสื่อสารสาระสำคัญที่สุดของแบรนด์ออกไป
ในด้านการตลาด GQ ใช้งบอย่างมีเป้าหมาย ไม่สื่อสารกับทุกคน แต่สื่อสารกับ "คนที่มีปัญหา" ที่แบรนด์ตั้งใจจะแก้ปัญหา เพราะ "เห็น ไม่เท่ากับ ซื้อ" และสิ่งที่แบรนด์ต้องการคือ "คนที่เห็นปัญหาตัวเองในสิ่งที่เราทำ"
สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างคือ GQ ไม่ออกสินค้าใหม่เพื่อให้ "ลูกค้าเก่าซื้อของใหม่" แต่เพื่อให้ "ลูกค้าใหม่ซื้อของเดิมที่มีอยู่" แนวคิดนี้สะท้อนการเติบโตอย่างยั่งยืน ที่ไม่ได้สร้างยอดขายระยะสั้น แต่ขยายฐานลูกค้าอย่างต่อเนื่อง
สุดท้าย คุณเปรี้ยวฝากไว้ว่า แม้ว่า "นวัตกรรม" จะมักมาพร้อมกับ "ความล้มเหลว" แต่สำหรับ GQ ถ้าผลิตภัณฑ์ไหนผ่านกระบวนการ Insight + Innovation + Emotional แล้วออกวางตลาด แทบจะไม่ล้มเหลว แต่ให้ความล้มเหลวเกิดขึ้นระหว่างทางให้มากที่สุด
From Insight to Impact
- Design Begins with Listening: ฟังให้ลึก จนเข้าใจชีวิตจริงของคน
- Don’t Follow Trend, Follow Problem: เทรนด์มาแล้วไป แต่ปัญหาจะอยู่เสมอ
- Trust is the Ultimate KPI: เมื่อแบรนด์แก้ปัญหาได้จริง ความเชื่อใจจะขายของแทนคุณ
"แบรนด์ที่เข้าใจคนที่สุด คือแบรนด์ที่ไม่ต้องตะโกนเพื่อขายของ" นี่เป็นประโยคที่สามารถสรุปทุกสิ่งในบทเรียน "Design That Sells" ได้ดีที่สุด
เรียบเรียงโดย: THE INSIDER

28/10/2025

ทำธุรกิจ ต้องมองหาช่องว่างในตลาดอยู่เสมอ #ขนมไข่ #แม่ค้าออนไลน์ #บทเรียนธุรกิจ #รอบรู้เรื่องธุรกิจ #ธุรกิจออนไลน์ #การตลาดวันละคลิป

28/10/2025

"ต๊อบ เถ้าแก่น้อย" ลาออกจากตำแหน่งกรรมการ และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เถ้าแก่น้อยฯ แล้ว กรณีถูก ก.ล.ต. สั่งปรับเงินฐาน Insider Trading

หากลองสังเกต ทุกวันนี้หลาย ๆ แบรนด์เริ่มจับมือกัน ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์แฟชั่นกับศิลปิน ไปจนถึง Tech Starup กับองค์กรใหญ่ เห...
27/10/2025

