ONB news สำนักข่าวโอเอ็นบี นิวส์ (ONB news) สร้างสรรค์ เที่ยงธรรม รับใช้ประชาชน ติดต่อลงโฆษณาได้ที่ 0969890810

ศบ.ทก. กองทัพภาคที่ 1 ประกาศให้ “บ้านหนองจาน“ สระแก้ว เป็นพื้นที่รักษาความสงบเรียบร้อยวันนี้ (29 สิงหาคม 2568) นายจิรายุ...
29/08/2025

ศบ.ทก. กองทัพภาคที่ 1 ประกาศให้ “บ้านหนองจาน“ สระแก้ว เป็นพื้นที่รักษาความสงบเรียบร้อย

วันนี้ (29 สิงหาคม 2568) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ คณะกรรมการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา (ศบ.ทก.) เปิดเผยว่า กองกำลังบูรพา กองทัพภาคที่ 1 ได้รายงาน ศบ.ทก. ว่า ได้ประกาศให้ พื้นที่บ้านหนองจาน ตำบลโนนหมากมุ่น อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว เป็นพื้นที่รักษาความสงบเรียบร้อย จากสถานการณ์ที่ประเทศกัมพูชาได้นำประชาชนเข้ามาก่อเหตุจลาจลในราชอาณาจักรไทย ตามประกาศกองกำลังบูรพาที่ 109/2568 ลงวันที่ 28 สิงหาคม 2568 เรื่อง การกำหนดพื้นที่รักษาความสงบเรียบร้อย ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

นายจิรายุกล่าวว่า ประกาศกองกำลังบูรพาที่ 109/2568 ให้
-พื้นที่บ้านหนองจาน ตำบลโนนหมากมุ่น อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว เป็นพื้นที่รักษาความสงบเรียบร้อย
-ให้ถนนศรีเพ็ญ ในพื้นที่บ้านหนองจาน ตำบลโนนหมากมุ่น อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว เป็นแนวรักษาความสงบเรียบร้อย
- มาตรการในการเข้าไปในพื้นที่รักษาความสงบเรียบร้อย ได้แก่
1. ห้ามพกพาอาวุธทุกชนิด หรือสิ่งเทียมอาวุธเข้ามาในพื้นที่
2. ห้ามปิดเส้นทางที่ส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ และการดำรงชีวิตของประชาชนในพื้นที่
3. ห้ามถ่ายภาพฐานปฏิบัติการทางทหาร
4. ห้ามทะเลาะวิวาท และดื่มของมึนเมา
5. ห้ามนำเครื่องขยายเสียงเข้าในพื้นที่โดยไม่ได้รับอนุญาต

เพื่อป้องกันประเทศ ให้พ้นจากภัยคุกคามดังกล่าว เพื่อรักษาไว้ซึ่งอธิปไตยของชาติและบูรณภาพแห่งดินแดน ตลอดจนชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนชาวไทย และจำเป็นต้องกำหนดพื้นที่รักษาความสงบเรียบร้อย รวมถึงมาตรการรักษาความสงบเรียบร้อย และกองกำลังบูรพา กองทัพภาคที่ 1 จะรับผิดชอบในการปกป้องอธิปไตยไทย ไม่ยอมให้ใครรุกล้ำเข้ามาแม้แต่ตารางนิ้วเดียว

รัฐบาล เข้มสกัดขบวนการลักลอบขนแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย พร้อมจัดระเบียบแรงงานต่างด้าวย้ำเจอจับทุกรายไม่มีข้อยกเว้นวันนี้ (...
29/08/2025

รัฐบาล เข้มสกัดขบวนการลักลอบขนแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย พร้อมจัดระเบียบแรงงานต่างด้าวย้ำเจอจับทุกรายไม่มีข้อยกเว้น

วันนี้ (29 สิงหาคม 2568) นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาล โดยกระทรวงแรงงาน เดินหน้าจัดระเบียบแรงงานต่างด้าว ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายเร่งด่วน เพื่อไม่ให้กระทบต่อการแย่งอาชีพคนไทยและการลักลอบทำงานโดยไม่มีใบอนุญาต โดยเฉพาะในช่วงเวลานี้เกิดการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายของแรงงานชาวกัมพูชาตามบริเวณแนวชายแดน ถึงแม้หน่วยงานความมั่นคงจะเพิ่มมาตรการลาดตระเวนเพื่อป้องกันการลักลอบเข้าประเทศไทยแบบผิดกฎหมายอย่างเข้มข้น แต่ยังมีขบวนการลักลอบขนแรงงานต่างด้าวเข้าประเทศไทยอย่างผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่อง

รัฐบาล ขอความร่วมมือประชาชนร่วมกันแจ้งเบาะแส หากพบเห็นแรงงานต่างด้าวทำงานผิดกฎหมาย ประชาชนสามารถแจ้งพิกัดกับกระทรวงแรงงานได้ ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบ ซึ่งหากพบว่ามีความผิดจริง คนต่างด้าวที่ทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงานหรือทำงานนอกเหนือสิทธิ จะมีโทษปรับตั้งแต่ 5,000 – 50,000 บาท และถูกผลักดันส่งกลับประเทศต้นทาง ส่วนนายจ้างที่จ้างคนต่างด้าวผิดกฎหมายจะมีโทษปรับตั้งแต่ 10,000 - 100,000 บาทต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน หากกระทำผิดซ้ำมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 50,000 – 200,000 บาท ต่อคนต่างด้าวที่จ้าง 1 คน หรือทั้งจำทั้งปรับ และห้ามจ้างคนต่างด้าวทำงานเป็นเวลา 3 ปี

“ขอความร่วมมือนายจ้าง เจ้าของสถานประกอบการ ไม่จ้างแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาโดยผิดกฎหมาย หากมีความประสงค์ต้องการใช้แรงงานต่างด้าว ขอให้ดำเนินการตามกระบวนการนำแรงงานต่างด้าวมาทำงานกับนายจ้างในประเทศตาม MOU อย่างเป็นระบบ ทั้งนี้ จากข้อมูลของกรมการจัดหางาน พบว่าข้อมูล ณ กรกฎาคม 2568 มีจํานวนคนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตทํางานทั่วราชอาณาจักร จำนวน 4,071,617 คน จำแนกเป็นแรงงานกลุ่มมีทักษะ 197,461 คน ชนกลุ่มน้อย 99,437 คน แรงงานที่ได้รับอนุญาตทํางานแบบไป-กลับ หรือตามฤดูกาล 42,274 คน (กัมพูชา 37,043 คน เมียนมา 5,231 คน) แรงงานที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาทํางานตาม MoU 687,405 คน (กัมพูชา 178,240 คน เมียนมา 248,320 คน ลาว 260,845 คน) ส่วนแรงงานที่ได้รับอนุญาตทํางานตามมติ ครม. 24 ก.ย. 67 (จดทะเบียนสถานะไม่ถูกกฎหมาย) 1,016,040 คน (เป็นกัมพูชา 108,064 คน เมียนมา 872,615 คน ลาว 28,561 คน เวียดนาม 6,800 คน) และแรงงานตามมติ ครม. 24 ก.ย. 67 และ มติ ครม. 4 ก.พ. 68 2,029,000 คน โดยได้รับอนุญาตทํางานแล้ว 180,288 คน (กัมพูชา 176,216 คน ลาว 3,967 คน เวียดนาม 105 คน) และ อยู่ระหว่างการดําเนินการ 1,848,712 คน (กัมพูชา 19,333 คน เมียนมา 1,829,379 คน)” นายอนุกูล กล่าว

