BT Beartai แบไต๋

BT Beartai แบไต๋ BT beartai เป็นมากกว่าไอที

BT beartai สารพัดเรื่องราวข่าวสารเทคโนโลยีและไลฟ์สไตล์ ข่าวสารสดใหม่ร้อน ๆ ส่งตรงถึงหน้าจอคุณ

ติดต่อโฆษณา ดูรายละเอียดได้ที่เว็บแบไต๋ครับ https://bt.th/contact

เมื่อพูดถึง “จรวด” และ “การเดินทางในอวกาศ” ภาพในหัวของคนส่วนใหญ่คงหนีไม่พ้นโครงการของรัฐบาลที่ใช้เงินภาษีมหาศาล เต็มไปด้...
09/08/2025

เมื่อพูดถึง “จรวด” และ “การเดินทางในอวกาศ” ภาพในหัวของคนส่วนใหญ่คงหนีไม่พ้นโครงการของรัฐบาลที่ใช้เงินภาษีมหาศาล เต็มไปด้วยความซับซ้อน และดูไกลตัว แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามีคนคิดใหม่ทำใหม่ แล้วบอกว่า “จรวดก็เหมือนรถยนต์นั่นแหละ ผลิตเยอะ ๆ ในโรงงานสิ !”

นี่คือแก่นความคิดที่สั่นสะเทือนวงการอวกาศของอีลอน มัสก์ (Elon Musk) และ SpaceX ที่ไม่ได้มองจรวดเป็นโปรเจกต์ของชาติ แต่เป็น “สินค้าบนสายพานการผลิต” เปลี่ยนสงครามเย็นยุคเก่าให้กลายเป็นสงคราม “ส่งด่วน” สู่จักรวาลที่ใคร ๆ ก็เข้าถึงได้

ในอดีต วงการอวกาศถูกผูกขาดด้วยสัญญาแบบ Cost Plus ที่ยิ่งใช้ต้นทุนสูง รัฐยิ่งจ่ายมาก ทำให้ไม่มีแรงจูงใจในการสร้างนวัตกรรมหรือลดต้นทุน แต่ อีลอน มัสก์ ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงทุกอย่างด้วยหลักการ First Principle Thinking หรือการคิดจากแก่นแท้

เขาตระหนักว่าราคาจรวดที่สูงลิ่วไม่ได้มาจากราคาวัตถุดิบ (ซึ่งคิดเป็นแค่ 2% ของราคาขาย) แต่มาจากกระบวนการจัดการที่ไร้ประสิทธิภาพ เขาจึงตัดสินใจสร้างทุกอย่างเอง (In-house Production) โดยนำปรัชญา Lean Manufacturing แบบ Toyota มาปรับใช้เพื่อตัดตัวกลางและควบคุมต้นทุน

ความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์เกิดขึ้นในปี 2015 เมื่อ SpaceX สามารถนำจรวดท่อนแรกกลับมาใช้ซ้ำได้เป็นครั้งแรกของโลก เปิดประตูสู่ยุค "จรวดรีไซเคิล" ที่ทำให้ต้นทุนการส่งของขึ้นสู่วงโคจรลดลงอย่างมหาศาล

จากนั้น SpaceX ได้สร้างกลยุทธ์ที่หลักแหลมที่สุดคือ Starlink หรืออินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม ซึ่งทำหน้าที่ 2 อย่างพร้อมกัน คือเป็นทั้ง "สินค้า" สร้างรายได้โดยตรง และเป็น "ลูกค้า" ให้กับจรวดของตัวเอง ทำให้ทุกการยิงจรวดสร้างมูลค่าและเกิดเป็นวงจรธุรกิจที่แข็งแกร่ง

นอกจากนี้ การออกแบบจรวด Falcon 9 ให้มีเครื่องยนต์ 9 ตัว ทำให้ SpaceX ได้ข้อมูลมหาศาลเพื่อนำมาปรับปรุงจรวดในทุกเที่ยวบิน

สิ่งที่ SpaceX ทำจึงไม่ใช่แค่การเข้ามาแข่งขันในตลาดเดิม แต่คือการขยายตลาด เปิดโอกาสให้ผู้เล่นรายเล็กอย่างมหาวิทยาลัยหรือทีมวิจัย สามารถส่งดาวเทียมขึ้นสู่อวกาศได้ในราคาที่จับต้องได้

เป้าหมายต่อไปคือ Starship ยานอวกาศที่ใช้ซ้ำได้ 100% สำหรับภารกิจสู่ดาวอังคารและการเดินทางข้ามทวีปบนโลก ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนปรัชญาการสร้าง “เครื่องจักรที่ใช้สร้างเครื่องจักร” พลิกโฉมอุตสาหกรรมที่เคยหยุดนิ่งให้กลายเป็นความจริงที่จับต้องได้ในปัจจุบัน

Real-World Asset Tokenization : โทเคนจากสินทรัพย์ในโลกจริง ที่ใคร ๆ ก็สามารถมีส่วนในการเป็นเจ้าของได้RWA หรือ Real-World...
09/08/2025

Real-World Asset Tokenization : โทเคนจากสินทรัพย์ในโลกจริง ที่ใคร ๆ ก็สามารถมีส่วนในการเป็นเจ้าของได้

RWA หรือ Real-World Asset คือสินทรัพย์ในโลกที่เป็นรูปธรรม เราสามารถมองเห็นและจับต้องได้ เช่น อสังหาริมทรัพย์ (ที่ดิน คอนโดฯ) สินทรัพย์ทางปัญญา (ลิขสิทธิ์เพลง) ของสะสมและผลงานศิลปะ (ภาพวาด ประติมากรรม ของหายาก ไวน์) สินค้าโภคภัณฑ์ (ทองคำ น้ำมัน)
ปัจจุบันมีแนวคิดการในนำสินทรัพย์จากโลกจริงเหล่านี้มาไว้ในบล็อกเชน หรือที่เรียกว่า ‘Tokenization’ แล้วการทำแบบนี้คืออะไร และเพื่อใคร ? เอาง่าย ๆ มันคือการที่เรานำสินทรัพย์ตรงนี้มาแปลงให้อยู่ในรูปของ โทเคนดิจิทัล (Digital Token) บนเทคโนโลยีบล็อกเชนเป็นการสร้าง ‘หลักฐานแสดงสิทธิความเป็นเจ้าของ’ ในสินทรัพย์นั้น ๆ ให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัลนั่นเอง

ทำไมต้องเปลี่ยนสินทรัพย์ในโลกจริงให้เป็นดิจิทัล ?

ลองจินตนาการตามว่า สินทรัพย์เหล่านี้ในชีวิตจริงหากนำมาขายหรือแลกเปลี่ยน ก็จะเปลี่ยนกรรมสิทธิ์ได้ทันทีในโลกจริง (Physical world) แต่ถ้าเรานำสินทรัพย์เหล่านี้ไปไว้ในโลกดิจิทัล สินทรัพย์ยังคงอยู่กับคุณตามปกติในโลกจริง แต่คุณสามารถแบ่งความเป็นเจ้าของสินทรัพย์นั้นออกเป็นส่วน ๆ และขายส่วนแบ่งความเป็นเจ้าของให้คนอื่นได้บนโลกดิจิทัล

สินทรัพย์อะไรที่สามารถนำมาแปลงเป็น RWA Token ได้บ้าง ?

