DinoProperty by หมอสวนหลวง

DinoProperty by หมอสวนหลวง รับฝาก ขาย ให้เช่า บ้านที่ดินคอนโด ฟรี ! ไม่มีค่าใช้จ่ายล่วงหน้า

ในช่วงเวลาหลายปีหลังที่ผ่านมา กรมบังคับคดีได้ปรับปรุงขั้นตอนการขายทอดตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกบังคับคดียึดในคดีต่าง ๆ รว...
01/10/2025

ในช่วงเวลาหลายปีหลังที่ผ่านมา กรมบังคับคดีได้ปรับปรุงขั้นตอนการขายทอดตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกบังคับคดียึดในคดีต่าง ๆ รวมทั้งมีการโฆษณาประชาสัมพันธ์กันอย่างแพร่หลาย ทำให้การซื้ออสังหาริมทรัพย์จากการประกาศขายทอดตลาดจากกรมบังคับคดีเป็นที่ได้รับความนิยมของประชาชนทั่วไปมากขึ้น

แต่มักมีข้อสงสัยอย่างหนึ่งคือ หากซื้อบ้านขายทอดตลาดจากกรมบังคับคดีแล้ว เจ้าของเดิมไม่ยอมย้ายออก ผู้ซื้อจะต้องทำอย่างไร บทความนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องนี้กัน

__________________________________________

กฎหมายที่เกี่ยวข้องการซื้อบ้านขายทอดตลาด แต่เจ้าของเดิมไม่ย้ายออก

ในเรื่องนี้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 334 บัญญัติไว้แบบนี้

“มาตรา 334 เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีโอนอสังหาริมทรัพย์ที่ขายให้แก่ผู้ซื้อ หากทรัพย์สินที่โอนนั้นมีลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือบริวารอยู่อาศัย และลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือบริวารไม่ยอมออกไปจากอสังหาริมทรัพย์นั้น

ผู้ซื้อชอบที่จะยื่นคำขอฝ่ายเดียวต่อศาลที่อสังหาริมทรัพย์นั้นตั้งอยู่ในเขตศาลให้อออกหมายบังคับคดีเพื่อบังคับให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือบริวารออกไปจากอสังหาริมทรัพย์นั้นโดยให้นำบทบัญญัติมาตรา 271 มาตรา 278 วรรคหนึ่ง มาตรา 351 มาตรา 352 มาตรา 353 วรรคหนึ่ง (1) และวรรคสอง มาตรา 354 มาตรา 361 มาตรา 362 มาตรา 363 และมาตรา 364 มาใช้บังคับโดยอนุโลม

ทั้งนี้ ให้ถือว่าผู้ซื้อเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา และลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือบริวารที่อยู่อาศัยในอสังหาริมทรัพย์นั้นเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาตามบทบัญญัติดังกล่าว”

กฎหมายมาตราข้างต้นเป็นกฎหมายที่ถูกแก้ไขใหม่ไม่นานมานี้ในปี 2560 เพื่อให้ความคุ้มครองกับผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาด ให้สามารถบังคับคดีกับลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือบริวารได้ทันทีไม่ต้องฟ้องเป็นคดีใหม่ กฎหมายดังกล่าวสามารถแยกออกพิจารณาองค์ประกอบได้ดังนี้

– คุ้มครองใคร
ตัวบทใช้คำว่าผู้ซื้อ (ที่ได้รับโอนอสังหาริมทรัพย์จากเจ้าพนักงานบังคับคดี) ซึ่งก็คือผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดโดยเจ้าพนักงานบังคับคดี กรมบังคับคดีนั่นเอง

– คุ้มครองจากใคร
จากลูกหนี้ตามคำพิพากษาและบริวาร (บริวารหมายถึงผู้ที่อาศัยอยู่โดยอาศัยสิทธิของลูกหนี้คามคำพิพากษานั้น)

– ได้รับความคุ้มครองอย่างไร
ผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดจะมีสิทธิเสมือนหนึ่งว่าเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา สามารถร้องขอศาลที่มีเขตอำนาจเหนือท้องที่ที่ทรัพย์ตั้งอยู่บังคับคดีขับไล่ได้ทันที (มาตรา 271 มาตรา 278 วรรคหนึ่ง มาตรา 351 มาตรา 352 มาตรา 353 วรรคหนึ่ง (1) และวรรคสอง มาตรา 354 มาตรา 361 มาตรา 362 มาตรา 363 และมาตรา 364 เป็นเรื่องเกี่ยวกับการบังคับคดีขับไล่ตามคำพิพากษา)

เมื่อศาลได้รับคำขอให้ออกหมายบังคับคดีแล้ว ศาลมีอำนาจออกหมายบังคับคดีได้โดยไม่ต้องไต่สวนหรือรับฟังลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือบริวารก่อนด้วย

__________________________________________

ผลของความคุ้มครองคืออะไร?

ผลก็คือ ผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดสามารถขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีขับไล่ได้เหมือนตนเองชนะคดีขับไล่ตามคำพิพากษาทันที ไม่ต้องไปฟ้องเป็นคดีใหม่ จึงประหยัดเวลาดำเนินคดีไปมาก อย่างน้อยก็ประมาณ 1 ปีในศาลชั้นต้น และอย่างน้อยอีก 6 เดือน-1 ปีในศาลอุทธรณ์ และอีกหลายปีในศาลฎีกา (หากมี) จึงเป็นการคุ้มครองผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดี และสร้างแรงจูงใจให้มีคนกล้าซื้อทรัพย์มากขึ้น

__________________________________________

ผู้ที่อาศัยอยู่ในอสังหาฯ ไม่ใช่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือบริวารต้องทำอย่างไร?

กฎหมายข้างต้นกำหนดขอบเขตการใช้บังคับเฉพาะกับลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือบริวารเท่านั้น แต่ถ้ามีบุคคลอื่นนอกเหนือจากนี้อยู่ในอสังหาริมทรัพย์ที่ซื้อได้จากการขายทอดตลาด ผู้ซื้อจะต้องดำเนินการตามปกติ คือ ฟ้องคดีแพ่งจนมีคำพิพากษาให้ชนะคดี (ซึ่งก็ต้องใช้เวลาตามที่กล่าวมาแล้ว) แล้วจึงขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีขับไล่ได้

__________________________________________

กรณีซื้อบ้านขายทอดตลาดที่ไม่ได้จัดโดยกรมบังคับคดีได้สิทธิไม่เหมือนกัน

ตามที่กล่าวไว้แล้วข้างต้น กฎหมายมาตรานี้คุ้มครองเฉพาะผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดี กรมบังคับคดีเท่านั้น ผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ด้วยวิธีอื่น ต้องดำเนินคดีแพ่งขับไล่ตามปกติ ไม่สามารถขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีเสมือนว่าตนเองเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้

__________________________________________

🔷 ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก DD Property


#อสังหา #ซื้อบ้าน #ขายบ้าน #เช่าบ้าน #ฝากขาย #นายหน้า #บ้าน #คอนโด

1. มรดกที่ดินตกเป็นของใคร?• ถ้ามีพินัยกรรม เจ้าของที่ดินสามารถระบุชื่อผู้รับมรดกได้ตามพินัยกรรม (สิทธิตามพินัยกรรม) • ถ้...
30/09/2025

1. มรดกที่ดินตกเป็นของใคร?

