The Opener สื่อขนาดกะทัดรัดที่ตั้งใจโฟกัสเรื่องสวัสดิการสังคม และคุณภาพชีวิตของคนไทย

หนุ่ม 'รถลาก' ชาวต่างชาติคนแรกของญี่ปุ่น นำเที่ยวเขตเมืองโบราณหนุ่มฝรั่งเศสผู้หลงใหลในวัฒนธรรมของโลกตะวันออก กลายมาเป็น ...
08/08/2025

หนุ่ม 'รถลาก' ชาวต่างชาติคนแรกของญี่ปุ่น นำเที่ยวเขตเมืองโบราณ
หนุ่มฝรั่งเศสผู้หลงใหลในวัฒนธรรมของโลกตะวันออก กลายมาเป็น “คนลากรถ” ชาวต่างชาติคนแรกของญี่ปุ่น ที่ให้บริการลากรถลาก และบอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ของเมืองโบราณสมัยเอโดะให้กับนักท่องเที่ยวไปตามเส้นทางเก่าแก่ของเมืองคานาซาวะ
เรื่องราวของ ฌอริส เดอ บิเยฟร์ หนุ่มชาวฝรั่งเศส ซึ่งมีความหลงใหลเสน่ห์ของวัฒนธรรมเอเชียเป็นอย่างมาก ถูกนำเสนอผ่านสำนักข่าวเจแปนทูเดย์ โดยเล่าว่า เขาย้ายจากประเทศบ้านเกิดมาที่โตเกียว และทำงานในสายไอที โดยที่สะสมวันลาพักร้อนเพื่อเดินทางสำรวจและท่องเที่ยวไปทั่วญี่ปุ่น
หลังจากเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ของญี่ปุ่นมามากมาย เขาได้พบกับเมือง คานาซาวะ ในจังหวัดอิชิกาวะ ซึ่งอยู่ตอนกลางของญี่ปุ่น มี “ฮิงาชิชายะ” ย่านโรงน้ำชาเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงมาตั้งแต่สมัยเอโดะ บ้านช่องร้านรวงต่างๆ ที่เป็นอาคารไม้เก่าซึ่งมีการรักษาเอาไว้เป็นอย่างดี และยังมี “เคนโระคุเอน” สวนสาธารณะโบราณที่ติดอันดับความสวยงาม 1 ใน 3 ของประเทศ ทำให้ฌอริสตกหลุมรัก และย้ายจากโตเกียวมาอยู่ที่เมืองคานาซาวะในปี 2022 โดยที่ยังทำงานในสายงานวิศวกรไอทีจากระยะไกล
2 ปีต่อมา ฌอริส เริ่มงานใหม่ของเขาในเมืองคานาซาวะ ซึ่งเป็นงานที่ปรกติแล้วจะไม่พบเห็นว่ามีชาวต่างชาติในญี่ปุ่นทำ นั่นก็คือ การเป็น “คนลากรถ”
ปลายปี 2024 ฌอริสเริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง โดยเปิดบริษัท “รถลาก” นำเที่ยวชมย่านประวัติศาสตร์ของเมือง ฌอริส จึงกลายมาเป็นชาวต่างชาติคนแรกในญี่ปุ่นที่เป็นคนลากรถลากนำเที่ยว โดยที่เขาสื่อสารได้ 3 ภาษา ทั้งภาษาฝรั่งเศส อังกฤษ และญี่ปุ่น
นักท่องเที่ยวที่มาเยือนคานาซาวะ ก็ไม่ได้คาดหวังเพียงแค่การได้นั่งรถลากแบบโบราณ แต่พวกเขายังต้องการรู้ถึงเรื่องราวและประวัติศาสตร์ของเมือง รวมถึงสถานที่สำคัญต่างๆ ในระหว่างเส้นทางด้วย ขณะที่ฌอริสในวัย 39 ปี ก็สนุกกับการลากรถวิ่งไปตามเส้นทางท่องเที่ยว พร้อมกับการที่ได้พูดคุยกับผู้คน ซึ่งตอนนี้ ฌอริส ลากรถนำเที่ยวบริการนักท่องเที่ยวเฉพาะช่วงวันเสาร์อาทิตย์ และยังคงทำงานในวันทำงานปรกติ
ลูกค้ารายแรกของเขาเป็นผู้หญิงญี่ปุ่น ซึ่งบอกว่า เป็นครั้งแรกที่เธอได้รับฟังเรื่องราวของคานาซาวะจากมุมมองของชาวต่างชาติ ทำให้เธอกลับมาสนใจและรู้สึกประทับใจกับเมืองที่เป็นบ้านเกิดของเธออีกครั้ง
#ญี่ปุ่น #ท่องเที่ยว #รถลาก

8 สิงหาคม "วันแมวสากล" (International Cat Day) กองทุนระหว่างประเทศเพื่อสวัสดิการสัตว์ (International Fund for Animal Wel...
08/08/2025

8 สิงหาคม "วันแมวสากล" (International Cat Day)
กองทุนระหว่างประเทศเพื่อสวัสดิการสัตว์ (International Fund for Animal Welfare) กำหนดให้วันที่ 8 สิงหาคมของทุกปี เป็น "วันแมวสากล" โดยเริ่มต้นใน 2002 เพื่อกระตุ้นความตระหนักรู้ของผู้คนและสังคมในการเรียนรู้เกี่ยวกับการช่วยเหลือและปกป้อง "แมว" ซึ่งเป็นทั้งสัตว์เลี้ยง เพื่อน สมาชิกในครอบครัว ของมนุษย์มายาวนานนับพันปี
บางประเทศเรียกวันแมวสากลว่า "วันแมวโลก" (World Cat Day) ซึ่งวันแมวสากลได้แพร่หลายไปทั่วโลกในเวลาต่อมา
อ้างอิงข้อมูลจาก wikipedia
#วันแมวสากล #แมว

ผู้อพยพในประเทศพัฒนาแล้วรายได้น้อยกว่าพลเมือง เกิดจากการไม่ได้ทำงานดีๆทุกวันนี้ต้องยอมรับว่าปัญหา "สังคมผู้สูงอายุ" เป็น...
08/08/2025