“จังหวัดตรัง” พร้อมเป็นเจ้าภาพการประชุม CMGF ครั้งที่ 22 ขับเคลื่อนโครงการเศรษฐกิจภูมิภาคเร่งโครงสร้างพื้นฐาน–ดึงการค้า ...
29/08/2025

“จังหวัดตรัง” พร้อมเป็นเจ้าภาพการประชุม CMGF ครั้งที่ 22 ขับเคลื่อนโครงการเศรษฐกิจภูมิภาค
เร่งโครงสร้างพื้นฐาน–ดึงการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว สู่อนาคตไทย–มาเลเซีย–อินโดนีเซีย

วันนี้ (29 สิงหาคม 2568) นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลโดย สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และจังหวัดตรัง ได้เตรียมความพร้อมการเป็นเจ้าภาพการประชุมระดับมุขมนตรีและผู้ว่าราชการจังหวัด (Chief Ministers and Governors Forum: CMGF) ครั้งที่ 22 ในวันที่ 3 กันยายน 2568 พร้อมด้วยการประชุมระดับรัฐมนตรีความร่วมมือเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย–มาเลเซีย–ไทย (IMT-GT) ครั้งที่ 31 ในวันที่ 4 กันยายน 2568 ที่ จ. ตรัง

การประชุมครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อทบทวนและผลักดันแผนงานความร่วมมือเศรษฐกิจสามฝ่าย ภายใต้ แผนปฏิบัติการระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2565–2569) และ วิสัยทัศน์ IMT-GT ปี 2579 โดยจะครอบคลุมหลากหลายสาขา ทั้งโครงสร้างพื้นฐาน การท่องเที่ยว การเกษตรและผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร การค้าและการลงทุน รวมถึงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์

ทั้งนี้ โครงการสำคัญที่จะถูกหยิบยกขึ้นมาหารือในการประชุมดังกล่าว อาทิ การก่อสร้างถนนเชื่อมด่านสะเดาแห่งใหม่กับด่านบูกิตกายูฮิตัม โครงการรถไฟทางคู่หาดใหญ่–ปาดังเบซาร์ การพัฒนาท่าอากาศยานและท่าเรือในจังหวัดภาคใต้ โครงการอุตสาหกรรมโคเนื้อศรีวิชัย และการฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม เป็นต้น

“การเป็นเจ้าภาพครั้งนี้ไม่เพียงยกระดับศักยภาพของจังหวัดตรังและภาคใต้ แต่ยังสะท้อนถึงความพร้อมของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางความร่วมมือทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค ซึ่งจะนำไปสู่โอกาสใหม่ ๆ ด้านการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในทุกพื้นที่” นางสาวศศิกานต์กล่าว

ไป “เมืองกาญ” ง่ายสะดวก รวดเร็ว รัฐบาลเปิด “มอเตอร์เวย์ M81” ฟรี 13 วัน รับคิงส์คัพ ครั้งที่ 51 อำนวยความสะดวกการเดินทาง...
29/08/2025

ไป “เมืองกาญ” ง่ายสะดวก รวดเร็ว รัฐบาลเปิด “มอเตอร์เวย์ M81” ฟรี 13 วัน รับคิงส์คัพ ครั้งที่ 51 อำนวยความสะดวกการเดินทาง–กระตุ้นเศรษฐกิจภาคตะวันตก

วันนี้ (29 ส.ค. 68) นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม เปิดทดลองให้บริการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 81 สายบางใหญ่ – กาญจนบุรี (มอเตอร์เวย์ M81) ระยะทาง 96 กิโลเมตรตลอดสาย โดยไม่เก็บค่าธรรมเนียมผ่านทาง ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม 2568 เวลา 15.00 น. ไปจนถึง วันพุธที่ 10 กันยายน 2568 เวลา 09.00 น. รวม 13 วัน เพื่ออำนวยความสะดวกการแข่งขันฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 51 ประจำปี 2568 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1 – 9 กันยายน 2568 ณ สนามกีฬากลางจังหวัดกาญจนบุรี (สนามกลีบบัว)

สำหรับด่านที่เปิดให้บริการมีจำนวนทั้งสิ้น 7 ด่าน ได้แก่ ด่านบางใหญ่ ด่านนครชัยศรี ด่านนครปฐมฝั่งตะวันออกด่านนครปฐมฝั่งตะวันตก ด่านท่ามะกา ด่านท่าม่วง และด่านกาญจนบุรี ยกเว้นด่านศีรษะทอง ทั้งนี้ เปิดทดลองให้บริการจำกัดเฉพาะรถยนต์ 4 ล้อ และกำหนดความเร็วไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพื่อความปลอดภัยในการใช้เส้นทาง

การเปิดทดลองให้บริการมอเตอร์เวย์ M81 ในครั้งนี้ นอกจาก เป็นการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนผู้เดินทางเข้าชมการแข่งขันฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 51 ซึ่งเป็นการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติที่สร้างความภาคภูมิใจแก่คนไทย ยังเป็นการส่งเสริมเศรษฐกิจ การขนส่งและโลจิสติกส์ และการท่องเที่ยวในจังหวัดนนทบุรี นครปฐม ราชบุรี และกาญจนบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่เศรษฐกิจและแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของภาคตะวันตก

นอกจากนี้ ยังเป็นทางเลือกในการเดินทางสู่ภาคใต้ สอดคล้องกับนโยบาย “คมนาคมเพื่อโอกาสประเทศไทย” ที่มุ่งเน้นพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมที่มีมาตรฐาน สร้างโอกาสและการเข้าถึงให้กับประชาชนในทุกมิติ รวมถึงเพื่อบรรเทาความหนาแน่นของการจราจรบนเส้นทางหลัก โดยเฉพาะบริเวณถนนกาญจนาภิเษกและถนนเพชรเกษม มอเตอร์เวย์ M81 จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำคัญของการเดินทางที่สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยสำหรับประชาชนผู้ใช้ทาง

