ลาไปอ่านหนังสือ

ลาไปอ่านหนังสือ ลาไปอ่านหนังสือ แต่...ไม่ลาก็อ่านได้นะ
(1)

ช่วงแรกที่ได้ยินคำว่า 'เศรษฐศาสตร์' คนส่วนใหญ่รวมถึงผมมักจะเข้าใจว่าเป็นเรื่องของหลักการที่ตั้งอยู่บนเหตุและผล ซึ่งทุกคน...
30/08/2025

ช่วงแรกที่ได้ยินคำว่า 'เศรษฐศาสตร์' คนส่วนใหญ่รวมถึงผมมักจะเข้าใจว่าเป็นเรื่องของหลักการที่ตั้งอยู่บนเหตุและผล ซึ่งทุกคนจะตัดสินใจและลงมือทำภายใต้สิ่งนี้เท่านั้น แต่...

พอมาพิจารณาจากสิ่งที่เกิดขึ้นจากการตัดสินใจในชีวิตประจำวันของเราทุกคนแล้ว กลับเห็นภาพที่ขัดแย้งกับเศรษฐศาสตร์ดั้งเดิมไปหมดแทบทุกเรื่องเลย และนั่นนำไปสู่ส่วนที่เรียกว่า 'เศรษฐศาสตร์พฤติกรรม'

ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจว่า 'มนุษย์ไม่ใช่หุ่นยนต์ ดังนั้นทุกการตัดสินใจของเราจึงมีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ ทั้งความกลัว ความโลภ ความขี้เกียจ รวมถึงอคติ​ ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนในลำดับต้นๆ เลย' เพราะงั้นจากอารมณ์ที่กล่าวมานี้ จึงมีผลทำให้การตัดสินใจของเรา 'เบนเบี่ยงออกจากความมีเหตุและผล'
เราเรียกส่วนนี้แหละว่า 'เศรษฐศาสตร์พฤติกรรม'

แนวคิดหลักๆ ของเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมล้วนเกิดขึ้นกับเราในทุกขณะ... ดังนี้
(1) กลัวสูญเสียมากกว่าสิ่งที่ได้รับ : แม้ว่าจะเป็นจำนวนเงินที่เท่ากัน แต่... เรากลับรู้สึกเสียดายและจมอยู่กับความสูญเสียมากกว่า 'การได้รับเงินจำนวนเดียวกันนี้' นี่ยังไม่รวมถึงการสูญเสียสิ่งอื่นๆ เช่น เวลา และโอกาสด้วย...

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือ การขาดทุนในหุ้นที่เราถืออยู่ ยิ่งขาดทุนเยอะ มนุษญ์อย่างเรามักจะมีแนวโน้มถัวเฉลี่ยต้นทุนไปเรื่อยๆ เพราะไม่พร้อมที่จะยอมรับหรือตัดขาดทุน

(2) อคติปัจจุบัน : โดยมากเรารู้แหละว่า...​อนาคตเป็นส่วนที่สำคัญ เพราะงั้นหากต้องตัดสินใจในเชิงทฤษฎี เราจึงเลือกเพื่ออนาคตได้ถูกต้อง แต่... พอเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบัน เรากลับ 'วู่ว่าม' และเลือกให้ปัจจุบันมีค่ามากกว่าเสมอ

ตัวอย่างเช่น เรารู้แหละว่าต้องเก็บเงินเพื่อใช้ตอนเกษียณ แต่... เราก็รู็สึกว่าชีวิตในปัจจุบันจำเป็นต้องได้รับการเติมเต็ม ด้วยเหตุผลสารพัด เราจึงโน้มน้าวตัวเองให้ซื้อของที่อยากได้ตอนนี้เสมอ

(3) การจูงใจให้เราพร้อมทำตาม : ด้วยเทคนิคการจูงใจแบบที่เรารู้สึกว่าได้เลือกด้วยตัวเอง เราจึงเผลอทำตามโฆษณา หรือคำชักชวนอยู่บ่อยครั้ง

เช่น เมื่อมีคนจำนวนมากเลือกที่จะลงทุนในกองทุนหรือหุ้นใดหุ้นหนึ่งพร้อมๆ กัน เรามักจะตัดสินใจเข้าร่วมได้ง่าย รวมถึงการโฆษณาชวนเชื่อว่าหากทำแล้วจะได้รับสิ่งที่ดีตอบแทน เราก็มักจะทำตาม

เหล่านี้ล้วนแต่เป็นตัวอย่างพฤติกรรมที่พวกเรามักจะตัดสินใจผิดพลาด นอกจากนี้สำหรับบางคนเมื่อสังเกตเห็นพวกของลดราคาเยอะๆ แม้ว่าในตอนแรกจะไม่ได้มีความต้องการชัดเจน แต่..​พอเห็นแล้ว เราเองก็จะพยายามหาเหตุผลในการซื้ออยู่บ่อยครั้ง จนข้าวของที่บ้านมีจำนวนมากที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์อย่างที่ควรเป็น
ดังนั้นเมื่อเรารู้แล้วว่าเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมกำลังอธิบยและชี้ให้เห็นถึงความผิดปกติจากการตัดสินใจที่มีอารมณ์ร่วมเกี่ยวข้อง เราเองก็จำเป็นที่จะต้องวางกรอบและขอบเขตในการป้องกันไม่ให้... เราตัดสินใจด้วยอารมณ์จนเกินไปให้ได้นั่นเอง