ผู้อพยพในประเทศพัฒนาแล้วรายได้น้อยกว่าพลเมือง เกิดจากการไม่ได้ทำงานดีๆ
ทุกวันนี้ต้องยอมรับว่าปัญหา "สังคมผู้สูงอายุ" เป็นปัญหาที่บรรดาประเทศพัฒนาแล้วแก้ไม่ได้ การขยายอายุเกษียณเป็นทางหนึ่งในการเพิ่มแรงงานในระบบ และลดภาระด้านสวัสดิการผู้สูงอายุ แต่อีกด้าน ระบบก็ต้องการคนหนุ่มสาววัยทำงานแบบดั้งเดิมมาทำงานอยู่ดี นี่เลยทำให้หลายๆ ชาติตะวันตกมองว่า ยังไงก็หลีกเลี่ยงการจ้างงานผู้อพยพไม่ได้
แน่นอนว่า ภายใต้กฎหมายแรงงาน และอุดมการณ์ปัจจุบัน การจ้างงานผู้อพยพด้วยค่าแรงต่ำกว่าเป็นเรื่องผิดบาป และทั่วๆ ไปก็ไม่มีใครประกาศจ้างแรงงานผู้อพยพในค่าจ้างที่ต่ำกว่าคนในประเทศอย่างเปิดเผย
แต่ทำไมผู้อพยพถึงเป็นพลเมืองชั้นสอง? ทำไมโดยรวมถึงมีรายได้ที่ต่ำกว่าพลเมืองดั้งเดิมของประเทศ? หรือจริงๆ แล้วนายจ้างมีการกดค่าแรงผู้อพยพแบบลับๆ อย่างเป็นระบบ?
ถ้าดูภาพใหญ่จะเห็นว่า แม้ว่าช่องว่างรายได้จะมีจริงระหว่างคนท้องถิ่นกับผู้อพยพ แต่ตัวเลขมันน้อยมากถ้าเป็นงานในตำแหน่งเดียวกัน ซึ่งนั่นหมายความว่า ในภาพใหญ่นายจ้างไม่ได้มีการกดค่าแรงกับแรงงานอพยพอย่างที่เข้าใจกัน แต่สิ่งที่สร้างช่องว่างรายได้ระหว่างคนท้องถิ่นและแรงงานอพยพ คือ ลักษณะของงาน เพราะผู้อพยพเข้ามาทำงานที่ต้องการทักษะต่ำที่คนท้องถิ่นไม่ทำกัน งานพวกนี้ค่าจ้างต่ำ ก็เลยทำให้รายได้เฉลี่ยของผู้อพยพเลยน้อย
ผู้อพยพจำนวนไม่น้อย อพยพจากพื้นที่ที่มีความไม่สงบ ซึ่งในพื้นที่พวกนี้เอาจริงๆ มันต้องเป็นคนมีการศึกษาและทุนระดับหนึ่งถึงจะอพยพได้ หมายความว่าจริงๆ แล้วแรงงานมีทักษะจำนวนมากที่อพยพมาได้นั้น ทำงานที่ต่ำกว่าทักษะของตัวเอง และในเชิงทรัพยากร นั่นคือการใช้ทรัพยากรอย่างสูญเปล่า
ปัญหานี้เกิดเพราะว่าโดยทั่วไปแล้วแรงงานมีทักษะในประเทศหนึ่งๆ จะมีระบบประกันคุณภาพผ่านระบบสมาคมวิชาชีพ ไปจนถึงระบบสอบใบอนุญาต ซึ่งถ้าผู้อพยพเข้ามา สิ่งเหล่านี้เข้าถึงยากมาก เช่น ถ้าผู้อพยพเป็นหมอ ต้องมีกระบวนการเทียบวุฒิการศึกษา และอาจมีการต้องเทียบใบอนุญาต ไปจนถึงการสอบใบอนุญาต ซึ่งผู้อพยพที่อพยพมาอย่างเร่งรีบ จะแทบเข้าถึงกระบวนการแบบนี้ไม่ได้เลย เพราะลำพังแค่เรียนภาษาและปรับตัวเข้ากับสังคมใหม่ก็เหนื่อยแล้ว และนี่เราเลยอาจทำให้คนเป็นทนาย วิศวกร สถาปนิก หรือกระทั่งหมอ ต้องทำอาชีพที่รายได้ต่ำ เมื่อกลายเป็นผู้อพยพ
ทางแก้ทั่วๆ ไปก็คือ การสร้างระบบคัดกรองเพื่ออำนวยความสะดวกผู้อพยพที่เป็นแรงงานมีทักษะ ที่จะสามารถทำให้พวกเค้าเทียบทักษะวิชาชีพในประเทศปลายทางได้ รวมถึงการทำการฝึกฝนเพื่อประยุกต์ทักษะที่มีให้เข้ากับมาตรฐานวิชาชีพในประเทศปลายทาง
มีงานวิจัยที่ชี้ว่า ถ้าเป็นผู้อพยพรุ่น 2 หรือรุ่นลูกของผู้อพยพรุ่นแรกที่มาโตที่ประเทศปลายทาง "ช่องว่างรายได้" พวกนี้จะลดลงแทบหมดเกลี้ยงเลย ไม่ว่าจะเป็นช่องว่างรายได้ในการทำงานเดียวกัน หรือช่องว่างรายได้ในภาพรวม
ดังนั้น สิ่งที่เราต้องแก้ในปัจจุบัน คือ ต้องไปเน้นการดึงศักยภาพของแรงงานรุ่นแรกที่ถูกใช้น้อยเกินไปในบริบททุกวันนี้ ซึ่งสถานการณ์แต่ละประเทศก็น่าจะต่างกันไป เพราะความต้องการแรงงานก็ต่างกัน และ "ปัญหาเฉพาะ" ที่ทำให้แรงงานไม่ได้ทำงานตามระดับทักษะของตัวเองก็น่าจะแตกต่างกันไปด้วยเช่นกัน
#แรงงาน #ผู้อพยพ #รายได้

'Blue mind' ไปอยู่ใกล้น้ำ เที่ยวชายทะเล พักริมน้ำ ช่วยให้สมองผ่อนคลาย จิตใจปลอดโปร่งหลายคนที่ตรากตรำกรำงานมาจนถึงครึ่งหล...
07/08/2025

'Blue mind' ไปอยู่ใกล้น้ำ เที่ยวชายทะเล พักริมน้ำ ช่วยให้สมองผ่อนคลาย จิตใจปลอดโปร่ง
หลายคนที่ตรากตรำกรำงานมาจนถึงครึ่งหลังของปี คงคิดถึงวันลาพักร้อนและแผนการเดินทางท่องเที่ยวเพื่อพักผ่อน และชาร์จพลังให้พร้อมสำหรับการกลับมาลุยงานหนักกันต่อ
ในการเดินทางท่องเที่ยวเพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกายและจิตใจ มีผู้นำเสนอทฤษฎีที่ว่าด้วย “การไปอยู่ใกล้น้ำ” หรือ Blue mind ซึ่งจะช่วยให้วันหยุดพักร้อนของเราตอบโจทย์และเป็นไปตามความต้องการของการได้พัก ให้พลังจากธรรมชาติช่วยเยียวยาและเติมพลังให้กับเรา
Blue mind นำเสนอโดย วอลเลส เจ นิโคลส์ นักชีววิทยาทางทะเล ซึ่งสนใจหาคำตอบว่า เหตุใดการอยู่ใกล้น้ำ เช่น มหาสมุทรจึงส่งผลดีกับสมองของเรา เขาเชื่อว่าหากสามารถไขปริศนานี้ได้ และทำให้คนเข้าใจ ก็จะสามารถช่วยให้ปกป้องมหาสมุทรและสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลทำได้ดีขึ้น
ต่อมา เขาเขียนหนังสือชื่อ Blue Mind และเดินสายบรรยายตามที่ต่างๆ ซึ่งเนื้อหาในหนังสือเป็นการผสมผสานระหว่างคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ กับเรื่องราวเกี่ยวของผู้คนที่ค้นพบความสงบและจิตใจที่กระจ่างชัดเมื่อได้อยู่ใกล้ทะเล ทำให้หนังสือนี้ได้รับความนิยมในวงกว้าง และเป็นหนังสือขายดีในระดับประเทศ
ลี บาร์นส์ ประธาน Intrepid Travel ธุรกิจท่องเที่ยวแบบกลุ่มเล็กบอกว่า ทฤษฎีนี้มีความสมเหตุสมผล เพราะน้ำมีบางอย่างที่ช่วยขจัดความสับสนอลหม่านของสมองและจิตใจ และการได้อยู่ใกล้น้ำก็เป็นเหมือนช่องหายใจขนาดใหญ่ที่ช่วยให้เราได้หยุดพักหายใจจากความอึกทึกวุ่นวายของเมืองใหญ่
มีคำอธิบายเกี่ยวกับทฤษฎี Blue mind ว่า น้ำส่งผลดีต่อสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจ น้ำในมหาสมุทร แม่น้ำ หรือแม้แต่ในอ่างอาบน้ำ ก็ช่วยทำให้เรารู้สึกสงบได้ ทั้งยังช่วยเพิ่มความคิดสร้างสรรค์
น้ำ จะช่วยเพิ่มสารสื่อประสาทชื่อ โดปามีน หรือ ฮอร์โมนที่สร้างความรู้สึกดี, ช่วยเพิ่ม เซโรโทนิน หรือฮอร์โมนความสุข และทำให้ ออกซิโทซิน หรือฮอร์โมนความรักเพิ่มขึ้น ขณะที่ไปช่วยลด คอร์ติซอล หรือฮฮร์โมนความเครียดให้ต่ำลง ขณะที่สี เสียง และความรู้สึกถึงน้ำ สามารถทำให้อัตราการเต้นของหัวใจลดลง และทำให้รู้สึกสงบ
เอสเทอร์ ซูแซก บล็อกเกอร์ด้านการท่องเที่ยวบอกว่า คนที่กำลังจะเสร็จสิ้นจากงานที่ยุ่งยากและยาวนาน หรือคนที่กำลังหมดไฟจากการทำงาน หนึ่งในวิธีที่ช่วยได้ คือ การจัดทริป Blue mind เพื่อฟื้นฟูสภาพจิตใจและร่างกาย เช่น ไปพักผ่อนที่เมืองเล็กๆ ริมทะเล
“เมื่อไปถึงที่นั่น ให้ใช้เวลานั่งและอยู่กับมัน มองดูเกลียวคลื่น ออกไปว่ายน้ำในทะเล ทำสิ่งต่างๆ ให้น้อย และรับรู้ความรู้สึกให้เยอะๆ” เอสเทอร์กล่าว
ถ้าคุณผู้อ่านคิดวางแผนท่องเที่ยวครั้งต่อไป ทฤษฎี Blue mind ก็อาจเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ
#ทะเล #ท่องเที่ยว #พักผ่อน #สุขภาพ

