ONB news สำนักข่าวโอเอ็นบี นิวส์ (ONB news) สร้างสรรค์ เที่ยงธรรม รับใช้ประชาชน ติดต่อลงโฆษณาได้ที่ 0969890810

SME D Bank หนุนเอสเอ็มอีไทยเต็มกำลัง เผย 3 ไตรมาส พาถึงแหล่งทุนกว่า 5.7 หมื่นลบ. ประกาศเดินหน้าต่อเนื่อง ปลุกพลังเศรษฐกิ...
27/10/2025

SME D Bank หนุนเอสเอ็มอีไทยเต็มกำลัง เผย 3 ไตรมาส พาถึงแหล่งทุนกว่า 5.7 หมื่นลบ. ประกาศเดินหน้าต่อเนื่อง ปลุกพลังเศรษฐกิจไทย สอดรับนโยบาย ‘Quick Big Win’

ผลดำเนินงานช่วง 3 ไตรมาสแรก ปี 2568 พาถึงแหล่งทุนแล้วกว่า 57,300 ลบ. สร้างเงินหมุนเวียนในระบบ ศก.กว่า 262,600 ลบ. แก้ไข NPLs มีประสิทธิภาพ ลดลงต่อเนื่อง เดินหน้าสานต่อ ปีนี้พาถึงแหล่งทุนรวมกว่า 75,000 ลบ. ปลุกพลังเศรษฐกิจไทย สอดรับนโยบาย Quick Big Win

SME D Bank เดินหน้าหนุนเอสเอ็มอีเต็มกำลัง พาข้ามผ่านปัจจัยท้าทายทั้งภายในและภายนอก ผ่านแนวทางพัฒนาคู่เติมทุน เผยผลการดำเนินงานช่วง 3 ไตรมาสแรก ปี 2568 พาถึงแหล่งทุนแล้วกว่า 57,300 ล้านบาท สร้างเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจกว่า 262,600 ล้านบาท แก้ไข NPLs มีประสิทธิภาพ ลดลงต่อเนื่อง ประกาศเดินหน้าสานต่อ ปีนี้พาถึงแหล่งทุนรวมกว่า 75,000 ล้านบาท ปลุกพลังเศรษฐกิจไทย สอดรับนโยบาย “Quick Big Win”

นายพิชิต มิทราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เปิดเผยว่า ท่ามกลางปัจจัยท้าทายทางเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภาษีนำเข้าสหรัฐฯ การล้นทะลักของสินค้าต่างประเทศ ภัยธรรมชาติ และสถานการณ์ตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา เป็นต้น ล้วนส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย ดังนั้น SME D Bank สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ มุ่งมั่นทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญของภาครัฐในการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยให้ก้าวข้ามวิกฤต ผ่านแนวทางพัฒนาคู่เติมทุน รวมถึง แก้ไขปัญหาหนี้อย่างยั่งยืน ภายใต้การให้บริการที่เข้าใจ และไปถึงถิ่น

ทั้งนี้ ในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2568 SME D Bank สนับสนุนพาผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งทุนกว่า 57,300 ล้านบาท สูงกว่า 35.6% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว (2567) ช่วยสร้างเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจกว่า 262,600 ล้านบาท ควบคู่กับช่วยพัฒนาครบวงจร โดยเฉพาะมุ่งเพิ่มรายได้ ขยายช่องทางตลาด ลดต้นทุน ส่งเสริมปรับตัวพร้อมเข้าสู่ระบบบัญชีภาษี และยกระดับธุรกิจสู่ยุคดิจิทัล ผ่านกิจกรรมออนไซต์ควบคู่ออนไลน์ด้วยแพลตฟอร์ม DX by SME D Bank (dx.smebank.co.th) ใช้บริการได้สะดวกสบาย ทุกที่ ทุกเวลา ตลอด 24 ชม. รวมกว่า 15,300 ราย

นอกจากนั้น ช่วยเหลือลูกค้ากลุ่มเปราะบาง พลิกฟื้นปรับปรุงกิจการกลับมาดำเนินธุรกิจกว่า 16,000 ราย คิดเป็นวงเงินกว่า 33,590 ล้านบาท ส่งผลให้ภาพรวมบริหารจัดการสินเชื่อไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) มีประสิทธิภาพ ลดลงเหลือ ณ สิ้นเดือน ก.ย. 2568 ประมาณ 8.7% โดยเป็น NPLs หลังออกจากแผนพื้นฟูเมื่อปี 2558 เพียง 3.8% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย NPLs สินเชื่อ SMEs ในระบบธนาคารพาณิชย์ ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 7.8%

นายพิชิต กล่าวต่อว่า สำหรับไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ (2568) SME D Bank เดินหน้าช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องนโยบาย Quick Big Win ของรัฐบาล ที่มุ่งกระตุ้นระยะสั้น ได้ผลยาว และเกิดการกระจายตัว โดยตั้งเป้าพาผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งทุนกว่า 75,000 ล้านบาท ช่วยเสริมสภาพคล่อง ผ่านสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำพิเศษคงที่ 3% ต่อปี ตลอด 3 ปีแรก ก่อให้เกิดการกระจายประโยชน์เงินหมุนเวียนสู่เศรษฐกิจฐานรากทั่วประเทศกว่า 343,500 ล้านบาท รักษาการจ้างงานในระบบเศรษฐกิจกว่า 164,800 ราย ควบคู่กับช่วยเหลือด้านงานพัฒนาครบวงจร ผ่านการพาเข้าถึงบริการแพลตฟอร์ม DX by SME D Bank รวมกว่า 42,000 ราย นอกจากนั้น ดูแลผู้ประกอบการกลุ่มเปราะบางอย่างใกล้ชิด ประคับประคองธุรกิจให้ก้าวข้ามผ่านความยากลำบาก พลิกฟื้นกลับมาเดินหน้าได้อีกครั้ง ผ่านมาตรการ “3 ลด ปลดหนี้” ได้แก่ 1. ลดผ่อน ปรับวงเงินการผ่อนชำระ ตามความสามารถของกิจการ 2. ลดเงินต้น ปรับโครงสร้าง เพิ่มความยืดหยุ่นให้ธุรกิจ นําเงินค่างวดมาชําระตามเงื่อนไขของธนาคาร และ 3. ลดดอกเบี้ยค้างชำระ เมื่อชำระตามเงื่อนไขของธนาคารหรือปิดบัญชี

ทั้งนี้ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ต้องการรับการสนับสนุนด้านการเงินและการพัฒนา สามารถแจ้งความประสงค์ได้ ณ สาขา SME D Bank ทั่วประเทศ หรือช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ เช่น LINE Official Account : SME Development Bank และเว็บไซต์ www.smebank.co.th เป็นต้น สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Call Center 1357

สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมจัดพิธีลงนามถวายความอาลัย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สวรร...
27/10/2025

สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมจัดพิธีลงนามถวายความอาลัย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สวรรคต

