Marketeer Online ข้อมูลการติดต่อ, แผนที่และเส้นทาง,แบบฟอร์มการติดต่อ,เวลาเปิดและปิด, การบริการ,การให้คะแนนความพอใจในการบริการ,รูปภาพทั้งหมด,วิดีโอทั้งหมดและข่าวสารจาก Marketeer Online, เว็บไซต์ข่าวและสื่อ, Krungthonburi Road, Bangkok.

First in Marketing Contents
24 ปีแห่งการเป็นผู้นำข่าวและข้อมูลธุรกิจการตลาด
[email protected]
[email protected]
โทร : 02-860-7889
โทร : 081-751-5075

  🔴 ก้าวต่อไปของ The Phaithon จากอาหารเสริมสู่สกินแคร์ น้ำหอม และ Household ธุรกิจที่เติบโตด้วย “ของที่ขายได้จริง” และลู...
30/09/2025

🔴 ก้าวต่อไปของ The Phaithon จากอาหารเสริมสู่สกินแคร์ น้ำหอม และ Household ธุรกิจที่เติบโตด้วย “ของที่ขายได้จริง” และลูกค้าที่ซื้อซ้ำ

สองปีก่อน Marketeer เคยถ่ายทอดเส้นทางของ “The Phaithon” (เดอะ ไพร์ทอน) จากความฝันเล็กๆ ของแม่ค้าที่เริ่มต้นขายอาหารเสริม จนกลายมาเป็นโรงงานผู้ผลิตที่ผู้ประกอบการหลายรายไว้วางใจ เวลาผ่านไปไม่นาน
วันนี้ The Phaithon กำลังยืนอยู่บนอีกจุดเปลี่ยนสำคัญ นั่นคือการขยายธุรกิจจากอาหารเสริมไปสู่ สกินแคร์ น้ำหอม และของใช้ในบ้าน (Household) ซึ่งทั้งหมดเกิดขึ้นภายใต้หลักการที่ไม่เปลี่ยนไปเลยนั่นคือ “ทำสินค้าที่ขายได้จริง ไม่ใช่แค่ทำให้มี”

แม้ปีที่ผ่านมาจะเต็มไปด้วยความท้าทายทั้งเศรษฐกิจชะลอตัว วิกฤตน้ำท่วม และความไม่แน่นอนทางการเมือง แต่ The Phaithon ก็ยังปิดยอดขายกว่า 350 ล้านบาท และเลือกเดินหน้า “ลงทุนเพิ่ม” ทั้งการสร้างโรงงานใหม่ การทำ R&D และการสร้างระบบ One Stop Service เพื่อให้ลูกค้าทำตลาดได้ครบตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ

ตามไปอ่านก้าวต่อไปของ The Phaithon ต่อได้ที่ลิงก์ในคอมเมนต์

  🔴 ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา…  ‘สยามพารากอน’ คือหมุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่ต้องปักหมุดเมื่อมาเยือนประเทศไทย ในฐ...
30/09/2025

🔴 ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา… ‘สยามพารากอน’ คือหมุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่ต้องปักหมุดเมื่อมาเยือนประเทศไทย ในฐานะ Global Destination ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกกว่า 100 ล้านคนต่อปี เพื่อมาสัมผัสกับประสบการณ์หลากมิติ ทั้งชอปปิ้ง ไลฟ์สไตล์ ร้านค้าจากแบรนด์ระดับโลก รวมถึงเรื่องของอาหารการกิน

ล่าสุดทาง สยามพารากอน กำลังขยับหมากครั้งสำคัญอีกครั้งด้วยการทุ่มงบลงทุนกว่า 1,250 ล้านบาท พร้อมงบการตลาด 200 ล้านบาท เปิดตัว 3 World-Class Attractions ใหม่ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ที่จะกลายมาเป็นอีกหนึ่งแม่เหล็กสำคัญของกรุงเทพมหานครที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้มาท่องเที่ยวมากยิ่งขึ้น

จากพื้นที่ค้าปลีกสู่เมืองประสบการณ์…
หากย้อนกลับไปความสำเร็จที่สยามพารากอนเคยสร้าง คือการการนำ SEA LIFE Bangkok อควาเรียมขนาด 10,500 ตร.ม. ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้ามาอยู่ในศูนย์การค้า ดึงดูดผู้คนผู้เข้าชมได้กว่า 2.5 ล้านคนต่อปี
นี่คือหนึ่งในการพิสูจน์ว่าการมี World-Class Attraction คือหมากสำคัญที่สร้างความต่าง และความสำเร็จให้แก่สยามพารากอน โดยนำเสนอประสบการณ์ยิ่งใหญ่เหนือความคาดหมายให้แก่ผู้มาใช้บริการมาอย่างต่อเนื่อง

ในโอกาสครบรอบ 20 ปี สยามพารากอนเลือกจะยกระดับเกมอีกครั้ง ด้วยการเพิ่มพื้นที่ Attractions ครั้งประวัติศาสตร์กว่า 20,000 ตร.ม.ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ เพื่อสร้างแม่เหล็กใหม่ในการดึงดูดนักท่องเที่ยว แตกต่างและทรงพลัง ตอกย้ำการเป็นจุดหมายปลายทางของผู้คนทั่วโลกโดยแท้จริง
NEXTOPIA เมืองต้นแบบแห่งโลกอนาคต และพื้นที่แห่งนวัตกรรม
บนพื้นที่กว่า 15,000 ตร.ม. ด้วยเงินลงทุน 850 ล้านบาท NEXTOPIA ไม่ใช่แค่โซนใหม่ แต่คือเมืองต้นแบบแห่งโลกอนาคต Experience ที่เกิดจากการ Co-create จาก 50 องค์กรนวัตกรรม พันธมิตร คู่ค้า และ 30 คอมมูนิตี้ของ Friends of NEXTOPIA

เปลี่ยนให้พื้นนี้เป็นพื้นที่ที่สามารถเติมเต็มประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้า รวมถึงเป็นจุดเริ่มต้นของนวัตกรรมและไอเดียใหม่ๆ ดึงดูด กลุ่ม Next Gen ที่มองหาสถานที่ซึ่งตอบโจทย์ทั้งการใช้ชีวิต การเรียนรู้ และการสร้างแรงบันดาลใจ


MELAND สวนสนุกในร่มระดับแฟลกชิพโกลบอลแลนด์มาร์คนอกประเทศจีนที่แรก
บนพื้นที่ 5,000 ตร.ม. และใช้งบลงทุนกว่า 400 ล้านบาท MELAND ถูกวางตำแหน่งให้เป็น Edutainment Destination อันดับ 1 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ที่ไม่ใช่เพียงสวนสนุกในร่ม แต่เป็นพื้นที่ที่ครอบครัวสามารถใช้เวลาร่วมกันได้อย่างเต็มที่ ด้วยเครื่องเล่นกว่า 100 รายการ และประสบการณ์เสมือนจริงกว่า 500 รูปแบบ เติมเต็มทั้งความสนุกและการเรียนรู้ในเวลาเดียวกัน


Siam Paragon Dining Phenomenal กับการสร้าง World-Class Food Destination
อีกหนึ่งหมากกลยุทธ์ที่สยามพารากอนตั้งใจใช้เป็นแม่เหล็กสำคัญคือ ‘ร้านอาหาร’ ที่สะท้อนภาพลักษณ์ของประเทศไทยในฐานะเมืองแห่งร้านอร่อย ครบตั้งแต่สตรีทฟู้ดส์ไปจนถึงร้านรางวัลระดับโลก

รวบรวมมากกว่า 700 ร้าน กระจายอยู่ทุกชั้นตั้งแต่ชั้น G รวมถึงในส่วนของ Paragon Food Court และ Food Hall ที่รีโนเวทใหม่ที่รวบรวมถึงเอาร้านมิชลิน ร้านตำนาน และร้านอินเตอร์ที่เปิดตัวครั้งแรกในไทยมาไว้ในที่เดียว

และโซนที่จะกลานเป็นไฮไลต์อย่าง “EATELIER” Dining Entertainment ที่รวมกว่า 30 ร้าน ผสมผสานศิลปะ ดนตรี และการกินดื่มเข้าไว้ด้วยกัน ท่ามกลางเสียงดนตรีจาก Live Band & DJ กลายเป็น Eat–Drink–Chill Hub ใจกลางกรุงเทพฯ รองรับทั้งนักท่องเที่ยวรวมถึงลูกค้าคนไทยทั้งกลางวันและกลางคืน