ยูนิเซฟและสภาพัฒน์ เผยสถานการณ์การพัฒนาทุนมนุษย์ของไทยยังน่ากังวลรายงาน “การพัฒนาทุนมนุษย์ในประเทศไทย: การวิเคราะห์ช่องว...
07/08/2025

ยูนิเซฟและสภาพัฒน์ เผยสถานการณ์การพัฒนาทุนมนุษย์ของไทยยังน่ากังวล
รายงาน “การพัฒนาทุนมนุษย์ในประเทศไทย: การวิเคราะห์ช่องว่าง อุปสรรค และทางเลือกเชิงนโยบาย” ที่จัดทำโดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ร่วมกับองค์การยูนิเซฟ และสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เผยถึงสถานการณ์การพัฒนาทุนมนุษย์ของไทยที่ยังน่ากังวล ทั้งภาวะทุพโภชนาการในเด็กเล็ก คุณภาพและความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษา การผลิตบุคลากรที่ไม่ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน รวมถึงมีเยาวชนจำนวนมากไม่ได้เรียนต่อ และคนวัยทำงานไม่ได้เข้ารับการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาความรู้และทักษะเพิ่มเติม
รายงานระบุว่า เด็กไทยมีภาวะทุพโภชนาการทุกรูปแบบ ทั้งภาวะเตี้ยแคระแกร็น ผอมแห้ง และน้ำหนักเกินในระดับที่น่ากังวล เด็กอายุ 2–5 ปี เพียง 3 ใน 4 คนเท่านั้นที่มีพัฒนาการสมวัย โดยเด็กจากครอบครัวยากจน เด็กที่ไม่ได้เข้าเรียนในระดับปฐมวัย และเด็กที่เข้าไม่ถึงสวัสดิการเพื่อการเลี้ยงดูเด็กเล็ก มักเผชิญความเสี่ยงมากกว่ากลุ่มอื่น
รายงานเผยว่า แม้เด็กวัยเรียนในประเทศไทยเกือบทั้งหมดจะสามารถเข้าถึงการศึกษาภาคบังคับได้แล้ว แต่พบว่ามีปัญหาเรื่องคุณภาพการศึกษา นักเรียนชั้นประถม 2 มีเพียงร้อยละ 42 ที่มีทักษะด้านการอ่านและการคำนวณได้เหมาะสมตามวัย ขณะที่ผลการประเมิน PISA ปี 2565 แสดงให้เห็นถึงผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่อยู่ในระดับต่ำอย่างต่อเนื่องในวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์
มีเด็กและเยาวชนจำนวนมากไม่ได้เรียนต่อในชั้นมัธยมปลาย มีคนไทยอายุ 25–34 ปี เพียงร้อยละ 59 เท่านั้นที่จบชั้นมัธยมปลาย โดยกลุ่มที่มีแนวโน้มหลุดออกจากระบบการศึกษาสูง ได้แก่ เยาวชนชาย เยาวชนที่มีความพิการ และเยาวชนจากครัวเรือนยากจนหรือไม่ได้พูดภาษาไทย
ขณะที่สถานการณ์ของคนวัยทำงาน รายงานระบุว่าน่ากังวลไม่แพ้กัน โดยผู้มีงานทำเพียงร้อยละ 3 เท่านั้นที่เคยได้รับการฝึกอบรมเพิ่มเติมหลังจบการศึกษา ขณะเดียวกัน มีเพียงร้อยละ 12 ที่ต้องการเข้ารับการฝึกอบรม และแม้แต่ในกลุ่มที่ได้รับการฝึกอบรมแล้ว ก็มีเพียงร้อยละ 39 ที่สามารถหางานทำได้หลังจบหลักสูตร
รายงานยังชี้ให้เห็นถึงความไม่สอดคล้องระหว่างวุฒิการศึกษากับความต้องการของตลาดแรงงาน โดยแรงงานมากกว่าครึ่งทำงานไม่ตรงสาย ส่งผลให้ศักยภาพของแรงงานไม่ได้ถูกใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ และกระทบต่อผลิตภาพโดยรวม ขณะเดียวกัน เยาวชนอายุ 15–24 ปี ราวร้อยละ 12.5 ไม่ได้ทำงาน เรียน หรือเข้ารับการอบรม (NEET) โดยเยาวชนจากครอบครัวยากจนและเยาวชนที่มีความพิการ มักได้รับผลกระทบมากเป็นพิเศษ
ทั้งนี้ ปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาทุนมนุษย์ในประเทศไทย มีทั้งการสนับสนุนทางสังคมที่ยังจำกัดสำหรับครอบครัวยากจน การดูแลที่ไม่เพียงพอสำหรับกลุ่มเปราะบาง เช่น คนพิการและกลุ่มที่ไม่ใช้ภาษาไทยเป็นภาษาหลัก การจัดสรรทรัพยากรด้านการศึกษาที่ขาดประสิทธิภาพ ความไม่สอดคล้องกันระหว่างระบบการศึกษา การฝึกทักษะ และความต้องการของตลาดแรงงาน รวมถึงอุปสรรคทางจิตสังคม เช่น การขาดแรงจูงใจ ปัญหาสุขภาพจิต และการขาดสภาพแวดล้อมที่เกื้อหนุนต่อการเรียนรู้
รายงานยังนำเสนอข้อแนะเชิงนโยบายหลายด้าน เช่น การขยายระบบคุ้มครองทางสังคมให้ครอบคลุมและเท่าเทียมมากยิ่งขึ้น การออกแบบระบบการศึกษาและการฝึกอบรมให้ตอบสนองต่อความต้องการของผู้เรียนที่หลากหลาย การปฏิรูปการจัดสรรทรัพยากรเพื่อส่งเสริมความเสมอภาคและประสิทธิภาพ การปรับหลักสูตรการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน และการเพิ่มการลงทุนด้านสุขภาพจิตและสุขภาวะของผู้เรียน
#คุณภาพชีวิต #ทุนมนุษย์ #การศึกษา

รู้จักอาการ 'รองช้ำ' ช้ำที่เท้า แต่ความปวดร้าวไม่เป็นรองใคร“รองช้ำ” หรือเอ็นฝ่าเท้าอักเสบ คือ ภาวะที่พังผืดใต้ฝ่าเท้าเกิ...
06/08/2025

รู้จักอาการ 'รองช้ำ' ช้ำที่เท้า แต่ความปวดร้าวไม่เป็นรองใคร
“รองช้ำ” หรือเอ็นฝ่าเท้าอักเสบ คือ ภาวะที่พังผืดใต้ฝ่าเท้าเกิดการอักเสบ ทำให้เกิดอาการปวด โดยเฉพาะตอนเช้าเมื่อลุกจากเตียง หรือหลังจากการนั่งนานๆ หลายชั่วโมง
:: อาการของโรครองช้ำ ::
"รองช้ำ" มีอาการเจ็บเท้าเหมือนมีของแหลมทิ่มเท้า หรือแสบร้อนบริเวณกลางถึงส้นเท้า โดยเฉพาะหลังตื่นนอน สามารถเกิดกับเท้าข้างเดียวหรือทั้งสองข้างก็ได้ ในระยะแรกอาการอาจทุเลาได้เอง เมื่อเดินไปสักพัก แต่อาจปวดเรื้อรัง เป็นๆ หายๆ เป็นเวลาหลายเดือนได้
ปัจจัยเสี่ยงโรครองช้ำ ได้แก่
- น้ำหนักตัวมาก
- เดินหรือยืนนาน โดยเฉพาะบนพื้นแข็ง
- วิ่งเยอะ หรือเปลี่ยนกิจกรรมเร็วเกินไป (เช่น วิ่งเพิ่มจากวันละ 2 กม. เป็น 10 กม.)
- อายุเพิ่มขึ้น พังผืดยืดหยุ่นน้อยลง
- เท้าผิดรูป
- ใส่รองเท้าพื้นแข็ง ที่ไม่เหมาะกับการเดินนานๆ เช่น คัทชู ส้นสูง รองเท้าแตะ
- นักกีฬาที่ใช้เท้าเยอะ
- ผู้ป่วยเบาหวาน
:: ดูแลตัวเองอย่างไรเมื่อเป็นรองช้ำ ::
1. พักการใช้งานเท้าที่หนักเกินไป ลดกิจกรรมที่ใช้การยืนหรือเดินเป็นเวลานาน งดใส่รองเท้าที่ไม่รองรับสรีระเท้า เช่น รองเท้าพื้นแข็ง รองเท้าส้นสูง
2. ยืดกล้ามเนื้ออย่างสม่ำเสมอ การยืดช่วยคลายพังผืดที่ตึงอย่างถูกวิธี และป้องกันอาการกำเริบ