ในเชิงทฤษฎี สินทรัพย์ในชีวิตจริงหลายอย่างสามารถนำมาแปลงเป็นโทเคนในโลกดิจิทัลได้ ที่เห็นได้มากที่สุดในตลาด ก็อย่างเช่น
- อสังหาริมทรัพย์ เช่น คอนโดฯ ร้านอาหาร ที่ดิน
- ผลงานศิลปะ ของสะสม เช่น ภาพวาดหายาก (Fine Art) รูปปั้น ของหายาก
- สินทรัพย์ทางปัญญา เช่น ลิขสิทธิ์เพลง เครื่องหมายการค้า
- สินค้ามูลค่าสูง เข่น นาฬิกา เครื่องประดับ รถหายาก
- ไวน์ และเหล้า สินค้าประเภทนี้เป็นสินค้าที่บ่มกันมาหลายปีทำให้มีความ ‘แรร์’ และคนส่วนใหญ่ครอบครองได้ยาก จึงสามารถนำมาเป็นโทเคนได้ด้วย
- สินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้นนอกตลาด, ตราสารหนี้, หน่วยลงทุน
- สินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทองคำ, น้ำมัน, สินค้าเกษตร
ในอนาคตเราอาจจะได้เห็นมากกว่านี้ แต่จุดสังเกตที่เห็นได้ชัดที่สุด คือสินทรัพย์เหล่านี้จะเป็นสินทรัพย์ที่มีความแรร์ หายาก หรือราคาสูง หรือเป็นสินค้าที่จะมีมูลค่าสูงขึ้นเรื่อย ๆ ในอนาคต ซึ่งสามารถนำมาเก็งกำไรได้

ประโยชน์และความเสี่ยงของ RWA ต่อเจ้าของกรรมสิทธ์ และผู้ถือโทเคน

แล้วประโยชน์ของเจ้าของกรรมสิทธ์สินทรัพย์และผู้ที่ถือโทเคนคืออะไร ? เราจะขอยกตัวอย่างประกอบให้เห็นภาพชัดขึ้น

สมมติคุณเป็นเจ้าของรีสอร์ตแล้วนำรีสอร์ตไปแปลงเป็นโทเคน ในกรณีที่คุณนำรีสอร์ตไปแปลงเป็น RWA token และขายโทเคนนั้นให้กับนักลงทุนหลาย ๆ คน กรรมสิทธิ์ตามกฎหมายของรีสอร์ตนั้นจะไม่ได้ถูกแบ่งไปตามจำนวนโทเคนทันที โดยส่วนใหญ่แล้ว กรรมสิทธิ์ทางกฎหมายของรีสอร์ตจะยังคงเป็นของนิติบุคคลเดิม (เช่น บริษัท) ที่เป็นเจ้าของรีสอร์ตนั้นแต่แรกเริ่ม

แล้วนักลงทุนที่ถือโทเคนได้อะไร ?

โทเคนที่นักลงทุนซื้อไปจะไม่ได้สิทธิความเป็นเจ้าของในตัวรีสอร์ตโดยตรง แต่เป็นหลักฐานดิจิทัลที่แสดงถึง ‘สิทธิ’ หรือ ‘ผลประโยชน์’ ที่เกี่ยวข้องกับรีสอร์ตนั้น ๆ ซึ่งสิทธิเหล่านี้จะถูกกำหนดไว้ในสัญญาทางกฎหมายและ Smart Contract ที่อยู่บนบล็อกเชน
โดยทั่วไปแล้ว โมเดลที่ใช้กันจะมีการจัดตั้ง ‘นิติบุคคลเฉพาะกิจ’ (Special Purpose Vehicle - SPV) ขึ้นมาทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างโลกจริงกับโลกดิจิทัล ดังนี้
1. นิติบุคคลเดิม (บริษัทรีสอร์ตของคุณ) จะโอนกรรมสิทธิ์ของรีสอร์ตให้กับ SPV (ซึ่งก็คือบริษัทใหม่ที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ)
2. SPV นี้จะออก โทเคน (Token) เพื่อระดมทุนจากนักลงทุน โดยแต่ละโทเคนจะเป็นตัวแทนของ ‘หุ้น’ หรือ ‘ส่วนแบ่ง’ ใน SPV นั้น
3. เมื่อนักลงทุนซื้อโทเคน พวกเขาจะกลายเป็นผู้ถือโทเคนของ SPV นั้น ซึ่งหมายความว่าพวกเขามีสิทธิในผลประโยชน์ของ SPV เช่น ส่วนแบ่งจากรายได้ค่าห้องพัก กำไรจากการขาย หรือสิทธิในการเข้าพักตามที่กำหนดไว้ในสัญญา
สรุปคือ กรรมสิทธิ์ทางกฎหมาย ยังคงอยู่กับ นิติบุคคล (SPV) ซึ่งเป็นผู้ถือครองกรรมสิทธิ์รีสอร์ตอย่างเป็นทางการ ส่วนสิทธิของผู้ถือโทเคน คือสิทธิในผลประโยชน์ ที่เกิดจากรีสอร์ตนั้น ๆ ซึ่งถูกแปลงให้อยู่ในรูปของโทเคนบนบล็อกเชน ทำให้สามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนได้ง่ายขึ้น
ข้อดีของการนำสินทรัพย์ในโลกจริงไปแปลงเป็นโทเคน (Tokenizing)
- เข้าถึงง่ายขึ้น : ทำให้คนทั่วไปเข้าถึงการลงทุนในสินทรัพย์ที่ปกติเข้าถึงยากได้ เช่น อสังหาริมทรัพย์หรืองานศิลปะ
- สภาพคล่องสูงขึ้น : การแบ่งสินทรัพย์เป็นโทเคนช่วยให้ซื้อขายได้ง่ายและรวดเร็วกว่าสินทรัพย์แบบเดิมมาก
- โปร่งใสและปลอดภัย : ข้อมูลการเป็นเจ้าของและธุรกรรมทั้งหมดจะถูกบันทึกบนบล็อกเชน ทำให้ทุกคนตรวจสอบได้และปลอดภัย
- ลดค่าใช้จ่าย : ช่วยลดความจำเป็นในการพึ่งพาคนกลาง เช่น นายหน้า ทำให้ต้นทุนการทำธุรกรรมถูกลง
- ทำธุรกรรมรวดเร็ว : การซื้อขายสินทรัพย์ทำได้เกือบจะทันทีบนบล็อกเชน ต่างจากการทำธุรกรรมแบบเดิมที่ใช้เวลานาน
- กระจายความเสี่ยง : เพิ่มโอกาสในการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท ช่วยลดความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ตการลงทุน

ความเสี่ยง RWA Token มีอะไรบ้าง ?

- ปัญหากฎหมายที่อาจจะยังไม่รองรับ หรือกฎหมายรองรับสินทรัพย์ดิจิทัลที่ยังไม่ชัดเจน ทำให้การคุ้มครองสิทธิของผู้ถือโทเคนอาจไม่ครอบคลุม นำไปสู่ปัญหาในการโอนโทเคนได้
- ความเสี่ยงด้านราคาและสภาพคล่อง มูลค่าโทเคนขึ้นอยู่กับราคาของสินทรัพย์จริง ซึ่งอาจผันผวนได้มากและบางโทเคนก็อาจไม่มีตลาดรองรับการซื้อขาย
- ความเสี่ยงจากสินทรัพย์จริง หากสินทรัพย์ต้นทาง เช่น อสังหาริมทรัพย์ หรือไวน์ ได้รับการประเมินมูลค่าผิดพลาด หรือมีการจัดการที่ไม่ดี ก็จะส่งผลกระทบต่อมูลค่าโทเคนด้วยเช่นกัน
- ความเสี่ยงด้านเทคโนโลยี โทเคนอาศัยบล็อกเชน จึงมีความเสี่ยงจากการถูกแฮ็กหรือข้อผิดพลาดของ Smart Contract ได้

อย่างไรก็ตาม ในปัจุบันประเทศไทยได้มีการรองรับสินทรัพย์ดิจิทัลแล้ว โดยเป็นกฎหมายดิจิทัลตั้งแต่ปี 2018 โดยปี 2025 มีข้อมูลว่าเรามี ICO Portal (ระบบที่ช่วยในการระดมทุนด้วยโทเคนดิจิทัล) ที่ได้รับอนุญาตแล้ว 9 ราย และมีการออกโทเคนดิจิทัลแล้ว 3 ราย