• ถ้ามีพินัยกรรม เจ้าของที่ดินสามารถระบุชื่อผู้รับมรดกได้ตามพินัยกรรม (สิทธิตามพินัยกรรม)

• ถ้าไม่มีพินัยกรรม ทรัพย์มรดก (รวมที่ดิน) จะตกเป็นของทายาทตามกฎหมายตามลำดับ (ทายาทโดยธรรม)

__________________________________________

2. ลำดับทายาทตามกฎหมาย

มี 6 ลำดับ ได้แก่:

1. ลูก, หลาน, เหลน ฯลฯ (ผู้สืบสันดาน)
2. บิดาและมารดา
3. พี่น้องร่วมสายเลือดทั้งพ่อ-แม่
4. พี่น้องร่วมบิดาหรือร่วมมารดา
5. ปู่ ย่า ตา ยาย
6. ลุง ป้า น้า อา
7. คู่สมรสมีสิทธิ์ร่วมด้วยในหลายกรณี

__________________________________________

3. วิธีแบ่งที่ดินมรดก / การจัดการกรรมสิทธิ์รวม

• ถ้าทายาทตกลงกันได้ สามารถแบ่งเองแล้วจดทะเบียนแบ่งกรรมสิทธิ์ให้ชัดเจนได้เลย
• ถ้าไม่ตกลงกัน ต้องใช้วิธีให้ศาลตั้งผู้จัดการมรดก แล้วให้ผู้จัดการมรดกดำเนินการแบ่งตามแบบที่กฎหมายกำหนด
• ถ้าทรัพย์ (หรือที่ดิน) เป็นกรรมสิทธิ์รวมกับหลายคน (เจ้าของรวม), ทายาทแต่ละคนมีสิทธิ์เรียกให้แบ่งกรรมสิทธิ์ได้ตาม มาตรา 1363, 1364 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

__________________________________________

4. หลักฐานและขั้นตอน

• ต้องเตรียมโฉนดที่ดินหรือเอกสารสิทธิที่เกี่ยวข้อง, บัตรประชาชน, ทะเบียนบ้าน, พินัยกรรม (ถ้ามี), ใบมรณบัตรเจ้าของที่ดิน ฯลฯ
• เมื่อรับมรดกแล้ว ถ้าต้องการทำนิติกรรม เช่น โอนที่ดิน จำนอง จะต้องจดทะเบียนรับมรดกเพื่อเปลี่ยนชื่อเจ้าของตามกฎหมายก่อน

__________________________________________

5. ค่าธรรมเนียม

• มีค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนโอนมรดก, ค่าคำขอ, ค่าประกาศมรดก ฯลฯ
• ถ้าโอนมรดกระหว่างคู่สมรสหรือบุตร (ผู้สืบสันดาน) มักมีอัตราค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่า จากราคาประเมินทุนทรัพย์ เช่น ร้อยละ 0.5

__________________________________________

6. เวลา / สิทธิหลังเจ้ามรดกเสียชีวิต

• ทรัพย์มรดกตกแก่ทายาททันทีเมื่อเจ้ามรดกสิ้นชีวิต แต่สิทธิในทะเบียนกรรมสิทธิ์จะยังไม่ปรากฏจนกว่าจะจดรับมรดกย้อนหลัง
• ถ้าทายาทไม่ได้จดทะเบียน อาจมีปัญหาเมื่อต้องทำธุรกรรม เช่น โอนที่ดิน จำนอง ฯลฯ

__________________________________________

🔷 ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก DD Property


#อสังหา #ซื้อบ้าน #ขายบ้าน #เช่าบ้าน #ฝากขาย #นายหน้า #บ้าน #คอนโด

เพื่อนบ้านสร้างปัญหาเป็นความผิดตามกฎหมายหรือไม่?ปัญหาส่วนมากที่มักพบระหว่างเพื่อนบ้านก็ได้แก่ การจอดรถกีดขวาง การสร้างเส...
29/09/2025

เพื่อนบ้านสร้างปัญหาเป็นความผิดตามกฎหมายหรือไม่?

ปัญหาส่วนมากที่มักพบระหว่างเพื่อนบ้านก็ได้แก่ การจอดรถกีดขวาง การสร้างเสียงดัง กลิ่น ความสกปรก ซึ่งเหล่านี้เป็นความผิดลหุโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 370 และ 397

– มาตรา 370 ผู้ใดส่งเสียง ทำให้เกิดเสียงหรือกระทำความอื้ออึงโดยไม่มีเหตุอันสมควร จนทำให้ประชาชนตกใจหรือเดือดร้อน ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท

– มาตรา 397 ผู้ใดกระทำด้วยประการใด ๆ ต่อผู้อื่นอันเป็นการรังแก ข่มเหง คุกคาม หรือกระทำให้ได้รับความอับอายหรือเดือดร้อนรำคาญ ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท

เรื่องเสียงดังก็จะเป็นความผิดตามมาตรา 370 ข้างต้น ส่วนกรณีจอดรถกีดขวาง กลิ่น ความสกปรก ก็เป็นความผิดฐานสร้างความเดือดร้อนรำคาญตามมาตรา 397

นอกจากโทษตามประมวลกฎหมายอาญาข้างต้นแล้ว ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากเพื่อนบ้านกรณีกลิ่น หรือความสกปรกก็อาจร้องเรียนต่อหน่วยงานท้องถิ่น เพื่อให้ดำเนินการตามพระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ. 2535 และพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 ซึ่งเจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจจัดการสั่งผู้ทำผิดกฎหมายให้แก้ไข หากไม่ทำตามก็มีโทษทางอาญาแล้วแต่กรณีด้วย

__________________________________________

เพื่อนบ้านสร้างปัญหาเรียกร้องค่าเสียหายได้ไหม?

ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเรื่องความรับผิดทางอาญา ที่กฎหมายจะลงโทษกับผู้กระทำความผิด โดยโทษจำคุก หรือ โทษปรับ แต่ในฐานะเจ้าของบ้านที่ได้รับความเสียหายเดือดร้อนรำคาญ เราก็มีสิทธิที่จะเรียกร้องค่าเสียหายได้ตามกฎหมายแพ่ง เรื่องละเมิด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 420 และมาตรา 421 ด้วยครับ

– มาตรา 420 ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น

– มาตรา 421 การใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดเสียหายแก่บุคคลอื่นนั้น ท่านว่าเป็นการอันมิชอบด้วยกฎหมาย
กรณีมาตรา 421 นี้เองที่เป็นเรื่องที่น่าสนใจครับ นักกฎหมายเรียกว่าใช้สิทธิเกินส่วน โดยปกติแล้ว การที่บุคคลใช้สิทธิของตนเองตามกฎหมายถือเป็นเรื่องที่ทำได้ แม้จะทำให้ผู้อื่นได้รับผลกระทบบ้างก็ตาม

แต่เรื่องการใช้สิทธิเกินส่วนตามมาตรา 421 นี้ คือ การใช้สิทธิที่ทำให้ผู้อื่นได้รับความเดือดร้อนเกินควรคาดคิดหรือคาดหมายได้ว่าเป็นไปตามปกติหรือตามเหตุอันควร ก็ถือเป็นละเมิด ต้องชดใช้ค่าเสียหาย ตัวอย่างเช่น

– คำพิพากษาฎีกาที่ 1581/2538 ก่อสร้างหลุมฝังศพติดกับที่ดินของเพื่อนบ้านเพียง 10 เมตร แม้จะได้รับอนุญาตตาม พ.ร.บ.สุสานและฌาปนกิจแล้วก็ตาม ถือเป็นละเมิด

– คำพิพากษาฎีกาที่ 780/2538 เจ้าของรวมในที่ดินคนหนึ่งสามารถใช้สิทธิได้ทุกส่วนของที่ดิน แต่การปลูกบ้านคร่อมทางที่เจ้าของรวมคนอื่นใช้เป็นปกติ ถือเป็นละเมิด

