THE STANDARD WEALTH

THE STANDARD WEALTH สำนักข่าวเศรษฐกิจ ธุรกิจ การเงิน และการลงทุน โดยทีมข่าว THE STANDARD

01/12/2025

เด็กจบใหม่กำลังเผชิญกับการหางานที่ ‘ยากลำบากที่สุดในรอบทศวรรษ’ บริษัทเลิกจ้างงานไปแล้ว 1.1 ล้านตำแหน่ง

UPDATE: ส.อ.ท. ชงตั้งกองทุน รัฐ 50%-โรงงาน 50% แนะรัฐบาลยกระดับงบบริหารน้ำ ‘วาระชาติ’ เร่งฟื้นฟูธุรกิจ 3 ระยะส.อ.ท. แนะร...
01/12/2025

UPDATE: ส.อ.ท. ชงตั้งกองทุน รัฐ 50%-โรงงาน 50% แนะรัฐบาลยกระดับงบบริหารน้ำ ‘วาระชาติ’ เร่งฟื้นฟูธุรกิจ 3 ระยะ
ส.อ.ท. แนะรัฐบาลยกระดับบริหารจัดการน้ำ ‘วาระแห่งชาติ’ จัดตั้งงบระยะยาวแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง พร้อมกำหนด ‘ตัวชี้วัดแห่งชาติ’ (NATIONAL KPI)
แนะเร่งเยียวยาธุรกิจ 3 ระยะ ตั้งกองทุนฟื้นฟูด่วน ‘รัฐ 50%-โรงงาน 50%’
วันที่ 1 ธ.ค. เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) พร้อมคณะผู้บริหารและพนักงาน จัดเตรียมถุงยังชีพกว่า 1,000 ชุด พร้อมด้วยสิ่งของอุปโภคบริโภคที่จำเป็นจำนวนมาก เพื่อนำไปมอบให้ยังสำนักงานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดสงขลา และศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 11 เพื่อกระจายความช่วยเหลือสู่พื้นที่ประสบภัย
โดยสิ่งของที่ได้รับการบริจาคในครั้งนี้มีทั้งบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาหาร วันนี้ ส.อ.ท. ยังได้ลงพื้นที่สำรวจความเสียหายของสมาชิกในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งพบว่ามีโรงงานอุตสาหกรรมใน 9 จังหวัด
ได้แก่ สงขลา สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ตรัง ปัตตานี ยะลา นราธิวาส พัทลุง และสตูล ได้รับผลกระทบรวมมูลค่ากว่า 3 ล้านบาท จึงเตรียมร่วมหารือร่วมกับภาคส่วนต่างๆ เพื่อติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และวางแนวทางสนับสนุนการฟื้นฟูอย่างเป็นระบบ
เกรียงไกร ระบุว่าเพื่อให้การฟื้นฟูดำเนินไปอย่างเป็นขั้นตอน ส.อ.ท. จึงจัดทำข้อเสนอแนวทางการช่วยเหลือแบ่งออกเป็น 3 ระยะ เริ่มจาก
มาตรการช่วยเหลือเร่งด่วน (ช่วงน้ำลด - 3 เดือน)
1.1 กองทุนซ่อมเครื่องจักรเร่งด่วน
▪️เงินสนับสนุนเฉพาะกิจสำหรับซ่อมเครื่องจักร/ระบบไฟฟ้า
▪️ใช้รูปแบบ MATCHING FUND เช่น ‘รัฐ 50% - โรงงาน 50%’
▪️สามารถลดช่วงเวลาที่สายการผลิตหยุดทำงาน (DOWNTIME) และช่วยให้โรงงานกลับมาผลิตเร็วขึ้น
1.2 จัดทีมวิศวกรเคลื่อนที่ (INDUSTRIAL FAST RESPONSE TEAM) และโครงการ ‘RE-EQUIPMENT’ ซ่อม/เปลี่ยนอุปกรณ์ราคาประหยัด
▪️ส่งทีมผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้คำปรึกษาด้านการฟื้นฟูเครื่องจักรและอุปกรณ์ รวมทั้งช่วยจับคู่ (MATCHING) กับบริษัทที่จำหน่ายเครื่องจักร อุปกรณ์ และวัตถุดิบในราคาพิเศษ
▪️ภาครัฐสนับสนุนงบประมาณผ่านสถาบันอาชีวะ ในพื้นที่ดำเนินโครงการ ‘RE-EQUIPMENT’ ซ่อม/เปลี่ยนอุปกรณ์ราคาประหยัด
1.3 โครงการ ‘พี่ช่วยน้องอุตสาหกรรมไทย’ (INDUSTRIAL EQUIPMENT SHARING PROGRAM)
▪️บริษัทของพี่ดำเนินโครงการแบ่งปันเครื่องมือ–เครื่องจักรที่ไม่ได้ใช้งานให้แก่ ‘บริษัทน้อง’ ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติเพื่อช่วยให้สามารถกลับมาดำเนินกระบวนการผลิตได้อย่างรวดเร็ว ลดระยะเวลา DOWNTIME ลดความสูญเสียทางเศรษฐกิจ และเสริมความเข้มแข็งให้ภาคอุตสาหกรรมไทยทั้งระบบ โดยมีรูปแบบการดำเนินงาน 3 แนวทาง ได้แก่
1) การแบ่งปัน (SHARING)
2) การให้เช่า (LEASING)
3) การใช้งานร่วมกันผ่าน (POOL) โดยโครงการนี้จะดำเนินการควบคู่กับการสำรวจ ความต้องการและศักยภาพเพื่อ MATCHING รวมถึงการบริหารจัดการโลจิสติกส์และการติดตั้งเครื่องจักร

