ONB news สำนักข่าวโอเอ็นบี นิวส์ (ONB news) สร้างสรรค์ เที่ยงธรรม รับใช้ประชาชน ติดต่อลงโฆษณาได้ที่ 0969890810

รัฐบาลยืนยันประมูลงานของรัฐ ในงบกระตุ้นเศรษฐกิจมีรายเดียวก็ทำได้นั้น ไม่จริง หลังกรมบัญชีกลางชี้แจงทุกหน่วยงานของรัฐก็ต้...
21/07/2025

รัฐบาลยืนยันประมูลงานของรัฐ ในงบกระตุ้นเศรษฐกิจมีรายเดียวก็ทำได้นั้น ไม่จริง หลังกรมบัญชีกลางชี้แจงทุกหน่วยงานของรัฐก็ต้องปฏิบัติตามระเบียบและข้อกฎหมายทุกประการ

วันนี้ ( 21 กรกฎาคม 2568 ) เวลา 12.00 น. นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจากกรมบัญชีกลางยืนยันกรณีมีการเผยแพร่ข่าว “การจัดซื้อจัดจ้างงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท ว่ามีบางโครงการมีการยื่นประมูลรายเดียวรับงานได้เลย” นั้น ไม่เป็นความจริง เป็นการนำเสนอข้อมูลไม่ครบถ้วน

ทั้งนี้ กรมบัญชีกลางได้รายงานว่า การดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานรัฐ ไม่ว่าจะเป็นการใช้จ่ายจากเงินงบประมาณ หรือเงินนอกงบประมาณ ก็ต้องดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อหน่วยงานของรัฐ และสอดคล้องกับหลักการคุ้มค่า โปร่งใส มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ตรวจสอบได้ตามนัยมาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 โดยทุกหน่วยงานภาครัฐ ต้องยึดมั่นทุกระเบียบ ที่เกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างตามกรอบงบประมาณเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เกิดประโยชน์สุดสุดในช่วงนี้” นายจิรายุกล่าว

“เอกนัฏ” จัดหนักตามนโยบายรัฐบาล ส่ง “ทีมสุดซอย” ปิดโรงงานเถื่อน EEC – ฟันขบวนการนำเข้าขยะอุตสาหกรรม ลักลอบฝังกากพิษ ฉะเช...
21/07/2025

“เอกนัฏ” จัดหนักตามนโยบายรัฐบาล ส่ง “ทีมสุดซอย” ปิดโรงงานเถื่อน EEC – ฟันขบวนการนำเข้าขยะอุตสาหกรรม ลักลอบฝังกากพิษ ฉะเชิงเทรา-ระยอง ภายใต้นโยบาย “ปิดประตูตีมาร”

วันนี้ (21 กรกฎาคม 2568) นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลโดยนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เดินหน้ากวาดล้างขบวนการลักลอบนำเข้ากากอุตสาหกรรมและโรงงานเถื่อนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) อย่างจริงจัง ภายใต้นโยบาย “ปิดประตูตีมาร” เพื่อยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมไทย ขจัดธุรกิจสีเทา และคืนความปลอดภัยด้านสิ่งแวดล้อมให้แก่ประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม

นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ระบุว่า ที่ผ่านมา พื้นที่ EEC กลายเป็นแหล่งสะสมโรงงานรีไซเคิล ที่แฝงการทำผิดกฎหมาย อาทิ การรับกำจัดกากอุตสาหกรรมเถื่อน ลักลอบนำเข้าขยะพิษ และฝังกลบกากอุตสาหกรรมอย่างไม่ถูกต้อง ซึ่งเป็นการทำลายสิ่งแวดล้อม สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชน จึงสั่งการให้ ทีมสุดซอย กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งตรวจสอบและขยายผลอย่างเข้มข้น

จากการตรวจสอบพื้นที่ อ.แปลงยาว จ.ฉะเชิงเทรา พบการลักลอบฝังขยะอุตสาหกรรมกว่า 50,000 ตัน ในพื้นที่เอกชน เชื่อมโยงกลุ่มทุนสีเทาที่แฝงตัวในคราบโรงงานรีไซเคิล แต่ไม่ดำเนินการกำจัดของเสียอย่างถูกต้อง และยังพบ บัญชีส่วย จ่ายเงินให้กับนักการเมือง ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ โดยโรงงานที่ตรวจพบครั้งนี้คือ บริษัท เค.เอส.ดี. รีไซเคิล จำกัด เชื่อมโยงโดยตรงกับเจ้าของที่ดินจุดฝังกลบกากอุตสาหกรรมดังกล่าว