“รัฐบาลขอความร่วมมือผู้ใช้ทาง ควรศึกษาข้อมูลการเดินทาง ตรวจสอบสภาพรถยนต์ให้พร้อมใช้งาน และปฏิบัติตามกฎจราจร ป้ายเตือน ป้ายแนะนำ และคำแนะนำของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัยตลอดการเดินทาง โดยสามารถสอบถามข้อมูลการเดินทางบนมอเตอร์เวย์ M81 ตลอด 24 ชั่วโมง ได้ที่ สายด่วนกรมทางหลวง โทร. 1586, มอเตอร์เวย์ Call Center โทร. 1586 กด 7 , มอเตอร์เวย์ M81 Call Center โทร. 092 280 8181 หรือติดตามข้อมูลข่าวสารได้ทางเว็บไซต์ www.motorway.go.th” นางสาวศศิกานต์ ระบุ

โอกาสใหม่สำหรับลูกหนี้–เจ้าหนี้ รัฐบาลเปิดเวทีไกล่เกลี่ยใหญ่ 29–30 ส.ค. ที่ศูนย์ราชการฯวันนี้ (27 สิงหาคม 2568) นางสาวศศ...
27/08/2025

โอกาสใหม่สำหรับลูกหนี้–เจ้าหนี้ รัฐบาลเปิดเวทีไกล่เกลี่ยใหญ่ 29–30 ส.ค. ที่ศูนย์ราชการฯ

วันนี้ (27 สิงหาคม 2568) นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาล โดยกระทรวงยุติธรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กำหนดจัด มหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้สินครั้งใหญ่ เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนได้แก้ไขปัญหาหนี้อย่างเป็นธรรม ลดภาระและคืนความมั่นคงในชีวิต โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ครอบคลุมทั้งหนี้ กยศ. บัตรเครดิต เช่าซื้อรถยนต์ สินเชื่อส่วนบุคคล และหนี้ภาคเกษตรกรรม

ทั้งนี้ จากสถิติการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทชั้นบังคับคดี ปีงบประมาณ 2568 (ต.ค. 2567 – ก.ค. 2568) มีการไกล่เกลี่ยสำเร็จแล้วกว่า 29,260 เรื่อง รวมมูลหนี้กว่า 1,590,527,409.82 บาท สะท้อนให้เห็นว่า กระบวนการนี้ช่วยเหลือประชาชนได้จริงและเป็นทางออกที่เป็นรูปธรรม

“การแก้ไขปัญหาหนี้ โดยเฉพาะหนี้นอกระบบ เป็นภารกิจที่รัฐบาลให้ความสำคัญ เพื่อดึงเข้าสู่ระบบที่โปร่งใสและเป็นธรรม ช่วยทั้งลูกหนี้และเจ้าหนี้ พร้อมขยายความช่วยเหลือครอบคลุมทุกจังหวัด รวมถึงทางออนไลน์” นางสาวศศิกานต์ กล่าว

สำหรับ มหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้สิน จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 29–30 สิงหาคม 2568 เวลา 08.30–16.30 น. ณ ศูนย์ประชุมวายุภักษ์ โรงแรมเซ็นทรา ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ โดยมีสถาบันการเงินและธนาคารเข้าร่วม ให้คำปรึกษาและปรับโครงสร้างหนี้แก่ผู้ที่สนใจ เข้าร่วมฟรี สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กรมบังคับคดี โทร. 1111 กด 79

“ทุกคนที่มีปัญหาหนี้ยังมีทางออก ขอให้มั่นใจในความตั้งใจของรัฐบาลที่จะเปิดโอกาสใหม่ให้ประชาชนได้เริ่มต้นชีวิตทางการเงินอย่างมั่นคงและเป็นธรรม” นางสาวศศิกานต์กล่าว

ผลประชุม RBC ไทย–กัมพูชา เห็นพ้อง 11 ข้อ ลดตึงเครียดชายแดนพื้นที่ทัพภาค2 พร้อมเดินหน้าสู่สันติภาพ ย้ำไทยยังคงรักษาอธิปไต...
27/08/2025

ผลประชุม RBC ไทย–กัมพูชา เห็นพ้อง 11 ข้อ ลดตึงเครียดชายแดนพื้นที่ทัพภาค2 พร้อมเดินหน้าสู่สันติภาพ ย้ำไทยยังคงรักษาอธิปไตยของประเทศ

วันนี้ (27 สิงหาคม 2568) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ คณะกรรมการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) สมัยวิสามัญ ที่บริเวณ ช่องสะงำ จ.ศรีสะเกษ ระหว่างกองทัพภาคที่ 2 ของไทย และภูมิภาคทหารที่ 4 ของกัมพูชา ได้บรรลุ 11 ข้อตกลงสำคัญ เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ชายแดนและสร้างบรรยากาศแห่งสันติภาพ ตามที่ พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ได้แถลงภายหลังการประชุมฯ โดยมีสาระสำคัญดังนี้
• ยืนยันปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงและผลประชุม GBC ก่อนหน้า
• รักษาช่องทางสื่อสารทางทหารทุกระดับ แก้ปัญหาด้วยสันติวิธี หลีกเลี่ยงการปะทะ
• งดเผยแพร่ข่าวปลอมและการยั่วยุ ลดแรงกดดันทางสังคมและการเมือง
• ยอมรับมาตรการสร้างความปลอดภัยภายใต้กรอบหยุดยิง ไม่เป็นการรุกราน
• ผลักดันการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเชิงมนุษยธรรม เสนอต่อที่ประชุม GBC
• ตั้ง “ชุดประสานงาน” (CG) เพื่อเสริมกลไกเจรจาและแก้ปัญหาในระดับพื้นที่
• ร่วมมือปราบอาชญากรรมข้ามชาติ ทั้งค้ายาเสพติด ค้ามนุษย์ และแก๊งคอลเซ็นเตอร์
• ประเด็นคั่งค้างใด ๆ จะนำเข้าสู่การประชุม GBC หรือกลไกที่เหมาะสม
• กำหนดประชุม RBC ครั้งถัดไปภายใน 1 เดือน โดยกัมพูชาเป็นเจ้าภาพ

นายจิรายุ กล่าวว่า รัฐบาล เชื่อว่าผลการประชุม RBC ในครั้งนี้จะช่วยลดความตึงเครียด ลดการปะทะและส่งเสริมการรักษาสันติภาพตามแนวชายแดน ทั้งนี้ รัฐบาลพร้อมใช้ทุกกลไกที่เหมาะสมและจำเป็นเพื่อปกป้องอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน และดูแลความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน เป็นสำคัญ