▪️บริษัทพี่จะสนับสนุนส่วนลดค่าเครื่องจักร อุปกรณ์ และวัตถุดิบ เพื่อให้กับบริษัทน้องที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย เช่น มอเตอร์ไฟฟ้า เครื่องปั๊มลม อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับระบบไฟฟ้า เครื่องมือช่าง เป็นต้น
1.4 สินเชื่อ SOFT LOAN เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย อัตราดอกเบี้ยต่ำพิเศษ 0.1-1%
▪️ปล่อยสินเชื่อ SOFT LOAN ให้เฉพาะผู้ประกอบการในพื้นที่ภัยพิบัติ อัตราดอกเบี้ยต่ำพิเศษ 0.1-1%
▪️วงเงินสำหรับทุนหมุนเวียน ซ่อมแซม ซื้อวัตถุดิบ
▪️ระยะปลอดชำระเงินต้น 12-18 เดือน
1.5 จัดตั้งศูนย์จัดการขยะชั่วคราว เพื่อทำหน้าที่รวบรวม-คัดแยก-พัก-ขนส่ง-กำจัด ขยะหลังน้ำลดในพื้นที่ประสบอุทกภัย
1.6 เครื่องจักรและวัตถุดิบสามารถย้ายออกจากโรงงานไปยังสถานที่อื่นหรือส่งออกในกรณีฉุกเฉินได้ โดยขออนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) สามารถกระทำได้ภายหลัง
▪️สามารถขนย้ายเครื่องจักรและวัตถุดิบออกไปยังพื้นที่ปลอดภัย หรือส่งออกไปยังบริษัทเครือข่ายต่างประเทศโดยไม่ต้องรออนุมัติล่วงหน้า โดยผู้ประกอบการสามารถจัดทำบัญชีรายการเครื่องจักร/วัตถุดิบที่เคลื่อนย้าย พร้อมเอกสารประกอบ เพื่อใช้ยื่นแจ้ง BOI ภายหลัง โดยอนุญาตให้ยื่นรายงานย้อนหลังภายในระยะเวลาที่กำหนด ภายใน 15-30 วันหลังเหตุการณ์สงบ
มาตรการระยะกลาง (3–12 เดือน)
1.1 โครงการช่วยค่าประกันภัยน้ำท่วม
▪️รัฐช่วยสมทบเบี้ยประกันภัยน้ำท่วม 30-50%
▪️ลดความเสี่ยง และช่วยให้ธุรกิจเข้าถึงประกันได้ง่ายขึ้น
▪️ลดภาระงบเยียวยารัฐในอนาคต
1.2 สนับสนุนการย้ายเครื่องจักร/คลังสินค้าไปพื้นที่ปลอดภัย
สนับสนุนเงินชดเชยค่าโลจิสติกส์ ค่าใช้จ่ายในการย้ายที่อยู่ (RELOCATION) และค่าปรับผังโรงงาน
กระตุ้นให้โรงงานย้ายระบบวิกฤต (CRITICAL SYSTEM) ให้สูงขึ้นหรือไปตำแหน่งเสี่ยงต่ำ
1.3 สนับสนุนแรงงาน
▪️เงินอุดหนุนค่าแรงชั่วคราวให้โรงงานที่ยังไม่กลับมาผลิตเต็มกำลัง
▪️ฝึก RESKILL และ UPSKILL แรงงานช่วงโรงงานหยุด
1.4 ยกเว้นอากรนำเข้าวัตถุดิบที่นำเข้า ตามมาตรา 36 ที่ได้รับความเสียหายจากเหตุอุทกภัย
▪️ยกเว้นอากรนำเข้าทดแทนวัตถุดิบที่เสียหาย โดยอนุญาตให้ผู้ประกอบการที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม สามารถนำเข้าวัตถุดิบใหม่มาทดแทนในปริมาณที่เทียบเท่าของที่สูญเสีย โดยไม่ต้องชำระอากรขาเข้า เพื่อเร่งฟื้นฟูการผลิต
1.5 มาตรการด้านภาษี
▪️ยกเว้นภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ประจำปี 2569 สำหรับผู้ประสบอุทกภัย จากเดิมที่ขยายเวลาเก็บภาษีที่ดินสิ่งปลูกสร้าง ปี 2569 ไป 6 เดือน
▪️หักค่าเสื่อมราคาเครื่องจักรซ่อมแซมได้เร็วขึ้น (ACCELERATED DEPRECIATION)
▪️ลดหย่อนภาษีสำหรับโครงการสร้างการป้องกันอุทกภัย (FLOOD PROTECTION)
▪️ยกเว้นภาษีนำเข้าอะไหล่-เครื่องจักรที่ใช้ซ่อมโรงงาน
1.6 มาตรการส่งเสริมฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่นในพื้นที่ภาคใต้
▪️โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวภาคใต้
▪️มหกรรมไลฟ์ขายสินค้าช่วยชาวใต้โดยอินฟลูเอนเซอร์หรือติ๊กต็อกเกอร์
▪️โครงการจ้างงานเร่งด่วน (CASH-FOR-WORK) ในงานซ่อมแซมชุมชน และส่งเสริมอาชีพตามศักยภาพพื้นที่
▪️ส่งเสริม E-COMMERCE ข้ามแดนสำหรับสินค้าท้องถิ่น
มาตรการระยะยาว (1 ปีขึ้นไป)
ส.อ.ท. เสนอให้มีการยกระดับการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและการบริหารจัดการน้ำให้เป็น ‘วาระแห่งชาติ’ โดยมุ่งเน้น จัดตั้งระบบบริหารจัดการน้ำแบบรวมศูนย์และบูรณาการทุกหน่วยงาน ผลักดันงบประมาณและความต่อเนื่องระดับรัฐบาล เช่น จัดตั้งงบระยะยาวแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง การกำหนด ‘ตัวชี้วัดแห่งชาติ’ (NATIONAL KPI) วัดความสำเร็จ

01/12/2025

อโกด้า (Agoda) เตรียมย้ายสำนักงานสู่ อาคาร วัน แบงค็อก ทาวเวอร์ 5 โดยจะเช่าพื้นที่กว่า 26,000 ตารางเมตร ครอบคลุม 7 ชั้น รองรับพนักงานกว่า 4,000 คน ทำให้เป็นหนึ่งในผู้เช่าพื้นที่สำนักงานรายใหญ่ที่สุดของโครงการ

UPDATE: ‘แบงก์ชาติ’ จ่อออกมาตรการสกัดบาทแข็ง! เล็งบังคับร้านทองใหญ่ เตรียมผ่อนคลายเกณฑ์เงินได้ต่างประเทศ‘แบงก์ชาติ’ จ่ออ...
01/12/2025

UPDATE: ‘แบงก์ชาติ’ จ่อออกมาตรการสกัดบาทแข็ง! เล็งบังคับร้านทองใหญ่ เตรียมผ่อนคลายเกณฑ์เงินได้ต่างประเทศ
‘แบงก์ชาติ’ จ่อออกมาตรการสกัดบาทแข็ง โดยเสนอ ‘คลัง’ ขยายวงเงินมีรายได้ต่างประเทศ ที่ไม่ต้องโอนกลับไทยเป็น 10 ล้านดอลลาร์ต่อครั้ง (จากไม่เกิน 1 ล้านดอลลาร์ต่อครั้ง) หวังเพิ่มความคล่องตัวให้ภาคเอกชน-ลดแรงกดดันเงินบาท เล็งบังคับร้านทองใหญ่รายงานธุรกรรม พร้อมกำชับให้สถาบันการเงินเพิ่มความเข้มงวดก่อนการรับทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศที่เกี่ยวกับทองคำ
วันนี้ (1 ธันวาคม) พิมพ์พันธ์ เจริญขวัญ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นประมาณ 1% จากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ตามการปรับคาดการณ์แนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ เป็นสำคัญ นอกจากนี้เงินบาทยังได้รับแรงกดดันเพิ่มเติมจากแรงขายเงินตราต่างประเทศของผู้ส่งออก และเงินทุนไหลเข้าตลาดพันธบัตร รวมถึงการขายเงินตราต่างประเทศของกลุ่มบริษัททองคำ หลังราคาทองคำปรับเพิ่มขึ้นเร็วกว่า 4% ซึ่ง ธปท. อยู่ระหว่างดำเนินการเพิ่มเติม ดังนี้
▪️เสนอกระทรวงการคลังปรับปรุงหลักเกณฑ์ เพื่อการขยายวงเงินรายได้ต่างประเทศที่ไม่ต้องนำกลับเข้าประเทศเป็น 10 ล้านดอลลาร์ สรอ. ต่อครั้ง จากไม่เกิน 1 ล้านดอลลาร์ สรอ. ต่อครั้ง โดยคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ได้ในช่วงปลายปีนี้ เพื่อเพิ่มความคล่องตัวให้แก่ภาคเอกชนในการบริหารจัดการเงินตราต่างประเทศ และลดแรงกดดันด้านแข็งค่าของเงินบาท
▪️ปรับแนวปฏิบัติและกำชับให้สถาบันการเงินเพิ่มความเข้มงวดก่อนการรับทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศที่เกี่ยวกับทองคำ
▪️เสนอให้กระทรวงการคลังพิจารณาให้กลุ่มผู้ค้าทองคำรายใหญ่รายงานข้อมูลการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการติดตามธุรกรรมและประเมินผลกระทบต่อค่าเงินบาท รวมทั้งกำหนดนโยบายที่เกี่ยวข้องตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป
ส่วนในระยะถัดไป ตลาดการเงินยังมีความไม่แน่นอนสูง โดย ธปท. จะยังติดตามสถานการณ์การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิดและพร้อมเข้าดูแลความผันผวนของค่าเงินเพื่อลดผลกระทบต่อภาคธุรกิจ
ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปี เงินบาทแข็งค่าลงราว 7% โดยในวันนี้ (1 ธันวาคม) เงินบาทแข็งค่าไปแตะระดับ 32 บาทต่อดอลลาร์แล้ว
ภาพ: ณาฌารัฐ ภักดีอาสา