น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ด้วย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พันปีหลวง เสด็จสวรรคต เมื่อวันศุกร์ที่ ๒๔ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย

สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม จัดพิธีลงนามถวายความอาลัย ณ ห้องพินิตประชานาถ และบริเวณโถงหน้าห้องยุทธนาธิการ ในวันอาทิตย์ที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๖๘ เวลา ๑๓.๓๐ นาฬิกา ในศาลาว่าการกลาโหมโดยมี พลเอก ธราพงษ์ มะละคำ ปลัดกระทรวงกลาโหม รองปลัดกระทรวงกลาโหม นายกสมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม หัวหน้าหน่วยขึ้นตรงสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วยคู่สมรส และข้าราชการในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้

ตลอดระยะเวลาที่ทรงดำรงพระชนม์ชีพ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทได้ทรงประกอบพระราชกรณียกิจนานัปการเพื่อประโยชน์สุขของพสกนิกรชาวไทย และความมั่นคงของชาติ ทรงทำนุบำรุงสืบสาน ศิลปวัฒนธรรมไทยให้คงอยู่สืบเนื่องจากอดีตจวบจนปัจจุบัน ทรงห่วงใยทุกข์สุขของอาณาราษฎรทั่วทุกภูมิภาค และทรงเป็นแรงบันดาลใจให้ปวงชนชาวไทยดำเนินชีวิตด้วยความพอเพียง เมตตา และเสียสละ เสมอมา แม้วันนี้พระองค์เสด็จสู่สวรรคาลัยแต่พระมหากรุณาธิคุณและพระเมตตาธรรมจะยังคงสถิตอยู่ในใจของมหาชนชาวสยามตราบนิจนิรันดร์

ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายขอน้อมเกล้าฯ น้อมกระหม่อมกราบถวายบังคม สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จสู่สวรรคาลัยด้วยความอาลัยรักและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้

จากนั้นเวลา ๑๖.๐๐ นาฬิกา ข้าราชการในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม จำนวนกว่า ๔๐๐ นาย ร่วมเฝ้าฯ รับเสด็จขบวนพระบรมศพ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ณ บริเวณด้านหน้าศาลาว่าการกลาโหม ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้

นายกรัฐมนตรีเสนอแนวทางความมั่นคง 3 เสา ได้แก่ ความมั่นคงทางการเงิน, ความมั่นคงทางดิจิทัล และความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อขับ...
27/10/2025

นายกรัฐมนตรีเสนอแนวทางความมั่นคง 3 เสา ได้แก่ ความมั่นคงทางการเงิน, ความมั่นคงทางดิจิทัล และความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อขับเคลื่อนความร่วมมืออาเซียนบวกสาม เสริมความเข้มแข็งให้กับอาเซียนและพันธมิตรเอเชียตะวันออก จีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น

วันนี้ (วันจันทร์ที่ 27 ตุลาคม 2568) เวลา 10.45 น. (ตามเวลาท้องถิ่นกรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งเร็วกว่ากรุงเทพฯ 1 ชม.) ณ ศูนย์การประชุม KLCC กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียนบวกสาม (ASEAN Plus Three Summit: APT) ครั้งที่ 28 พร้อมผู้นำ/ผู้แทนประเทศสมาชิกอาเซียน และประเทศคู่เจรจาบวกสาม ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลี

ภายหลังการประชุม นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถ้อยแถลงย้ำถึงความสำคัญของกลไกอาเซียนบวกสาม ในการเป็นเวทีหลักที่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมแก่ประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่วิกฤตการณ์การเงินในปี 1997 จนถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และภัยพิบัติทางธรรมชาติ

นายกรัฐมนตรีชี้ให้เห็นว่า โลกในปัจจุบันมีความซับซ้อนและเปราะบางมากขึ้น อาเซียนและประเทศบวกสามจึงจำเป็นต้องเสริมสร้างความร่วมมือให้เข้มแข็งและเท่าทัน เพื่อรับมือกับความท้าทายใหม่อย่างครอบคลุมและทันการณ์

โดยนายกรัฐมนตรีได้เสนอแนวคิด “3 Securities Approach” หรือ “ความมั่นคง 3 ด้าน” เพื่อเป็นทิศทางในการขับเคลื่อนความร่วมมืออาเซียนบวกสามในอนาคต ได้แก่

1) ความมั่นคงทางการเงิน (Financial Security) นายกรัฐมนตรีย้ำความสำคัญของการยกระดับข้อริเริ่มเชียงใหม่ (Chiang Mai Initiative Multilateralisation: CMIM) ไปสู่การจัดตั้งกลไก “Rapid Financing Facility” เพื่อให้ความช่วยเหลือทางการเงินได้อย่างทันท่วงทีในยามเกิดวิกฤต พร้อมชื่นชมถ้อยแถลงว่าด้วยการเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการเงินระดับภูมิภาค ซึ่งจะช่วยสร้างระบบรองรับความมั่นคงทางการเงิน (Financial Safety Net)” ที่เข้มแข็งยิ่งขึ้น

2) ความมั่นคงทางดิจิทัล (Digital Security) นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัลควรเกิดขึ้นอย่างทั่วถึง โดยเฉพาะในระดับชุมชนฐานรากและผู้ประกอบการ MSMEs เพื่อให้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนการเติบโตอย่างครอบคลุม พร้อมสนับสนุนการจัดทำความตกลงเศรษฐกิจดิจิทัลอาเซียน (ASEAN Digital Economy Framework Agreement: DEFA) ที่จะเป็นโอกาสใหม่ของการค้า การลงทุน และนวัตกรรมในภูมิภาค โดยนายกรัฐมนตรียังเสนอให้อาเซียนบวกสามเร่งความร่วมมือในด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ปัญญาประดิษฐ์ (AI) อีคอมเมิร์ซ และการพัฒนาแรงงานดิจิทัล พร้อมทั้งเข้มงวดในการป้องกันอาชญากรรมไซเบอร์ เพื่อสร้างระบบนิเวศดิจิทัลที่ปลอดภัยและยั่งยืน

3) ความมั่นคงของมนุษย์ (Human Security) นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่าความเป็นอยู่ของประชาชนคือหัวใจของความร่วมมืออาเซียนบวกสาม จึงเสนอให้อาเซียน และพันธมิตรที่สำคัญกับอาเซียนทั้งสามประเทศ ร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดและจริงจังยิ่งขึ้นในการปราบปราม Scammer ซึ่งกระทบต่อความมั่นคงปลอดภับของประชาชนโดยตรง นอกจากนี้ควรเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหารผ่านการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีการเกษตรอัจฉริยะ (Smart Agriculture) และการพัฒนาองค์กรสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสาม (ASEAN Plus Three Emergency Rice Reserve- APTERR) ให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการของประเทศสมาชิกได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งขยายการให้ความช่วยเหลือไปยังสินค้าเกษตรประเภทอื่น

