The Opener สื่อขนาดกะทัดรัดที่ตั้งใจโฟกัสเรื่องสวัสดิการสังคม และคุณภาพชีวิตของคนไทย

'ความเครียดเรื้อรัง' ที่ซ่อนอยู่ ส่งผลร้ายต่อร่างกาย สมอง จิตใจ และพฤติกรรมดร.เคย์ลา สตีล นักจิตวิทยาคลินิกจาก Black Dog...
01/10/2025

'ความเครียดเรื้อรัง' ที่ซ่อนอยู่ ส่งผลร้ายต่อร่างกาย สมอง จิตใจ และพฤติกรรม
ดร.เคย์ลา สตีล นักจิตวิทยาคลินิกจาก Black Dog สถาบันวิจัยสุขภาพจิต มหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย บอกว่า อาการ “ขี้หลงขี้ลืม” และ “ยากที่จะจดจ่อ” กับสิ่งที่ทำในชีวิตประจำวัน เป็นตัวอย่างของความเครียดที่ซุกซ่อนอยู่ และหากความเครียดนั้นเรื้อรัง ก็สามารถจะทำลายสมองส่วนที่สำคัญต่อการเรียนรู้ ความจำ และการควบคุมตัวเองของเราได้
ความเครียดส่งผลให้เกิดอาการได้หลายอย่าง เนื่องจากฮอร์โมนที่ควบคุมปฏิกิริยาตอบโต้ เช่น อะดรีนาลีน และคอร์ติซอล ส่งผลต่อระบบต่างๆ ในร่างกายหลายระบบ ทั้งสมอง ลำไส้ กล้ามเนื้อ ผิวหนัง และระบบหัวใจและหลอดเลือด จึงช่วยอธิบายได้ว่า ทำไมความเครียดส่งผลอย่างมากมายต่อร่างกายและจิตใจของเรา
ดร.เคย์ลา บอกว่า พันธุกรรม สุขภาพกายและใจ รวมทั้งภูมิหลังชีวิต ล้วนมีผลต่อการรับรู้และการตอบสนองต่อความเครียดที่แตกต่างกันในแต่ละคน สำหรับบางคน อาการของความเครียดอาจส่งผลต่อร่างกายในส่วนที่มีความเปราะบางหรือส่วนที่เคยบาดเจ็บมาก่อนหน้า
ความเครียดยังส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้เราติดเชื้อหวัดและไวรัสได้ง่ายขึ้น และทำให้เกิดการอักเสบระดับต่ำเรื้อรัง ที่นำไปสู่ปัญหาสุขภาพ เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคระบบย่อยอาหาร หอบหืด หรือแม้แต่ไปเร่งกระบวนการแก่ตัวของร่างกายให้เร็วขึ้น
ดร.ซาราห์ ค็อกซ์ นักจิตวิทยาคลินิก บอกว่าความเครียดอาจทำให้บางคนมีความอยากอาหารน้อยลง แต่บางคนเกิดความอยากอาหารมากขึ้น คนที่ใช้การกินเพื่อรับมือกับความเครียด หากเกิดขึ้นต่อเนื่องก็อาจเปลี่ยนพฤติกรรมการกินให้กลายเป็นนิสัยถาวรได้
ความเครียดยังแสดงออกในลักษณะอาการอื่นๆ ได้อีก เช่น การกัดฟัน ที่เกิดทั้งขณะตื่นหรือหลับ มักเกิดโดยที่เราไม่รู้ตัว และยังสามารถทำให้เกิดอาการปวดหัวหรือปวดคอได้
ดร.เคย์ลา บอกว่า ถ้าเราสามารถระบุถึงสัญญาณของความเครียด ระบุถึงสิ่งที่กระตุ้นให้เราเกิดความเครียด และวิธีที่ร่างกายและจิตใจของเราตอบสนองกับความเครียด ก็จะสามารถช่วยให้เตรียมรับมือกับความเครียดล่วงหน้าได้ดีขึ้น และรู้ถึงสัญญาณของความเครียดที่เป็นอาการเฉพาะตัวของตัวเอง เช่น วิตกกังวลมากขึ้น หัวใจเต้นเร็วขึ้น มีอาการปวดหัว มีอาการตัวสั่น หรือร่างกายรู้สึกตึง
#เครียดสะสม #สุขภาพ #โรคหัวใจ

เกาหลีใต้ประสบความสำเร็จ ทดลองให้หุ่นยนต์เดินเองย่านกังนัมบริษัทสตาร์ทอัพของเกาหลีใต้ ประสบความสำเร็จในการนำ “หุ่นยนต์ฮิ...
01/10/2025