UPDATE: คลัง ชง ครม.เศรษฐกิจ ออกมาตรการเติมออกซิเจนให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ ผู้ว่าธปท.ชี้ น้ำท่วม...
01/12/2025

UPDATE: คลัง ชง ครม.เศรษฐกิจ ออกมาตรการเติมออกซิเจนให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ ผู้ว่าธปท.ชี้ น้ำท่วมกระทบ 0.2% ของ GDP
ดร.เอกนิติ เตรียมเสนอ ครม.เศรษฐกิจ ออกมาตรการเติมออกซิเจนให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ เตรียมลงทุนทำระบบป้องกันภัย เตรียมวางแนวทางพลิกฟื้นหาดใหญ่สู่อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ด้านวิทัย ผู้ว่าธปท.ชี้ น้ำท่วมกระทบ 0.2% ของ GDP
วันนี้ (1 ธันวาคม) ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เผยว่า รัฐบาลเตรียมชงนโยบายเติมออกซิเจนช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบน้ำท่วม เข้าที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ ครั้งที่ 6/2568 นี้ โดยจะมีมาตรการพักต้น พักดอก ตลอดจนสินเชื่อดอกเบี้ย 0% เพื่อฟื้นฟูชีวิต และธุรกิจในพื้นที่ภาคใต้
ดร.เอกนิติระบุว่า จากการลงพื้นที่ที่หาดใหญ่เมื่อวานนี้ (30 พฤศจิกายน) ร่วมกับหน่วยงานด้านเศรษฐกิจต่างๆ ซึ่งประกอบด้วย ธนาคารแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย (ธปท.) สถาบันการเงินของรัฐ ธนาคารออมสิน และสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปพ.) ทำให้ได้เห็นสภาพจริงของความเสียหายที่เกิดขึ้น
จากการประเมินเบื้องต้น ดร.เอกนิติกล่าวว่า ผลในเชิงเศรษฐกิจมหภาคไม่ได้เยอะ และไม่ได้กระทบกับ GDP ของประเทศไทย ซึ่งมีขนาดกว่า 20 ล้านล้านบาทมากนัก อย่างไรก็ตาม สิ่งที่กระทบมากกว่า คือชีวิตคน ฉะนั้น การทำนโยบายจึงไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเศรษฐกิจมหภาคอย่างเดียว
ดร.เอกนิติกล่าวว่า ครม.เศรษฐกิจต้องการผสานนโยบายทั้งหมดเข้าด้วยกัน โดยได้ร่วมมือกับ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) และธปท. เพื่อเยียวยาแก่ผู้ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย
“วันนี้ เขาไม่เหลืออะไรเลย เพราะฉะนั้น พักต้นพักดอก จึงจำเป็นเพราะว่าต้องการให้เขามีชีวิต ต่อลมหายใจก่อนให้ช่วงระยะหนึ่ง เพราะฉะนั้นดอกเบี้ย 0% จึงจำเป็น ส่วนประกัน ก็ต้องใช้เครื่องมือทุกอย่าง ถึงได้เอากระทรวงแรงงานมาด้วย เพื่อให้ประกันสังคมช่วยจ่าย” ดร.เอกนิติกล่าว
ดร.เอกนิติยังกล่าวว่า จะมีนโยบายเพื่อเรียนรู้จากบทเรียน จะต้องมีการทำระบบป้องกันภัย และการลงทุนเพื่ออนาคต ซึ่งได้รับการเสนอจากภาคเอกชนให้ฟื้นเศรษฐกิจหาดใหญ่ให้เป็นสมาร์ท ซิตี้ เหมือนกับปีนัง ที่เป็นฐานการผลิตเซมิคอนดักเตอร์
โดยดร.เอกนิติระบุว่า หาดใหญ่มีความพร้อม เพราะมีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) ซึ่งหากวางระบบได้ หาดใหญ่อาจกลับมาฟื้นได้ดีกว่าเดิม ซึ่งกรอบการช่วยเหลือเพื่อฟื้นฟูชีวิต และธุรกิจจะ “ไม่ใช่แค่ช่วยลมหายใจสั้นๆ แต่ทำอย่างไรให้เขามีออกซิเจน เขาออกจากโรงพยาบาลได้ แล้วกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม”
น้ำท่วมภาคใต้กระทบ 0.1-0.2% ของ GDP
วิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย แสดงความเสียใจต่อเหตุอุทกภัย ซึ่งกระทบต่อชีวิตของผู้คนเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม ผลกระทบทางเศรษฐกิจยังคงมีจำกัด เนื่องจากพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายมีส่วนร่วมต่อ GDP ประมาณ 2.6% ทำให้ผลกระทบทางเศรษฐกิจอาจมีขนาดประมาณ 0.1-0.2% ของ GDP
ทั้งนี้ วิทัยเสริมว่า ทาง ธปท. ได้กำกับดูแลสถาบันการเงินให้ผ่อนปรนเกณฑ์ทั้งหมดที่ทำได้ เช่น เกณฑ์การจัดชั้นลูกหนี้ไม่ให้ไหลเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) การลดต้นลดดอกเบี้ย และการลดสัดส่วนการจ่ายขั้นต่ำบัตรเครดิต จาก 8% เหลือ 0-3% ขณะที่สถาบันการเงินของรัฐได้ลดต้นลดดอกเบี้ยเป็น 0% ในพื้นที่ที่มีความเสียหายรุนแรงแล้ว และมีมาตรการเสริมในพื้นที่น้ำท่วม 9 จังหวัด

รวมมาให้ครบ! เปิดเกณฑ์ประเมินรถน้ำท่วม 5 ระดับและเงื่อนไขขอคืนทุนประกันที่ต้องรู้ท่ามกลางสถานการณ์น้ำท่วมในภาคใต้ที่ทวีค...
01/12/2025