“จะเห็นได้ว่ากลยุทธ์ของสยามพารากอนไม่ได้หยุดอยู่แค่การเป็นศูนย์การค้าขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยร้านค้าและแบรนด์ระดับโลกเท่านั้น แต่อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ขาดไม่ได้คือการเติมพื้นที่ในการใช้ชีวิตที่พร้อมกับ ประสบการณ์ที่ไม่มีใครสามารถหาจากที่ไหนได้

และการลงทุนใน World-Class Attractions ที่มีรวมพื้นที่กว่า 30,500 ตร.ม. มากที่สุดเท่าที่สยามพารากอนเคยมีมา คือการตอกย้ำการเป็น Global Experience Destination อย่างแท้จริง ที่พร้อมมอบความบันเทิงและแรงบันดาลใจครอบคลุมทุกกลุ่มลูกค้า และเป็นแม่เหล็กสำคัญในการดึงดูดผู้คนจากทั่วโลกให้มาสัมผัสกรุงเทพฯ

พร้อมกับสร้างความแข็งแกร่งให้ประเทศไทยรักษาจุดยืนในการเป็นที่หนึ่งแห่งจุดหมายปลายทางระดับโลกที่ครบครันด้วยประสบการณ์ในทุกมิติอย่างเต็มภาคภูมิไปพร้อมๆ กัน”

-

  🔴  พิษสมองไหลเล่นงานสหรัฐฯ ชาวจีนเก่งๆ อยู่มานานแห่กลับบ้านเกิด ทนไม่ไหว หลังถูกไล่และตัดงบวิจัยนักฟิสิกส์นิวเคลียร์จา...
30/09/2025

🔴 พิษสมองไหลเล่นงานสหรัฐฯ ชาวจีนเก่งๆ อยู่มานานแห่กลับบ้านเกิด ทนไม่ไหว หลังถูกไล่และตัดงบวิจัย
นักฟิสิกส์นิวเคลียร์จากพรินซ์ตัน, วิศวกรเครื่องกลที่เคยช่วย NASA, นักประสาทชีววิทยาจากสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐฯ, นักคณิตศาสตร์ชื่อดัง และผู้เชี่ยวชาญด้าน AI อีกไม่ใช่น้อย โดยนี่คือส่วนหนึ่งของนักวิจัยระดับหัวกะทิที่กำลังทิ้งสหรัฐอเมริกาเพื่อไปทำงานในจีนเท่านั้น
ตามข้อมูลของสื่อสหรัฐฯ ระบุว่า ตั้งแต่ต้นปีที่แล้ว (2024) มีนักวิทยาศาสตร์ทั้งดาวรุ่งและระดับแถวหน้าอย่างน้อย 85 คนที่ทำงานในสหรัฐฯ ได้ย้ายไปร่วมงานกับสถาบันวิจัยในจีนแบบเต็มเวลา โดยมากกว่าครึ่งหนึ่งตัดสินใจย้ายในปี 2025 นี้ ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า นี่คือแนวโน้มที่กำลังจะขยายตัวขึ้นอีก
ในขณะที่สหรัฐฯ พยายามตัดลดงบประมาณการวิจัยและเพิ่มการตรวจสอบผู้มีความสามารถจากต่างชาติ สวนทางกับจีนที่ทุ่มเงินลงทุนมหาศาลเพื่อส่งเสริมนวัตกรรมในประเทศ
ข้อมูลดังกล่าวยังมีอีกประเด็นน่าสนใจ เพราะมีจำนวนไม่น้อยในกลุ่มนี้ ที่เป็นชาวจีนอยู่มานับสิบปีที่ตัดสินกลับบ้านเกิด เพราะทนนโยบายแข็งกร้าวที่ไม่เป็นมิตรกับพวกเขาต่อไปไม่ไหว
ปรากฏการณ์นี้คือ “ภาวะสมองไหลย้อนกลับ” (Reverse Brain Drain) ซึ่งกำลังกลายเป็นคำถามว่า สหรัฐฯ จะรั้งตัวนักวิชาการต่างชาติเก่งๆ ไว้ได้หรือไม่ หลังเคยสามารถดึงนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำจากต่างประเทศไว้ในระยะยาว อันช่วยผลักดันให้ขึ้นมาเป็นผู้นำโลกด้านเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์มาตลอดนับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง
จีนหันมาดึงดูดนักวิชาการต่างชาติ โดยเฉพาะชาวจีนที่ไปปักหลักอยู่ในสหรัฐฯ นานๆ ให้กลับบ้านเกิดมากขึ้น เมื่อสหรัฐฯ ยังคงใช้มาตรการควบคุมเทคโนโลยีต่อจีนอย่างเข้มงวด และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง มองว่าความสามารถในการสร้างนวัตกรรมคือหนทางเดียวที่จะนำไปสู่ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
สถานการณ์นี้ยิ่งเข้าทางจีน เมื่อรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผลักดันให้มีการตัดลดงบประมาณการวิจัยของรัฐบาลกลางอย่างมหาศาล, เพิ่มการกำกับดูแลการวิจัย, ขึ้นค่าวีซ่า H1-B สำหรับแรงงานต่างชาติเฉพาะทางอย่างมาก และใช้งบประมาณรัฐเป็นเครื่องมือต่อรองกับมหาวิทยาลัย
หยู เซี่ย ศาสตราจารย์ด้านสังคมวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน กล่าวว่า มหาวิทยาลัยจีนมองการเปลี่ยนแปลงในสหรัฐฯ ว่าเป็นสถานการณ์แบบเข้าทางที่จะช่วยให้สามารถสรรหาบุคลากรที่มีความสามารถสูงขึ้นและมากขึ้นได้
ความกังวลและความไม่แน่นอนรุนแรงเป็นพิเศษในหมู่นักวิจัยที่มีความเชื่อมโยงกับจีน ซึ่งเป็นประเทศที่ส่งนักศึกษาปริญญาเอกด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมมายังสหรัฐฯ มากที่สุดมาอย่างยาวนาน
ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของความกังวลดังกล่าวคือ China Initiative ซึ่งเป็นโครงการความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ ที่เต็มไปด้วยข้อถกเถียง ซึ่งเปิดตัวในสมัยแรกของทรัมป์เพื่อสอบสวนการขโมยทรัพย์สินทางปัญญาในมหาวิทยาลัย
แม้โครงการนี้จะถูกยกเลิกไปในปี 2022 หลังจากถูกวิจารณ์ว่าสร้างความหวาดระแวงและอคติต่อนักวิชาการเชื้อสายจีน แต่เมื่อกรกฎาคมที่ผ่านมา สมาชิกรัฐสภาก็ได้เรียกร้องให้นำโครงการนี้กลับมาใช้อีกครั้ง
นี่ทำให้เกิดการต่อต้านจากนักวิชาการในสหรัฐฯ ถึงขนาดมีการล่ารายชื่อเพื่อเรียกร้องให้ยกเลิก เพราะเห็นตรงกันว่าจะเสียมากกว่าได้
งานวิจัยปี 2023 ของศาสตราจารย์ หยู เซี่ย และทีมงานจากพรินซ์ตัน พบว่า หลังจากมีการบังคับใช้ China Initiative จำนวนนักวิทยาศาสตร์เชื้อสายจีนที่เดินทางออกจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นถึง 75% โดยสองในสามย้ายไปยังประเทศจีน
ลู่ อู๋หยวน นักเคมีโปรตีนซึ่งเคยเป็นศาสตราจารย์ประจำที่มหาวิทยาลัยแมรีแลนด์ ก่อนจะย้ายไปมหาวิทยาลัยฟู่ตั้นในเซี่ยงไฮ้เมื่อปี 2020 เป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับผลกระทบ
โดยเขาเล่าว่าความร่วมมือวิจัยกับจีนของเขาเคยถูกมองว่าเป็นผลดีต่อชื่อเสียงของมหาวิทยาลัย แต่แล้วกลับกลายเป็นเป้าของการสอบสวนจากสถาบันสุขภาพแห่งชาติ (NIH)ในขณะที่สหรัฐฯ สร้างผลักหรือขับไล่ นักวิชาการต่างชาติ โดยเฉพาะชาวจีน
จีนก็ทำในทางตรงกันข้ามนั่นคือ โน้มน้าวและยื่นข้อเสนอต่างๆ อย่างเต็มที่เพื่อดึงดูดคนระดับหัวกะทิ ซี่งแน่นอนว่า ชาวจีนหรือที่มีผู้เชื้อสายจีนคือเป้าหมายอันดับ 1
ข้อเสนอของจีนนั้นมีมากมาย เช่น เงินเดือนสูง, โบนัส, เงินช่วยเหลือค่าที่พัก, การสนับสนุนครอบครัว และที่สำคัญที่สุดคือการเข้าถึงเงินทุนวิจัยได้ง่ายกว่า
ท่ามกลางรายงานว่า มหาวิทยาลัยจีนบางแห่ง เสนอทุนวิจัยให้สูงถึง 3 ล้านหยวน (ประมาณ 13 ล้านบาท) เลยทีเดียว
นอกจากภาคการศึกษาแล้ว ภาคเอกชนจีนก็ไม่น้อยหน้า โดยเฮดฮันเตอร์รายหนึ่งเผยว่า ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ด้านเซมิคอนดักเตอร์เป็นที่ต้องการอย่างมาก ตั้งแต่สหรัฐฯ ออกนโยบายแข็งกร้าวกดดันจีน
แม้จะมีภาวะสมองไหลย้อนกลับ และมีข้อมูลจากศูนย์สถิติด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมแห่งชาติสหรัฐฯ ชี้ว่า กว่า 83% ของบัณฑิตชาวจีนที่จบปริญญาเอกด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมในสหรัฐฯ ระหว่างปี 2017-2019 ยังคงอาศัยอยู่ในประเทศในปี 2023
แต่ก็มีการวิเคราะห์กันว่า หากสหรัฐฯ ยังใช้นโยบายแข็งกร้าวกับทุกอย่างที่เกี่ยวกับจีน โดยขาดพิจารณาถึงผลกระทบอย่างรอบคอบต่อไปเช่นนี้
เรื่องเข้าทางจีนอย่าง การเดินทางกลับบ้านเกิดของนักวิชาการก็จะดำเนินต่อไป จนอาจเสียคนระดับหัวกะทิไปแบบถาวร อันเป็นหายนะสำหรับแวดวงวิชาการ วิทยาศาสร์และเทคโนโลยีชั้นสูงต่างๆ
#พิษสมองไหลสหรัฐ #นักวิทยาศาสตร์จีนกลับบ้าน #ศึกวิจัยสหรัฐจีน #ชิงคนเก่งระดับโลก