โดยผลการประชุมครั้งนี้สะท้อนถึง ความมุ่งมั่นและความจริงใจของไทย ที่ต้องการลดความตึงเครียดชายแดนและสร้างสันติภาพ ตามที่ได้ตกลงไว้ในการประชุม GBC สมัยสามัญ เมื่อวันที่ 7 สิงหาคมที่ประเทศมาเลเซีย

รัฐบาล เปิดโอกาสให้สิทธิผู้ลี้ภัยสู้รบในเมียนมาทำงานได้ ขณะที่ UNHCR ชื่นชมประเทศไทย ถือเป็นต้นแบบในการดูแลมนุษยธรรม และ...
27/08/2025

รัฐบาล เปิดโอกาสให้สิทธิผู้ลี้ภัยสู้รบในเมียนมาทำงานได้ ขณะที่ UNHCR ชื่นชมประเทศไทย ถือเป็นต้นแบบในการดูแลมนุษยธรรม และกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น ถือเป็นต้นแบบในการดูแลมนุษยธรรม และกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น

วันนี้ (27 สิงหาคม 2568) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) แถลงชื่นชม รัฐบาลไทย ให้สิทธิในการทำงานแก่ผู้ลี้ภัยชาวเมียนมาที่พำนักระยะยาวในไทย โดยวานนี้ (26 ส.ค.2568) คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวที่พำนักอยู่ในพื้นที่พักพิงชั่วคราวสำหรับผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา ซึ่งจะช่วยให้ผู้ลี้ภัยสามารถทำงานในประเทศได้อย่างถูกกฎหมาย และมีส่วนช่วยสร้างเศรษฐกิจไทยอย่างมีนัยสำคัญ

“UNHCR ระบุว่า ....ประเทศไทยไม่เพียงแต่ยึดมั่นในหลักการด้านมนุษยธรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นการลงทุนเชิงกลยุทธ์เพื่ออนาคตของไทยอีกด้วย ผู้ลี้ภัยนอกจากจะสามารถเลี้ยงดูตนเองและครอบครัวแล้ว ยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นผ่านการบริโภค และส่งเสริมการสร้างงาน ซึ่งจะมีส่วนสนับสนุนการเติบโตของ GDP และความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจของประเทศ”

นโยบายใหม่นี้ ถือเป็นการต่อยอดความเป็นผู้นำและบทบาทสำคัญในการให้ที่พักพิงแก่ผู้ลี้ภัยของไทยที่มีมานานกว่า 50 ปี ซึ่งจะถือเป็นมาตรฐานใหม่ในภูมิภาคสำหรับการแก้ไขปัญหาผู้ลี้ภัยที่ยั่งยืน โดยยึดหลักสิทธิมนุษยชน และอาจเป็นแบบอย่างให้กับประเทศอื่นๆ ที่เผชิญกับความท้าทายที่คล้ายคลึงกันอีกด้วย

“รัฐบาลให้ความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมแก่คนต่างด้าวกลุ่มผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมาอย่างต่อเนื่อง แต่ปัจจุบัน องค์กรระหว่างประเทศและองค์การนอกภาครัฐต่างๆ ปรับลดงบประมาณส่งผลรัฐบาลไทย ต้องรับภาระในการดูแลคนต่างด้าวเพิ่มขึ้น ดังนั้น ครม. จึงเล็งเห็นว่าเพื่อบรรเทาภาระของรัฐและสนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และส่งเสริมสิทธิมนุษยชน ตลอดจนแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงาน จึงผ่อนผันให้กลุ่มคนต่างด้าวดังกล่าวอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษเพื่อทำงานเพื่อให้สามารถเลี้ยงดูตนเองและครอบครัวต่อไป”นายจิรายุ กล่าว

อนึ่ง ปัจจุบันพื้นที่พักพิงชั่วคราวผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา มีจำนวนทั้งสิ้น 9 แห่ง อยู่ในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน จังหวัดตาก จังหวัดกาญจนบุรี และจังหวัดราชบุรี และมีจำนวนผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมาอาศัยในพื้นที่ดังกล่าว จำนวน 77,718 คน โดยเป็นวัยทำงานจำนวน 42,601 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 15 สิงหาคม 2568)

“รัฐบาล” เตือนประชาชน สแกนม่านตาแลกรับเงิน อันตรายได้ไม่คุ้มเสีย เสี่ยงข้อมูลรั่วไหล ส่งผลกระทบระยะยาวในอนาคตวันนี้ ( วั...
27/08/2025

“รัฐบาล” เตือนประชาชน สแกนม่านตาแลกรับเงิน อันตรายได้ไม่คุ้มเสีย เสี่ยงข้อมูลรั่วไหล ส่งผลกระทบระยะยาวในอนาคต

วันนี้ ( วันที่ 27 สิงหาคม 2568) นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมถือเป็นกำลังที่มีความสำคัญ และมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงของทั้งภาคธุรกิจและชีวิตประจำวัน อาทิ การดำเนินธุรกิจ การสื่อสาร การศึกษา การทำงาน และด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและนวัตกรรมอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในรูปแบบที่หลากหลายจนมีความครอบคลุมไปจนถึงด้านความปลอดภัย อย่างการเข้ามามีบทบาทเพิ่มมากของระบบ “การยืนยันตัวตนด้วยข้อมูลชีวภาพ (Biometrics)” ผ่านรูปยืนยันตัวตนด้วยการสแกนลายนิ้วมือ การจดจำใบหน้า หรือไปจนถึงเทคโนโลยีล่าสุดอย่างการสแกนม่านตา แต่ในขณะเดียวกันด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่รวดเร็ว ได้สร้างความท้าทายใหม่ ๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยล่าสุดจากข้อมูลของ สภาองค์กรของผู้บริโภค (สอบ.) มีการรายงานว่า พบการชักชวนให้ประชาชนสแกนม่านตาแลกรับเงิน 500 – 1,000 บาท ในพื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศไทย โดยอ้างถึงว่าจะไปแลกเหรียญคริปโต ซึ่งผู้ที่สแกนม่านตาจะได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินรายละ 1,000 บาท ภายใน 24 ชั่วโมง ขณะที่ผู้แนะนำสมาชิกจะได้รับเงิน 500 บาทต่อราย สูงสุดไม่เกิน 10 ราย