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้เสนอให้ใช้ประโยชน์จากศูนย์อาเซียนในประเทศไทย เช่น ศูนย์อาเซียนเพื่อผู้สูงวัยอย่างมีศักยภาพและมีนวัตกรรม (ASEAN Centre for Active Aging and Innovation- ACAI) และศูนย์อาเซียนเพื่อการศึกษาและการหารือด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน (ASEAN Centre for Sustainable Development Studies and Dialogue- ACSDSD) เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืน การเงินสีเขียว และการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด

ตอนท้าย นายกรัฐมนตรีได้แสดงความชื่นชมประเทศคู่เจรจาบวกสามที่มีบทบาทเชิงรุกและสร้างสรรค์ต่ออาเซียน พร้อมยืนยันว่า ไทยสนับสนุนความร่วมมืออย่างสร้างสรรค์ระหว่างประเทศบวกสาม เพื่อเสริมความเข้มแข็งของภูมิภาคเอเชียตะวันออกอย่างแท้จริง

ภายหลังการประชุม ที่ประชุมได้ร่วมรับรองแถลงการณ์ผู้นำอาเซียนบวกสามว่าด้วยการเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการเงินระดับภูมิภาค (ASEAN Plus Three Leaders’ Statement on Strengthening Regional Economic and Financial Cooperation)

ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ถวายความอาลัยแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สวรรคต ขณะที่ ไท...
26/10/2025

ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ถวายความอาลัยแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สวรรคต ขณะที่ ไทย-ฟิลิปปินส์ สนใจเพิ่มพูนความร่วมมือเกี่ยวกับสินค้าเกษตรไทย

วันนี้ (วันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม 2568) เวลา 10.20 น. (ตามเวลาท้องถิ่นกรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งเร็วกว่ากรุงเทพฯ 1 ชม.) ณ ห้อง 2 Hall 7A ชั้น 3 ศูนย์ประชุม KLCC กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หารือทวิภาคีกับนายแฟร์ดีนันด์ โรมูอัลเดซ มาร์โคส จูเนียร์ (H.E. Mr. Ferdinand Romualdez Marcos Jr.) ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ในห้วงการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง โดยนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสำคัญ ดังนี้

ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์แสดงความอาลัยถวายแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สวรรคต เป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของไทย ตนเองและครอบครัว ครั้งบิดา ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ได้รับพระมหากรุณาฯ ให้เข้าเฝ้า

นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณ และยินดีที่ได้พบประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นมิตรและหุ้นส่วนสำคัญที่มีความสัมพันธ์ยาวนานกับไทย ไทยสนับสนุนฟิลิปปินส์ที่จะเข้ารับตำแหน่งประธานอาเซียน ในปีหน้าด้วย

โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือ โดยเห็นพ้องในการส่งเสริมการค้าโดยเฉพาะสินค้าเกษตรของไทย ซึ่งประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ต้องการเห็นการส่งเสริมห่วงโซ่อุปทานระหว่างด้วย รวมถึงการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการท่องเที่ยวและ medical hub โดยเฉพาะความร่วมมือด้านเศรษฐกิจดิจิทัล เพื่อร่วมกันยกระดับศักยภาพทางด้านเศรษฐกิจระหว่างกัน

เริ่มภารกิจวันแรก นายกฯ เข้าร่วมพิธีเปิดการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 พร้อมหารือทวิภาคีกับ ปธน.สหรัฐฯ ก่อนร่วมลงนาม...
26/10/2025

เริ่มภารกิจวันแรก นายกฯ เข้าร่วมพิธีเปิดการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 พร้อมหารือทวิภาคีกับ ปธน.สหรัฐฯ ก่อนร่วมลงนาม Joint Declaration ไทย-กัมพูชา

วันนี้ (วันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม 2568) เวลา 08.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่นกรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งเร็วกว่ากรุงเทพฯ 1 ชม.) นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยภารกิจในวันนี้ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในการเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในช่วงเช้า เวลา 08.30 น. นายกรัฐมนตรีจะเข้าร่วมพิธีเปิดการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ซึ่งขับเคลื่อนแนวคิดหลัก “Inclusivity and Sustainability” ของการเป็นประธานอาเซียนของมาเลเซีย พร้อมทั้งเข้าร่วมพิธีมอบรางวัลอาเซียน (ASEAN Prize) ก่อนร่วมลงนามเอกสารเพื่อรับติมอร์-เลสเตเป็นสมาชิกอาเซียนอย่างเป็นทางการ ณ Exhibition Hall ชั้น G ศูนย์ประชุม Kuala Lumpur Convention Centre (KLCC)

นอกจากนี้ เวลา 09.45 น. นายกรัฐมนตรีมีกำหนดการพบหารือทวิภาคีกับนายอันโตนิอู กุแตเรช (H.E. Mr. António Guterres) เลขาธิการสหประชาชาติ และพบหารือทวิภาคีกับนายแฟร์ดีนันด์ โรมูอัลเดซ มาร์โคส จูเนียร์ (H.E. Mr. No Ferdinand Romualdez Marcos Jr.) ประธานาธิบดีสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ในเวลา 10.20 น. ตามลำดับ หลังจากนั้น เวลา 11.00 น. นายกรัฐมนตรีจะเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 แบบเต็มคณะ (Plenary) และเป็นสักขีพยานในพิธีส่งมอบพิธีสารแก้ไขความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ATIGA) ฉบับที่ 2 ซึ่งสะท้อนถึงการขับเคลื่อนตลาดการค้าเสรีในภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง

เวลาประมาณ 12.00 น. นายกรัฐมนตรีมีกำหนดการหารือทวิภาคีกับประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา นายโดนัลด์ เจ ทรัมป์ (The Honorable Donald J. Trump) ซึ่งจะเป็นโอกาสในการผลักดันประเด็นความร่วมมือที่สำคัญ โดยเฉพาะด้านการค้า และความมั่นคง รวมถึงการปราบปรามสแกมเมอร์ โดยภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายกรัฐมนตรีจะเข้าร่วมลงนามถ้อยแถลงผลการพบหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรไทยและนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชา ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย (Joint Declaration by the Prime Minister of the Kingdom of Cambodia and the Prime Minister of the Kingdom of Thailand on the outcomes of their meeting in Kuala Lumpur, Malaysia) โดยมีนายกรัฐมนตรีมาเลเซียและประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ร่วมเป็นสักขีพยานการลงนามดังกล่าว

รองนายกฯ “เอกนิติ” ประชุมคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ (ก.น.บ.)ที่ประชุมเห็นชอบแนวทางการพิจารณากลั่...
24/10/2025

รองนายกฯ “เอกนิติ” ประชุมคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ (ก.น.บ.)

