TB - Talk เปิดกว้างความคิด ชวนกันมาพูดคุย

รหัส 144 ปราบโกง กับการเมืองที่ไร้เสถียรภาพรัฐธรรมนูญปี 2560 กำหนดให้ประชาชนมีหน้าที่ไม่สนับสนุนการทุจริตกับให้รัฐส่งเสร...
25/09/2025

รหัส 144 ปราบโกง กับการเมืองที่ไร้เสถียรภาพ

รัฐธรรมนูญปี 2560 กำหนดให้ประชาชนมีหน้าที่ไม่สนับสนุนการทุจริตกับให้รัฐส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการตรวจสอบทุจริต ดังนั้นอย่างน้อยประชาชนที่รู้เบาะแสการทุจริตก็ควรแจ้งให้หน่วยตรวจสอบทราบ หรือใครมีความรู้ก็ควรแบ่งปันกันเพื่อมีส่วนร่วมในการตรวจสอบการทุจริตที่นับวันจะมีความซับซ้อนมากขึ้นเพื่อหลบเลี่ยงความผิดตามกฎหมายโดยเฉพาะการทุจริตเชิงนโยบาย

คำว่าทุจริตเชิงนโยบาย หากไปดูความหมายอาจเข้าใจยาก แต่ถ้าบอกว่ามันคือการ “โกงให้ถูกกฎหมาย” หรือการสร้างความชอบธรรมให้กับการคอรัปชั่นคงจะเข้าใจง่ายขึ้น เช่น ถ้ากฎหมายห้ามก็แก้กฎหมาย หรือถ้ากฎหมายมีเงื่อนไขก็สร้างเงื่อนไขให้มันสอดคล้อง แค่นี้ก็เรียบร้อย ตัวอย่างของการทุจริตเชิงนโยบาย เช่น กรณี ส.ป.ก 4-01 ,แก้ พรบ.สรรพสามิตโทรคมนาคม ,กรณีจำนำข้าว ,เอ็กซิมแบงค์ปล่อยเงินกู้แก่พม่า ,สั่งให้วันหยุดเป็นวันทำงานเพื่อทำธุรกรรมการเงิน เหล่านี้จะเห็นว่าการทุจริตเชิงนโยบายจะต้องมีเรื่องของอำนาจเข้ามาเกี่ยวข้องและอำนาจนั้นถูกใช้เพื่อเอื้อต่อประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าสาธารณะ

การแปรญัตติเอางบประมาณรายจ่ายประจำปีไปลงโครงการในพื้นที่ของ สส ก็เป็นการทุจริตเชิงนโยบายประเภทหนึ่ง ไม่ต่างจากการเอาเงินหลวงไปหาเสียง ดังที่เคยเห็นกันว่ามีบางจังหวัดที่มีการพัฒนาที่โดดเด่นกว่าจังหวัดอื่นๆ เป็นที่มาของการมี สส. ผูกขาดตลอดกาลจนแทบจะไม่ต้องหาเสียงกันเลย จึงไม่น่าแปลกใจที่ สส. ต่างแย่งกันเป็นกรรมาธิการงบประมาณเพราะมันหมายถึงความสามารถในการดึงงบลงพื้นที่ตัวเอง ด้วยเหตุนี้รัฐธรรมนูญปี 40 จึงแก้ปัญหาความไม่เป็นธรรมในการจัดสรรงบประมาณลงพื้นที่โดยกำหนดไว้ในมาตรา 180 ห้าม สส. แปรงบไปใช้ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม
ผ่านมา 20 ปี รัฐธรรมนูญปี 60 ก็ยังคงกำหนดข้อห้ามเดิมๆ ไว้ แต่คราวนี้อยู่ในมาตรา 144 และเพิ่มข้อกำหนดว่าหากนายก และ ครม. เห็นการกระทำที่เป็นความผิดแต่ไม่ระงับยับยั้งก็จะมีความผิดไปด้วยเช่นเดียวกับ สส. หรือ สว. เรียกว่าเอาผิดทั้งพวงฐานที่ไม่ทัดทานกัน

กรณีมาตรา 144 นี้ ได้มีกลุ่มภาคประชาชนผู้เชี่ยวชาญกฎหมายยื่นต่อ ปปช. ขอให้ไต่สวนเอาผิดรัฐบาลของนายเศรษฐาและ น.ส. แพทองธาร ที่ปรับเอางบประมาณที่รัฐบาลต้องชำระเงินกู้ให้กับ 5 ธนาคารรัฐวิสาหกิจจำนวน 35,000 ล้านบาท ไปสมทบกับส่วนอื่นให้ได้ยอด 500,000 ล้านบาท เพื่อแจกให้ประชาชนรายละ 10,000 บาทตามโครงการดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาล จะเห็นว่าความผิดได้เกิดขึ้นถ้วนหน้าตั้งแต่กรรมาธิการ 72 คนที่ปรับลดงบประมาณ สส. 309 คนที่โหวตเห็นชอบงบปี 68 เช่นเดียวกับ สว. 175 คน รวมทั้งอดีตนายก 2 คนของเพื่อไทยด้วยโดยคนหนึ่งตั้งงบเพื่อใช้หนี้อีกคนหนึ่งโยกงบไปแจกเงินหมื่น

เอาดีๆ นี่เป็นเรื่องใหญ่มาก รัฐธรรมนูญเขาห้ามแตะต้องเงินที่ต้องนำไปชำระหนี้ก็เพื่อรักษาวินัยการเงินการคลังแต่แทนที่จะปฏิบัติตามกลับมีกระบวนการแปรเปลี่ยนเอาเงินส่วนนี้ไปแจกประชาชนตามที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมือง ซึ่งถ้าผลการไต่สวนออกมาว่าผู้ถูกร้องมีความผิดจริงจะมีนักการเมืองเป็นร้อยๆ ถูกลงโทษทางการเมืองและผลของมันอาจกระทบมาถึงรัฐบาลอนุทินปัจจุบันด้วย และนี่หรือเปล่า? ที่ทำให้เลขาธิการ ปปช. ถึงกับต้องลาออกจากตำแหน่งโดยไม่ทราบสาเหตุ

ความยุ่งยากยังไม่ได้จบแค่นั้น แม้แต่ ปปช.ที่ต้องไต่สวนให้เสร็จภายใน 180 วัน ก็ถูกครหาว่ากำลังยื้อเวลาออกไปในขณะที่ศาลรัฐธรรมนูญที่จะรับไม้ต่อไปก็มีเวลาเพียง 15 วันในการสั่งคดี ซึ่งก็น่าเห็นใจองค์กรอิสระทั้ง 2 ที่มีเวลาไม่มากในการพิจารณาคดีใหญ่ขนาดนี้ แต่กรณีของรองประธานสภาพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ที่โดนสั่งให้พ้นจากหน้าที่ไปแล้วก็เป็นอิทธิฤทธิของมาตรา 144 นี้ ถือเป็นโมเดลความผิดในลักษณะเดียวกัน

ท่ามกลางกระแสการชุมนุมประท้วงของม็อบ Gen Z และม็อบอื่นๆ ที่แพร่กระจายอยู่ในปัจจุบันจะมีอยู่ 2 คำหลักที่เกี่ยวข้องคือ “คอรัปชั่น” กับ “เหลื่อมล้ำ” ซึ่งเป็นสิ่งที่คนรุ่นใหม่รังเกียจและไม่อาจทนเห็นมันเกาะกินสังคมที่พวกเขาต้องอยู่ร่วมเพราะนอกจากจะก่อให้เกิดภาวะด้อยพัฒนาแล้วยังทำให้พวกเขามองไม่เห็นอนาคตของตัวเองในสังคมที่ผู้ปกครองขาด ธรรมาภิบาล ดังนั้นถ้าไม่อยากให้เกิดสถานการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ในบ้านเราในลักษณะที่เกิดขึ้นในหลายประเทศในขณะนี้ ก็ต้องช่วยกันตรวจสอบและแจ้งเบาะแสการทุจริตเชิงนโยบาย ไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ไม่ควรปล่อยผ่าน โดยเฉพาะในองค์กรราชการที่ประพฤติมิชอบเล็กๆ น้อยๆ จนเคยชิน พอเติบโตขึ้นไปจากการประพฤติผิดก็กลายเป็นการทุจริตได้อย่างไม่เคอะเขิน