ขณะเดียวกัน ยังพบขบวนการลักลอบนำเข้าเศษยางรถยนต์จากประเทศกัมพูชา เพื่อนำมารีไซเคิลในพื้นที่ป่าไม้ เขต ต.ขำฆ้อ อ.เขาชะเมา จ.ระยอง ของ บริษัท ฟูด้า รับเบอร์ จำกัด ซึ่งดำเนินกิจการโดยไม่ได้รับอนุญาต และใช้พื้นที่ป่าตามโครงการ คทช. ผิดวัตถุประสงค์ โดยมีการจับกุมผู้ต้องหาชาวจีนและชาวไทย รวมถึงแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายเพิ่มเติม

โดย ทีมสุดซอย ได้ดำเนินการรวบรวมหลักฐาน ทั้งเครื่องจักร วัตถุดิบ เศษยาง และหลักฐานการลักลอบนำเข้าขยะอุตสาหกรรม พร้อมทั้งขยายผลเพื่อดำเนินคดีผู้เกี่ยวข้องอย่างถึงที่สุด รวมถึงเสนอให้ทบทวนสิทธิ์เช่าที่ดินในเขตป่าไม้เพื่อป้องกันการใช้พื้นที่ผิดวัตถุประสงค์ในอนาคต

“รัฐบาลยืนยันเจตนารมณ์ในการกวาดล้างธุรกิจสีเทาในภาคอุตสาหกรรมอย่างถึงที่สุด เพื่อเปิดทางให้ธุรกิจอุตสาหกรรมสีเขียวและภาคเอกชนที่ปฏิบัติถูกต้องตามกฎหมายเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป” นางสาวศศิกานต์ กล่าว

อย่าปล่อยให้เขมรลอยนวล..ช่วยกัน Report ด่วน! หลังพบ YouTube เขมรปลอมตัวเป็นฝรั่ง บิดเบือนความจริงด่าการท่องเที่ยวไทย สร้...
21/07/2025

อย่าปล่อยให้เขมรลอยนวล..ช่วยกัน Report ด่วน! หลังพบ YouTube เขมรปลอมตัวเป็นฝรั่ง บิดเบือนความจริงด่าการท่องเที่ยวไทย สร้างความแตกแยกในภูมิภาคเอเชีย

วันนี้ (21 กรกฎาคม 2568) เวลา 09.00 น. นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า ได้รับรายงานแจ้งเตือนว่า ช่อง YouTube ที่ใช้ชื่อ ”Carl Reed - Your Thailand Guide“ มีการใช้ชื่อและภาพลักษณ์เป็นชาวต่างชาติ แต่จากการตรวจสอบพบว่าเบื้องหลังของช่องดังกล่าว คือคนเขมรที่ใช้เทคโนโลยี AI เข้ามาปรับเปลี่ยนเสียงให้เหมือนฝรั่ง

นายจิรายุกล่าวว่า เป้าหมายของบุคคลดังกล่าวคือการบิดเบือนความจริงของประเทศไทย สร้างความขัดแย้งโดยมีเจตนาพิเศษและ มุ่งโจมตีการท่องเที่ยวของไทย มีเนื้อหาเหยียดคนไทย รวมทั้งคนอินเดีย โดยเนื้อหาของรายการมีการแฝงเนื้อหาที่นำไปสู่การสร้างความเกลียดชังและความแตกแยกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเอเซีย

จึงขอความร่วมมือประชาชนที่ใช้สื่อโซเชียล ช่วยกันรายงาน (Report) ช่อง YouTube ในชื่อดังกล่าว เพื่อให้ YouTube ตรวจสอบและระงับโดยเร็ว

สำหรับขั้นตอนการรายงาน มีดังนี้
1. เข้าไปที่หน้าโปรไฟล์ช่อง Carl Reed - Your Thailand Guide
2. เลือกแท็บ “เกี่ยวกับ” (About)
3. กด “รายงานผู้ใช้” (Report User)
4. เลือกเหตุผล “ทำให้เข้าใจผิดหรือแอบอ้างบุคคลอื่น” (Misleading or impersonation)
5. พิมพ์อธิบายว่า: ช่องนี้เป็นของชาวกัมพูชา ใช้ AI ปลอมตัวเป็นฝรั่งเพื่อโจมตีประเทศไทยและใส่ร้ายคนเอเชีย