ที่ประชุมเห็นชอบแนวทางการพิจารณากลั่นกรองแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2570

วันนี้ (24 ตุลาคม 2568 ) ณ ห้องประชุม 301 ชั้น 3 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ (ก.น.บ.) ครั้งที่ 4/2568 โดยมีกรรมการเข้าร่วมประชุม ประกอบด้วยผู้แทนรองนายกรัฐมนตรี ผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้ทรงคุณวุฒิ และมีนางสาวอ้อนฟ้า เวชชาชีวะ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นกรรมการและเลขานุการ

สำหรับที่ประชุมมีมติที่สำคัญ ดังนี้
1. รับทราบการแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แทนภาคประชาสังคมเป็นกรรมการใน ก.น.บ. จำนวน 4 คนโดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้แต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิจากผู้ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดและออกจากราชการไปแล้ว จำนวน 3 คน เป็นกรรมการ ได้แก่ (1) นายชาติชาย อุทัยพันธ์ (2) นายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ และ (3) นายพงศ์รัตน์ ภิรมย์รัตน์ และแต่งตั้งผู้แทนภาคประชาสังคม จำนวน 1 คน เป็นกรรมการ ได้แก่ นายสุรเดช ทวีแสงสกุลไทย โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคม 2568 และมีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละ 3 ปี

2. รับทราบคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการประจำภาค (6 ภาค) ลงวันที่ 15 ตุลาคม 2568 ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน โดยมอบหมายให้ ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า เป็นประธานอนุกรรมการประจำภาคเหนือ นายโสภณ ซารัมย์ เป็นประธานอนุกรรมการประจำภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ เป็นประธานอนุกรรมการประจำภาคกลาง นายสุชาติ ชมกลิ่น เป็นประธานอนุกรรมการประจำภาคตะวันออก และ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ เป็นประธานอนุกรรมการประจำภาคใต้และประธานอนุกรรมการประจำภาคใต้ชายแดน มีหน้าที่และอำนาจหลักในการวางแนวทางปฏิบัติและอำนวยการให้การบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการในภาคเป็นไปตามหลักการ นโยบาย และระบบตามที่ ก.น.บ. กำหนด จัดทำเป้าหมายและแนวทางการพัฒนาภาคและบูรณาการแผนงานโครงการของส่วนราชการและแผนพัฒนาระดับพื้นที่ และพิจารณากลั่นกรองเป้าหมายการพัฒนาจังหวัดยี่สิบปี วัตถุประสงค์และทิศทางการพัฒนาในอนาคตของกลุ่มจังหวัด แผนพัฒนาและแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัด กลุ่มจังหวัด ข้อเสนอโครงการของส่วนราชการที่สอดคล้องกับเป้าหมายและแนวทางการพัฒนาภาค รวมทั้งบูรณาการแผนงาน โครงการของส่วนราชการและแผนพัฒนาระดับพื้นที่ก่อนนำเสนอ ก.น.บ. ตลอดจนการขับเคลื่อนการปฏิบัติ การให้คำแนะนำ และการติดตามและประเมินผลตามแผนในพื้นที่

3. เห็นชอบแนวทางการพิจารณากลั่นกรองแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 โดยกำหนดสัดส่วนงบประมาณของโครงการประเภทต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับข้อเสนอแนะของ ก.น.บ. และมอบหมายฝ่ายเลขานุการฯ แจ้งคณะอนุกรรมการประจำภาค เพื่อทราบต่อไป

4. เห็นชอบหลักเกณฑ์การจัดทำแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 ฉบับปรับปรุง และปฏิทินการดำเนินงานฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2570โดยมอบหมายฝ่ายเลขานุการฯ รับข้อเสนอแนะของที่ประชุมไปปรับปรุงหลักเกณฑ์การจัดทำแผนฯ ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ก่อนแจ้งเวียนจังหวัดและกลุ่มจังหวัด เพื่อทราบและเร่งดำเนินการให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดต่อไป

ทั้งนี้ มอบหมายฝ่ายเลขานุการฯ รับข้อเสนอแนะของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายภราดร ปริศนานันทกุล) ประธานคณะทำงานภายใต้กลไก ก.น.บ. โดยให้ความสำคัญกับการบูรณาการการดำเนินโครงการภายใต้แผนพัฒนาและแผนปฏิบัติราชการของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดในลักษณะห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) รวมทั้งใช้ประโยชน์จากบันทึกความร่วมมือระหว่างจังหวัดและกลุ่มจังหวัดกับส่วนราชการฯ ตามมาตรา 56 และมาตรา 58 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ พ.ศ. 2565 มาใช้ประกอบการจัดทำหลักเกณฑ์การจัดทำแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2571 – 2575 ต่อไป

ปลัดเกษตร มอบนโยบายแก่บุคลากรในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มุ่งขับเคลื่อนพัฒนา สร้างความเข้มแข็งภาคการเกษตรอ...
24/10/2025

ปลัดเกษตร มอบนโยบายแก่บุคลากรในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มุ่งขับเคลื่อนพัฒนา สร้างความเข้มแข็งภาคการเกษตรอย่างยั่งยืน

นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายให้แก่หน่วยงานในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วย ผู้บริหารในหน่วยงานกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และผ่านระบบออนไลน์ (Zoom Meeting) ในที่ประชุมได้มีการนำเสนอข้อมูลแผนการดำเนินงานที่สำคัญของหน่วยงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 และติดตามผลการดำเนินงานที่สำคัญของหน่วยงานในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

นอกจากนี้ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มอบหมายให้หน่วยงานในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขับเคลื่อนการดำเนินงานเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายสำคัญของ ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งให้มีการบูรณาการข้อมูลของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในทุกมิติเพื่อจัดทำฐานข้อมูลด้านการเกษตรอย่างเป็นระบบ โดยให้ความสำคัญกับการศึกษาแนวคิดการทำวิจัย ให้เกิดผลสัมฤทธิ์ และเน้นย้ำการขับเคลื่อนการดำเนินงานที่สำคัญของกระทรวงเกษตรฯ ในส่วนของภูมิภาคในการสร้างความเข้มแข็งต่อภาคการเกษตร รวมถึงสร้างการรับรู้ข้อมูลข่าวสารด้านการเกษตรที่ถูกต้องเพื่อประโยชน์สูงสุดต่อเกษตรกรได้อย่างยั่งยืน

นายกฯ อนุทิน ชู “ทีมขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาล ไปสู่การปฏิบัติจริงในพื้นที่” ข้อต่อสำคัญให้กระบี่เป็นเมืองที่ "ปลอดภัยและ...
24/10/2025

นายกฯ อนุทิน ชู “ทีมขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาล ไปสู่การปฏิบัติจริงในพื้นที่” ข้อต่อสำคัญให้กระบี่เป็นเมืองที่ "ปลอดภัยและสงบสุข" "เมืองท่องเที่ยวคุณภาพสูงและยั่งยืน“

วันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม 2568 นางสาวอัยรินทร์ พันธุ์ฤทธิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ตรวจราชการ ณ จังหวัดกระบี่ พร้อมด้วยนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นางสาวซาบีดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม และนางสาวศศิธร กิตติธรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี มอบนโยบายแก่หัวหน้าส่วนราชการ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน สารวัตรและผู้ช่วยผู้บริหารท้องถิ่น และสมาชิกสภาท้องถิ่น ณ อาคารเดอะแพลทตินัม ฮอลล์ ตำบลปากน้ำ อำเภอเมืองกระบี่ จังหวัดกระบี่ ว่าจังหวัดกระบี่ถือเป็นเมืองที่มีศักยภาพสูง เป็นที่ยอมรับ ทั้งการท่องเที่ยวและทรัพยากรธรรมชาติ การพัฒนากระบี่ให้เจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืน ถือเป็นภารกิจสำคัญ โดยอาศัยการทำงานที่ต้องสอดรับกัน เน้นความเจริญก้าวหน้าของพื้นที่เป็นสำคัญ

“ให้ความมั่นใจกับชาวกระบี่ว่า สิ่งที่ยังไม่สำเร็จ จะต้องสำเร็จ ตามสโลแกนสั่งวันนี้ เสร็จเมื่อวาน เช่น สะพานเกาะลันตา ที่จะทำความเจริญ สร้างโอกาสทางอาชีพ ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้กลับมา“ นายกรัฐมนตรี ย้ำ

นายกรัฐมนตรียังฝากให้สื่อสารโครงการของรัฐบาล เช่น “โครงการคนละครึ่ง พลัส ” ที่ต้องการให้เกิดการ กระตุ้นเศรษฐกิจ มีเงินหมุนเวียน 1 แสนล้านบาทในระบบเศรษฐกิจประเทศ

“ฝากจังหวัด และส่วนปกครองท้องถิ่น ช่วยสอดส่องดูแล ความพร้อมและปลอดภัย รวมไปถึงการจัดระเบียบสังคม ปราบปรามยาเสพติด ให้ทุกภาคส่วนร่วมกันทำงาน เพื่อให้กระบี่เป็นเมืองที่ "ปลอดภัยและสงบสุข" โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยวและคมนาคม ต้องพร้อมและปลอดภัยตลอดเวลา รวมทั้งการจัดระเบียบสังคม ปราบปรามผู้มีอิทธิพลก็เป็นภารกิจสำคัญ ต้องทำอย่างต่อเนื่องและจริงจัง ขอให้ทุกภาคส่วนร่วมกันทำงาน เพื่อให้กระบี่เป็นเมืองที่ "ปลอดภัยและสงบสุข"

ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงกลุ่มจังหวัดอันดามัน ว่า สามารถเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางการแพทย์ medical Tourism และพัฒนาจนเป็น health hub ศูนย์กลางทางการแพทย์ได้ จากโครงสร้างพื้นฐานทางคมนาคมขนส่ง เช่น สนามบินกระบี่ รวมถึงสาธารณูปโภคต่าง ๆ ที่มีความพร้อม พร้อมขอให้นำสิ่งที่ให้นโยบายวันนี้ไปปฏิบัติให้เป็นรูปธรรมต่อไป

นายกฯ อนุทิน เชิญชวนคนไทยร่วมสืบสานประเพณีลอยกระทง 2568 เดินหน้าผลักดันเศรษฐกิจไทย ด้วยอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย สร้างร...
21/10/2025

นายกฯ อนุทิน เชิญชวนคนไทยร่วมสืบสานประเพณีลอยกระทง 2568 เดินหน้าผลักดันเศรษฐกิจไทย ด้วยอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย สร้างรายได้ให้ประเทศอย่างยั่งยืน

วันนี้ (21 ตุลาคม 2568) เวลา 09.40 น. ณ บริเวณโถงอาคารตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา นำคณะผู้บริหารการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และเจ้าหน้าที่ เข้าพบนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเพื่อประชาสัมพันธ์การจัดงาน Maha Loi Krathong World Event ในเดือนตุลาคม - พฤศจิกายน 2568 ณ จังหวัดสุโขทัยและพระนครศรีอยุธยา และงาน Vijit Chao Phraya 2025 ในเดือนพฤศจิกายน - ธันวาคม 2568 ณ บริเวณสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา กรุงเทพฯ โดยมี นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และนางสาวซาบีดา ไทยเศรษฐ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เข้าร่วมด้วย

นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรี รับฟังวัตถุประสงค์ของการจัดงานกิจกรรมและการประชาสัมพันธ์ “งานสีสันแห่งสายน้ำ มหกรรมลอยกระทง ปี 2568” และ “งาน Vijit Chao Phraya 2025” โดยงาน Maha Loi Krathong จะถูกจัดขึ้นในวันที่ 27 ตุลาคม - 5 พฤศจิกายน 2568 ณ บริเวณวัดชนะสงครามและตระพังตะกวน อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย จังหวัดสุโขทัย โดยเนรมิตพื้นที่วัดชนะสงครามให้เปล่งประกายด้วยแสงไฟ ถ่ายทอดเรื่องราวแห่งความรุ่งเรืองของอารยธรรมสุโขทัย ผสานบรรยากาศย้อนยุคกับความร่วมสมัยอย่างกลมกลืน และงาน Maha Loi Krathong ในวันที่ 2 - 6 พฤศจิกายน 2568 ณ วัดพระราม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นำเสนอความงดงามและมนต์เสน่ห์ของประเพณีลอยกระทง เพื่อตอกย้ำการได้รับการยกย่องจากยูเนสโกให้เป็นเมืองเป็นแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมของเมืองประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา โดยนำเสนออัตลักษณ์ประเพณีเทศกาลลอยกระทง ผสมผสานภูมิปัญญาท้องถิ่นเข้ากับความคิดสร้างสรรค์นวัตกรรมการจัดแสดงแสง สี เสียง เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้เข้าร่วมงาน นอกจากนี้ยังมีการสนับสนุนการจัดงานในพื้นที่อัตลักษณ์ทั่วประเทศ ได้แก่ ประเพณีเดือนยี่เป็ง จังหวัดเชียงใหม่ ประเพณีลอยกระทงสายไหลประทีป 1,000 ดวง จังหวัดตาก ประเพณีลอยกระทงกาบกล้วยเมืองแม่กลองตามครรลองวิถีพอเพียง จังหวัดสมุทรสงคราม และประเพณีสมมาน้ำคืนเพ็งเส็งประทีป จังหวัดร้อยเอ็ด

