ลาไปอ่านหนังสือ

ลาไปอ่านหนังสือ ลาไปอ่านหนังสือ แต่...ไม่ลาก็อ่านได้นะ

24/09/2025

วันนี้พกเล่มไหนมาอ่านกัน...

แด่ทุกคนที่ผ่านเข้ามา และผ่านไป แต่กลับมีอยู่หนึ่งคนที่จะอยู่กับเราไปตลอด ไม่ว่าจะยามสุขหรือทุกข์ คนๆ เดียวที่ไม่เคยทอดท...
23/09/2025

แด่ทุกคนที่ผ่านเข้ามา และผ่านไป แต่กลับมีอยู่หนึ่งคนที่จะอยู่กับเราไปตลอด ไม่ว่าจะยามสุขหรือทุกข์ คนๆ เดียวที่ไม่เคยทอดทิ้งเรา และพร้อมจะอยู่เคียงข้างเราเสมอ

นั่นก็คือ ’ตัวเราเอง‘ เพราะงั้นหากเป็นไปได้ การที่เราจะใจดีกับตัวเองบ้าง ผ่อนปรนให้รู้สึกดีบ้าง และใช้ชีวิตให้มีคุณค่าตามที่เราคู่ควรกับชีวิตที่ดี ราวกับแต่ละวันคือ ’ของขวัญที่ดีที่สุด’ เพราะไม่มีใครล่วงรู้อนาคตเลยว่าวันพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น
และเราจะเป็นอย่างไร...

แต่ตอนนี้และเวลานี้
'ชีวิตคือ... ของขวัญ‘

หลังจากผ่านการใช้ชีวิตมาประมาณหนึ่ง ผมก็รู้สึกถึงบทบาทที่แต่ละคนในสังคมนี้มีต่อกัน คล้ายกับความสัมพันธ์ในรูปแบบของสามเหล...
23/09/2025

หลังจากผ่านการใช้ชีวิตมาประมาณหนึ่ง ผมก็รู้สึกถึงบทบาทที่แต่ละคนในสังคมนี้มีต่อกัน คล้ายกับความสัมพันธ์ในรูปแบบของสามเหลี่ยม แต่... เป็นสามเหลี่ยมที่ความสัมพันธ์นั้นติดขัดและ toxic มากๆ

สามเหลี่ยมที่สร้างปัญหาให้เราในแต่ละวันจะเริ่มต้นดังนี้
(1) มีใครสักคนเล่นบทเหยื่อที่ถูกกระทำซ้ำๆ อยู่ตลอดเวลา เหยื่อที่ไม่เคยกล่าวโทษตัวเอง แต่... มองเห็นทุกอย่างผิดพลาดและทำร้ายตัวเองอยู่ตลอดเวลา

(2) คนข่มเหงที่อยู่ในสังคมไม่ว่าจะในครอบครัวหรือที่ทำงาน บางทีอาจจะเป็นคนที่มีอำนาจก็ได้ คนเหล่านี้จะใช้วิธีต่อว่าและหยิบยกคำพูดแรงๆ ต่อเหยื่อ ทำให้เหยื่อตกอยู่ในสถานะลำบาก โดยคิดว่านี้เป็นวิธีที่จะทำให้เหยื่อรู้สึกผิดและอยากจะแก้ไข แต่... ไม่ใช่เลย ยิ่งืำแบบนี้เหยื่อก็ยิ่งรู้สึกแย่ และสุดท้าย

(3) ผู้ช่วยเหลือ... คนที่พร้อมจะช่วยเหลือเหยื่ออยู่ตลอดเวลา ราวกับว่านี้เป็นหน้าที่ที่เขาต้องทำ แม้ว่าเหยื่อเองอาจจะไม่ได้ร้องขอให้ช่วยก็ตาม...

ด้วยการดำเนินในลักษณะนี้ นึกภาพของ ‘โนบิตะ’ ที่เป็นเหยื่อ โดยมีไจแอนท์เป็นผู้ข่มเหง และโดราเอมอนที่ให้ความช่วยเหลือ สามเหลี่ยมแบบนี้... จะทำให้โนบิจะไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้จริงๆ เสียที การพึ่งพาโดราเอมอน... จึงกลายเป็นวงจรที่วนลูปไม่รู้จบ

และเอาเข้าจริง ‘เราเองก็... อาจจะเป็นได้ทั้งเหยื่อ ผู้ข่มเหง และผู้ช่วยเหลือ’ ในสังคมปัจจุบัน ด้วยความรู้สึกแย่บ้าง ดีบ้าง หลอกตัวเองบ้าง แต่ไม่มีครั้งไหนที่เราจะมีความสุขได้จริงๆ เลย เพราะงั้น ‘เราน่าจะต้องยุติความสัมพันธ์แบบสามเหลี่ยมติดขัดรูปแบบนี้ดีกว่า’

หนังสือ ‘ทุกปัญหาในชีวิตแก้ได้ด้วยกฎสามเหลี่ยมแห่งความสัมพันธ์‘ ได้แนะให้เราทุดคนเปลี่ยนสถานะจาก
- เหยื่อ เป็นครีเอเตอร์... หรือผู้สร้างเส้นทางและเลือกสิ่งที่เราเลือกได้
- ผู้ข่มเหง จะเปลี่ยนสภาพเป็นชาเลนเจอร์... ทั้งในเชิงสร้างสรรค์ และเชิงกดดัน แต่... อยู่บนพื้นฐานของ ’ความตั้งใจให้สิ่งต่างๆ ออกมาดี‘
- ผู้ช่วยเหลือ จะกลายเป็นโค้ชที่จะให้คำแนะนำดีๆ และช่วยเหลือเมื่อครีเอเตอร์ต้องการ