  🔴  คราวนี้เฟอร์นิเจอร์ / ทรัมป์ขู่เพิ่มภาษีครั้งใหญ่ สกัดจีน เวียดนาม / World Economyประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศ...
30/09/2025

🔴 คราวนี้เฟอร์นิเจอร์ / ทรัมป์ขู่เพิ่มภาษีครั้งใหญ่ สกัดจีน เวียดนาม / World Economy
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศผ่าน Truth Social เมื่อวันจันทร์ว่า เขาเตรียมบังคับใช้ “ภาษีนำเข้าขนาดใหญ่” กับประเทศใดก็ตามที่ไม่ได้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ในสหรัฐฯ โดยย้ำว่าจะมี “รายละเอียดตามมา”
ก่อนหน้านี้เพียงสัปดาห์เดียว ทรัมป์เพิ่งเปิดเผยว่าจะเก็บภาษีนำเข้า 50% สำหรับตู้ครัวและตู้ใต้อ่างล้างหน้า และ 30% สำหรับเฟอร์นิเจอร์บุผ้า โดยมาตรการจะเริ่มมีผลในสัปดาห์นี้ อย่างไรก็ตามยังไม่ชัดเจนว่าภาษีใหม่ที่ทรัมป์ขู่ว่าจะบังคับใช้จะเป็นรูปแบบใด เนื่องจากเฟอร์นิเจอร์ผลิตโดยบริษัท ไม่ใช่ประเทศโดยตรง
ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐระบุว่า จีนและเวียดนามเป็นสองแหล่งใหญ่สุดของเฟอร์นิเจอร์ที่ส่งเข้ามายังสหรัฐ มูลค่ารวมกว่า 12,000 ล้านดอลลาร์ในปีที่ผ่านมา
โดยราคาสินค้าเฟอร์นิเจอร์และที่นอนในสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง 0.9% ในเดือนกรกฎาคม และ 0.3% ในเดือนสิงหาคม เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าเพิ่มขึ้นถึง 4.7% ซึ่งถือว่าสูงสุดในรอบสามปี
ทรัมป์ให้เหตุผลว่ามาตรการดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือรัฐนอร์ทแคโรไลนา ซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางการผลิตเฟอร์นิเจอร์ แต่สูญเสียตลาดให้กับจีนและประเทศอื่น ๆ ทั้งที่รัฐนี้ยังถือเป็นสมรภูมิการเมืองสำคัญในการเลือกตั้งวุฒิสภาปีหน้า
นอกจากเฟอร์นิเจอร์แล้ว ทรัมป์ยังขู่จะเก็บภาษีนำเข้า 100% สำหรับภาพยนตร์ที่ผลิตในต่างประเทศ รวมถึงภาษี 100% สำหรับยาต่างประเทศบางแบรนด์ และภาษี 25% สำหรับรถบรรทุก โดยจะเริ่มมีผลในเร็ว ๆ นี้
ทั้งหมดเกิดขึ้นท่ามกลางคดีสำคัญที่ศาลฎีกาสหรัฐเตรียมพิจารณาในเดือนพฤศจิกายน ว่าทรัมป์มีอำนาจทางกฎหมายเพียงพอหรือไม่ในการออกมาตรการภาษีที่เจาะจงต่อประเทศใดประเทศหนึ่ง โดยอ้างภาวะฉุกเฉินทางเศรษฐกิจ
หากศาลตัดสินไม่เห็นด้วย อาจทำให้ธุรกิจสหรัฐได้รับเงินคืนภาษีจำนวนมาก อย่างไรก็ดี ภาษีในภาคส่วนที่อ้างความมั่นคงของชาติยังไม่ถูกท้าทายทางกฎหมายในขณะนี้

  🔴 การตลาด 101: หลักการตลาดอย่างยั่งยืน (Sustainable Marketing Principles)ในการทำการตลาดยุคใหม่ แบรนด์ไม่ได้ถูกวัดแค่เพ...
29/09/2025

