
09/08/2025
เมื่อพูดถึง “จรวด” และ “การเดินทางในอวกาศ” ภาพในหัวของคนส่วนใหญ่คงหนีไม่พ้นโครงการของรัฐบาลที่ใช้เงินภาษีมหาศาล เต็มไปด้วยความซับซ้อน และดูไกลตัว แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามีคนคิดใหม่ทำใหม่ แล้วบอกว่า “จรวดก็เหมือนรถยนต์นั่นแหละ ผลิตเยอะ ๆ ในโรงงานสิ !”
นี่คือแก่นความคิดที่สั่นสะเทือนวงการอวกาศของอีลอน มัสก์ (Elon Musk) และ SpaceX ที่ไม่ได้มองจรวดเป็นโปรเจกต์ของชาติ แต่เป็น “สินค้าบนสายพานการผลิต” เปลี่ยนสงครามเย็นยุคเก่าให้กลายเป็นสงคราม “ส่งด่วน” สู่จักรวาลที่ใคร ๆ ก็เข้าถึงได้
ในอดีต วงการอวกาศถูกผูกขาดด้วยสัญญาแบบ Cost Plus ที่ยิ่งใช้ต้นทุนสูง รัฐยิ่งจ่ายมาก ทำให้ไม่มีแรงจูงใจในการสร้างนวัตกรรมหรือลดต้นทุน แต่ อีลอน มัสก์ ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงทุกอย่างด้วยหลักการ First Principle Thinking หรือการคิดจากแก่นแท้
เขาตระหนักว่าราคาจรวดที่สูงลิ่วไม่ได้มาจากราคาวัตถุดิบ (ซึ่งคิดเป็นแค่ 2% ของราคาขาย) แต่มาจากกระบวนการจัดการที่ไร้ประสิทธิภาพ เขาจึงตัดสินใจสร้างทุกอย่างเอง (In-house Production) โดยนำปรัชญา Lean Manufacturing แบบ Toyota มาปรับใช้เพื่อตัดตัวกลางและควบคุมต้นทุน
ความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์เกิดขึ้นในปี 2015 เมื่อ SpaceX สามารถนำจรวดท่อนแรกกลับมาใช้ซ้ำได้เป็นครั้งแรกของโลก เปิดประตูสู่ยุค "จรวดรีไซเคิล" ที่ทำให้ต้นทุนการส่งของขึ้นสู่วงโคจรลดลงอย่างมหาศาล
จากนั้น SpaceX ได้สร้างกลยุทธ์ที่หลักแหลมที่สุดคือ Starlink หรืออินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม ซึ่งทำหน้าที่ 2 อย่างพร้อมกัน คือเป็นทั้ง "สินค้า" สร้างรายได้โดยตรง และเป็น "ลูกค้า" ให้กับจรวดของตัวเอง ทำให้ทุกการยิงจรวดสร้างมูลค่าและเกิดเป็นวงจรธุรกิจที่แข็งแกร่ง
นอกจากนี้ การออกแบบจรวด Falcon 9 ให้มีเครื่องยนต์ 9 ตัว ทำให้ SpaceX ได้ข้อมูลมหาศาลเพื่อนำมาปรับปรุงจรวดในทุกเที่ยวบิน
สิ่งที่ SpaceX ทำจึงไม่ใช่แค่การเข้ามาแข่งขันในตลาดเดิม แต่คือการขยายตลาด เปิดโอกาสให้ผู้เล่นรายเล็กอย่างมหาวิทยาลัยหรือทีมวิจัย สามารถส่งดาวเทียมขึ้นสู่อวกาศได้ในราคาที่จับต้องได้
เป้าหมายต่อไปคือ Starship ยานอวกาศที่ใช้ซ้ำได้ 100% สำหรับภารกิจสู่ดาวอังคารและการเดินทางข้ามทวีปบนโลก ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนปรัชญาการสร้าง “เครื่องจักรที่ใช้สร้างเครื่องจักร” พลิกโฉมอุตสาหกรรมที่เคยหยุดนิ่งให้กลายเป็นความจริงที่จับต้องได้ในปัจจุบัน