1. ตั้งกฎเกณฑ์ล่วงหน้า หากเป็นการซื้อขายหุ้น เราจำเป็นต้องกำหนด stop loss เอาไว้เสมอ เพื่อปกป้องเงินต้นของเรา (กลุ่มที่เป็นเทรดเดอร์..)
2. ฝึกมองความสูญเสียเป็นบทเรียนให้เราแก้ไขและปรับปรุงกระบวนการคิด
3. กำหนดและแบ่งประเภทของบัญชีเงินฝาก ทั้งใช้จ่ายปกติ ส่วนตัว และเก็บออมให้ชัดเจน
4. ตั้งคำถามกับตัวเองเสมอว่า 'สิ่งที่กำลังจะซื้อนี้เป็นเพราะอะไร หรือแค่ของนั้นลดราคาเยอะรึเปล่า' ต้องตอบให้จริงใจกับตัวเองด้วย
5. จัดสภาพแวดล้อมให้ดี ไม่วางสิ่งที่ทำให้เราเกิดความอยากไว้ใกล้ๆ ทั้งอยากทำหรืออยากกินก็ตาม
6. ฝึกเปรียบเทียบสิ่งต่างๆ ให้ครบถ้วน
7. มองเรื่องของเงิน เวลา และโอกาสในภาพรวม โดยไม่นำเรื่องความรู็สึกเข้ามาเกี่ยวข้อง

ความรู้สึกหลังอ่าน
เป็นเล่มที่ดีมาก โดยเฉพาะอธิบายพฤติกรรมจากตัดสินใจจากความรู้สึกแต่ละอย่างได้ชัดเจนมาก และยังเล่าเรื่องผ่านการ์ตูนที่เข้าใจได้ง่ายอีก ทำให้เศรษฐศาสตร์เป็นเรื่องใกล้ตัวได้ดีจริงครับ

Amarin HOW-TO

วันนี้มีเวลา... เลยลองทำ daily planner สำหรับเตรียมตัวในการทำงานแต่ละวัน แน่นอนว่าเราจะมีช่วงที่งานเยอะบ้าง น้อยบ้าง ไม่...
30/08/2025

วันนี้มีเวลา... เลยลองทำ daily planner สำหรับเตรียมตัวในการทำงานแต่ละวัน

แน่นอนว่าเราจะมีช่วงที่งานเยอะบ้าง น้อยบ้าง ไม่เทาากัน แต่... สิ่งสำคัญคือ เราต้องโฟกัสให้ได้ว่า ‘ในส่วนที่เรารับผิดชอบนั้นมีงานอะไรบ้าง แล้วสิ่งไหนที่รบกวนจิตใจเราจนทำงานได้ไม่เต็มที่’

ด้วยเงื่อนไขและข้อจำกัดต่างๆ ผมเลยแบ่งหน้ากระดาษออกเป็นสองส่วน

(1) ฝั่งซ้ายเป็นการโฟกัสงาน และวิธีการจัดการกับสิ่งที่รบกวนระหว่างวัน รวมถึงสิ่งที่เราต้องทบทวนในแต่ละวันด้วย

- งานสำคัญที่ต้องต้อง : เป็นงานที่เรารับผิดชอบและมีกำหนดเวลาที่ต้องส่งอย่างชัดเจน

- งาน 3 + 2 : แบ่งงานออกเป็น 2 ส่วน
3 งานหลัก และ 2 งานรอง ซึ่งจะทำให้เราถ่วงดุลการทำงานได้ดีขึ้น... ลดความเครียดจากการโฟกัสงานที่หนักๆ จนเกินไปได้

- Time Block : เป็นตัวช่วยให้เรารู้ว่าควรจัดเรียงงานไหนไว้มนช่วงเวลาใด ที่เหมาะกับประสิทธิภาพของเราในตอนนั้นๆ

- บันทึกสิ่งที่รบกวนเราในแต่ละวัน : ส่วนนี้สำคัญมากเพราะจะเป็นการป้องกันไม่ให้เราเบนความสนใจไปที่เรื่องอื่น เช่น เสียงเตือนจากมือถือที่รบกวนการทำงาน เป็นต้น

- สิ่งที่ต้องทบทวน ณ สิ้นวัน : วันนี้เราพบปัญหาหรือเจอกับสิ่งที่แก้ไขได้ยาก รวมถึงมีข้อผิดพลาดอะไรบ้าง

(2) ฝั่งขวา : เป็นการวางแผนงานล่วงหน้าสำหรับเรา...

- ช่วงเช้าเราควรโฟกัสกับเรื่องอะไรบ้าง
- มีสิ่งไหนที่เป็นกิจกรรมหลักที่ควรทำ ทั้งส่วนตัว ครอบครัว รวมถึงงาน
- เวลาสำหรับการอยู่คนเดียว
- Digital Detox เป็นการลดเวลาใช้งานโซเชียลมีเดีย และอื่นๆ
- การเตรียมตัวสำหรับวันพรุ่งนี้ หรือสัปดาห์ถัดไป

 โดยรวมเราจำเป็นต้องวางแผนทั้งการทำงานและการใช้ชีวิต ดังนั้น daily / weekly planner จึงเป็นตัวช่วยที่ดีครับ