🔴 การตลาด 101: หลักการตลาดอย่างยั่งยืน (Sustainable Marketing Principles)
ในการทำการตลาดยุคใหม่ แบรนด์ไม่ได้ถูกวัดแค่เพียงยอดขายหรือผลกำไรระยะสั้นอีกต่อไป แต่ยังรวมถึงความรับผิดชอบต่อผู้บริโภค สังคม และสิ่งแวดล้อม
แนวคิด การตลาดอย่างยั่งยืน จึงเกิดขึ้นเพื่อชี้ให้เห็นว่าธุรกิจควรสร้างคุณค่าที่ยาวนานทั้งต่อผู้บริโภคและสังคม พร้อมกับรักษาความสามารถในการแข่งขันและการเติบโตในระยะยาว
🟥 การตลาดที่มีจริยธรรม (Market with Ethics)
การตลาดที่ยั่งยืนเริ่มต้นจากการยึดหลักจริยธรรม เพราะหากธุรกิจเลือกใช้วิธีที่ไม่โปร่งใส ไม่เพียงแต่จะทำร้ายผู้บริโภค แต่ยังบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือและการอยู่รอดของแบรนด์เอง
บริษัทจึงควรกำหนด แนวปฏิบัติด้านจริยธรรม (Corporate Marketing Ethics) ครอบคลุมตั้งแต่การสื่อสาร การโฆษณา บริการลูกค้า ไปจนถึงการกำหนดราคาและพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อให้พนักงานทุกคนตัดสินใจบนพื้นฐานที่ถูกต้องและคำนึงถึงผลระยะยาว
🟥 มุ่งสู่ผู้บริโภคเป็นศูนย์กลาง (Be Consumer-Centric, Always)
ธุรกิจที่ยั่งยืนต้องไม่หลงทิศจากผู้บริโภค การตลาดแบบ Consumer-Centric คือการมองโลกในมุมมองของผู้ซื้อ ทำความเข้าใจพฤติกรรมและความต้องการทั้งในวันนี้และอนาคต
เมื่อผู้บริโภคยุคใหม่ โดยเฉพาะ Gen Z และกลุ่ม Purpose-Driven Consumer เลือกซื้อสินค้าและบริการที่สอดคล้องกับคุณค่าทางสังคมและสิ่งแวดล้อม การเป็นแบรนด์ที่ใส่ใจผู้บริโภคอย่างแท้จริงจึงเป็นเกราะป้องกันและสร้างสัมพันธ์ที่ยั่งยืน
🟥 สร้างคุณค่าระยะยาว (Build Long-Term Customer Value)
แทนที่จะทุ่มงบไปกับโปรโมชันหรือการโฆษณาระยะสั้น นักการตลาดควรลงทุนใน คุณค่าที่แท้จริงของสินค้าและบริการ เช่น การพัฒนาคุณภาพ การใช้งานที่สะดวกสบาย และบริการที่ดี เพื่อสร้างความภักดีและความไว้วางใจจากผู้บริโภค
🟥 ปลูกฝังพันธกิจที่ชัดเจน (Embrace a Sense of Mission)
แบรนด์ที่ยิ่งใหญ่ต้องมีพันธกิจที่มากกว่าแค่การขายสินค้า แต่ต้องสร้างความหมายและแรงบันดาลใจ เช่น Pedigree ที่ไม่เพียงผลิตอาหารสุนัข แต่ยังมีโครงการ “You Buy, We Give” เพื่อช่วยเหลือสุนัขจรจัด
หรือนโยบายของ Nike ที่ตั้งพันธกิจ “To experience the emotion of competition” หรือ Walt Disney ที่ยึดถือการ “สร้างความสุขให้ผู้คน” สิ่งเหล่านี้ทำให้แบรนด์ไม่เพียงขายสินค้า แต่ขายความเชื่อและคุณค่าที่ผู้บริโภครู้สึกเชื่อมโยง
🟥 ไม่สร้างผลเสียต่อสังคม (Do No Harm)
การตลาดที่ยั่งยืนไม่เพียงเลี่ยงการทำร้ายผู้บริโภค แต่ต้องมุ่งหาทางแก้ไขปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม ธุรกิจควรลดผลกระทบเชิงลบจากกระบวนการผลิต และมองหาหนทางที่จะสร้างคุณค่าทางสังคมไปพร้อมกัน เช่น การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การใช้บรรจุภัณฑ์รีไซเคิล หรือการสนับสนุนชุมชน
สรุป
หลักการตลาดอย่างยั่งยืนทั้ง 5 ประการ การตลาดที่มีจริยธรรม การยึดผู้บริโภคเป็นศูนย์กลาง การสร้างคุณค่าระยะยาว การมีพันธกิจที่ชัดเจน และการไม่สร้างผลเสีย ล้วนเป็นกรอบคิดที่ช่วยให้ธุรกิจไม่เพียงแค่เติบโต แต่ยังสร้างความไว้วางใจและความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับผู้บริโภคและสังคม
#การตลาด101 #การตลาดอย่างยั่งยืน #สร้างคุณค่าระยะยาว #แบรนด์ใส่ใจสังคม

  🔴 เกาหลีใต้ฮิตหนังสือฮีลใจย่อยง่าย สะท้อนคนเครียดจัด-ซึมเศร้าหนัก อยากได้เล่มที่แค่เปิดอ่านก็ผ่อนคลายหากจะมีประเทศไหนท...
29/09/2025