ท่าแนะนำ:
- นั่งยืดฝ่าเท้า: เอามือจับปลายเท้าแล้วดึงเข้าหาตัว ค้างไว้ 15-30 วินาที
- ยืดน่อง: เอามือยันผนัง ขาหนึ่งยืนตรง อีกข้างงอไปข้างหน้า ดันส้นให้ติดพื้น
- Rolling Stretch: กลิ้งอุปกรณ์ที่เป็นทรงกลม เช่น ลูกเทนนิส ใต้ฝ่าเท้า 5 นาทีต่อวัน

3. เลือกใส่รองเท้าที่ใช้วัสดุที่นุ่ม รองรับการกระแทกของเท้า มีขนาดพอดี ไม่คับหรือหลวมเกินไป
4. ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่เกณฑ์ปกติ น้ำหนักตัวที่มากเกินไปอาจทำให้พังผืดกดทับที่เส้นเอ็นได้
:: แนวทางการรักษา ::
- ใช้ยารักษา
- การทำกายภาพบำบัด เช่น ประคบร้อน ประคบเย็น หรือใช้เครืองมือเฉพาะทาง เช่น เครื่องมือคลื่นกระแทก (shockwave therapy) ใช้คลื่นกระแทกพลังงานสูงกระตุ้นการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ
- การผ่าตัด กรณีที่รักษาด้วยวิธีอื่นไม่ได้ผล เป็นมานานเรื้อรังเท่านั้น
รองช้ำ เป็นโรคที่เกิดการอักเสบบริเวณฝ่าเท้า แต่สามารถสร้างความลำบากกวนใจ รบกวนการใช้ชีวิต และส่งผลกระทบต่อเราได้ แต่ก็เป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายขาดได้ หากเราดูแลรักษาสุขภาพเท้า ก็สามารถลดความเสี่ยงการเกิดโรครองช้ำได้
ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม/นัดหมาย
ศูนย์ศัลยกรรมออร์โธปิดิกส์เฉพาะทาง ชั้น 2
โรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอล (WMC)
โทร 02-836-9999 กด 4 หรือ *2621-2
#รองช้ำ #สุขภาพ #เวิลด์เมดิคอล #รองเท้า

'K-Engineering World Tour and Workshop 2025' เปิดบ้านวิศวะ สจล. โชว์ผลงานนวัตกรรมสุดล้ำ พร้อมผลิต 'วิศวนวัตกร' สร้าง S-c...
06/08/2025

'K-Engineering World Tour and Workshop 2025' เปิดบ้านวิศวะ สจล. โชว์ผลงานนวัตกรรมสุดล้ำ พร้อมผลิต 'วิศวนวัตกร' สร้าง S-curve ใหม่
สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) เปิดบ้านคณะวิศวกรรมศาสตร์ “K-Engineering world Tour and Workshop 2025” นำผลงานวิจัยและนวัตกรรมล้ำสมัย อาทิ หุ่นยนต์ส่งยาอัจฉริยะ เครื่องไล่นกพิราบระบบอัลตราโซนิก รถจักรไฟฟ้าขนาดเล็ก พร้อมกิจกรรมเวิร์กช็อปให้กับเยาวชนและผู้สนใจได้สัมผัสบรรยากาศการเรียนการสอน และลงมือทำจริงในห้องปฏิบัติการของคณะ และแนะแนวการศึกษาวิศวกรรมศาสตร์ทั้งหลักสูตรไทยและหลักสูตรนานาชาติ
รศ. ดร.คมสัน มาลีสี อธิการบดี สจล. กล่าวว่า สจล.มีวิสัยทัศน์ “The World Master of Innovation” ที่มุ่งสร้างบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านงานวิจัย เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของประเทศในการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจยุคใหม่ หรือ New S-Curve เน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งอนาคต
อธิการบดี สจล. กล่าวว่า การจัดงาน K-Engineering World Tour and Workshop 2025 เป็นก้าวแรกที่สำคัญในการกระตุ้นและสนับสนุนเยาวชนที่มีศักยภาพเข้าสู่เส้นทางการเป็นวิศวกรมืออาชีพ
งาน K-Engineering World Tour and Workshop 2025 เป็นการเปิดโอกาสให้นักเรียนระดับมัธยมปลายที่กำลังอยู่ในช่วงตัดสินใจเลือกเส้นทางอนาคตที่ตอบโจทย์และเหมาะกับตนเองได้เข้ามาทำความรู้จักและสัมผัสความเป็นวิศวะ สจล. ทุกแง่มุม ทั้งบรรยากาศการเรียนการสอน ความเป็นเลิศทางวิชาการ เทคโนโลยีและนวัตกรรมล้ำสมัย พร้อมทำความรู้จักภาควิชาและหลักสูตรต่างๆ ที่กำลังเปิดรับสมัคร
ในงานมีกิจกรรมที่น่าสนใจมากกว่า 50 เวิร์กช็อป เช่น เวิร์กช็อปหุ่นยนต์ AI ระบบอัตโนมัติ แขนกลอุตสาหกรรม (Industrial Robot) 3D Printing อุตสาหกรรมระบบไฟฟ้า เคมี สิ่งแวดล้อม และอื่นๆ โดยเวิร์กชอป Industrial Mobile Robot (ROS) เรียนรู้การใช้ ROS ที่สามารถสร้างสรรค์โซลูชันหุ่นยนต์ได้หลากหลาย ตอบโจทย์ความต้องการของอุตสาหกรรม 4.0 และเวิร์กชอป Agentic AI และ n8n: การสร้างระบบอัตโนมัติด้วย Agentic AI และ n8n ซึ่งกำลังมาแรงในโลก AI และ Automation ในปัจจุบันเป็นไฮไลต์ที่สำคัญ
นอกจากนี้ ยังมีนิทรรศการแสดงผลงานวิจัยและนวัตกรรมล้ำสมัยรวมกว่า 30 ผลงาน เช่น รถจักรไฟฟ้าขนาดเล็ก (RTE-KMITL) ที่คว้ารางวัลชนะเลิศจากการแข่งขัน TRRN Railway Challenge 2025 ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยและระบบความปลอดภัยระดับสูง พร้อมระบบ PLC (Programmable Logic Controller) ช่วยควบคุมการทำงานอย่างแม่นยำ, หุ่นยนต์ส่งยาอัตโนมัติ ภายใต้แนวคิด "Powered by AI, Driven by Care" ที่ช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากร ลดความเสี่ยงการติดเชื้อ และข้อผิดพลาดในการส่งมอบยาและเวชภัณฑ์ในสถานพยาบาล พร้อมระบบนำทางอัตโนมัติด้วย Lidar และ ROS และเทคโนโลยีความปอดภัย RFID
เครื่องไล่นกพิราบด้วยเลเซอร์ (Laser Pigeon Deterrent) นวัตกรรมแก้ปัญหาการรบกวนของนกพิราบในพื้นที่เมือง โดยใช้เทคโนโลยี Image Processing, Software, Hardware และ Web Application ระบบสามารถตรวจจับนกพิราบและมนุษย์ได้แบบเรียลไทม์ และฉายแสงเลเซอร์เขียวไปยังตำแหน่งที่ตรวจพบได้อย่างแม่นยำและปลอดภัย
นอกจากนี้ ยังมีการเสวนาจากผู้บริหาร นักวิจัย และผู้ประกอบการจากภาคอุตสาหกรรม ทั้งจากภาครัฐ เอกชน ในหัวข้อเช่น ก้าวทันโลก EV: วิศวกรรมศาสตร์และวิทยาศาสตร์บูรณาการสู่อนาคตของยานยนต์ไฟฟ้า, AI และอนาคตของวิศวกรรมและวิทยาศาสตร์, FinTech x Financial Engineering, Semiconductor Engineering และ ฯลฯ ที่จะเปิดมุมมองใหม่ๆ เกี่ยวกับอนาคตของวิศวกรรมศาสตร์ เทคโนโลยี และโอกาสทางอาชีพ
รวมถึงการแข่งขันทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เช่น การแข่งขัน 2025 MAKEX Thailand Robotics Competition Point Race #3 และ K-Engineering x CADFEM: ANSYS Discovery "Ideate & Innovate" Student Competition 2025
“คณะวิศวกรรมศาสตร์ สจล.ไม่ใช่แค่สร้างวิศวกรที่เชี่ยวชาญเทคโนโลยีเท่านั้น แต่กำลังหล่อหลอม วิศวนวัตกร ที่พร้อมสร้างอนาคตที่ดีกว่าไปด้วยกัน งาน K-Engineering World Tour and Workshop 2025 จึงไม่ใช่แค่กิจกรรม Open House ทั่วไป หากแต่เป็นจุดเริ่มต้นในการคัดสรรบุคลากรคุณภาพ เตรียมพร้อมก่อนก้าวสู่บทบาท ผู้ร่วมสร้างอนาคตของประเทศ” รศ. ดร.สมยศ เกียรติวนิชวิไล คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ สจล. กล่าว
#สจล #วิศวะ #นวัตกรรม #การศึกษา #เทคโนโลยี