รวมมาให้ครบ! เปิดเกณฑ์ประเมินรถน้ำท่วม 5 ระดับและเงื่อนไขขอคืนทุนประกันที่ต้องรู้
ท่ามกลางสถานการณ์น้ำท่วมในภาคใต้ที่ทวีความรุนแรงและสร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ รถจักรยานยนต์ หรือบ้านเรือน ล่าสุด สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้ประกาศใช้ ‘เกณฑ์ประเมินรถน้ำท่วม 5 ระดับ’ ให้เป็นมาตรฐานกลางสำหรับทุกบริษัทประกันในการพิจารณาค่าสินไหมทดแทน
โดยมาตรฐานดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อ ลดความคลาดเคลื่อนในการประเมินความเสียหาย และช่วยให้ผู้เอาประกันสามารถได้รับการเยียวยาได้อย่างรวดเร็วและโปร่งใสมากขึ้น ขณะเดียวกัน คปภ. ยังรายงานขั้นตอนการเคลมอย่างเป็นระบบ รวมถึงแนะนำความคุ้มครองสำหรับอาคาร สิ่งปลูกสร้าง และประกันภัยที่อยู่อาศัยในช่วงภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่
THE STANDARD WEALTH ได้รวบรวม เกณฑ์ประเมินความเสียหายรถยนต์จากน้ำท่วม พร้อม เงื่อนไขและขั้นตอนการขอคืนทุนประกัน เพื่อให้ผู้เอาประกันสามารถเตรียมตัวและดำเนินการได้อย่างถูกต้องและครบถ้วน
#น้ำท่วมภาคใต้

UPDATE: จากดาวรุ่งสู่มหาเศรษฐี! เปิดทำเนียบ 46 ศิษย์เก่า ‘Forbes 30 Under 30’ ที่มีความมั่งคั่งทะลุสามหมื่นล้านบาทย้อนกล...
01/12/2025

UPDATE: จากดาวรุ่งสู่มหาเศรษฐี! เปิดทำเนียบ 46 ศิษย์เก่า ‘Forbes 30 Under 30’ ที่มีความมั่งคั่งทะลุสามหมื่นล้านบาท
ย้อนกลับไปในเดือนมกราคมปี 2012 นิตยสาร Forbes ได้เปิดตัวรายชื่อ ‘30 Under 30’ เป็นครั้งแรก เพื่อเชิดชูเหล่าผู้ก่อตั้งและผู้นำรุ่นใหม่ที่มีอายุต่ำกว่า 30 ปี ผู้กำลังสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในโลกธุรกิจ นับตั้งแต่นั้นมา 30 Under 30 ได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จของคนรุ่นใหม่ในหลากหลายวงการ
ตลอด 15 ปีที่ผ่านมา มีศิษย์เก่าจากทำเนียบ 30 Under 30 จำนวนมากที่ประสบความสำเร็จ แต่มีเพียง 46 คน เท่านั้นที่สามารถก้าวกระโดดจาก ‘ดาวรุ่ง’ สู่การเป็น ‘มหาเศรษฐีระดับโลก’ ที่มีความมั่งคั่งแตะระดับ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 3.2 หมื่นล้านบาท ได้สำเร็จ
แม้ความมั่งคั่งเหล่านี้จะมาจากหลากหลายอุตสาหกรรม ตั้งแต่โซเชียลมีเดีย ฟินเทค ไปจนถึงวงการบันเทิงระดับโลกอย่าง Taylor Swift แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘กระแสความร้อนแรงของ AI’ คือตัวเร่งปฏิกิริยาที่สำคัญที่สุดในเวลานี้ โดยในปีนี้ปีเดียว มีศิษย์เก่าถึง 19 คนที่ก้าวเข้าสู่สถานะมหาเศรษฐีพันล้าน
THE STANDARD WEALTH พาสำรวจไฮไลต์ที่น่าสนใจของกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เปลี่ยนไอเดียสตาร์ทอัพให้กลายเป็นอาณาจักรธุรกิจระดับโลก
กระแส AI สร้างมหาเศรษฐีที่อายุน้อยที่สุดในโลก
เทรนด์ที่โดดเด่นที่สุดในปีนี้คือการผงาดขึ้นของธุรกิจปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในบรรดาศิษย์เก่าที่เป็นมหาเศรษฐีหน้าใหม่ มี 8 คนที่เพิ่งเข้าทำเนียบในปีที่ผ่านมาและอายุยังไม่ถึง 30 ปี
ไฮไลต์สำคัญอยู่ที่ 3 ผู้ก่อตั้ง Mercor แพลตฟอร์มจัดหางานด้วย AI ระดับยูนิคอร์น ได้แก่ Brendan Foody, Adarsh Hiremath และ Surya Midha ทั้งหมดมีอายุเพียง 22 ปี การระดมทุนรอบล่าสุดดันมูลค่าบริษัทไปแตะ 1 หมื่นล้านดอลลาร์ ทำให้พวกเขากลายเป็น ‘มหาเศรษฐีที่สร้างฐานะด้วยตัวเอง (Self-made) ที่อายุน้อยที่สุดในโลก’ ทำลายสถิติเดิมของ Mark Zuckerberg ที่เคยทำไว้ตอนอายุ 23 ปี
นอกจากนี้ ยังมี Alexandr Wang (วัย 28 ปี) แห่ง ScaleAI ที่ความมั่งคั่งพุ่งสู่ 3.2 พันล้านดอลลาร์ หลัง Meta เข้าลงทุน และ Lucy Guo ผู้ร่วมก่อตั้งของเขา ที่กลายเป็นมหาเศรษฐีหญิงที่สร้างฐานะด้วยตัวเองที่อายุน้อยที่สุดในโลก ด้วยสินทรัพย์ 1.4 พันล้านดอลลาร์
10 บุคคลเด่นจากทำเนียบ Under 30 สู่ Billionaire
จากรายชื่อทั้งหมด นี่คือ 10 กรณีศึกษาที่น่าสนใจของศิษย์เก่าที่ประสบความสำเร็จสูงสุด:
1. Zhang Yiming (อายุ 42 ปี) ความมั่งคั่ง 63,900 ล้านดอลลาร์ ศิษย์เก่าที่รวยที่สุดในกลุ่ม เขาติดรายชื่อ Forbes Under 30 China ในปี 2013 ก่อนที่จะปล่อยแอปพลิเคชัน TikTok สู่ตลาดโลกในปี 2017 ปัจจุบัน ByteDance บริษัทแม่ของ TikTok มีมูลค่าประเมินสูงถึง 4.8 แสนล้านดอลลาร์ ทำให้ Zhang เป็นบุคคลที่รวยที่สุดอันดับ 26 ของโลก