เมื่อเป็นละเมิดตามมาตรา 420 หรือ 421 ข้างต้นแล้ว ผู้ได้รับความเดือดร้อนสามารถฟ้องคดีต่อศาลเพื่อเรียกค่าเสียหาย และขอให้ศาลบังคับให้จำเลยหยุดกระทำการอันเป็นละเมิด หรือแก้ไข หรือหากสภาพเดือดร้อนนั้นไม่สามารถแก้ไขให้คืนดังเดิมได้ ก็สามารถเรียกค่าสินไหมทดแทนเพิ่มเติมได้

__________________________________________

ตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น กรณีที่เราได้รับความเดือดร้อนจากเพื่อนบ้านเกินสมควร กฎหมายได้คุ้มครองรับรองสิทธิของเราไว้ ทั้งกฎหมายแพ่งและกฎหมายอาญา แต่ทั้งนี้ ในการอยู่ร่วมกัน ก็ควรถ้อยทีถ้อยอาศัย ไม่คำนึงถึงแต่ตัวเองมากจนเกินไป เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้จะดีที่สุด

__________________________________________

🔷 ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก DD Property

#อสังหา #ซื้อบ้าน #ขายบ้าน #เช่าบ้าน #ฝากขาย #นายหน้า #บ้าน #คอนโด

เมื่อพูดถึงการลงทุนอสังหาฯ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อที่ดิน คอนโด หรือบ้านเพื่อเก็งกำไร ปล่อยเช่า หรือขายต่อในวันที่ราคาสูงนั้น...
26/09/2025

เมื่อพูดถึงการลงทุนอสังหาฯ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อที่ดิน คอนโด หรือบ้านเพื่อเก็งกำไร ปล่อยเช่า หรือขายต่อในวันที่ราคาสูงนั้น นักลงทุนส่วนใหญ่มักจะมุ่งทำเลในการลงทุนไปที่กรุงเทพฯ เป็นสำคัญ เนื่องจากเป็นเมืองที่มีความเจริญ มีความต้องการที่อยู่อาศัยและที่ดินสำหรับใช้ทำธุรกิจเป็นจำนวนมาก แต่อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ได้หมายความว่าการซื้ออสังหาฯ ในพื้นที่ต่างจังหวัด จะไม่ใช่การลงทุนที่ดีเสมอไป โดยข้อดีของการซื้ออสังหาฯ ต่างจังหวัดไว้ลงทุนนั้น มีดังต่อไปนี้

__________________________________________

1. ราคาอสังหาฯ ถูกกว่ากรุงเทพฯ
เงื่อนไขอันดับหนึ่งของการลงทุนคืองบประมาณในการลงทุนมีมากเท่าไร เพราะต่อให้เรารู้ว่าพื้นที่ทำเลในกรุงเทพฯ นั้นดีมีอนาคตแค่ไหน แต่ก็อาจไม่สามารถที่จะจับจองครอบครองได้เลยเพราะราคาอสังหาฯ ในกรุงเทพฯ นั้นสูงมาก สูงจนบางทีก็มีนักลงทุนเพียงบางกลุ่มเท่านั้นที่จะสามารถลงทุนได้ ตรงกันข้ามกับในพื้นที่ต่างจังหวัด ที่ราคาอสังหาฯ ยังไม่สูงมากนัก สามารถมีให้เลือกเฟ้นทำเลที่มีอนาคตจับจองลงทุนและทำกำไรได้อย่างอิสระ พื้นที่ต่างจังหวัดจึงเหมือนเป็นแหล่งโอกาสในการลงทุนให้นักลงทุนที่มีความมุ่งมั่นได้มีโอกาสประสบความสำเร็จได้ในการลงทุนอสังหาฯ

__________________________________________

2. อสังหาฯ ต่างจังหวัดกำลังเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ
พื้นที่กรุงเทพฯ ในปัจจุบันนั้น เรียกได้ว่าแทบจะขยายตัวต่อไปได้ไม่มากอีกแล้ว ผู้คนในกรุงเทพฯ เริ่มค่อย ๆ ขยับขยายออกมายังจังหวัดรอบ ๆ ใกล้เคียง ซึ่งเมื่อผู้คนหลั่งไหลไปที่ไหน ความเจริญ และการเติบโตของอสังหาฯ ของระบบเศรษฐกิจก็จะขยับไปที่นั่นตามไปด้วย ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดขึ้น ดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ไตรมาส 1 ปี 2566 โซนที่มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินสูงสุดนั้น ได้แก่ ที่ดินในโซนนครปฐม ซึ่งมีราคาสูงขึ้นถึง 68.2% สะท้อนให้เห็นว่าพื้นที่ต่างจังหวัดกำลังอยู่ในช่วงเติบโต และมีโอกาสเติบโตอีกมาก นอกจากนั้นแล้ว เราก็ต้องไม่ลืมด้วยว่า หลาย ๆ จังหวัดในประเทศไทยก็มีจุดเด่นจุดขาย มีที่ท่องเที่ยว เป็นเมืองท่องเที่ยว และเมืองเศรษฐกิจมากมาย นั่นเองจึงเป็นโอกาสที่บอกเราได้ว่า การลงทุนอสังหาฯ ในต่างจังหวัดนั้น ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าการลงทุนอสังหาฯ ในพื้นที่กรุงเทพฯ เลยแม้แต่นิดเดียว

__________________________________________

3. มีจุดขายที่สภาพแวดล้อมที่สุขสงบ
ปัจจุบันผู้คนแม้จะอยู่กับสังคมเมืองกันเป็นจำนวนมาก แต่ด้วยความรีบเร่ง เคร่งเครียด ความพลุกพล่าน และปัญหารถติดในสังคมเมืองที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ นั้น ทำให้การโหยหาความสงบ ต้องการที่อยู่อาศัยหรือสภาพแวดล้อมที่ดีต่อใจนั้นเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ผู้คนจำนวนไม่น้อยคิดอยากหาบ้านต่างจังหวัดเพื่อย้ายถิ่นฐาน ในขณะที่ผู้คนที่มีกำลังซื้ออีกจำนวนมากเลือกที่จะซื้อบ้านพักตากอากาศเอาไว้ในต่างจังหวัด เพื่อไว้สำหรับหลบหลีกความวุ่นวายในเมืองใหญ่ไปอิงแอบความสงบหย่อนใจในพื้นที่สีเขียวที่เป็นธรรมชาติมากกว่า การเปลี่ยนแปลงของความรู้สึกอยากได้บ้านที่สงบแวดล้อมด้วยธรรมชาตินั้นถือเป็นเทรนด์ที่กำลังเติบโต และนั่นเองจึงเป็นโอกาสสำหรับคนที่มองเห็น เพราะหากนักลงทุนสามารถจำจองพื้นที่ต่างจังหวัดที่ดีและตอบโจทย์ความต้องการของผู้คนได้ก่อน ก็มีโอกาสมากที่จะประสบความสำเร็จอย่างสูงในอนาคต

__________________________________________

ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนอสังหาฯ ในต่างจังหวัดหรือว่ากรุงเทพฯ ก็ล้วนมีโอกาสและความเสี่ยงไม่แตกต่างกัน พื้นที่ทำเลแต่ละจังหวัดก็มีข้อดี ข้อเสีย และเป็นที่ต้องการของกลุ่มเป้าหมายที่ไม่เหมือนกันด้วย ดังนั้น เราจึงไม่สามารถฟันธงได้อย่างชัดเจนว่าการลงทุนอสังหาฯ ในต่างจังหวัดดีกว่าการลงทุนอสังหาฯ ในกรุงเทพฯ เพราะต้องขึ้นอยู่กับกลยุทธ์การลงทุนและปัจจัยอื่น ๆ ที่เป็นข้อจำกัดของนักลงทุนแต่ละคนด้วย

__________________________________________

แต่ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนอสังหาฯ ในกรุงเทพฯ หรือจังหวัดใดก็ตาม การรู้ทันสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัย เข้าถึงข้อมูลความเคลื่อนไหวของดัชนีราคาต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วแม่นยำนั้น จะช่วยให้เรามีข้อมูลใช้ประกอบการตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยลดความเสี่ยง และมีโอกาสสำเร็จเพิ่มได้มากยิ่งขึ้น

__________________________________________

🔷 ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก REIC


#อสังหา #ซื้อบ้าน #ขายบ้าน #เช่าบ้าน #ฝากขาย #นายหน้า #บ้าน #คอนโด

ประกันอัคคีภัยคืออะไร?ประกันอัคคีภัย คือ การประกันภัยทรัพย์สินที่ให้ความคุ้มครองแบบ "ระบุภัย" หรือ Named Peril ให้ความคุ...
22/09/2025

ประกันอัคคีภัยคืออะไร?