โอซากา ขึ้นอันดับ 1 เมืองที่มีเสน่ห์มากที่สุดสำหรับนักท่องเที่ยว กรุงเทพฯ ติดอันดับ 7 ของการท่องเที่ยวยุคใหม่ที่เน้นมอบป...
06/08/2025

โอซากา ขึ้นอันดับ 1 เมืองที่มีเสน่ห์มากที่สุดสำหรับนักท่องเที่ยว กรุงเทพฯ ติดอันดับ 7 ของการท่องเที่ยวยุคใหม่ที่เน้นมอบประสบการณ์ประทับใจ
“มหานครโอซากา” ได้รับการจัดอันดับให้เป็นเมืองที่มีเสน่ห์ดึงดูดมากที่สุดสำหรับนักท่องเที่ยวประจำปี 2025 ตามการจัดอันดับดัชนีเมืองที่น่าท่องเที่ยวของโลก Yanolja Attractiveness Index ขณะที่กรุงเทพมหานครติดอันดับ 7 และเชียงใหม่อยู่ในอันดับที่ 20 ซึ่งดัชนีใหม่นี้สะท้อนถึงมุมมองการท่องเที่ยวที่ให้ความสำคัญกับเรื่องประสบการณ์ที่เมืองต่างๆ มอบให้ และการที่เอเชียเป็นจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกให้ความสนใจมาเยือนเพิ่มมากขึ้น
Yanolja Attractiveness Index ดัชนีด้านการท่องเที่ยวตัวใหม่ พัฒนาขึ้นโดย Yanolja Research ร่วมกับ สถาบัน CHRIBA ของมหาวิทยาลัย Purdue ในสหรัฐ และ ศูนย์ H&T Analytics ของมหาวิทยาลัยคยองฮี ในเกาหลีใต้ เปิดตัวครั้งแรกในงานสัมมนา 2025 Global Tourism City Attractiveness Evaluation เมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
ดัชนีชี้วัดใหม่นี้ แตกต่างจากดัชนีชี้วัดการท่องเที่ยวแบบเดิมที่ประเมินจากความสามารถด้านการแข่งขัน และโฟกัสไปที่ปัจจัยโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การคมนาคม โรงแรมที่พัก สาธารณูปโภค และนโยบายต่างๆ ของรัฐ ขณะที่ Yanolja Attractiveness Index ให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวจากมุมมองของนักท่องเที่ยวจริงๆ ในสองประเด็นหลัก คือ เมืองที่นักท่องเที่ยวมีความรู้สึกด้านบวก และเมืองที่มีชื่อเสียงด้านการท่องเที่ยว โดยแบ่งย่อยออกเป็น 4 มิติ ได้แก่ เมืองที่มีความเป็นธรรมชาติและสวยงาม เมืองที่มีประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม เมืองที่มอบประสบการณ์ที่พิเศษให้กับนักท่องเที่ยว และเมืองที่อบอุ่นเป็นมิตร
ในการจัดอันดับ ใช้การสำรวจประเมินจากเมืองจำนวน 191 เมืองทั่วโลก โดยวิเคราะห์ข้อมูลจากโซเชียลมีเดียที่มีจำนวนผู้ใช้งานมากที่สุดใน 14 ภาษา เช่น ภาษาอังกฤษ อารบิก ฝรั่งเศส โปรตุกีส บาฮาซาอินโดนีเซีย เยอรมัน ญี่ปุ่น เตอร์กิช เวียดนาม เกาหลี อิตาเลียน และไทย
ในปีนี้ “โอซากา” ได้รับการจัดอันดับให้เป็นเมืองที่มีเสนห์ดึงดูดนักท่องเที่ยวมากที่สุดในโลก แซงหน้าเมืองหลวงเก่าแก่ อย่างเกียวโต ซึ่งอยู่อันดับ 1 เมื่อปีที่แล้ว ขณะที่กรุงเทพมหานคร และเชียงใหม่ ของไทยก็ไต่อันดับขึ้นมาจากปีก่อน โดยกรุงเทพฯ ขยับอันดับขึ้นจากอันดับ 16 มาเป็นอันดับ 7 ในปีนี้ และเชียงใหม่ขยับขึ้นจากอันดับ 61 มาเป็นอันดับที่ 20
โอซากา ได้รับการจัดอันดับเป็นที่ 1 จากการเป็นเมืองที่มีพลวัตด้านวัฒนธรรม มีรสชาติและความหลากหลายของอาหาร และมอบประสบการณ์ที่ผสมผสานระหว่างความทันสมัยกับความดั้งเดิม อย่างเช่น ยูนิเวอร์แซลสตูดิโอ และปราสาทโอซากา ซึ่งเพิ่มทางเลือกให้กับนักท่องเที่ยว
ขณะที่กรุงเทพฯ ยังคงเป็นเมืองที่น่าหลงใหลสำหรับผู้มาเยือน จากชีวิตริมสองฝั่งถนนที่มีสีสัน วัดวาอารามที่เก่าแก่สวยงาม และการมีชีวิตกลางคืนที่เปี่ยมชีวิตชีวา ซึ่งสามารถตอบสนองนักท่องเที่ยวได้ทุกระดับ ตั้งแต่แบคแพค ไปจนถึงการท่องเที่ยวแบบหรูหรา ขณะที่เชียงใหม่ มีภูเขาที่สวยงาม มีวัดเก่าแก่ และงานศิลปะต่างๆ ที่เปี่ยมไปด้วยสีสัน
Yanolja Attractiveness Index เป็นตัวชี้วัดที่ชี้ว่า ภูมิภาคเอเชียจะกลายมาเป็นมากกว่าฮับการท่องเที่ยวของโลก โดยมีเมืองอย่าง โอซากา เกียวโต กรุงเทพฯ เป็นเมืองหลัก รวมถึงสะท้อนถึงความมีเสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยวของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เพิ่มมากขึ้น รวมถึงเทรนด์ของการท่องเที่ยวที่ยกระดับขึ้นมากไปกว่าการเที่ยวชมความสวยงาม แต่เป็นการมองหาเมืองที่มีการผสมผสานทางด้านวัฒนธรรม ความทันสมัย ซึ่งสามารถเชื่อมโยงกับอารมณ์ความรู้สึกของนักท่องเที่ยว
นอกจากนี้ ยังสะท้อนความเข้าใจถึงสิ่งที่ทำให้เมืองสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ลึกซึ้งกว่าตัวชี้วัดแบบเดิม ที่เน้นเรื่องโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ โดยดัชนีใหม่นี้ให้ความสำคัญกับปัจจัยที่ส่งผลต่ออารมณ์ความรู้สึกของนักท่องเที่ยว รวมถึงปัจจัยอื่นๆ ทางด้านกายภาพ และทำให้เห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้นถึงความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนแปลงไป โดยไม่ได้ให้ความสำคัญเพียงแค่ประวัติความเป็นมาที่โดดเด่นของเมือง แต่ยังต้องการความมีสีสัน ความทันสมัย และการมอบประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใครให้กับนักท่องเที่ยว
อนาคตของการท่องเที่ยวนับจากนี้ จึงไม่ได้เกิดจากเพียงแค่การมีจำนวนเมืองที่มีเสน่ห์หรือการมีสาธารณูโภคที่ดี แต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการที่เมืองมอบความรู้สึกให้กับนักท่องเที่ยว เมืองจึงต้องปรับตัวไปสู่การเป็นจุดหมายปลายทางที่ตอบรับทางด้านอารมณ์ความรู้สึกของนักท่องเที่ยว และนำเสนอประสบการณ์ที่แตกต่างที่มีคุณค่าตอบสนองต่อความคาดหวังของนักท่องเที่ยว
ทั้งนี้ 10 อันดับแรกของเมืองที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวมากที่สุดประจำปี 2025 ของ Yanolja Attractiveness Index อันดับที่ 1 คือ โอซากา ญี่ปุ่น, อันดับ 2 ปารีส ฝรั่งเศส, อันดับ 3 เกียวโต ญี่ปุ่น, อันดับ 4 นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา, อันดับ 5 โซล เกาหลีใต้, อันดับ 6 ลอนดอน อังกฤษ, อันดับ 7 กรุงเทพฯ ประเทศไทย, อันดับ 8 โรม อิตาลี, อันดับ 9 ดูไบ ยูเออี และอันดับ 10 โอกินาวา ญี่ปุ่น
#โอซาก้า #การท่องเที่ยว #ญี่ปุ่น