ทั้งนี้ สำหรับงาน Vijit Chao Phraya 2025 มีการจัดแสดง 45 วันเต็ม ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน - 15 ธันวาคม 2568 เวลา 18.00-22.00 น. บริเวณสถานที่สำคัญริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา กรุงเทพมหานคร สร้างบรรยากาศและสีสันให้แก่สองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาด้วยแสงไฟผสมผสานกับเทคโนโลยี แสง เสียง ในยามค่ำคืน และสร้าง Landmark อัตลักษณ์ของประเทศไทย ผ่าน 15 จุดแสดงสำคัญ ประกอบด้วย สะพานพระราม 8, บริเวณปากคลองบางกอกน้อย-ปากคลองดุสิต (โรงพยาบาลศิริราช), พิพิธภัณฑ์ศิริราชพิมุขสถาน (โรงพยาบาลศิริราช), ท่าพระจันทร์), อาคารสำนักงานราชนาวิกสภา (กองทัพเรือ), บริเวณหน้าสวนนาคราภิรมย์, วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร, ป้อมวิไชยประสิทธิ์ (กองทัพเรือ) วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร, สะพานปฐมบรมราชานุสรณ์ (สะพานพระพุทธยอดฟ้า), สะพานพระปกเกล้า, ตึกร้าง (ซอยล้ง 1919) ถนนเชียงใหม่ เขตคลองสาน, วัดแม่พระลูกประคำ (กาลหว่าร์),ไอคอนสยาม และ ปั้นจั่น/เครนก่อสร้างทางน้ำ (บริษัท อู่กรุงเทพ จำกัด) โดยไฮไลต์สำคัญได้แก่ การแสดงโดรน 500 ลำประกอบการแสดง แสง สี เสียง บริเวณสะพานพระราม 8 ทุกวันศุกร์และการจุดพลุประกอบเอฟเฟกต์ และนวัตกรรม แสง สี เสียง สุดยิ่งใหญ่อลังการ บริเวณสะพานพระพุทธยอดฟ้า ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ ตลอดการจัดงาน

รมว.วัฒนธรรมเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ผ้าฯ ชวนคนไทย “แต่งชุดไทยพระราชนิยมไปลอยกระทง” สืบสานพระราชปณิธานสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์...
21/10/2025

รมว.วัฒนธรรมเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ผ้าฯ ชวนคนไทย “แต่งชุดไทยพระราชนิยมไปลอยกระทง” สืบสานพระราชปณิธานสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ เตรียมผลักดัน “ชุดไทยพระราชนิยม” สู่มรดกวัฒนธรรมโลก

วันที่ 20 ตุลาคม 2568 นางสาวซาบีดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เยี่ยมชม พิพิธภัณฑ์ผ้าในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ณ หอรัษฎากรพิพัฒน์ ภายในพระบรมมหาราชวัง โดยมี นายประสพ เรียงเงิน ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมด้วยนางศรินดา จามรมาน นักวิชาการอิสระด้านการจัดการความรู้และสื่อสารการศึกษา ผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวงวัฒนธรรม เข้าร่วมในโอกาสดังกล่าว ในโอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมคณะได้เยี่ยมชมนิทรรศการภายในพิพิธภัณฑ์ผ้าฯ อาทิ นิทรรศการชุดไทย : จากราชสำนักสู่ราชนิยม นิทรรศการสิริราชพัสตรา บรมราชินีนาถ นิทรรศการราชภูษิตาภรณ์สยาม ห้องกิจกรรมมองสยามตามสมัย ตลอดจนเยี่ยมชมร้านพิพิธภัณฑ์ผ้าฯ จำหน่ายสินค้า หนังสือเกี่ยวกับผ้า และเครื่องแต่งกาย ผลิตภัณฑ์ที่เชื่อมโยงกับนิทรรศการ

นางสาวซาบีดา กล่าวถึงการเยี่ยมชมในครั้งนี้ว่าถือเป็นการสืบสานและเผยแพร่ความรู้เรื่องผ้าไทย พร้อมทั้งเป็นการ รณรงค์เชิญชวนประชาชนและนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ แต่งชุดไทยพระราชนิยม ในโอกาสต่างๆ ตามแบบที่ถูกต้อง ประกอบกับกระทรวงวัฒนธรรมยังได้เตรียมผลักดันให้ “ชุดไทย: ความรู้ งานช่างฝีมือ และแนวปฏิบัติการแต่งกายชุดไทยประจำชาติ” เข้าสู่กระบวนการพิจารณาเพื่อขึ้นทะเบียนเป็น รายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ ปี 2569 โดยองค์การยูเนสโก ซึ่งจะเป็นอีกก้าวสำคัญในการเผยแพร่เอกลักษณ์ความเป็นไทยสู่สายตาชาวโลก

รมว.วธ. ยังกล่าวถึงที่มาของ “ชุดไทยพระราชนิยม” ว่า สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงมีพระราชดำริให้ฉลองพระองค์ในแบบที่สะท้อนเอกลักษณ์ความเป็นไทย เมื่อครั้งโดยเสด็จพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จเยือนประเทศต่าง ๆ ในยุโรปและสหรัฐอเมริกา เมื่อปี พ.ศ. 2503 ซึ่งในช่วงแรกทรงออกแบบร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจำนวน 5 แบบ และต่อมาได้เพิ่มเป็น 8 แบบ ซึ่งรู้จักกันในนาม “ชุดไทยพระราชนิยม” อันเป็นต้นแบบ ชุดประจำชาติของสตรีไทย ในปัจจุบัน ที่สะท้อนความงดงามของผ้าไทยและการผสมผสานระหว่างขนบการแต่งกายไทยโบราณกับความร่วมสมัยอย่างลงตัว

รมว.วธ. กล่าวเชิญชวนว่า “ในโอกาสเทศกาลอันใกล้นี้ ขอเชิญชวนประชาชนและนักท่องเที่ยว ร่วมกันแต่งชุดไทยพระราชนิยมไปลอยกระทงในปีนี้ เพื่อแสดงเอกลักษณ์ความเป็นไทยอย่างภาคภูมิ” โดยชุดไทยพระราชนิยมที่เหมาะสมกับการสวมใส่ในโอกาสวันลอยกระทง สำหรับสุภาพสตรี คือ ชุดไทยจิตรลดา หรือชุดไทยอมรินทร์ ส่วนสุภาพบุรุษสามารถเลือก ชุดไทยแขนสั้น ชุดไทยแขนยาว หรือชุดไทยแขนยาวคาดเอว ตามความเหมาะสม

รมว.วธ. กล่าวทิ้งท้ายว่า “ขอเชิญชวนทุกท่านร่วมกันส่งเสริมการสวมใส่ชุดไทยพระราชนิยม เพื่อร่วมกันเตรียมความพร้อมสู่การนำเสนอ ‘ชุดไทยพระราชนิยม’ ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติกับยูเนสโกในปี 2569”

“มัลลิกา” ยืนยัน “Digital Taxi Meter” เป็นแนวคิดพัฒนาและยกระดับแท็กซี่ไทย เน้นย้ำ ยังไม่มีการขึ้นค่าโดยสาร มั่นใจทุกฝ่าย...
21/10/2025

“มัลลิกา” ยืนยัน “Digital Taxi Meter” เป็นแนวคิดพัฒนาและยกระดับแท็กซี่ไทย เน้นย้ำ ยังไม่มีการขึ้นค่าโดยสาร มั่นใจทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้ประโยชน์