สุดสัปดาห์นี้... กับกองหนังสือใหม่
30/08/2025

สุดสัปดาห์นี้... กับกองหนังสือใหม่

ใครสะดวกแวะไปกันครับ…
30/08/2025

ใครสะดวกแวะไปกันครับ…

ผมชอบรูปนี้... ที่สะท้อนให้เรารู้ว่า 'เพราะเหตุใดพวกเราหลายคนรวมถึงผมด้วย จึงประสบความสำเร็จได้ยาก'เมื่อพิจารณาในเชิง 'เ...
29/08/2025

ผมชอบรูปนี้... ที่สะท้อนให้เรารู้ว่า 'เพราะเหตุใดพวกเราหลายคนรวมถึงผมด้วย จึงประสบความสำเร็จได้ยาก'

เมื่อพิจารณาในเชิง 'เศษฐศาสตร์พฤติกรรม' จะพบว่า มนุษย์และสิ่งมีชีวิตจะให้ความสำคัญกับคุณค่าในปัจจุบันมากกว่าคุณค่าในอนาคต กล่าวคือ หากวันนี้เราสามารถทำสิ่งใดได้ทันที เรามีแนวโน้มจะเลือกการทำในปัจจุบัน ยกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเลย แม้ว่าเราอยากจะเก่งขึ้น หรือมีทักษะที่มากขึ้น แต่... เรากลับเลือกที่จะใช้ชีวิตแบบเดิมด้วยความสบาย มากกว่าที่จะปรับเปลี่ยนตัวเอง
หรือ แม้แต่การลดน้ำหนัก หลายคนก็ยังเลือกที่จะกินบางอย่างอีกนิดในปัจจุบัน มากกว่าที่จะพยายามตัดใจและหันกลับมาออกกำลังกายอย่างจริงจัง

แล้วเมื่อเวลาผ่านได้
สิ่งที่เราคิดว่าดีในทางความรู้สึกจะค่อยๆ ลดต่ำลง จนแทบไม่ส่งผลดีใดๆ อีกเลย แต่กลับมาความรู็สึกอื่นเข้าแทนที่ ทั้งความรู้สึกผิดและความผิดหวังในตัวเองที่เลือกแบบนี้

เราคงโทษระบบของสมองไม่ได้ เพราะในอดีตเมื่อนานมาแล้ว สมองถูกออกแบบมาให้เรามีสัญชาตญาณในการเอาชีวิตรอดก่อนที่จะคิดขึ้นเรื่องที่อยู่ห่างไกลในอนาคต
เมื่อมีตัวเลือกระหว่างกินกับอด เรามักจะเลือกอย่างแรก
เมื่อมีตัวเลือกระหว่างได้รับทันที หรือรอก่อน เรามักจะเลือกทันทีเช่นกัน

สิ่งที่เราทำได้ ณ ตอนนี้ก็คือ 'ปรับพฤติกรรมที่ถูกตั้งโปรแกรมเอาไว้ ให้สามารถระงับและยับยั้งชั่งใจมากกว่าที่ผ่านมา' โดยเราจะออกแบบภูมิต้านทานอคติโน้มเอียงมาทางปัจจุบันดังนี้

1. ทำอนาคตให้ “จับต้องได้จริง”
• วิธีเดิมๆ เหมือนที่ผ่านมา : เราตั้งเป้าหมายว่า “จะลดน้ำหนักให้ได้ 10 กิโลใน 6 เดือน” → ประเด็นคือเป้าหมายนี้ไกลและสมองของเราไม่รู้สึกถึงรางวัลที่จะได้รับ
• สร้างภูมิคุ้มกัน : แทนที่ด้วยเป้าหมายระยะสั้นและปรับให้ทำได้จริง เช่น “วันนี้จะออกกำลังกายให้ได้อย่างน้อย 10 นาที” เมื่อทำได้ดังนี้ → อนาคตที่เป้นเป้าหมายหลักจะใกล้เข้ามายังปัจจุบันมากขึ้น

2. เปลี่ยนผลลัพธ์ระยะไกลให้กลายเป็นรางวัลในทันที
• ใช้ Habit Tracker App (ติ๊กถูก / แอป / ปฏิทิน) → ความพอใจที่ได้จากการทำสำเร็จในวันนี้ กลายเป็นรางวัลสำหรับเราในทันที
• ให้รางวัลเล็กๆ กับตัวเองในทันที เช่น วันนี้อ่านหนังสือได้ 15 หน้า → เราจะดูซีรีส์ 15 นาที

3. ใช้ “Commitment Device” หรือระบบการห้คำมั่นสัญญา เพื่อบังคับตัวเอง
• บอกเพื่อนรอบข้างหรือโพสต์เป็นสาธารณะว่า “เราจะะรายงานหรือสรุปผลพรุ่งนี้” → เมื่อเราอาศัยแรงกดดันทางสังคม จะทำให้เราเองต้องเลือกอนาคตหรือวันพรุ่งนี้ทันที
• สมัครคอร์สเรียน / ฟิตเนสแบบจ่ายเงินล่วงหน้า → ถ้าไม่ไปคือเสียเงินไปเปล่าๆ เพราะงั้นเราจึงเหมือนถูกบังคับกลายๆ

4. ออกแบบสภาพแวดล้อมให้เลือกง่ายขึ้น
• อยากลดน้ำหนัก → เก็บของกินเล่นออกไปจากตู้เย็น หรือแยกไว้ให้หยิบได้ยาก
• อยากอ่านหนังสือ → วางหนังสือไว้บนโต๊ะ แทนที่จะอยู่ในตู้หนังสือ