ประกันอัคคีภัย คือ การประกันภัยทรัพย์สินที่ให้ความคุ้มครองแบบ "ระบุภัย" หรือ Named Peril ให้ความคุ้มครองความสูญเสียหรือเสียหายแก่ทรัพย์สินที่เอาประกันภัยอันเนื่องมาจากภัยที่ระบุไว้ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นประกันอัคคีภัยและประกันอัคคีภัยสำหรับที่อยู่อาศัย

ข้อควรระวัง

– บางกรมธรรม์ประกันภัย "ไม่คุ้มครองแผ่นดินไหว" หากไม่ได้ซื้อภัยเพิ่มเติม
– วงเงินภัยธรรมชติใช้รวมกันหลายภัน อย่าคิดว่าแผ่นดินไหวจะได้เต็มวง
– ควรตั้งจำนวนเงินเอาประกันให้พอดีกับมูลค่าทรัพย์สินจริง
– ไม่ต่ำเกินไป (Underinsured) ไม่สูงเกินจริง (Overinsured) เพื่อให้เคลมได้คุ้มค่าและจ่ายเบี้ยเหมาะสม

__________________________________________

ประกันภัยคุ้มครองความเสียหายคอนโดจากแผ่นดินไหวด้านไหนบ้าง ?

จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในหลายพื้นที่ พบว่า ห้องคอนโด ได้รับความเสียหายในหลายด้าน ซึ่งจัดอยู่ภยใต้ภายที่แตกต่างกัน ดังนี้

1. ความเสียหายโครงสร้าง

– รอยแตกร้าวของผนัง, เพดาน หรือโครงสร้างอาคาร ที่เกิดจากแผ่นดินไหว จัดเป็นภัยจากแผ่นดินไหว (Earthquake Peril)
– ความคุ้มครองขึ้นอยู่กับว่าในกรมธรรม์มีการระบุภัยแผ่นดินไหวไว้หรือไม่

2. น้ำรั่วซึมเข้าห้องพัก

– ความเสียหายจากน้ำรั่วซึมภายในห้องพัก อันเนื่องมาจากรอยร้าวของผนังหรือโครงสร้างที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว ถือเป็น "ความเสียหายอันเป็นผลโดยตรหรือโดยอ้อมจากภัยแผ่นดินไหว"
3. ความเสียหายต่อเฟอร์นิจอร์
– เฟอร์นิเจอร์ภายในห้อง เช่น โต๊ะ, เก้าอี้, ตู้, เตียง ที่เสียหายจากแรงสั่นของแผ่นดินไหว หากการซื้อกรมธรรม์ครอบคลุมถึงความคุ้มครองทรัพย์สินภายใน ความเสียหายดังกล่าวจะอยู่ภายใต้ความคุ้มครองของกรมธรรม์

4. ไม่สามารถเข้าพักอาศัยได้

– จำเป็นต้องเช่าที่พักชั่วคราวขณะเกิดความเสียหายหรือระหว่างรอซ่อม
– จัดเป็นค่าเสียหายต่อเนื่อง (Consequential Loss)
– บางกรมธรรม์ เช่น ประกันภัยบ้าน หรือคอนโดบางฉบับ อาจมีความคุ้มครอง "ค่าเช่าที่พักชั่วคราว" ภายใต้เงื่อนไขกรมธรรม์

ข้อแนะนำ

เพื่อให้การเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ผู้เอาประกันภัยควรปฏิบัติดังนี้

– ตรวจสอบว่ากรมธรรม์ที่ถืออยู่มีความคุ้มครองภัยแผ่นดินไหว และภัยต่อเนื่องหรือไม่
– ถ่ายภาพความเสียหาย และรวบรวมหลักฐาน เช่น ภาพก่อนเกิดเหตุและรายการทรัพย์สิน
– แจ้งเหตุและส่งหลักฐานต่อบริษัทประกันภัยโดยเร็ว
– ตรวจสอบจำนวนเงินที่คุ้มครองนกรมธรรม์ประกันภัย

__________________________________________

ถ้าคอนโดพังถล่ม ใครรับผิดชอบ

คอนโดหรืออาคารก่อสร้างทั่วไปมักมี "ประกันภัยการปฏิบัติงานตามสัญญาการก่อส้าง" รองรับความเสียหายอยู่แล้ว โดยประกันภัยประเภทนี้ให้ความคุ้มครองดังนี้

1. ความเสียหายจากอุบัติเหตุ หรือเหตุการณ์อันไม่อาจคาดหมายได้หรือด้วยสาเหตุใดก็ตาที่ไม่ได้ระบุในข้อยกเว้น ซึ่งจะคุ้มครอง รวมถึงภัยธรรมชาติด้วย เช่น ภัยแผ่นดินไหว

2. การขนย้ายซาก ทรัพย์สินที่เอาประกันภัย

3. ค่าสถาปนิก, ค่านักสำรวจ, ค่าวิศวกรที่ปรึกษา ที่ผู้เอาประกันภัยจำเป็นต้องจ่ายด้วยความเห็นชอบของบริษัท เพื่อสร้างขึ้นใม่หรือเปลี่ยนใหม่แทนทรัพย์สินที่ได้เกิดความสูญเสียหรือความเสียหาย

ใครต้องทำประกันภัยประเภทนี้

– ผู้รับเหมาก่อสร้าง เพื่อรับผิดชอบความเสียหายต่อโครงการ
– เจ้าของโครงการ/ผู้ว่าจ้าง เพื่อคุ้มครองทรัพย์สินและการลงทุน

ข้อแนะนำ

หากมีการก่อสร้าง ควรจัดให้มีการทำประกันภัยนี้ทุกครั้ง เพราะการประกันภัยงานก่อสร้างเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้รับเหมาและผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มั่นใจว่าจะได้รับความคุ้มครองและการชดเชยความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงและความกังวลในการดำเนินงานก่อสร้าง

__________________________________________

4 ขั้นตอน เคลมประกันง่าย ๆ เมื่อเกิดแผ่นดินไหว

แผ่นดินไหวเป็นภัยธรรมชาติ่ไม่สามารถคาดเดาได้และอาจสร้างความเสียหาย ทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สิน หากคุณทำประกันภัยที่มีความคุ้มครองแผ่นดินไหวไว้และได้ดำเนินการตามขั้นตอนเคลมย่างถูกต้องและรวดเร็ว จะช่วยให้คุณได้รับความุ้มครองและเงินชดเชยตามสิทธิ์ในกรมธรรม์

