25/09/2025
รหัส 144 ปราบโกง กับการเมืองที่ไร้เสถียรภาพ
รัฐธรรมนูญปี 2560 กำหนดให้ประชาชนมีหน้าที่ไม่สนับสนุนการทุจริตกับให้รัฐส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการตรวจสอบทุจริต ดังนั้นอย่างน้อยประชาชนที่รู้เบาะแสการทุจริตก็ควรแจ้งให้หน่วยตรวจสอบทราบ หรือใครมีความรู้ก็ควรแบ่งปันกันเพื่อมีส่วนร่วมในการตรวจสอบการทุจริตที่นับวันจะมีความซับซ้อนมากขึ้นเพื่อหลบเลี่ยงความผิดตามกฎหมายโดยเฉพาะการทุจริตเชิงนโยบาย
คำว่าทุจริตเชิงนโยบาย หากไปดูความหมายอาจเข้าใจยาก แต่ถ้าบอกว่ามันคือการ “โกงให้ถูกกฎหมาย” หรือการสร้างความชอบธรรมให้กับการคอรัปชั่นคงจะเข้าใจง่ายขึ้น เช่น ถ้ากฎหมายห้ามก็แก้กฎหมาย หรือถ้ากฎหมายมีเงื่อนไขก็สร้างเงื่อนไขให้มันสอดคล้อง แค่นี้ก็เรียบร้อย ตัวอย่างของการทุจริตเชิงนโยบาย เช่น กรณี ส.ป.ก 4-01 ,แก้ พรบ.สรรพสามิตโทรคมนาคม ,กรณีจำนำข้าว ,เอ็กซิมแบงค์ปล่อยเงินกู้แก่พม่า ,สั่งให้วันหยุดเป็นวันทำงานเพื่อทำธุรกรรมการเงิน เหล่านี้จะเห็นว่าการทุจริตเชิงนโยบายจะต้องมีเรื่องของอำนาจเข้ามาเกี่ยวข้องและอำนาจนั้นถูกใช้เพื่อเอื้อต่อประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าสาธารณะ
การแปรญัตติเอางบประมาณรายจ่ายประจำปีไปลงโครงการในพื้นที่ของ สส ก็เป็นการทุจริตเชิงนโยบายประเภทหนึ่ง ไม่ต่างจากการเอาเงินหลวงไปหาเสียง ดังที่เคยเห็นกันว่ามีบางจังหวัดที่มีการพัฒนาที่โดดเด่นกว่าจังหวัดอื่นๆ เป็นที่มาของการมี สส. ผูกขาดตลอดกาลจนแทบจะไม่ต้องหาเสียงกันเลย จึงไม่น่าแปลกใจที่ สส. ต่างแย่งกันเป็นกรรมาธิการงบประมาณเพราะมันหมายถึงความสามารถในการดึงงบลงพื้นที่ตัวเอง ด้วยเหตุนี้รัฐธรรมนูญปี 40 จึงแก้ปัญหาความไม่เป็นธรรมในการจัดสรรงบประมาณลงพื้นที่โดยกำหนดไว้ในมาตรา 180 ห้าม สส. แปรงบไปใช้ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม
ผ่านมา 20 ปี รัฐธรรมนูญปี 60 ก็ยังคงกำหนดข้อห้ามเดิมๆ ไว้ แต่คราวนี้อยู่ในมาตรา 144 และเพิ่มข้อกำหนดว่าหากนายก และ ครม. เห็นการกระทำที่เป็นความผิดแต่ไม่ระงับยับยั้งก็จะมีความผิดไปด้วยเช่นเดียวกับ สส. หรือ สว. เรียกว่าเอาผิดทั้งพวงฐานที่ไม่ทัดทานกัน
กรณีมาตรา 144 นี้ ได้มีกลุ่มภาคประชาชนผู้เชี่ยวชาญกฎหมายยื่นต่อ ปปช. ขอให้ไต่สวนเอาผิดรัฐบาลของนายเศรษฐาและ น.ส. แพทองธาร ที่ปรับเอางบประมาณที่รัฐบาลต้องชำระเงินกู้ให้กับ 5 ธนาคารรัฐวิสาหกิจจำนวน 35,000 ล้านบาท ไปสมทบกับส่วนอื่นให้ได้ยอด 500,000 ล้านบาท เพื่อแจกให้ประชาชนรายละ 10,000 บาทตามโครงการดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาล จะเห็นว่าความผิดได้เกิดขึ้นถ้วนหน้าตั้งแต่กรรมาธิการ 72 คนที่ปรับลดงบประมาณ สส. 309 คนที่โหวตเห็นชอบงบปี 68 เช่นเดียวกับ สว. 175 คน รวมทั้งอดีตนายก 2 คนของเพื่อไทยด้วยโดยคนหนึ่งตั้งงบเพื่อใช้หนี้อีกคนหนึ่งโยกงบไปแจกเงินหมื่น