และก่อนที่สามเหลี่ยมแบบใหม่นี้จะเกิดขึ้น เราต้องปรับทัศนคติจากเหยื่อเป็นครีเอเตอร์ให้ได้เสียก่อน
- เลิกจมกับอดีต
- เลิกกล่าวโทษคนอื่น
- ลงมือแก้ไข
- ค้นหาคนที่จะให้คำแนะนำ
- พูดและคิดในทิศทางที่สามารถแก้ไขได้

โดยรวมหนังสือเล่มนี้ชวนให้เราคิดถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมปัจจุบัน การเล่นบทเหยื่ออาจจะง่าย... แค่ร้องไห้ เรียกร้อง ก็ได้รับการช่วยเหลือ แต่เราจะไม่มีทางออกจากวังวนนี้ได้เลย และเราต้องร้องขอสิ่งต่างๆ ต่อไปหรือ กลับกันหากเราเลือกที่จะเป็นผู้ที่ลงมือทำ และแก้ไขปัญหาต่างๆ ก่อนด้วยตัวเอง น่าจะเป็นสิ่งที่ดีกว่าไม่ใช่หรือ...

เป็นอีกเล่มที่ดึงให้เรากลับมาสนใจและใส่ใจในตัวเองผ่านการปรับเปลี่ยนความคิดของเราให้ ’โอบรับกับการจัดการและมองปัญหาในมิติที่เราแก้ไขได้ด้วยตัวเองในเบื้องต้นก่อน‘

Amarin HOW-TO

พอเราโตขึ้น... การ์ตูนก็เป็นสิ่งที่ไม่ได้ให้แค่ความสนุกเสียอย่างนั้นทุกวันนี้แต่ละคำพูด และข้อความของ ‘การ์ตูน’ แทบจะทุก...
23/09/2025

พอเราโตขึ้น... การ์ตูนก็เป็นสิ่งที่ไม่ได้ให้แค่ความสนุกเสียอย่างนั้น

ทุกวันนี้แต่ละคำพูด และข้อความของ ‘การ์ตูน’ แทบจะทุกเรื่องนั้นขยายขอบเขตกว้างมากขึ้น โดยเฉพาะทำให้เรารู้สึกถึงคุณค่าและความหมายของการมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไหนก็ตาม และ.. นั่นไม่ได้หมายความว่าเราจะเพียงแค่ใช้ชีวิตไปวันๆ อยู่ปัจจุบัน

บางทีเราอาจจะพบกับสิ่งที่ทำให้เรา ‘อยากจะหยุดค้นหา’ และเลือกทางเดินที่เรียบง่ายกับ ‘สิ่งที่เราต้องการ’

โลกที่ไม่ได้มีเพียงแค่เก่งกับไม่เก่ง สีดำกับสีขาว ความดีกับความชั่วร้าย ในพื้นที่ตรงกลางนั้นกลับมี ‘อีกหลายอย่างที่อยู่ตรงนั้น’

คนเรานั้นมีความเก่งด้วยกันทั้งหมดแหละ ขึ้นอยู่กับว่าเรามองเห็นมากน้อยแค่ไหน...

พอดีหยิบ ‘Sakamoto Days' มาอ่านก็เลยยิ่งรู้สึก ‘ถึงข้อความที่เขียนไว้ข้างต้น’ ขึ้นไปอีก
ภาพของคุณ Sakamoto ที่ยอมวางมือเพื่อใครสักคนที่ตัวเองรัก และเลือกใช้ชีวิตธรรมดา กับการเป็นเจ้าของร้านสะดวกซื้อเล็กๆ..

ลึกเข้าไปอีก
เราเห็นภาพครอบครัวที่อบอุ่น ความสุขที่เรียบง่าย และที่สำคัญหากพิจารณาในมุมนี้แล้ว เราอาจจะไม่ได้ต้องการอะไรเพิ่มเติมอีกก็ได้ แต่... ในแง่ของความสัมพันธ์นั้นต่างออกไป คนเราจะมีความสุขและคงระดับของความสุขได้นั้น ตรงมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนอื่นๆ ด้วย

การที่คุณ Sakamoto เลือกจะทำให้บางคนอย่าง ‘ชิน’ เลือกเส้นทางชีวิตได้ดีขึ้น ผ่านการทำ..ให้เห็น มากกว่าการสอนด้วยคำพูดนั้น มีพลังในการเปลี่ยนแปลงชีวิตของคนเราได้ดีกว่า

และในความลึกนั้น การใช้ชีวิตที่ดีเพื่อตัวเอง อาจจะยังไม่พอ เรายังต้องกระตุ้นและใช้ชีวิตนั้นเพื่อใครสักคน (หรืออีกหลายคน) ให้มีชีวิตและเลือกทางเดินที่เหมาะสมกับคนๆ นั้น ย่อมทำให้ชีวิตของเรามีคุณค่าและความหมายมากขึ้น

