ONB news สำนักข่าวโอเอ็นบี นิวส์ (ONB news) สร้างสรรค์ เที่ยงธรรม รับใช้ประชาชน ติดต่อลงโฆษณาได้ที่ 0969890810

ครม.ไฟเขียว บอร์ด EV เห็นชอบปรับมาตรการ EV3–EV3.5 เพิ่มความยืดหยุ่น ป้องกันโอเวอร์ซัพพลาย หนุนไทยสู่ฐานผลิตรถไฟฟ้าโลกวัน...
09/12/2025

ครม.ไฟเขียว บอร์ด EV เห็นชอบปรับมาตรการ EV3–EV3.5 เพิ่มความยืดหยุ่น ป้องกันโอเวอร์ซัพพลาย หนุนไทยสู่ฐานผลิตรถไฟฟ้าโลก

วันนี้ (9 ธันวาคม 2568) นางสาวลลิดา เพริศวิวัฒนา รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)วันนี้ มีมติเห็นชอบ ตามที่คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ มีมติเห็นชอบการปรับปรุงมาตรการส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV3 และ EV3.5) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ความยืดหยุ่น และให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจและการแข่งขันในตลาดโลก พร้อมป้องกันความเสี่ยงจากอุปทานส่วนเกินและสงครามราคาในประเทศ ตามมติการประชุมครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2568

ทั้งนี้ สาระสำคัญของมติ ประกอบด้วย 1.การขยายเวลาการจดทะเบียนรถ EV ที่ผลิตในประเทศ ได้แก่ มาตรการ EV3 ให้จำหน่ายภายใน 31 ธันวาคม 2568 และจดทะเบียนได้ถึง 31 มกราคม 2569 และมาตรการ EV3.5 ให้จำหน่ายภายใน 31 ธันวาคม 2570 และจดทะเบียนได้ถึง 31 มกราคม 2571

2. ปรับวิธีนับการผลิตชดเชยเพื่อการส่งออก ได้แก่ การผลิตรถ EV ที่ส่งออก นับเป็นการผลิตชดเชยได้ 1.5 เท่า และการผ่อนผันระยะเวลาการส่งออกถึงวันที่ 30 มิถุนายนของปีถัดไป

3.คุมเข้มการจ่ายเงินอุดหนุน ได้แก่ การกำหนดหลักเกณฑ์ติดตามแผนการผลิตชดเชยอย่างใกล้ชิด และการระงับการจ่ายเงินอุดหนุนชั่วคราว หากไม่เป็นไปตามเงื่อนไข เพื่อความรอบคอบด้านงบประมาณ

4.เปิดทางขยายการผลิตข้ามมาตรการ โดยผู้ได้รับสิทธิ EV3 สามารถขยายการผลิตชดเชยไปภายใต้มาตรการ EV3.5 ได้ เพื่อรักษาฐานการผลิตในประเทศ

5. ขยายเวลาการนับมูลค่าเซลล์แบตเตอรี่จากต่างประเทศ โดยผ่อนผันถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2569 และปรับลดสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 10 ของราคารถ เพื่อเร่งการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ

รองโฆษกรัฐบาล กล่าวอีกว่า คณะกรรมการยังย้ำเป้าหมายสำคัญของประเทศไทยในการเป็น ฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่สำคัญของโลก และเดินหน้าสู่เป้าหมาย Zero Emission Vehicle (ZEV) ภายในปี 2573 อย่างเป็นระบบและยั่งยืน โดยใช้มาตรการทางเศรษฐกิจควบคู่กับการรักษาเสถียรภาพตลาดในประเทศ

“พิพัฒน์” เดินหน้าถนนผังเมืองใหม่ตราด คืบหน้า 26% เปิดเส้นทางเมือง - ชายแดน - ท่องเที่ยว ลดเวลาเดินทาง หนุนเศรษฐกิจตะวัน...
09/12/2025

“พิพัฒน์” เดินหน้าถนนผังเมืองใหม่ตราด คืบหน้า 26% เปิดเส้นทางเมือง - ชายแดน - ท่องเที่ยว ลดเวลาเดินทาง หนุนเศรษฐกิจตะวันออก คาดเสร็จปี 2570

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า กระทรวงคมนาคม โดยกรมทางหลวงชนบท (ทช.) เดินหน้าพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในทุกภูมิภาค เพื่อให้ประชาชนเดินทางได้สะดวกขึ้น ลดต้นทุนขนส่ง และเสริมความแข็งแกร่งให้เศรษฐกิจท้องถิ่น โดยเฉพาะจังหวัดตราด ซึ่งเป็น “ประตูเศรษฐกิจภาคตะวันออก” ที่เชื่อมสู่ประเทศเพื่อนบ้านและเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของประเทศ ทช. ได้ดำเนินโครงการก่อสร้างถนนสาย ก1 ข และ ค1 ผังเมืองรวมเมืองตราด คืบหน้ากว่าร้อยละ 26 โดยอยู่ระหว่างงานโครงสร้างหลัก งานผิวจราจรคอนกรีตเสริมเหล็ก และงานสะพานคอนกรีตเสริมเหล็ก คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2570 โครงการนี้เป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ที่ “เปลี่ยนคุณภาพชีวิตประชาชนได้จริง” เพราะจะช่วยลดเวลาเดินทางในเขตเมืองตราด เชื่อมเมือง - ชายแดน - ท่าเรือ รองรับการขนส่งสินค้าเกษตรทะเลและการค้าชายแดน หนุนภาคท่องเที่ยว ช่วยให้นักท่องเที่ยวเดินทางไปเกาะช้าง - เกาะกูดได้สะดวกขึ้น กระตุ้นรายได้ให้คนในพื้นที่ และเป็นการเตรียมพร้อมสู่การพัฒนาภาคตะวันออกอย่างยั่งยืน รองรับการค้าการลงทุนใหม่ในอนาคต