เกาหลีใต้ประสบความสำเร็จ ทดลองให้หุ่นยนต์เดินเองย่านกังนัม
บริษัทสตาร์ทอัพของเกาหลีใต้ ประสบความสำเร็จในการนำ “หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์” หรือหุ่นยนต์ที่มีลักษณะคล้ายมนุษย์ ออกทดลองเดินจริงด้วยมันเองตัวเองในย่านธุรกิจและย่านชอปปิ้งของกรุงโซล ในชั่วโมงเร่งด่วนที่คับคั่งด้วยผู้คน
“Blind” หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ เป็นผลงานของ 4 นักศึกษาจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ของเกาหลีใต้ ภายใต้ URobotics บริษัทสตาร์ทอัพที่ได้รับการสนับสนุนจาก สถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขั้นสูงแห่งเกาหลี หรือ KAIST ในการพัฒนาหุ่นยนต์ที่สามารถนำออกมาใช้งานในที่ทำงานหรือใช้งานภายนอกอาคารได้
Blind ได้รับความสนใจจนกลายเป็นกระแส หลังจากวิดีโอที่บันทึกท่าทางการเดินที่เป็นธรรมชาติของมันกลางย่านธุรกิจของโซลอย่าง “กังนัม” ในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน ถูกนำมาเผยแพร่บนอินเทอร์เน็ต ซึ่งมันสามารถเดินหลบรถยนต์ที่แล่นสวนมา หรือหยุดชั่วขณะที่มีคนเดินตัดหน้า และสามารถตัดสินใจเลือกเส้นทางเดินได้อย่างรวดเร็วคล้ายมนุษย์
บริษัทสตาร์ทอัพผู้พัฒนา บอกว่า ระบบควบคุมการเดินของ blind แตกต่างจากระบบที่ใช้กับหุ่นยนต์ทั่วไป จึงทำให้มันสามารถเดินด้วยตัวเองได้อย่างอิสระ และเป็นธรรมชาติ โดยที่ไม่ต้องใช้กล้องหรือระบบไลดาร์เพื่อช่วยนำทางแบบอัตโนมัติเหมือนที่มีอยู่ในรถยนต์รุ่นใหม่ๆ
ยู บยองโฮ ซีอีโอของ Urobotics บอกว่า นี่เป็นเพียงก้าวแรกของการไปสู่การทำให้หุ่นยนต์สามารถเดินได้ด้วยเองอย่างสมบูรณ์แบบ
URobotics บอกว่า blind ต่างจากระบบที่ใช้ในหุ่นยนต์ทั่วไป ซึ่งใช้การสร้างแผนที่ที่มีความถูกต้องแม่นยำ แต่เทคโนโลยีของ blind ทำให้มันสามารถ “จินตนาการ” ถึงสภาพแวดล้อมรอบตัว จึงทำให้มันเดินไปบนสภาพแวดล้อมแบบใดก็ได้ และจากการทดลอง blind ประสบความสำเร็จในการเดินด้วยตัวเองในพื้นที่ที่มีผู้คนสัญจรหนาแน่นในชั่วโมงเร่งด่วน
#หุ่นยนต์ #เกาหลีใต้ #เทคโนโลยี

1 ตุลาคม 'วันกาแฟสากล' ดื่มพอดีๆ กาแฟมีประโยชน์มากกว่าที่คิดวันที่ 1 ตุลาคม ถูกกำหนดให้เป็น “วันกาแฟสากล” เพื่อเฉลิมฉลอง...
01/10/2025