สำหรับกรณีความผิดตามมาตรา 144 ที่ขณะนี้ยังอยู่ในมือ ปปช. แม้ว่ารัฐธรรมนูญกำหนดให้เร่งดำเนินการพลัน แต่ ปปช. ก็ยังสามารถขยายเวลาออกไปได้อีกซึ่งถ้าจะเอาจริงๆ อาจไปได้ถึง 450 วัน เนื่องจากเกี่ยวข้องกับองคาพยพจำนวนมาก แต่หากใช้เวลานานขนาดนั้นก็จะเลยอายุ 4 เดือนของรัฐบาลชุดนี้ที่ประกาศไปแล้วว่าจะยุบสภาไม่เกินปลายเดือนมกราคม 2569 จากนั้นจะมีการเลือกตั้งประมาณเดือนเมษายน 2569 พร้อมกับการทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญ ดังนั้นถ้าศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้คณะรัฐมนตรีชุดแพทองธารมีความผิดตามมาตรา 144 กรณีเห็นชอบให้โยกงบชำระหนี้ไปแจกประชาชน นายกอนุทินซึ่งขณะนั้นเป็นรัฐมนตรีมหาดไทยและหากอยู่ในที่ประชุมก็จะมีความผิดไปด้วยและอาจถูกตัดสิทธิทางการเมืองซึ่งทั้งหมดจะเกิดขึ้นก่อนหรือหลังการเลือกตั้งก็อยู่ที่ ปปช.และศาลรัฐธรรมนูญ แต่ในส่วนของความผิดที่ต้องร่วมกันชดใช้คืนงบประมาณแผ่นดิน ถ้ามี ก็จะมีอายุความทางการเงิน 20 ปี

เห็นอย่างนี้แล้ว เค้าลางความวุ่นวายทางการเมืองยังจะมาอย่างต่อเนื่อง คาดหวังได้เลยว่าปีใหม่ 2569 เมืองไทยก็จะยังถูกปกคลุมด้วยหมอกควันความไร้เสถียรภาพทางการเมืองเหมือนเดิม
#รัฐธรรมนูญ60

20/09/2025

เป็นได้ทั้งพระเอกและผู้ร้าย
นี่คือด้านมืดของ

ฟังบทวิเคราะห์ #ทำไมจึงเกิดการชุมนุมประท้วงของGennZ

ติดตามในคลิปนี้

AI เป็นได้ทั้งพระเอกและผู้ร้าย      แม้ว่า AI มีส่วนช่วยให้การชุมนุมประท้วงหลายจุดในช่วงนี้ประสบความสำเร็จ แต่ AI ก็มีส่...
19/09/2025

AI เป็นได้ทั้งพระเอกและผู้ร้าย

แม้ว่า AI มีส่วนช่วยให้การชุมนุมประท้วงหลายจุดในช่วงนี้ประสบความสำเร็จ แต่ AI ก็มีส่วนผลักให้คนก่อเหตุที่ไม่สมควรและต้องรับกรรมในที่สุด

การชุมนุมประท้วงของ Gen Z ดูเหมือนจะกลายเป็นแฟชั่นไปแล้ว เหตุการณ์ที่เนปาลยังไม่ทันจางหาย ก็มีการประท้วงในลักษณะเดียวกันอีกที่ติมอร์เลสเต้ ประเทศที่กำลังจะเป็นสมาชิกอาเซียนอย่างสมบูรณ์แบบ และอาจกลายเป็นศูนย์กลางแห่งใหม่ของพวกสแกมเมอร์ในไม่ช้า

ย้อนกลับไปดูการชุมนุมประท้วงที่นำโดย Gen Z

การประท้วงที่บังกลาเทศเมื่อปีที่แล้ว วันเดียวมีผู้เสียชีวิตถึง 91 คน สาเหตุมาจากการกันที่ตำแหน่งงานราชการไว้ให้ลูกหลานทหารผ่านศึก ในขณะที่การประท้วงที่อินโดนีเซียถูกจุดประกายด้วยการที่รัฐบาลสั่งเพิ่มเงินค่าเช่าบ้านให้กับ ส.ส. มากถึงคนละ 3,000 ดอลล่าร์ ส่วนการประท้วงที่เนปาลเกิดจากความไม่พอใจพวกลูกหลานนักการเมืองที่โพสต์อวดร่ำอวดรวยจนเรียกกันเป็นวลีฮิตว่า Nepo baby และการแบนโซเชียลมีเดียทำให้เกิดความรุนแรงจนเอาไม่อยู่ จนล่าสุดที่ติมอร์เลสเต ผู้ชุมนุมค้านแผนจัดงบซื้อรถใหม่กับบำนาญตลอดชีพให้ ส.ส. 65 คน ทั้งนี้การชุมนุมประท้วงข้างต้นล้วนแต่บรรลุเป้าหมายเพราะสุดท้ายรัฐบาลก็ยอมยกเลิกประเด็นที่เป็นเงื่อนไขของความไม่พอใจทั้งหลาย

จะเห็นว่าประเด็นร่วมกันในการชุมนุมประท้วงที่กล่าวมาคือความเหลื่อมล้ำทางชนชั้นและเศรษฐกิจซึ่งเป็นสิ่งที่คนรุ่นอายุ 15-30 ปีหรือที่เรียกว่า Gen Z เห็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น นอกจากนี้คุณลักษณะที่เป็นจุดเด่นของคนเจนนี้ยังประกอบด้วย

“การไม่ทน” พวกเขาไม่สามารถอดรนทนดูกับความไม่ถูกต้อง (ตามความคิดของเขา) โดยจะไม่ยอมรับและจะแสดงออกด้วยการกระทำต่อต้านอย่างไม่มีขีดจำกัด ไม่ว่าการกระทำนั้นจะถูกเรียกว่าความรุนแรงหรือการละเมิดสิทธิผู้อื่น

“ช่ำชองโซเชียลมีเดีย” พวกเขาสามารถใช้เทคโนโลยีในการเข้าถึงโซเชียลมีเดียได้อย่างเชี่ยวชาญจึงมีความรวดเร็วในการเปรียบเทียบปรากฏการณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นในโลก ทั้งในเชิงกว้างและลึก บางครั้งเขามีข้อมูลในหัวมากกว่าผู้ใหญ่ที่คิดว่าประสบการณ์มากกว่า

“ปฏิเสธการกระทำโดยมิชอบทั้งปวงของภาครัฐ“ การกระทำใดๆ ก็ตามของบุคลากรภาครัฐที่ไม่โปร่งใส หรือขาดธรรมาภิบาล มักถูกจับตามองและนำไปวิเคราะห์เชื่อมโยงกับข้อมูลในอดีต โดยเฉพาะพฤติการณ์ที่ส่อการทุจริตคอรัปชั่นจะถูกปฏิเสธและแพร่กระจายไปตามเครือข่ายของพวกเขาอย่างรวดเร็ว

”แสวงหาอนาคตที่ดีกว่า“ บางครั้งการมองการณ์ไกลอาจไม่ต้องพึ่งวิสัยทัศน์ของตัวเอง แต่อาศัยวิสัยทัศน์ของคนอื่นก็ได้ ขอเพียงให้เชื่อมั่นในตัวใครสักคนว่าจะสามารถนำอนาคตที่ดีมาให้ได้พวกเขาก็พร้อมจะคลิกปุ่มเป็นผู้ตาม follower อย่างกรณีของเกรต้า ทุนเบิร์ก ที่นับตั้งแต่เธอออกมาท้าทายผู้นำโลกให้ใส่ใจกับผลกระทบจากภูมิอากาศแปรปรวน เธอก็กลายเป็นขวัญใจ หรือผู้มีอิทธิพล Influencer ต่อความคิดของคน Gen Z ทันที