1. ประเภทกรมธรรม์ที่คุ้มครอง

– กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ ประเภท 1 มีความคุ้มครองกับแผ่นดินไหว และสำหรับกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ประเภท 2, ประเภท 3, ประเภท 2+, ประเภท 3+ ต้องซื้อเอกสารแนบท้ายคุ้มครองภัยธรรมชาติ จึงจะด้รับความคุ้มครองภัยแผ่นดินไหว
– ประกันอัคคีภัยที่อยู่อาศัย คุ้มครองความเสียหายจากภัยลมพายุ, น้ำท่วม, ลูกเห็บ และแผ่นดินไหว หรือภูเขาไฟระเบิด หรือคลื่นใต้น้ำ หรือสึนามิ ที่มีสาเหตุจากธรรมชาติ จำกัดความรับผิดชอบทุกภัยรวมกันต่อปีไม่เกิน 20,000 บาท
– ประกันอัคคีภัยทั่วไป ต้องซื้อภัยพิเศษเพิ่มเติม เพื่อคุ้มครองแผ่นดินไหว
– ประกันภัยทรัพย์สินแบบ IAR ให้ความคุ้มครองภัยแผ่นดินไหว ทั้งนี้ อาจมีการจำกัดวงเงิน (Sub Limit) โดยออกเอกสารแนบท้าย
– ประกันภัยงานก่อสร้าง (CWI/CAR) คุ้มครองความเสียหายที่เกิดกับงานก่อสร้างและงานวิศวกรรมโยธา การิดตั้งเครื่องจักร และความรับผิดต่อบุคคลภายนอก

2. รวบรวมหลักฐานความเสียหาย

– ถ่ายภาพ/วิดีโอความเสียหายจากแผ่นดินไหวโดยละเอียด เช่น ภาพผนังแตกร้าว, ทรุด หรือพังทลาย
– จัดทำรายการทรัพย์สินเสียหาย พร้อมราคาประเมิน
– เก็บหลักฐานประกอบ เช่น ใบเสร็จ รูปภาพทรัพย์สินก่อนเกิดเหตุ

3. แจ้งเหตุและยื่นเรื่องเรียกร้อง

– ติดต่อบริษัทประกันภัยผ่านช่องทางที่สะดวก (แอปพลิเคชัน, เว็บไซต์, โทรศัพท์)
– ระบุวันเวลา สถานที่ รายละเอียดความเสียหาย และแนบหลักฐานเบื้องต้น
– จดจำเลขที่รับแจ้งเคลมเพื่อใช้ติดตามผล

4. การประเมินและจ่ายค่าสินไหม

– บริษัทประกันภัยเข้าตรวจสอบความเสียหาย ณ สถานที่เกิดเหตุ
– พิจารณาความคุ้มครองตามกรมธรรม์ ก่อนดำเนินการจ่ายค่าสินไหมทดแทน ภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันที่ตกลงได้

อย่างไรก็ตาม ผู้เอาประกันภัยควรถ่ายภาพความเสียหายไว้โดยละเอียด และจัดเตรียมภาพถ่ายก่อนเกิดเหตุ (หากมี) เพื่อใช้เป็นหลักฐานประกอบการเรียกร้องค่าสินไหม เนื่องจากมีผู้เสียหายจำนวนมาก การตรวจสอบของบริษัทอาจใช้ระยะเวลา

__________________________________________

🔷 ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก DD Property

#อสังหา #ซื้อบ้าน #ขายบ้าน #เช่าบ้าน #ฝากขาย #นายหน้า #บ้าน #คอนโด

ชั้นบนสุดของอพาร์ทเมนท์หรือคอนโดระดับไฮเอนด์ จะมียูนิตพิเศษที่แตกต่างจากยูนิตอื่น หรือที่เรียกว่าเพนท์เฮ้าส์ (Penthouses...
19/09/2025

ชั้นบนสุดของอพาร์ทเมนท์หรือคอนโดระดับไฮเอนด์ จะมียูนิตพิเศษที่แตกต่างจากยูนิตอื่น หรือที่เรียกว่าเพนท์เฮ้าส์ (Penthouses) ซึ่งนอกจากราคาขายที่แพงกว่าแล้ว เพนท์เฮ้าส์ คืออะไร มีความพิเศษอย่างไร และใครเหมาะกับการอยู่เพนท์เฮ้าส์ มาทำความเข้าใจก่อนตัดสินใจซื้อ

___________________________________________

เพนท์เฮ้าส์ คืออะไร?

เพนท์เฮ้าส์ คือ ห้องหรือยูนิตพิเศษของอพาร์ทเมนต์หรือคอนโดมิเนียม ในชั้นที่สูงที่สุด วิวดีที่สุดของตัวอาคาร ส่วนใหญ่เป็นพบในคอนโดระดับไฮเอนด์ แบบ High Rise มากกว่า Low Rise

โดยเพนท์เฮ้าส์จะมีขนาดห้องที่ใหญ่และกว้างขวาง ใช้พื้นที่ทั้งชั้นหรือมากกว่าหนึ่งชั้น แบ่งพื้นที่ภายในเป็นสัดส่วน เป็นห้องต่าง ๆ เช่น ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องนั่งเล่น ห้องครัว พื้นที่รับประทานอาหาร มีระเบียงขนาดใหญ่ หรือสระว่ายน้ำส่วนตัวให้เทควิวสระและวิวเมือง ให้ความรู้สึกเหมือนพักอาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่สุดหรู ซึ่งมีราคาแพงที่สุดเมื่อเทียบกับยูนิตอื่นในโครงการเดียวกัน

___________________________________________

เพนท์เฮ้าส์ มีลักษณะอย่างไร?

เพนส์เฮ้าส์นั้นส่วนใหญ่มีลักษณะ ดังนี้

1. ยูนิตพิเศษในคอนโดมิเนียม
2. อยู่ชั้นบนสุดของอาคาร
3. ออกแบบพิเศษ หรือใช้วัสดุที่หรูหรากว่ายูนิตอื่น ๆ
4. พื้นที่ใช้สอยมากกว่า 300 ตารางเมตรขึ้นไป
5. มีจำนวนยูนิตน้อย บางโครงการมีทั้งชั้น 1 ยูนิต หรือ 1-2% ของจำนวนยูนิตทั้งหมด

ด้วยลักษณะต่าง ๆ เหล่านี้ ทำให้เพนท์เฮ้าส์ คือ ยูนิตพิเศษในคอนโดที่ได้รับความสนใจ แต่ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้เพนท์เฮ้าส์มีการปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย จากเดิมที่มีเพียง 1-2 ยูนิตทั้งชั้น ปัจจุบันคอนโดมิเนียมบางโครงการได้จัดสรรยูนิตเพนท์เฮ้าส์เพิ่มขึ้น โดยลดขนาดพื้นที่ใช้สอยลงมาอยู่ที่ประมาณ 200 กว่าตารางเมตร เพื่อเพิ่มจำนวนยูนิตเพนท์เฮ้าส์ให้มี 1-4 ยูนิตต่อชั้น

นอกจากนี้ตำแหน่งที่ตั้งของยูนิตก็เปลี่ยนแปลงไป จากเดิมที่สถาปนิกส่วนใหญ่จะออกแบบให้เพนท์เฮ้าส์อยู่ชั้นบนสุด ปัจจุบันโครงการคอนโดมิเนียมหลาย ๆ โครงการออกแบบให้พื้นที่ส่วนกลาง เช่น สระว่ายน้ำ ฟิตเนส Co-Working Space สวนหย่อม พื้นที่พักผ่อน อยู่ชั้นบนสุดหรือดาดฟ้า (rooftop) เพื่อนำมาเป็นจุดขาย ทำให้เพนท์เฮ้าส์ขยับไปอยู่ในชั้นที่รอง ๆ ลงมาแทน

การปรับเปลี่ยนดังกล่าวนอกจากจะเปลี่ยนนิยามของเพนท์เฮ้าส์ คืออะไรแล้ว ยังเป็นการเพิ่มโอกาสในการซื้อ จากจำนวนยูนิตเพนท์เฮ้าส์เพิ่มมากขึ้น และดีเวลลอปเปอร์ก็สามารถขายยูนิตพิเศษที่มีราคาแพงนี้ได้เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน

___________________________________________

ความพิเศษของเพนท์เฮ้าส์?