5. ทำให้ “อนาคต” มีหน้าตาที่ชัดเจน
งานวิจัยพบว่า คนที่ “เห็นตัวเองในอนาคต” ชัดเจน จะมีแรงจูงใจมากกว่า
• ลงมือเขียนจดหมายถึงตัวเองในอีก 1 ปีข้างหน้า

สุดท้ายแล้ว
ทุกคนมักจะชอบดื่มด่ำกับปัจจุบันจนละเลยและใส่ใจกับอนาคต แต่เมื่อเวลาผ่านไป เราจำเป็นต้องตระหนักในมากว่า 'เรากำลังเอาคุณค่าที่อยู่ในอนาคตแลกกับเวลาที่เราเหลือน้อยลง' อยู่หรือไม่
ถ้าคำตอบคือใช่ น่าจะถึงเวลาที่เราต้องออกแบบชีวิตให้ใส่ใจกับอนาคตมากขึ้น

20 ข้อที่ได้จาก ‘สูตรลับคนรวย เปลี่ยนสมองธรรมดาให้หาเงินเก่ง'  1. เงินเป็นเครื่องมือ ไม่ใช่เป้าหมายหชักของการใช้ชีวิต – ...
29/08/2025

20 ข้อที่ได้จาก ‘สูตรลับคนรวย เปลี่ยนสมองธรรมดาให้หาเงินเก่ง'
1. เงินเป็นเครื่องมือ ไม่ใช่เป้าหมายหชักของการใช้ชีวิต – คนรวยมองเงินเป็นเครื่องมือที่ทำให้เรามีอิสระในการเลือก
2. ลงทุนกับตัวเองก่อน – พัฒนาความรู้ ทักษะ และสมองให้ “ทำเงินได้” มากกว่าการใช้จ่ายในส่วนอื่น
3. ใช้ของอย่างคุ้มค่า – ไม่รีบร้อนซื้อของใหม่ แต่ซื้อสิ่งที่ตอบโจทย์งานหรือใช้ได้ยาวนาน
4. คิดย้อนกลับจากผลลัพธ์ – คนรวยโฟกัสเป้าหมายก่อน แล้วหาวิธีการที่สั้นที่สุดเพื่อไปถึงเป้าหมายนั้น
5. ยอมจ่ายมากขึ้นเพื่อได้เวลาและข้อมูล – ความสะดวกและการเข้าถึงข้อมูลที่ดีมีค่ามากกว่าเรื่องอื่น
6. สังเกตพฤติกรรมผู้คน – ใช้เป็นข้อมูลหาความต้องการและโอกาสในการทำเงิน
7. เรียนรู้จากทุกจังหวะชีวิต – ไม่หยุดพัฒนาสมอง มองทุกเรื่องราวเป็นบทเรียน
8. โฟกัสที่สิ่งสำคัญ – รู้จักตัดสิ่งรบกวน เพื่อให้สมองใช้พลังงานไปกับเป้าหมายใหญ่
9. เลือกประโยชน์มากกว่าความสวยงาม – การตัดสินใจซื้อของหรือทำงาน เน้นที่คุณค่าจริง
10. ทำทุกอย่างที่ทำได้ – มองโอกาสเล็กๆ เป็นทางสร้างรายได้และต่อยอด
11. เปลี่ยนคำว่า “ทำไม่ได้” เป็น “ทำอย่างไรถึงจะได้” – ปรับมุมมองแก้ปัญหาแทนที่จะหาข้ออ้าง
12. ฝึกอยู่กับตัวเอง – ใช้เวลาเงียบๆ ทบทวนและสำรวจความคิด สร้างสมองที่คิดได้คมและสร้างสรรค์ขึ้น
13. รับผิดชอบตัวเอง – ไม่โทษคนอื่น แต่เลือกจัดการในมุมที่เราควบคุมและเปลี่ยนแปลงได้
14. ใช้เงินเพื่อสร้างรายได้เพิ่ม – การใช้จ่ายไม่ใช่แค่เพื่อความสุข แต่เพื่อสร้างโอกาสใหม่
15. วางรากฐานระยะยาว – คนรวยจำนวนไม่น้อยไม่รีบโตแบบเปิดรับความเสี่ยงสูงๆ แต่เลือกสร้างฐานมั่นคงทีละก้าว
16. มองเห็นอนาคตล่วงหน้า – ซื้อของ/ลงทุนโดยคาดการณ์การใช้จริงในอนาคต ไม่ใช่มองแค่ปัจจุบัน
17. ไม่ติดโซเชียลมิเดีน – ลดสิ่งรบกวน และเลือกบันทึกสิ่งสำคัญด้วยวิธีที่เหมาะกับตนเอง
18. มองความรู้เป็นทุน – ความรู้และทักษะคือสินทรัพย์ที่งอกเงยได้เสมอ
19. รู้จักรอคอย – คนรวยใช้ความอดทนเป็นกลยุทธ์ ทั้งในการซื้อของและลงทุน
20. เลือกใช้ชีวิตในระดับที่เรารู้สึกไม่ลำบาก แทนที่จะหรูหรา – พอใจในความสบายพื้นฐาน แต่ใช้พลังไปกับสิ่งที่สร้างคุณค่า