นายพิชิต หุ่นศิริ อธิบดี ทช. เปิดเผยว่า จังหวัดตราดเป็นเมืองที่มีศักยภาพทั้งภาคการคมนาคมขนส่ง การท่องเที่ยว ปัจจุบันพื้นที่ในเขตอำเภอเมืองมีการขยายตัวของชุมชนอย่างรวดเร็ว จึงจำเป็นต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านถนน เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจภาคการขนส่ง การค้า และการขยายตัวของเมือง นอกจากนี้ ยังเป็นโครงการก่อสร้างถนนที่ไว้รองรับการขยายทางหลวงหมายเลข 3 จากจังหวัดตราดถึงบ้านหาดเล็ก อำเภอคลองใหญ่ เพื่อสอดรับกับถนนสายหลักที่เชื่อมกับประเทศเพื่อนบ้าน สนับสนุนยุทธศาสตร์การพัฒนาของจังหวัดตราด ก่อสร้างแบ่งออกเป็นสาย ก1 ระยะทาง 1.350 กิโลเมตร สาย ข และ ค1 ระยะทาง 6.782 กิโลเมตร รวมระยะทาง 8.132 กิโลเมตร ใช้งบประมาณ 914 ล้านบาท ก่อสร้างเป็นผิวจราจรคอนกรีตเสริมเหล็ก 4 ช่องจราจร แบ่งทิศทางการจราจรโดยเกาะกลาง มีทางเท้า พร้อมก่อสร้างสะพานคอนกรีตเสริมเหล็ก 4 แห่ง ติดตั้งระบบไฟฟ้าแสงสว่าง ระบบระบายน้ำ เพื่อให้ประชาชนได้ใช้งานถนนสายดังกล่าวได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและได้รับความสะดวกปลอดภัยในการเดินทางอย่างเป็นรูปธรรม

นอกจากนี้ ทช. ได้กำชับผู้รับจ้างและผู้ควบคุมงานในเรื่องความปลอดภัยระหว่างการก่อสร้าง โดยให้ติดตั้งสัญญาณไฟกระพริบ ติดตั้งป้ายเตือน สิ่งอำนวยความปลอดภัยต่าง ๆ ให้ผู้ใช้ทางสามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน รวมถึงให้เพิ่มรอบการรดน้ำบริเวณโครงการเป็นการลดฝุ่นละอองในพื้นที่ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนในช่วงระหว่างการก่อสร้างอีกด้วย

นายกฯ อนุทิน นำประกาศเจตนารมณ์วันต่อต้านคอร์รัปชันสากล ผลักดันทุกภาคส่วนยึดมั่นในความยุติธรรม ซื่อสัตย์สุจริตย้ำรัฐบาลจะ...
09/12/2025

นายกฯ อนุทิน นำประกาศเจตนารมณ์วันต่อต้านคอร์รัปชันสากล ผลักดันทุกภาคส่วนยึดมั่นในความยุติธรรม ซื่อสัตย์สุจริต

ย้ำรัฐบาลจะเดินหน้าปราบทุจริตอย่างเด็ดขาด พร้อมตั้งเป้าทุกหน่วยงานจัดทำแผนเพิ่มความโปร่งใส เพิ่มคะแนน CPI อย่างเป็นรูปธรรม

วันนี้ (9 ธันวาคม 2568) เวลา 08.30 น. ณ ฮอลล์ 4 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในการประกาศเจตนารมณ์ต่อต้านการทุจริต ภายในงานวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล (ประเทศไทย) “HERO OF THE TRUTH ร่วมหยุดคอร์รัปชัน” โดยมีนางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข ประธานกรรมการ ป.ป.ช. นายอำนาจ พวงชมภู ประธานกรรมการ ป.ป.ท. นายมานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) สำนักงาน ป.ป.ช. สำนักงาน ป.ป.ท. องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ภาคีเครือข่าย ผู้แทนองค์กรระหว่างประเทศ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เข้าร่วม

นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าองค์การสหประชาชาติประกาศให้วันที่ 9 ธันวาคมของทุกปีเป็นวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล เป็นวันที่ประชาคมโลก แสดงจุดยืน ร่วมกัน ขจัดการทุจริตในทุกรูปแบบ เพราะการทุจริตเป็นปัญหา ที่บั่นทอนความเชื่อมั่น ทำลายโอกาสการพัฒนา และลดทอนคุณภาพชีวิตของประชาชน

“ในฐานะนายกรัฐมนตรี ขอประกาศเจตจำนงอย่างชัดเจนว่า รัฐบาลจะยืนหยัดต่อสู้กับการทุจริตด้วยความเด็ดขาด ไม่ลังเล ไม่ประนีประนอม ไม่ผ่อนปรน ไม่มีข้อยกเว้น ให้กับผู้ที่บ่อนทำลายผลประโยชน์ของชาติ และพร้อมทำงานร่วมกับทุกภาคส่วน เพื่อสร้างสังคมที่โปร่งใสและเป็นธรรม”

นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายด้านความโปร่งใส ที่ส่งผลกระทบต่อศรัทธาของประชาชน และความเชื่อมั่นของนักลงทุน โดยดัชนีชี้วัดสำคัญอย่างดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index : CPI) ปี 2567 ดัชนี CPI ของเดนมาร์กสูงถึง 90 คะแนน ครองเป็นอันดับหนึ่งของโลก สิงคโปร์ 84 คะแนน เป็นอันดับสามของโลก และเป็นอันดับหนึ่งในเอเชียแปซิฟิก

ส่วนประเทศไทยได้ 34 คะแนน จัดอยู่ในอันดับที่ 107 ของโลกสะท้อนให้เห็นว่า ประเทศไทยยังมีช่องโหว่ที่ต้องเร่งแก้ไขอย่างจริงจัง รัฐบาลนี้จะไม่เพียง “แก้ไข” แต่จะ “ยกระดับ” มาตรฐานความโปร่งใสของประเทศให้สูงขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม เราต้องมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ไม่ใช่เพียงเพื่อให้อันดับ CPI ดีขึ้นบนเวทีโลก แต่เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าประเทศไทยสามารถสร้างระบบรัฐที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ และยืนอยู่บนหลักธรรมาภิบาลอย่างแท้จริง เพื่อให้ประเทศไทยพัฒนาก้าวหน้า ทั้งในมิติการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม มีความเข้มแข็ง มีเสถียรภาพตามหลักนิติธรรม ด้วยระบบธรรมาภิบาลที่ดี และมีความโปร่งใสตรวจสอบได้ ซึ่งจะสร้างความเชื่อมั่นให้คนไทยและชาวต่างชาติ และเพื่อให้เป้าหมายสำเร็จ ขอมอบนโยบายสำคัญดังต่อไปนี้