อันที่จริงการหลงใหลในอิทธิพลของใครสักคนมันไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นแต่มันอยู่ในสายเลือด ใน DNA ของคนไทยทุกยุคสมัย การ “ติ่ง” ศิลปิน “ติ่ง” คู่จิ้นของสาว Y มันครองโลกนี้มานานแล้วแต่เพิ่งจะมากล้าเปิดเผยกันในยุคปัจจุบัน สมัยก่อนมิตร ชัยบัญชา ตกเครื่องบินตาย สาวๆ น้องนางบ้านนาไม่เชื่อ จึงต้องเหมารถเหมาเรือมาดูที่วัดพระศรีฯ ด้วยตาตัวเองเป็นแสนๆ คน ผ่านมาแล้ว 55 ปี สาวๆ ก็ยังมีลักษณะคลั่งไคล้ในศิลปินที่พวกเขารักเหมือนเดิมเพียงแต่วิธีแสดงออกไม่หมือนเดิม หมดยุคการเก็บงำความรู้สึกอีกต่อไป แต่สิ่งที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งระหว่างติ่งมิตร ชัยบัญชา กับติ่งบิวกิ้น คือคนพวกนี้มีอำนาจการจ่ายสูงมาก นอกจากนั้น Gen Z ที่เป็น LGBTQ จะมีพลังความคิดสร้างสรรค์เป็นพิเศษทำให้พวกเขากลายเป็น Influencer ที่ยึดครองสื่อโซเชียลอยู่ในปัจจุบัน พวกนี้จึงสามารถกำหนดทิศทางความคิดของสังคมสมัยใหม่ได้ไม่ยาก รู้อย่างนี้แล้วบรรดานักการเมืองทั้งหลาย ถ้าเข้าหาเขาไม่ได้ก็ต้องไม่เป็นศัตรูกับอินฟลูเหล่านี้

หันมามองอีกมุมหนึ่งของคน Gen Z การเชื่อมั่นข้อมูลในโลกออนไลน์บนวุฒิภาวะที่ไม่เท่ากันย่อมส่งผลต่อการใช้ดุลพินิจที่ต่างกันก่อนกระทำการใดๆ ซึ่งบางครั้งเป็นผลย้อนกลับเชิงลบต่อตนเองและผู้อื่น จะเห็นว่าการชุมนุมในอินโดนีเซีย ในเนปาล มีการเผาทำลายทรัพย์สินของราชการ มีการทำร้ายเจ้าหน้าที่ มีการปล้นสะดมทรัพย์สินผู้อื่น อันเป็นความผิดกฎหมายโดยปกติสำหรับม็อบสมัยนี้ แต่ที่ไม่ปกติคือการทำร้ายร่างกายและการสังหารนักการเมืองที่ไม่มีทางต่อสู้อย่างโหดเหี้ยมผิดมนุษย์ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นผลย้อนกลับมาทำร้ายประเทศชาติและตัวผู้ก่อเหตุเองในภายหลัง

ระหว่างการชุมนุม ลักษณะเด่นของม็อบ Gen Z มักจะขับเคลื่อนการชุมนุมด้วยแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ไม่ว่าจะเป็นการนัดหมาย การทำกิจกรรม การปลุกเร้าและการสื่อสารที่มักส่งผลให้การชุมนุมมีลักษณะกระจายตัวแบบไร้แกนนำและการควบคุมจากส่วนกลาง คล้ายกับการชุมนุมในไทยห้วงปี 63-66 ที่ดูเหมือนไม่มีแกนนำแต่แท้จริงแล้วมีการวางแผนกำกับการชุมนุมและการสื่อสารกันในกลุ่มแชมที่ไม่เปิดเป็นสาธารณะ ส่งผลให้กิจกรรมการชุมนุมทั้งหลายมีลักษณะกระจายแต่สอดประสานได้อย่างมีพลัง

การชุมนุมที่ขับเคลื่อนด้วยแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียไม่อาจรอดพ้นเงื้อมือของ AI เพราะ AI มีความสามารถและความละเอียดในการป้อนข้อมูลไปที่มือถือของแต่ละคนแตกต่างกันตามผลการวิเคราะห์ความชอบของคนนั้นๆ จากนั้นก็จะเสริฟแต่ข้อมูลที่ชอบ ทำให้เกิดภาวะ echo chamber คือการได้รับข้อมูลซ้ำๆ ย้ำๆ ในทิศทางเดียวจนไม่เปิดใจรับข้อมูลของอีกฝั่งหนึ่ง ผลก็คือเกิดการเพิ่มระดับความรู้สึกนึกคิดของคนอย่างรวดเร็วจนขาดสติยับยั้งชั่งใจ นี่จึงเป็นคำอธิบายว่าทำไมคนที่แต่เดิมแค่ไม่พอใจ แต่ได้เปลี่ยนไปสู่ความเกลียด โกรธ แค้นจนถึงขั้นลงมือสังหารคนอื่นได้

การที่ใครสักคนหรือหลายคนร่วมกันจับคนขังในบ้านแล้วจุดไฟเผาทั้งเป็นในกรณีของเนปาล หรือการลอบยิงนายชาลี เคิร์ก ที่มหาวิทยาลัยยูทาห์ ถือเป็นความเลวร้ายของมนุษย์ผู้ก่อเหตุอย่างที่ไม่มีข้ออ้างใดๆ ที่รับฟังได้ แต่เชื่อว่าหากสาวลึกลงไปย่อมหนีไม่พ้นว่าผู้ก่อเหตุได้หมกมุ่นอยู่กับข้อมูลที่จงเกลียดจงชังเหยื่อจนสุดๆ ถึงขั้นลงมือทำ และนี่คือตัวอย่างง่ายๆ ตัวอย่างหนึ่งในด้านมืดของ AI

ในกรณีของการชุมนุมประท้วงที่เลยเถิดไปถึงการเผาสถานที่ การทำให้คนอื่นบาดเจ็บเสียชีวิต นอกจากเกิดความเสียหายต่อความเชื่อมั่นของประเทศตัวเองที่ไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไรจะกลับคืนมาแล้ว กลุ่มผู้ชุมนุมที่ก่อเหตุไม่ว่าจะเป็น Gen Z หรือรุ่นใด ในที่สุดแล้วตัวเองก็จะต้องรับผิดชอบตามกฎหมายในความผิดที่ก่อ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร กฎหมายก็จะตามไปเอาผิดตัวการ ผู้ก่อเหตุให้ต้องรับผิดอยู่ในเรือนจำ ในขณะที่ผู้บงการก็มักอาศัยช่องว่างในโซเชียลมีเดียหลบเลี่ยงความผิดไปได้เสมออันเนื่องมาจากความช่ำชองในการใช้เทคโนโลยีที่เหนือชั้นกว่า นี่จึงเป็นความเหลื่อมล้ำอีกประเภทหนึ่งที่ไม่เกี่ยวกับชนชั้นหรือเศรษฐกิจแต่เป็นความเหลื่อมล้ำในการใช้และเข้าใจเทคโนโลยี

และนี่ ! ก็คือด้านมืดอีกด้านหนึ่งของ

10/09/2025

เกิดอะไรขึ้นใน #เนปาล?

เกิดอะไรขึ้นใน  #เนปาล?        เนปาลวันนี้ มีการชุมนุมประท้วงของผู้คนในท้องถนนกลางกรุงกาฐมาณฑุ รายงานระบุเป็นการประท้วงข...
10/09/2025

เกิดอะไรขึ้นใน #เนปาล?