ข้อแตกต่างของการถือ RWA Token และการถือหุ้น

การถือโทเคน RWA มีหลักการที่คล้ายคลึงกับการถือหุ้นในบริษัท นั่นคือทั้งสองอย่างเปิดโอกาสให้เราสามารถเป็นเจ้าของส่วนเล็ก ๆ ในสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงได้ โดยไม่ต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมหาศาล และยังได้รับผลตอบแทนจากสินทรัพย์นั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็นเงินปันผลหรือส่วนแบ่งจากรายได้

อย่างไรก็ตาม จุดที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนคือ ‘สินทรัพย์ต้นทางที่เรากำลังถือครองอยู่’ โดยการถือหุ้น คือการเป็นเจ้าของส่วนหนึ่งของบริษัททั้งบริษัท ซึ่งหมายถึงการเป็นส่วนหนึ่งของเจ้าของธุรกิจและทรัพย์สินทั้งหมดของบริษัทนั้น เช่น เมื่อเราซื้อหุ้นของบริษัท A ที่เป็นเจ้าของรีสอร์ต 5 แห่ง เราจะมีสิทธิในผลกำไรของบริษัท A ทั้งหมด

ในทางกลับกัน การถือโทเคน RWA คือการเป็นเจ้าของส่วนหนึ่งของสินทรัพย์เฉพาะเจาะจงเพียงชิ้นเดียว เช่น การซื้อโทเคนของ ‘รีสอร์ตแห่งที่ 3’ ของบริษัท A จะทำให้เราได้รับสิทธิในผลประโยชน์ที่มาจากรีสอร์ตแห่งนั้นเพียงแห่งเดียวเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เอง การลงทุนในโทเคน RWA จึงมีความยืดหยุ่นและเฉพาะเจาะจงมากกว่าการลงทุนในหุ้นนั่นเอง

#สินทรัพย์จริงเป็นโทเคนดิจิทัล

ผู้ให้บริการเครือข่ายเผย Apple จะเปิดตัว iPhone 17 ในวันที่ 9 กันยายน 2025ก่อนหน้านี้ มาร์ก เกอร์แมน (Mark Gurman) นักข่...
09/08/2025

ผู้ให้บริการเครือข่ายเผย Apple จะเปิดตัว iPhone 17 ในวันที่ 9 กันยายน 2025

ก่อนหน้านี้ มาร์ก เกอร์แมน (Mark Gurman) นักข่าวชื่อดังจากสำนักข่าว Bloomberg ได้รายงานข้อมูลจากแหล่งข่าววงในที่น่าเชื่อถือ อ้างว่า Apple จะเปิดตัวสมาร์ตโฟนเรือธงซีรีส์ iPhone 17 จำนวน 4 รุ่น ได้แก่ iPhone 17 รุ่นมาตรฐาน, iPhone 17 Air ที่มาแทนไลน์อัป Plus, iPhone 17 Pro และ iPhone 17 Pro Max ในช่วงสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนกันยายน 2025 (ระหว่างวันที่ 8 – 17 กันยายน) โดยคาดว่าอาจเป็นวันจันทร์ที่ 8, อังคารที่ 9 หรือพุธที่ 10 กันยายน 2025 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ Apple ใช้ในการเปิดตัว iPhone รุ่นก่อน ๆ เมื่อปี 2021 และ 2024

ล่าสุด เว็บไซต์ iPhone-Ticker ของประเทศเยอรมนี ได้เปิดเผยข้อมูลจากเอกสารผู้ให้บริการเครือข่ายในประเทศเยอรมนี ซึ่งระบุชัดเจนว่า Apple จะเปิดตัว iPhone 17 ทั้ง 4 รุ่น ในวันอังคารที่ 9 กันยายน 2025

หากพิจารณาจากกำหนดการเปิดตัวข้างต้นร่วมกับรูปแบบการดำเนินธุรกิจของ Apple ทำให้มีความเป็นไปได้สูงที่ Apple จะเริ่มเปิดให้สั่งจอง iPhone 17 ทั้ง 4 รุ่น ในวันศุกร์ที่ 12 กันยายน 2025 และจะเริ่มจัดส่ง iPhone 17 ทั้ง 4 รุ่น ตามคำสั่งซื้อชุดแรกและเริ่มจำหน่ายอย่างเป็นทางการในวันศุกร์ที่ 19 กันยายน 2025

ทั้งนี้ หนึ่งในรุ่นที่ผู้ใช้และสื่อต่างประเทศให้ความสนใจมากที่สุด คือ iPhone 17 Air ซึ่งคาดว่าจะมาพร้อมตัวเครื่องที่บางมาก เพียง 5.5 มม., ติดตั้งแบตเตอรี่ที่มีขนาดเล็กมาก ความจุประมาณ 2,900 mAh ซึ่งน้อยที่สุดเท่าที่ Apple เคยใช้ใน iPhone ทุกรุ่น และเป็นเพียงรุ่นเดียวที่ได้รับการติดตั้งกรอบตัวเครื่องที่ผลิตด้วยวัสดุไทเทเนียม เพื่อช่วยเสริมความทนทานให้แก่ตัวเครื่องที่มีความบางมาก และยังช่วยให้ตัวเครื่องมีน้ำหนักเบาด้วย

ในขณะที่รุ่นพรีเมียมอย่าง iPhone 17 Pro และ 17 Pro Max จะได้รับการติดตั้งกล้องหลัง 3 ตัว ที่มีความละเอียด 48 ล้านพิกเซล เท่ากันทั้งสิ้น พร้อมอัปเกรดกล้อง Telephoto ให้ซูมแบบไม่เสียความละเอียด (Optical Zoom) ได้ไกลขึ้นจาก 5 เท่า เป็น 8 เท่า, มาพร้อมแอปฯ กล้องระดับมืออาชีพ และติดตั้งปุ่ม Camera Control จำนวน 2 ปุ่ม เพื่อให้เข้าถึงแอปฯ กล้องและการตั้งค่าต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว

ที่มา : 9to5Mac, GSMArena

วิธีแก้ปัญหาแบตฯ iPhone หมดไว หมดเร็ว ทำง่าย ช่วยได้จริง !สาวก iPhone เค้ารู้กันว่า iPhone ขึ้นชื่อเรื่องแบตฯ หมดไว เพรา...
09/08/2025

วิธีแก้ปัญหาแบตฯ iPhone หมดไว หมดเร็ว ทำง่าย ช่วยได้จริง !

สาวก iPhone เค้ารู้กันว่า iPhone ขึ้นชื่อเรื่องแบตฯ หมดไว เพราะให้แบตฯ มาน้อยเหลือเกิน ถ้าเป็นเครื่องใหม่ ๆ แบตฯ ยังไม่เสื่อม 1 วันไม่ต้องชาร์จยังได้ แต่ถ้าใช้ไปสัก 1-2 ปี แล้วแบตฯ เริ่มเสื่อมใช้ได้แค่ครึ่งวันก็ต้องชาร์จละ ต้องลำบากมาพกพาวเวอร์แบงก์อีก หนักก็หนัก แต่เรื่องแบตฯ หมดไว ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ขึ้นอยู่กับการใช้งานของแต่ละบุคคลด้วยค่ะ วันนี้ BT จะมาช่วยทุกคนแก้ปัญหาแบตฯ iPhone หมดไว ทำได้ง่าย ๆ ช่วยได้จริง

สาเหตุและวิธีแก้ปัญหาแบตฯ iPhone หมดไว

1. แอปฯ ทำงานเบื้องหลัง : แอปฯ บางประเภทจะยังคงทำงานอยู่แม้ผู้ใช้จะไม่ได้เปิดใช้งาน เช่น การแจ้งเตือนหรือการอัปเดตข้อมูลอัตโนมัติ ทำให้แบตฯ หมดทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้ทำอะไร