1 ตุลาคม 'วันกาแฟสากล' ดื่มพอดีๆ กาแฟมีประโยชน์มากกว่าที่คิด
วันที่ 1 ตุลาคม ถูกกำหนดให้เป็น “วันกาแฟสากล” เพื่อเฉลิมฉลองให้กับคนที่รักการดื่มกาแฟ รวมถึงการสนับสนุนคุณภาพชีวิตของเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก
ปี 2025 องค์การกาแฟระหว่างประเทศ (ICO) เน้นย้ำถึงความสำคัญของ “การร่วมมือกัน” ในการทำให้การปลูก และผลิต และการดื่มกาแฟ ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และร่วมกันทำให้ภาคการผลิตกาแฟเป็นการพัฒนาที่มีความยั่งยืน รวมถึงให้ความสำคัญกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องซึ่งมีมากมายอยู่นับไม่ถ้วนตลอดห่วงโซ่มูลค่ากาแฟทั่วโลก ซึ่งทำงานร่วมกันเพื่อส่งมอบกาแฟที่ดีเยี่ยมให้กับเราในทุกๆ วัน
กาแฟ นอกจากเป็นเครื่องดื่มยอดนิยม มีงานวิจัยจำนวนมากที่ชี้ว่า กาแฟมีประโยชน์มากกว่าที่คิด ที่อาจปกป้องเราจากโรคที่พบได้บ่อย เช่น อัลไซเมอร์ และโรคหัวใจ
นักวิจัยจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยจอห์นฮอปกินส์ อธิบายว่า ในกาแฟ นอกจากมี “คาเฟอีน” แล้ว ยังมี “สารต้านอนุมูลอิสระ” และสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพอื่นๆ ที่ช่วยลดการอักเสบภายในร่างกาย และช่วยป้องกันโรคได้ และมีงานวิจัยล่าสุดพบว่า คนดื่มกาแฟมีโอกาสน้อยกว่าในการเสียชีวิตจาก โรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง โรคเบาหวาน และโรคไต
การดื่มกาแฟวันละหนึ่งถึงสองแก้ว อาจช่วยป้องกันภาวะหัวใจล้มเหลว รวมถึงช่วยลดโอกาสในการเกิดโรคพาร์กินสันให้ต่ำลง มีผลในการปกป้องตับ และช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ โดยพบว่า ผู้หญิงที่ดื่มกาแฟมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ลดลงร้อยละ 26
งานวิจัยพบว่า ผู้หญิงอายุ 65 ปีขึ้นไปที่ดื่มกาแฟวันละ 2–3 แก้ว มีโอกาสน้อยที่จะเป็นภาวะสมองเสื่อม และสำหรับผู้หญิงที่ดื่มกาแฟอย่างน้อยวันละหนึ่งแก้ว มีความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมองลดลง
แต่ทั้งนี้ การดื่มกาแฟในปริมาณมาก ทำให้ร่างกายรับเอาคาเฟอีนเข้ามามากเกินไป อาจทำให้เกิดอาการใจสั่นหรือหัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูงขึ้น เกิดความวิตกกังวล หรือการนอนไม่หลับได้
Dietary Guidelines for Americans ซึ่งเป็นคำแนะนำด้านโภชนาการของหน่วยงานรัฐของสหรัฐอเมริกา ระบุว่า เราสามารถดื่มกาแฟได้วันละ 3–5 แก้ว คนที่ไวต่อคาเฟอีน อาจดื่มเพียงวันละหนึ่งแก้ว หรือเลือกดื่ม กาแฟ decaf แทน ที่สำคัญ ควรคำนึงถึงสิ่งที่ใส่เพิ่มลงไปในกาแฟ เช่น นมข้นหวาน ครีม และน้ำตาลที่มากเกินไป จะทำให้กาแฟกลายเป็นเครื่องดื่มที่ไม่ดีต่อสุขภาพได้
วันนี้ คุณได้ดื่มกาแฟแก้วโปรดหรือยัง ?
#กาแฟสด #สุขภาพ #โรคหัวใจ #สมองเสื่อม

ทั่วโลกมีคนราว 6.3 แสนคน ที่อายุเกิน 100 ปี ส่วนใหญ่อยู่ในญี่ปุ่นและเอเชียมีคนจำนวนมากบนโลกของเรา ที่อายุล่วงเข้าสู่ปีที...
29/09/2025

ทั่วโลกมีคนราว 6.3 แสนคน ที่อายุเกิน 100 ปี ส่วนใหญ่อยู่ในญี่ปุ่นและเอเชีย
มีคนจำนวนมากบนโลกของเรา ที่อายุล่วงเข้าสู่ปีที่ 100 ในปี 2025 ซึ่งส่วนใหญ่เกิดในปี 1925 หรือไม่ก็เกิดในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 องค์การสหประชาชาติ เผยว่า กลุ่มผู้สูงอายุเหล่านี้ที่มีอยู่ราว 630,000 คนในปัจจุบัน หลักๆ แล้วอาศัยอยู่ใน 10 ประเทศทั้งในเอเชีย ยุโรป และอเมริกาเหนือ
คนที่อายุเกิน 100 ปี ราว 1 ใน 5 หรือประมาณ 123,000 คน อาศัยอยู่ในญี่ปุ่น ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่ประชากรมีอายุขัยเฉลี่ยยืนยาวที่สุดในโลก โดยอายุขัยของผู้ชายญี่ปุ่นอยู่ที่ 82 ปี และผู้หญิงอยู่ที่ 88 ปี
รองลงมา คือ สหรัฐอเมริกา มีผู้ที่อายุเกิน 100 ปีอยู่ราว 74,000 คน ตามมาด้วย จีน 49,000 คน และอินเดีย 38,000 คน
แต่เมื่อพิจารณาจากจำนวนของผู้ที่อายุเกิน 100 ปีต่อประชากรแล้ว ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีผู้ที่อายุเกิน 100 ปีต่อประชากรเป็นสัดส่วนสูงที่สุด คือ 133 คนต่อประชากร 100,000 คน ขณะที่ชาติในยุโรปอย่าง ฝรั่งเศส อิตาลี กรีซ มีสัดส่วนนี้ต่อประชากรสูงกว่าสหรัฐ และจีน
ศาสตราจารย์ โซลเวียก คันนิงแฮม จากสถาบันวิจัยสหสาขาประชากรศาสตร์ ประเทศเนเธอร์แลนด์ บอกว่า การที่คนมีอายุยืนถึงร้อยปี อาจเกิดจากหลายองค์ประกอบรวมกัน เช่น โภชนาการ การออกกำลังกาย และการอยู่ในสภาพสิ่งแวดล้อมที่ดีต่อร่างกาย
จนถึงตอนนี้ ยังมีคำถามมากมายเกี่ยวกับการที่คนส่วนหนึ่งมีอายุยืนยาวกว่าคนทั่วไป ศาสตราจารย์ โซลเวียก บอกว่า กุญแจที่นำไปสู่การแก่ตัวอย่างมีคุณภาพนั้นเรียบง่าย คือ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ การเข้าถึงการดูแลรักษาทางการแพทย์ การนอนหลับอย่างเพียงพอ การหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และบุหรี่ รวมถึงความสามารถรับมือและจัดการความเครียด
#อายุ100ปี #ผู้สูงอายุ #สังคมสูงวัย #ญี่ปุ่น