เนปาลวันนี้ มีการชุมนุมประท้วงของผู้คนในท้องถนนกลางกรุงกาฐมาณฑุ รายงานระบุเป็นการประท้วงของคน Gen Z กับชนชั้นกลางเนื่องจากผู้ชุมนุมส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่อายุยังน้อยจึงเห็นภาพของนิสิตนักศึกษา และนักเรียนในเครื่องแบบปะปนอยู่ในฝูงชน แต่เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาการชุมนุมประท้วงเริ่มทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อมีผู้ชุมนุมเสียชีวิต 19 คน จากการปราบปรามด้วยกระสุนปืนของเจ้าหน้าที่ ถึงวันนี้มีการเผาทำลายอาคารรัฐสภา ทำเนียบรัฐบาล ลุกลามไปสู่บ้านพักของนายกรัฐมนตรี ส่วนในตัวเมืองก็มีการปล้นสดมภ์ร้านค้า ผู้คนบนท้องถนนรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย ขณะที่สนามบินถูกปิด เหตุการณ์ลุกลามจนทำท่าว่าจะเอาไม่อยู่ จนทหารต้องเข้าควบคุมสถานการณ์แทนตำรวจ

มูลเหตุของการชุมนุมโดยพื้นฐานมาจากความไม่พอใจสะสมต่อนักการเมืองในซีกรัฐบาลปัจจุบันซึ่งมาจากพรรคอุดมการณ์ฝ่ายซ้ายแต่ตัวเองกลับแบ่งชนชั้น อีกทั้งยังเต็มไปด้วยคอรัปชั่น ส่วนประเด็นที่ถือเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้การชุมนุมประท้วงลุกลามเป็นความโกรธอย่างบ้าคลั่งคือการที่รัฐบาลสั่งระงับการให้บริการของ 26 แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยอดนิยม อย่าง WhatsApp Instagram Facebook X และ Youtube ซึ่งแม้ว่ารัฐบาลจะยกเลิกคำสั่งภายหลังแต่ก็เอาฝูงชนไม่อยู่เสียแล้ว

ความโกรธแค้นของผู้ชุมนุม มาจากการได้รับรู้ถึงความเป็นอยู่ที่หรูหราฟุ่มเฟือยของบรรดาลูกหลานนักการเมืองในขณะที่คนหนุ่มสาวในเจนเดียวกันต้องตกงาน และกินอยู่อย่างลำบาก ความไม่พอใจอันเนื่องมาจากความเหลื่อมล้ำของชนชั้นสะท้อนได้จากการเผาบ้านพักของนายกรัฐมนตรี ทั้งอดีตและปัจจุบัน การเผาทั้งเป็นภรรยาของอดีตนายก การไล่เตะต่อยทุบตีรัฐมนตรีคลังแล้วจับเปลื้องผ้าแห่ประจานกลางถนน การทุบตีรัฐมนตรีต่างประเทศที่เป็นผู้หญิง เหล่านี้เป็นพฤติกรรมความรุนแรงอย่างที่ไม่เคยปรากฏในการชุมนุมที่อื่นในห้วงเวลาใกล้เคียงกันไม่ว่าจะเป็นอินโดนีเซีย บังกลาเทศ หรือฟิลิปปินส์ จึงเป็นลักษณะเฉพาะที่ต้องอธิบายด้วยการเมืองเนปาล

แต่เดิมเนปาลปกครองด้วยระบอบกษัตริย์มากว่า 200 ปีย้อนหลัง จนกระทั่งเกิดสงครามกลางเมืองระหว่างพวกนิยมระบบกษัตริย์กับพวกนิยมคอมมิวนิสต์ลัทธิเหมาในห้วงปี 2539-2549 ซึ่งระหว่างนี้ในปี 2544 ได้เกิดเหตุฆาตกรรมหมู่สังหารกษัตริย์และราชวงศ์เนปาลไป 9 พระองค์ในคราวเดียวโดยรัฐบาลอ้างว่าองค์รัชทายาทเป็นผู้ลงมือสังหารแล้วฆ่าตัวตายตามแต่จนบัดนี้คดีก็ยังเป็นที่กังขาว่าเป็นการสมคบคิดของผู้ต้องการล้มล้างสถาบันหรือไม่

อย่างไรก็ตามในปี 2549 ฝ่ายคอมมิวนิสต์ก็เป็นฝ่ายชนะ ได้อำนาจปกครองประเทศแล้วประกาศล้มล้างระบอบกษัตริย์กับเปลี่ยนประเทศเป็นสาธารณรัฐภายใต้ประธานาธิบดีในปี 2551 แต่หลังจากนั้นมาการเมืองเนปาลก็ยังไม่มีเสถียรภาพ แย่งกันเป็นรัฐบาลระหว่าง 3 พรรคการเมือง คือเนปาลคองเกรสซึ่งเป็นสังคมนิยม พรรคคอมมิวนิสต์สายมาร์กซ์-เลนิน และพรรคคอมมิวนิสต์สายเหมา

อธิบายสั้นๆ ” สังคมนิยม“ นั้นคือระบบเศรษฐกิจที่ตรงข้ามกับ “ทุนนิยม” ในขณะที่ “คอมมิวนิสต์” คือระบบการปกครองที่ตรงข้ามกับ “ประชาธิปไตย” หากเปรียบเทียบกัน คอมมิวนิสต์มุ่งเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมในอุดมคติด้วยวิธีการปฏิวัติ ส่วนสังคมนิยมนั้นจะเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่สำหรับคอมมิวนิสต์เองก็ยังต่างกันอีกโดยมาร์กซ์-เลนินมุ่งปฏิวัติด้วยชนชั้นแรงงานในเมืองแต่เหมามุ่งปฏิวัติด้วยชนชั้นเกษตรกรในชนบทล้อมเมือง

แต่ในกรณีของเนปาล หลังจากล้มระบอบกษัตริย์ไปแล้ว การเมืองเนปาลก็ผูกขาดโดยฝ่ายซ้าย แม้ว่าจะมีช่วงหนึ่งเป็นประชาธิปไตยที่สถาบันกษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญแต่ประชาธิปไตยเนปาลก็เดินไปไม่ราบรื่น เพราะมีบางช่วงที่กษัตริย์รวบอำนาจไว้ที่ตัวเอง ยิ่งกว่านั้นระบบอภิสิทธิ์ชนกับชั้นวรรณะได้ทำให้กลุ่มลัทธิเหมาได้รับความนิยมในชนบทและประชาชนส่วนใหญ่ จนกระทั่งพรรคคอมมิวนิสต์ครองเสียงข้างมากซึ่งระหว่างนี้ นโยบายรัฐสวัสดิการและการสนับสนุนปัจจัยพื้นฐานได้ทำให้ระบบชนชั้นในเนปาลลดลงแล้วชนชั้นกลางเติบโตขึ้น แต่ในที่สุดแล้วผลประโยชน์ก็คือสัจธรรม พรรคคอมมิวนิสต์แตกกันเอง เกิดการแยกจับขั้วกับพรรคอื่น มีมุ้งเล็ก มีงูเห่าในพรรคที่รับผลประโยชน์ข้างนอก ความขัดแย้งทางการเมืองทำให้ประชาชนเบื่อหน่าย ผลก็คือ ทำให้พรรคแนวขวาเริ่มแทรกเข้ามาได้ในขณะที่ฝ่ายซ้ายเริ่มเสื่อมความนิยม จนเมื่อเดือนมีนาคมปีนี้เองที่กษัตริย์ชญาเนนทราที่เป็นสามัญชนแล้วลี้ภัยอยู่ต่างประเทศตัดสินใจเดินทางกลับเนปาลทำให้เกิดกระแสว่าจะมีการรื้อฟื้นระบอบกษัตริย์ขึ้นมาอีก

อย่างไรก็ตาม การที่มีข่าวว่าการชุมนุมประท้วงของคนเจน Z ครั้งนี้เป็นไปเพื่อเรียกร้องให้ระบอบกษัตริย์กลับมาน่าจะเป็นการถือโอกาสปล่อยข่าวของฝ่ายขวามากกว่าเพราะจริงๆ แล้วพรรคฝ่ายขวายังได้เสียงในสภาไม่มาก ในขณะที่ประชาชนเนปาลส่วนใหญ่ยังยืนอยู่ในแนวซ้าย อีกทั้งคนรุ่นใหม่และชนชั้นกลางมีแนวโน้มที่จะไม่สนับสนุนทั้งฝ่ายซ้ายและขวาแต่จะเข้มข้นในการตรวจสอบนักการเมืองที่ทุจริตคอรัปชั่นมากกว่า และจะสนับสนุนนักการเมืองรุ่นใหม่อย่างอดีตแร็ปเปอร์ที่มีผู้ติดตาม IG ถึง 8 แสนคน

ดังนั้นการที่พวกเขาถูกปิดกั้นจากการใช้โซเชียลมิเดียจึงเหมือนกับการถูกยึดเครื่องมือหากิน จึงมีอารมณ์โกรธแค้นได้มากอย่างที่เห็น