แต่ก็อีกแหละ ชีวิตนั้นไม่เคยง่ายสำหรับเราและใครอีกหลายคน ต่อให้เราอยากใช้ชีวิตที่เรียบง่าย กลับยังมีคน.. มีทำให้เราเดือดร้อน และเหนื่อยล้าในชีวิตเสมอ แต่กับคุณ Sakamoto ทุกอย่างนั้นง่ายมาก เท่าที่เห็น... เขาก็แค่เดินหน้าต่อไป ทำในสิ่งที่ตัวเองต้องทำ และกลับไปอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยของตัวเองกับคนที่ตัวเองรัก

และบางที… การมีพื้นที่เล็ก ๆ ที่เรากลับไปได้เสมอ อาจเป็นคำตอบของ “ความสุข” ก็ได้

ปล.
เดี๋ยวนี้ผมใช้เวลาอ่านหนังสือการ์ตูน 1 เล่ม... นานขึ้นเยอะเลย 😅😅

ส่วนตัวก็นึกภาพไม่ออกเท่าไหร่นักว่า 'การใช้ชีวิตที่มีอยู่นั้นจะสามารถนำมาบอกเล่าผ่านเรื่องราวต่างๆ ของชีวิตในแต่ละช่วงได...
22/09/2025

ส่วนตัวก็นึกภาพไม่ออกเท่าไหร่นักว่า
'การใช้ชีวิตที่มีอยู่นั้นจะสามารถนำมาบอกเล่าผ่านเรื่องราวต่างๆ ของชีวิตในแต่ละช่วงได้อย่างไร' แต่... กับหนังสือเล่มนี้แม้ว่าจะมีจำนวนหน้าเพียง 100 หน้านั้น มีเนื้อหามีน่าสนใจและชวนให้เราคิดตามไปในแต่ละบทราวกับเรากำลังอ่านหนังสือพัฒนาตัวเอง หนังสือฮีลใจ หนังสือที่มีเรื่องของความรักในรูปแบบต่างๆ และ... นิยายเล่มเล็กๆ

ถ้าให้อธิบาย... ขยายความ 'ผลิบานตลอดการมีชีวิต'
ผมคงต้องเริ่มที่บทแรกว่าด้วยความรัก คุณวันวิสาข์ (ผู้เขียน) ให้ภาพของวิชาความรัก 101 ได้ดีงามมาก
จาก... ความรักที่ต้องการเป็นทุกอย่าง สู่รูปแบบของการเว้นระยะห่าง เพื่อให้ต่างฝ่ายสามารถใช้ชีวิตและมีพื้นที่สำหรับการทำสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเอง อย่างน้อยเมื่อเราทำบางสิ่งได้เอง เราจะเกิดความรู้สึกภูมิใจในสิ่งนั้น

โลกของความรัก..​ เริ่มต้นด้วยความรักที่มีวงกลมสองวงทับซ้อนกัน แล้วก็ค่อยๆ ขยับออก เพื่อให้แต่ละคนมีพื้นที่สำหรับทำสิ่งที่ต้องทำ ใช้ชีวิตในแบบที่ต้องใช้
การเว้นระยะไม่ได้หมายความว่าเรารักกันน้อยลง แต่... เป็นการเพิ่มพื้นที่และเวลาให้กับแต่ละคนได้คิดทบทวนสิ่งต่างๆ
และการเฝ้ามองดูอยู่ห่างๆ ก็ไม่ได้หมายถึง เราถูกละเลย แต่... เป็นความพยายามจะให้กำลังใจสำหรับอีกฝ่ายที่อยากให้ 'เรายืนได้ด้วยตัวเอง'

บทต่อมา...
ว่าด้วยเรื่องของการใช้ชีวิต แน่นอนว่าเราทุกคนไม่สามารถย้อนกลับไปคิดถึงสิ่งที่ผ่านมาแล้วได้ โลกของคำว่า 'ถ้า' นั้น ไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลย การที่เรามายืนอยู่ตรงจุดนี้ แปลว่า 'เราเลือกแล้ว' แม้ว่าสิ่งที่เราเลือกนั้นอาจจะเกิดขึ้นจากข้อจำกัดมากมาย... วันนี้ต่างหากที่เรายังสามารถจัดการและแก้ไขปัญหาได้
สิ่งที่เราต้องทำคือการ 'ตั้งคำถามว่าเราจะทำอะไรและทำอย่างไร' หากเราล้มลง หรือผิดพลาด ซึ่งคำตอบก็คือ 'ลุกขึ้นและทำสิ่งนั้นใหม่อีกครั้ง'

ขณะเดียวกัน
ตลอดช่วงเวลา สิ่งที่เรากลัวและกังวลมากที่สุดก็คือ 'การเปลี่ยนแปลง' เพราะการเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นสิ่งที่เราไม่รู้เลยว่าจะเกิดขึ้นตอนไหน
จากเด็กสู่วัยรุ่น
จากวัยรุ่นก้าวสู่การเป็นผู้ใหญ่
และ... วัยที่เริ่มเผชิญหน้ากับภาวะเรี่ยวแรงถดถอย
เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องปกติที่เราเลี่ยงไม่ได้ สิ่งเดียวที่เราต้องทำก็คือ 'การยอมรับ' และปรับวิถีชีวิตให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นให้ได้