ครั้งสุดท้ายที่รู้สึกถึง ‘ความทรงจำที่เลวร้ายที่สุดตอนไหนกันนะ....’ ผมเองก็นึกภาพนั้นได้ไม่ชัดเจนนักแต่...ผมเชื่ออยู่อย่...
29/08/2025

ครั้งสุดท้ายที่รู้สึกถึง ‘ความทรงจำที่เลวร้ายที่สุดตอนไหนกันนะ....’ ผมเองก็นึกภาพนั้นได้ไม่ชัดเจนนัก

แต่...
ผมเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่าบนเส้นชีวิตของเราทุกคนล้วนมีช่วงเวลาที่ปวดร้าวซ่อนอยู่ ณ จุดใดจุดหนึ่ง หากจะเรียกความรู้สึกนั้นว่า ‘ความทรงจำครั้งที่ร้าว’ ก็น่าจะได้ แม้ว่าความปวดร้าวนั้นจะนับครั้งที่เกิดขึ้นได้ และมีจำนวนไม่มาก แต่ความเจ็บปวดนั้นกลับสร้างบาดแผลที่ลึก จนบางทีเราเองก็ไม่กล้าที่จะหันหลังกลับไปคิดถึงมัน

เรื่องสั้นที่สะท้อนความรู้สึกปวดร้าว ทุกเรื่องที่อ่านนั้นทำให้ความทรงจำครั้งหนึ่งที่เคยเก็บไว้ในส่วนลึกที่ใดที่หนึ่ง กลับมาเหมือนเพิ่งเคยเกิดขึ้นอีกครั้ง

(1) ความรักที่เกิดขึ้นในฤดูร้อนที่ดำเนินเรื่องด้วยความสดใส แต่กลับจบลงด้วยการความรู้สึกเหมือนติดค้างอยู่ภายในจิตใจ

(2) เพื่อน... ที่ใช้เวลาบางช่วงผ่านความเจ็บปวดไปด้วยกัน แม้ว่าคนหนึ่งจะพยายามฉุดดึงอีกคนให้หลุดพ้นจากความทุกข์ทางใจ แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปได้ง่ายเลย

(3) พี่น้องที่ครั้งหนึ่งเคยสนิทกัน แต่... แล้วเมื่อเส้นทางชีวิตที่เลือกแตกต่างกัน กลับทำให้ความสนิทนั้นเหินห่างออกไปเรื่อยๆ จนยากที่จะบรรจงกันอีกครั้ง แต่... แล้ว ความทรงจำในวัยเด็กได้กระตุ้นให้พวกเขากลับมาเจอกัน

(4) คนสามคนที่บังเอิญมาเจอกัน และใช้ชีวิตร่วมกัน ราวกับโลกทั้งใบนั้นเป็นของพวกเขา แต่... สิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความรู้สึกที่ดำเนินไปได้ด้วยดี กลับทำให้บางคนละทิ้งตัวตนที่แท้จริง และโอนเอียงไปตามความคิดของคนอื่นๆ ชีวิตที่ดำเนินไปแบบนี้ใช่สิ่งที่เขาหรือเธอต้องการจริงๆ หรือ

ยังมีเรื่องสั้นอีก 3 เรื่อง... ที่นำพาให้เรารับรู้ถึงความเจ็บปวด แต่ทั้งหมดมักมีจุดร่วมคล้ายคลึงกันคือ ‘ความรัก’ อย่างไรก็ตาม เราอาจหลงลืมไปว่านอกจากความรักแล้ว ความเจ็บปวดจากการถูกปฏิเสธ รวมถึงความเจ็บปวดจากการที่เราไม่สามารถช่วยเหลือใครสักคนให้พ้นจากความทุกข์นั้นก็สร้างบาดแผลลึกได้เช่นกัน

สุดท้าย...
แล้ว คำถามที่น่าสนใจก็คือ เราจะหลีกเลี่ยงหรือหลบหนีจากความทรงจำครั้งที่ร้าวไปอีกกี่ครั้งกัน แล้วถ้าหนีไม่พ้นหล่ะ เราจะต้องเจ็บปวดจากความรู็สึกนี้มากขึ้นไปเรื่อยๆ หรืออย่างไร

เอาเข้าจริง
เราทุกคนรู้แหละจากคำตอบที่ดีที่สุดก็คือการก้าวข้ามมันไปให้ได้ โดยที่เวลาแทบไม่ได้ช่วยเยียวยาบาดแผลได้เลย เพราะงั้นการที่เราจะก้าวข้ามมันไปได้ สิ่งสำคัญจึงอยู่ที่ ‘ความเข้มแข็งของเราที่นั่งลงและเผชิญหน้ากับความทรงจำในวันนั้นอีกครั้ง... แล้วยอมรับความจริงในอดีตอย่างจริงใจ‘

ความรู้สึกหลังอ่าน
หน่วง... มาก ระหว่างบรรทัดที่อ่านล้วนมีความทรงจำจางๆ ที่เจ็บปวดของเราซ่อนอยู่ แต่โดยรวมแล้ว อ่านแล้วชอบครับ เริ่มต้นด้วยความสุขบ้าง ความทุกข์บ้าง ระคนกับความเจ็บปวดทางใจไม่น้อย แต่มันเป็นเส้นชีวิตที่เราทุกคนต้องเผชิญอยู่แล้ว เพราะงั้นเมื่อจังหวะเวลา ณ จุดหนึ่งมาถึง เราจะกลับไปในจุดเวลานั้นอีกครั้ง แล้วตัดสินเลือกว่า ’จะยอมรับหรือจมอยู่กับความเจ็บปวดจากการโทษตัวเองต่อไป‘