เพนท์เฮ้าส์มีความพิเศษอย่างไร ทำไมหลายคนใฝ่ฝันอยากจะมีเพนท์เฮ้าส์ โดยเฉพาะคนเมือง ที่ให้คำนิยามเพนท์เฮ้าส์ คือ บ้านหรูบนคอนโดสูง ทำเลใจกลางเมืองที่เพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์

1. ตำแหน่งที่ตั้งของเพนท์เฮ้าส์
ตำแหน่งของเพนท์เฮ้าส์ เป็นตำแหน่งที่ดีที่สุดในโครงการ โดยอยู่ชั้นบนสูงสุดหรือรองลงมาจากชั้นบนสุด พื้นที่ใช้สอยครอบคลุมทั้งชั้นหรือมากกว่าหนึ่งชั้น ซึ่งแน่นอนว่าความพิเศษของการได้อยู่ตำแหน่งสูงที่สุดนี้ ยังมาพร้อมกับวิวที่ดีทีสุดแบบไม่มีอะไรมากั้น หรือวิวพาโนรามา 360 องศาที่หาไม่ได้ง่าย ๆ

2. ขนาดพื้นที่ใช้สอยของเพนท์เฮ้าส์
แม้เพนท์เฮ้าส์ในปัจจุบัน จะมีขนาดพื้นที่ใช้สอยลดลงจากเดิม แต่ก็ยังถือว่ามีขนาดใหญ่กว่ายูนิตทั่วไป โดยปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 200 ตารางเมตร อาจจะกินพื้นที่ทั้งชั้นหรือทำเป็นแบบ Duplex รวมสองชั้นไว้ด้วยกัน ซึ่งก็จะทำให้มีพื้นที่ใช้สอยที่เพิ่มมากขึ้น โอ่โถง กว้างขวาง สะดวกสบาย เหมือนกับอยู่บ้านหลังใหญ่ที่อยู่บนอาคารสูง

3. การออกแบบห้อง
การออกแบบภายในมีความพิเศษ เนื่องจากเพนท์เฮ้าส์ คือ ห้องหรือยูนิตพิเศษของโครงการ มีพื้นที่ใช้สอยมากที่สุดในโครงการ ภายในเพนท์เฮ้าส์จึงมีขนาดใหญ่และกว้างขวางกว่าเมื่อเทียบกับยูนิตอื่น ๆ ในโครงการเดียวกัน ที่ปกติจะมีห้องนอนสูงสุดอยู่ที่ 2 ห้องนอน แต่เพนท์เฮ้าส์จะมี 3-4 ห้องนอนขึ้นไป และมีห้องต่าง ๆ เหมือนยกบ้านเดียวมาไว้บนตึกสูง

4. ฟังก์ชันพิเศษ
การออกแบบยังมาพร้อมฟังก์ชั่นพิเศษ เช่น ลิฟต์ส่วนตัว (Private Lift) จากชั้นล่างตรงเข้าสู่ภายในเพนท์เฮ้าส์, สิทธิ์ที่จอดรถถาวรในโครงการ หรือที่จอดรถแบบ fix คัน, สระว่ายน้ำส่วนตัว, Pantry และครัวฝรั่ง, ห้องซักรีด, ห้องแม่บ้าน เป็นต้น

5. ราคาของเพนท์เฮ้าส์
พื้นที่ใช้สอยและความสูงเป็นตัวกำหนดราคาคอนโดมิเนียม เพนท์เฮ้าส์ก็เช่นเดียวกัน ด้วยความพิเศษของพื้นที่ใช้สอยที่อยู่ที่ประมาณ 200 ตารางเมตร ตำแหน่งที่ดีที่สุด สูงสุดที่สุด วิวดีที่สุด เหตุนี้จึงทำให้เพนท์เฮ้าส์มีราคาแพงกว่ายูนิตอื่น ๆ ในโครงการ ยังไม่นับรวมค่าส่วนกลางที่ต้องจ่ายเพิ่มมากขึ้นตามขนาดพื้นที่ใช้สอย

___________________________________________

เพนท์เฮ้าส์ เหมาะกับใคร?

เพนท์เฮ้าส์ เหมาะกับกลุ่มลูกค้าที่เป็นเซ็กเมนต์เฉพาะ ลูกค้าระดับไฮเอนด์ โดยส่วนใหญ่แล้วเพนท์เฮ้าส์มักจะเปิดขายตอนโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จ เพราะกลุ่มลูกค้าไม่ได้ซื้อเพื่อเก็งกำไร แต่เป็นการเก็บสะสม ซึ่งต้องการเห็นห้องก่อนตัดสินใจซื้อ และจะซื้อเงินสด ด้วยราคาที่สูงของเพนท์เฮ้าส์จึงไม่ใช่ใครอยากซื้อก็ซื้อได้ เพราะนอกจากราคาแล้วยังจัดว่าเป็นสินเค้าแรร์ไอเทม (Rare item) ที่มีจำนวนเพียงไม่กี่ยูนิตในโครงการ

โอกาสของผู้ซื้อจึงต้องมีความพร้อมทั้งงบประมาณและชื่นชอบความเป็นเพนท์เฮ้าส์ที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ โดยปัจจุบันห้องเพนท์เฮ้าส์มีราคาขายอยู่ที่ 60-300 ล้านบาทต่อยูนิต และมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง

___________________________________________

🔷 ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก DD Property


#อสังหา #ซื้อบ้าน #ขายบ้าน #เช่าบ้าน #ฝากขาย #นายหน้า #บ้าน #คอนโด

หากคุณกำลังมองหาที่อยู่อาศัยที่สามารถเลี้ยงสัตว์ได้โดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับปัญหาห้ามเลี้ยงสัตว์ในที่พัก คอนโด Pet Friend...
18/09/2025

หากคุณกำลังมองหาที่อยู่อาศัยที่สามารถเลี้ยงสัตว์ได้โดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับปัญหาห้ามเลี้ยงสัตว์ในที่พัก คอนโด Pet Friendly น่าจะเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์ให้กับคนรักสัตว์หลาย ๆ คนในตอนนี้ มาดูกันว่าในการหาคอนโด Pet Friendly ที่ใช่สำหรับคุณและสัตว์เลี้ยงจะต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง ?