วันนี้ (21 ตุลาคม 2568) เวลา 09.00 น. ห้องประชุมราชดำเนิน อาคาราชรถสโมสร กระทรวงคมนาคม นางสาวมัลลิกา จิระพันธุ์วาณิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม พร้อมด้วยนายปัญญา ชูพานิช รองปลัดกระทรวงคมนาคม หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านการขนส่ง และนายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก ร่วมชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับแนวทางการยกระดับรถแท็กซี่ด้วย Digital Taxi Meter เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริการของรถแท็กซี่ให้มีความทันสมัย โปร่งใส สร้างความมั่นใจให้กับผู้โดยสารมากขึ้นในอนาคต รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายในการปราบปรามรถแท็กซี่ผิดกฎหมายอย่างเคร่งครัด พร้อมนี้ได้แถลงยืนยันไม่มีการปรับขึ้นอัตราค่าบริการของรถแท็กซี่ตามเป็นกระแสข่าวแต่อย่างใด

นางสาวมัลลิกา กล่าวว่า กระทรวงคมนาคม โดยกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ขอชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับนโยบาย Digital Taxi Meter ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับมาตรฐานการให้บริการรถแท็กซี่ สร้างความโปร่งใส และเพิ่มความปลอดภัยแก่ผู้ใช้บริการ ดังนี้

1. ยกระดับความเชื่อมั่นและความปลอดภัยของผู้ใช้บริการ Digital Taxi Meter ไม่ใช่เพียงการปรับเครื่องคิดค่าโดยสาร แต่จะมีระบบ QR Code ที่ผู้โดยสารสามารถสแกนเพื่อตรวจสอบตัวตนคนขับได้ทันที ป้องกันแท็กซี่เถื่อนหรือการสวมสิทธิ์ และมีช่องทางเชื่อมโยงไปยังระบบรับเรื่องร้องเรียนของ ขบ. โดยตรง ทำให้ผู้โดยสารสามารถแจ้งเหตุเมื่อถูกปฏิเสธได้ทันที ซึ่งเป็นมาตรการที่ทำให้ผู้โดยสารมั่นใจว่าปลอดภัยและตรวจสอบได้ อีกทั้งจะมีช่องทางในการประเมินค่าโดยสาร เพื่อให้ประชาชนประมาณการค่าใช้จ่ายในการเดินทางได้ ที่สำคัญจะมีระบบ GPS ติดตั้งในมิเตอร์ ตรวจสอบค่าโดยสารกับรอบวิ่งจริงพร้อมแจ้งมาที่ ขบ. กรณีมีการคิดค่าโดยสารผิดปกติ

2. ใช้เทคโนโลยีเพื่อยกระดับมาตรฐานแท็กซี่ไทย Digital Taxi Meter มีการนำระบบ GPS มาใช้ สามารถนำข้อมูลมาใช้ประเมินผลการปฏิบัติงานของผู้ขับขี่ (KPI) เช่น พฤติกรรมการขับรถ ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยยกระดับมาตรฐานแท็กซี่ไทยในภาพรวม

3. “ยังไม่ขึ้นราคา” แต่กำลังศึกษาแนวทางค่าโดยสารที่เป็นธรรม การพัฒนาระบบ Digital Taxi Meter ยังอยู่ระหว่างการศึกษาถึงการดำเนินการเท่านั้น เป็นเพียงแนวคิดที่ต้องศึกษาผลกระทบอย่างรอบด้านทุกมิติ ซึ่งหากมีผลบังคับใช้แล้วจะใช้สำหรับรถใหม่ที่จดทะเบียนในอนาคตหรือภาคสมัครใจ โดยจะต้องไม่กระทบหรือเป็นภาระกับผู้ขับรถแท็กซี่ปัจจุบัน ทั้งนี้ ขอยืนยันกระแสข่าวที่จะมีการปรับอัตราค่าโดยสารรถแท็กซี่ว่า “ไม่เป็นความจริง” ยังไม่มีการปรับขึ้นอัตราค่าโดยสารแต่อย่างใด

4. เปิดโอกาสให้แท็กซี่รายเดิมเข้าร่วมได้ จากกระแสข่าวที่ระบุว่า Digital Taxi Meter นี้ จะรองรับเฉพาะแท็กซี่ใหม่อายุไม่เกิน 4 ปี และรถใหม่ อาจทำให้เกิดความกังวลในหมู่ผู้ขับขี่แท็กซี่เดิม ขอย้ำว่า “แท็กซี่เดิมสามารถเข้าร่วมได้เช่นกัน” หากมีการปรับปรุงสภาพรถให้พร้อมใช้งาน ดูแลความสะอาด และผ่านการตรวจสภาพตามเกณฑ์ที่ ขบ. กำหนด แนวทางนี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการแท็กซี่รายเดิมยังคงอยู่ในระบบได้ ขณะเดียวกันเป็นการยกระดับคุณภาพของรถแท็กซี่โดยรวมอีกด้วย

5. มุ่งเน้นความปลอดภัยและความสะดวกของผู้โดยสาร หัวใจของ Digital Taxi Meter คือ “การสร้างความมั่นใจให้ประชาชนผู้ใช้บริการ” ว่าจะได้รับบริการที่ปลอดภัย สะดวก และโปร่งใส ตรวจสอบได้และไม่ถูกเอาเปรียบ

“ขอยืนยันกับพี่น้องประชาชนอีกครั้งว่า นโยบาย Digital Taxi Meter นี้จะนำมาซึ่งประโยชน์ต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งผู้โดยสารจะได้รับความปลอดภัยเพิ่มขึ้น ความโปร่งใสในการคิดค่าโดยสาร มีช่องทางร้องเรียนที่รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และเพิ่มความมั่นใจในการใช้บริการรถแท็กซี่โดยรวม ส่วนผู้ขับรถแท็กซี่ได้รับประโยชน์จากระบบการทำงานที่เป็นมาตรฐาน มีความเป็นธรรมในการแข่งขัน และช่วยยกระดับภาพลักษณ์ของวิชาชีพให้ดีขึ้น อีกทั้ง ขบ. มีข้อมูลที่แม่นยำสำหรับการวางแผนพัฒนาในอนาคต และช่วยยกระดับมาตรฐานการขนส่งสาธารณะของประเทศไทยให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น” นางสาวมัลลิกา กล่าว

“รองนายกฯ สุชาติ” เร่งขับเคลื่อนนโยบาย MNRE Zero Food Waste หวัง ทส. เป็นต้นแบบเชิงรูปธรรมใน 4 เดือนวันนี้ (20 ตุลาคม 25...
20/10/2025

“รองนายกฯ สุชาติ” เร่งขับเคลื่อนนโยบาย MNRE Zero Food Waste หวัง ทส. เป็นต้นแบบเชิงรูปธรรมใน 4 เดือน