ขณะนี้นายกรัฐมนตรีเนปาลได้ลาออกไปแล้ว จึงอยู่ที่ประธานาธิบดีว่าจะสรรหานายกรัฐมนตรีคนใหม่มาบริหารสถานการณ์วิกฤตนี้ให้คลี่คลายลงได้อย่างไร สำหรับประเทศไทยเรา เคยผ่านเหตุการณ์คล้ายๆ กันมาแล้วห้วงปี 2563-2566 อาจไม่รุนแรงเท่าเนปาลแต่บทเรียนได้สอนว่าไม่ควรละเลยเสียงของคนรุ่นใหม่ ถึงเวลาที่ต้องปรับระบบเศรษฐกิจและการศึกษาให้เข้ากับคนรุ่นใหม่ที่เกิดมาพร้อมกับเทคโนโลยี ต้องสร้างระบบการเมืองให้เขาได้เป็นเจ้าของร่วมกับลดระบบอภิสิทธิ์ชนเพื่อทอนความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้าง

และที่สำคัญที่สุดคือ ทำตอนนี้ อย่ารอให้ #ฟางเส้นสุดท้ายมาถึง

03/09/2025

กำลังอำนาจของชาติ..ถูกท้าย
แต่ #ประเทศไทย ยังเข้มแข็ง

ตอนที่ 2 #พรรคสีแดง #พรรคสีน้ำเงิน #พรรคสีส้ม
#ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี #ยุบสภา #เขมร #รัฐบาลสี่เดือน #รัฐบาลใหม่

03/09/2025

กำลังอำนาจของชาติ..ถูกท้าย
แต่ #ประเทศไทย ยังเข้มแข็ง

ตอนที่ 1 #ยุบสภา #นายกรัฐมนตรีคนที่32 #พลังอำนาจชาติ #ประชาธิปไตย

กำลังอำนาจของชาติ..ถูกท้าทายแต่ประเทศไทยยังเข้มแข็ง..     ในหลักสูตรของ วปอ. จะมีคำๆ หนึ่งที่นักศึกษา วปอ.รู้จักกันดีคือ...
03/09/2025

กำลังอำนาจของชาติ..ถูกท้าทาย
แต่ประเทศไทยยังเข้มแข็ง..

ในหลักสูตรของ วปอ. จะมีคำๆ หนึ่งที่นักศึกษา วปอ.รู้จักกันดีคือคำว่ากำลังอำนาจของชาติ หรือ National Power มันคือ ความสามารถของชาติในการทรงอิทธิพลเหนือจิตใจคนอื่น หรือชาติอื่น พูดง่ายๆ ก็คือความสามารถในการทำให้ผลประโยชน์ของชาติทั้งหลายยังอยู่ครบไม่บุบสลายหายไป

แต่ตอนนี้มันเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นมากมายราวกับว่าเราไม่สามารถจัดการกับผลประโยชน์ของชาติได้อย่างที่ควร อธิปไตยเหนือดินแดนถูกท้าทาย ประชาชนถูกกระทำให้บาดเจ็บเสียชีวิต ทหารถูกลอบกัดวางระเบิดให้เสียแข้งขา เกียรติภูมิของชาติถูกทำลายโดยผู้นำที่ขาดจริยธรรม การเมืองก็อ่อนแอ แม้แต่รัฐบาลที่จะมาดูแลประเทศและประชาชนยังตั้งไม่ได้ แต่ถึงได้มาก็ใช่ว่าจะสามารถทำอะไรได้ในเวลา 4 เดือน นอกจากเคลียร์คดีส่วนตัวให้กลับเป็นฝ่ายได้เปรียบกับการย้ายข้าราชการกลับไปสู่จุดเดิมที่พวกตัวเองวางไว้

ที่ว่ามา ดูเหมือนพลังเราจะตกไป จริงหรือไม่
“หมาแก่” เห็นภาพฮุน มาเนตในเวที Shanghai Coorperation ก็ตาตื่นหาว่าจีนไม่อุ้มเราแต่ไปอุ้มเขมร ส่วนอาจารย์สุรชาติก็ว่า “โลกไม่ช่วยเรา โทษว่าการทูตเราอ่อนแอ เล่นแต่เกมรับ ให้หยุดจินตนาการได้แล้วที่ว่าจะใช้พลังอำนาจทางทหารที่เหนือกว่ามาบีบให้เขมรยอมมาเจรจาทวิภาคี”

ดูจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบวกกับความเห็นของสื่อและนักวิชาการบางคนยิ่งทำให้หลายคนจิตตก รู้สึกไปว่ากำลังอำนาจของเราลดลง ทั้งที่ในข้อเท็จจริงไม่เป็นได้เป็นเช่นนั้น ประเทศชาติก็เหมือนร่างกายคน อาจมีช่วงเจ็บป่วยไม่สบายทำให้อ่อนแอลงบ้างแต่ไม่นานก็ฟื้นคืน เราอาจเสียขวัญบ้างกับความสูญเสียที่คาดไม่ถึงแต่ไม่นานก็ฟื้นคืนและทวงคืนความชอบธรรมด้วยปฏิบัติการทางทหารในห้วง 24-29 กรกฎาคม ได้พื้นที่ที่เคยถูกยึดครองอย่างไม่ชอบธรรมกลับคืนมา

การฟื้นคืนได้อย่างรวดเร็ว (resilience) แสดงว่าขีดความสามารถของเรายังดีอยู่ และหากมองในแง่องค์ประกอบของกำลังอำนาจแห่งชาติ ด้านการทหาร ด้านเศรษฐกิจ ของเรายังแข็งแกร่ง แต่ด้านการเมือง กับการทูตและต่างประเทศ อาจดูแผ่วไปบ้างเพราะมีการใช้ระบบเครือญาติและพวกพ้อง cronyism เข้ามาเป็นหัว ซึ่งถ้าหากสามารถกำจัดเครือข่ายของตระกูลนี้ออกไปได้ การเมืองก็จะเข้มแข็งขึ้น การต่างประเทศก็จะมั่นคงเชื่อถือได้ ไม่อิงแอบกับความสัมพันธ์ส่วนตัวและผลประโยชน์ที่ซ่อนเร้น

ยิ่งถ้ามององค์ประกอบทางด้านสังคมจิตวิทยา ประชาชนของเราเป็นปึกแผ่นและมีความภาคภูมิใจในชาติมาก เห็นได้ชัดตอนมีการสู้รบกับเขมร จิตใจของทหารไทยนั้นได้เลย ส่วนคนไทยเราก็เต็มที่ ขอเพียงเอ่ยออกมา ธารน้ำใจก็หลั่งไหลเอ่อจนต้องขอให้หยุด

อีกมุมหนึ่งที่เห็นได้ชัดว่ากำลังอำนาจของชาติยังแข็งแกร่ง คือ ความเข้มแข็งของระบบ ดังจะเห็นว่าการพบปะกันของผู้นำตัวจริงอย่างทักษิณกับธนาธรหรืออนุทินกับธรรมนัสนั้นไม่อาจรอดพ้นสายตาของสื่อจนต้องเปิดเผยต่อสาธารณะ เช่นเดียวกับการพบปะเพื่อจัดตั้งรัฐบาลระหว่างพรรคเพื่อไทยกับประชาชนก็ดีหรือพรรคภูมิใจไทยกับพรรคประชาชนก็ดี ล้วนกระทำท่ามกลางการรู้เห็นของสาธารณะผิดกับสมัยก่อนที่ประชาชนไม่มีโอกาสได้รู้เห็น สิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงความโปร่งใสและแข็งแกร่งขึ้นของประชาธิปไตยกับเสรีภาพของสื่อในไทย เมื่อประชาชนรู้เห็นทุกขั้นตอนก็สามารถให้คะแนนนักการเมืองในใจของตนเองได้ทำให้ระบบการตรวจสอบเข้มข้นขึ้น ต่อไปนี้นักการเมืองที่สามารถฝ่าด่านนี้ไปได้ย่อมอยู่บนสมมุติฐานว่าต้องเป็นนักการเมืองน้ำดี