วิธีแก้ไขคือ ตรวจสอบว่าแอปฯ ไหนใช้แบตฯ เยอะเกินไป ส่วนใหญ่ก็จะเป็นแอปฯ โซเชียลมีเดีย อีเมล หรือแอปฯ ที่มีการอัปเดตข้อมูลตลอดเวลา

ซึ่งทำได้โดยการให้เข้าไปตรวจสอบที่ “การตั้งค่า” (Settings) > เลือก “แบตเตอรี่” (Battery) > ดูกราฟการใช้แบตฯ ในช่วง 24 ชั่วโมง หรือ 10 วันล่าสุดตรวจสอบว่าแอปฯ ใดใช้แบตฯ มากที่สุด หากพบว่าเป็นแอปฯ ที่ไม่จำเป็น อาจพิจารณา ปิดการทำงานเบื้องหลัง หรือ จำกัดการแจ้งเตือน หรือท้ายที่สุดก็คือ ลบแอปฯ ออกจากเครื่อง

2. การเปิด Wi-Fi, Bluetooth ทิ้งไว้ตลอดเวลา : Bluetooth เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่แอปฯ สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นหรืออัปเดตข้อมูลได้โดยไม่ต้องเปิดแอปฯ ขึ้นมา ซึ่งหากเปิดทิ้งไว้ตลอดเวลา อาจทำให้แบตเตอรี่ลดลงเร็วกว่าปกติวิธีแก้ไขคือปิดการเข้าถึง Bluetooth ของแอปฯ ที่ไม่จำเป็น ด้วยการเข้าไปที่ “การตั้งค่า” (Settings) > แตะ “บลูทูธ” (Bluetooth) > หากไม่ได้เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ใด เช่น หูฟัง หรือลำโพง ให้ปิด Bluetooth เพื่อหยุดการเชื่อมต่อที่ไม่จำเป็น

นอกจากนี้ ยังสามารถเข้าไปที่การตั้งค่าของแอปฯ แต่ละตัว เพื่อจำกัดการเข้าถึง Bluetooth เฉพาะบางแอปฯ ได้ด้วย

3. แบตเตอรี่เสื่อมตามอายุการใช้งาน : สาเหตุหลักที่ทำให้แบตฯ หมดไว หากใช้งาน iPhone 1-2 ปี และมีการชาร์จบ่อย ๆ แบตเตอรี่จะเริ่มเสื่อมสภาพและเก็บพลังงานได้น้อยลง
วิธีแก้ไขคือตรวจสอบสุขภาพแบตเตอรี่ (Battery Health) ด้วยการเข้าไปที่ “การตั้งค่า” (Settings) > ไปที่ “แบตเตอรี่” (Battery) > แตะ “สุขภาพแบตเตอรี่และการชาร์จ” (Battery Health & Charging) > ดูค่า “ความจุสูงสุด” (Maximum Capacity) หากต่ำกว่า 80% แสดงว่าแบตเตอรี่เสื่อม และควรเปลี่ยนใหม่เพื่อให้ใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ แนะนำให้ใช้เป็นแบตเตอรี่แท้ เพราะคุณภาพดีกว่าของเทียบ และอยู่ได้ยาวกว่า

4. ระบบปฏิบัติการไม่เสถียร : iOS เวอร์ชันใหม่ อาจยังไม่เสถียร หรือมีปัญหาที่ส่งผลต่อการใช้พลังงาน ทำให้แบตเตอรี่หมดเร็ว วิธีการแก้ไขคือกลับไปใช้เวอร์ชันที่เก่ากว่า ซึ่งสามารถนำเครื่องไปให้ศูนย์บริการจัดการได้

5. การใช้บริการระบุตำแหน่ง (GPS) : การเปิดใช้งานตำแหน่งที่ตั้งอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกับแอปฯ ที่ต้องใช้ GPS เช่น Google Maps จะทำให้แบตฯ หมดไวขึ้น

วิธีแก้ไขคือจำกัดการเข้าถึงตำแหน่งของแอปพลิเคชัน ซึ่งแอปฯ จำนวนมากมีการขอสิทธิ์เข้าถึงตำแหน่งที่ตั้ง แม้ในขณะที่คุณไม่ได้ใช้งานแอปฯ นั้น ซึ่งนอกจากจะกระทบต่อความเป็นส่วนตัวแล้ว ยังเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้แบตเตอรี่หมดเร็วโดยไม่รู้ตัว

ขั้นตอนการตั้งค่า ไปที่ “การตั้งค่า” (Settings) > เลือก “ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย” (Privacy & Security) > แตะ “บริการหาตำแหน่งที่ตั้ง” (Location Services)

เลือกแอปพลิเคชันที่ต้องการปรับ แล้วเลือกตัวเลือกการเข้าถึง ได้แก่ ไม่เลย (Never) – ปฏิเสธไม่ให้เข้าถึงตำแหน่งเลย, ถามฉันในครั้งต่อไป (Ask Next Time) – ถามทุกครั้งก่อนเข้าถึง, ขณะใช้แอป (While Using the App) – เข้าถึงเฉพาะตอนที่ใช้งาน, ทุกครั้ง (Always) – อนุญาตตลอดเวลา ซึ่งควรหลีกเลี่ยงการตั้งค่า “ทุกครั้ง” เว้นแต่จำเป็นจริง ๆ เช่น แอปฯ แผนที่หรือแอปฯ ติดตามการเดินทาง เพราะการเข้าถึงตำแหน่งแบบถาวรจะทำให้แบตเตอรี่ลดลงเร็ว แม้คุณจะไม่ได้ใช้งานแอปฯ อยู่ก็ตาม

6. เร่งแสงหน้าจอให้สว่างที่สุดตลอดเวลา : หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า การเปิดหน้าจอให้สว่างที่สุด เป็นหนึ่งสาเหตุที่ทำให้แบตฯ หมดไว เพราะหน้าจอเป็นส่วนที่ใช้ไฟเยอะเป็นอันดับต้น ๆ
วิธีแก้ไขคือ เปิด “การปรับความสว่างอัตโนมัติ” ให้หน้าจอสว่างตามสภาพแวดล้อม > ปรับความสว่างให้พอดี ผ่าน ศูนย์ควบคุม (Control Center) โดยเลื่อนแถบความสว่างลงเล็กน้อย หรือ ตั้งค่าให้ “ล็อกหน้าจออัตโนมัติ” เร็วขึ้น เช่น 30 วินาที หรือ 1 นาที

แม้ iPhone จะเป็นอุปกรณ์ที่มีระบบจัดการพลังงานอัจฉริยะ แต่การตั้งค่าที่ไม่เหมาะสมก็อาจทำให้แบตเตอรี่หมดเร็วกว่าที่ควรจะเป็น วิธีที่กล่าวไปข้างต้นล้วนเป็นวิธีที่ช่วยให้ iPhone ของเราทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ พร้อมยืดอายุแบตเตอรี่ให้ใช้งานได้ยาวนานยิ่งขึ้น
หมั่นตรวจสอบและปรับการตั้งค่าเป็นประจำ จะช่วยให้เราไม่ต้องชาร์จบ่อย และยืดอายุการใช้งานเครื่องไปได้ไม่มากก็น้อย

ที่มา : Apple

#แบตเสื่อม ื่อม #แบตหมดไว

ไปฟังกันต่อกับเรื่องราวของ 'ท๊อป จิรายุส' ในบทบาทของผู้ที่กำลังศึกษาเรื่องของสุขภาพ โดยเฉพาะศาสตร์ 'Longevity' เพื่อค้นห...
09/08/2025

ไปฟังกันต่อกับเรื่องราวของ 'ท๊อป จิรายุส' ในบทบาทของผู้ที่กำลังศึกษาเรื่องของสุขภาพ โดยเฉพาะศาสตร์ 'Longevity' เพื่อค้นหาหนทางเพื่อนที่จะมีอายุยืนยาว

ไปฟังถึงแนวคิด วิธีการ อุปกรณ์และเครื่องมือต่าง ๆ ที่เป็นบันไดเพื่อก้าวไปสู่การมีชีวิตยืนยาวของเขาคนนี้ พร้อมความคิดเห็นจากบุคลากรจากแพทยสภา !