เอาดีๆ นี่เป็นเรื่องใหญ่มาก รัฐธรรมนูญเขาห้ามแตะต้องเงินที่ต้องนำไปชำระหนี้ก็เพื่อรักษาวินัยการเงินการคลังแต่แทนที่จะปฏิบัติตามกลับมีกระบวนการแปรเปลี่ยนเอาเงินส่วนนี้ไปแจกประชาชนตามที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมือง ซึ่งถ้าผลการไต่สวนออกมาว่าผู้ถูกร้องมีความผิดจริงจะมีนักการเมืองเป็นร้อยๆ ถูกลงโทษทางการเมืองและผลของมันอาจกระทบมาถึงรัฐบาลอนุทินปัจจุบันด้วย และนี่หรือเปล่า? ที่ทำให้เลขาธิการ ปปช. ถึงกับต้องลาออกจากตำแหน่งโดยไม่ทราบสาเหตุ
ความยุ่งยากยังไม่ได้จบแค่นั้น แม้แต่ ปปช.ที่ต้องไต่สวนให้เสร็จภายใน 180 วัน ก็ถูกครหาว่ากำลังยื้อเวลาออกไปในขณะที่ศาลรัฐธรรมนูญที่จะรับไม้ต่อไปก็มีเวลาเพียง 15 วันในการสั่งคดี ซึ่งก็น่าเห็นใจองค์กรอิสระทั้ง 2 ที่มีเวลาไม่มากในการพิจารณาคดีใหญ่ขนาดนี้ แต่กรณีของรองประธานสภาพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ที่โดนสั่งให้พ้นจากหน้าที่ไปแล้วก็เป็นอิทธิฤทธิของมาตรา 144 นี้ ถือเป็นโมเดลความผิดในลักษณะเดียวกัน
ท่ามกลางกระแสการชุมนุมประท้วงของม็อบ Gen Z และม็อบอื่นๆ ที่แพร่กระจายอยู่ในปัจจุบันจะมีอยู่ 2 คำหลักที่เกี่ยวข้องคือ “คอรัปชั่น” กับ “เหลื่อมล้ำ” ซึ่งเป็นสิ่งที่คนรุ่นใหม่รังเกียจและไม่อาจทนเห็นมันเกาะกินสังคมที่พวกเขาต้องอยู่ร่วมเพราะนอกจากจะก่อให้เกิดภาวะด้อยพัฒนาแล้วยังทำให้พวกเขามองไม่เห็นอนาคตของตัวเองในสังคมที่ผู้ปกครองขาด ธรรมาภิบาล ดังนั้นถ้าไม่อยากให้เกิดสถานการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ในบ้านเราในลักษณะที่เกิดขึ้นในหลายประเทศในขณะนี้ ก็ต้องช่วยกันตรวจสอบและแจ้งเบาะแสการทุจริตเชิงนโยบาย ไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ไม่ควรปล่อยผ่าน โดยเฉพาะในองค์กรราชการที่ประพฤติมิชอบเล็กๆ น้อยๆ จนเคยชิน พอเติบโตขึ้นไปจากการประพฤติผิดก็กลายเป็นการทุจริตได้อย่างไม่เคอะเขิน
สำหรับกรณีความผิดตามมาตรา 144 ที่ขณะนี้ยังอยู่ในมือ ปปช. แม้ว่ารัฐธรรมนูญกำหนดให้เร่งดำเนินการพลัน แต่ ปปช. ก็ยังสามารถขยายเวลาออกไปได้อีกซึ่งถ้าจะเอาจริงๆ อาจไปได้ถึง 450 วัน เนื่องจากเกี่ยวข้องกับองคาพยพจำนวนมาก แต่หากใช้เวลานานขนาดนั้นก็จะเลยอายุ 4 เดือนของรัฐบาลชุดนี้ที่ประกาศไปแล้วว่าจะยุบสภาไม่เกินปลายเดือนมกราคม 2569 จากนั้นจะมีการเลือกตั้งประมาณเดือนเมษายน 2569 พร้อมกับการทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญ ดังนั้นถ้าศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้คณะรัฐมนตรีชุดแพทองธารมีความผิดตามมาตรา 144 กรณีเห็นชอบให้โยกงบชำระหนี้ไปแจกประชาชน นายกอนุทินซึ่งขณะนั้นเป็นรัฐมนตรีมหาดไทยและหากอยู่ในที่ประชุมก็จะมีความผิดไปด้วยและอาจถูกตัดสิทธิทางการเมืองซึ่งทั้งหมดจะเกิดขึ้นก่อนหรือหลังการเลือกตั้งก็อยู่ที่ ปปช.และศาลรัฐธรรมนูญ แต่ในส่วนของความผิดที่ต้องร่วมกันชดใช้คืนงบประมาณแผ่นดิน ถ้ามี ก็จะมีอายุความทางการเงิน 20 ปี
เห็นอย่างนี้แล้ว เค้าลางความวุ่นวายทางการเมืองยังจะมาอย่างต่อเนื่อง คาดหวังได้เลยว่าปีใหม่ 2569 เมืองไทยก็จะยังถูกปกคลุมด้วยหมอกควันความไร้เสถียรภาพทางการเมืองเหมือนเดิม
#รัฐธรรมนูญ60