นายอนุกูล กล่าวว่า ปัจจุบันข้อมูลถือเป็นสิ่งที่มีมูลค่าเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะข้อมูลส่วนบุคคลทางชีวภาพ อย่างเช่น ลายนิ้วมือ การสแกนใบหน้า การจดจำเสียง และส่วนสำคัญที่สุดอย่าง “ม่านตา” ที่ถือว่าเป็นข้อมูลทรัพย์สินดิจิทัลส่วนบุคคลที่มีมูลค่าสูงสุด เนื่องจากยากต่อการเปลี่ยนแปลง มีความเฉพาะตัวเป็นอย่างยิ่ง โดยสามารถนำไประบุและยืนยันตัวตนของบุคคลนั้น ๆ ได้อย่างเฉพาะเจาะจง ดังนั้น เพื่อสร้างความตระหนักรู้เท่าทันต่อความสำคัญของความปลอดภัยที่เหมาะสม รัฐบาลขอย้ำว่า ข้อมูลส่วนบุคคลทางชีวภาพ ถือเป็นข้อมูลส่วนบุคคลขั้นสูงสุด การยินยอมให้เก็บ หรือสแกนจึงควรพิจารณาอย่างรอบคอบถึงความเสี่ยง ดังนี้ 1. การรั่วไหลของข้อมูล หากข้อมูลรหัส Iris Code ที่ถูกสร้างขึ้นเกิดการรั่วไหล แฮกเกอร์หรือผู้ไม่หวังดีอาจนำข้อมูลนี้ไปใช้ในทางที่ผิดได้ในอนาคต 2.การถูกสวมรอย ข้อมูลม่านตาเป็นกุญแจสำคัญในการเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวอื่นๆ หากถูกขโมยไป อาจนำไปสู่การสวมรอยทำธุรกรรมทางการเงินหรือเข้าถึงบริการต่างๆ ที่ใช้ และ 3.การสร้าง Deepfake ข้อมูลชีวภาพสามารถนำไปใช้ในการสร้าง Deepfake เพื่อก่ออาชญากรรมไซเบอร์ที่ซับซ้อนและจับตัวได้ยาก

“ข้อมูลส่วนบุคคลทางชีวภาพเป็นข้อมูลส่วนบุคคลประเภทอ่อนไหว ซึ่งการเก็บรวบรวม การใช้ หรือการเปิดเผยจะต้องมีความเข้มงวด ซึ่งในหลาย ๆ ประเทศ เช่น สเปน บราซิล อินเดีย และเยอรมนี ยังไม่อนุญาตให้มีการสแกนม่านตาเพื่อเก็บข้อมูลบุคคลในลักษณะนี้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความกังวลในระดับสากลและจากรณีดังกล่าวที่ได้เกิดขึ้น รัฐบาลขอให้ประชาชนตระหนักว่าข้อมูลส่วนบุคคลทางชีวภาพที่ได้ทำการแลกเปลี่ยนกับเพียงผลตอบแทนเพียงเล็กน้อย อาจได้ไม่คุ้มเสีย หากเกิดความเสียหายขึ้นในอนาคต อาจเป็นสิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้และไม่อาจจะสามารถแก้ไขได้อีกเลย” นายอนุกูล ย้ำ

รัฐบาล” ย้ำสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นเรื่องสำคัญของประเทศ ให้กองทัพทำหน้าที่อย่างเต็มที่ ไม่ยอมให้กัมพูชาใช้พลเรือน...
26/08/2025

รัฐบาล” ย้ำสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นเรื่องสำคัญของประเทศ ให้กองทัพทำหน้าที่อย่างเต็มที่ ไม่ยอมให้กัมพูชาใช้พลเรือนเป็นโล่มนุษย์รุกล้ำอธิปไตยของไทยอย่างเด็ดขาด
พร้อมสั่งจัดการปัญหาแก๊งคอลฯ จากกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ รองนรม. และ รมว.มท. ย้ำกองทัพต้องการอะไรบอก “ศบ.ทก.” จัดให้ทันที ส่วนการรับมือพายุ “คาจิกิ” สั่งการทุกองคาพยพของรัฐพร้อมรับมือ 1-2 วันนี้ ตลอด 24 ชม.

วันนี้ (วันอังคารที่ 26 สิงหาคม 2568) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีข้อสั่งการจากนายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกรัฐมนตรีราชการแทนนายกรัฐมนตรีถึงการแก้ไขปัญหาชายแดน ไทย-กัมพูชา และผลกระทบจากสถานการณ์พายุคาจิกิ ซึ่งได้เตรียมแผนรับมือตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา. เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ มีข้อสั่งการเพิ่มเติม ดังนี้

1. สถาณการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การสนับสนุนทรัพยากรต่าง ๆ ให้กับกองทัพ ทั้งนี้ รักษาการนายกรัฐมนตรีราชการแทนนายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณทหารหาญที่ประจำอยู่ชายแดนทั่วประเทศไทย ในทุกพื้นที่ โดยเฉพาะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ต้องอดทนอดกลั้นจากการยั่วยุของฝ่ายกัมพูชา ทั้งปฏิบัติการทางทหาร และการใช้โล่มนุษย์ ที่อาศัยประชาชนนำหน้าเคลื่อนไหวด้วยวิธีการต่าง ๆ ในการนี้ หากกองทัพต้องการสนับสนุนอุปกรณ์หรือทรัพยากรเร่งด่วนใดๆ ขอให้แจ้ง ศบ.ทก. ดำเนินการประสาน จัดการให้ทันที โดยให้หน่วยงานต่าง ๆ ยึดถือว่า สถานการณ์ชายแดนเป็นเรื่องสำคัญของประเทศ

นอกจากนี้ ยังมีข้อสั่งการให้ ศบ.ทก. ประสานการปฏิบัติให้มีผลสัมฤทธิ์ กระชับความเป็นเอกภาพทั้งการทหาร การต่างประเทศ การสื่อสารประชาสัมพันธ์ รวมถึงการปฏิบัติการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย รวมถึงมาตรการอื่น ๆ อาทิ เข้มงวดกับปฏิบัติการห้ามไม่ให้พลเรือนกัมพูชารุกล้ำเขตแดนอย่างผิดกฎหมาย และการติดตามเร่งรัดปราบปรามอาชญากรรมด้าน Scammer

2.สั่งการให้กรมอุตุนิยมฯ และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ติดตามสถานการณ์พายุคาจิกิอย่างใกล้ชิดตลอด24 ชม. เพื่อตัดสินใจ แจ้งเตือนภัย สื่อสารให้ทั่วถึงเหมาะสม ด้วยระบบต่าง ๆ โดยเฉพาะระบบ cell broadcast และเตรียมการกู้ภัยในพื้นที่ ที่ได้ผลกระทบอย่างทันการณ์