ฟังได้แล้วตอนนี้ทาง YouTube : bt beartai เท่านั้น !
(หรือกดลิงก์ใต้โพสต์นี้)

“สินเชื่อสร้างเครดิต สร้างโอกาส” จากออมสิน ดียังไง ?สำหรับหลายคน การกู้เงินกับธนาคารอาจฟังดูเป็นเรื่องไกลตัว หรืออาจรู้ส...
08/08/2025

“สินเชื่อสร้างเครดิต สร้างโอกาส” จากออมสิน ดียังไง ?

สำหรับหลายคน การกู้เงินกับธนาคารอาจฟังดูเป็นเรื่องไกลตัว หรืออาจรู้สึกว่า “มันไม่ใช่ทางของเรา” เพราะไม่มีหลักทรัพย์ ไม่มีคนค้ำ หรือไม่มีประวัติการกู้มาก่อนเลย แต่ในยุคที่ทุกอย่างต้องใช้เครดิต ตั้งแต่กู้ซื้อบ้าน ผ่อนรถ ไปจนถึงการขอสินเชื่อเพื่อเริ่มต้นธุรกิจ การไม่มีประวัติเครดิตเลย กลับกลายเป็นอุปสรรคที่ทำให้อนาคตทางการเงินสะดุดตั้งแต่ต้นทาง

ทำให้ธนาคารออมสินออกแบบ “สินเชื่อสร้างเครดิต สร้างโอกาส” มาเพื่อคนที่อยากเริ่มต้นอย่างถูกทาง โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ยังไม่เคยมีประวัติทางการเงินในระบบ ไม่มีสลิปเงินเดือน ไม่มีหลักประกัน หรือไม่มีประวัติการกู้เงินมาก่อนเลยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งอาจรวมถึงพ่อค้าแม่ค้า ผู้มีอาชีพอิสระ รับจ้างทั่วไป ทำงานประจำหรือแม้แต่คนที่เคยมีประวัติกู้มาก่อน แต่หายไปจากระบบนานแล้ว

แม้สินเชื่อรูปแบบนี้จะไม่ได้ให้วงเงินสูงมาก เริ่มต้นเพียงไม่เกิน 20,000 บาท และจุดประสงค์หลักไม่ใช่การให้เงินก้อนโต หากแต่เป็นการ “ปูทาง” ให้ผู้กู้ได้เข้าสู่ระบบอย่างถูกต้อง มีวินัยทางการเงิน และเริ่มต้นสร้างเครดิตของตัวเอง เพื่อจะได้มีโอกาสขอสินเชื่อในวงเงินที่สูงขึ้นในอนาคต

ข้อดีของโครงการนี้

แม้จะเป็นวงเงินไม่สูง แต่สินเชื่อนี้ถือเป็น “โอกาสแรก” สำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มสร้างประวัติเครดิต หากสามารถผ่อนชำระตรงตามกำหนด และเริ่มมีประวัติทางการเงินที่ดีในระบบ ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการเข้าถึงสินเชื่ออื่นในระบบธนาคาร

แน่นอนว่าสิ่งที่น่าสนใจคือ สินเชื่อนี้ไม่จำเป็นต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ไม่ต้องมีผู้ค้ำประกัน และให้ผ่อนชำระได้สูงสุด 12 เดือน โดยมีอัตราดอกเบี้ยคงที่ 0.60% ต่อเดือน หรือประมาณ 12.96% ต่อปี ที่สำคัญคือ ทางออมสินยังให้สิทธิ “พักชำระเงินต้น” ใน 3 งวดแรกอีกด้วย กล่าวคือ ผู้กู้จะชำระเฉพาะดอกเบี้ยในช่วง 3 เดือนแรก ก่อนจะเริ่มผ่อนชำระเงินต้นในงวดถัดไป

ขั้นตอนการสมัคร

ขั้นตอนการสมัครก็ไม่ยุ่งยาก เพียงดาวน์โหลดและใช้งานแอปฯ MyMo ของธนาคารออมสิน โดยเปิดให้จองสิทธิ์ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568 หรือจนกว่าวงเงินจะหมด

สำหรับคนที่เคยคิดว่า “เราคงไม่เหมาะกับการกู้” นี่อาจเป็นโอกาสที่ดีในการพิสูจน์ว่าทุกคนสามารถเริ่มต้นได้ ขอแค่มีวินัยและตั้งใจจริง โอกาสทางการเงินก็ไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อม
เพราะบางครั้ง…การเริ่มต้นจากก้าวเล็ก ๆ ก็อาจเปลี่ยนชีวิตได้ในระยะยาว

#สินเชื่อสร้างเครดิตสร้างโอกาส #เป็นลูกค้าเราเท่ากับช่วยสังคม #ธนาคารออมสินธนาคารเพื่อสังคม

วันนี้เราได้เห็นเรื่อง “สิทธิผู้ป่วย” เต็มหน้าฟีด โพสต์นี้ BT beartai เลยจะพาคุณมารู้จักกับสิทธิผู้ป่วย รวมถึงเงื่อนไขใน...
08/08/2025

วันนี้เราได้เห็นเรื่อง “สิทธิผู้ป่วย” เต็มหน้าฟีด โพสต์นี้ BT beartai เลยจะพาคุณมารู้จักกับสิทธิผู้ป่วย รวมถึงเงื่อนไขในการปฏิเสธการตรวจร่างกายจากเจ้าหน้าที่ว่าทำได้จริงไหม ?

ก่อนอื่นเราต้องแยกเรื่องนี้เป็น 2 ประเด็น คือ การปฏิเสธการตรวจเลือดในฐานะผู้ป่วย และการปฏิเสธการตรวจเลือดจากเจ้าหน้าที่ในการเก็บหลักฐานทางกฎหมาย

- ประเด็นที่ 1: การปฏิเสธการตรวจเลือดในฐานะผู้ป่วยเป็นสิทธิที่ผู้ป่วย

สามารถกระทำได้ โดยเป็นสิทธิผู้ป่วยในข้อ 3 ที่เป็นสิทธิเกี่ยวกับการได้รับข้อมูลเพื่อตัดสินใจก่อนการรักษา

หรือในกรณีที่ผู้ป่วยตรวจเลือดแล้ว ผลการตรวจเลือดเป็นข้อมูลส่วนตัวและเป็นความลับ ตามสิทธิผู้ป่วยข้อที่ 7 แต่สิทธิในการปกปิดข้อมูลสุขภาพนี้ จะมีข้อยกเว้นเมื่อคุณยินยอมให้เปิดเผยข้อมูล และการใช้ในกระบวนการทางกฎหมาย

- ประเด็นที่ 2: การปฏิเสธการตรวจเลือด/ตรวจปัสสาวะจากเจ้าหน้าที่ในการเก็บหลักฐานทางกฎหมาย

โดยปกติแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่มีอำนาจสั่งให้บุคคลใดตรวจปัสสาวะหากบุคคลนั้นไม่ยินยอม เพราะเป็นการกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพส่วนบุคคล

แต่ก็มีข้อยกเว้น 2 กรณีหลักด้วยกันที่กฎหมายให้อำนาจเจ้าหน้าที่ตำรวจสั่งให้ตรวจร่างกายได้แม้ไม่ได้รับความยินยอม

1. ผู้ขับขี่รถยนต์ที่ต้องสงสัยว่าเมา
กฎหมายให้อำนาจพิเศษแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจในการบังคับตรวจปัสสาวะจาก “ผู้ขับขี่รถยนต์” ได้ แม้จะยังไม่มีคดีอาญาเกิดขึ้น