หากลองสังเกต
ทุกวันนี้หลาย ๆ แบรนด์เริ่มจับมือกัน ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์แฟชั่นกับศิลปิน ไปจนถึง Tech Starup กับองค์กรใหญ่ เหตุผลไม่ใช่แค่อยากมีเสียงที่ดังขึ้น แต่มันคือ "ทางรอดร่วมกัน" ในโลกที่หมุนเร็วเกินกว่าคนเดียวจะวิ่งทัน
และในยุคนี้ไม่มีองค์กรไหนที่มี "ทุกอย่างที่พร้อม" อีกต่อไป เพราะเราทุกคนมีทรัพยากรที่จำกัด ทั้งเวลา เงิน ทีม หรือแม้แต่พลังความคิด สิ่งที่ฉลาดกว่าการพยายามทำทุกอย่างเอง คือ "เราถนัดอะไร" แล้ว "จับมือไปกับคนที่เก่งในสิ่งที่เรายังขาด"
เพราะในโลกที่แข่งขันสูง "Core Strenghth" กลายเป็นจุดเริ่มต้นของ "Collaboration" เมื่อเราโฟกัสในสิ่งที่เราทำได้ดีที่สุด แล้วให้พาร์ตเนอร์มาช่วยเสริมในจุดที่เราทำได้ไม่ดี เรากำลังสร้างสิ่งที่เรียกว่า "Win-Win Ecosystem" หรือ ระบบนิเวศที่ทุกคนสำเร็จไปด้วยกัน
คิดง่าย ๆ เหมือนการเล่นดนตรี เราอาจจะเก่งกีตาร์ แต่ไม่จำเป็นต้องร้องเพลงเองทุกเพลง การดึงนักร้องดี ๆ มาเสริม ทำให้ทั้งวงฟังดูดีกว่า และสุดท้าย "เพลง" นั่นแหละ คือสินค้าที่ผู้ฟังอยากได้
แต่ก่อนจะร่วมมือกับใคร สิ่งแรกที่ต้องชัดเจนคือ "เป้าหมายทางธุรกิจ (Business Goal)" การร่วมมือที่ดีต้องตอบคำถามให้ได้ว่า "สิ่งนี้ขายได้ไหม?" และ "มันสร้างรายได้ให้ทั้งคู่หรือเปล่า?" ไม่ใช่แค่เราอยู่รอด แต่ต้อง "รอดและชนะไปด้วยกัน"
และอย่าลืมว่า การร่วมมือไม่ได้จำกัดอยู่แค่ระหว่างองค์กร ลูกค้าของเราก็สามารถเป็น "พาร์ตเนอร์" ได้เช่นกัน หลายแบรนด์สร้างพลังร่วมจากการเปิดให้ลูกค้ามีส่วนร่วม เช่น Co-create Product หรือทำ Community Marketing จนกลายเป็นฐานแฟนที่แข็งแกร่ง
แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าใครเหมาะสม?
เริ่มจากคนที่มี "กลุ่มลูกค้าใกล้เคียงกัน" แต่มี "ความเชี่ยวชาญที่แตกต่างกัน" อย่าลืมประเมิน "ต้นทุน" ของการร่วมมือ ทั้งเวลา เงิน และพลังงาน เพื่อดูว่ามันคุ้มค่ากับผลลัพธ์แบบ Win-Win หรือไม่
Collaboration ที่ดี ไม่ใช่ 1+1 = 2 (แต่มันควรเป็น 1+1>2) เพราะเราไม่ได้แค่รวมทรัพยากร แต่รวม "พลัง" และ "คุณค่า" ที่แต่ละฝ่ายมี ให้กลายเป็นสิ่งใหม่ที่ไม่มีใครทำได้มาก่อน
อย่างไรก็ตาม การจะร่วมมือกับใครสักคน ต้องเริ่มจาก "ความรู้จัก" รู้จักเขาดีพอหรือไม่ เข้าใจสไตล์การทำงานของเขาหรือยัง การ Collab ก็ไม่ต่างจากการเลือกเพื่อนร่วมทีม ต้อง "ชอบ" และ "ไว้ใจได้"
ในระยะยาว "Trust" คือทุนสำคัญที่สุดของทุกความร่วมมือ ต่อให้มี Framework ดีแค่ไหน แต่ถ้าไม่มีความไว้ใจ มันย่อมจะพังกลางทางแน่นอน
และแน่นอน ทุกความร่วมมือมีปัญหา เหมือนทำงานกลุ่ม ถ้าคนหนึ่งช้า ทั้งทีมก็จะช้า ดังนั้น mindset เป็นสิ่งสำคัญ เพราะ "เมื่อใครมีปัญหา เราทุกคนมีส่วนต้องช่วยแก้ไข" ไม่ใช่โยนความรับผิดชอบให้คนอื่น
