
08/08/2025
รัฐบาลอัด 'แพ็กเกจเยียวยา' ผลกระทบ #ภาษีทรัมป์ คลังจ่อชงลดภาษี
ภายหลังจากที่ทีมไทยแลนด์สามารถเจรจาภาษีกับสหรัฐ จนได้ข้อสรุปในเบื้องต้นว่าประเทศไทยจะถูกเก็บภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ที่อัตรา 19% ลดลงจากเดิมที่ต้องจ่ายในอัตรา 36% โดยมีผลวันที่ 7 ส.ค.2568 โดยมีเงื่อนไขสำคัญในการเปิดตลาดนำเข้าสินค้าจากสหรัฐในอัตรา 0% นับหมื่นรายการ
รวมถึงมีการเปิดตลาดให้นำเข้าสินค้าเกษตร รวมทั้งการเพิ่มโควตาการนำเข้าสินค้าเกษตรบางชนิดที่มีความอ่อนไหวให้กับสหรัฐ ซึ่งในขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือในรายละเอียดเพิ่มเติม ก่อนจะส่งลิสต์สินค้าที่ต้องแก้ไขภาษีศุลกากรให้ที่ประชุมสภาฯพิจารณาซึ่งใช้ระยะเวลาอีกนับเดือน
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า รัฐบาลมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งสรุปแนวทางการเยียวยาผลกระทบจากภาษีทรัมป์ เพื่อกลับมาหารือแนวทางที่เหมาะสมแต่ละเซกเตอร์ ซึ่งแต่ละธุรกิจได้รับผลกระทบแตกต่างกัน เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ อาหารสำเร็จรูป เครื่องใช้ไฟฟ้า
“บางธุรกิจที่มีกำไรสูง เช่น ผู้ส่งออกเพชร พลอย อาจถูกผู้ซื้อขอให้รับภาระส่วนแบ่งต้นทุนบางส่วน เช่น การรับภาระภาษีครึ่งหนึ่ง ขณะที่บางภาคส่วนซึ่งมีการแข่งขันสูงและมีสินค้าจากหลายประเทศ อาจให้ผู้ซื้อหรือชาวอเมริกันเป็นผู้รับภาระต้นทุนส่วนใหญ่”
แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า แม้รัฐบาลประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจได้ไม่ชัดเจน แต่รัฐบาลอยู่ระหว่างการเตรียมมาตรการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบ ทั้งผู้ประกอบการ ผู้ส่งออกและเกษตรกร โดยจะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเป็นแพคเกจ ควบคู่ไปกับการจัดทำแผนปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ โดยแบ่งการเยียวยาผลกระทบเป็น 3 มาตรการ ดังนี้
1. มาตรการเงินอุดหนุนช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ โดยดำเนินการผ่านกองทุนที่มีอยู่แล้วในการสนับสนุนเงินทุนให้ผู้ได้รับผลกระทบ ประกอบด้วย
กองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดย ครม.อนุมัติงบประมาณเพิ่มให้กองทุน 10,000 ล้านบาท จากงบกลางรายการกระตุ้นเศรษฐกิจปีงบประมาณ 2568 ซึ่งแนวทางการช่วยเหลือจะให้เงินลงทุนปรับปรุงเครื่องจักรเป็นดิจิทัลมากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้เกิดการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ
2. มาตรการเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟต์โลน) ผ่านสถาบันการเงินการเงินเฉพาะกิจของรัฐเบื้องต้น 200,000 ล้านบาท นอกจากนั้นกระทรวงการคลังยังมีการประสานกับธนาคารพาณิชย์เพื่อเตรียมซอฟต์โลนเพิ่มเติมเพื่อรองรับผลกระทบจากมาตรการภาษีสหรัฐด้วย
สำหรับการใช้กลไกของ Soft Loan อาจจะอยู่ในกลุ่มผู้ประกอบการที่ต้องสต็อกสินค้าเอาไว้ และจำเป็นต้องมีสภาพคล่องในช่วงนั้น เพื่อช่วยขับเคลื่อนธุรกิจต่อไปได้
3. มาตรการด้านภาษีเพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสามารถปรับตัวได้ในช่วงของการเปลี่ยนผ่านภาษี 19% เช่น การลดหย่อยภาษี การลดภาษีเงินได้นิติบุคคลหรือการให้เครดิตภาษี โดยกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการพิจารณารายละเอียด
นอกจากนี้ ก่อนหน้านี้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้คำแนะนำกับรัฐบาลในการใช้งบกลางรายการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2568 ในส่วนที่เหลือ 24,000 ล้านบาท ควรติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์ของการใช้งบประมาณอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีกระบวนการตรวจสอบและเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณชนให้เป็นรูปธรรมและมีความโปร่งใส
(ลิงก์อ่านต่อในคอมเมนต์)
#กรุงเทพธุรกิจ #กรุงเทพธุรกิจEconomic