เงื่อนไข: ผู้ขับขี่จะต้องมีพฤติกรรมที่น่าสงสัยว่าจะหย่อนความสามารถในการขับ หรือขับขี่ในขณะมึนเมา เช่น ขับรถไม่ตรงทาง, มีกลิ่นสุรา, พูดจาอ้อแอ้ หรือฝ่าฝืนกฎจราจร

หากผู้ขับขี่ปฏิเสธ: เจ้าพนักงานตำรวจมีอำนาจกักตัวผู้ขับขี่ไว้ได้จนกว่าจะยอมให้ตรวจ

อำนาจนี้ใช้บังคับได้กับ “ผู้ขับขี่” เท่านั้น ไม่ครอบคลุมถึง “ผู้โดยสาร” ที่มากับรถยนต์ ดังนั้น เจ้าหน้าที่จึงไม่สามารถบังคับให้ผู้โดยสารตรวจปัสสาวะได้หากไม่ได้รับความยินยอม

อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่มีอาการมึนเมาที่อยู่ในสถานการณ์อื่น ที่ไม่ได้เป็นผู้ขับขี่ แม้จะมีแสดงพฤติกรรมมึนเมาอย่างชัดเจนก็อยู่ในข้อยกเว้นที่สามารถปฏิเสธการสั่งตรวจร่างกายของเจ้าหน้าที่ได้

2. กรณีเป็นผู้ต้องหาหรือผู้เสียหายในคดีอาญา
เมื่อมีคดีอาญาเกิดขึ้นแล้ว พนักงานสอบสวนมีอำนาจสั่งให้บุคคลที่เป็น “ผู้ต้องหา” หรือ “ผู้เสียหาย” ในคดี ตรวจพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ได้

หากบุคคลดังกล่าวปฏิเสธ: การปฏิเสธไม่ถือเป็นความผิดทางกฎหมาย แต่กฎหมายจะสันนิษฐานว่าผลการตรวจพิสูจน์นั้นจะเป็นผลร้ายต่อผู้ที่ปฏิเสธเอง

เอาล่ะ มาดูสิทธิผู้ป่วย 10 ข้อที่ควรรู้กัน ซึ่งทาง BT beartai ได้สรุปมาแบบเข้าใจง่าย ดังนี้

1. สิทธิขั้นพื้นฐานในการรับบริการสุขภาพ
ผู้ป่วยทุกคนมีสิทธิพื้นฐานที่จะได้รับบริการด้านสุขภาพตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ

2. สิทธิที่จะได้รับบริการโดยไม่เลือกปฏิบัติ
ไม่ว่าคุณจะมีฐานะ, เชื้อชาติ, ศาสนา, เพศ, วัย หรือมีความเจ็บป่วยแบบใด

3. สิทธิที่จะได้รับข้อมูลเพื่อตัดสินใจ
ก่อนทำการรักษา คุณมีสิทธิที่จะได้รับข้อมูลที่เพียงพอและเข้าใจง่ายและชัดจากผู้ประกอบวิชาชีพ อย่างข้อดี ข้อเสีย หรือทางเลือกอื่น เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจว่าจะยินยอมหรือไม่ยินยอมรับการรักษา แต่อาจมีข้อยกเว้นกรณีฉุกเฉินและจำเป็นเร่งด่วนเพื่อช่วยชีวิต

4. สิทธิที่จะได้รับการช่วยเหลือทันทีในภาวะฉุกเฉิน
หากคุณตกอยู่ในภาวะที่เสี่ยงอันตรายถึงชีวิต คุณมีสิทธิจะได้รับการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนจากผู้ประกอบวิชาชีพทันที โดยไม่จำเป็นต้องรอการร้องขอ หรือยอมรับคำยินยอมในการรักษา

5. สิทธิที่จะทราบข้อมูลผู้ให้บริการ
คุณมีสิทธิที่จะทราบชื่อ-สกุล และประเภทของผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพที่เป็นผู้ดูแลรักษาคุณ

6. สิทธิที่จะขอความเห็นและเปลี่ยนผู้ให้บริการ
หากคุณไม่มั่นใจในแผนการรักษา คุณมีสิทธิที่จะขอความเห็นจากแพทย์ท่านอื่น และมีสิทธิในการขอเปลี่ยนผู้ให้บริการหรือสถานพยาบาลได้

7. สิทธิในการปกปิดข้อมูลส่วนตัว
ผู้ประกอบวิชาชีพต้องปกปิดข้อมูลของคุณอย่างเคร่งครัด จะเปิดเผยได้ก็ต่อเมื่อได้รับความยินยอมจากคุณ หรือเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น

8. สิทธิที่จะรับทราบข้อมูลและตัดสินใจเรื่องการวิจัย
หากคุณถูกเชิญให้เข้าร่วมในโครงการวิจัย คุณมีสิทธิที่จะได้รับข้อมูลอย่างครบถ้วนเพื่อตัดสินใจว่าจะเข้าร่วมหรือไม่ และถอนตัวออกจากการวิจัยเมื่อใดก็ได้

9. สิทธิในการเข้าถึงเวชระเบียนของตนเอง
คุณมีสิทธิร้องขอเพื่อรับทราบข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลที่ปรากฏในเวชระเบียนของคุณได้ แต่การเข้าถึงข้อมูลดังกล่าวต้องไม่เป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของผู้อื่น

10. สิทธิของผู้ป่วยเด็กหรือผู้บกพร่องทางกายและจิต
ผู้ป่วยเป็นเด็กอายุยังไม่เกิน 18 ปีบริบูรณ์ หรือเป็นผู้ที่มีความบกพร่องทางกายหรือจิตใจ ผู้แทนโดยชอบธรรมสามารถใช้สิทธิเหล่านี้แทนได้

#ตรวจเลือด

Samsung อัปเกรดกล้อง Galaxy S26 Ultra ด้วยรูรับแสง f/1.4 : ถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้สุดยอดSamsung ต้องการยกระดับการถ่ายภาพด...
08/08/2025

Samsung อัปเกรดกล้อง Galaxy S26 Ultra ด้วยรูรับแสง f/1.4 : ถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้สุดยอด

Samsung ต้องการยกระดับการถ่ายภาพด้วยกล้องของสมาร์ตโฟนเรือธงรุ่นถัดไปด้วยรูรับแสง (Aperture) ที่กว้างขึ้น เพื่อให้กล้องสามารถจับภาพในสภาพแวดล้อมแสงน้อยได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงทำให้ภาพมีความคมชัดมากขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งพาการประมวลผลของซอฟต์แวร์

ก่อนหน้านี้มีรายงานว่า กล้องของ Samsung Galaxy S26 Ultra จะได้รับการติดตั้งเซนเซอร์ภาพ ISOCELL HP2 รุ่นใหม่ที่ Samsung พัฒนาขึ้น ซึ่งจะมีขนาดใหญ่เกือบ 1 นิ้ว และมีรูรับแสงกว้างขึ้น ล่าสุดทิปสเตอร์จากประเทศจีนที่ใช้ชื่อว่า Ice Universe ได้อัปเดตเกี่ยวกับกล้องของ Galaxy S26 Ultra ว่าจะมีรูรับแสงกว้างถึงระดับ f/1.4

- รูรับแสง (Aperture) นั้น มีความสำคัญต่อการควบคุมการถ่ายภาพ ซึ่งเป็นช่องเปิดในเลนส์ให้แสงผ่านเข้าสู่เซนเซอร์ภาพ
- ค่า f น้อย (f/1.2 – f/2.8) หมายถึงรูรับแสงกว้าง ทำให้แสงผ่านเข้ามาได้มากขึ้น ซึ่งเหมาะกับการถ่ายภาพบุคคลที่ต้องการพื้นหลังเบลอ (Bokeh) และถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้ดี
- ค่า f สูง (f/16 – f/22) นั้น หมายถึงรูัรับแสงแคบ ทำให้แสงผ่านเข้ามาได้น้อยลง ส่งผลให้ภาพมีคมชัดตั้งแต่ด้านหน้าไปถึงพื้นหลัง ซึ่งเหมาะสำหรับการถ่ายภาพวิวทิวทัศน์