ยังมีอีกหลายเรื่องที่ชีวิตของเราต้องดำเนินต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะ 'ผลิบาน'
แต่...
สำหรับผมเอง เมื่อมองย้อนกลับไปในแต่ละช่วงเวลา เราไม่เคยนำสูตรสำเร็จที่หยิบยืมมาจากคนอื่น หรือหนังสือเล่มไหนมาใช้ได้ทันทีเลย... เพราะทุกคนนั้นแตกต่างกัน แม้จะมีจุดร่วมบางอย่างที่คล้ายกันบ้าง แต่... สูตรเหล่านั้นก็ยังต้องนำมาปรับแต่งและประยุกต์ให้เข้ากันเราทุกครั้ง

และเมื่อทุกอย่างถึงพร้อม เราเองก็สามารถที่จะผลิบานตลอดการมีชีวิตได้อย่างแน่นอน

ความรู้สึกหลังอ่าน
เป็นเล่มที่ผมไม่ได้อ่านข้ามในทุกหน้าเลย... และทำให้ผมได้ทบทวน รวมถึงใคร่ครวญถึงคุณค่าและความหมายของการมีชีวิตอยู่ แม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่ทุกข์ก็ตาม... ทั้งหมดนี้อยู่ที่มุมมองของเราว่าจะจัดการและแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้อย่างไร

Espresso&Cigarette

เวลาผ่านไปเร็วมาก... ตอนนี้เหลืออีกราวๆ 3 เดือนเศษ สิ่ฃที่เคยตั้งใจเอาไว้ว่าจะทำตั้งแต่ต้นปียังมีหลายอย่างที่ไม่ได้เริ่ม...
22/09/2025

เวลาผ่านไปเร็วมาก... ตอนนี้เหลืออีกราวๆ 3 เดือนเศษ สิ่ฃที่เคยตั้งใจเอาไว้ว่าจะทำตั้งแต่ต้นปียังมีหลายอย่างที่ไม่ได้เริ่มต้นเลย

ส่วนใหญ่แล้วเรามักจะมี ‘ข้ออ้าง’ ดีๆ เสมอ เพราะงั้นผมอยากจะชวนให้เพื่อนๆ รวมถึงตัวเองมา ‘เขียนสิ่งที่ยังทำไม่เสร็จ หรือยังไม่ได้เริ่มทำ‘

- เมื่อเราเริ่มต้นเขียน... เราจะมีภาพชัดเจนขึ้น ระหว่างที่เขียนอีกสิ่งที่ขาดไม่ได้คือ ‘กรอบเวลาที่ลงมือทำ’
- เมื่อเขียนแล้ว... อย่าลืมติดสิ่งที่เขียนให้เรามองเห็นทุกวันได้ง่าย แบบนี้แล้วเราจะมีโอกาสทำมากกว่า และหาข้ออ้างได้น้อยลง
- ทบทวนเป็นระยะว่าเราเริ่มต้นทำแล้วเป็นอย่างไร มีอะไรเป็นอุปสรรคในการลงมือทำบ้าง แล้วเราจะจัดการกับปัญหาเหล่านี้ได้อย่างไร
- เมื่อทำไปได้สักพัก อย่าลืมฟีดแบคให้กับตัวเองอย่างตรงไปตรงมา เพื่อใช้ในการปรับปรุงแก้ไขข้อผิดพลาดต่างๆ
- ‘ข้อนี้สำคัญมาก’ ความสม่ำเสมอ ใช่ว่าทำแล้วจะนับว่าเป็นผลสำเร็จ ความต่อเนื่องในการลงทือทำต่างหากที่จะทำให้เราเอาชนะตัวเองได้

แรงผลักดันทำให้เราอยากเริ่มต้น แต่ความมีวินัยและความตั้งใจจะทำให้เราผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากและอุปสรรคต่างๆ ไปได้

Passion อย่าฃเดียวคงพาเราไปถึฃเป้าหมายไม่ได้ และการหยุดก็ไม่ได้แปลว่าเราจะยอมแพ้...ลองคิดถึง “สายยางยืดที่ดึงให้ตึงแล้วต...
21/09/2025

Passion อย่าฃเดียวคงพาเราไปถึฃเป้าหมายไม่ได้ และการหยุดก็ไม่ได้แปลว่าเราจะยอมแพ้...

ลองคิดถึง “สายยางยืดที่ดึงให้ตึงแล้วตึงอีก...” วันหนึ่งมันก็ขาด การพยายามอย่างเต็มที่โดยไม่หยุดพัก ผลสุดท้ายก็คงไม่ต่างกัน

ทุกวันนี้คนจำนวนไม่น้อย รวมถึงผมเองใช้ชีวิตเหมือนกับ “ทุกอย่างไม่มีวันสิ้นสุด” เราพยายามวิ่งไล่ตามความฝันและความหวัง ราวกับว่าไม่มีสิ่งใดที่อยู่ตรงหน้าดีพอให้เราไขว้คว้าไว้เลย

หลายครั้งที่เราเป็น “เดอะแบก” ของทุกคน ยกเว้นตัวเอง
เราพยายามทำให้ทุกคนพึงพอใจ ยกเว้นตัวเองอีกเช่นกัน จนเรา “เผาไหม้” พลังงานที่มีจนหมด และพอรู้ตัว... เราก็ไม่มีพลังพอที่จะลุกขึ้นทำสิ่งใดเลย

เราเบื่อ
เราเหนื่อย
เราท้อ
และเราอยากจะ “หยุด” ทุกๆ อย่างเอาไว้แค่นี้

โอเคเลยที่เราจะรู้สึกแบบนี้ได้ แล้วจะทำอย่างไรดีนะ ส่วนตัวยอมรับตรงๆ ว่า
“เป็นไปไม่ได้ที่จะรู้สึกดีขึ้นในเวลาอันสั้นกับสถานการณ์เดิมๆ ที่เรายังต้องเจอ“