🔴 เกาหลีใต้ฮิตหนังสือฮีลใจย่อยง่าย สะท้อนคนเครียดจัด-ซึมเศร้าหนัก อยากได้เล่มที่แค่เปิดอ่านก็ผ่อนคลาย
หากจะมีประเทศไหนที่ความเครียดและซึมเศร้ากลายเป็นปัญหาใหญ่และส่งผลต่อประชากรมากที่สุด จนนำมาสู่การแก้ปัญหาทั้งจากภาครัฐ และจากฝั่งประชาชนเองคงเป็นเกาหลีใต้
ล่าสุดเรื่องนี้ยังสะท้อนออกมาผ่านเทรนด์หนังสือขายดี พร้อมข้อมูลน่าสนใจที่ว่า คนที่ซื้อหนังสือประเภทนี้ แค่อยากเยียวยาตัวเองแบบง่ายและไว แม้มีเสียงวิจารณ์ว่า เป็นแค่หนังสือเล่มบางๆ ที่อาจไม่ได้แก้ปัญหาได้อย่างจริงจัง
เมื่อปี 2018 วงการหนังสือเกาหลีใต้ได้พบกับปรากฏการณ์ใหม่จากหนังสือ “I Want to Die but I Want to Eat Tteokbokki” (อยากตาย แต่ก็อยากกินต็อกบกกี) ซึ่งเป็นส่วนผสมระหว่างบันทึกความทรงจำและบทสนทนาบำบัด ที่อ้างอิงจากประสบการณ์จริงของผู้เขียนซึ่งป่วยเป็นโรคซึมเศร้า
บรรดาร้านหนังสือจัดให้มันอยู่ในหมวด เรียงความเกาหลีฮีลใจ และมันก็โดดเด่นขึ้นมาทันที เพราะนำเสนอเรื่องราวส่วนตัวอย่างจริงใจ และเปิดเผยความเปราะบางของคนชาวเกาหลีใต้แบบที่ไม่เคยมีมาก่อน
ผลจากการที่หนังสือเล่มนี้ขายดี ทำให้อีกหลายปีต่อมา เทรนด์หนังสือเรียงความเกาหลีที่มีเนื้อหาฮีลใจและอ่านง่าย กลายเป็นแนวหนังสือที่ขายดี
ลักษณะร่วมกันของหนังสือประเภทนี้คือ ปกสีพาสเทลที่มีข้อความคล้ายๆ กันวนซ้ำไปมา และชื่อหนังสือเหมือนเป็นคำพูดลอยๆ เหมือนไม่ได้คิดอะไร แต่ก็สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาความเครียดและซึมเศร้า
เช่น “แค่มีตัวตนอยู่ก็ดีพอแล้ว” “การหยุดนิ่งก็คือการก้าวไปข้างหน้า” และ “ความสุขอยู่ในวันธรรมดาๆ”
หนังสือประเภทนี้ยังประกอบด้วยย่อหน้าหรือข้อความที่ไม่ยาวนัก ออกแบบมาให้อ่านผ่านๆ ได้อย่างรวดเร็ว ต่างจากหนังสือบันทึกความทรงจำที่อิงจากประสบการณ์ชีวิต หนังสือแนวนี้ไม่ได้เน้นการเล่าเรื่อง แต่ทำหน้าที่เหมือนเป็นคอลเลกชันรวมประโยคสวยๆ ที่เหมาะแก่การนำไปอ้างอิงต่อ
สื่อเกาหลีใต้รายงานว่า อันดับหนังสือขายดีรายเดือนของร้านหนังสือยักษ์ใหญ่ในเกาหลี ทั้ง Kyobo, Yes24 และ Aladin พบว่าใน 10 อันดับแรก มักจะมีหนังสือแนวฮีลใจติดอันดับอยู่เสมออย่างน้อย 2-3 เล่ม
ขณะที่รายงานประจำปีของ Yes24 ระบุว่า ในปี 2023 มีหนังสือแนวนี้ออกใหม่กว่า 4,200 ปก เพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าจากเมื่อ 10 ปีก่อนหน้านั้น และยอดขายก็เติบโตขึ้นกว่า 30% ตั้งแต่ปี 2019 ตรงกันข้ามกับหมวดหมู่อื่นๆ เช่น สารคดี หรือวรรณกรรมแปล ที่กลับอยู่ในช่วงซบเซา
บรรณาธิการอาวุโสของสำนักพิมพ์ใหญ่แห่งหนึ่งในเกาหลีใต้วิเคราะห์ว่า มันเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับสำนักพิมพ์ เพราะผู้แต่งไม่จำเป็นต้องมีตัวละคร การค้นคว้าข้อมูล หรือโครงเรื่อง สิ่งสำคัญคือประโยคนั้นดูดีเวลาถูกขีดเส้นใต้ด้วยปากกาไฮไลต์หรือเปล่า
นี่ทำให้ทีมการตลาดถึงกับถามตรงๆ เลยว่า ‘ประโยคนี้ถ่ายรูปลงอินสตาแกรมสวยไหม และเอาไปโปรโมตหนังสือได้ไหม?’ จนกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว
สำหรับผู้อ่าน เสน่ห์ของหนังสือแนวนี้ไม่ได้อยู่ที่คุณภาพทางวรรณกรรม แต่อยู่ที่สิ่งที่แสดงออกมาในเชิงสัญลักษณ์เมื่อซื้อหนังสือแนวนี้แต่ละเล่ม
เภสัชกรวัย 34 ปีที่ซื้อหนังสือแนวนี้เก็บไว้หลายเล่ม กล่าวว่า ไม่ได้คาดหวังถึงขั้นจะเป็นเล่มที่เปลี่ยนชีวิต เพราะรู้ว่าคำพูดในนั้นมันกว้างๆ แต่ตอนที่ซื้อมา มันให้ความรู้สึกเหมือนปล่อยให้ตัวเองได้พักผ่อน ต่อให้อ่านแค่ไม่กี่หน้า แต่มันก็สำคัญมาก
ในมุมมองของนักสังคมวิทยา การกระทำนี้มีความหมายอย่างยิ่งในสังคมเกาหลีใต้ เพราะหนังสือยังคงเป็นสิ่งที่ดูจริงจังและน่าเชื่อถือในเกาหลีใต้
ดังนั้นเมื่อคนยอมจ่ายเงินราว 16,000 วอน (ประมาณ 420 บาท) เพื่อซื้อหนังสือประเภทนี้สักเล่ม พวกเขาไม่ได้กำลังซื้อแค่ประโยคสวยๆ แต่กำลังซื้อสิทธิ์ที่จะบอกกับตัวเอง และให้สังคมรู้ว่า ฉันกำลังหันกลับมาดูแลตัวเอง ซึ่งในภาพใหญ่ก็คือการสะท้อนว่า เกาหลีใต้ยังเป็นประเทศที่มีปัญหาความเครียดและโรคซึมเศร้านั่นเอง
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมผู้อ่านถึงไม่แคร์ว่าจะถูกหลอก ทั้งที่รู้ว่าเนื้อหาข้างในอาจจะไม่ได้ลึกซึ้งอะไร เพราะสิ่งที่ต้องการคือข้อความปลอบประโลมในหนังสือเท่านั้น และการซื้อซึ่งมีราคาแพงพอที่จะทำให้รู้สึกว่ามีคุณค่า คือรูปแบบหนึ่งของการดูแลตัวเองที่สังคมยอมรับ
อย่างไรก็ตาม นักจิตวิทยามองว่าเทรนด์นี้มีทั้งข้อดีและข้อเสีย โดยศาสตราจารย์ อีดงกวี ด้านจิตวิทยาคลินิกจากมหาวิทยาลัยยอนเซ กล่าวว่า เวลาที่คนเราเครียดจัดๆ พวกเขาไม่ได้ต้องการบทวิเคราะห์ที่ลึกซึ้ง แต่ต้องการคำพูดที่ซึมซับได้ในพริบตา เหมือนเป็นบทสวดภาวนาซึ่งหนังสือประเภทที่กำลังขายดีนี้จะช่วยลดความรู้สึกโดดเดี่ยว เครียดหรืออาการซึมเศร้าได้
แต่การปลอบโยนแบบเร่งด่วนต้องไม่ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นการฟื้นฟูอย่างแท้จริง เพราะอันตรายจะเกิดขึ้นเมื่อผู้คนคาดหวังให้ประโยคเหล่านี้ทำหน้าที่แทนการบำบัด
ทว่าก็ไม่ใช่ผู้อ่านทุกคนที่จะเห็นดีเห็นงามไปกับกระแสนี้ โดยยุน นักศึกษาปริญญาโทวัย 26 ปี ด้านวรรณคดียุโรป กล่าวอย่างเห็นภาพว่า มันเหมือนอาหารฟาสต์ฟู้ดสำหรับสมอง กลืนง่าย กินปุ๊บรู้รสทันที และถูกนำเสนอว่ามีประโยชน์
ทั้งที่จริงๆ แล้วไม่ได้ให้พลังงานอะไรเลย โดยแม้ไม่อยากวิจารณ์คนที่ซื้อหนังสือประเภทนี้ แต่ก็สงสัยว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าสิ่งนี้กลายเป็นอาหารหลักทางความคิดของเราเข้าสักวัน
ฝั่งสำนักพิมพ์เองก็ยอมรับถึงความต้องการของตลาดอย่างเปิดเผย โดยบรรณาธิการอาวุโสของสำนักพิมพ์แห่งหนึ่งกล่าวทิ้งท้ายถึงเทรนด์หนังสือ เรียงความเกาหลีฮีลใจ ไว้ว่า มันเป็นหนังสือประเภทที่ต่อยอดง่ายที่สุด อินฟลูเอนเซอร์ที่มีผู้ติดตามสองแสนคนในอินสตาแกรมสามารถกลายเป็นนักเขียนได้ในเวลาไม่กี่เดือน ตัวหนังสือไม่จำเป็นต้องลึกซึ้งอะไรเลย เพราะกลุ่มผู้ติดตามของพวกเขาก็คือตลาดที่พร้อมจะซื้ออยู่แล้ว
สำหรับปัญหาความเครียด และซึมเศร้า ในเกาหลีใต้ ถือว่าสูงเป็นอันดับต้นๆ ในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว จนเมื่อผู้คนไม่มีทางออกและคนให้คำปรึกษา ทำให้เกิดความเหงากัดกินใจและการตายไปอย่างโดดเดี่ยว ที่เรียกในภาษาเกาหลีว่า โกด็อกซา
ฝ่ายปกครองตามเมืองต่างๆ ของเกาหลีใต้ก็ไม่นิ่งนอนใจต่อปัญหานี้ โดยเมื่อปี 2024 กรุงโซล ได้ทุ่มงบ 327 ล้านดอลลาร์ (ราว 11,000 ล้านบาท) เพื่อแก้ปัญหาโกด็อกซา ซึ่งหนึ่งสิ่งที่เห็นเป็นรูปธรรมแล้วคือ ศูนย์ให้คำปรึกษาปัญหาความเครียด ความเหงา และซึมเศร้าที่มาในรูปแบบร้านสะดวกซื้อ 4 แห่งในเมือง ซึ่งปัจจุบันเริ่มมีผู้มาใช้บริการเพิ่มขึ้น
#หนังสือฮีลใจเกาหลี #คลายเครียดซึมเศร้า #อ่านง่ายเยียวยาใจ #เทรนด์หนังสือเกาหลี ่านแล้วสบายใจ

   🔴คุยกับสองพี่น้องผู้บริหารMK ในวันที่สมรภูมิหม้อไฟเดือดMarketeer นัดหมายพูดคุยกับ ทานตะวัน และ ธีร์ ธีระโกเมน สองพี่น...
29/09/2025

🔴คุยกับสองพี่น้องผู้บริหารMK ในวันที่สมรภูมิหม้อไฟเดือด

Marketeer นัดหมายพูดคุยกับ ทานตะวัน และ ธีร์ ธีระโกเมน สองพี่น้องผู้บริหาร MK Restaurants Group ที่ร้าน MK ชั้น 7 เซ็นทรัลเวิลด์ ที่แน่นขนัดไปด้วยร้านอาหารนานาชนิด

บนสมรภูมิที่เต็มไปด้วยคู่แข่ง MK ยังคงยืนหยัดอยู่ในตำแหน่งเดิม

ปีนี้การแข่งขันของธุรกิจสุกี้ร้อนแรงมาก หลายผู้ประกอบการเพิ่งกระโดดเข้าสู่ตลาดหม้อไฟ แต่สำหรับ 2 คนนี้เรียกได้ว่า “เกิดมาก็ได้กลิ่นสุกี้แล้ว”

ทั้งคู่ก้าวขึ้นนั่งเก้าอี้กรรมการผู้จัดการใหญ่ เมื่อเดือนมกราคม 2568 ที่ผ่านมา โดยผู้เป็นพ่อ ฤทธิ์ ธีระโกเมน ที่กุมบังเหียนองค์กรมาตลอด ถอยไปเป็นที่ปรึกษาเบื้องหลัง

เป็นปีที่ต้องเจอกับมรสุมเศรษฐกิจที่ผันผวน และสงครามสุกี้ที่กำลังแข่งกันเดือด อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

แต่เชื่อว่าวันนี้ทานตะวัน และธีร์ พร้อมแล้วที่จะก้าวออกมาเจอสื่อมากกว่าเดิม เพื่อส่งสัญญาณถึงความมุ่งมั่นที่จะพา MK ก้าวต่อไปข้างหน้า ท่ามกลางการแข่งขันที่ไม่หยุดนิ่ง

อ่านต่อในคอมเมนต์

#สงครามหม้อไฟ

  🔴 จากวันเริ่มต้นที่เป็นพันธมิตร วันนี้กลายเป็น "คู่แข่ง"ธันวาคม 2562 บริษัท วิมานสุริยา จำกัด บริษัทร่วมทุนระหว่างดุสิ...
29/09/2025