หากข้อมูลดังกล่าวแม่นยำ จะเป็นการอัปเกรดอย่างก้าวกระโดดจากกล้องหลักของ Samsung Galaxy S25 Ultra ที่มีรูรับแสงกว้าง f/1.7

เมื่อรูรับแสงกว้างขึ้น ทำให้เซนเซอร์เก็บแสงได้มากขึ้น ซึ่งส่งผลให้กล้องหลักของ Samsung Galaxy S26 Ultra ที่คาดว่ามีความละเอียดสูงถึง 200 ล้านพิกเซล สามารถถ่ายภาพในสภาพแวดล้อมแสงน้อยได้ดียิ่งขึ้น, แสดงระยะชัดลึกของภาพได้มากขึ้น และทำให้พื้นหลังมีความเบลอมากยิ่งขึ้นตามไปด้วย

นอกจากนี้มีรายงานว่า Samsung Galaxy S26 Ultra จะใช้ศักยภาพจากชิปเซตเรือธงรุ่นถัดไปอย่าง Snapdragon 8 Elite 2 ของ Qualcomm ซึ่งมาพร้อมแกนซีพียู จำนวน 8 คอร์ และคาดว่ามีความเร็วสูงสุด 4.74 GHz

ในขณะที่ Galaxy S26 รุ่นมาตรฐาน และ Galaxy S26 Edge จะใช้ศักยภาพจากชิปเซต Exynos 2600 ของ Samsung ซึ่งมาพร้อมแกนซีพียู จำนวน 10 คอร์ และคาดว่ามีความเร็วในการประมวลผลสูงสุด 3.55 GHz

ที่มา : GizmoChina

เปิดตัวไปอย่างเป็นทางการแล้วกับ GPT-5 โมเดลล่าสุดใน ChatGPT มาดูวันว่าโมเดลนี้จะเปลี่ยนประสบการณ์การใช้ AI ของเราไปแค่ไห...
08/08/2025

เปิดตัวไปอย่างเป็นทางการแล้วกับ GPT-5 โมเดลล่าสุดใน ChatGPT มาดูวันว่าโมเดลนี้จะเปลี่ยนประสบการณ์การใช้ AI ของเราไปแค่ไหน

สิ่งแรกที่ Sam Altman, CEO ของ OpenAI, ย้ำคือความแตกต่างของ GPT-5 เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้าครับ เขาเปรียบเทียบได้น่าสนใจและเห็นภาพมาก ๆ ครับ

- GPT-3 เหมือนกับการคุยกับ “นักเรียนมัธยมปลาย” ที่มีความฉลาดเป็นครั้งคราว แต่ก็ยังมีข้อบกพร่องอยู่บ้าง

- GPT-4 เหมือนได้คุยกับ “นักศึกษามหาวิทยาลัย” ที่มีความฉลาดและประโยชน์ใช้สอยอย่างแท้จริง

- GPT-5 ก้าวกระโดดไปสู่การเป็น “ผู้เชี่ยวชาญระดับ PhD หรือด็อกเตอร์” ที่คุณสามารถปรึกษาได้ทุกเรื่องตามต้องการ

แน่นอนนี่ไม่ใช่แค่การเปรียบเปรยนะครับ แต่มันสะท้อนถึงความสามารถที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ลองนึกภาพว่าเรามีทีมผู้เชี่ยวชาญระดับด็อกเตอร์อยู่ในกระเป๋า ที่พร้อมจะช่วยงานเราทุกอย่าง มันคือพลังพิเศษที่ในอดีตเราไม่เคยจินตนาการถึงด้วยซ้ำ

แล้วอะไรที่ทำให้ GPT-5 ฉลาดขึ้นขนาดนั้น? คำตอบอยู่ที่สิ่งที่ OpenAI เรียกว่า “Reasoning Paradigm” หรือกระบวนการให้เหตุผลครับ

Mark ผู้บริหารฝ่ายวิจัยอธิบายว่า โมเดลรุ่นก่อนหน้าบังคับให้ผู้ใช้ต้องเลือกระหว่างคำตอบที่ “เร็วแต่ธรรมดา” กับคำตอบที่ “ฉลาดแต่ช้า” แต่ GPT-5 ได้ทลายกำแพงนั้นลง มันถูกออกแบบมาให้ “หยุดคิด” ในเวลาที่เหมาะสมที่สุด เพื่อให้ได้คำตอบที่สมบูรณ์แบบที่สุดสำหรับคำถามนั้น ๆ แบบอัตโนมัติ

สิ่งนี้ทำให้ GPT-5 มีความสามารถในการให้เหตุผลเชิงลึกในศาสตร์ที่ซับซ้อน เช่น คณิตศาสตร์, ฟิสิกส์ หรือแม้กระทั่งกฎหมายได้ในระดับผู้เชี่ยวชาญ

จุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดของ GPT-5 อาจไม่ใช่แค่ความฉลาดในการตอบคำถาม แต่เป็นความสามารถในการ “ลงมือทำ” (Do stuff for you) ในงานเปิดตัวเราได้เห็นการสาธิตที่น่าทึ่งหลายอย่างที่แสดงให้เห็นถึงแนวคิด “Software on Demand” หรือการสร้างซอฟต์แวร์ตามสั่งได้ทีนที อย่างแอพสอนภาษาฝรั่งเศส Interactive dashboard สำหรับซีเอฟโอ และเกม 3 มิติในรูปแบบต่าง ๆ

ใน GPT-5 ยังปรับปรุงการเขียนให้ดีขึ้น ลึกซึ้งมากขึ้น ลดปัญหาข้อมูลหลอน และน่าเชื่อถือขึ้น ปรับนโยบายความปลอดภัยสำหรับคำตอบ เชื่อมต่อกับแอพพลิเคชั่นอื่น อย่าง Gmail และ google calendar

ผู้ใช้ฟรี: จะได้เริ่มต้นด้วย GPT-5 และเมื่อใช้งานถึงขีดจำกัด จะถูกสลับไปใช้ GPT-5 Mini ซึ่งเป็นโมเดลที่เล็กกว่าแต่ยังคงความสามารถสูง

ผู้ใช้ Plus: จะได้โควต้าการใช้งานที่สูงกว่าผู้ใช้ฟรีอย่างมีนัยสำคัญ

ผู้ใช้ Pro: จะได้ใช้งาน GPT-5 แบบไม่จำกัด

รู้จักตัวตน ถอดรหัสสุขภาพผ่านการตรวจ DNA บอกอะไรเราได้บ้าง ?หลายคนอาจจะคิดว่า "การตรวจ DNA" เป็นแค่การตรวจหาพันธุกรรมเหม...
08/08/2025

รู้จักตัวตน ถอดรหัสสุขภาพผ่านการตรวจ DNA บอกอะไรเราได้บ้าง ?

หลายคนอาจจะคิดว่า "การตรวจ DNA" เป็นแค่การตรวจหาพันธุกรรมเหมือนที่เคยเห็นในละครหลังข่าว หรือตามข่าวอาชญากรรม จากเรื่องไกลตัวที่อยู่ในห้องแล็บ ปัจจุบันนี้ได้กลายมาเป็นเทรนด์สุขภาพสุดฮิตที่ใคร ๆ ก็เข้าถึงได้ แล้วเคยสงสัยไหมว่าแท้จริงแล้วการตรวจ DNA บอกอะไรเราได้บ้าง และการได้รู้ข้อมูลเหล่านั้น จะเปลี่ยนชีวิตเราได้อย่างไร ?