เนเธอร์แลนด์ ตรวจจับคนใช้มือถือขณะขับรถ มีคนถูกปรับมากกว่า 12,000 รายใน 4 เดือนช่วงต้นปีที่ผ่านมา ประเทศเนเธอร์แลนด์ ประ...
29/09/2025

เนเธอร์แลนด์ ตรวจจับคนใช้มือถือขณะขับรถ มีคนถูกปรับมากกว่า 12,000 รายใน 4 เดือน
ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ประเทศเนเธอร์แลนด์ ประกาศจะนำกล้องตรวจจับความเร็ว มาตรวจจับคนที่ใช้สมาร์ทโฟนขณะกำลังขับรถยนต์ ซึ่งถึงขณะนี้สามารถรวมเงินค่าปรับได้มากกว่า 5 ล้านยูโร หรือมากกว่า 188 ล้านบาทแล้ว
เนเธอร์แลนด์ มีการใช้กล้องตรวจจับพฤติกรรมการใช้สมาร์ทโฟนขณะขับรถยนต์มาเป็นเวลา 4 เดือน โดยมีผู้ที่ถูกปรับจากการใช้สมาร์ทโฟนขณะขับรถยนต์จำนวนมากกว่า 12,000 ราย
กล้องดังกล่าว เป็นกล้องพิเศษสำหรับการจราจร ซึ่งสามารถตรวจจับคนที่กำลังขับรถโดยที่มีโทรศัพท์มือถือในมือได้แบบอัตโนมัติ และยังช่วยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับผู้ที่ฝ่าฝืนกฎจราจรได้ง่ายขึ้นด้วย
สำนักงานจัดเก็บค่าปรับกลาง (CJCA) ของเนเธอร์แลนด์ เผยว่า 4 เดือนแรกของการใช้กล้องตรวจจับ นับจากพฤษภาคมถึงสิงหาคม 2025 กล้องจำนวน 12 ตัวที่ติดตั้งทั่วประเทศ สามารถตรวจจับผู้ขับรถยนต์ที่ใช้สมาร์ทโฟนขณะขับรถได้มากกว่า 12,000 ราย และมีการปรับเงินรายละ 430 ยูโร โดยที่ยังไม่รวมค่าธรรมเนียม ทำให้เงินค่าปรับรวมแล้วมากกว่า 5 ล้านยูโร
สำนักงานจัดเก็บค่าปรับกลาง ให้ข้อมูลว่า จำนวนของการปรับผู้ที่ใช้สมาร์ทโฟนขณะขับรถเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญโดยเพิ่มขึ้น 23,000 ครั้ง เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2024 สาเหตุเกิดจากมีการใช้ กล้องตรวจจับการใช้โทรศัพท์
สำนักงานจัดเก็บค่าปรับกลาง ยังคงนำกล้องตรวจจับความเร็วมาใช้ตรวจจับการใช้สมาร์ทโฟนขณะขับรถเพิ่มขึ้น และคาดว่าจะมีการนำกล้องตรวจจับจำนวน 40 ตัวมาใช้งานภายในสิ้นปีนี้
#มือถือ #ขับรถ #สมาร์ทโฟน #จับปรับ #จราจร #ความปลอดภัย

29 กันยายน 'World Heart Day' วันหัวใจโลกในแต่ละปี ทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือดมากกว่า 20.5 ล้านคน ซึ่งก...
29/09/2025

29 กันยายน 'World Heart Day' วันหัวใจโลก
ในแต่ละปี ทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือดมากกว่า 20.5 ล้านคน ซึ่งการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรจากโรคหัวใจ ที่เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 80 สามารถป้องกันได้ หากมีการตรวจพบแต่เนิ่นๆ รวมถึงการเข้าถึงการรักษาในราคาที่ไม่สูงเกินไป การดูแลสุขภาพในเรื่องอาหารการกิน และการใช้ชีวิตที่มีการขยับเคลื่อนไหวร่างกาย
'World Heart Day' หรือ “วันหัวใจโลก” ตรงกับวันที่ 29 กันยายน เพื่อเป็นการเพิ่มความตระหนักถึงสุขภาพของหัวใจ และเพื่อรณรงค์ให้มีการเร่งป้องกัน เนื่องจากโรคหัวใจและหลอดเลือดยังคงเป็นปัญหาด้านสาธารณสุขที่มีความท้าทายอย่างมาก และมีผู้ที่เสียชีวิตด้วยโรคนี้เป็นจำนวนมากทุกปี
ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ละปีมีผู้เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือดราว 3.9 ล้านคน จากอาการหัวใจล้มเหลวและโรคหลอดเลือดสมอง โดยที่ร้อยละ 30 เป็นการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร หรือก่อนอายุ 70 ปี
องค์การอนามัยโลกระบุว่า สาเหตุใหญ่ของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด มาจากพฤติกรรมการสูบบุหรี่ การกินอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ โดยเฉพาะอาหารที่มีความเค็มสูง การไม่ออกกำลังกาย และการดื่มแอลกอฮอล์ และระบุว่า การใช้ยาควบคุมความดัน และไขมันในเลือด รวมถึงโรคเบาหวาน สามารถช่วยลดการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้
#โรคหัวใจและหลอดเลือด #สุขภาพ