แต่ถ้าให้เริ่มต้นจริงๆ อย่างน้อย
(1) ลองกลับมาตั้งหลักกับตัวเอง
(2) หาบางอย่างที่ทำให้มีความสุขและสนุกที่ได้ทำ
(3) บางที “หยุด” พัก หาเวลาใช้กับตัวเองเงียบๆ คนเดียวก็ดี
(4) ใส่ใจตัวเองให้มากขึ้น
(5) เป็น “เดอะแบก” ได้ แต่อย่าลืมแบกตัวเองด้วยเช่นกัน
(6) ภาระต่างๆ เป็นหน้าที่ หลายครั้งที่งานอาจจะไม่สนุก เครียดและออกจะทำให้เราสูญเสียพลังไปเยอะ แต่... อย่าลืมว่า “งานก็ช่วยเติมเต็มบางสิ่งให้กับเรา” และถ้างานไม่ตอบโจทย์จริงๆ ก็แค่ “ค้นหาสิ่งที่ใช่กับเรามากกว่า”
(7) พลังใจมีวันหมดนะ จะเพิ่มขึ้นได้ ก็เพราะเราเอาใจใส่ตัวเอง
(8) พยายามหา “สมดุล” ของตัวเองให้เจอ งาน ครอบครัว ชีวิตส่วนตัว เติมให้เหลือ อย่าให้ขาด
(9) passion ไม่ได้มีแค่หนึ่ง เราอาจจะค้นพบสิ่งที่ชอบ และใช่ในอีกรูปแบบหนึ่ง บางครั้งไม่จำเป็นต้องเป็นคนลงมือทำเสมอไป แค่... อยู่ใกล้และสัมผัสก็โอเคแล้ว
(10) หมั่นทบทวนตัวเอง คิดถึงตัวเอง และคอยให้กำลังใจตัวเองให้ดี เพราะเราเองคือ “คนที่สำคัญที่สุด”

อย่าปล่อยให้ passion นำทาง... ไปตลอด พลังที่มีของเราก็อาจจะหมดไปได้ตลอดเส้นทาง ลองหันมาปรับเปลี่ยนตัวเองให้วินัย.. เป็นฝ่ายนำทาง และเอา passion เป็นเพื่อนร่วมทางบ้างก็น่าจะดีครับ

ใครไม่รอด ผมรอด... รอดที่ได้มาเข้ากองดองแล้ว ใครรู้ทัน คนนั้นรอด Aj. Trynh Phoraksa และ Time Anxiety Amarin HOW-TO
21/09/2025

ใครไม่รอด ผมรอด... รอดที่ได้มาเข้ากองดองแล้ว

ใครรู้ทัน คนนั้นรอด Aj. Trynh Phoraksa และ Time Anxiety
Amarin HOW-TO

เศรษฐศาสตร์ที่ดีต้องเป็นอย่างไรกันแน่ โดยมากแล้ว... คนทั่วไปมักจะมองแค่ผลลัพธ์ระยะสั้นๆ เท่านั้น เอาแค่ให้พอมีพอใช้ และไ...
21/09/2025

เศรษฐศาสตร์ที่ดีต้องเป็นอย่างไรกันแน่
โดยมากแล้ว... คนทั่วไปมักจะมองแค่ผลลัพธ์ระยะสั้นๆ เท่านั้น เอาแค่ให้พอมีพอใช้ และได้เห็นภาพของการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจที่คึกคัก ซึ่งเท่านี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ระบบเศรษฐกิจขับเคลื่อนด้วยความเชื่อมั่นได้ แต่...​ในระยะยาวหล่ะ เศรษฐกิจที่เกิดจากการกระตุ้นผ่านนโยบายที่เน้นประชานิยม หรือการดึงเอาเงินในอนาคตมาใช้จ่ายกับปัจจุบันจนกลายเป็นการก่อหนี้และสร้างภาระให้กับคนรุ่นถัดๆ ไป ถือว่าถูกต้องแล้วหรือ

เอาเข้าจริง
เศรษฐศาสตร์นั้นต้อง...​ขยับหรือยืดภาพที่มองเห็นในปัจจุบัน และระยะสั้นออกไปให้ไกลขึ้น ผลที่ดีควรจะเป็นภาพระยะยาว

หรือจะอธิบายสั้นๆ ด้วยประโยคนี้ก็ได้
“ศิลปะของเศรษฐศาสตร์คือการมองไปถึงผลกระทบไม่เพียงเฉพาะผลลัพธ์ทันทีและต่อกลุ่มคนหนึ่งเท่านั้น แต่ต้องมองผลระยะยาวและผลกระทบต่อทุกคน”

ตัวอย่างที่คลาสสิกมากถูกเล่าในหนังสือ Economics in one lesson : เศรษฐศาสตร์เล่มเดียวจบ ผ่านเด็กชายคนหนึ่งที่ทำกระจกของร้านแห่งหนึ่งแตก สำหรับบางคนที่มองในระยะสั้น.. จะรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะทำให้ช่างกระจกมีงานเพิ่ม แล้วก็กระตุ้นให้้เกิดการจ้างงานก่อนหน้าอีก แต่.. หากพิจารณาให้ดีในวงจรนี้ เจ้าของร้านกลับเป็นคนที่เสียประโยชน์ที่สุด ถ้ากระจกไม่แตก เจ้าของก็ไม่ต้องเสียเงินค่าซ่อม แล้วยังสามารถนำเงินไปลงทุนอย่างอื่นเพื่อสร้างรายได้ที่ก่อให้เกิดประโยชน์อื่นได้อีก