1. ต้องเสริมสร้างระบบป้องกันทุจริตให้รัดกุม ทุกหน่วยงาน ต้องกำหนดมาตรการป้องกันทุจริตเชิงรุก โครงการที่ใช้งบประมาณจำนวนมาก ต้องผ่านการประเมินความเสี่ยง ต้องสร้างระบบตรวจสอบภายในที่เข้มข้น ไม่ใช่ทำตามรูปแบบ แต่ต้องเห็นผลจริง

2. ขอให้นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานการบริการภาครัฐต้องลดขั้นตอน การบริการประชาชนที่ไม่จำเป็นเพิ่ม e-Service และ One Stop Service ใช้แพลตฟอร์มออนไลน์สนับสนุนการดำเนินการที่เกี่ยวกับการทุจริต และประพฤติมิชอบ ต้องสร้างความโปร่งใส ลดการใช้อำนาจดุลพินิจ และลดปัจจัยที่เปิดช่องให้เกิดการแทรกแซง และต้องเปิดเผยข้อมูลภาครัฐให้ประชาชนเข้าถึงได้ง่าย ตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน

3. ต้องมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด โปร่งใส และเสมอภาค ผู้ใดทุจริต ต้องรับผิด ผู้ใดเอื้อประโยชน์ ต้องถูกตรวจสอบ ไม่มีการละเว้น ไม่มีอภิสิทธิ์ ไม่ว่าตำแหน่งใดหรือฝ่ายใด ส่วนใครที่ซื่อสัตย์ รัฐบาลจะให้การปกป้องคุ้มครอง สนับสนุนอย่างเต็มที่

4. เสริมสร้างวัฒนธรรมซื่อสัตย์สุจริตในสังคมไทย ปลูกฝังจิตสำนึก ด้านจริยธรรมและความโปร่งใส ตั้งแต่ในสถานศึกษาและหน่วยงานรัฐ ให้ทุกคนมีความซื่อสัตย์สุจริต ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน ภาคประชาสังคม และสื่อมวลชน เฝ้าระวังและแจ้งเบาะแสการทุจริต รวมทั้งการคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแสอย่างจริงจัง เพื่อให้ “คนทำถูก” มีความปลอดภัยที่มั่นคง

“การป้องกันและปราบปรามการทุจริต ต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจจากทุกฝ่าย ผมเชื่อมั่นว่าหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งสำนักงาน ป.ป.ช. ฝ่ายความมั่นคง หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ได้บูรณาการการทำงานร่วมกันอย่างเข้มแข็ง เพื่อป้องกัน ปราบปราม และลดความเสี่ยงการทุจริต” นายกรัฐมนตรี ย้ำ

ทั้งนี้ ขอให้ทุกหน่วยงานตั้งเป้ายกระดับดัชนีการรับรู้การทุจริต (CPI) ด้วยการจัดทำแผนปฏิบัติการที่ส่งผลต่อการเพิ่มคะแนน CPI รัฐบาลจะติดตามประเมินผลเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ และต่อเนื่อง เป้าหมายเพื่อประเทศไทยที่โปร่งใส น่าเชื่อถือ และมีอนาคตที่มั่นคงสำหรับลูกหลานของเรา

นายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณทุกภาคส่วนที่ได้ร่วมมือกันปกป้องผลประโยชน์ประเทศชาติ และทุ่มเทในการแก้ไขปัญหาการทุจริตของประเทศไทย วันนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญที่ได้มาร่วมกันแสดงพลังที่มุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาการทุจริต เพื่อร่วมกันปลุกกระแสสังคม และจุดยืนของคนไทยว่า "ไม่ทำ ไม่ทน และไม่เฉย" ต่อการทุจริตอีกต่อไป

ทั้งนี้ ขอนำทุกท่าน ร่วมกันประกาศเจตนารมณ์ต่อต้านการทุจริตพร้อมกัน

“ข้าพเจ้า นายอนุทิน ชาญวีรกูล ขอประกาศเจตจำนงว่า จะประพฤติปฏิบัติตนด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่กระทำการทุจริต จะยึดมั่นในความยุติธรรม ยึดถือประโยชน์ส่วนรวม มากกว่าประโยชน์ส่วนตน จักปกป้องเทิดทูน สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน และเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยจิตอาสา พร้อมทำความดีด้วยหัวใจ” นายกรัฐมนตรี กล่าว

จากนั้น นายกรัฐมนตรีแสดงสัญลักษณ์ต่อต้านการทุจริต โดยการเปิดผ้าคลุมสัญลักษณ์ “HERO OF THE TRUTH ร่วมหยุดคอร์รัปชัน” เพื่อเป็นการแสดงเจตนารมณ์อย่างแน่วแน่ของทุกหน่วยงานในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบใด

“ตรีนุช” มอบ ปลัดกระทรวงแรงงาน นั่งประธาน คบต. เห็นชอบ แรงงานเมียนมาตามฤดูกาลทำงานได้ 6 เดือนวันที่ 4 ธันวาคม 2568 เวลา ...
08/12/2025

“ตรีนุช” มอบ ปลัดกระทรวงแรงงาน นั่งประธาน คบต. เห็นชอบ แรงงานเมียนมาตามฤดูกาลทำงานได้ 6 เดือน

วันที่ 4 ธันวาคม 2568 เวลา 14.30 น. นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมาย พันตำรวจโท วรรณพงษ์ คชรักษ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว (คบต.) ครั้งที่ 9/2568 โดยมีนายสมชาย มรกตศรีวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน ผู้บริหารกระทรวงแรงงาน และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร สภาความมั่นคงแห่งชาติ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ร่วมประชุม ณ ห้องประชุม ศ.นิคม จันทรวิทุร ชั้น 5 กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน อาคารกระทรวงแรงงาน

โดยมติที่ประชุมเห็นชอบในหลักการให้นำคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมาที่ถือบัตรผ่านแดน (Border Pass) ให้เข้ามาทำงานในประเทศไทยครั้งละไม่เกิน 6 เดือน ในประเภทงานกรรมกร งานบ้าน และงานขายของหน้าร้าน (เฉพาะอำเภอ ที่มีจุดผ่านแดนถาวร) ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย อำเภอแม่สาย อำเภอแม่จัน และอำเภอเมือง จังหวัดตาก อำเภอแม่สอด แม่ระมาด พบพระ จังหวัดกาญจนบุรี และจังหวัดระนอง เฉพาะอำเภอเมือง อีกทั้งสามารถไปทำงานกับนายจ้างนอกพื้นที่ในอำเภออื่นในจังหวัดดังกล่าว รวมถึงจังหวัดที่มีพื้นที่ติดชายแดน จังหวัดปราจีนบุรี ระยอง ชลบุรี ฉะเชิงเทรา และจังหวัดที่กรมการจัดหางานและกระทรวงมหาดไทยพิจารณาร่วมกัน โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการนโยบายการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว (คบต.) ซึ่งก่อนออก – เข้าพื้นที่ต้องดำเนินการขออนุญาตก่อนทุกครั้ง