2. Patrick Collison (อายุ 37 ปี) ความมั่งคั่ง 10,100 ล้านดอลลาร์ ผู้ก่อตั้ง Stripe แพลตฟอร์มชำระเงินออนไลน์ที่เริ่มจากโปรเจกต์สมัยเรียนที่ MIT กับน้องชาย (John Collison) เพื่อแก้ปัญหาการรับเงินออนไลน์ให้ง่ายขึ้น ปัจจุบัน Stripe เป็นฟินเทคยักษ์ใหญ่ที่มีมูลค่ากิจการกว่า 9.15 หมื่นล้านดอลลาร์
3. Daniel Ek (อายุ 42 ปี) ความมั่งคั่ง 8,600 ล้านดอลลาร์ ชายผู้ปรากฏตัวบนหน้าปกนิตยสาร Forbes Under 30 ฉบับแรกสุด ผู้ก่อตั้ง Spotify ที่เข้ามาปฏิวัติวงการเพลงและแก้ปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ด้วยการสตรีมมิง รายได้บริษัทแตะ 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2024
4. Melanie Perkins (อายุ 38 ปี) ความมั่งคั่ง 7,600 ล้านดอลลาร์ ผู้ร่วมก่อตั้ง Canva แพลตฟอร์มดีไซน์ยอดฮิตที่ทำให้ใครๆ ก็เป็นศิลปินได้ เธอเปลี่ยนจากสตาร์ทอัพที่มีมูลค่า 165 ล้านดอลลาร์ในปี 2015 ให้กลายเป็นยักษ์ใหญ่ที่มีมูลค่ากว่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์ และมีการนำ AI มาใช้ในฟีเจอร์ต่างๆ อย่างเข้มข้น
5. Vlad Tenev (อายุ 38 ปี) ความมั่งคั่ง 6,200 ล้านดอลลาร์ ผู้ก่อตั้ง Robinhood แอปเทรดหุ้นแบบไม่มีค่าธรรมเนียมที่ปฏิวัติวงการโบรกเกอร์ แม้จะผ่านมรสุมช่วงหุ้น Meme มาได้ แต่ปัจจุบันความมั่งคั่งของเขาพุ่งขึ้นถึง 6 เท่าในปีที่ผ่านมาจากการรุกเข้าสู่ AI และสินทรัพย์ดิจิทัล
6. Sam Altman (อายุ 40 ปี) ความมั่งคั่ง 2,000 ล้านดอลลาร์ CEO ของ OpenAI ผู้เป็นใบหน้าของยุคสมัยแห่ง AI สิ่งที่น่าสนใจคือ เขาไม่ได้ถือหุ้นใน OpenAI แต่ความมั่งคั่งของเขามาจากการลงทุนในสตาร์ทอัพอื่นๆ ตั้งแต่เนิ่นๆ เช่น Stripe, Reddit และ Oklo สมัยที่เขาเป็นพาร์ทเนอร์อยู่ที่ Y Combinator
7. Taylor Swift (อายุ 35 ปี) ความมั่งคั่ง 1,600 ล้านดอลลาร์ หนึ่งใน 3 คนจากลิสต์ที่ไม่ได้มาจากสายเทคฯ (อีกสองคนคือ Rihanna และ LeBron James) Taylor สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเป็นมหาเศรษฐีที่มาจาก รายได้ด้านดนตรีและการแสดงล้วนๆ โดยเฉพาะทัวร์คอนเสิร์ต The Eras Tour ที่ทำรายได้ถล่มทลาย
8. Kevin Systrom (อายุ 41 ปี) ความมั่งคั่ง 2,300 ล้านดอลลาร์ ผู้ร่วมก่อตั้ง Instagram ที่ติดโผ Under 30 ในปี 2012 เพียง 4 เดือนก่อนขายกิจการให้ Facebook ในดีลประวัติศาสตร์ 1 พันล้านดอลลาร์ ปัจจุบันเขายังคงเป็นนักลงทุนและผู้ประกอบการต่อเนื่อง
9. Palmer Luckey (อายุ 33 ปี) ความมั่งคั่ง 3,500 ล้านดอลลาร์ อดีตเด็กสร้างแว่น VR Oculus ที่ขายให้ Facebook ตั้งแต่อายุยังน้อย ปัจจุบันเขากลับมาอย่างยิ่งใหญ่ในฐานะผู้ก่อตั้ง Anduril สตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีการป้องกันประเทศ (Defense Tech) ที่ใช้ AI มาช่วยปรับปรุงกองทัพให้ทันสมัย
10. Shayne Coplan (อายุ 27 ปี) ความมั่งคั่ง 1,000 ล้านดอลลาร์ ผู้ก่อตั้ง Polymarket แพลตฟอร์มทายผลด้วยคริปโตฯ ที่มาแรงที่สุดในปีนี้จากการทำนายผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ได้อย่างแม่นยำ ล่าสุดระดมทุนจนบริษัทมีมูลค่า 9 พันล้านดอลลาร์ แม้จะยังเผชิญความท้าทายด้านกฎหมายในสหรัฐฯ ก็ตาม
จากรายชื่อทั้ง 46 คน เห็นได้ชัดว่า ‘เทคโนโลยี’ ยังคงเป็นเครื่องจักรผลิตความมั่งคั่งที่ทรงพลังที่สุด โดยเฉพาะกลุ่มที่สามารถปรับตัวเข้ากับคลื่นลูกใหม่อย่าง AI ได้ ไม่ว่าจะเป็นการสร้าง AI โดยตรง หรือการนำ AI มายกระดับธุรกิจดั้งเดิม
สิ่งที่น่าจับตามองคือ แม้การแข่งขันจะสูงขึ้น แต่โอกาสในการสร้างธุรกิจระดับพันล้านเหรียญด้วยอายุที่น้อยลงเรื่อยๆ เช่นกรณีของกลุ่ม Mercor วัย 22 ปี กำลังพิสูจน์ว่า ในโลกยุคใหม่ ประสบการณ์อาจไม่สำคัญเท่ากับ ‘วิสัยทัศน์’ และความสามารถในการคว้าโอกาสจากเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก
ภาพ:
Drew Angerer/Getty Images
Matt Winkelmeyer/Getty Images for WIRED
VCG/VCG via Getty Images
อ้างอิง:https://www.forbes.com/sites/alexyork/2025/11/30/these-30-under-30-alums-are-now-billionaires-how-they-built-their-fortunes/