การเมืองไทยตอนนี้มาถึงยุค 3 ก๊ก คือ ก๊กแดง ก๊กส้ม และก๊กน้ำเงิน ก๊กแดงเพลี่ยงพล้ำหนักเพราะอยู่ในร่มเงาคนตระกูลเดียวจึงขาดอิสระในการตัดสินใจบนพื้นฐานข้อมูลที่จริงและรอบด้าน ก๊กส้มระบบการตัดสินใจดีกว่าก๊กอื่นแต่สมาชิกขาลอยมีความโดดเด่นแต่เปลือกนอกแต่ข้างในขาดประสบการณ์เมื่อเข้ามาทำงานจริงก็จะเหมือน Elon musk ที่อยู่ไม่นานก็ต้องไป ส่วนก๊กน้ำเงิน แกนนำเก่งและดูพร้อมที่สุดแต่เบื้องหลังมีลูกตุกติกที่ทำให้ประชาชนไม่ค่อยไว้วางใจ ไม่ว่าจะอย่างไรการเมืองบ้านเราติดหล่มอยู่กับคำว่า “ต้องกันไม่ให้ส้มขึ้น” จึงต้องจำยอมเปิดโอกาสให้คนไม่สุจริต+ขาดจริยธรรมมาบริหารประเทศจนเกิดความเสียหายต่อบ้านเมืองไม่น้อยกว่าความเสียหายที่ถูกคาดการณ์ไว้หากว่าส้มได้ขึ้นมา

หากจะแก้ปัญหาการเมืองช่วงนี้จึงอยู่ที่การปลดทิ้งระบอบครอบครัวและพวกพ้องที่ครอบงำการเมืองไทยมาหลายสิบปีออกไป ขณะเดียวกันฝ่ายอนุรักษ์เชิงจารีตก็ต้องคลายล็อคพรรคที่ประชาชนเลือกมาบ้างกับต้องไว้วางใจประชาชนว่ามีวุฒิภาวะพอที่จะจัดการกับพรรคที่หากได้อำนาจรัฐแล้วยังพยายามทำในสิ่งที่ขัดต่อเจตนารมณ์ของประชาชน
สำหรับพรรคส้มแล้ว อันที่จริงมีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถมากพอสมควร ถ้าหากยอมลดทิฏฐิลงบ้างโดยยอม ”ทำตาม“ เสียงส่วนใหญ่แทนที่จะไป”เปลี่ยน“ ความคิดเขาตามความเชื่อตัวเองก็น่าจะมีโอกาสได้เข้าไปแสดงฝีมือทางการบริหารให้เป็นที่ประจักษ์บ้าง

การเมืองไทยวันนี้มาถึงจุดวิกฤตตรงที่พรรคส้มประกาศสนับสนุนหัวหน้าสีน้ำเงินเป็นนายกแต่ตัวเองขอเป็นฝ่ายค้านต่อไปซึ่งจะทำให้เกิดรัฐบาลเสียงข้างน้อย เนื่องจาก 2 พรรคอันดับ 1,2 ต่างเป็นฝ่ายค้าน แต่การที่พรรคสีแดงเลือกยุบสภาทั้งที่รู้อยู่ว่ามีปัญหาที่ยังไม่เป็นที่ยุติว่านายกรักษาการทำได้หรือไม่ กรณีนี้จึงเห็นเจตนาชัดว่าต้องการโยนภาระไปที่สถาบันซึ่งเป็นการไม่บังควรยิ่งที่จะดึงสถาบันลงมายุ่งกับการเมือง

โชคยังดีที่กำลังอำนาจของชาติยังแข็งแกร่งพอรับมือกับความท้าทายข้างต้น สมัยก่อนกำลังอำนาจของชาติทุกๆ ด้านรวมอยู่ใต้พระบารมีของพระมหากษัตริย์ ดังนั้นการที่ชาติมีความมั่นคงอยู่โดยปราศจากภัยคุกคามทุกด้านจึงเป็นเพราะพระบารมีปกเกล้าที่ทรงบัญชาการกำลังอำนาจทางทหารได้เป็นอย่างดีจนพระราชอาณาเขตแผ่ไปไพศาลมากกว่าเขตพรมแดนในปัจจุบันมากนัก น้อยคนจะรู้ว่าสมัยก่อนไทยรบกับญวนยาวนานถึง 15 ปีในพื้นที่ของเขมร และเราก็ใช้คนเขมรนี่แหล่ะมาเป็นกำลังรบให้เรา ร่องรอยความเกรียงไกรของกำลังอำนาจทางทหารไทยยังมีหลงเหลือให้เห็นมากมายในปัจจุบัน จนกระทั่งอำนาจของตะวันตกแผ่เข้ามากดทับ ทำให้เพื่อนบ้านอย่างเขมร ญวน ลาว ต้องสูญเสียเอกราชในขณะที่ไทยยังเป็นไทอยู่ได้บนอาณาเขตที่เหลือเท่าในปัจจุบัน

วันนี้ กำลังอำนาจของชาติเปลี่ยนแปลงไป ความมั่นคงของชาติไม่ได้ขึ้นอยู่กับกำลังอำนาจทางทหารเท่านั้น หากแต่ปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง ต่างประเทศ และเทคโนโลยีนั้นกลับมีผลมากขึ้นต่อการรักษาความมั่นคงของชาติ ดังนั้นอำนาจการจัดการจึงเปลี่ยนมือมาที่รัฐบาลที่ต้องบริหารปัจจัยทั้งหลายที่ประกอบเป็นกำลังอำนาจของชาติให้เป็นเครื่องมือที่ดีที่จะรักษาความมั่นคงของชาติ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้วจึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องทำการเมืองให้มีเสถียรภาพ โดยที่ไม่โยนภาระกลับไปที่สถาบันอีก มีแต่จะต้องบริหารประเทศให้ก้าวหน้าแล้วตอบแทนบุญคุณของสถาบันที่ทรงดูแลบ้านเมืองมาในอดีต

ปัญหาเร่งด่วนอีกประการหนึ่งของบ้านเมืองคือเรื่องความขัดแย้งกับเขมรซึ่งในช่วงที่ไทยวุ่นวายอยู่กับปัญหาการเมืองภายใน เขมรก็ฉวยโอกาสสร้างภาพในเวทีโลก ทำนองฟ้องว่าไทยรังแกประเทศเล็กซึ่งแม้จะไม่มีผลในเวทีระหว่างประเทศแต่ในแง่จิตวิทยามันก็ได้ทำร้ายจิตใจคนไทยไปไม่น้อย รัฐบาลใหม่ที่มีเวลา 4 เดือนจะจัดการปัญหานี้ให้จบลงได้หรือไม่เพราะไม่มีประเทศใดในโลกนี้ที่จะได้กำไรจากการทำสงครามยืดเยื้อ แต่ในการจัดการกับเขมรบางทีก็ใช้ไม้นวมมากไปก็อาจไม่ได้ผล สันติวิธีอาจใช้ไม่ได้กับคนบางจำพวก ต้องขอยืมคำอดีตประธานาธิบดีรูสเวลท์ ของสหรัฐมาใช้ว่า “หากผมต้องเลือก ระหว่างสันติภาพกับความถูกต้องชอบธรรม ผมขอเลือกความถูกต้องชอบธรรม” If I must choose between peace and righteousness,I choose righteousness..
Theodore Roosevelt

12/08/2025

ต่อกันที่ EP.2

ฮุนเซน ..กำลังเล่นเกมใหญ่
ใครจะถอดชนวนความขัดแย้งลงได้ ..ก่อนบานปลาย

#ฮุนเซน #เขมร #ปราสาทพระวิหาร #ความสัมพันธ์ไทยกัมพูชา #การเมืองระหว่างประเทศ #ศาลโลก #ยุทธศาสตร์อินโดแปซิฟิก #สหรัฐกับจีน

12/08/2025

ฮุนเซน ..กำลังเล่นเกมใหญ่
ใครจะถอดชนวนความขัดแย้งลงได้ ..ก่อนบานปลาย Ep.1

#ฮุนเซน #เขมร #ปราสาทพระวิหาร #ความสัมพันธ์ไทยกัมพูชา #การเมืองระหว่างประเทศ #ศาลโลก #ยุทธศาสตร์อินโดแปซิฟิก #สหรัฐกับจีน

ฮุนเซน ..กำลังเล่นเกมใหญ่       ใครจะถอดชนวนความขัดแย้งลงได้ ..ก่อนบานปลาย      วันนี้ ทหารไทยเหยียบกับระเบิดอีกแล้ว ครา...
12/08/2025