นี่แหละหลักคิดสำหรับบางคนที่มองผลเฉพาะหน้า จะมองว่ามองโลกบวกจนละเลยภาพกว้างก็น่าจะได้ เพราะงั้น...​หนังสือเล่มนี้จึงมีภาพที่ต้องการขยายให้ทุกคนมองทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ในเรื่องต่างๆ ให้กว้างขึ้น และยืดระยะเวลาออกไป พร้อมๆ กับมองเห็นปัญหาเชิงโครงสร้างในระยะสั้นต่างๆ อีกด้วย

ผมขอยกเฉพาะบางส่วนที่สะท้อนภาพสังคมในปัจจุบันที่รู้สึกว่า 'ใช่' เลย แม้ว่าหนังสือเล่มนี้จะเขียนเอาไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1946 ก็ตาม

(1) ภาษีและการใช้จ่ายของภาครัฐ (Taxes and Government Spending)
- เงินที่รัฐใช้จ่ายนั้นมาจากเงินภาษีของประชาชน ซึ่งส่วนใหญ่ถูกนำมาใช้จ่ายกับระยะสาธารณูปโภค เช่น ถนน สะพาน เงินอุดหนุนพืชผลการเกษตร แต่... เอาเข้าจริง สำหรับเอกชนกลับสูญเสียโอกาสไปพร้อมกันด้วย เนื่องจากการหักภาษีนั้น เอกชนเองก็ต้องลดการสร้างงานบางส่วนลงด้วย ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจึงกลายเป็นการโยกทรัพยากรส่วนหนึ่งไปทำอีกส่วนหนึ่งเท่านั้น

(2) เครดิตและเงินเฟ้อ (Credit and Inflation)
- จากปัญหาทางด้านการเงินที่ผ่านๆ มา ส่วนใหญ่แล้ว ธนาคารกลางจะพิมพิ์เงินเพิ่มเพื่อแก้ไขปัญหาระยะสั้น โดยนำเงินดังกล่าวมาเข้าซื้อสินทรัพย์บางอย่าง และกดดอกเบี้ยให้ต่ำลง เพื่อกระตุ้นการใช้จ่าย สำหรับบางอย่างที่มองเห็นโอกาสในการลงทุน จึงร่วมเข้าซื้อสินทรัพย์เสี่ยง ดันราคาสินทรัพย์เหล่าเพิ่มขึ้น จนกลายเป็นภาวะฟองสบู่ และเกิดปัญหาเงินเฟ้อ สุดท้ายระเบิดที่รอเวลาก็เริ่มต้นนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง วนเช่นนี้ไปเรื่อยๆ

(3) การควบคุมค่าเช่าหรือราคา (Price and Rent Control)
- สำหรับางขณะ การควบคุมราคาสินค้าและค่าเช่าต่างๆ ก่อให้เกิดปัญหาระยะยาวขึ้น เมื่อทุกอย่างถูกกำหนดให้ต่ำ ผู้ให้เช่า หรือผู้ประกอบการก็จำใจเลิกกิจการ หรือเลิกจ้างพนักงาน สุดท้ายปัญหาการว่างงานก็เกิดขึ้น จากความชะงักงันและความไม่แน่นอนว่าเหตุการณ์นี้จะดำเนินต่อไปอย่างไรและนานแค่ไหน

(4) สงครามการค้า (Trade war)
- ปัจจุบันเราได้ยินคำนี้มาพักใหญ่แล้ว โดยเฉพาะตั้งแต่ทรัปม์กลับมาเป็น ปธน. รอบสอง การตั้งกำแพงภาษี เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ และ America Great Again ก็ก่อให้เกิดปัญหาระหว่างประเทศขึ้นมากมาย ทั้งผู้บริโภคที่ต้องจ่ายสินค้าในราคาสูงขึ้น และประเทศก็สูญเสียโอกาสในการใช้ทรัพยากรในที่ต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ แต่... ข้อดีก็คือ เกิดการสร้างงานในประเทศผ่านการย้ายฐานการผลิตมาในประเทศของตน

เหล่านี้ล้วนแต่เป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการมองภาพในระยะสั้น สำหรับการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจทั้งนั้น อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าการแก้ไขปัญหาลักษณะนี้นั้นผิดพลาดเสมอไป เพราะเมื่อถึงเวลาจริงแล้ว ผู้นำและผู้กำหนดนโยบายทางการเงินจำเป็นต้องเลือกที่จะเยียวยาผลกระทบในระยะสั้นหรือยาวก่อน ความสำคัญและความหนักเบาของปัญหา แต่...
หนังสือเล่มนี้ก็ทำให้เราเข้าใจ 'วิธีการจัดการกับปัญหาด้วยการสร้างปัญหาใหม่ขึ้นมา...' อาจจะเลวร้ายกว่า หรือไม่ก็แย่น้อยกว่าก็เป็นได้