ที่ญี่ปุ่นในปีนี้ เกิดเหตุการณ์ “หมี” เข้าโจมตีคนแล้ว 69 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 5 ราย ขณะที่การบุกรุกของหมีเข้ามาในเขตที่อ...
28/09/2025

ที่ญี่ปุ่นในปีนี้ เกิดเหตุการณ์ “หมี” เข้าโจมตีคนแล้ว 69 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 5 ราย ขณะที่การบุกรุกของหมีเข้ามาในเขตที่อยู่อาศัยของมนุษย์ตามชนบทต่างๆ กำลังเพิ่มมากขึ้น ในท่ามกลางการลดลงของประชากรในในพื้นที่
ล่าสุดมีการสร้างแอปพลิเคชั่นที่ชื่อ “BowBear” เพื่อระบุตำแหน่งของหมี เพื่อให้ทราบล่วงหน้าและสามารถถอยห่างออกมาได้ทัน
แอป BowBear จะระบุสถานที่ที่มีหมีอยู่อาศัยด้วยการปักหมุดสีส้มบนแผนที่ประเทศญี่ปุ่น และระบุพิกัดตำแหน่งที่ยืนยันแล้วว่ามีหมีด้วยการปักหมุดสีแดง นอกจากนั้น ยังเปิดให้ผู้ใช้งานสามารถรายงานการพบเห็นหมีเพื่ออัปเดตตำแหน่งของหมีบนแอปเพิ่มเติมได้ด้วย
เมื่อ 4 ปีที่แล้ว มีสามีภรรยาชาวเมืองฮอกไกโดที่ออกไปเดินชมธรรมชาติบนภูเขา โดยไม่ได้คาดคิด หมีสีน้ำตาลโจมขณะภรรยาที่กำลังเก็บก้มดอกไม้ ซึ่งทำให้เสียชีวิตในเวลาต่อมา
BowBear มีฟีเจอร์ให้ความช่วยเหลือในกรณีที่พบเจอหมี ด้วยการเปิดเสียงสุนัขเห่าที่ตั้งจำนวนครั้งได้ แต่ผู้สร้างแอปไม่รับรองว่าวิธีนี้จะขับไล่หมีได้ผล แต่ในกรณีที่พบหมีแต่ไม่มีเครื่องมือที่จะไล่พวกมัน ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ให้เปิดเสียงจากวิทยุ หรือสั่นกระดิ่งไล่หมีที่ติดอยู่ที่เอวหรือกระเป๋าเป้ ซึ่งเหตุการณ์โจมตีของหมีมักเกิดขึ้นโดยบังเอิญจากการที่หมีเดินผ่านมาเจอมนุษย์
ล่าสุด มีผู้ดาวน์โหลดแอป BowBear แล้วมากกว่า 1 แสนครั้ง ซึ่งความถูกต้องแม่นยำของพิกัดที่พบหมีขึ้นกับการรายงานตำแหน่งของผู้ใช้งาน และมีคำแนะนำด้วยว่า ให้ตรวจสอบเพิ่มเติมกับเว็บไซต์ของรัฐบาลท้องถิ่นนั้นๆ เพื่อได้ทราบข้อมูลที่อัปเดตรวมถึงคำแนะนำเพื่อความปลอดภัย
#แอปพลิเคชั่น #ญี่ปุ่น #หมี #สัตว์ป่า

แอป BowBear จะระบุสถานที่ที่มีหมีอยู่อาศัยด้วยการปักหมุดสีส้มบนแผนที่ประเทศญี่ปุ่น และระบุพิกัดตำแหน่งที่ย.....

จุดชมพื้นที่สีเขียวแห่งใหม่ของกรุงเทพฯทิวทัศน์และบรรยากาศจาก “สวนดุสิตอรุณ ณ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค" (Dusit Arun at Dusit ...
28/09/2025

จุดชมพื้นที่สีเขียวแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ
ทิวทัศน์และบรรยากาศจาก “สวนดุสิตอรุณ ณ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค" (Dusit Arun at Dusit Central Park) สวนลอยฟ้าใจกลางเมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีพื้นที่รวมราว 7 ไร่ เชื่อมต่อพื้นที่สีเขียวบนอาคารกับแนวต้นไม้เขียวขจีของสวนลุมพินี
#พื้นที่สีเขียว #กทม

สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ออกคำเตือนความเร่งด่วนหลังพบศูนย์สแกมเมอร์ของเครือข่ายอาชญากร...
28/09/2025

สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ออกคำเตือนความเร่งด่วนหลังพบศูนย์สแกมเมอร์ของเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ จีน-ฮ่องกง-ไต้หวัน-มาเก๊า ในประเทศติมอร์-เลสเต ที่โรงแรมแห่งหนึ่งในเขตปกครองพิเศษ Oecusse-Ambeno เมื่อช่วงปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
รายงานของ UNODC ระบุว่า สิ่งที่พบในติมอร์-เลสเต มีความคล้ายคลึงกันอย่างมากกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในระยะเริ่มต้นของศูนย์สแกมเมอร์ในประเทศลุ่มแม่น้ำโขงและฟิลิปปินส์
หลังจากที่รัฐบาลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และรัฐบาลจีนเริ่มดำเนินการกวาดล้างจับกุมขบวนการเหล่านี้ เหล่าบรรดาอาชญากรก็เริ่มย้ายสถานที่ก่อเหตุ โดยขยับไปไกลจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเข้ามาใกล้ออสเตรเลียมากขึ้น
UNODC เผยว่า มีสัญญาณบ่งชี้ว่า ปฏิบัติการลักษณะเดียวกันนี้กำลังเกิดขึ้นในปาปัวนิวกินีและพื้นที่อื่นๆ ในแปซิฟิก ซึ่งมีการกำกับดูแลที่เข้มงวดน้อยกว่าด้วย
UNODC ระบุว่า เขต Oecusse-Ambeno ของติมอร์-เลสเต ที่เพิ่งตั้งเป็นเขตการค้าเสรีเมื่อเดือนธันวาคม 2024 นอกจากจะดึงดูดธุรกิจ การลงทุน และการค้าแล้ว ยังดึงดูดผู้ที่แสวงหาผลประโยชน์ในทางที่ผิดกฎหมายอย่าง กลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติด้วยเช่นกัน เจ้าหน้าที่ตรวจพบกิจกรรมน่าสงสัย และเมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา มีการตรวจพบหลักฐานต่างๆ เช่น ซิมการ์ด และอุปกรณ์ Starlink ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้สำคัญของกิจกรรมการหลอกลวงออนไลน์
#หลอกลวงออนไลน์ #อาชญกรรมไซเบอร์ #ออสเตรเลีย

หน่วยงานด้านอาชญากรรมข้ามชาติของสหประชาชาติ เผย “ศูนย์สแกมเมอร์” ของแก๊งค์อาชญากรรมชาวเอเชีย เริ่มขยับ.....

Urban Studies Lab ศูนย์วิจัยอิสระด้านเมืองและการพัฒนาชุมชน เผยว่า ครัวเรือนบางกลุ่มของไทยมีภาระค่าใช้จ่าย ด้านที่อยู่อาศ...
28/09/2025

Urban Studies Lab ศูนย์วิจัยอิสระด้านเมืองและการพัฒนาชุมชน เผยว่า ครัวเรือนบางกลุ่มของไทยมีภาระค่าใช้จ่าย ด้านที่อยู่อาศัยเฉลี่ยสูงกว่าร้อยละ 30 ถึง 40 ของรายได้ครัวเรือน และเมื่อรวมกับค่าเดินทางที่เพิ่มขึ้นจากการที่ที่อยู่อาศัยราคาย่อมเยาอยู่ไกลศูนย์กลางเมือง ทำให้ประชาชนจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยและกลุ่มคนทำงานรุ่นใหม่ ต้องเผชิญภาระค่าใช้จ่ายที่สูงเกินสมดุลชีวิต
การศึกษานี้ ทำการสำรวจใน 4 จังหวัดนำร่อง ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ขอนแก่น เชียงใหม่ และสงขลา พบแนวโน้มคล้ายกัน คือ Demand ของที่อยู่อาศัยราคาย่อมเยาและใกล้แหล่งงานมีสูง แต่ Supply มีจำกัด ขณะที่โครงสร้างข้อมูลที่อยู่อาศัยจากภาครัฐยังไม่เชื่อมโยงเป็นระบบเดียว
Urban Studies Lab ได้นำเสนอแนวทางการพัฒนาที่อยู่อาศัยในสามมิติ เพื่อตอบสนองต่อปัญหาที่เกิดขึ้น โดยการสร้างเครื่องมือวัดผลกระทบในระดับย่าน เพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์จริง การพัฒนากลไกและระบบสนับสนุนให้คนเข้าถึงที่อยู่อาศัยได้มากขึ้น และการกำหนดยุทธศาสตร์เมืองในระยะยาวเพื่อให้เกิดระบบที่อยู่อาศัยสำหรับทุกคนอย่างแท้จริง ทีมวิจัยชี้ว่า หากไม่มีฐานข้อมูลที่แข็งแรงและเชื่อมโยงอย่างเป็นระบบ การกำหนดนโยบายก็จะไม่สามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุด
Urban Studies Lab นำเสนอแพลตฟอร์ม Urban Sleeping Lab ที่พัฒนาขึ้นเพื่อแก้ปัญหาค่าที่พักอาศัยสูงและการเดินทางไกลของคนวัยทำงานในเมือง โดยใช้ Matching System ที่อิงข้อมูล GIS เพื่อแนะนำที่พักแบบ Co-living ที่เหมาะสมกับทั้งงบประมาณและไลฟ์สไตล์ ปัจจุบันได้ทดลองกับอาคารตัวอย่างกว่า 50 แห่งในพื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์ เพื่อสร้างฐานข้อมูลอาคารเก่าและอสังหาริมทรัพย์ที่สามารถปรับปรุงเป็นที่พักแบบผสมผสานใหม่ได้ ระบบนี้ยังออกแบบให้จัดอันดับตัวเลือกที่พักตามความต้องการ และจับคู่ที่พักอาศัยให้ตรงกับไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้งาน ทั้งด้านราคา สิ่งอำนวยความสะดวก และระยะทาง โดยมีเป้าหมายเพื่อทำให้การเป็น “คนเมือง” ไม่ได้หมายถึงการต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่เกินกำลังอีกต่อไป
ผู้ที่สนใจสามารถเข้าไปที่เว็บไซต์
Thai Housing Data Portal
https://thai-housing-portal.vercel.app/about
Urban sleeping lab
https://urbansleepinglab.com/
#นโยบายที่อยู่อาศัย #งานวิจัย #สถาปัตย์จุฬา #ค่าครองชีพ #คนรุ่นใหม่ #คนรายได้น้อย
https://theopener.co.th/2025/09/25/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%B1%E0%B8%A2