UPDATE: PROUD เปิดตัว เรสซิเดนซ์หรู บริการโรงแรม แห่งแรกของภูเก็ต สู้เจ้าใหญ่ มั่นใจปี 69 รับรู้รายได้ Backlog 6,000 ล้า...
01/12/2025

UPDATE: PROUD เปิดตัว เรสซิเดนซ์หรู บริการโรงแรม แห่งแรกของภูเก็ต สู้เจ้าใหญ่ มั่นใจปี 69 รับรู้รายได้ Backlog 6,000 ล้าน แบ่งซื้อที่ดิน ผุดโครงการใหม่หมื่นล้าน
พราว เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ PROUD เปิดตัวโครงการ The Residences at InterContinental Phuket Resort ที่อยู่อาศัยระดับลักซ์ชัวรีแห่งใหม่บนหาดกมลา จ. ภูเก็ต ภายใต้คอนเซ็ปต์สวรรค์บนดินหรือ ‘Live Beyond Boundaries in Phuket’ มูลค่า 2,700 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นโครงการ Branded Residences แห่งที่ 2 ในประเทศไทย ตั้งเป้าเป็นผู้นำ ตลาด Wellness Residences
พราวพุธ ลิปตพัลลภ กรรมการบริหาร บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ PROUD เปิดเผยว่า The Residences at InterContinental Phuket Resort เป็น Branded Residences ที่เพียบพร้อมที่สุดในภูเก็ต และเป็นแห่งเดียวที่สามารถใช้บริการ และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ จากโรงแรม InterContinental Phuket Resort รวมถึงเป็นเรสซิเดนซ์แห่งเดียวที่ติดกับหาดกมลา สามารถเดินผ่านทางเชื่อมโรงแรมลงทะเลได้
ทั้งนี้ตั้งแต่เปิด Pre-Sale ในเดือนตุลาคม พบว่า มียอดจองสิทธิ์แล้ว 20% โดยส่วนใหญ่เป็นคนไทย ซึ่งเป็นลูกค้าเก่าที่เคยซื้อโครงการกับ PROUD ขณะที่ลูกค้าต่างชาติ ยังอยู่ในกลุ่มชาวรัสเซีย จีน และตะวันออกกลาง หลังเปิดให้ชมห้องตัวอย่างอย่างเป็นทางการ คาดว่าจะมียอดจองสิทธิ์เพิ่มขึ้น 40%-50% ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2569 โครงการใช้เวลาสร้าง 2 ปี คาดว่าจะส่งมอบได้ภายในปี 2570 สำหรับรายได้ปีนี้ คาดว่าจะปิดจบที่ 7,000 ล้านบาท โดยได้รับแรงหนุน จากรายได้ไตรมาสที่ 4/2568 ซึ่งงบการเงินปรับดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
The Residences at InterContinental Phuket Resort มีห้องทั้งหมด 5 แบบหลัก พื้นที่ใช้สอยเริ่มต้นที่ขนาด 59 ตร. ม. จนถึง Penthouse ขนาด 425 ตร. ม. โดยโครงการมีจำนวนจำกัดเพียง 111 ยูนิต เท่านั้น เพื่อความเป็นส่วนตัวสูงสุด พร้อมด้วยยูนิตหน้ากว้างขนาด 1 ถึง 5 ห้องนอน ราคาเริ่มต้น 15-130 ล้านบาท
งัดจุดขาย เรสซิเดนซ์หรู บริการโรงแรม สู้เจ้าใหญ่
เมื่อถามถึงจุดขาย Branded Residences ของ PROUD ที่สามารถแข่งขันกับผู้พัฒนาอสังหาฯ รายใหญ่ได้ พราวพุธ มองว่า ลูกค้าต่างชาติส่วนใหญ่ไม่รู้จักแบรนด์อสังหาริมทรัพย์ในไทย แม้จะเป็นรายใหญ่ แต่ลูกค้าจะคุ้นเคยกับแบรนด์ในเครือโรงแรมระดับโลกคือ Intercontinental ซึ่ง PROUD ได้รับความไว้วางใจจาก IHG ให้พัฒนาเรสซิเดนซ์ ซึ่งเมื่อเทียบโครงการ Tier เดียวกัน ในภูเก็ตยังไม่มีเรสซิเดนซ์ของเครือโรงแรม Top5 ของโลกมาเปิดเลย
“ในแง่ของแบรนด์เราเชื่อว่าเราเป็นหนึ่งในภูเก็ต”
นอกจากนี้ ข้อแตกต่างที่สร้างความได้เปรียบให้กับ The Residences at InterContinental Phuket Resort คือ โรงแรมสร้างเสร็จแล้ว ทำให้มั่นใจได้ว่าจะได้รับคุณภาพที่อยู่อาศัย และการบริการที่การันตีมาตรฐาน 2 Michelin Keys เช่นเดียวกับโรงแรม
บ้านดีไม่ใช่แค่ดีไซน์ แต่อยู่แล้วต้องชีวิตดี
สำหรับ key success ที่ทำให้ PROUD ขึ้นมาเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ Top10 หลักๆ มาจากการวางกลยุทธ์ที่แตกต่างจากเป็น ผู้นำ Branded Residences ไม่ใช่แค่คิด โปรดักต์ ดีไซน์ ให้แตกต่างจากตลาด ทำออกมาแล้วขายใคร แต่มีแก่นแนวคิด ที่แข็งแรงเบื้องหลัง โดยการสร้างที่อยู่อาศัยจะต้องคำนึงถึง 3 องค์ประกอบ ได้แก่ Mentalization, Sustainability และ Wellbeing ต้องตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัยจริงๆ ต้องตอบให้ได้คำว่า ชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของแต่ละคน คืออะไร
“คุณค่าของ PROUD ไม่ใช่แค่เรื่องโปรดักต์ เราวิ่งไปสู่แกน หลัก ด้วย และมี Partnership around นั่นคือกลยุทธ์ทั้งหมด ทำให้ที่อยู่อาศัยที่เราทำ มีดีไซน์แตกต่าง โลเคชั่นถ้าไม่ใช่ก็ไม่ซื้อ”
ปี 69 รายได้ Backlog แน่น เตรียมงบซื้อที่ดิน 3,000 ล้าน
สำหรับปี 2569 คาดว่าจะมีกระแสเงินสดจำนวนมาก จากการทยอยรับรู้รายได้ Backlog โครงการต่างๆ ประมาณ 6,000 ล้านบาท จากทั้งหมด 6,900 ล้านบาท ทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (DE Ratio) ปรับลดลงตาม
ด้านกำไรสุทธิ คาดว่า จะปรับดีขึ้นกว่าปีนี้ โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลัก จากการบริหาร โครงการที่สร้างเอง ‘รมย์ คอนแวนต์’ ประกอบกับโครงการบ้านเดี่ยวที่รอเปิดขาย ทำให้สามารถควบคุมต้นทุนได้ ในขณะที่เมื่อเทียบกับการเข้าซื้อ โครงการ NUE District R9 และ NUE Cross Khu Khot จาก บมจ. โนเบิล ดีเวลลอปเมนต์ ที่แม้จะสร้างรายได้เยอะในปีนี้ แต่กำไรน้อยกว่า
นอกจากนี้ ยังวางแผนนำเงินสดไปลงทุนเพิ่ม โดยตั้งงบประมาณซื้อที่ดินไว้ 3,000 ล้านบาท กระจายเข้าซื้อที่ดินในกรุงเทพและภูเก็ต เพื่อเตรียมพัฒนาโครงการใหม่ มูลค่า 10,000 ล้านบาท ในช่วงปี 2570-2571 เสริมด้วยการเข้าซื้อโครงการจากผู้พัฒนาเจ้าอื่น เน้นลงทุนในโครงการคอนโดมิเนียม
ซัพพลายจำกัด ดันตลาดบ้านหรูโตต่อ
มองว่า ปีหน้ายังเป็นปีที่ต้องบริหารจัดการอย่างระมัดระวัง ท่ามกลางความเสี่ยง จากปัจจัยภายนอกที่สูงขึ้น โดยต้องพิจารณา ทั้งปัจจัยความเสี่ยงด้านบวกและด้านลบ ปรับแผนการบริหารตลอดเวลา เพื่อให้ธุรกิจเติบโตได้ท่ามกลางความเสี่ยง ซึ่งเป็น DNA ของ PROUD
ทั้งนี้ สำหรับตลาดอสังหาฯ กลุ่มลูกค้าระดับบนยังมีความท้าทาย จากประสบการณ์ พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยระดับ Luxury ในช่วงที่ผ่านมา พบว่า แม้จะมีความต้องการเยอะ ทุกครั้งที่เปิดโครงการใหม่ แต่ลูกค้าใช้เวลาตัดสินใจซื้อนานขึ้น โดยเฉพาะคอนโดมิเนียม มีการตัดสินใจหลายรอบ พาคนมาช่วยตัดสินใจ เมื่อเทียบกับเมื่อก่อน แต่ถ้าเจอห้อง หรือบ้านที่ถูกใจจริงๆ ก็พร้อมซื้อทันที โดยใช้เงินสด เพราะเงินเก็บที่เพิ่มขึ้นช่วงโควิด
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยบวกปีหน้ายังเป็นเรื่องของซัปพลายที่อยู่อาศัยระดับ Luxury ที่มีจำกัด เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจซบเซาในช่วงที่ผ่านมา สถาบันการเงินปล่อยกู้ยาก ทำให้ผู้พัฒนาอสังหาฯ ระดับกลาง-เล็ก ขึ้นโครงการใหม่ยาก เหลือแต่รายใหญ่ ที่มีกระแสเงินสด และคอนเน็กชันที่แข็งแกร่ง โดยจุดแข็งของ PROUD คือ มีพาร์ตเนอร์ทางการเงินที่แข็งแกร่ง จากทุกสถาบันการเงิน
“พอแบงก์ไม่ซัพพอร์ต ซัปพลายหาย โดยซัปพลายหดตัวที่ระดับ 50% มา 2 ปีแล้ว ขณะที่ดีมานด์ก็ระมัดระวัง จึงเป็นภาวะที่เรียกว่าสมดุล”