ความรู้สึกหลังอ่าน
ก็อย่างที่เล่าไว้ตั้งแต่ต้นแหละ ปัญหาทุกปัญหา เมื่อแก้ไขแล้วย่อมมีปัญหาใหม่งอกขึ้นมาเสมอ และ Economic in one lessons ก็ช่วยเตือนให้เราคิดถึงผลลัพธ์ที่มากกว่าแค่ระยะสั้นได้ดีกว่าที่ผ่านมา
- ทุกนโยบายทางการเงินที่เหมือนจะช่วยเหลือประชาชนและคนทั่วไปนั้น กลับซ่อนผลที่อาจจะเลวร้ายกว่าในระยะยาวก็เป็นได้ และ
- หน้าที่ของเหล่านักเศรษฐศาสตร์... และคนที่คิดได้ไกลในการกำหนดนโยบายต้องทำก็คือ "มองให้เห็นผลที่มองเห็นชัด และมองที่ซ่อนอยู่ให้ได้"

เช้านี้... หยิบ ebook-reader อ่าน แน่นอนว่าเราชอบ ‘หนังสือ’ เป็นเล่มมากกว่า แต่ด้วยบางเหตุผลการพกพาหนังสือจำนวนมากไปไหนม...
21/09/2025

เช้านี้... หยิบ ebook-reader อ่าน

แน่นอนว่าเราชอบ ‘หนังสือ’ เป็นเล่มมากกว่า แต่ด้วยบางเหตุผลการพกพาหนังสือจำนวนมากไปไหนมากไหนอาจจะไม่สะดวก
บางครั้งก็อาจจะ ‘อยากอ่าน’ ทันที แต่หาร้านหนังสือไม่ได้ เพราะงั้น ebook จึงตอบโจทย์ผมในเรื่องนี้

(1) อ่าน ebook ปวดตา : ตอนนี้เรามีอุปกรณ์ที่เรียกว่า ebook reader หรือการแสดงผลแบบ e-ink ที่ให้อารมณ์เหมือนกันอ่านจากกระดาษ ไม่มีแสงสะท้อนกลับมาที่ดวงตา ทำให้เราไม่ล้าสายตา

(2) อ่าน ebook แล้วกลัวไม่มีสมาธิ : การปิดแอพแจ้งเตือนอาจจะไม่ช่วยมากนัก เพราะเรามักเผลอสลับหน้าจอไปมา แต่ ebook reader ที่ผมใช้จะไม่มีการลงแอพอื่น... ดังนั้นจึงไม่ต่างกับการอ่านหนังสือเป็นเล่มเท่าไหร่นัก

(3) Feeling ไม่เหมือนกันอ่านหนังสือเป็นเล่ม : อันนี้จริงแหละ... แต่บางทีเราก็มีความจำเป็นที่ไม่พร้อมจะพกพาหรือหาหนังสือเป็นเล่มมาอ่านได้ นับว่าเป็นทางเลือกสำหรับ ‘เรา’ อีกทางเลือกหนึ่ง

โดยรวม
สำหรับผม
เลือกใช้ ebook เพราะความสะดวกเป็นหลักเลย... และสำหรับใครที่กำลังอยากจะทดลองอ่านหนังสือแบบ ebook ทางแอพปิ่นโตมีโค้ดสำหรับผู้ใช้ใหม่ อ่านฟรี 200 บาท เมื่อช็อปครบ 200 บาท เช่น ช้อปหนังสือ 255 บาท ใส่โค้ดนี้จะจ่ายเพิ่ม 55 บาทเท่านั้น

กรอกโค้ด READVACATION200
*โค้ดใช้ได้ถึง 31 ต.ค. 2568 จำนวนจำกัด 100 สิทธิ์เท่านั้นครับ
(ลิ้งก์... อยู่ที่คอมเมนต์นะครับ)

หลังจากที่วันนี้พอจะมีเวลาอยู่กับตัวเองมากขึ้น ส่วนตัวก็ลองทบทวนตัวเองว่ามีอะไรที่เรายังทำได้ไม่ดี หรือทำได้ไม่สม่ำเสมอบ...
20/09/2025

หลังจากที่วันนี้พอจะมีเวลาอยู่กับตัวเองมากขึ้น ส่วนตัวก็ลองทบทวนตัวเองว่ามีอะไรที่เรายังทำได้ไม่ดี หรือทำได้ไม่สม่ำเสมอบ้าง นอกจากการอ่านหนังสือและการเขียนบทความที่ทำอย่างต่อเนื่องมากกว่า 3 ปีแล้ว
การออกกำลังกายอาจจะเป็นสิ่งที่ทำได้ไม่ติดต่อกันเท่าที่ควร ในที่นี้ยกเว้นเรื่องการเดินที่ผมกำหนดเป้าหมายเอาไว้ว่า "จะต้องเดินให้ได้มากกว่า 10,000 ก้าวต่อวัน" ซึ่งหากไม่นับวันเสาร์อาทิตย์แล้ว วันธรรมดานั้นผมเดินได้ตามเป้าหมายนี้ พร้อมๆ กับการขยับร่างกายด้วยความถี่ที่ไม่ทำให้เราเผลอนั่งทำงานนานเกินไปจนปวดคอหรือหลัง

เพราะงั้นหากย้อนคิดและตกผลึกออกมาว่า 'เราสามารถทำให้กิจวัตรหรือเป้าหมายนั้นสม่ำเสมอได้อย่างไร' ผมขออัพเดทเทคนิคที่ใช้ 15 ข้อที่ได้ผลดังนี้