Biblio

อ่านหนังสือ... กันครับ
29/08/2025

อ่านหนังสือ... กันครับ

ส่วนตัว... ผมมองว่า 'คนที่โชคดี' มักจะมีหลายอย่างที่คล้ายๆ กัน ในที่นี้ผมอยากจะจำกัดขอบเขตของคำว่า 'โชคดี' ไว้ที่การประส...
28/08/2025

ส่วนตัว... ผมมองว่า 'คนที่โชคดี' มักจะมีหลายอย่างที่คล้ายๆ กัน ในที่นี้ผมอยากจะจำกัดขอบเขตของคำว่า 'โชคดี' ไว้ที่การประสบความสำเร็จทั้งเล็กและใหญ่

ความสำเร็จอาจจะเป็น 'การได้ทำในสิ่งที่อยากทำ' หรือ 'ได้ใช้เวลาอย่างสนุกสนานไปพร้อมๆ กันโอกาสที่ได้รับ' และต่อมา... โอกาสที่ได้รับก็แปรเปลี่ยนเป็นความสำเร็จนั่นเอง ประเด็นเหล่านี้เมื่อมองจากคนภายนอกแล้ว นิยามที่เหมาะสมกับเราที่สุดก็คือ 'เราโชคดี' ที่บังเอิญได้รับโอกาสและทำได้สำเร็จ

แต่...
เบื้องหลังของการทำได้สำเร็จนั้น ไม่ต่างกับใต้ภูเขาน้ำแข็งที่มีทั้ง
'วินัย'
'ความพยายาม' ที่ทำสิ่งต่างๆ มาอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยกว่าที่เราจะก้าวมาอยู่ในจุดที่ยืนอยู่ข้างหน้า เพื่อรอคอยจังหวะของเรา

ส่วนประกอบสำคัญของการ 'เรียกโชค' ให้เข้ามาเป็นจิ๊กซอว์ตัวสุดท้ายที่เรา 'รอคอย' และเมื่อโอกาสมาถึง... สิ่งที่เราต้องทำก็คือ 'คว้าเอาไว้และทำให้สำเร็จ' นั่นเอง

ว่าแต่ 'จะทำอย่างไรให้เราสามารถเรียกโชค' ให้มาถึงเราได้เร็วขึ้น หนังสือเล่มนี้มีคำตอบสำเร็จรูปที่น่าจะช่วยให้เรากลายเป็นคนที่โชคน่าจะเข้าข้างเราได้เสมอ

(1) โชคดีจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ 'เราเตรียมตัวพร้อมสำหรับการโอบรับโชคนั้น'

(2) โชคดีเกิดขึ้นเมื่อ 'เรารู้สึกว่าตัวเองเป็นคนโชคดี'

(3) โชคดีจะ... มาตอนที่เรารู้ว่าเป้าหมายของเราคืออะไร ซึ่งนั่นทำให้เราโฟกัสกับการทำในสิ่งที่เราอยากทำจริงๆ มากกว่าทำหลายอย่างพร้อมๆ กัน

(4) เมื่อเราสมดุลชีวิตได้ดี ในที่นี้ไม่จำเป็นว่าทุกอย่างจะต้องเท่ากันพอดี แต่.. เอนเอียงอย่างเหมาะสมกับ 'จังหวะของชีวิต' เมื่อทำได้แบบนี้ เราก็พร้อมกับการเปิดรับ 'โอกาส' ที่เข้ามาได้มากขึ้น

(5) สิ่งต่างๆ ในอดีตที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เครื่องหมายตอกย้ำถึงความผิดพลาด แต่.. เป็นโอกาสให้เราได้เรียนรู้ และแก้ไข หากโอกาสครั้งถัดไปมาถึง นั้นเป็นจังหวะที่สำคัญ เพื่อให้เรารู้ว่าจะไม่ผิดซ้ำเดิมอีก

(6) หลีกเลี่ยงพลังลบ... ที่บางคนปล่อยออกมา ปัจจุบันเรารับพลังลบได้ง่ายมาก โดยเฉพาะสิ่งที่มาจากโซเชียลมิเดีย วิธีเดียวที่เราจะทำได้ก็คือ 'การบล็อค' หรือเลิกติดตาม ชีวิตที่ปราศจากพลังลบจะทำให้เรามีความสุขกับสิ่งที่ต่อตรงหน้าได้ดีขึ้น

(7) ติดตั้งสัญญาณเรียกโชคเข้ามา อย่างแรกคือการรู้จักตัวเองให้มากขึ้น ค้นหาความสามารถหรือสิ่งที่เราทำได้ดี แล้วพยายามกระจายสัญญาณเหล่านั้นออกมา สุดท้าย... ค่อยๆ หาเครือข่ายใหม่ๆ เพื่อทำให้เราเป็นที่รู้จักมากขึ้น