3. สำหรับการบริหารจัดการระบบคลาวด์ภาครัฐ เพื่อให้ประเทศไทยมีฐานข้อมูลกลางของรัฐในการจัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ที่มีมาตรฐาน เป็นระบบ ครบถ้วน และมีความปลอดภัย ให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่มีการตั้งงบประมาณเพื่อจัดซื้อ จัดจ้าง หรือเช่าใช้บริการระบบ คลาวด์ (Cloud) ชะลอการดำเนินการดังกล่าวไว้ก่อน เพื่อรอความชัดเจนเกี่ยวกับแนวทางการ บูรณาการโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล (National Cloud) ของประเทศไทย จากกระทรวงดีอี ในฐานะหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล เพื่อประกอบการดำเนินการ โดยให้ กระทรวงดีอี เร่งเสนอแนวทางดังกล่าวต่อ ครม. ภายใน 1 เดือน

ครม. อนุมัติการขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นว...
26/08/2025

ครม. อนุมัติการขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น

วันนี้ (วันอังคารที่ 26 สิงหาคม 2568) นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 2,900 ล้านบาท ให้แก่กองทุนประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดสรรสวัสดิการให้แก่ผู้มีสิทธิสวัสดิการแห่งรัฐ (ผู้มีสิทธิฯ) อย่างต่อเนื่องในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ตามที่ คณะกรรมการประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม เสนอ

โดยกองทุนประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม มีการจัดสรรสวัสดิการแก่ผู้มีสิทธิฯ ตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ (โครงการฯ) ปี 2565 จำนวน 13.45 ล้านคน ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567 เป็นต้นมา ซึ่งมีสิทธิสวัสดิการประกอบด้วย

- การจัดประชารัฐสวัสดิการใหม่สำหรับผู้ที่ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติตามโครงการฯ ปี 2565 ดังนี้

1) วงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น สินค้าเพื่อการศึกษา และวัตถุดิบเพื่อเกษตรกรรม วงเงิน 300 บาทต่อเดือน เงื่อนไขจากร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นและร้านอื่น ๆ ตามที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด
2) วงเงินส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้ม วงเงิน 80 บาทต่อคนต่อ 3 เดือน เงื่อนไขจากร้านค้าตามที่กระทรวงพลังงานกำหนด
3) วงเงินรวมค่าเดินทางผ่านระบบขนส่งสาธารณะ วงเงิน 750 บาทต่อคนต่อเดือน เงื่อนไขสำหรับขึ้นรถระบบขนส่งสาธารณะ เช่น รถองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ รถบริษัท ขนส่ง จำกัด รถไฟฟ้า บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) รถไฟฟ้ามหานคร บริษัทรถไฟความเร็วสูงสายตะวันออกเชื่อมสนามบิน จำกัด และรถไฟ
4) มาตรการบรรเทาภาระค่าไฟฟ้า วงเงินอุดหนุนค่าไฟฟ้าไม่เกิน 315 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน เงื่อนไขกรณีที่ใช้ไฟฟ้าเกินวงเงินที่กำหนด ผู้มีสิทธิฯ จะเป็นผู้รับภาระค่าไฟฟ้าทั้งหมด
5) มาตรการบรรเท่าภาระค่าน้ำประปา วงเงินอุดหนุนค่าน้ำประปาไม่เกิน 100 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน เงื่อนไขกรณีที่ใช้น้ำประปาเกิน 100 บาท แต่ไม่เกิน 315 บาท ผู้มีสิทธิฯ ยังคงได้รับการสนับสนุนในวงเงิน 100 บาท และจะต้องชำระส่วนที่เกิน 100 บาทด้วยตนเอง แต่หากผู้มีสิทธิฯ มีการใช้น้ำประปาเกิน 315 บาท ผู้มีสิทธิฯ จะเป็นผู้รับภาระค่าน้ำประปาทั้งหมด

- เงินเพิ่มเบี้ยความพิการ จากเดิมจำนวน 800 บาทต่อคนต่อเดือน เป็นจำนวน 1,000 บาทต่อคนต่อเดือน ในเบื้องต้นเฉพาะคนพิการที่มีบัตรประจำตัวคนพิการและผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติการลงทะเบียนเพื่อสวัสติการแห่งรัฐ โดยให้เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 เป็นต้นไป [ตามมติคณะรัฐมนตรี (28 มกราคม 2563)]
- ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 กองทุนฯ มียอดเงินคงเหลือ 6,034.23 ล้านบาท โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 กองทุนฯ ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 จำนวน 50,400 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อจัดสรรสวัสดิการให้แก่ผู้มีสิทธิฯ จำนวน 50,287.26 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุน จำนวน 112.74 ล้านบาท โดยที่ผ่านมากองทุนฯ มีการใช้จ่ายงบประมาณสำหรับการจัดสรรสวัสดิการ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 (ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 - 31 กรกฎาคม 2568) เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 45,533.33 ล้านบาท โดย ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 บัญชีของกองทุนฯ ซึ่งเป็นบัญชีเพื่อใช้จ่ายสำหรับการจัดประชารัฐสวัสดิการให้แก่ประชาชนผู้มีรายได้น้อยตามโครงการฯ ปี 2565 มีสถานะคงเหลือ 6,556.36 ล้านบาท (ข้อมูลจากกรมบัญชีกลาง) โดยมีประมาณการค่าใช้จ่ายในช่วงเดือนสิงหาคม - กันยายน 2568 เฉลี่ยเดือนละ 4,720 ล้านบาท (รวมเป็นวงเงิน 9,440 ล้านบาท) ทำให้กองทุนฯ มีความจำเป็นต้องขอรับการจัดสรรรบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 2,900 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อจัดสรรสวัสดิการให้แก่ผู้มีสิทธิฯ ต่อไป

- คณะกรรมการฯ ในคราวการประชุม ครั้งที่ 2/2568 เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2568[รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์) เป็นประธาน] ได้มีมติเห็นชอบประมาณการขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 2,900 ล้านบาท สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดสรรสวัสดิการแก่ผู้มีสิทธิฯ ดังกล่าวแล้ว ซึ่งต่อมาสำนักงบประมาณได้นำเรื่องดังกล่าวเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณา โดยนายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบให้กองทุนฯ ใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 2,900 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดสรรสวัสดิการให้แก่ผู้มีสิทธิฯ อย่างต่อเนื่องในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568

ทั้งนี้ การจัดสรรสวัสดิการแก่ผู้มีสิทธิฯ ตามโครงการฯ ปี 2565 จะช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพและค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานให้แก่ผู้มีสิทธิฯ รวมทั้งยกระดับคุณภาพชีวิตคนพิการซึ่งเป็นผู้มีสิทธิฯ ให้มีความต่อเนื่องในปึงบประมาณ พ.ศ. 2568