UPDATE: แบงก์ชาติสำรองธนบัตรรองรับความต้องการใช้เงินสดหลังน้ำท่วม พร้อมเพิ่มช่องทางแลกธนบัตรชำรุดตลอดเดือน ธ.ค. บุษกร ธี...
01/12/2025

UPDATE: แบงก์ชาติสำรองธนบัตรรองรับความต้องการใช้เงินสดหลังน้ำท่วม พร้อมเพิ่มช่องทางแลกธนบัตรชำรุดตลอดเดือน ธ.ค.
บุษกร ธีระปัญญาชัย ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายโครงสร้างพื้นฐานและบริการระบบการชำระเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย ชี้แจงว่า แบงก์ชาติได้เตรียมธนบัตรไว้รองรับความต้องการใช้เงินสดของประชาชนในช่วงฟื้นฟูหลังน้ำท่วม ให้เพียงพอรองรับการเบิกจ่ายในช่วงที่มีความต้องการสูงกว่าปกติ รวมทั้ง ได้สำรองธนบัตรเพิ่มที่ศูนย์จัดการธนบัตรจังหวัดใกล้เคียง พร้อมนำมาสมทบที่หาดใหญ่หากมีความต้องการมากขึ้น
นอกจากนี้ ได้ประสานให้สถาบันการเงินเตรียมกระจายธนบัตรไปถึงมือประชาชนผ่านสาขาและตู้ ATM ที่เปิดให้บริการด้วย
สำหรับธนบัตรที่เสียหายหรือชำรุดจากน้ำท่วมจนไม่สามารถนำไปใช้จ่ายหรือทำธุรกรรมได้ตามปกติ ประชาชนสามารถนำมาแลกที่ธนาคารออมสินทุกสาขาที่เปิดทำการได้ทุกวัน นอกจากนี้ ธนาคารพาณิชย์ในพื้นที่จังหวัดสงขลาและบริเวณใกล้เคียงที่เปิดให้บริการได้ให้ความร่วมมือในการเปิดรับแลกธนบัตรชำรุดได้ทุกวันตลอดเดือนธันวาคม 2568 (จากเดิมที่เปิดให้แลกเฉพาะวันพุธ) รวมทั้งแบงก์ชาติจะจัด ‘คลินิกธนบัตร’ เดินสายลงพื้นที่ให้ประชาชนนำธนบัตรชำรุดมาแลกได้สะดวกยิ่งขึ้น โดยจะแจ้งวันเวลาและจุดรับแลกให้ทราบต่อไป สำหรับธนบัตรพอลิเมอร์ซึ่งได้ออกแบบมาให้มีความทนทานมากขึ้นนั้น ประชาชนสามารถนำมาล้างทำความสะอาดและเช็ดให้แห้งก็จะสามารถใช้งานได้ตามปกติ แต่หากยังชำรุดเสียหายสามารถนำมาแลกได้ตามที่แจ้งไว้ข้างต้น

01/12/2025

บาทกลับมาแข็งค่า! ‘แบงก์ชาติ’ เสนอ ‘คลัง’ ขยายวงเงินมีรายได้ต่างประเทศ ที่ไม่ต้องโอนกลับไทยเป็น 10 ล้านดอลลาร์ต่อครั้ง (จากไม่เกิน 1 ล้านดอลลาร์ต่อครั้ง) หวังเพิ่มความคล่องตัวให้ภาคเอกชน-ลดแรงกดดันเงินบาท

บทเรียนจากอุทกภัยที่หาดใหญ่ ในมุมมองของธุรกิจประกันภัยเหตุการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ที่หาดใหญ่ในปี 2568 นี้ เป็นหนึ่งในสัญญาณ...
01/12/2025