__________________________________________

คอนโด Pet Friendly ควรมีลักษณะอย่างไร ?
การเลือกคอนโด Pet Friendly จะต้องดูว่าคอนโดโครงการนั้น ๆ มีลักษณะที่ตอบโจทย์กับความต้องการของเราและสัตว์เลี้ยงหรือไม่ ซึ่งการเลือกคอนโด Pet Friendly ควรพิจารณาจากลักษณะต่าง ๆ ดังนี้

1. คอนโด Pet Friendly กับพื้นที่ที่เหมาะสม

อีกหนึ่งลักษณะที่ควรพิจารณาในการเลือกคอนโด Pet Friendly คือพื้นที่ห้อง โดยพื้นที่ของแต่ละห้องในคอนโด Pet Friendly ควรมีความกว้างที่ไม่เล็กเกินไปเพราะจะทำให้สัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะน้องหมาหรือน้องแมวรู้สึกอึกอัดได้ ยิ่งเมื่อมีทั้งคน สัตว์เลี้ยงอยู่รวมกับหากห้องมีพื้นที่ที่ต่ำกว่า 28 ตารางเมตรอาจดูคับแคบเกินไป

พื้นที่สำหรับจัดเก็บของหรือวางของใช้ของสัตว์เลี้ยงก็อาจจะไม่เพียงพอจนกลายเป็นเกะกะได้ นอกจากนี้หากห้องเล็กเกินไปก็อาจทำให้อากาศถ่ายเทไม่สะดวกเกิดเป็นปัญหาด้านกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ตามมาได้

__________________________________________

2. คอนโด Pet Friendly กับสิ่งอำนวยความสะดวก

คอนโด Pet Friendly ที่เลือกซื้อหรือเช่าควรมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่เหมาะสมกับทั้งคนที่พักอาศัยและน้อง ๆ สัตว์เลี้ยงของเราด้วย ไม่ว่าจะเป็น Pet Zone หรือพื้นที่สำหรับให้สัตว์เลี้ยงได้วิ่งเล่น หรือเดินออกกำลังกาย เป็นต้น

__________________________________________

3. คอนโด Pet Friendly ที่อยู่ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวก

สถานที่สำคัญโดยรอบคอนโด Pet Friendly ในที่นี้หมายถึงแหล่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่เอื้อต่อคนและสัตว์เลี้ยง ไม่ว่าจะเป็น ห้างสรรพสินค้าที่สามารถเลือกซื้อสินค้าสำหรับคนและน้อง ๆ สัตว์เลี้ยง คลินิกหรือโรงพยาบาลสัตว์ ร้านสำหรับอาบน้ำตัดแต่งขน หรือแม้แต่สวนสาธารณะที่สามารถพาน้อง ๆ สัตว์เลี้ยงไปเดินเล่น ออกกำลังกายด้วยได้

นอกจากนี้ หากคอนโด Pet Friendly อยู่ในตำแหน่งที่มีเส้นทางการเดินทางที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นติดรถไฟฟ้า หรือมีเส้นทางที่สามารถเดินทางได้สะดวกเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ได้ง่าย ก็ถือว่าเป็นคอนโด Pet Friendly ที่มีความน่าสนใจมากเลยทีเดียว

__________________________________________

6 เรื่องควรรู้ก่อนซื้อคอนโด Pet Friendly

1. ก่อนซื้อหรือเช่าคอนโด Pet Friendly สิ่งที่สำคัญคือควรศึกษากฎระเบียบของคอนโด Pet Friendly ที่นั้น ๆ ให้ละเอียดก่อน ดูว่าต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขใดอย่างเคร่งครัด หากคิดว่ายังไม่ตรงกับไลฟ์สไตล์ของเราจะได้หาคอนโด Pet Friendly แห่งอื่นที่ตรงกับความต้องการของเราและสัตว์เลี้ยงมากที่สุด

2. การลงทะเบียนสัตว์เลี้ยงตามขั้นตอนของคอนโด Pet Friendly โดยในการลงทะเบียนสัตว์เลี้ยงของคอนโด Pet Friendly นั้น จะเป็นการลงทะเบียน ลงประวัติสัตว์ทั้งในเรื่อง สายพันธุ์ ใบรับรองการตรวจโรคที่ขอมาไม่เกิน 30 วัน และต้องมีการส่งใบรับรองนี้ให้กับคอนโด Pet Friendly ทุกปี การชำระค่าธรรมเนียมรายปีของคอนโด Pet Friendly การจ่ายประกันค่าเสียหายแรกเข้าของคอนโด Pet Friendly

3. ศึกษาว่าคอนโด Pet Friendly นั้นมีข้อต้องห้ามในการเลี้ยงสัตว์ชนิดใดบ้าง เช่น คอนโด Pet Friendly บางแห่งอาจอนุญาตให้เลี้ยงเฉพาะสุนัขพันธุ์เล็กหรือแมว หรือเป็นคอนโด Pet Friendly ที่ไม่อนุญาตให้นำสัตว์มีพิษ สัตว์ปีก สัตว์เลื้อยคลานมาเลี้ยง เป็นต้น

4. ในการใช้พื้นที่ส่วนกลางของคอนโด Pet Friendly สัตว์เลี้ยงจะต้องมีสายจูงและอยู่ในการกำกับดูแลของเจ้าของตลอด อีกทั้งต้องระมัดระวังเรื่องความสะอาดหรือกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ หากสัตว์เลี้ยงมีการขับถ่ายในพื้นที่ส่วนกลางเจ้าของต้องดูแลทำความสะอาดให้เรียบร้อย

5. ในกรณีที่สัตว์เลี้ยงในคอนโด Pet Friendly ก่อความผิด เช่น สร้างความเดือดร้อนรำคาญ ทำร้ายคนในคอนโดหรือสัตว์เลี้ยงของเพื่อนบ้าน เจ้าของต้องแสดงความรับผิดชอบ ซึ่งอาจจะเป็นการเสียค่าปรับ

หากไม่ดำเนินการ นิติบุคคลคอนโด Pet Friendly นั้น ๆ จะดำเนินการตามความเหมาะสมต่อไป ในกรณีร้ายแรงอาจถึงขั้นไม่อนุญาตให้นำสัตว์เข้ามาเลี้ยงในคอนโด Pet Friendly

6. ศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องแต่ละพื้นที่ ยกตัวอย่างเช่น หากเป็นคอนโด Pet Friendly ในกรุงเทพฯ จะต้องปฏิบัติตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการควบคุมการเลี้ยงหรือปล่อยสัตว์ พ.ศ. 2567 ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2568 และจะมีผลบังคับใช้วันที่ 10 มกราคม 2569

__________________________________________

🔷 ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก DD Property

#อสังหา #ซื้อบ้าน #ขายบ้าน #เช่าบ้าน #ฝากขาย #นายหน้า #บ้าน #คอนโด

ทำที่จอดรถให้เช่า ถือเป็นอีกหนึ่งไอเดียที่น่าสนใจ โดยเฉพาะผู้ที่มีที่ดินอยู่แล้ว หรือต้องการซื้อที่ดินนั้นมาเก็บไว้รอโอก...
17/09/2025

ทำที่จอดรถให้เช่า ถือเป็นอีกหนึ่งไอเดียที่น่าสนใจ โดยเฉพาะผู้ที่มีที่ดินอยู่แล้ว หรือต้องการซื้อที่ดินนั้นมาเก็บไว้รอโอกาสในอนาคต แล้วก็ทำที่จอดรถให้เช่าไปพลาง ๆ ก่อน

เหตุผลที่ทำให้การทำที่จอดรถให้เช่าเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เนื่องจากความต้องการที่จอดรถในหลายพื้นที่มีสูงมาก โดยเฉพาะที่จอดรถใกล้แหล่งชุมชนหนาแน่น ชุมชนขยายตัว คนมีรถ แต่ไม่มีที่จอดรถ ถือว่ามีความต้องการสูง รวมทั้งที่ดินใกล้สถานีรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย ใกล้แหล่งทำงาน ใกล้แหล่งการค้า ฯลฯ

แม้ว่าที่ดินลักษณะนี้จะอยู่ในซอย ไม่ได้อยู่ติดถนน บางแปลงเป็นที่ดินที่ทำอะไรไม่ได้เลย ก็สามารถนำมาทำที่จอดรถได้ ดังนั้น ถ้าประเมินแล้วว่าที่ดินที่มีอยู่ในมือ ไม่เหมาะจะทำการค้าใด ๆ และอยู่ในพื้นที่ที่มีความต้องการที่อยู่จอดรถ ก็สามารถลงทุนทำที่จอดรถให้เช่าได้

__________________________________________

ทำที่จอดรถรถให้เช่าต้องขออนุญาตไหม?