ครม. เห็นชอบโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้กับเกษตรกรชาวไร่อ้อยสำหรับบริหารจัดการแหล่งน้ำ และซื้อเครื่องจักรการเกษตรในไร่อ้อยเพื...
26/08/2025

ครม. เห็นชอบโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้กับเกษตรกรชาวไร่อ้อยสำหรับบริหารจัดการแหล่งน้ำ และซื้อเครื่องจักรการเกษตรในไร่อ้อยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก

วันนี้ (วันอังคารที่ 26 สิงหาคม 2568) นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีมีมติ โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้กับเกษตรกรชาวไร่อ้อยสำหรับบริหารจัดการแหล่งน้ำและซื้อเครื่องจักรการเกษตรในไร่อ้อยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยและแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ดังนี้

1. เห็นชอบในหลักการโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้กับเกษตรกรชาวไร่อ้อยสำหรับบริหารจัดการแหล่งน้ำและซื้อเครื่องจักรการเกษตรในไร่อ้อยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ปี 2568 - 2570 โดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สนับสนุนสินเชื่อให้แก่เกษตรกรชาวไร่อ้อย กลุ่มเกษตรกร หรือสหกรณ์การเกษตร หรือสถาบันชาวไร่อ้อย หรือกลุ่มบุคคล หรือกลุ่มวิสาหกิจชุมชน วงเงินปีละ 2,000 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 6,000 ล้านบาท (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2568-2570)

1.1 กำหนดระยะเวลา การชำระเงินคืนเงินกู้เสร็จสิ้นตามโครงการฯ โดยแยกตามวัตถุประสงค์การกู้เงิน หากกู้เงินเพื่อแก้ปัญหาภัยแล้งโดยการพัฒนาแหล่งน้ำและพัฒนาระบบการให้น้ำและเพื่อปรับพื้นที่ปลูกอ้อย กำหนดชำระคืนเงินกู้เสร็จสิ้นไม่เกิน 6 ปี และหากกู้เงินเพื่อซื้อเครื่องจักรกลการเกษตร กำหนดชำระคืนเงินกู้เสร็จสิ้นไม่เกิน 8 ปี

1.2 ให้รัฐบาลรับภาระชดเชยดอกเบี้ย โดยกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ตามโครงการฯ ดังนี้
(1) อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ตามโครงการฯ สำหรับเกษตรกรรายคน รัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยให้ ธ.ก.ส. แทนผู้กู้ในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี
(2) อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ตามโครงการฯ สำหรับกลุ่มเกษตรกร หรือสหกรณ์การเกษตร หรือสถาบันชาวไร่อ้อย หรือกลุ่มบุคคล หรือกลุ่มวิสาหกิจชุมชน รัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยให้ ธ.ก.ส. แทนผู้กู้ในอัตราร้อยละ 2 ต่อปี
(3) อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ วัตถุประสงค์เพื่อจัดซื้อเครื่องจักรการเกษตร ประเภทรถบรรทุกและพ่วงบรรทุก รวมทั้งอากาศยานไร้คนขับ รัฐบาลไม่ต้องชดเชยดอกเบี้ย

2. อนุมัติกรอบวงเงินฯ เพื่อชดเชยดอกเบี้ยตามโครงการฯ ปี 2568-2570 ให้กับ ธ.ก.ส. จำนวน 945 ล้านบาท

ปภ. แจงความพร้อม รับมือพายุ “คาจิกิ” 58 จังหวัด ขอประชาชนติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด 24 – 27 ส.ค. 68วันนี้ (25 สิงหาคม 256...
25/08/2025

ปภ. แจงความพร้อม รับมือพายุ “คาจิกิ” 58 จังหวัด ขอประชาชนติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด 24 – 27 ส.ค. 68

วันนี้ (25 สิงหาคม 2568) นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้แจ้งเตือนพื้นที่เสี่ยงภัยรวม 58 จังหวัดทั่วประเทศ จากอิทธิพลของพายุ “คาจิกิ” ซึ่งจะส่งผลกระทบในช่วงวันที่ 24 – 27 สิงหาคม 2568 โดยอาจทำให้หลายพื้นที่เผชิญน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วมขัง ดินโคลนถล่ม รวมถึงคลื่นลมแรงในทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบน คาดว่าคลื่นสูง 2–3 เมตร และมากกว่า 3 เมตรในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง

กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง (กอปภ.ก.) ได้กำชับให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกแห่ง ปฏิบัติตามข้อสั่งการของ รมว. และ รมช.กระทรวงมหาดไทยอย่างเคร่งครัด โดยเน้นให้จัดเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังและติดตามสภาพอากาศ ปริมาณฝน และสถานการณ์น้ำตลอด 24 ชั่วโมง ประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยล่วงหน้า หากมีแนวโน้มเกิดสถานการณ์รุนแรง รวมทั้งเตรียมทีมปฏิบัติการพร้อมกำลังพล เครื่องจักรกลสาธารณภัย และชุดเคลื่อนที่เร็วเพื่อเข้าให้การช่วยเหลือได้ทันที พร้อมทั้งประสานการทำงานกับศูนย์ ปภ. เขต และหน่วยงานในพื้นที่เพื่อสนับสนุนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย

สำหรับพื้นที่ที่ต้องเฝ้าระวังในวันที่ 24 สิงหาคม 2568 ได้แก่
-ภาคเหนือ 10 จังหวัด คือ ลำปาง แพร่ น่าน อุตรดิตถ์ ตาก สุโขทัย กำแพงเพชร พิษณุโลก พิจิตร และเพชรบูรณ์
-ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 10 จังหวัด ได้แก่ หนองคาย บึงกาฬ หนองบัวลำภู อุดรธานี สกลนคร นครพนม ชัยภูมิ ขอนแก่น กาฬสินธุ์ และมุกดาหาร
-ภาคกลาง 9 จังหวัด ได้แก่ กาญจนบุรี ราชบุรี สุพรรณบุรี ลพบุรี นครนายก ปราจีนบุรี จันทบุรี ตราด และเพชรบุรี
-ภาคใต้ 3 จังหวัด ได้แก่ ระนอง พังงา และภูเก็ต
-และกรุงเทพมหานคร