อีกปัญหาคือ "ความเสียดายโอกาส" เพราะหลายองค์กรลังเลจะร่วมมือ เพราะคิดว่า "เราทำเองก็ได้" แต่สุดท้ายกลายเป็นคู่แข่งกันเสียเอง เพราะเราพยายามทำทุกอย่างให้เหมือนอีกฝ่าย ทั้งที่จริง ๆ แล้ว "จับมือกัน" น่าจะได้ผลลัพธ์ที่ใหญ่กว่า
เมื่อเวลาผ่านไป บางครั้งเป้าหมายของแต่ละฝ่ายก็เปลี่ยน สิ่งสำคัญคือ "ต้องคุยกันใหม่" ว่ายังมี Common Goal ร่วมกันอยู่หรือไม่ ถ้าไม่ ก็ถึงเวลาที่จะต้องแยกทางอย่างมืออาชีพ แล้วมองหาพาร์ตเนอร์ใหม่ที่สอดคล้องกับเป้าหมายเรา
สิ่งหนึ่งที่มักถูกมองข้าม "การแบ่งหน้าที่ตั้งแต่วันแรก" เราควรเคลียร์กันให้ชัดว่า ใครทำอะไร ใครตัดสินใจเรื่องไหนได้ การไม่คุยเรื่องนี้ตั้งแต่แรก ก็เหมือนวางระเบิดเวลาไว้กลางโต๊ะประชุม
ไม่ใช่แค่การร่วมมือระหว่างองค์กรเท่านั้น แม้แต่การทำงานข้ามทีม (Cross-function) ภายในบริษัท ก็ต้องใช้หลักเดียวกัน เพราะทุกคนต่างมีเป้าหมายเดียวกัน นั่นคือสิ่งที่ "ทำให้องค์กรสำเร็จ"
ในมุมของผู้บริหาร ต้องมีหน้าที่ "อธิบายให้ทีมเข้าใจ" ว่าการร่วมมือนี้เกิดขึ้นเพื่ออะไร ใครรับผิดชอบส่วนไหน ใครต้องช่วยใคร และเป้าหมายปลายทางคืออะไร ถ้าทุกคนเข้าใจ "Why" การทำงานก็จะมีความลื่นไหลมากขึ้น
และเมื่อเจอปัญหา อย่าลืมกลับมาที่คำว่า "เราเริ่มร่วมมือกันเพราะอะไร" ถ้าเหตุผลนั้นยังสำคัญอยู่ ก็ยังมีเหตุผลให้ไปต่อ
สุดท้าย การหาพาร์ตเนอร์ ก็ต้องการ "เปิดโลก" โดยการออกจาก comfort zone ของธุรกิจตัวเอง เพื่อไปเจอ "โลกใบใหม่" ทั้งคนใหม่ อุตสาหกรรมใหม่ และไอเดียใหม่ เพราะบางครั้งโอกาสดี ๆ ก็มาจาก "เพื่อนของเพื่อน" หรือ "คู่ค้าของคู่ค้า" อย่าปิดประตูไว้แค่ในอุตสาหกรรมของตัวเอง เพราะโลกของการ Collaboration ไม่มีเส้นแบ่งตายตัวอีกแล้ว
ในยุคที่ทุกอย่างเปลี่ยนเร็วเกินไป การแข่งคนเดียว คือความเสี่ยงแต่การร่วมมือคือ “คันเร่ง” ที่ทำให้คุณวิ่งได้ไกลกว่าเดิม
เรียบเรียงโดย: THE INSIDER

27/10/2025

CPU ราคา 700 บาท ใน USA จะนำเข้ามาขายในไทยยังไง #การตลาดวันละคลิป #ธุรกิจออนไลน์ #พ่อค้าออนไลน์ #รอบรู้เรื่องธุรกิจ

25/10/2025

ถ้าทำแบบเดิม ผลลัพท์ก็เหมือนเดิม #บทเรียนธุรกิจ #รอบรู้เรื่องธุรกิจ #พ่อค้าออนไลน์ #ธุรกิจออนไลน์ #การตลาดวันละคลิป

สถิตอยู่ในใจตราบนิรันดร์ น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้ข้าพระพุทธเจ้า ทีมงาน THE INSIDER - ดิ อิน...
25/10/2025

สถิตอยู่ในใจตราบนิรันดร์

น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้

ข้าพระพุทธเจ้า
ทีมงาน THE INSIDER - ดิ อินไซเดอร์

ที่อยู่

Bangkok
10110

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ THE INSIDER - ดิ อินไซเดอร์ผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง THE INSIDER - ดิ อินไซเดอร์:

แชร์