🔴 จากวันเริ่มต้นที่เป็นพันธมิตร วันนี้กลายเป็น "คู่แข่ง"
ธันวาคม 2562 บริษัท วิมานสุริยา จำกัด บริษัทร่วมทุนระหว่างดุสิตธานี กับ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ได้จัดพิธีวางศิลาฤกษ์และพิธีเปิดหน้าดิน (Groundbreaking Ceremony)
อ่านข่าว : https://marketeeronline.co/archives/136737
นับเป็นก้าวแรกในการเข้าสู่ขั้นตอนการก่อสร้าง โครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค บนทำเลทองที่เคยเป็นที่ตั้งของโรงแรมในตำนาน ดุสิตธานี กรุงเทพ

  🔴  ชนินทธ์ โทณวณิก แถลงการณ์อีกรอบ มอง"เซ็นทรัล"เป็นคู่แข่ง แบรนด์"ดุสิตธานี"อาจหายไปได้แถลงการณ์ดุสิตธานี กรณีการประช...
29/09/2025

🔴 ชนินทธ์ โทณวณิก แถลงการณ์อีกรอบ มอง"เซ็นทรัล"เป็นคู่แข่ง แบรนด์"ดุสิตธานี"อาจหายไปได้
แถลงการณ์ดุสิตธานี กรณีการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2568
ขอขอบคุณผู้ถือหุ้นรายย่อยที่ร่วมกันปกป้อง “ดุสิตธานี” เพื่อมรดกของคนไทย
ทุกท่านคงจะทราบดีถึงการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2568 ของบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งการประชุมได้เสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้วใน 3 วาระแรก และให้เลื่อนการประชุมวาระที่เหลือไปเป็นวันที่ 4 ธันวาคม 2568 เวลา 14.00 น.
ผมขอถือโอกาสนี้ ชี้แจงข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกัน ดังนี้
1.ในวาระยื่นถอดถอนผมออกจากการเป็นกรรมการบริษัทฯ นั้น คณะกรรมการบริษัท (ชุดปัจจุบัน) ไม่ได้เป็นผู้เสนอให้มีการถอดถอน รวมทั้งมิได้เป็นผู้เสนอให้แต่งตั้งกรรมการใหม่และเปลี่ยนแปลงอำนาจกรรมการบริษัทฯ
แต่ทั้งหมดนั้น เป็นการเสนอโดยผู้ถือหุ้นใหญ่รายหนึ่ง (บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด) โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 100 แห่ง พ.ร.บ.บริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 ให้บริษัทฯ เรียกประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น เพื่อพิจารณาวาระดังกล่าว
2.ในวาระที่ 3 เรื่องการพิจารณาถอดถอนผมออกจากตำแหน่งกรรมการบริษัทฯ นั้น มีจำนวนหุ้นที่ลงมติเห็นด้วยกับการถอดถอนจำนวน 425,356,690 หุ้น ซึ่งพบว่า เป็นหุ้นของบริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด (ซึ่งเป็นผู้ร้องขอให้มีการจัดประชุมครั้งนี้) จำนวน 422,821,310 หุ้น และเป็นของบุคคลอื่นอีก 2,535,380 หุ้น เท่านั้น
นั่นแสดงว่าผู้ถือหุ้นที่เหลืออีกเป็นจำนวนมาก (บริษัทฯ มีจำนวนหุ้นจดทะเบียนทั้งหมด 850 ล้านหุ้น) มิได้เห็นด้วยกับการถอดถอนกรรมการก่อนครบวาระในครั้งนี้
3.การเลื่อนวาระการประชุมที่เหลือ (การพิจารณาอนุมัติเพิ่มจำนวนกรรมการ แต่งตั้งกรรมการเข้าใหม่ และเปลี่ยนแปลงอำนาจกรรมการ) ออกไปเป็นวันที่ 4 ธันวาคม 2568 ก็เพื่อคุ้มครองประโยชน์ได้เสียของผู้ถือหุ้นรายย่อยและนักลงทุนโดยทั่วไป ให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง เป็นธรรม และเท่าเทียม
ในประเด็นที่ยังไม่มีความชัดเจน ในเรื่องที่มีผู้ถือหุ้นรายย่อยได้ร้องเรียนไปยังสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) รวมถึงคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า
ถึงการกระทำที่อาจเข้าข่ายร่วมกับบุคคลอื่นเพื่อครอบงำกิจการของบริษัทฯ และอาจเข้าข่ายเป็นการกระทำการรวมธุรกิจอันอาจก่อให้เกิดการผูกขาดหรือการเป็นผู้ประกอบธุรกิจซึ่งมีอำนาจเหนือตลาด ซึ่งต้องได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมได้ชี้แจงและทำความเข้าใจในที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นแล้วว่า ธุรกิจของกลุ่มดุสิตธานีหลายธุรกิจ เหมือนกับธุรกิจของกลุ่มเซ็นทรัล ซึ่งมีการแข่งขันด้านการค้ากันมาโดยตลอด
ดังนั้น ในหลักการประกอบธุรกิจทั้งทางดุสิตธานี และกลุ่มเซ็นทรัล ย่อมต้องทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ธุรกิจของตนเอง ซึ่งในปัจจุบันนี้ ธุรกิจของดุสิตธานีประสบความสำเร็จอย่างมากในทุกมิติ
หากดุสิตธานีจะต้องมีกรรมการหรือผู้บริหารระดับสูงที่มาจากกลุ่มเซ็นทรัล ย่อมหมายความว่า ทิศทางการบริหารของดุสิตธานีจะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของคู่แข่งขันทางการค้า
นอกจากนี้ กลุ่มเซ็นทรัลยังสามารถเข้าถึงและใช้ข้อมูลภายในองค์กร เช่น ฐานลูกค้า และกลยุทธ์ในการบริหารงานด้านต่างๆ ของดุสิตธานีได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทีมงานดุสิตธานีสั่งสมมาและมีมูลค่ามหาศาลทางธุรกิจ
🟥 แต่กลับจะถูกนำไปสร้างประโยชน์ให้กับคู่แข่ง ซึ่งอาจทำให้ดุสิตธานีเสียหายจนยากจะแก้ไข ซึ่งไม่เป็นธรรมต่อผู้ถือหุ้น คู่ค้า รวมถึงผู้บริโภคที่จะขาดตัวเลือกในการแข่งขัน เพราะแบรนด์ดุสิตธานีอาจหายไปจากตลาดได้
สำหรับการพิจารณาในวาระที่ 3 ที่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ (บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด) ยื่นถอดถอนผม ซึ่งปรากฏว่า ผู้ถือหุ้นที่เข้าร่วมประชุมและมีสิทธิออกเสียง จำนวน 420 ราย คิดเป็น 86.9565% ของจำนวนผู้เข้าประชุมและมีสิทธิออกเสียงลงคะแนน “ไม่เห็นด้วย”
ทำให้วาระดังกล่าวไม่ได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น ซึ่งผมต้องถือโอกาสนี้แสดงความขอบคุณอย่างจริงใจต่อผู้ถือหุ้นรายย่อยทุกท่าน ที่ได้ร่วมกันปกป้องและสนับสนุนให้ “ดุสิตธานี” ยังคงดำเนินการภายใต้การบริหารงานของคณะกรรมการชุดเดิม เพื่อเกียรติและศักดิ์ศรีของแบรนด์ไทย
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา คณะกรรมการชุดปัจจุบัน รวมถึงคณะกรรมการที่พ้นวาระและไม่ได้รับการเสนอให้กลับมาดำรงตำแหน่ง คณะผู้บริหารและพนักงานของดุสิตธานีทุกคน ได้ทำงานด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจจริง เพื่อให้ดุสิตธานีสามารถปรับตัวและก้าวต่อไปอย่างสง่างามในยุคใหม่
จุดเปลี่ยนสำคัญ คือ ช่วงเวลาที่ต้องรื้อโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ แห่งเดิม ซึ่งหากไม่ลงมือทำอะไรเลย ดุสิตธานีก็อาจไม่สามารถแข่งขันได้อีกต่อไป
เราจึงตัดสินใจริเริ่มโครงการ “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” เพื่อยกระดับดุสิตธานีให้ก้าวทันโลก แต่ยังคงรักษาเอกลักษณ์ความเป็นไทยไว้ในทุกมิติ ผมและทีมงานได้หาพันธมิตร ร่วมกันวางแผนทางการเงินอย่างรอบคอบ เพื่อให้โครงการสำเร็จได้โดยไม่สร้างภาระให้แก่ผู้ถือหุ้น
แม้ช่วงเวลาที่ท้าทายที่สุด คือ ช่วงสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งสร้างผลกระทบอย่างรุนแรงต่อธุรกิจโรงแรมทั่วโลก แต่พวกเราไม่เคยหยุดนิ่งหรือยอมแพ้ ยังคงเดินหน้าอย่างมุ่งมั่นเพื่อให้โครงการดำเนินต่อไปได้โดยไม่ต้องเพิ่มทุน และไม่รบกวนผู้ถือหุ้น การตัดสินใจในครั้งนั้น เกิดจากความตั้งใจที่จะรักษาผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นเดิมให้ดีที่สุด
ผลจากความร่วมแรงร่วมใจและศรัทธาของทุกฝ่าย วันนี้ “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ความพยายามไม่สูญเปล่า และโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ สามารถกลับมาเปิดให้บริการอย่างสมศักดิ์ศรี ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติมากมาย
ขณะเดียวกัน “สวนดุสิต อรุณ” สวนลอยฟ้ากว่า 7 ไร่ ซึ่งเราทุ่มเทแรงใจและการลงทุนอย่างมาก เพื่อสร้างเป็นพื้นที่สีเขียวแห่งใหม่ให้คนกรุงเทพฯ ได้พักผ่อน และตั้งใจให้สวนแห่งนี้เป็นหัวใจของโครงการที่สะท้อนอัตลักษณ์ความใส่ใจต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ก็ได้รับการตอบรับจากสาธารณชนเป็นอย่างดี จนกลายเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นที่ทำให้โครงการนี้แตกต่างอย่างแท้จริง
ในขณะเดียวกัน โครงการที่พักอาศัย “ดุสิต เรสซิเดนเซส” ก็ประสบความสำเร็จในการขายกว่า 90% และจะสร้างรายได้จำนวนมากให้แก่บริษัท ส่วนอาคารสำนักงานและศูนย์การค้าก็เปิดให้บริการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ท่ามกลางความสำเร็จของดุสิตธานีในวันนี้ ผมรู้สึกซาบซึ้งและตื้นตันใจอย่างยิ่ง ที่ได้เห็นพลังของความเชื่อมั่นที่ทุกท่านมอบให้ ไม่เพียงต่อผมในฐานะทายาทผู้ก่อตั้ง กรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แต่ยังรวมถึงความศรัทธาที่ทุกท่านมีต่อ “ดุสิตธานี” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นไทย และเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่เราทุกคนภาคภูมิใจร่วมกัน
ผมขอให้คำมั่นสัญญาว่า จะยังคงทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ โปร่งใส และยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาล เพื่อให้ “ดุสิตธานี” ก้าวต่อไปอย่างมั่นคง และเป็นมรดกที่ยั่งยืนสู่คนรุ่นหลัง ตามเจตนารมณ์ของท่านผู้ก่อตั้ง
ด้วยความเคารพอย่างสูง
ชนินทธ์ โทณวณิก
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม
และรักษาการประธานกรรมการ
บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน)
29 กันยายน 2568