บทเรียนจากอุทกภัยที่หาดใหญ่ ในมุมมองของธุรกิจประกันภัย
เหตุการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ที่หาดใหญ่ในปี 2568 นี้ เป็นหนึ่งในสัญญาณเตือนอันชัดเจนว่า โลกในยุคโลกร้อนกำลังก้าวเข้าสู่สภาวะที่บริษัทประกันภัยไม่อาจประเมินความเสี่ยงแบบเดิมได้อีกต่อไป การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกส่งผลโดยตรงให้ความถี่ของภัยพิบัติต่างๆ เพิ่มสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วม พายุ แผ่นดินไหว หรือภัยธรรมชาติรูปแบบใหม่ที่รุนแรงยิ่งกว่าเดิม สิ่งนี้ทำให้แบบจำลองความเสี่ยงที่เคยใช้ได้ผลในอดีตเริ่มไม่เพียงพอ เพราะ frequency ของเหตุการณ์ CAT (Catastrophe) เพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงเกินกว่าประวัติศาสตร์จะรองรับ การคำนวณเบี้ยประกันภัยจึงต้องพึ่งพาแบบจำลองเชิงสถิติและข้อมูลสภาพภูมิอากาศแบบเรียลไทม์มากขึ้น เพื่อสะท้อนระดับความเสี่ยงที่แท้จริงและรองรับความผันผวนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
แม้ความถี่จะเพิ่มสูงขึ้น แต่ในอีกด้านหนึ่ง ความรุนแรงของเหตุการณ์ (severity) สามารถบรรเทาหรือจำกัดความเสียหายได้ หากภาครัฐหรือสังคมมีระบบบริหารจัดการที่ดี มีการเตรียมพร้อมล่วงหน้า และมีเทคโนโลยีช่วยสนับสนุน เช่น ระบบเตือนภัยล่วงหน้า (Early Warning System: EWS) การจัดการน้ำแบบองค์รวม การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพในระดับพื้นที่และระดับประเทศ รวมถึงขั้นตอนการอพยพที่เป็นมาตรฐานสากล สำหรับมุมของนักคณิตศาสตร์ประกันภัย สิ่งเหล่านี้ช่วยลด expected loss และลด tail risk ของเหตุการณ์ CAT ซึ่งมีผลโดยตรงต่อความเสถียรของบริษัทประกันภัย และการบริหารความเสี่ยงทั้งระบบ บริษัทประกันภัยที่ลงทุนในเทคโนโลยี EWS หรือร่วมมือกับภาครัฐในการสร้างระบบจัดการความเสี่ยงน่าจะได้ประโยชน์ทั้งเชิงสังคมและเชิงธุรกิจ เพราะช่วยลดความรุนแรงของเหตุการณ์ในอนาคตได้จริง
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีระบบช่วยลดความรุนแรง แต่ความจริงอีกด้านคือ เบี้ยประกันภัยในอนาคตหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่อาจจะต้องเพิ่มสูงขึ้น จากทั้งความถี่ที่มากขึ้นและความรุนแรงที่ยังสูงอยู่ในหลายพื้นที่ ค่าเบี้ยที่เพิ่มขึ้นไม่ใช่เพียงเพราะบริษัทต้องคุ้มครองความเสี่ยงที่ใหญ่ขึ้น แต่ยังรวมถึงต้นทุนประกันภัยต่อ (Reinsurance) ที่มีแนวโน้มจะสูงขึ้นทั่วโลก หลังจากเหตุการณ์ CAT หลายประเทศเกิดถี่ขึ้นพร้อมกัน ทำให้ reinsurer ต้องปรับราคาให้สอดคล้องกับความเสี่ยง ส่วนของนักคณิตศาสตร์ประกันภัยนั้น ต้องสะท้อนทั้งความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นและสถานการณ์ตลาดประกันภัยต่อในแบบจำลองราคา (pricing model) รวมถึงต้องประเมินภาระหนี้สินตามมาตรฐานบัญชีใหม่ๆ เช่น TFRS 17 ที่ต้องตั้ง “ความเสี่ยง” เป็นตัวเงินอย่างชัดเจนผ่าน Risk Adjustment ซึ่งยิ่งทำให้ต้นทุนของกรมธรรม์ที่เกี่ยวกับภัยธรรมชาติสูงขึ้นตามไปด้วย
เมื่อเปรียบเทียบความเสียหายของอุทกภัยรอบนี้กับเหตุการณ์แผ่นดินไหวช่วงต้นปี 2568 จะพบว่าผลกระทบแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แผ่นดินไหวเกิดขึ้นรวดเร็วและกระทบเฉพาะอาคารสูงหรือโครงสร้างบางประเภท ขณะที่น้ำท่วมครั้งนี้ลากยาวหลายวันและกินพื้นที่กว้าง ทำให้วงจรของความเสียหายยืดเยื้อ ทั้งต่อบ้านพักอาศัย โรงงาน ร้านค้า ธุรกิจท่องเที่ยว รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานระดับจังหวัด มุมของนักคณิตศาสตร์ประกันภัยจึงต้องมองว่า severity ของน้ำท่วมครั้งนี้แม้อาจจะไม่รุนแรงแบบเฉียบพลันเหมือนแผ่นดินไหว แต่เป็นภัยที่สร้างผลกระทบสะสมต่อเศรษฐกิจอย่างกว้างขวาง และทำให้ incurred claims มีโอกาสเพิ่มสูงขึ้นเป็นหลายรอบ ทั้งจากการเคลมซ่อมแซมครั้งแรก และความเสียหายต่อเนื่อง เช่น ความชื้น ระบบไฟฟ้าเสียหาย หรือการหยุดดำเนินงานของธุรกิจ (Business Interruption) ซึ่งเป็นความคืบหน้าที่อุตสาหกรรมประกันภัยต้องให้ความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ
ขณะเดียวกัน เหตุการณ์ซ้ำซ้อนของทั้งแผ่นดินไหวเมื่อต้นปีและน้ำท่วมครั้งนี้ทำให้ความตื่นตัวของประชาชนเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ผู้คนเริ่มเห็นว่าความเสี่ยงที่เคยคิดว่า “ไม่น่าจะเกิด” กำลังเกิดขึ้นจริง และเกิดถี่กว่าที่คิด ทั้งบ้านเดี่ยว อาคารพาณิชย์ และธุรกิจ SME น่าจะเริ่มมองหาประกันทรัพย์สินและประกันน้ำท่วมมากขึ้น ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญของบริษัทประกันภัยในการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่ครอบคลุมทั้งไฟไหม้ น้ำท่วม และแผ่นดินไหวในแบบบูรณาการ เพื่อรองรับรูปแบบภัยในยุคสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง การออกแบบผลิตภัณฑ์เช่นนี้ต้องอาศัย actuarial pricing ที่ละเอียดมากขึ้น ใช้ข้อมูลพื้นที่ (location-based risk data) ภาพถ่ายดาวเทียม และข้อมูลฝนรายชั่วโมง เพื่อให้ราคาเหมาะสมกับความเสี่ยงจริงในแต่ละโซน ไม่ใช่ราคาเฉลี่ยทั้งประเทศแบบเดิม
ท้ายที่สุด จากในมุมมองส่วนตัวที่มองในภาพรวมแล้ว ความเสียหายจากน้ำท่วมครั้งนี้สำหรับธุรกิจประกันภัยน่าจะสูงกว่าความเสียหายจากแผ่นดินไหว ไม่ใช่เพียงเพราะความเสียหายจากตัวทรัพย์สินเท่านั้น แต่รวมถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจ เช่น ธุรกิจท่องเที่ยวที่หยุดชะงัก การขนส่งที่ติดขัด และผลกระทบต่อรายได้ของผู้ประกอบการในวงกว้าง มุมมองนักคณิตศาสตร์ประกันภัยจึงต้องพิจารณาทั้ง direct loss และ indirect loss ซึ่งส่งผลต่อความเสถียรของอุตสาหกรรมในภาพรวม เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นบทเรียนที่ชัดเจนว่าอุตสาหกรรมประกันภัยอาจต้องปรับตัว ไม่ใช่แค่ตั้งราคาตามความเสี่ยงใหม่ แต่อาจต้องเตรียมพร้อมในการเปลี่ยนบทบาทจากผู้รับจ่ายเคลม มาเป็นผู้ช่วยในการผลักดันการบริหารความเสี่ยงให้กับสังคมในอนาคต ผ่านเทคโนโลยี ข้อมูล และการทำงานเชิงรุกกับภาครัฐและชุมชน เพื่อให้ระบบประกันภัยสามารถรองรับโลกยุคใหม่ที่ภัยพิบัติกำลังมาแรงและถี่ขึ้นกว่าเดิมอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืนในระยะยาวอีกด้วย
สามารถอ่านการเคลมภัยพิบัติอื่นๆ ได้ที่: https://www.actuarialbusiness.com/th/know
ภาพ: ฐานิส สุดโต

AI ดันเศรษฐกิจไต้หวันพุ่งแซงจีน แต่รายได้ประชากรไม่ขยับ-ราคาบ้านแพง 3 เท่าตัวชมคลิป https://youtu.be/4xEWQUaTX9Qไต้หวัน ...
01/12/2025

AI ดันเศรษฐกิจไต้หวันพุ่งแซงจีน แต่รายได้ประชากรไม่ขยับ-ราคาบ้านแพง 3 เท่าตัว
ชมคลิป https://youtu.be/4xEWQUaTX9Q
ไต้หวัน เป็นหนึ่งในประเทศที่พัฒนา AI ที่เติบโตเร็วที่สุด แม้ตัวเลขเศรษฐกิจจะแข็งแกร่ง แนวโน้ม GDP ปี 2025 คาดว่าสูงกว่าจีนด้วยซ้ำ แต่ประชากรจำนวนมากกลับรู้สึกว่าชีวิตไม่ได้ดีขึ้นตามไปด้วย ทำไมเป็นเช่นนั้นติดตามได้ในไฮไลต์นี้
#ไต้หวัน #คุณภาพชีวิต

ที่อยู่

THE STANDARD CO. , LTD เลขที่ 23/100-102 ซอยศูนย์วิจัย ถนนพระราม 9 แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง
Bangkok
10310

เวลาทำการ

จันทร์ 07:00 - 17:00
อังคาร 07:00 - 17:00
พุธ 07:00 - 17:00
พฤหัสบดี 07:00 - 17:00
ศุกร์ 07:00 - 17:00

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ THE STANDARD WEALTHผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง THE STANDARD WEALTH:

แชร์