ทำไมระบบ 'ทุกคนคือ ผู้บริจาคอวัยวะ' อาจไม่ได้เพิ่มอัตราการปลูกถ่ายอวัยวะ?ขีดจำกัดในทางปฏิบัติของการปลูกถ่ายอวัยะ ณ ปัจจุ...
05/08/2025

ทำไมระบบ 'ทุกคนคือ ผู้บริจาคอวัยวะ' อาจไม่ได้เพิ่มอัตราการปลูกถ่ายอวัยวะ?
ขีดจำกัดในทางปฏิบัติของการปลูกถ่ายอวัยะ ณ ปัจจุบัน อยู่ที่การ "บริจาคอวัยวะ" มากกว่าสิ่งอื่น ถ้าใครพอมีประสบการณ์ใกล้ตัวหรือมีประสบการณ์ตรงในการ "รอคิวปลูกถ่ายอวัยวะ" ก็จะรู้ว่าคิวมันมักจะยาวมาก และโดยทั่วไปคิวที่ยาวที่สุด คือ คิวรอปลูกถ่ายไต รองลงมา คือ ตับ จึงไม่แปลกที่อวัยวะแรกที่เค้าพยายามตัดต่อพันธุกรรมสัตว์แล้วเอาอวัยวะมามาปลูกถ่ายในมนุษย์ก็คือ ไต
ปัญหาการขาดอวัยวะที่จะปลูกถ่ายโดยเฉพาะไต เป็นแบบนี้มายาวนาน หลายประเทศเลยใช้ระบบ อนุมานว่า "ทุกคนต้องการบริจาคอวัยวะ" (presumed consent) และทุกคนในประเทศมีชื่อในลิสต์ผู้บริจาคอวัยวะหมด เว้นแต่จะยื่นเอกสารขอออกจากระบบ
ระบบแบบนี้บางทีเค้าก็เรียกว่า ระบบ "เลือกออกได้" (Opt-Out) ซึ่งต่างจากระบบ "ต้องเลือกเข้าเอง" (Opt-In) ที่ใช้ในหลายประเทศ รวมทั้งไทย ที่คนต้องไปลงทะเบียนเป็นผู้บริจาคอวัยวะก่อนถึงเป็นผู้บริจาคอวัยวะได้
ในเอเชียมีประเทศเดียวที่ใช้ระบบนี้คือ สิงคโปร์ โลกภาษาอังกฤษทั้งหมด (อเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์) ก็ไม่มีประเทศไหนใช้ระบบนี้ ที่ใช้กันจริงๆ คือฝั่งยุโรปทางใต้ทั้งหมด เช่น ฝรั่งเศส และฝั่งอเมริกาใต้แล้วแต่ประเทศ เช่น อาร์เจนตินา
สิงคโปร์ มีกฎหมายว่า ทุกคนต้องเป็นผู้บริจาคอวัยวะ คนสัญชาติสิงคโปร์ที่อายุเกิน 21 ปี และตายในโรงพยาบาลที่สิงคโปร์ถือว่าเป็นผู้บริจาคอวัยวะทั้งหมด เว้นแต่จะยื่นแสดงความจำนงค์ออกจากระบบ และถ้าใครขอออกจากระบบ ถ้าต้องปลูกถ่ายอวัยวะ ก็จะได้คิวที่หลังคนที่อยู่ในระบบ
มีงานวิจัยบอกว่า จริงๆ หลายประเทศที่เปลี่ยนกฎหมายจากระบบให้คนสมัครใจบริจาคอวัยวะ ไปเป็นระบบที่ถือว่าทุกคนเป็นผู้บริจาคอวัยวะ ไม่ได้ช่วยเพิ่มอัตราการปลูกถ่ายอวัยวะ อย่างน้อยสำหรับประเทศยุโรปเค้าเก็บสถิติเป็นสิบปีตั้งแต่ก่อนและหลังเปลี่ยนนโยบาย ตัวเลขออกมาเหมือนกันหมด ซึ่งเหตุผลอย่างหนึ่งก็คือ ปกติกฎหมายเค้าให้สิทธิญาติผู้เสียชีวิตในการปฏิเสธการบริจาคอวัยวะได้ และพวกญาติก็มักจะใช้สิทธิ์นั้น ทำให้จำนวนอวัยวะที่บริจาคจริงลดลงอยู่ดี
ประเทศยุโรป ที่คนอายุยืนกันจัดๆ ทั้งนั้น หลายครั้งถึงในทางเทคนิคเป็นผู้บริจาคอวัยวะ แต่อวัยวะพวกเค้าแทบไม่เหลืออายุการใช้งานแล้ว ดังนั้น แพทย์ก็ไม่ได้เอาไปปลูกถ่าย
แต่สิ่งที่ซับซ้อนกว่านั้นก็คือ อวัยวะมันไม่ได้ปลูกถ่ายกันง่ายๆ ต้องมีการตรวจเช็คก่อนว่าเข้ากันได้หรือไม่ ถ้าคนเสียชีวิตแบบไม่ได้เช็คก่อนว่าอวัยวะเข้ากับผู้อื่นได้หรือไม่ ถึงตายไป อวัยวะก็อาจสูญเสียไม่ได้รับการปลูกถ่าย เพราะอายุของอวัยวะนอกร่างกายคนมีจำกัด เช่น ไตจะต้องปลูกถ่ายภายใน 24-36 ชั่วโมง หลังผู้บริจาคเสียชีวิต
และสุดท้าย เราต้องไม่ลืมว่า ขนาดทุกวันนี้อวัยวะที่รอคิวปลูกถ่ายมีไม่พอ บริการด้านสาธารณสุขของหลายประเทศยังจะล่มแหล่มิล่มแหล่เลย เพราะสังคมผู้สูงอายุทำให้บริการด้านนี้ขยายตัวไม่พอกับความต้องการรับบริการ คำถามคือ ระบบแบบนี้จะเพิ่มโหลดงานในการปลูกถ่ายอวัยวะได้อย่างไร?
#สาธารณสุข #โรคไต #บริจาคอวัยวะ

บริษัทในญี่ปุ่น ให้บริการ 'เช่าคุณยาย' ดูแลลูกค้าเหมือนลูกหลาน สร้างงานให้ผู้หญิงสูงอายุบริษัทในญี่ปุ่นที่พนักงานส่วนใหญ...
04/08/2025