งานวิจัยของ Urban Studies Lab ศูนย์วิจัยอิสระด้านเมืองและการพัฒนาชุมชน เผยว่า ครัวเรือนบางกลุ่มของไทยมีภาระค่าใช้จ...

Longevity economy หรือเศรษฐกิจของการมีอายุยืนยาวอย่างมีคุณภาพ จะเป็นตัวขับดันนวัตกรรมและการลงทุนครั้งใหม่ของญี่ปุ่น จากจ...
27/09/2025

Longevity economy หรือเศรษฐกิจของการมีอายุยืนยาวอย่างมีคุณภาพ จะเป็นตัวขับดันนวัตกรรมและการลงทุนครั้งใหม่ของญี่ปุ่น จากจำนวนประชากรอายุมากกว่า 65 ปีของญี่ปุ่น ที่มีจำนวนมากกว่า 36.25 ล้านคนในปี 2024 คิดเป็นร้อยละ 29.3 ของประชากรทั้งประเทศ และสัดส่วนนี้จะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 34.8 ในปี 2040 และร้อยละ 36.3 ในปี 2045
ตลาด longevity ที่กำลังเกิดขึ้นจึงมีขนาดที่ใหญ่มาก มีการคาดการณ์ว่า ขนาดของเศรษฐกิจภาคส่วนนี้จะขยายจาก 96 ล้านล้านเยนในปี 2023 ไปเป็น 115 ล้านล้านเยนในปี 2040 โดยที่ในปี 2023 มูลค่าตลาดของการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุอยู่ที่ 29 ล้านล้านเยน การดูแลผู้สูงอายุอยู่ที่ 11.7 ล้านล้านเยน และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์มีมูลค่า 55.7 ล้านล้านเยน
ในแผนการพัฒนา มีเป้าหมายที่จะทำให้หุ่นยนต์ทำงานบ้านที่มีความเสี่ยงต่ำออกจำหน่ายภายในปี 2030 และภายในปี 2040 จะขยายความสามารถของหุ่นยนต์ไปสู่การบริการต้อนรับ งานบ้าน การดูแลผู้สูงอายุ การพยาบาล และหัตถการทางการแพทย์บางประเภท และภายในปี 2050 หุ่นยนต์เหล่านี้คาดว่าจะพัฒนาไปสู่การเป็น “เพื่อนคู่หู” ของผู้สูงอายุ ที่สามารถสื่อสารได้ทั้งทางภาษาและการสัมผัส
นอกเหนือจากด้านการแพทย์และการพยาบาลแล้ว อุตสาหกรรมด้านไลฟ์สไตล์สำหรับผู้สูงอายุในญี่ปุ่นก็กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว หนึ่งในกลุ่มที่เติบโตเร็วคือ “บริการเพื่อนคุย” ซึ่งนอกจากทำหน้าที่เพื่อนคุยในชีวิตประจำวันทั่วไปอย่างสม่ำเสมอแล้ว ยังช่วยเฝ้าติดตามสุขภาวะของผู้สูงอายุด้วย
ประสบการณ์ของญี่ปุ่น แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการสร้างนวัตกรรมและบริการรูปแบบใหม่ๆ ภายใต้เศรษฐกิจผู้สูงอายุ และอาจเป็นบทเรียนที่มีคุณค่าสำหรับประเทศที่กำลังเผชิญภาวะสังคมสูงวัยอย่างรวดเร็วอย่างประเทศไทยด้วย
#ญี่ปุ่น #สังคมสูงวัย #เศรษฐกิจ

อายุที่ยืนยาวขึ้น จำนวนของประชากรผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นความท้าทายทางด้านสาธารณสุขและ....