โดยปกติแล้วการทำที่จอดรถให้เช่าไม่ต้องขออนุญาต แต่เมื่อทำแล้วจะต้องเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เพื่อการพาณิชยกรรม แม้จะเสียภาษีมากกว่าที่ดินเพื่อการอยู่อาศัย แต่เสียน้อยกว่าที่ดินประเภทรกร้างว่างเปล่า

โดยอัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง มีรายละเอียดดังนี้

ที่ดินที่ใช้เชิงพาณิชย์

• มูลค่าไม่เกิน 50 ล้านบาท อัตราภาษี 0.3%
• มูลค่ามากกว่า 50-200 ล้านบาท อัตราภาษี 0.4%
• มูลค่ามากกว่า 200-1,000 ล้านบาท อัตราภาษี 0.5%
• มูลค่ามากกว่า 1,000-5,000 ล้านบาท อัตราภาษี 0.6%
• มูลค่ามากกว่า 5,000 ล้านบาทขึ้นไป อัตราภาษี 0.7%

ที่ดินรกร้างว่างเปล่า

• มูลค่าไม่เกิน 50 ล้านบาท อัตราภาษี 0.3%
• มูลค่ามากกว่า 50-200 ล้านบาท อัตราภาษี 0.4%
• มูลค่ามากกว่า 200-1,000 ล้านบาท อัตราภาษี 0.5%
• มูลค่ามากกว่า 1,000-5,000 ล้านบาท อัตราภาษี 0.6%
• มูลค่ามากกว่า 5,000 ล้านบาทขึ้นไป อัตราภาษี 0.7%

อย่างไรก็ตาม กรณีที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ทิ้งไว้ว่างเปล่าหรือไม่ได้ทำประโยชน์ตามควรแก่สภาพ 3 ปีติดต่อกัน ในปีที่ 4 จะต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นอีก 0.3% และเก็บเพิ่มอีก 0.3% ทุก ๆ 3 ปี แต่อัตราภาษีรวมไม่เกิน 3%
__________________________________________

ขนาดที่ดินกับขนาดที่จอดรถ

ทำที่จอดรถให้เช่า ต้องคำนึงถึงขนาดที่จอดรถด้วย สำหรับขนาดที่จอดรถ 1 คันแบบจอดได้พอดี ไม่เล็กและไม่ใหญ่เกินไป จะอยู่ที่ประมาณ 12 ตารางเมตร ต่อที่จอดรถ 1 คัน โดยถ้าเรามีที่ดินขนาดประมาณ 5-10 ตารางวา หรือพื้นที่รวม 20-40 ตารางเมตร ก็จะสามารถปล่อยให้เช่าที่จอดรถประมาณ 2-3 คันได้

จะเป็นที่จอดรถให้เช่าแบบง่าย ๆ โดยอาจจะไม่ต้องลงทุนอะไรมาก ถ้าเป็นที่ดินพร้อมใช้งานอยู่แล้ว ไม่ต้องถมที่ดิน ก็หาคนที่ช่วยขีดเส้นที่จอดรถ แล้วก็ปล่อยเช่าได้เลย ไม่ต้องหาคนดูแล เพราะที่จอดรถลักษณะนี้จะอยู่ใกล้กับชุมชน เป็นแปลงเล็ก ๆ ที่นำไปลงทุนทำอย่างอื่นได้ยาก

กรณีที่ที่ดินต้องถมเพิ่ม หรือเทคอนกรีตให้สะดวกต่อการมีรถเข้ามาจอด ต้องให้ผู้รับเหมามาประเมินว่า ค่าใช้จ่ายในการถมดินอยู่เท่าไหร่ ซึ่งก็มีทั้งแบบคิดเหมากับคิดเป็นตารางเมตร ขึ้นอยู่กับผู้รับเหมาแต่ละราย

ขณะที่การลงทุนทำที่จอดรถแบบจริงจัง ก็จะแบ่งเป็น ที่จอดรถขนาดเล็ก จอดได้ประมาณ 5-10 คัน อาจจะต้องมีที่ดินขนาดเริ่มต้นประมาณ 100 ตารางวาขึ้นไป ส่วนที่จอดรถขนาดใหญ่ มีพื้นที่จอดประมาณ 10-20 คัน อาจจะต้องใช้ที่ดินมากถึง 200 ตารางวาขึ้นไป ขึ้นอยู่กับรูปของที่ดิน

กรณีที่ต้องการเพิ่มพื้นที่จอด เพื่อหารายได้เพิ่ม การทำเป็นอาคารจอดรถก็เป็นทางเลือกหนึ่ง แต่ก็น้อยมากที่จะลงทุนทำเป็นอาคารจอดรถ เพราะต้นทุนสูงเกินไป ไม่คุ้มกับการลงทุน สังเกตว่า ผู้ที่นำที่ดินมาลงทุนเป็นลานจอดรถขนาดใหญ่ หรืออาคารจอดรถ เพราะต้องการรองรับธุรกิจหลักของตัวเอง เช่น ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ หรือแหล่งการค้าขนาดใหญ่ที่มีความต้องการที่จอดรถมาก ๆ

สำหรับการทำที่จอดรถขนาดกลาง และขนาดใหญ่ ควรลงทุนทำระบบที่จอดรถจริงจัง ทั้งการขีดเส้นที่จอดรถอย่างเป็นระเบียบ นำระบบจัดเก็บเงินมาใช้ ซุ้มทางเข้าออกที่มีไม้กันรถเข้าออก

ส่วนระบบรักษาความปลอดภัย อาจติดกล้องวงจรปิดเพื่อความอุ่นใจของทั้งเจ้าของที่ดินและผู้ที่มาฝากรถ หรือหากเป็นที่จอดรถขนาดใหญ่อาจจำเป็นต้องจ้างเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ซึ่งขึ้นอยู่กับงบประมาณของเจ้าของที่ดิน

__________________________________________

วิธีคิดอัตราค่าเช่า

ให้คิดจากแนวโน้มของย่านนั้นว่า สามารถจัดเก็บค่าที่จอดรถได้มากน้อยแค่ไหน บางทำเลปล่อยเช่าเป็นรายชั่วโมงได้ ก็มีโอกาสในการทำรายได้สูง แต่บางทำเลปล่อยเช่าได้เฉพาะรายเดือน ก็อาจจะอยู่ที่ได้ประมาณ 1,500-3,000 บาท/ต่อเดือน/คัน

ลองประเมินดูว่า คุ้มค่าหรือไม่ โดยหากประเมินรายได้แล้วว่ามีโอกาสได้รายได้เท่าไหร่ ก็วางงบในการลงทุนส่วนต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับรายได้ที่คาดว่าจะได้รับ เพราะถ้าเราใช้เงินลงทุนมากเกินไป กว่าจะได้คืนทุนอาจต้องใช้เวลานาน ซึ่งอาจจะไม่คุ้มในเชิงเวลาการลงทุน

__________________________________________

🔷 ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก DD Property

#อสังหา #ซื้อบ้าน #ขายบ้าน #เช่าบ้าน #ฝากขาย #นายหน้า #บ้าน #คอนโด

ที่อยู่

Bangkok
10250

เบอร์โทรศัพท์

+66868878890

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ DinoProperty by หมอสวนหลวงผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง DinoProperty by หมอสวนหลวง:

แชร์