(8) ทำสิ่งที่เราคิดว่าใช่ ด้วยความอดทนอย่างเต็มที่ เอาจริง..​ ผมว่าข้อนี้แหละที่จะเป็นตัวชี้วัดว่าสิ่งที่ทำนั้นใช่สำหรับเราจริงแค่ไหน ความอดทนจะเป็นคำตอบที่สำคัญมากๆ หากเราทำได้ดี สภาวะไหลลื่นจะค่อยๆ เข้ามามีบทบาท แต่.. บางทีเราอาจจะต้องค่อยหมั่นเช็คสัญญาณด้วยว่าสิ่งที่ทำนั้นใช่จริงๆ รึเปล่า อย่าเสียดายเวลาที่ผ่านมา ถ้าไม่ใช่จริง การบอกเลิกสิ่งที่ทำอยู่ก็เป็นสิทธิ์ของเรา

(9) คนโชคดีมักจะเชื่อมโยงเรื่องราวต่างๆ ได้เก่ง การเชื่อมต่อจุดผ่านการมองย้อนกลับไป ทำให้เรารู้ว่าที่ผ่านมานั้น เราโชคดีแค่ไหนที่ได้ทำ... สิ่งต่างๆ และกลายมาเป็นสิ่งที่ทำในปัจจุบัน

(10) คนรอบข้างเองก็มีผลต่อการเรียกโชคให้กับเราไม่น้อย ดังนั้นขอให้มองหาคนที่จะสนับสนุนเรา คอยให้คำแนะนำกับเรา เป็นกองเชียร์ให้กำลังใจกับเรา เพื่อที่เราจะได้พร้อมสำหรับการลงสนามพิสูจน์ศักยภาพของเรานั่นเอง

จริงๆ... ยังมีวิธีเรียกโชคอีกมากมาย แต่ก่อนอื่นเลยคือ เราต้องยอมรับว่า 'มุมมองของเรามีผลต่อการใช้ชีวิตทั้งในปัจจุบันและอนาคต' ดังนั้นหากเราเปิดรับความคิดเรื่องของโชคใหม่ โดยหยิบเอาความรู้สึกว่าเราโชคดีมาเป็นที่ตั้งก่อน สิ่งอื่นๆ ที่ตามมาจะง่ายขึ้น

ความคิดก่อให้เกิดกระบวนการทำงานของสมองในรูปแบบและแนวทางที่สอดคล้องกัน เมื่อเรารู้สึกว่าเราโชคดี เราจะพยายามทำสิ่งต่างๆ ให้ได้ผลลัพธ์ในทิศทางที่ดีเสมอ แม้ว่าจะผิดหวัง แต่... สิ่งนั้นก็กลายเป็นบทเรียนให้กับเรา และเมื่อสิ่งนั้นสำเร็จ เราก็ไม่ถึงกับยกหางตัวเองจนลืมไปว่า 'ความเก่งมีองค์ประกอบอยู่ที่ตัวเราส่วนหนึ่ง และจังหวะของชีวิตอีกส่วนหนึ่ง' เมื่อเป็นดังนี้อัตตาของเราก็ไม่สูงจนกดลงมาไม่ได้ แรงกดดันในชีวิตก็ไม่มากจนเกินพอดี

เพราะสุดท้ายแล้ว… โชคไม่ใช่สิ่งที่แค่รอคอยเพียงอย่างเดียว แต่เป็นสิ่งที่เราต้องค่อยๆ สร้างขึ้นทีละเล็กละน้อยจากสิ่งที่เราทำทุกวัน

ความรู้สึกหลังอ่าน
โชคดีนั้นไม่ได้เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน แต่.. เกิดขึ้นการผลของการกระทำอย่างหนัก นั่นเป็นสิ่งที่ตกผลึกได้จากหนังสือเล่มนี้ ขณะเดียวกันเรายังได้เรียนรู้แนวคิดที่มีหลักการที่สำคัญในการเรียกโชคให้มาอยู่ข้างๆ เรา ตั้งแต่การปรับความคิด การอยู่ร่ายล้อมด้วยผู้คนที่คิดบวก พร้อมสนับสนุน ให้คำแนะนำ สำคัญที่สุดคือ การทำความเข้าใจในตัวเองว่า 'สิ่งใดคือเป้าหมายในชีวิตของเรา' เมื่อขจัดคลื่นรบกวนออกไป เราจะโฟกัสกับสิ่งที่ทำได้ดีขึ้น

การเตรียมตัว x จังหวะที่เหมาะสม = โชคดีของเรา.... นั่นเอง

28/08/2025

เร็วๆ นี้จะมีพอดแคสต์ : reading vacation podcast กับเพจลาไปอ่านหนังสือ ครับ

15 ข้อที่ได้จาก ‘เพราะชีวิตมีแค่ 4,000 สัปดาห์’1. ชีวิตมีเวลาจำกัดจริงๆ เฉลี่ย 80 ปี เท่ากับประมาณ 4,000 สัปดาห์ ฟังดูเย...
28/08/2025

15 ข้อที่ได้จาก ‘เพราะชีวิตมีแค่ 4,000 สัปดาห์’

1. ชีวิตมีเวลาจำกัดจริงๆ
เฉลี่ย 80 ปี เท่ากับประมาณ 4,000 สัปดาห์ ฟังดูเยอะ แต่จริงๆ น้อยมาก

2. การทำงานเร็วไม่เคยทำให้เรามีเวลาพอ
ยิ่งเราเก่งหรือมีเครื่องมือช่วย งานใหม่ก็เข้ามาเติมช่องว่างของเวลาอยู่ดี

3. เทคโนโลยีช่วยงาน แต่ไม่ช่วยชีวิตของเรา
เราทำงานได้เร็วขึ้น แต่แทนที่จะพักกลับพยายามทำงานเพิ่มไปเรื่อยๆ