ด้านนายสมชาย มรกตศรีวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่าหลังจากนี้กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน จะเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา ซึ่งแรงงานกลุ่มดังกล่าวจะได้รับการผ่อนผันเมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ และประกาศกระทรวงมหาดไทย และประกาศกระทรวงแรงงานมีผลบังคับใช้แล้วเท่านั้น ทั้งนี้ ขอให้นายจ้าง สถานประกอบการ และแรงงานต่างด้าว ติดตามข่าวสารและรายละเอียดแนวทางการปฏิบัติจากกรมการจัดหางานอย่างใกล้ชิด ที่เว็บไซต์กรมการจัดหางาน www.doe.go.th หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 หรือสำนักงานจัดหางานจังหวัดทั่วประเทศ หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร. 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน

กองทัพภาคที่ 2 เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ข้อมูลการจัดตั้งศูนย์พักพิงในพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ข้อมูลการจัดตั...
08/12/2025

กองทัพภาคที่ 2 เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ข้อมูลการจัดตั้งศูนย์พักพิงในพื้นที่

กองทัพภาคที่ 2 เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ข้อมูลการจัดตั้งศูนย์พักพิงในพื้นที่ เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดน

หากท่านใดมีข้อสงสัยสามารถโทรสอบถามได้ที่ประชาสัมพันธ์จังหวัดและเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์พักพิง ตามหมายเลขโทรศัพท์ที่ปรากฏในภาพ

ที่มา : กองทัพภาคที่ 2

“ศุภมาส” เปิดผลการศึกษา OECD ชี้ 5 แนวทางฟื้นเศรษฐกิจไทย ภายใต้ยุทธศาสตร์ Quick Big Winวันนี้ (8 ธันวาคม 2568) ณ โรงแรมแ...
08/12/2025

“ศุภมาส” เปิดผลการศึกษา OECD ชี้ 5 แนวทางฟื้นเศรษฐกิจไทย ภายใต้ยุทธศาสตร์ Quick Big Win

วันนี้ (8 ธันวาคม 2568) ณ โรงแรมแชงกรี-ลา กรุงเทพฯ นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้รับมอบหมายจากนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานเปิดการเผยแพร่รายงาน “Economic Survey of Thailand 2025: Building the Foundations for Stronger Growth” จัดทำโดยองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ หรือ OECD โดยมีผู้บริหาร OECD และสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เข้าร่วมในพิธีอย่างพร้อมเพรียง

นางสาวศุภมาสกล่าวว่า รายงานฉบับนี้สะท้อนสถานการณ์เศรษฐกิจไทยและข้อเสนอเชิงนโยบายที่สำคัญต่อการฟื้นตัวของประเทศ รัฐบาลภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี จึงนำแนวทาง “Quick Big Win” มาใช้เพื่อดำเนินมาตรการเร่งด่วนควบคู่กับการวางรากฐานการแข่งขันระยะยาวของเศรษฐกิจไทย

มาตรการสำคัญอยู่ภายใต้ 5 เสาหลัก ได้แก่ การกระตุ้นกำลังซื้อและการท่องเที่ยว การลดภาระหนี้ครัวเรือน การเพิ่มสภาพคล่องให้ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม การเสริมสร้างระบบออมระยะยาวและสวัสดิการสังคม และการดึงดูดการลงทุนทั้งในและต่างประเทศผ่านการปรับกฎระเบียบและพัฒนาทักษะแรงงานเพื่ออุตสาหกรรมใหม่

นางสาวศุภมาสย้ำว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับความยั่งยืนทางการคลัง โดยจัดทำกรอบงบประมาณระยะกลางปี 2567–2570 เพื่อจำกัดระดับขาดดุลและสร้างความเชื่อมั่นต่อสาธารณชนและนักลงทุน รวมถึงเตรียมมาตรการระดมทุนรูปแบบใหม่ เพื่อลดแรงกดดันด้านหนี้สาธารณะ

ในส่วนของการเข้าร่วมเป็นสมาชิก OECD นางสาวศุภมาสระบุว่า เป็นเป้าหมายระดับชาติ รัฐบาลได้เร่งรัดการปฏิบัติงานตามข้อกำหนด โดยมอบหมายให้หน่วยงานของรัฐนำมาตรฐานของ OECD มากกว่า 240 ฉบับไปใช้เป็นตัวชี้วัดการทำงานของผู้บริหาร เพื่อให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่การเป็นสมาชิกได้เร็วกว่ากรอบเวลาเดิมก่อนปี 2573

“รายงานฉบับนี้ให้ข้อมูลเชิงหลักฐาน ช่วยกำหนดทิศทางการปฏิรูปเศรษฐกิจ และเป็นฐานสำหรับความร่วมมือระหว่างไทยกับ OECD ไทยจะเดินหน้าอย่างมั่นคงเพื่อสร้างอนาคตที่แข็งแรงขึ้น” นางสาวศุภมาสกล่าวปิดท้าย

นายกฯ ประชุมติดตามสถานการณ์ชายแดนผ่าน video conference ร่วมกับผู้ว่าราชการชายแดน 7 จังหวัด กำชับดูแล ปชช. ให้ดีที่สุดให้...
08/12/2025

นายกฯ ประชุมติดตามสถานการณ์ชายแดนผ่าน video conference ร่วมกับผู้ว่าราชการชายแดน 7 จังหวัด กำชับดูแล ปชช. ให้ดีที่สุด

ให้ทุกหน่วยช่วยกันดูแลพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลัง เพื่อให้แนวหน้าได้ทำงานโดยไม่ต้องห่วง

วันนี้ (8 ธันวาคม 2568) เวลา 12.00 น. ณ ห้อง Pmoc ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยประชุมผ่าน video conference ร่วมกับผู้ว่าราชการชายแดน 7 จังหวัด