บริษัทในญี่ปุ่น ให้บริการ 'เช่าคุณยาย' ดูแลลูกค้าเหมือนลูกหลาน สร้างงานให้ผู้หญิงสูงอายุ
บริษัทในญี่ปุ่นที่พนักงานส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงสูงวัย นำเสนอบริการใหม่ให้กับลูกค้า โดยการให้ “คุณยาย” ไปอยู่เป็นเพื่อน คอยดูแล ทำกับข้าว เก็บกวาดบ้าน กระทั่งคุยปรับทุกข์ หรือให้คำแนะนำปัญหาชีวิต เป็นการสร้างโอกาสในการทำงานให้กับผู้หญิงสูงอายุในญี่ปุ่น
บริษัท Client Partners ซึ่งดำเนินการโดยผู้หญิงทั้งหมด ร้อยละ 80 ของพนักงานมีอายุมากกว่า 60 ปี เริ่มต้นให้บริการใหม่ “การจ้างคุณยายไปอยู่เป็นเพื่อน” เพื่อมอบประสบการณ์ของการมีผู้หญิงสูงอายุคอยดูแลจิตใจลูกค้าที่เหน็ดเหนื่อยจากวัตถุนิยม โดยคิดค่าบริการครั้งละ 60 ดอลลาร์ หรือประมาณ 1,950 บาท
คุณยาย ทาเอโอะ เคจิ ในวัย 69 ปี หนึ่งในพนักงานของ Client Partners เล่าว่า หลังจากสุนัขของเธอจากไป เธอก็อยากหางานทำเพื่อทำให้ตัวเองไม่อยู่ว่าง และมีทางเลือกเดียวที่คุณยายพบว่าผู้หญิงในวัยอย่างเธอสามารถทำได้ ก็คือ งานปัดกวาดเช็ดถูทำความสะอาดบ้าน
คุณยายทำงานเป็นแม่บ้านทำความสะอาด จนวันหนึ่ง ลูกสาวของคุณยายได้พบบริษัท Client Partners ที่จ้างผู้หญิงสูงอายุมาแสดงบทบาทคุณยายให้กับลูกค้าซึ่งเป็นคนแปลกหน้า ซึ่งในการทำงาน คุณยายจะแสดงบทบาทเสมือนคุณยายจริงๆ กับลูกค้า ทั้งการทำอาหารให้ทาน และให้การสนับสนุนในเรื่องอารมณ์ความรู้สึก
“คุณยายซึ่งเป็นพนักงานของพวกเรา จะทำอาหารให้กิน และทำตัวเป็นแม่ให้กับลูกค้า ช่วยมอบความอบอุ่นให้ตามที่ลูกค้าต้องการ” รุริ คานาซาวะ ซีอีโอ Client Partners กล่าว
โดยปรกติ คนวัยเกษียณในญี่ปุ่นจะได้รับเงินจากกองทุนบำนาญ แต่ศาสตราจารย์ คาโอริกล่าวว่า ผู้หญิงมักได้รับเงินบำนาญในจำนวนที่น้อยกว่าผู้ชาย เพราะจ่ายเงินสะสมเข้ากองทุนบำนาญน้อยกว่า เนื่องจากค่านิยมในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา ผู้หญิงญี่ปุ่นที่แต่งงานต้องลาออกจากงานเพื่อมารับบทบาทแม่คอยเลี้ยงดูลูกๆ และเมื่อเด็กๆ โตขึ้น ผู้หญิงเหล่านี้จึงค่อยเริ่มกลับเข้าสู่การเป็นการทำงาน ซึ่งมักไม่ใช่งานประจำ
ศาสตราจารย์ คาโอริ โอคาโนะ จากสาขาเอเชียศึกษา มหาวิทยาลัย La Trobe ซึ่งวิจัยเรื่องบทบาททางเพศในสังคมญี่ปุ่นบอกว่า บริษัท Client Partners สร้างโอกาสที่มีคุณค่าอย่างมากกับผู้หญิงสูงอายุ โดยเห็นค่าของทักษะการทำงานบ้านในสังคมที่มักไม่ให้คุณค่ากับทักษะและประสบการณ์ของผู้สูงวัยที่เป็นผู้หญิง
ขณะที่ศาสตราจารย์ เอริโกะ เทรามูระ ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการทรัพยากรมนุษย์ จากมหาวิทยาลัย Meikai มองว่า จำนวนของผู้หญิงสูงอายุที่จะเข้ามาในตลาดแรงงานจะเพิ่มสูงขึ้นอีกนับจากนี้ และกล่าวว่า บริษัท Client Partners ถือว่าเป็นการสร้างนวัตกรรมทางสังคม ที่ผสมผสานการดูแลผู้สูงอายุ การสร้างชุมชน และการจ้างงาน เข้าด้วยกัน
#ญี่ปุ่น #สังคมสูงวัย #ผู้สูงอายุ #การจ้างงาน #่เช่าคุณยาย

ธุรกิจผู้หญิงขับสามล้อไฟฟ้านำเที่ยวในอินเดีย สร้างอิสระทางการเงินและการพึ่งพาตัวเองที่เมืองชัยปุระ มีบริษัทที่เป็นธุรกิจ...
04/08/2025

ธุรกิจผู้หญิงขับสามล้อไฟฟ้านำเที่ยวในอินเดีย สร้างอิสระทางการเงินและการพึ่งพาตัวเอง
ที่เมืองชัยปุระ มีบริษัทที่เป็นธุรกิจที่ดำเนินการโดยผู้หญิงทั้งหมด นำเสนอการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนสไตล์อินเดียแท้ๆ ผ่านสารถีซึ่งขับสามล้อไฟฟ้าที่เป็นผู้หญิง เพื่อเป็นการส่งเสริมสิทธิสตรี และสร้างรายได้ให้กับผู้หญิงที่ครอบครัวมีรายได้น้อย
ปูนัมเทวี คุณแม่วัย 33 ปี เริ่มอาชีพขับสามล้อไฟฟ้ามาตั้งแต่ปี 2018 ทุกครั้งรถสามล้อสีชมพูสดของเธอฝ่าการจราจรที่คับคั่ง ทำให้เธอกลายเป็นจุดสนใจของผู้คนมากกว่าเรื่องความเท่าเทียมในการทำงานนอกบ้านของผู้หญิงที่ยังถูกจำกัดด้วยวัฒนธรรมดั้งเดิมของอินเดีย
“ผู้คนมักจะจ้องมองฉัน แต่ก็เป็นข้อดี เพราะผู้หญิงในวัฒนธรรมดั้งเดิมถูกจำกัดขอบเขตไว้แค่ที่บ้านหรือแถวละแวกบ้าน การมาขับรถและได้พูดคุยกับนักท่องเที่ยวจากหลากหลายประเทศ ทำให้ฉันรับรู้ถึงโลกที่กว้างใหญ่ ซึ่งเต็มไปด้วยผู้คน สถานที่ต่างๆ และเรื่องราวที่น่าสนใจอีกมาก” ปูนัมกล่าว
ปูนัมเป็นหนึ่งในผู้หญิงอินเดียจำนวน 200 คน ที่เข้ารับการอบรมการขับรถสามล้อไฟฟ้าโดย ACCESS Development Services องค์กรไม่แสวงผลกำไรของอินเดียที่ตั้งขึ้นในปี 2006 ด้วยวัตถุประสงค์ที่จะบ่มเพาะการสร้างธุรกิจและส่งเสริมคุณภาพคนยากจน
“นี่คือสิ่งที่เราต้องการที่จะเปลี่ยนแปลง เราไม่ได้แค่อยากส่งเสริมให้ผู้หญิงมีทักษะตามที่ตลาดแรงงานต้องการ แต่อยากให้ผู้หญิงพัฒนาธุรกิจของพวกเธอเอง และมีรายได้ มีชั่วโมงทำงานที่ยืดหยุ่น และมีความตื่นเต้นนิดๆ หน่อยๆ ” วิพิน ชาร์มา ซีอีโอ ACCESS กล่าว
ในช่วงก่อนหน้านั้น ไม่มีผู้หญิงในเมืองชัยปุระทำอาชีพขับสามล้อไฟฟ้า ผู้หญิงที่เข้าร่วมโครงการของ ACCESS จึงตัดสินใจร่วมกันเสนอทางเลือกการท่องเที่ยวแบบชัยปุระที่แท้และยั่งยืน ผ่านสายตาและมุมมองของผู้หญิง นำไปสู่การตั้งบริษัท Pink City Rickshaw Company (PCRC)
PCRC เริ่มธุรกิจรถสามล้อให้บริการนักท่องเที่ยว ในปี 2019 โดยผู้หญิงเป็นทั้งคนขับรถและบริหารธุรกิจ ACCESS ช่วยดูแลเรื่องของการตลาดและการระดมทุน ทำให้ PCRC สามารถจ้างพนักงานบัญชีและการเงิน บริษัทมีรถสามล้อไฟฟ้า 21 คัน และเพิ่มอีก 10 คันในปี 2025 ผู้หญิงที่จะมาเป็นรถขับสามล้อไฟฟ้านำเที่ยว จะต้องเข้ารับการอบรมจาก ACCESS เป็นเวลา 6 เดือน ถึงตอนนี้ มีผู้หญิงเข้ารับการอบรมแล้ว 200 คน และมี 45 คนที่สามารถเป็นคนขับรถสามล้ออาชีพ ซึ่งความท้าทายแรกที่พวกเธอเผชิญคือ การไม่ได้รับความยินยอมจากสามี
สำหรับรายได้จากการขับสามล้อของผู้หญิงที่ผ่านการอบรมและทำงานกับ PCRC อยู่ที่ 350 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน สูงกว่ารายได้เฉลี่ยต่อหัวต่อคนของชาวอินเดียซึ่งอยู่ที่ 150 ดอลลาร์ต่อเดือน และเมื่อถึงฤดูการท่องเที่ยวรายได้ของบริษัทจะสูงขึ้นถึงเดือนละ 15,000 ดอลลาร์ ขณะที่ในฤดูที่นักท่องเที่ยวเบาบางจะเป็นช่วงของการซ่อมบำรุงและเพิ่มเติมรถสามล้อใหม่ๆ เข้ามาเสริม รวมถึงเป็นช่วงของการอบรมคนขับสามล้อหญิงหน้าใหม่
PCRC จัดตารางนำเที่ยวชมเมือง 5 แบบ ซึ่งออกแบบให้นักท่องเที่ยวได้ซึมซับบรรยากาศและสัมผัสประสบการณ์ของเมืองชัยปุระที่แท้จริง มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่หวนกลับมาเที่ยวชัยปุระและใช้บริการนำเที่ยวของ PCRC ซ้ำ และบ่อยครั้งที่ปูนัมได้ทิปจากนักท่องเที่ยว ทำให้รายได้ต่อเดือนของเธอเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว นอกจากนี้ การมีชั่วโมงทำงานที่ยืดหยุ่น ยังช่วยให้คนขับสามล้อหญิงสามารถมีสมดุลชีวิตระหว่างการทำงานและครอบครัว และยังสามารถส่งเสียลูกๆ เข้าเรียนในโรงเรียนที่มีการเรียนการสอนที่ดีได้ ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดจากการที่พวกเธอมีอิสรภาพทางการเงิน
#อินเดีย #ผู้หญิง #ความเท่าเทียม #สามล้อไฟฟ้า