ฮุนเซน ..กำลังเล่นเกมใหญ่

ใครจะถอดชนวนความขัดแย้งลงได้ ..ก่อนบานปลาย

วันนี้ ทหารไทยเหยียบกับระเบิดอีกแล้ว คราวนี้ที่ตาเมือนธม ขอแสดงความเสียใจกับผู้สูญเสียและครอบครัว เราไม่ควรต้องสูญเสีย ถ้าเขมรยอมรับข้อตกลงเรื่องการไม่ใช้ทุ่นระเบิดรวมทั้งเคารพอนุสัญญาออตตาวา แต่ในเมื่อเขาไม่เคารพข้อตกลงก็ถึงเวลาที่เราต้องเริ่มใช้มาตรการป้องกันตัวเองบ้างมั้ย ! แต่ที่ทุกวันนี้เราทำอะไรไม่ถนัด เกร็งไปหมด พอเขาทำเราไม่มีหลักฐานแต่พอเราตอบโต้บ้างกลับมีหลักฐาน เพราะทีมแบ็คอัพเราไม่เก่ง หัวก็ไม่มีสัญญาณ ทำให้เรายังไม่เคยได้เปรียบในเวทีต่างประเทศ

มาย้อนดูท่าทีของเขมรที่ผ่านมา น่าสังเกตว่าเขมรนั้นเชื่อฟังสหรัฐในการหยุดยิงกับไทยอย่างง่ายดายทั้งที่ก่อนหน้านี้จะเป็นจะตาย จะตู่เอาปราสาทให้ได้ถึงกับไปฟ้องศาลโลก พอเห็นว่าศาลไม่ยอมรับฟ้องเสียที ก็มาเร่งกระบวนการยั่วยุด้วยการลอบวางกับระเบิดให้ทหารไทยเจ็บตายเพื่อขยายความขัดแย้งไปสู่การขัดกันด้วยอาวุธ หรือ armed conflict ให้จงได้เพื่อศาลจะได้มีข้ออ้างในการรับฟ้อง จะเห็นว่าการใช้ลูกซองยักษ์ หรือจรวด BM 21 ยิงสาดเข้ามาในฝั่งไทยแม้เล็งเป้าเล็กไม่ได้ แต่เป้าใหญ่นั้นเล็งได้ เหมือนการเอาลูกซองยิงเข้าไปในตลาดที่กำลังมีคนจับจ่ายซื้อของ ยังไงก็ต้องโดนคน กรณีนี้ก็เช่นกัน หากหันปืนไปทางปั้มน้ำมันและชุมชนรอบๆ มันก็ย่อมคาดหมายได้ว่าจะถูกเป้าหมายพลเรือน ซึ่งการที่รัฐไทยฟ้องคดีว่ามีประชาชนผู้บริสุทธิ์ล้มตายนั้น ด้านหนึ่งเราก็ได้ดำเนินคดีกับอาชญากรสงครามซึ่งชอบแล้ว แต่อีกด้านหนึ่งกลับเป็นการสร้างหลักฐานให้กัมพูชาเอาคำฟ้องเราไปใช้ยืนยันว่าได้เกิด armed conflict ขึ้นจนทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ต้องเดือดร้อนจริง ศาลจึงมีเหตุผลในการรับคดีตู่เอาปราสาทของเขมรมาพิจารณาได้ จะเห็นว่าทุกเหตุการณ์ ทุกการกระทำของเขมรล้วนมีจุดมุ่งหมายในการเก็บหลักฐานไปสู่การเอาชนะไทยในศาลโลก

สรุปแล้วเขมร “ตั้งใจ” ยิงประชาชนไทยหรือไม่? เพื่อชี้ให้เห็นว่าเรื่องการแย่งเอาปราสาทและดินแดนเป็นกรณีขัดแย้งระดับรัฐที่สำคัญและรุนแรงถึงขั้นมีประชาชนผู้บริสุทธิ์ล้มตาย ..แมร่ง เkี้ย จริง !

เขมรก้าวร้าวมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร? ตอบว่าเพราะมั่นใจว่ามีอำนาจใหญ่หนุนหลัง สมัยนายกฮุนเซน เขมรไม่เอาอเมริกาแล้วโปรจีน แต่พอมาถึงรุ่นลูก คือ ฮุน มาเนต ที่มีดีกรีเวสต์ป้อยต์ กำลังเปลี่ยนไปทางอเมริกาซึ่งแน่นอนว่าจีนที่สนับสนุนเขมรมาตลอดย่อมไม่พอใจ และนี่ไงที่เขาเรียกลิ้นสองแฉกตามพงศาวดารว่าไว้ไม่มีผิด

อันที่จริง ระยะหลังจีนก็ทำอะไรที่ไม่สบอารมณ์ตระกูลฮุนหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการสั่งระงับการลงทุนและการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ในสีหนุวิลล์จนแทบกลายเป็นเมืองล้าง และการสั่งตัดงบสนับสนุนการขุดคลองฟูนันเตโช ส่วนทางสหรัฐนั้นแม้จะถือข้อมูลธุรกิจฉ้อฉลออนไลน์ของครอบครัวตระกูลฮุน แต่คนมีเล่ห์อย่างทรัมป์ก็คงพร้อมที่จะแลกดีลความมั่นคงเพื่อให้เขมรผละจากจีนมาที่สหรัฐซึ่งจะเป็นการสร้างผลงานให้ทรัมป์เด่นกว่าสมัยไบเดน

พล็อตของเรื่องนี้จึงเริ่มจากการทาบทามให้เรือรบ USS Savannah ของสหรัฐเข้าเทียบท่าเรือสีหนุวิลล์เมื่อเดือนธันวาคม ปี 2567 ตามด้วยการเสนอจากฝ่ายกัมพูชาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาในการรื้อฟื้นการซ้อมรบร่วมระหว่างสหรัฐกับกัมพูชา จากนั้นในปลายเดือนพฤษภาคม ปลัดกลาโหมกัมพูชากับผู้ช่วยรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐก็พบกับที่สิงคโปร์เพื่อปูทางสู่การมาเยือนกัมพูชาของ Pete Hegseth รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐ ซึ่งมีข่าวที่ว่าวันที่ 25 สิงหาคม นี้ และจะตามมาด้วยการนำเรือรบขนาดใหญ่มาเทียบท่าเรือเรียม และการฝึกซ้อมรบร่วมกันต่อไป

อันที่จริงสหรัฐกับกัมพูชา มีแผนที่จะซ้อมรบร่วมกันตั้งแต่ปี 2560 แต่ก็เป็นกัมพูชา ที่เป็นฝ่ายยกเลิกแล้วหันไปซ้อมรบกับกองทัพประชาชนจีนแทนในเวลาไล่เลี่ยกันทำให้สหรัฐเสียหน้าและไม่สนใจกัมพูชาตั้งแต่นั้น อันเป็นการเปิดพื้นที่ให้จีนเข้ามาลงทุนปรับปรุงท่าเรือน้ำลึกเรียมในปี 2565 ซึ่งตอนนั้นมีข่าวว่าฮุนเซนแอบทำสัญญาลับกับจีนให้มาใช้ท่าเรือเรียมเป็นฐานทัพเรือได้เป็นเวลา 30 ปี ซึ่งแม้ว่าฮุนเซนกับรัฐบาลกัมพูชาจะปฏิเสธว่าไม่เคยอนุญาตให้กองทัพต่างชาติมาใช้ท่าเรือดังกล่าวเป็นฐานทัพแต่การมาลงทุนขุดลอกท่าจอดเรือน้ำลึกยาวถึง 300 เมตร กับสร้างอาคารและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ มันบ่งบอกถึงบทบาทและความสำคัญของจีนที่ท่าเรือแห่งนี้

ความไม่ลงรอยระหว่าง 2 ผู้ยิ่งใหญ่ของเขมร คือ ฮุนเซนกับเตียบัน นั้นมีอยู่จริงมิฉะนั้นฮุนเซนคงไม่ต้องรออยู่นานกว่าที่จะเคลียร์จบส่งอำนาจให้ลูกชายได้เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งแม้ว่าฮุนเซนจะแก้ปัญหาด้วยการให้ลูกชายของเตียบัน เป็นรัฐมนตรีกลาโหมคู่กันไป แต่ความไม่ลงรอยกลับลงไปสู่รุ่นลูก จะเห็นว่าในขณะที่นายกฮุน มาเนต พยายามดึงฝ่ายทหารสหรัฐเข้ามาที่ท่าเรือเรียม เตีย เซ็ยฮาซึ่งยังโปรจีน ก็ออกมาเบรกว่าท่าเรือเรียมไม่ได้เปิดให้ทหารต่างชาติทั้งหมด ยังต้องมีพื้นที่สงวนไว้สำหรับกองทัพเรือกัมพูชา