นายกรัฐมนตรีสั่งการดูแลความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน อพยพประชาชนไปในที่ปลอดภัย กำชับดูแลประชาชนในศูนย์อพยพให้ดีที่สุด กำชับเรื่องการเบิกจ่ายงบประมาณในการดูแลพี่น้องประชาชนห้ามขาดแคลนอาหาร ยา และสิ่งของจำเป็น

พร้อมทั้งเน้นย้ำให้ทุกหน่วยช่วยกันดูแลพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลัง ร่วมกันกับ ชรบ. อส. เพื่อให้แนวหน้าได้ทำงานโดยไม่ต้องห่วงข้างหลัง ทั้งนี้ นายกยังสั่งการให้เตรียมความพร้อมเรื่อง โรงพยาบาลดูแลผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบ เตรียมเลือดให้พร้อม และให้จัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ดูพี่น้อง ปชช. ในศูนย์อพยพ

“รมช.อามินทร์” ลงพื้นที่ร่วมกับ “จุฬาราชมนตรี” ตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจชาวสงขลาหลังน้ำลด พร้อมเร่งช่วยเหลือฟื้นฟูเกษตรกรน...
06/12/2025

“รมช.อามินทร์” ลงพื้นที่ร่วมกับ “จุฬาราชมนตรี” ตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจชาวสงขลาหลังน้ำลด พร้อมเร่งช่วยเหลือฟื้นฟูเกษตรกร

นายอามินทร์ มะยูโซ๊ะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่จังหวัดสงขลา ร่วมกับ นายอรุณ บุญชม จุฬาราชมนตรี ณ ที่ว่าการอำเภอจะนะ และ มัสยิดกลางประจำจังหวัดสงขลา เพื่อตรวจเยี่ยม ให้กำลังใจ และส่งมอบความช่วยเหลือแก่ประชาชนและมัสยิดที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยเมื่อช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา

นายอามินทร์ กล่าวว่า จากสถานการณ์น้ำท่วมหลายจังหวัดในพื้นที่ภาคใต้ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน ส่งผลกระทบให้พี่น้องประชาชนได้รับความเดือดร้อน ทั้งบ้านเรือน ทรัพย์สิน พื้นที่ทางการเกษตร ตลอดจนหน่วยงานราชการ โรงเรียน และมัสยิดหลายแห่งในพื้นที่ได้รับความเสียหาย ซึ่งขณะนี้ หลายพื้นที่สถานการณ์น้ำท่วมเริ่มคลี่คลายและเข้าสู่สภาวะปกติ และหน่วยงานภาครัฐได้เข้าไปให้ความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งสำรวจความเสียหาย สำหรับกระทรวงเกษตรฯ ได้เตรียมมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบทั้งด้านพืชและปศุสัตว์รวมถึงการพิจารณาเยียวยาความเสียหายตามระเบียบที่เกี่ยวข้องในการบรรเทาความเดือดร้อน เพื่อให้เกษตรกรสามารถกลับมาประกอบอาชีพได้โดยเร็ว โอกาสนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ และ นายอรุณ บุญชม จุฬาราชมนตรี ได้มอบถุงยังชีพให้แก่ประชาชนและผู้แทนจากมัสยิดที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ อีกด้วย

นายกฯ อนุทิน ลงพื้นที่ตลาดกิมหยง สั่งเคลียร์ขยะ 7 วัน–เร่งแก้ระบบออนไลน์จ่ายเงินล่าช้า ให้กำลังใจ อส. ทหาร ทุกหน่วยช่วยก...
06/12/2025

นายกฯ อนุทิน ลงพื้นที่ตลาดกิมหยง สั่งเคลียร์ขยะ 7 วัน–เร่งแก้ระบบออนไลน์จ่ายเงินล่าช้า ให้กำลังใจ อส. ทหาร ทุกหน่วยช่วยกันขับเคลื่อนฟื้นฟูเมืองหาดใหญ่ให้กลับสู่สภาวะปกติ

วันนี้ (6 ธันวาคม 2568) เวลา 11.00 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานฟื้นฟูหลังน้ำท่วมบริเวณตลาดกิมหยง เขตเทศบาลนครหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา โดยมีเจ้าหน้าที่อาสาสมัคร (อส.) กว่า 300 นายจากกำลังกว่า 4,000 นายทั่วประเทศ ระดมลงพื้นที่เพื่อเร่งทำความสะอาดและฟื้นฟูเมืองหาดใหญ่ พร้อมกล่าวทักทาย ชื่นชมการทำงานของเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่ร่วมกันให้บริการประชาชนอย่างเต็มที่ พร้อมขอบคุณกำลังทหารที่สนับสนุนภารกิจฟื้นฟูเมืองหาดใหญ่ครั้งนี้ ซึ่งต้องอาศัยแรงคนจำนวนมาก

ภายหลังการตรวจพื้นที่ นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ว่า จากที่ได้รับรายงานประชาชนส่วนใหญ่กลับเข้าที่พักกันได้หมดแล้ว โดยศูนย์พักพิงภายในมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ปัจจุบันมีผู้พักเหลือเพียงราว 30 รายจากจำนวนผู้ที่ได้ผลกระทบ 10,000 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยหรือกลุ่มเปราะบาง ส่วนประชาชนทั่วไปส่วนมากได้ทยอยกลับบ้านแล้ว โดยตอนนี้ภารกิจใหญ่คือ การเก็บขยะมูลฝอยที่สะสมในช่วงน้ำท่วม และขยะใหม่ที่เกิดขึ้นจากการทำความสะอาดบ้านของประชาชน พร้อมขอความร่วมมือให้นำขยะมากองหน้าบ้าน เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าจัดเก็บได้รวดเร็วตามแผนที่กำหนด 14 วัน ซึ่งขณะนี้เหลืออีก 7 วัน คืน ความเป็นเมืองหาดใหญ่ให้คืนกลับมาปกติ

นายกรัฐมนตรีได้กำชับผู้บังคับบัญชาไปยังเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในการทำงานให้ใช้ความเข้าใจ ปฏิบัติหน้าที่ด้วย เพราะเจตนารมณ์ของผู้ปฏิบัติงานคือการเข้ามาช่วยพี่น้องประชาชน ซึ่งแม้ในบางพื้นที่อาจจะมีอารมณ์ไม่พอใจบ้าง แต่ไม่มีเหตุปะทะรุนแรง