คนอเมริกันที่พอมีฐานะ เริ่มมองอิตาลีเป็นบ้านหลังที่ 2 เรียกได้ว่า ความเป็นชนชั้นกลางอเมริกันปัจจุบัน ถ้าคุณประสบความสำเร...
03/08/2025

คนอเมริกันที่พอมีฐานะ เริ่มมองอิตาลีเป็นบ้านหลังที่ 2 เรียกได้ว่า ความเป็นชนชั้นกลางอเมริกันปัจจุบัน ถ้าคุณประสบความสำเร็จในชีวิต คุณต้องมีบ้านพักตากอากาศในอิตาลี ซึ่งก็แน่นอน แพลตฟอร์มอย่าง Airbnb ก็เอื้อให้คุณแปลงบ้านพักตากอากาศเป็นบ้านเช่าได้ ดังนั้น การซื้อบ้านราคาถูกในอิตาลี มันเลยมีสถานะผสมกัน หนึ่ง คือ เป็นเครื่องแสดงสถานะทางสังคมแบบมีบ้านพักตากอากาศในต่างแดน สอง คือ เป็นการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ โดยเน้นค่าเช่าระยะสั้น
อิตาลีเป็นประเทศที่ประชากรลดมาเป็น 10 ปีแล้ว ซึ่งผลก็คือ ตามชนบทประชากรลดลงเรื่อยๆ เกาะอย่างซาร์ดีเนีย และซิซีลีเต็ม ไปด้วยหมู่บ้านรกร้าง ถ้าไปเช็คช่าว พวกโซนที่มีโครงการแจกบ้าน 1 ยูโร คือโซนทางนี้หมด
สำหรับคนอเมริกัน อิตาลีไม่ใช่ชาติอื่นไกล คนอเมริกันเชื้อสายอิตาเลียนมีเยอะมาก ส่วนใหญ่อยู่ในโนโซนนิวอิงแลนด์ถึงนิวยอร์คในทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ โดยคนแถบนี้มีเชื้อสายอิตาเลียนกันเกิน 10% ของประชากรทั้งสิ้น มันใกล้ชิดกันมากจนคนอเมริกันไม่รู้สึกว่านี่คือชาติที่ห่างไกลในทางวัฒนธรรม นี่เลยทำให้การไปอิตาลีสำหรับคนอเมริกันเหมือนการกลับบ้านเกิดบรรพบุรุษ
เกาะทั้งสองนี้มันใหญ่มาก ที่เราเห็นภาพถ่ายสวยๆ มันคือมุมเล็กๆ และยังมีอีกหลายมุมที่สวย และยิ่งห่างจากทะเลไปราคายิ่งถูก มีบ้านสำหรับทุกงบประมาณ ถ้าเอาทำเลดีหน่อยในหมู่บ้านเดียวกัน เราอาจจ่ายแค่หลักหมื่นบาท แต่ถ้าเอากันดารน้อยหน่อย ก็เอาหมู่บ้านถัดมา ที่เริ่มใกล้ทะเล เราก็อาจเจอพวกบ้านราคาหลักแสนบาท แต่ถ้าเอาแบบเห็นทะเลเลย ราคาไม่กี่ล้านบาทก็มีให้เห็น
พวกอเมริกันที่มีเงิน ปกติจะเลือกแบบหลัง เค้าจะบอกเลยว่า เงินในจำนวนที่ซื้ออพาร์ตเมนต์สุดหรูแบบที่แทบจะเป็นเพนท์เฮ้าส์ได้เลยตามเกาะพวกนี้ ราคามันเท่าๆ กับแค่ "ค่าดาวน์" อพาร์ตเมนต์ในเมืองใหญ่ๆ ในอเมริกาที่ราคาประมาณ 10 ล้านบาท
สำหรับคนอเมริกัน ความเป็นบ้านริมทะเลในราคาสบายกระเป๋ามันเลยดึงดูดสุดๆ
#อิตาลี #สหรัฐอเมริกา #อสังหาริมทรัพย์ #บ้านมือสอง

สิ่งที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบัน คือ พวกคนอเมริกันที่พอมีฐานะ แบบเป็นผู้บริหารอะไรแบบนี้ ไม่กี่ปีที่ผ่านมา เริ.....

ที่อยู่

Bangkok

เบอร์โทรศัพท์

+66611756709

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ The Openerผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง The Opener:

แชร์

ประเภท

ดิโอเพนเนอร์

ดิโอเพนเนอร์ คือ สื่อดิจิทัลที่เป็นอิสระ มุ่งมั่นนำเสนอข้อมูลและรายงานข่าวที่เชื่อถือได้เกี่ยวกับประเทศไทยและต่างประเทศ ครอบคลุมทั้งประเด็นที่กำลังเป็นกระแส รายงานพิเศษ บทวิเคราะห์ และการแสดงความคิดเห็นที่ถ่ายทอดออกมาอย่างรอบด้าน เพื่อสร้างความรับรู้เข้าใจของคนในสังคม

ดิโอเพนเนอร์ยึดมั่นในจริยธรรมสื่อสารมวลชน ซึ่งเป็นหลักการสำคัญต่อการเปิดพื้นที่ถกเถียงแลกเปลี่ยน ตลอดจนแบ่งปันความรู้และส่งเสริมการเรียนรู้ร่วมกันของคนในสังคม เราเชื่อมั่นว่าข้อมูลที่ถูกต้องและมีคุณภาพจากหลากหลายแง่มุมคือใจกลางของสังคมที่เป็นธรรม

The Opener is a digital publication producing independent and trustworthy news about Thailand and beyond. We strive to serve our audience with the latest updates, special reports, analysis and comment, using inclusive and engaging storytelling, to keep the public well-informed.

At The Opener, adhering to journalistic integrity is our top priority as we seek to open up the space for discussion, knowledge-sharing and co-learning within the Thai society. We believe that accurate and quality information, plus diverse fields of knowledge, are the key to a just society.