หลังจากเรือรบสหรัฐมาจอดที่สีหนุวิลล์เมื่อปลายปีที่แล้ว ก็มีเรือรบของญี่ปุ่นและเวียดนามมาจอดที่ท่าเรือเรียม (ท่าเรือสีหนุวิลล์อยู่ห่างจากท่าเรือเรียมประมา 30 กิโลเมตร) เมื่อเดือนเมษายน แต่หลังจากนั้นญี่ปุ่นก็ออกมาพูดในทำนองว่าการมาของเรือรบญี่ปุ่นไม่ได้เป็นการยืนยันว่าจีนจะไม่ใช้ท่าเรือเรียมเป็นฐานทัพ

การที่ทรัมป์สั่งตัดงบสนับสนุนวิทยุ Voice of America กับ Radio Free Asia ถือเป็นการประนีประนอมเพื่อปรับปรุงความสัมพันธ์กับกัมพูชาซึ่งเรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นในสมัยไบเดนที่เวลาเกลี้ยกล่อมประเทศใดไม่สำเร็จก็จะบีบด้วยการใช้สื่อกับ NGO โจมตีรัฐบาลนั้นว่าละเมิดสิทธิมนุษยชน แต่ทรัมป์ไม่ใช่แบบนั้น เขายอมลดศักดิ์ศรี ลดหลักการ ยอมเป็นคนกลับไปกลับมาเพียงเพื่อเอาชนะเป้าหมายซึ่งลักษณะนี้ตรงกับฮุนเซน ที่ยอมหักกับเขมรแดงที่อุ้มชูตัวเองมา ยอมแตกกับอาเซียนเรื่องทะเลจีนใต้ และยอมแตกกับทักษิณเพื่อผลประโยชน์ชาติ ทั้งทรัมป์และฮุนเซนต่างเป็นนักยุทธศาสตร์บนพื้นฐานของความเป็นจริงที่จับต้องได้ ถ้าหากทรัมป์ต้องการมีใบหน้าตัวเองสลักบนเขารัชมอร์เป็นประธานาธิบดีคนที่ 5 ฮุนเซนก็คงอยากเป็นอัครมหาเดโชที่ยิ่งใหญ่เทียบกับกษัตริย์เขมรในอดีต

สัญญาณความสำเร็จในการดีลระหว่างสหรัฐกับกัมพูชาอยู่ที่ตัวเลขภาษีนำเข้าสหรัฐของกัมพูชาที่ลดลงจากร้อยละ 49 หรือ 36 เหลือ 19 กับการที่กัมพูชายอมเชื่อฟังสหรัฐในการหยุดยิงกับไทยทันที นอกจากนั้นการที่กัมพูชาออกตัวแรงสนับสนุนให้ทรัมป์ได้รางวัลโนเบลก็เป็นการยืนยันที่ดีเช่นกัน ดังนั้น ต่อนี้ไปจะได้เห็นการกลับมามีอิทธิพลในกัมพูชาของสหรัฐ ตั้งแต่การเยือนของผู้นำระดับสูง การเข้ามาของกองเรือแปซิฟิกของสหรัฐและการซ้อมรบร่วมกัน

ฮุนเซนต้องทราบดีว่าการดึงเอาสหรัฐเข้ามาย่อมสร้างความไม่พอใจให้จีน แต่เขาก็รู้ดีว่าตัวเองมีหมากอะไรไปต่อรองกับจีน อย่างน้อยกัมพูชาก็อยู่ในเส้นทางหลักของโครงการ BRI ถ้ากัมพูชาไม่ร่วมมือโครงการก็ไปต่อยาก นอกจากนั้นกัมพูชายังสามารถร่วมมือกับเวียดนามที่เป็นพันธมิตรกับสหรัฐในทิศทางที่เป็นคุณหรือเป็นโทษกับจีนได้

สำหรับไทย การที่เขมรกล้าต่อกรกับไทยทั้งที่รู้ว่าเป็นฝ่ายเสียเปรียบเป็นเพราะฮุนเซนรู้ดีว่าสามารถดีลกับสหรัฐได้แล้วนี่เอง การที่ฮุนเซนเคยพูดว่าหากไม่เอาเรื่องขึ้นศาลโลกชายแดนไทย-กัมพูชาจะเป็นเหมือนกาซ่านั้น มันจึงไม่ใช่การขู่ที่เกินจริงแต่เป็นเพราะเขารู้ดีว่าเขาสามารถดึงเอาสหรัฐและจีนมาอยู่ข้างหลังสงครามนี้ได้และเมื่อนั้นการสู้รบย่อมรุนแรง ขยายวงและยืดเยื้อเหมือนกาซ่า

ในขณะที่ผู้นำเขมรวางแผนไปไกลถึงขั้นเอาศาลโลกมาข่มไทยอีกครั้งเพื่อย้ำบาดแผลเดิม กับไปดีลลับดึงเอามหาอำนาจมาเป็นพันธมิตร ผู้นำของเรากลับทำในสิ่งที่เป็นเหตุให้ต้องถูกพักการปฏิบัติหน้าที่และต้องใช้ผู้รักษาการประคองสถานการณ์ไป ทั้งนี้ผู้นำเขมรที่เจ้าเล่ห์และมากด้วยประสบการณ์พอจะคิดเกมแบบนี้ได้ย่อมไม่ใช่ฮุนผู้ลูก แต่คือฮุน เซน ในขณะที่คนอย่างทรัมป์ก็แพรวพราวพอที่จะคิดถึงผลประโยชน์ของอเมริกาก่อนอื่นใด และเขาจะไม่ไว้ใจเขมรง่ายๆ เพราะวันหนึ่งอาจเปลี่ยนใจอีก ดังนั้นการที่สหรัฐสนใจมาใช้ท่าเรือทับละมุ พังงา ก็น่าจะคงเจตนารมณ์ไว้อย่างเดิม คือ ถ้าสหรัฐสามารถใช้ได้ทั้งท่าเรือเรียมและทับละมุ ก็จะเป็นการล็อคเส้นทางยุทธศาสตร์จีนในการผ่านช่องแคบมะละกา

ถึงตอนนั้นเกมจะขยายไปสู่ระดับโลก ดังนั้นจำเป็นต้องตัดสินใจให้ถูกต้องเพื่อถอดชนวนความขัดแย้งเสียก่อนที่จะบานปลาย

ถ้าหากว่าเราจะต้องทำสงครามกับเขมรเต็มรูปแบบจริงๆ คงจะต้องตระหนักว่าเขมรกำลังเล่นใหญ่ด้วยการดึงมหาอำนาจมาเล่นในสนามข้างบ้านเราซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อเสถียรภาพความมั่นคงในทุกระดับ การจะเล่นเกมนี้กับเขมรจึงต้องระมัดระวังสูงสุดในการรักษาสมดุล และต้องการผู้นำที่ฉลาด หนักแน่น ทันเกมต่อผู้นำทั้งหลายที่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้อง

ตอนนี้ฝ่ายทหารทำหน้าที่ของเขาได้อย่างดีแล้ว เมื่อถึงเวลาเขาก็จะตอบโต้ในสัดส่วนที่พอดีกับการรักษาผลประโยชน์ของชาติ ในส่วนของภาคประชาชนนั้นเราไม่ได้มีปัญหากับประชาชนเขมรทั้งในและนอกประเทศ ดังนั้นภาคประชาชนต่างหากคือผู้ที่จะถอดชนวนความขัดแย้งลงได้ ด้วยการใช้โซเชียลมีเดียอย่างมีสติ ไม่เป็นเหยื่อของข่าวปลอม หากจำเป็นต้องตอบโต้บ้าง เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องก็ควรทำในสัดส่วนที่พอดี ไม่มากไป น้อยไป พึงระลึกว่าทุกความสูญเสีย ย่อมมีผู้สูญเสียที่อยู่ข้างหลังตามมาเสมอ

ที่อยู่

Bangkok

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ TB - Talkผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์