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียังเปิดเผยความคืบหน้าการจ่ายเงินเยียวยาผู้ประสบอุทกภัยว่า แม้รัฐบาลได้โอนเงินช่วยเหลือไปแล้วเป็นจำนวนมาก แต่ยังพบว่ามีประชาชนบางส่วนยังไม่ได้รับเงินตามสิทธิ เนื่องจากต้องผ่านขั้นตอนการอนุมัติอีก 2–3 ขั้นตอน โดยได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขปัญหาโดยด่วน โดยจุดที่ต้องเร่งเป็นพิเศษคือ ระบบออนไลน์ที่ดำเนินการล่าช้ากว่าระบบแอนะล็อก ทั้งที่ควรเป็นช่องทางที่รวดเร็วที่สุด จึงได้กำชับให้ปรับปรุงทันที พร้อมตั้งเป้าว่าภายในสัปดาห์หน้า การจ่ายเงินเยียวยาจะต้องแล้วเสร็จและครอบคลุมทุกครัวเรือน

นอกจากนี้ ในวันอังคารที่จะถึงนี้ นายกรัฐมนตรีเตรียมนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อขอเพิ่มงบเยียวยาสำหรับประชาชนที่ตกสำรวจ ซึ่งไม่ได้อยู่ในฐานข้อมูลเดิม โดยมาตรการนี้จะครอบคลุม ไม่เฉพาะจังหวัดสงขลา แต่รวมถึงจังหวัดใกล้เคียงที่เผชิญน้ำท่วมในช่วงเดียวกันด้วย

ส่วนแผนฟื้นฟูภาคธุรกิจร้านค้าในเรื่องการจัดหาสินเชื่อระยะสั้นสำหรับพวกผู้ประกอบการรายย่อยรายละ 100,000 บาท ไม่มีดอกเบี้ยนั้น อยู่ในขั้นตอนอยู่แล้ว โดยจะเร่งติดตามให้ คปภ. ดำเนินการจ่ายค่าประกัน

จากการประชุมคณะกรรมการถอดบทเรียนฯ ได้มีการตั้งอนุกรรมการครอบคลุมด้านเยียวยา ฟื้นฟู ป้องกัน และสิ่งแวดล้อม ซึ่งการพาคณะกรรมการฯ ลงพื้นที่จริง เพื่อรับทราบสถานการณ์และความเดือดร้อนของประชาชนโดยตรง แม้จะมีการอนุมัติตามแผนแล้ว แต่การเห็นสภาพจริงจะทำให้เข้าใจถึงความเร่งด่วนได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เมื่อคณะกรรมการแต่ละชุดลงพื้นที่และกลับไป ก็สามารถดำเนินการตามภารกิจได้อย่างเต็มที่ และในวันจันทร์ก็สามารถนำเรื่องต่างๆ ที่รับทราบเข้าที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจได้

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ไม่อาจฝืนธรรมชาติได้หากมีฝนตกเข้ามาเพิ่มเติมในสัปดาห์หน้า แต่ในด้านการป้องกัน ต้องเตรียมพร้อมและใช้เครื่องมือที่มีอย่างเต็มประสิทธิภาพที่สุด

ภายหลังลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม นายกรัฐมนตรี ได้ร่วมรับประทานข้าวกล่องกับคณะเจ้าหน้าที่ อส. และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานมาร่วมรับประทานด้วยกัน ซึ่งบรรยากาศเป็นไปอย่างอบอุ่นและใกล้ชิดระหว่างนายกรัฐมนตรีและผู้ปฏิบัติงานในพื้นที

แหล่งท่องเที่ยวไทยคว้ารางวัลระดับโลก ติดอันดับ “Top 100 Green Destinations” ยืนยันศักยภาพการท่องเที่ยวไทยสู่ความยั่งยืนว...
06/12/2025

แหล่งท่องเที่ยวไทยคว้ารางวัลระดับโลก ติดอันดับ “Top 100 Green Destinations” ยืนยันศักยภาพการท่องเที่ยวไทยสู่ความยั่งยืน

วันนี้ (6 ธ.ค.68) นางสาวลลิดา เพริศวิวัฒนา รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า หลายแหล่งท่องเที่ยวของประเทศไทยได้รับการคัดเลือกให้อยู่ในรายชื่อ “Top 100 Green Destinations Stories” ประจำปี 2025 ซึ่งเป็นเวทีระดับนานาชาติที่ยกย่องเมืองและแหล่งท่องเที่ยวที่มีการบริหารจัดการอย่างยั่งยืน คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ชุมชนท้องถิ่น และคุณภาพชีวิตของประชาชน สะท้อนภาพลักษณ์ของประเทศไทยในฐานะผู้นำด้านการท่องเที่ยวสีเขียวในภูมิภาคแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับการยอมรับ อาทิ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา (กระบี่) จากโครงการฟื้นฟูระบบนิเวศทะเล “Return Home to Hermit Crabs” ที่ลดขยะชายฝั่งและฟื้นความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ อุทยานหลวงราชพฤกษ์ (เชียงใหม่) ซึ่งผสมผสานพื้นที่สีเขียวกับการเรียนรู้ด้านสิ่งแวดล้อม อุทยานแห่งชาติกุยบุรี (ประจวบฯ) และ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง (ตราด) ตัวอย่างพื้นที่ที่ประสบความสำเร็จในการรักษาระบบนิเวศควบคู่กับการรองรับนักท่องเที่ยว ชุมชนเมืองรองสำคัญ เช่น เชียงคาน (เลย), เขตเมืองเก่าน่าน, เมืองเก่าอุทัยธานี, และ ชุมชนท่าชัย สุโขทัย ซึ่งโดดเด่นด้านการรักษามรดกวัฒนธรรม วิถีชีวิต และการท่องเที่ยวโดยชุมชน

รองโฆษกฯ กล่าวว่า การได้รับคัดเลือกในเวทีนี้ไม่ได้สะท้อนเพียงความงดงามของสถานที่ท่องเที่ยวเท่านั้น แต่เป็นการยืนยันถึงความร่วมมือของภาครัฐ เอกชน และชุมชนท้องถิ่นในการรักษาธรรมชาติ จัดการขยะอย่างเป็นระบบ ส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก และผลักดันนโยบายท่องเที่ยวยั่งยืนตามแนวทางของรัฐบาล รัฐบาลมุ่งมั่นยกระดับการท่องเที่ยวไทยสู่ “Sustainable Tourism” ผ่านมาตรการต่าง ๆ ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม ความปลอดภัย มาตรฐานบริการ และการมีส่วนร่วมของชุมชน เพื่อให้รายชื่อแหล่งท่องเที่ยวไทยอยู่ในเวทีโลกอย่างต่อเนื่อง และสร้างความเชื่อมั่นแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ

รองโฆษกฯ ขอเชิญชวนประชาชนร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบเลือกเที่ยวพื้นที่ที่ได้รับรองมาตรฐานสนับสนุนธุรกิจที่พัก ร้านอาหาร และโฮมสเตย์ของชุมชนร่วมกันดูแลความสะอาด ไม่ทิ้งขยะ และเคารพวัฒนธรรมท้องถิ่น

“ประเทศไทยกำลังก้าวสู่การท่องเที่ยวยุคใหม่ ที่ไม่ใช่เพียงสวยงาม แต่ยั่งยืนและเป็นธรรมกับทุกภาคส่วน” รองโฆษกฯ กล่าว

รัฐบาลโอนเงินเยียวยาน้ำท่วมใต้ ครั้งที่ 6 วันนี้!! สงขลา-ตรัง รวม 40,935 ครัวเรือน กว่าสามร้อยล้านบาทย้ำขอให้ประชาชนที่ย...
06/12/2025

รัฐบาลโอนเงินเยียวยาน้ำท่วมใต้ ครั้งที่ 6 วันนี้!! สงขลา-ตรัง รวม 40,935 ครัวเรือน กว่าสามร้อยล้านบาท

ย้ำขอให้ประชาชนที่ยังไม่ได้ผูกบัญชีพร้อมเพย์ด้วยเลขบัตรประจำตัวประชาชน ติดต่อธนาคาร เพื่อผูกบัญชีโดยเร็ว เพื่อให้การช่วยเหลือเยียวยาเป็นไปอย่างรวดเร็วที่สุด

วันนี้ (6 ธ.ค.68) นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยความคืบหน้าการจ่ายเงินเยียวยาช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2568 แบบเหมาจ่ายในอัตราครัวเรือนละ 9,000 บาท ใน 4 รูปแบบ ดังนี้ 1) ที่อยู่อาศัยประจำถูกน้ำท่วมขังไม่เกิน 7 วัน และทรัพย์สินได้รับความเสียหาย 2) ที่อยู่อาศัยประจำถูกน้ำท่วมขังเกิน 7 วันขึ้นไป 3) ที่อยู่อาศัยประจำที่ถูกน้ำล้อมรอบจนส่งผลกระทบทำให้ไม่สามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติติดต่อกันเกิน 7 วันขึ้นไป และ 4) ที่อยู่อาศัยประจำในอาคารสูงที่น้ำท่วมไม่ถึงชั้นที่ผู้ประสบภัยพักอาศัย แต่ส่งผลกระทบให้ไม่สามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติ ติดต่อกันเกิน 7 วันขึ้นไป

สำหรับวันนี้ (6 ธ.ค. 68) เป็นครั้งที่ 6 ของการโอนเงินเยียวยา 9,000 บาท โดย ปภ. และธนาคารออมสินจะโอนเงินให้แก่ผู้ประสบภัยที่ลงทะเบียนและผ่านการตรวจสอบข้อมูลเรียบร้อยแล้ว รวม 40,935 ครัวเรือน รวมเป็นเงิน 368,577,000 บาท ในพื้นที่จังหวัดสงขลา 40,947 ครัวเรือน (อำเภอหาดใหญ่ 15,913 ครัวเรือน) และจังหวัดตรัง 6 ครัวเรือน โดยโอนเงินผ่านบัญชีพร้อมเพย์ที่ผูกกับเลขประจำตัวประชาชน ซึ่งเงินจะโอนเข้าบัญชีผู้ประสบภัยในวันนี้ตั้งแต่เวลา 13.00 น. เป็นต้นไป

ปัจจุบัน (6 ธ.ค. 68) ปภ. และธนาคารออมสินได้โอนเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยแล้ว 5 ครั้ง (วันที่ 1,2,3,4,5 ธ.ค. 68) ใน 8 จังหวัดภาคใต้ ประกอบด้วย จ.สงขลา ตรัง นครศรีธรรมราช นราธิวาส ปัตตานี ยะลา สตูล และสุราษฎร์ธานี รวม 612,573 ครัวเรือน รวมเป็นเงิน 5,513,157,000 บาท โดยที่ จ.สงขลา 245,736 ครัวเรือน (เฉพาะ อ.หาดใหญ่ 42,179 ครัวเรือน) จ.ตรัง 281 ครัวเรือน จ.นครศรีธรรมราช 215,055 ครัวเรือน จ.นราธิวาส 7,224 ครัวเรือน จ.ปัตตานี 72,105 ครัวเรือน จ.ยะลา 2,423 ครัวเรือน จ.สตูล 25,625 ครัวเรือน และ จ.สุราษฎร์ธานี 1,945 ครัวเรือน ทั้งนี้ โอนเงินไม่สำเร็จจำนวน 8,657 ครัวเรือน เนื่องจากบัญชีไม่ปกติและอยู่ระหว่างรอการปรับปรุงข้อมูลโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเร่งจ่ายเงินเยียวยาให้เร็วที่สุด

“ขอให้ประชาชนที่ยังไม่ได้ผูกบัญชีพร้อมเพย์ด้วยเลขบัตรประจำตัวประชาชน ติดต่อธนาคารใดก็ได้ เพื่อผูกบัญชีโดยเร็ว เพื่อให้การช่วยเหลือเยียวยาเป็นไปอย่างรวดเร็วที่สุด และประชาชนสามารถตรวจสอบสถานะรับเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยช่วงฤดูฝน ปี 2568 ผ่านช่องทาง https://flood68.disaster.go.th/Dashboard/BoardHelpRegister โดยระบุหมายเลขบัตรประจำตัวประชาชนในการตรวจสอบ” นายสิริพงศ์ ย้ำ

รัฐบาลยืนยันทุกสนามซีเกมส์มีมาตรฐานพร้อมใช้แข่งขัน จัดโครงการ ชิม ช็อป เชียร์ นำอาหาร-ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นโชว์อาเซียนวันนี้...
05/12/2025