วันที่ 25 สิงหาคม 2568 พื้นที่เสี่ยง ได้แก่
-ภาคเหนือ 10 จังหวัด คือ เชียงราย ลำพูน ลำปาง พะเยา แพร่ น่าน อุตรดิตถ์ พิษณุโลก พิจิตร และเพชรบูรณ์
-ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 10 จังหวัด ได้แก่ เลย หนองคาย บึงกาฬ หนองบัวลำภู อุดรธานี สกลนคร นครพนม มุกดาหาร นครราชสีมา และอุบลราชธานี
-ภาคกลาง 15 จังหวัด ได้แก่ กาญจนบุรี ราชบุรี นครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว จันทบุรี ตราด เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ปทุมธานี นนทบุรี นครปฐม สมุทรสาคร สมุทรสงคราม และสมุทรปราการ
-ภาคใต้ 5 จังหวัด ได้แก่ ชุมพร ระนอง พังงา ภูเก็ต และกระบี่
-และกรุงเทพมหานคร

ส่วนวันที่ 26 – 27 สิงหาคม 2568 มีพื้นที่เสี่ยง ดังนี้
-ภาคเหนือ 17 จังหวัด ได้แก่ แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง พะเยา แพร่ น่าน อุตรดิตถ์ ตาก สุโขทัย กำแพงเพชร พิษณุโลก พิจิตร เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ และอุทัยธานี
-ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 12 จังหวัด ได้แก่ เลย หนองคาย บึงกาฬ อุดรธานี สกลนคร นครพนม ขอนแก่น กาฬสินธุ์ มุกดาหาร ยโสธร อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี
-ภาคกลาง 16 จังหวัด ได้แก่ กาญจนบุรี ราชบุรี ชัยนาท นครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ รวมถึงปทุมธานี นนทบุรี และสมุทรปราการ
-ภาคใต้ 4 จังหวัด ได้แก่ ชุมพร ระนอง พังงา และภูเก็ต
-และกรุงเทพมหานคร

นอกจากนี้ ยังมีการเฝ้าระวังคลื่นลมแรงในพื้นที่ชายฝั่ง เช่น ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด ระนอง และพังงา โดยเน้นพื้นที่อำเภอติดทะเล เกาะ และแหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่อาจได้รับผลกระทบ

สำหรับประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย ขอให้ติดตามข้อมูลสภาวะอากาศ และประกาศเตือนภัยจากกรมอุตุนิยมวิทยาและ ปภ.อย่างใกล้ชิด รวมถึงดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “THAI DISASTER ALERT” หรือแจ้งเหตุความเดือดร้อนผ่านไลน์ “ปภ.รับแจ้งเหตุ 1784” (Line ID: ) และสายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง

“รัฐบาลยืนยันถึงความพร้อมในการอยู่เคียงข้างพี่น้องประชาชนในทุกสถานการณ์เพื่อดูแลความปลอดภัย ขอให้มั่นใจและติดตามคำเตือนจากทางราชการอย่างใกล้ชิด” นางสาวศศิกานต์กล่าว

ที่อยู่

355/5 ถนนลาดพร้าววังหิน แขวงลาดพร้าว เขตลาดพร้าว
Bangkok
10230

เบอร์โทรศัพท์

+66969890810

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ONB newsผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง ONB news:

แชร์

ความเป็นมาของเราโอเอ็นบี นิวส์

สำนักข่าว โอเอ็นบี นิวส์ (ONB News) ก่อตั้งโดยกลุ่มนักวิชาการ นักพัฒนาภาคเอกชน สื่อสารมวลชน และชมรมผู้สื่อข่าวภูมิภาคทั่วประเทศไทย โดยมีการระดมทุนกันเองทั้งจากองค์กรพัฒนาเอกชน องค์กรชาวบ้าน นักวิชาการ นักธุรกิจ นักกิจกรรม และนักสื่อมวลชน เป็นองค์กรสื่อส่วนกลางของภาคประชาชน ที่ทำงานร่วมกับสื่อมวลชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อให้ข่าวสารภาคประชาชน โดยเฉพาะเกี่ยวกับปัญหาความยากจน ปัญหาคนชายขอบและปัญหาของชุมชนท้องถิ่นต่างๆ สื่อสารไปยังสังคมในวงกว้าง โดยผ่านสื่อมวลชนและเว็บไซต์ เพื่อให้องค์กรภาคประชาชนพัฒนาความรู้ ความเข้าใจในการใช้สื่อ ผลิตสื่อ และวิธีการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ

โดยผู้สื่อข่าวของ โอเอ็นบี นิวส์ เป็นผู้สื่อข่าวระดับพื้นที่ ซึ่งมิใช่ผู้สื่อข่าวอาชีพ แต่เป็นผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดกับข้อเท็จจริง กระจายอยู่ตามสาขาอาชีพต่างๆ ในชนบททั่วประเทศ โดยมีศูนย์ข่าวภูมิภาคประจำอยู่ใน 4 ภูมิภาค คือ ภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงในการฝึกอบรม และจัดตั้งผู้สื่อข่าวระดับพื้นที่ รายงานข่าวแก่สมาชิกเป็นประจำผ่านทางจดหมายข่าวออนไลน์

สำนักข่าวโอเอ็นบี นิวส์ (ONB News) ก่อตั้งช่วงเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2560 เพื่อนำเสนอข่าวสืบสวนสอบสวน เน้นประเด็นตรวจสอบความโปร่งใสภาครัฐ ความโปร่งใสภาคเอกชน และการพัฒนาที่ยั่งยืน ดำเนินงานโดยทีมงานนักข่าวอาชีพที่มีประสบการณ์ในวงการข่าว นานกว่า 20 ปี มุ่งหวังที่จะใช้อินเทอร์เน็ต เป็นทั้งพื้นที่ในการนำเสนอข่าว แลกเปลี่ยนกับผู้อ่าน และเป็นเครื่องมือในการทำงาน โดยเชื่อมั่นในพลังของสื่อใหม่ว่า การใช้อินเทอร์เน็ตเป็นพื้นที่และเครื่องมือจะช่วยดำรงความเป็นอิสระของกองบรรณาธิการ ก้าวข้ามข้อจำกัดของสื่อกระแสหลัก และสร้างความแตกต่างให้กับสำนักข่าว โอเอ็นบี นิวส์ (ONB News) ทั้งในแง่ของการนำเสนอข่าวเชิงลึก และการนำเสนอข้อมูลที่ซับซ้อนอย่างเข้าใจง่าย แก้ไขความเข้าใจผิด สร้างความเชื่อมั่น ความน่าเชื่อถือ และศรัทธาในภาครัฐ

เราเชื่อมั่นว่า การนำ “ความเร็ว” ของพลังสังคมและข้อมูลข่าวสารในสื่อสังคมออนไลน์ มาผสานกับ “ประสิทธิภาพ” ของเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตในการเชื่อมโยงและนำเสนอข้อมูล ผนวกกับ “ความลึก” ของนักข่าวมืออาชีพมากประสบการณ์ จะเปิดมิติใหม่ให้แก่วงการสื่อสารมวลชนไทย