4. เส้นตายทำให้งานเสร็จ แต่ไม่ทำให้งานหมด
งานเสร็จแล้ว งานใหม่ก็วนกลับมา วิธีแก้คือเว้นระยะให้แต่ละงานมีช่องว่างสำหรับการพัก

5. การพักเป็นสิ่งจำเป็น
การหยุดพักช่วยให้ชีวิตสมบูรณ์ ไม่ไปแปลว่าเราใช้เวลาไม่มรประโยชน์

6. ชีวิตที่สมดุลคือการเลือก ไม่ใช่การทำทุกอย่าง
เราต้องตัดสินใจว่าจะให้เวลากับอะไรที่สำคัญที่สุด

7. บางครั้งแค่ ‘หยุด’ คิดก็น่าจะดีกว่า
ไม่จำเป็นต้องแก้ปัญหาทันทีทุกอย่าง

8. เวลาว่างนี้แหละที่สำคัญ
ทุกนาทีของแต่ละวันไม่จำเป็นต้องมีความหมาย ช่วงว่างช่วยให้สมองและจิตใจของเราได้พัก..

9. การเลือกชะลอเวลาของชีวิตก็ถือเป็นชัยชนะ
ไม่จำเป็นต้องเร่งเสมอไป ความสุขบางครั้งมาจากการใช้เวลาให้ช้าลง

10. ชีวิตไม่ได้เกิดมาเพื่อทำงานทุกอย่างให้เสร็จ แต่เพื่อให้เราได้ใช้ชีวิต
งานเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต แต่ไม่ใช่ทั้งหมด

11. เวลามีความหมายจากสิ่งที่เราเลือกทำ
เลือกทำสิ่งที่สำคัญและมีความหมายจริงๆ

12. บางครั้งไม่ทำอะไรเลยก็คือการได้ใช้ชีวิตอย่างหนึ่ง
ความเงียบสงบและการอยู่กับตัวเองก็มีคุณค่า

13. การเร่งรีบทำให้เราหลงลืมสิ่งสำคัญ
บางครั้งเราทำงานมากจนลืมว่าเราทำไปเพื่ออะไร...

14. ต้องถามตัวเองว่า ‘เราทำตามที่เราคิดเองหรือเป็นไปกระแสของสังคม’
เวลาที่เราใช้ไปสะท้อนว่ากำลังทำตามสิ่งที่อยากทำจริงหรือไม่

15. การหยุดคิดและช้าลงช่วยให้มองชีวิตใหม่
คุณค่าของชีวิตอยู่ที่ความตั้งใจและการเลือก ไม่ใช่ความเร็วหรือปริมาณงาน

Amarin HOW-TO

ระหว่างที่กำลัง.. หยิบหนังสือมาอ่าน ก็สะดุดกับ ‘สิ่งที่นำพาให้เราประสบความสำเร็จ‘ ไม่ว่าความสำเร็จนั้นจะเล็กหรือใหญ่ ล้ว...
27/08/2025

ระหว่างที่กำลัง.. หยิบหนังสือมาอ่าน ก็สะดุดกับ ‘สิ่งที่นำพาให้เราประสบความสำเร็จ‘ ไม่ว่าความสำเร็จนั้นจะเล็กหรือใหญ่ ล้วนมีจุดตั้งต้นไม่ต่างกันมากนั้น

ความวินัย... เป็นเรื่องสำคัญมาก โดยเฉพาะกับการตั้งเป้าหมาย แล้วต้องลงมือทำอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ (ส่วนตัวคิดว่าเกินกว่าครึ่งนั้นมาจากส่วนนี้)

ความพยายาม.. เป็นอีกเรื่องที่มาพร้อมๆ กับวินัยเลย แม้ว่าจะไม่เห็นผลลัพธ์ในระยะสั้น แต่เรายังต้องพยายามกับสิ่งที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้ ทุ่มเทและทำสิ่งนั้นด้วยความเชื่อ (มั่น) ว่าจะเป็นไปได้

และพื้นฐานครอบครัว อันนี้จะมาในรูปแบบของแรงผลักดันและสนับสนุน ยิ่งเรามีคนรอบข้างให้กำลังใจ และเติใเต็มความรู้สึกดีๆ สิ่งเหล่านี้จะทำให้เราคิดบวกมากกว่ามองทุกอย่างเป็นลบไปทั้งหมด

แต่.. ใดๆ ก็ตาม ล้วนขาด ’โชค‘ ไม่ได้ ซึ่งสามส่วนแรกเป็นการเตรียมตัวให้พร้อม สำหรับการรับโอกาสที่จะผ่านเข้ามาถึงตัวเรา เอาเข้าจริง ในมิตินี้จะเรียกว่า ’จังหวะที่เหมาะสมของชีวิต‘ ก็น่าจะใช่ แล้วที่มันต้องเหมาะสม ก็เพราะเราเตรียมตัวมาดีมากๆ จนเรานี่แหละคู่ควรกับจังหวะเวลานี้ที่สุด

โดยสรุป
โชคดี = การเตรียมตัว x จัวหวะที่เหมาะสม

การเตรียมตัว = ความมีวินัย + ความพยายาม + พื้นฐานครอบครัว

ที่อยู่

Bangkok

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ลาไปอ่านหนังสือผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์