รัฐบาลยืนยันทุกสนามซีเกมส์มีมาตรฐานพร้อมใช้แข่งขัน จัดโครงการ ชิม ช็อป เชียร์ นำอาหาร-ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นโชว์อาเซียน

วันนี้ (5 ธันวาคม 2568) เวลา 12.30 น. นางสาวอัยรินทร์ พันธุ์ฤทธิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาล โดยกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬายืนยันทุกสนามซีเกมส์ ครั้งที่ 33 มีมาตรฐาน พร้อมใช้ในการแข่งขันกีฬาทุกประเภท สามารถรองรับแฟนกีฬาได้เต็มศักยภาพ รวมถึงมาตรการการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด

พร้อมกันนี้ รัฐบาลโดยการกีฬาแห่งประเทศ (กกท. ) กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ ได้จัดโครงการ “ชิม ช็อป เชียร์” ในทุกสนาม โดยนำอาหาร-ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นทั่วประเทศที่ผ่านการคัดสรร ให้บริการประชาชนที่มาชมกีฬา เพื่อโชว์ให้ชาวอาเซียนได้เห็น soft power ของดีของประเทศไทย เพื่อเป็นการสนับสนุนสินค้าโอทอป ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นต่าง ๆ ทั้งอาหารและของใช้

“รัฐบาลนำผู้ประกอบการเข้าร่วมจำนวนมาก เพื่อรองรับการให้บริการแฟนกีฬาทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยเฉพาะที่บริเวณรอบอินดอร์ สเตเดียม ภายใน กกท. หัวหมาก มีเกินกว่า 30 ร้านแล้ว นอกจากนี้ยังมีที่จังหวัดชลบุรี อีกหนึ่งเจ้าภาพ และจังหวัดอื่น ๆ ที่ร่วมจัด เช่น ปทุมธานี, ราชบุรี และ นครปฐม โดยได้คัดเอาของขึ้นชื่อจากท้องถิ่น มาเผยแพร่สู่สายตาชาวอาเซียน ถือว่าเป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และช่วยผู้ประกอบการในช่วงกีฬาซีเกมส์ รวมไปถึงกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 13 ระหว่างวันที่ 20-26 มกราคม 2569 อีกทางด้วย” นางสาวอัยรินทร์ กล่าว

ที่อยู่

355/5 ถนนลาดพร้าววังหิน แขวงลาดพร้าว เขตลาดพร้าว
Bangkok
10230

เบอร์โทรศัพท์

+66969890810

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ONB newsผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง ONB news:

แชร์

ความเป็นมาของเราโอเอ็นบี นิวส์

สำนักข่าว โอเอ็นบี นิวส์ (ONB News) ก่อตั้งโดยกลุ่มนักวิชาการ นักพัฒนาภาคเอกชน สื่อสารมวลชน และชมรมผู้สื่อข่าวภูมิภาคทั่วประเทศไทย โดยมีการระดมทุนกันเองทั้งจากองค์กรพัฒนาเอกชน องค์กรชาวบ้าน นักวิชาการ นักธุรกิจ นักกิจกรรม และนักสื่อมวลชน เป็นองค์กรสื่อส่วนกลางของภาคประชาชน ที่ทำงานร่วมกับสื่อมวลชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อให้ข่าวสารภาคประชาชน โดยเฉพาะเกี่ยวกับปัญหาความยากจน ปัญหาคนชายขอบและปัญหาของชุมชนท้องถิ่นต่างๆ สื่อสารไปยังสังคมในวงกว้าง โดยผ่านสื่อมวลชนและเว็บไซต์ เพื่อให้องค์กรภาคประชาชนพัฒนาความรู้ ความเข้าใจในการใช้สื่อ ผลิตสื่อ และวิธีการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ

โดยผู้สื่อข่าวของ โอเอ็นบี นิวส์ เป็นผู้สื่อข่าวระดับพื้นที่ ซึ่งมิใช่ผู้สื่อข่าวอาชีพ แต่เป็นผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดกับข้อเท็จจริง กระจายอยู่ตามสาขาอาชีพต่างๆ ในชนบททั่วประเทศ โดยมีศูนย์ข่าวภูมิภาคประจำอยู่ใน 4 ภูมิภาค คือ ภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงในการฝึกอบรม และจัดตั้งผู้สื่อข่าวระดับพื้นที่ รายงานข่าวแก่สมาชิกเป็นประจำผ่านทางจดหมายข่าวออนไลน์

สำนักข่าวโอเอ็นบี นิวส์ (ONB News) ก่อตั้งช่วงเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2560 เพื่อนำเสนอข่าวสืบสวนสอบสวน เน้นประเด็นตรวจสอบความโปร่งใสภาครัฐ ความโปร่งใสภาคเอกชน และการพัฒนาที่ยั่งยืน ดำเนินงานโดยทีมงานนักข่าวอาชีพที่มีประสบการณ์ในวงการข่าว นานกว่า 20 ปี มุ่งหวังที่จะใช้อินเทอร์เน็ต เป็นทั้งพื้นที่ในการนำเสนอข่าว แลกเปลี่ยนกับผู้อ่าน และเป็นเครื่องมือในการทำงาน โดยเชื่อมั่นในพลังของสื่อใหม่ว่า การใช้อินเทอร์เน็ตเป็นพื้นที่และเครื่องมือจะช่วยดำรงความเป็นอิสระของกองบรรณาธิการ ก้าวข้ามข้อจำกัดของสื่อกระแสหลัก และสร้างความแตกต่างให้กับสำนักข่าว โอเอ็นบี นิวส์ (ONB News) ทั้งในแง่ของการนำเสนอข่าวเชิงลึก และการนำเสนอข้อมูลที่ซับซ้อนอย่างเข้าใจง่าย แก้ไขความเข้าใจผิด สร้างความเชื่อมั่น ความน่าเชื่อถือ และศรัทธาในภาครัฐ

เราเชื่อมั่นว่า การนำ “ความเร็ว” ของพลังสังคมและข้อมูลข่าวสารในสื่อสังคมออนไลน์ มาผสานกับ “ประสิทธิภาพ” ของเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตในการเชื่อมโยงและนำเสนอข้อมูล ผนวกกับ “ความลึก” ของนักข่าวมืออาชีพมากประสบการณ์ จะเปิดมิติใหม่ให้แก่วงการสื่อสารมวลชนไทย