​​DNA (Deoxyribonucleic acid) คือสารพันธุกรรมที่ทำหน้าที่เก็บข้อมูลและถ่ายทอดลักษณะต่าง ๆ จากรุ่นสู่รุ่น จึงทำให้ DNA สามารถตรวจสอบความสัมพันธ์ทางสายเลือดได้ และที่สำคัญ DNA ยังสามารถบอกปัญหาสุขภาพของเราได้อีกด้วย

แล้ว DNA บอกอะไรกับเราได้บ้าง ?
นอกเหนือจากการพิสูจน์ความสัมพันธ์ทางสายเลือดที่เราคุ้นเคยกันดีแล้ว DNA ยังสามารถบอกข้อมูลเกี่ยวกับตัวเราได้ในหลายด้าน ดังนี้

1. ด้านสุขภาพ
พันธุกรรมไม่ได้เพียงกำหนดรูปร่างหน้าตา แต่ส่งผลถึงความเสี่ยงต่อสุขภาพและการทำงานของร่างกายที่ต่างกันออกไปด้วย
- ความเสี่ยงในการเกิดโรค แทนที่จะรอให้ป่วยแล้วค่อยรักษา เราสามารถประเมิน ความเสี่ยงในการเกิดโรคทางพันธุกรรมเช่น โรคมะเร็งบางชนิด, โรคหัวใจ, โรคเบาหวาน เพื่อให้เราสามารถวางแผนดูแลสุขภาพเชิงรุกและป้องกันได้ก่อน
- การตอบสนองต่อยา การตรวจ DNA สามารถบอกได้ว่าร่างกายของเรามีแนวโน้มจะตอบสนองต่อยาบางชนิดอย่างไร หรือมีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการแพ้ยาตัวไหนเป็นพิเศษ ช่วยให้แพทย์เลือกใช้ยาที่ปลอดภัยและเหมาะสมกับเราที่สุด
- การเป็นพาหะของโรค สำหรับการวางแผนครอบครัว การตรวจนี้จะบอกได้ว่าเรามียีนที่ผิดปกติหรือเป็นพาหะของโรคที่อาจถ่ายทอดไปสู่ลูกได้หรือไม่ เช่น โรคธาลัสซีเมีย
- การตรวจทารกในครรภ์ สามารถตรวจหาความผิดปกติทางพันธุกรรมของทารกได้ตั้งแต่ในครรภ์ เช่น กลุ่มอาการดาวน์
- ปรับพฤติกรรมการกิน การตรวจ DNA สามารถบอกได้ว่าร่างกายขาดหรือต้องการวิตามินอะไรเป็นพิเศษ เพื่อได้รับสารอาหารที่เหมาะสมแก่ร่างกาย หรือตรวจได้ว่ามีอาหารชนิดใดบ้างที่หากกินเข้าไปแล้วจะเกิดอาการแพ้

2. ด้านไลฟ์สไตล์
นอกจากการใช้ในทางการแพทย์แล้ว การตรวจ DNA อาจใช้เพื่อตรวจลักษณะทางชีววิทยาของร่างกายที่จะช่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลสุขภาพที่ดีขึ้นได้
- การออกกำลังกายที่เหมาะสม เพื่อดูว่าศักยภาพร่างกายของเราเหมาะกับการออกกำลังกายที่เน้นพละกำลัง (Power) หรือเน้นความทนทาน (Endurance) มากกว่ากัน การออกกำลังกายที่ตรงกับพันธุกรรมจะช่วยให้เห็นผลลัพธ์ได้ดีและลดความเสี่ยงบาดเจ็บ
- สุขภาพผิวพรรณ ทำให้เข้าใจผิวพรรณของตนเองมากขึ้น เช่น ความสามารถในการสร้างคอลลาเจน การเกิดริ้วรอย หรือความไวต่อแสงแดด เพื่อให้เราเลือกใช้สกินแคร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3. ด้านตัวตนและพรสวรรค์
แม้การตรวจ DNA จะสามารถบอกตัวตนและพรสวรรค์ได้ อย่างไรก็ตามพรสวรรค์ ทักษะ หรือความสามารถอาจเปลี่ยนแปลงไปขึ้นอยู่กับการฝึกฝนและพัฒนาตัวเองของแต่ละบุคคล ซึ่งความแม่นยำในการตรวจนั้นขึ้นอยู่กับมาตรฐานของห้องแล็บ จึงควรศึกษาข้อมูลและเลือกผู้ให้บริการที่น่าเชื่อถือ โดยเฉพาะเมื่อสั่งซื้อชุดตรวจผ่านช่องทางออนไลน์
- พรสวรรค์ที่ซ่อนอยู่ อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการค้นพบพรสวรรค์ที่อาจจะซ่อนในตัวตนได้โดยที่อาจจะไม่เคยรู้ตัวมาก่อน เช่น ความสามารถด้านภาษา คำนวณ การร้อง การเต้น ซึ่งการตรวจ DNA นี้อาจทำให้เรารู้จักและค้นพบตัวเองได้เร็วขึ้น
- บุคลิกภาพและอารมณ์ สามารถวิเคราะห์บุคลิก การเข้าสังคม หรือแม้กระทั่งการรับมือกับอารมณ์ต่าง ๆ โดยเฉพาะความเครียด ว่ามีอาการเครียดสะสมหรือไม่ เพื่อให้หาทางรับมือและแก้ไขได้
- การพิสูจน์ความสัมพันธ์ทางสายเลือด ใช้ยืนยันความสัมพันธ์ในครอบครัว เช่น การตรวจพ่อ-แม่-ลูก หรือใช้ในงานนิติวิทยาศาสตร์เพื่อระบุตัวตน

การตรวจ DNA เพื่อวิเคราะห์สุขภาพถือเป็นก้าวสำคัญของการดูแลสุขภาพยุคใหม่ เพื่อช่วยให้สามารถประเมินความเสี่ยงของโรคและสามารถวางแผนการรักษาได้แต่เนิ่น ๆ

อย่างไรก็ตาม แม้เทคโนโลยีและข้อมูลเหล่านี้จะสามารถเข้าถึงง่าย แต่สิ่งที่ต้องระวังคือ โฆษณาในออนไลน์ที่อ้างว่าสามารถตรวจพรสวรรค์ได้อย่างแม่นยำ ซึ่งอาจนำไปสู่ความเชื่อแบบผิด ๆ ที่ส่งผลต่อการเลี้ยงดูหรือสร้างความกดดันให้เด็กเกินความจำเป็น ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนเสมอ เพื่อให้ข้อมูลทางพันธุกรรมถูกนำมาใช้อย่างถูกต้องและเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างปลอดภัย

ที่มา : wattanapat, mayoclinic, samitivejchinatown, bumrungrad, hdmall

#เทรด์สุขภาพ

07/08/2025

สรุปการเจรา GBC ไทย-กัมพูชา: ยึดมั่นหยุดยิง ตั้งแต่เที่ยงคืน 28 ก.ค. พร้อมตั้งผู้สังเกตการณ์อาเซียน หลีกเลี่ยงการกระทำที่ยั่วยุ ทั้งทางทหาร–ข้อมูลบิดเบือน ยึดการปฏิบัติตามหลักมนุษยธรรม และนัดประชุม RBC ใน 2 สัปดาห์ และ GBC ในอีก 1 เดือน #ไทยกัมพูชา

07/08/2025

BT Big Story เคยบอกเล่าเรื่องราวและการเตือนภัยเกี่ยวกับการจำนำ iCloud ไว้ สำหรับใครที่อยากรู้จักและรู้ทันความเสี่ยงของการเป็นหนี้จากการจำนำ iCloud สามารถดูคอนเทนต์ที่ใต้คอมเมนต์ได้เลยครับ

ที่อยู่

บริษัท โชว์ไร้ขีด จำกัด ชั้น 6 ตึก Pegasus True Digital Park 101 ถนนสุขุมวิท 101/1
Bangkok
10260

เบอร์โทรศัพท์

+66858482253

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ BT Beartai แบไต๋ผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง BT Beartai แบไต๋:

แชร์