  🔴 วิเคราะห์ตลาดบ้านหรู อาจเป็นได้ทั้งพลุฉลอง และระเบิดเวลาKKP วิเคราะห์ กระแสการพัฒนาโครงการบ้านหรูระดับราคา 25–100 ล้...
29/09/2025

🔴 วิเคราะห์ตลาดบ้านหรู อาจเป็นได้ทั้งพลุฉลอง และระเบิดเวลา
KKP วิเคราะห์ กระแสการพัฒนาโครงการบ้านหรูระดับราคา 25–100 ล้านบาท กำลังขยายตัวในปี 2568–2569 เมื่อผู้พัฒนาขนาดกลางและผู้เล่นรายใหม่จำนวนมากหันเข้ามาลงสนาม ด้วยเหตุผลว่าตลาดแมสเริ่มอิ่มตัว กำลังซื้อถดถอย และมาร์จิ้นของบ้านหรูสูงกว่ามาก ขณะที่ผู้ซื้อกลุ่มบนยังมีศักยภาพทางการเงินมั่นคง
สายงานสินเชื่อธุรกิจ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร วิเคราะห์เบื้องหลังโอกาสที่ดูหรูหราว่ายังเต็มไปด้วยโจทย์ที่เข้มข้นกว่าที่คาด บ้านหรูไม่ใช่ตลาดกว้าง หากเป็นตลาดที่มีดีมานด์เฉพาะเจาะจงและจำกัด
ยอดขายจริงของทั้งกรุงเทพฯ และปริมณฑลอยู่เพียง 700–800 ยูนิตต่อปี โดยกระจุกตัวในช่วงราคา 25–50 ล้านบาทเป็นหลัก
การขยับผิดในทำเล การออกแบบ หรือการตั้งราคา ไม่ได้หมายถึงการขายช้าเท่านั้น แต่เสี่ยงต่อการสูญเสียสภาพคล่อง ต้นทุนจม และความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของผู้พัฒนาโดยตรง
นี่คือสมรภูมิที่ความเข้าใจลึกและการวางแผนแม่นยำจะเป็นตัวตัดสิน ไม่ใช่เพียงการ “ตามเทรนด์” ผู้พัฒนาที่ก้าวเข้าสู่ตลาดโดยไร้กลยุทธ์ อาจเผชิญความเสี่ยงราวกับถือระเบิดเวลา แต่ผู้ที่เข้าใจความต้องการจริง และเลือกทำเลที่ตอบโจทย์อย่างเฉียบคม จะสามารถพลิกโอกาสให้กลายเป็นชัยชนะเหนือการแข่งขันได้
🟥 การเข้ามาของบ้านหรู: กลยุทธ์ หรือความเสี่ยง?
การพัฒนาโครงการบ้านหรูระดับราคา 25-100 ล้านบาทขึ้นไป ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ในปี 2568-2569 เริ่มมีแนวโน้มที่นักพัฒนาขนาดกลางและรายใหม่หลายรายเข้ามาลงสนามนี้มากขึ้น ด้วยเหตุผลว่า ตลาดแมสมีการแข่งขันสูง และมีกำลังซื้ออ่อนลง บ้านหรูมีมาร์จิ้นสูงกว่า ลูกค้ากลุ่มบนมีภูมิคุ้มกันเศรษฐกิจดีกว่า แต่ในอีกมุมหนึ่ง ถ้าไม่วางแผนอย่างรอบคอบ บ้านหรูก็อาจกลายเป็น “กับดักของความหวัง” ที่ใช้ต้นทุนสูง เสี่ยงสูง และหมุนทุนได้ช้า
แม้บ้านหรูจะดูน่าสนใจ แต่ตลาดนี้ไม่ใช่ตลาดเปิดกว้างแบบบ้านระดับกลาง โดยดีมานด์มีลักษณะเฉพาะเจาะจงมาก เช่น ผู้ซื้อส่วนใหญ่ซื้อด้วยเงินสด มองหาคุณภาพชีวิต ไม่ใช่แค่ขนาดพื้นที่ ต้องการความเป็นส่วนตัว และความมีเอกลักษณ์ ในขณะที่ซัพพลายจากนักพัฒนาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในหลายทำเล ทำให้เริ่มเกิดภาวะล้นตลาดเฉพาะจุด
เพื่อให้เห็นปริมาณความต้องการบ้านหรูในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ข้อมูลระบุว่ายอดขายบ้านหรูที่มีระดับราคา 25-100 ล้านบาทขึ้นไป อยู่ที่ประมาณ 700-800 ยูนิตต่อปี หรือเท่ากับ 8-10% ของยอดขายบ้านเดี่ยวทั้งหมด ซึ่งเมื่อพิจารณาในเชิงสัดส่วนตามระดับราคา สามารถจำแนกได้ดังนี้
-ระดับราคา 25-50 ล้านบาท มีสัดส่วนสูงสุดที่9%
-ระดับราคา 50-75 ล้านบาท อยู่ที่5%
ระดับราคา 75-100 ล้านบาท อยู่ที่4%
-ระดับราคา 100 ล้านบาท ขึ้นไป มีเพียง3% ของยอดขายบ้านเดี่ยวทั้งหมด
ตัวเลขเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความต้องการที่แตกต่างกันอย่างมากในแต่ละกลุ่มราคา โดยตลาดส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในบ้านหรูระดับ 25-50 ล้านบาท ขณะที่กลุ่มบ้านราคาสูงเกิน 75 ล้านบาทขึ้นไปมีความต้องการค่อนข้างจำกัด
ดังนั้นการเข้ามาผิดที่ผิดทางโดยไม่สอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริง อาจนำไปสู่ความเสี่ยงด้านการขายและผลตอบแทนที่ไม่เป็นไปตามคาด ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไม่ปรารถนา
🟥 รู้ชัดทำเลดี ทำเลแย่ บ้านหรู
หากพิจารณาในแต่ละระดับราคา พบว่าความต้องการบ้านหรูมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยสามารถสรุปทำเลที่มียอดขายสูงและทำเลที่มีบ้านเหลือขายมากที่สุดได้ดังนี้
-ระดับราคา 25-50 ล้านบาท ทำเลที่มียอดขายสูง คือ โซนพุทธมณฑล เพชรเกษม กรุงเทพกรีฑา-พัฒนาการ และบางนา-ตราด และเหลือขายมากที่สุดคือ โซนตลิ่งชัน คลองลัดมะยม บางนา วงแหวน บางแวก และพุทธมณฑล
-ระดับราคา 50-75 ล้านบาท ทำเลที่มียอดขายสูง คือ โซนกรุงเทพกรีฑา-พัฒนาการ พุทธมณฑล เพชรเกษม และสาทร-พระราม 3 และเหลือขายมากที่สุดคือ โซนบางนา ตราด กรุงเทพกรีฑา-พัฒนาการ และดอนเมือง-วิภาวดี
-ระดับราคา 75-100 ล้านบาท ทำเลที่มียอดขายสูง คือ โซนบางนา-ตราด พัฒนาการ-พระราม 9 และสีลม-สาทร และเหลือขายมากที่สุด คือ โซนกรุงเทพกรีฑา-พัฒนาการ บางนา-ตราด และดอนเมือง-วิภาวดี