“เกาะเชจู” เป็นพื้นที่ปลูกส้มที่สำคัญและขึ้นชื่อของเกาหลีใต้มายาวนาน แต่ตอนนี้ “ต้นมะกอก” เริ่มเข้ามาแทนที่สวนส้มบ้างแล้...
27/09/2025

“เกาะเชจู” เป็นพื้นที่ปลูกส้มที่สำคัญและขึ้นชื่อของเกาหลีใต้มายาวนาน แต่ตอนนี้ “ต้นมะกอก” เริ่มเข้ามาแทนที่สวนส้มบ้างแล้ว จากสภาพอากาศที่ร้อนขึ้นและแล้งมากขึ้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลก และเป็นสภาพที่เหมาะกับการเติบโตของมะกอก
คิม กิลยอง เจ้าของสวนมะกอก Seom Olive ทางตอนใต้ของเกาะบอกว่า การผสมเกสรของมะกอกขึ้นกับสายลมที่พัดพาซึ่งเหมาะกับเกาะเชจูที่มีสภาพลมแรง โดยเฉพาะช่วงเดือนพฤษภาคมถึงกรกฎาคม จะเป็นช่วงเวลาสำคัญที่สุด เนื่องจากในช่วงไม่กี่ปีมานี้ สภาพอากาศมีความแล้งที่มากขึ้น
ที่อีกฝั่งของเชจู มีสวนมะกอกชื่อ Jeju Olive Grove 210 ของจอง อียอล มีพื้นที่ราว 23,000 ตร.ม.และเป็นสวนมะกอกที่ใหญ่ที่สุดของเกาะ มีต้นมะกอกหลากหลายสายพันธุ์
กิลยองและอียอน เชื่อว่า น้ำมันมะกอกที่ผลิตในเชจูจะออกสู่ตลาดได้อย่างกว้างขวาง เพียงแต่ในตอนนี้ผลผลิตยังไม่สูงมากนัก และน้ำมันมะกอกของ Jeju Olive Grove 210 ก็ได้รับการยอมรับแล้วในเรื่องของรสชาติ กลิ่นที่หอมและความนุ่มละมุนละไม
สวนมะกอกบนเกาะเชจู เป็นตัวบ่งบอกที่ชัดเจนถึงผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่ออาหารที่ผู้คนบริโภค รวมถึงการผลิตวัตถุดิบอาหารต่างๆ ซึ่งนอกจากมะกอกแล้ว สำนักงานพัฒนาชนบทของเกาหลีใต้ แนะนำพืชชนิดอื่นๆ ที่เหมาะจะปลูกในสภาพอากาศที่เปลี่ยนไปของเกาหลีใต้ เช่น มะละกอ กระเจี๊ยบ และผักบุ้ง
#เกาะเชจู #สวนส้ม #มะกอก #เกาหลีใต้

“เกาะเชจู” เป็นพื้นที่ปลูกส้มที่สำคัญและขึ้นชื่อของเกาหลีใต้มายาวนาน แต่ตอนนี้ “ต้นมะกอก” เริ่มเข้ามาแ.....

ที่อยู่

Bangkok

เบอร์โทรศัพท์

+66611756709

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ The Openerผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง The Opener:

แชร์

ประเภท

ดิโอเพนเนอร์

ดิโอเพนเนอร์ คือ สื่อดิจิทัลที่เป็นอิสระ มุ่งมั่นนำเสนอข้อมูลและรายงานข่าวที่เชื่อถือได้เกี่ยวกับประเทศไทยและต่างประเทศ ครอบคลุมทั้งประเด็นที่กำลังเป็นกระแส รายงานพิเศษ บทวิเคราะห์ และการแสดงความคิดเห็นที่ถ่ายทอดออกมาอย่างรอบด้าน เพื่อสร้างความรับรู้เข้าใจของคนในสังคม

ดิโอเพนเนอร์ยึดมั่นในจริยธรรมสื่อสารมวลชน ซึ่งเป็นหลักการสำคัญต่อการเปิดพื้นที่ถกเถียงแลกเปลี่ยน ตลอดจนแบ่งปันความรู้และส่งเสริมการเรียนรู้ร่วมกันของคนในสังคม เราเชื่อมั่นว่าข้อมูลที่ถูกต้องและมีคุณภาพจากหลากหลายแง่มุมคือใจกลางของสังคมที่เป็นธรรม

The Opener is a digital publication producing independent and trustworthy news about Thailand and beyond. We strive to serve our audience with the latest updates, special reports, analysis and comment, using inclusive and engaging storytelling, to keep the public well-informed.

At The Opener, adhering to journalistic integrity is our top priority as we seek to open up the space for discussion, knowledge-sharing and co-learning within the Thai society. We believe that accurate and quality information, plus diverse fields of knowledge, are the key to a just society.