วันนี้ (20 ตุลาคม 2568) เวลา 09.30 น. นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานในพิธีเปิดและมอบนโยบายการจัดการขยะอาหารในการสัมมนาโครงการ “MNRE Zero Food Waste” เพื่อส่งเสริมให้หน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทั้ง 15 หน่วยงาน นำโดยกรมควบคุมมลพิษ และหน่วยราชการบริเวณโดยรอบพื้นที่ซอยอารีย์สัมพันธ์ ได้แก่ หน่วยงานในสังกัดกระทรวงการคลัง และกรมประชาสัมพันธ์ มีการจัดการขยะอาหารในหน่วยงานอย่างเหมาะสมตามนโยบาย Zero Food Waste โดยได้รับความร่วมมือจากสมาคมซาเล้งและร้านรับซื้อของเก่า และมูลนิธิการจัดการทรัพยากรอย่างอย่างยืน (มูลนิธิ 3R) มาร่วมแลกเปลี่ยนแนวทาง
ที่เหมาะสม ณ ห้องประชุมศักดิ์สิทธิ์ ตรีเดช ชั้น 2 อาคารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยมีผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมงานกว่า 450 คน

นายสุชาติ กล่าวว่า ปัญหาขยะอาหาร (Food Waste) เป็นประเด็นสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระดับโลก ประเทศไทยมีปริมาณขยะอาหารมากถึง 10 ล้านตันต่อปี และขยะอาหารเหล่านี้ยังเป็นแหล่งกำเนิดก๊าซมีเทนที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนมากกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 28 เท่า รัฐบาลโดยการนำของท่านอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ให้ความสำคัญกับปัญหาดังกล่าว และได้มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการผลักดันให้เกิดผลในการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม จึงได้มุ่งเป้าไปที่หน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้เป็นต้นแบบของหน่วยงานที่มีการจัดการขยะเป็นศูนย์ (Zero Waste)

ทั้งนี้ นายสุชาติ ยังได้เน้นย้ำว่า “หน่วยงานในกระทรวงฯ ต้องเป็นต้นแบบของ Zero Food Waste ในระยะเวลา 4 เดือน ก่อนจะขยายผลไปยังหน่วยงานอื่น ๆ นอกจากนี้ ยังได้มีการหารือที่จะให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบต่อการจัดการขยะอาหารผ่านรายงานการประเมินผละกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA สำหรับโครงการหมู่บ้าน คอนโด ที่อยู่อาศัย และในส่วนของโรงงานอุตสาหกรรมได้มีการหารือกับกระทรวงอุตสาหกรรมแล้ว ที่จะส่งเสริมให้โรงงานต่าง ๆ ในนิคมอุตสาหกรรมมีการจัดการขยะอาหารอย่างจริงจังด้วยเช่นกัน และที่สำคัญคือ ต้องปลูกฝังให้เด็กและเยาวชน ตระหนักถึงปัญหา และการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อเป็นรากฐานสนับสนุนให้ทุกหน่วยงานสามารถดำเนินการเพื่อให้ขยะเป็นศูนย์ (Zero Waste) ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดของการจัดการขยะมูลฝอยต่อไป”

ที่อยู่

355/5 ถนนลาดพร้าววังหิน แขวงลาดพร้าว เขตลาดพร้าว
Bangkok
10230

เบอร์โทรศัพท์

+66969890810

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ONB newsผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง ONB news:

แชร์

ความเป็นมาของเราโอเอ็นบี นิวส์

สำนักข่าว โอเอ็นบี นิวส์ (ONB News) ก่อตั้งโดยกลุ่มนักวิชาการ นักพัฒนาภาคเอกชน สื่อสารมวลชน และชมรมผู้สื่อข่าวภูมิภาคทั่วประเทศไทย โดยมีการระดมทุนกันเองทั้งจากองค์กรพัฒนาเอกชน องค์กรชาวบ้าน นักวิชาการ นักธุรกิจ นักกิจกรรม และนักสื่อมวลชน เป็นองค์กรสื่อส่วนกลางของภาคประชาชน ที่ทำงานร่วมกับสื่อมวลชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อให้ข่าวสารภาคประชาชน โดยเฉพาะเกี่ยวกับปัญหาความยากจน ปัญหาคนชายขอบและปัญหาของชุมชนท้องถิ่นต่างๆ สื่อสารไปยังสังคมในวงกว้าง โดยผ่านสื่อมวลชนและเว็บไซต์ เพื่อให้องค์กรภาคประชาชนพัฒนาความรู้ ความเข้าใจในการใช้สื่อ ผลิตสื่อ และวิธีการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ

โดยผู้สื่อข่าวของ โอเอ็นบี นิวส์ เป็นผู้สื่อข่าวระดับพื้นที่ ซึ่งมิใช่ผู้สื่อข่าวอาชีพ แต่เป็นผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดกับข้อเท็จจริง กระจายอยู่ตามสาขาอาชีพต่างๆ ในชนบททั่วประเทศ โดยมีศูนย์ข่าวภูมิภาคประจำอยู่ใน 4 ภูมิภาค คือ ภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงในการฝึกอบรม และจัดตั้งผู้สื่อข่าวระดับพื้นที่ รายงานข่าวแก่สมาชิกเป็นประจำผ่านทางจดหมายข่าวออนไลน์

สำนักข่าวโอเอ็นบี นิวส์ (ONB News) ก่อตั้งช่วงเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2560 เพื่อนำเสนอข่าวสืบสวนสอบสวน เน้นประเด็นตรวจสอบความโปร่งใสภาครัฐ ความโปร่งใสภาคเอกชน และการพัฒนาที่ยั่งยืน ดำเนินงานโดยทีมงานนักข่าวอาชีพที่มีประสบการณ์ในวงการข่าว นานกว่า 20 ปี มุ่งหวังที่จะใช้อินเทอร์เน็ต เป็นทั้งพื้นที่ในการนำเสนอข่าว แลกเปลี่ยนกับผู้อ่าน และเป็นเครื่องมือในการทำงาน โดยเชื่อมั่นในพลังของสื่อใหม่ว่า การใช้อินเทอร์เน็ตเป็นพื้นที่และเครื่องมือจะช่วยดำรงความเป็นอิสระของกองบรรณาธิการ ก้าวข้ามข้อจำกัดของสื่อกระแสหลัก และสร้างความแตกต่างให้กับสำนักข่าว โอเอ็นบี นิวส์ (ONB News) ทั้งในแง่ของการนำเสนอข่าวเชิงลึก และการนำเสนอข้อมูลที่ซับซ้อนอย่างเข้าใจง่าย แก้ไขความเข้าใจผิด สร้างความเชื่อมั่น ความน่าเชื่อถือ และศรัทธาในภาครัฐ

เราเชื่อมั่นว่า การนำ “ความเร็ว” ของพลังสังคมและข้อมูลข่าวสารในสื่อสังคมออนไลน์ มาผสานกับ “ประสิทธิภาพ” ของเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตในการเชื่อมโยงและนำเสนอข้อมูล ผนวกกับ “ความลึก” ของนักข่าวมืออาชีพมากประสบการณ์ จะเปิดมิติใหม่ให้แก่วงการสื่อสารมวลชนไทย