(1) เริ่มต้นให้เล็กไว้ก่อน :
เป้าหมายที่ดี... ไม่ใช่เป้าหมายที่ใหญ่ แต่เป็นเป้าหมายที่เราสามารถทำได้สำเร็จ เพื่อกระตุ้นให้เราอยากทำอย่างต่อเนื่อง

(2) Habit Stacking :
การสร้างพฤติกรรมที่อยากทำ ต่อจากสิ่งที่ทำอยู่แล้ว เช่น การดื่มกาแฟตอนเช้า แทนที่จะเปิดมือถือเพื่อเช็คสิ่งที่อาจจะเป็นความเคยชิน ก็ปรับมาหยิบหนังสืออ่านแทน

(3) ตั้งเวลาเดียวกันทุกวัน :
สมองของเราจะจดจำสิ่งที่ทำซ้ำๆ ดังนั้นหากอยากให้เราคุ้นชิน ต้องทำสิ่งนั้นในเวลาเดิมเสมอ

(4) ทำให้ง่ายเข้าไว้ :
หากอยากอ่านหนังสือ ต้องพกหนังสือ และทำให้เราอยากหยิบมาอ่านได้ง่าย

(5) วัดผลได้อย่างชัดเจน :
เราสามารถใช้แอพเพื่อติดตามผลจากสิ่งที่เราทำ

(6) เทคนิค 2 นาที :
ขอแค่ 2 นาทีเท่านั้น ต่อให้วันไหนไม่อยากทำ อย่างน้อยแค่เปิดอ่านสักหนึ่งหน้าก็ยังดี หรือหากนึกบทความที่จะเขียนไม่ออก... เป็นข้อความสั้นๆ ก็ได้

(7) ใช้สัญญาณเตือน :
ตั้งมือถือแจ้งเตือน หรือติด post-it ให้เรามองเห็นได้ง่าย

(8) ทำให้สนุกไปพร้อมๆ กันด้วย :
ฟังเพลงระหว่างการเดิน หรือคิดถึงเป้าหมายหลัก ขณะที่ลงมือทำเป้าหมายรอง

(9) ให้รางวัลเล็กๆ บ้างก็ดีนะ :
เมื่อเราทำเป้าหมายนั้นสำเร็จ การจะผ่อนปรนตัวเองด้วยรางวัลเล็กๆ ก็เหมาะสมอยู่นะครับ

(10) หาแนวร่วม :
ทุกครั้งที่อยากอ่านหนังสือ ส่วนตัวมักจะเข้ากลุ่ม หรือชวนเพื่อนๆ คุย เพื่อกระตุ้นความรู็สึกให้อยากอ่านหนังสือ

(11) เตือนตัวเองให้ทำมากกว่าแค่มีแรงบันดาลใจ :
แรงบันดาลใจเป็นสิ่งที่ดี แต่ไม่คงที่ บางวันเราอาจจะไม่อยากทำ เพราะงั้นทุกอย่างต้องอาศัยวินัยและการบังคับตัวเองบ้าง

(12) ลดสิ่งรบกวน :
วางมือถือให้ห่าง หากต้องการสมาธิหรือมีสิ่งอื่นที่อยากทำ

(13) ใช้กฎ 'ไม่ขาดเกินสองวัน' :
เหมือนการเรียน..​ที่เราสามารถขาดเรียนได้ แต่การลาหรือหยุดทำนั้นไม่ควรเกินสสองวัน เพราะหากห่างหรือเว้นไว้มากกว่านี้ การจะเริ่มทำต่อ นั่นแปลว่าเราต้องเริ่มสร้างนิสัยนั้นใหม่อีกครั้ง

(14) กำหนดเป้าหมายระยะสั้นไว้กอ่น :
การทำสิ่งใดก็ตาม ต้องการตัวชี้วัดที่เป็นไปได้จริง ดังนั้นหากเราตั้งเป้าหมายระยะสั้้นเอาไว้ เราจะรู็สึกดีที่ทำได้สำเร็จ คล้ายกับข้อแรก แต่... ข้อนี้จะสร้างนิสัยต่อเนื่อง

(15) จดบันทึกสิ่งต่างๆ :
หลายครั้งที่ผลลัพธ์นั้นมีอยู่ แต่เรามองไม่เห็ฯหรือไม่ได้นึกถึง ดังนั้นการจดบันทึกจะช่วยให้เรามีเวลาทบทวนและรู้ว่าเราอยู่ในช่วงไหนของการลงมือทำ รวมถึงได้ทบทวนด้วยว่าที่ผ่านมาเป็นอย่างไร

สรุป..
ความสม่ำเสมอนั้นไม่ได้เกิดจากความตั้งใจแค่นั้น ยังต้องอาศัยการออกแบบเป้าหมายที่ชัดเจน เป็นไปได้ และที่สำคัญการลงมือทำ...

สูตรที่ทำได้จริง
เริ่มเล็ก → ผูกกับกิจวัตร → ลดอุปสรรค → วัดผลได้

20/09/2025

ถ้าเพจจะโพสต์แล้ว..
โพสต์นั้นขึ้นหน้าฟีดเพื่อนๆ ยากขึ้น คงต้องรบกวนให้เพื่อนๆ แวะเข้ามาที่เพจด้วยนะครับ

ที่อยู่

Bangkok

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ลาไปอ่านหนังสือผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์