-ระดับราคา 100 ล้านบาทขึ้นไป ทำเลที่มียอดขายสูง คือ โซนพัฒนาการ กรุงเทพกรีฑา และเลียบด่วนเอกมัย-รามอินทรา และเหลือขายมากที่สุด คือ โซนราชพฤกษ์ และกรุงเทพกรีฑา
-ในแต่ละโซนอาจมีทั้งระดับราคาที่ขายดีที่สุด และเหลือขายมากสุด อาจมีการซ้ำกันในโซนเดียวกัน ซึ่งจะแสดงให้เห็นถึงความต้องการที่มาก การแข่งขันที่สูง และบ้านเหลือขายจำนวนมาก การที่มียอดขายที่ดี แต่เหลือขายมากในโซนเดียวกัน อาจทำให้เกิดการแข่งขันที่รุนแรง และอาจนำไปสู่สงครามลดราคา
🟥 เลือกถูกจะเป็นดั่งพลุฉลอง เลือกผิดจะเป็นระเบิดเวลา
ทำเลเป็นปัจจัยสำคัญสูงสุดของการพัฒนาบ้านหรู ซึ่ง “ทำเลดี” สำหรับบ้านหรูไม่ได้แปลว่าใกล้รถไฟฟ้าหรือศูนย์การค้าเสมอไป แต่ต้องมีลักษณะพิเศษ เช่น ซอยเงียบ มีความเป็นส่วนตัว วิวธรรมชาติ หรือพื้นที่สีเขียวมาก ใกล้โรงเรียนนานาชาติ โรงพยาบาลชั้นนำ ความมีชื่อเสียงของทำเลที่บ่งบอกสถานะ
ในขณะเดียวกัน ทำเลที่ถูกมองว่าดี สำหรับคอนโด หรือบ้านระดับกลาง เช่น ย่านแนวรถไฟฟ้าที่แออัด อาจกลับกลายเป็นทำเลแย่ สำหรับบ้านหรู เพราะไม่ตอบโจทย์ความเงียบสงบและความเป็นส่วนตัวที่ลูกค้าต้องการ
บ้านหรูไม่ใช่สินค้าสำหรับตลาดแมส ดังนั้นการเลือกผิด เช่น ทำเลไม่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมาย แบบบ้านไม่แตกต่างจากบ้านทั่วไป หรือ ราคาตั้งสูงเกินคุณค่า จะกลายเป็นระเบิดเวลา เพราะการปล่อยของไม่ได้ จะทำให้ทุนจม สภาพคล่องหาย และภาพลักษณ์แบรนด์เสียหาย
แต่หากพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายจริงๆ ด้วยทำเล การออกแบบ และคุณค่าที่แท้จริง โครงการเหล่านี้จะเปล่งประกายได้เหมือนพลุที่จุดติดทันทีแม้ในช่วงตลาดเงียบ
🟥 อะไรที่ทำให้บ้านหรู เป็นมากกว่าบ้าน
เหนือไปกว่าจำนวนห้องนอน ห้องน้ำ และวัสดุที่หรูหรา บ้านหรูในยุคใหม่ยังต้องมาพร้อมมาตรฐานด้านความแข็งแรงและการป้องกันภัยพิบัติ ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างต้านแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหว การเลือกใช้วัสดุทนทานต่อสภาพอากาศ ไปจนถึงระบบระบายน้ำที่ป้องกันน้ำท่วม
สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่าความหรูหราไม่ได้หมายถึงความงดงามภายนอกเท่านั้น แต่รวมถึงความมั่นใจว่าบ้านจะคงคุณค่าและปลอดภัยในทุกสถานการณ์ ตัวอย่างเช่น ระบบหลังคากันแรงลม (Impact-Resistant Roofing) ต้านทานพายุและฝนตกหนัก
วัสดุกันน้ำและกันเชื้อรา (Waterproof & Anti-Mold Materials) ป้องกันน้ำท่วมขังและความชื้น กระจกนิรภัยหลายชั้น (Laminated & Tempered Glass) ลดความเสี่ยงการแตกกระจาย คอนกรีตเสริมใยแก้ว (Fiber Reinforced Concrete – FRC) เพิ่มความยืดหยุ่นและต้านแรงสั่นสะเทือน เป็นต้น
🟥 กลยุทธ์นักพัฒนาบ้านหรูปี 2568–2569: ความเข้าใจลึกคือตัวตัดสินเกม
นักพัฒนาบ้านหรูที่จะประสบความสำเร็จในปี 2568-2569 จะต้องไม่ใช่แค่ตามเทรนด์ แต่ต้องมีความเข้าใจ “ความต้องการเฉพาะของลูกค้าเฉพาะ” อย่างลึกซึ้งในทุกมิติ
การปรับตัวของผู้พัฒนาอาจครอบคลุมตั้งแต่ออกแบบบ้านให้สามารถปรับแต่งได้ (Customizable) เพื่อตอบโจทย์รสนิยมเฉพาะของลูกค้า การใช้วัสดุหายากหรือการนำเข้าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ รวมถึงการจัดตั้งทีมดูแลหลังการขายระดับพรีเมียมที่ให้บริการเหนือความคาดหมาย
ตลอดจนการสร้างเรื่องเล่าของโครงการเพื่อสื่อสารถึงความเป็นเอกลักษณ์และคุณค่าของแบรนด์ และที่สำคัญที่สุดคือ การเลือกทำเลเฉพาะที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์และความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย เช่น ย่านที่เป็นที่นิยมของชาวต่างชาติ โซนใกล้สนามกอล์ฟ หรือพื้นที่ที่มีคุณค่าในฐานะที่ดินผืนหายาก ซึ่งจะช่วยสร้างภาพลักษณ์ความพิเศษและเพิ่มมูลค่าให้โครงการในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม ตลาดบ้านหรูในปี 2568-2569 ไม่ใช่ตลาดที่ทุกคนสามารถเข้ามาได้และไม่ใช่สนามที่ปราศจากความเสี่ยง หากผู้พัฒนามีข้อมูลชัดเจน เข้าใจลูกค้า รู้จักทำเล และสามารถสร้างคุณค่าที่แท้จริง โครงการจะเปล่งประกายราวกับดอกไม้ไฟที่ส่องแสงกลางค่ำคืนอันเงียบสงบ
แต่ในทางกลับกัน หากก้าวเข้าสู่ตลาดโดยขาดกลยุทธ์ พึ่งพาเพียงภาพฝัน บ้านหรูอาจกลายเป็นระเบิดเวลา ที่รอวันสะท้อนความเสียหายในงบการเงิน
ในสนามแข่งขันนี้ ความเข้าใจลึกคืออาวุธสำคัญ และการเลือกให้ถูกคือหัวใจของเกม ผู้ที่ตัดสินใจได้แม่นยำเท่านั้นที่จะยืนอยู่เหนือการแข่งขันและสร้างความสำเร็จได้

ที่อยู่

Krungthonburi Road
Bangkok
10600

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Marketeer Onlineผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง Marketeer Online:

แชร์