"ขอความร่วมมือประชาชนคนไทยช่วยกันดำเนินการตามขั้นตอนข้างต้น อย่าปล่อยให้เขมรลอยนวล เพื่อป้องกันการทำลายภาพลักษณ์ประเทศไทยจากผู้ไม่หวังดี ทั้งนี้ หากพบเห็นสื่อโซเชียลที่เข้าข่ายลักษณะดังกล่าว ที่เกี่ยวข้องกับการทำลายภาพลักษณ์ประเทศไทย ขอให้ดำเนินการรายงานทันที เพื่อเป็นการป้องกันและจำกัดการแผ่กระจายข่าวเท็จออกไปในวงกว้าง" นายจิรายุกล่าว

เตือน ปชช. ใช้เครื่องขูดหินปูน Ultrasonic ด้วยตนเองที่บ้านอันตราย เสี่ยงติดเชื้อ แนะใช้สิทธิบัตรทองขูดหินปูนที่คลินิกทัน...
21/07/2025

เตือน ปชช. ใช้เครื่องขูดหินปูน Ultrasonic ด้วยตนเองที่บ้านอันตราย เสี่ยงติดเชื้อ แนะใช้สิทธิบัตรทองขูดหินปูนที่คลินิกทันตกรรมที่เข้าร่วมโครงการ “30 บาทรักษาทุกที่” หรือที่หน่วยบริการประจำตามสิทธิ ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย

วันนี้ (21 ก.ค. 68) เวลา 08.30 น. นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ปัจจุบันนี้ Social Media หรือ สื่อสังคมออนไลน์ได้มีการวางจำหน่ายเครื่องมือขูดหินปูน Ultrasonic ซึ่งเป็นทางเลือกที่สะดวกและประหยัด แต่ความจริงแล้วการขูดหินปูนไม่สามารถทำได้ด้วยตนเองไม่ว่าจะเป็นด้วยวิธีใดก็ตาม เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายได้หากอุปกรณ์ไม่ได้มาตรฐานทางการแพทย์ โดยการขูดหินปูนจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์เฉพาะทางที่ผ่านการฆ่าเชื้อตามมาตรฐานทางการแพทย์ เพื่อให้การขจัดหินปูนเป็นไปอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ

นายอนุกูล กล่าวว่า เครื่องขูดหินปูน Ultrasonic เป็นเครื่องมือทางการแพทย์ที่ใช้หลักการสั่นสะเทือนด้วยคลื่นความถี่สูงและน้ำในการกำจัดคราบหินปูนที่สะสมอยู่บนผิวฟันและใต้เหงือก การใช้งานเครื่องมือชนิดนี้อย่างถูกต้องเหมาะสมนั้น ต้องกระทำโดยทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เนื่องจากต้องอาศัยการฝึกฝนทักษะการมองเห็น และความเข้าใจกายวิภาคของช่องปาก เพื่อให้สามารถขจัดหินปูนได้อย่างหมดจดโดยไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อโครงสร้างฟัน เหงือก และเนื้อเยื่อในช่องปาก ซึ่งการใช้เครื่องขูดหินปูน Ultrasonic ด้วยตัวเองที่บ้านนั้น ไม่ปลอดภัย เนื่องจากมีความเสี่ยงและอันตรายที่อาจเกิดขึ้น จากการใช้เครื่องขูดหินปูน Ultrasonic ด้วยตนเอง ดังนี้

1. การทำลายผิวเคลือบฟัน: มุมการวางหัวขูดที่ไม่เหมาะสม การใช้แรงกดที่มากเกินไป การจิกของหัวขูดหรือการขูดซ้ำ ๆ อาจทำให้ผิวเคลือบฟันซึ่งเป็นชั้นนอกสุดที่ปกป้องฟันถูกทำลาย เกิดภาวะเสียวฟันและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดฟันผุในอนาคต

2. การบาดเจ็บต่อเหงือกและเนื้อเยื่ออ่อนในช่องปาก: การสอดหัวขูดเข้าไปใต้ขอบเหงือกอย่างไม่ถูกต้องเนื่องจากการมองเห็นที่ชัดเจนและมุมของเครื่องมือที่ไม่เหมาะสม นำไปสู่การฉีกขาด บาดเจ็บ ของเหงือกได้

3. โรคปริทันต์อักเสบลุกลามจากการหลงเหลือหินปูนใต้เหงือก: เครื่องขูดหินปูน Ultrasonic สำหรับใช้เองมักมีข้อจำกัดด้านประสิทธิภาพและไม่สามารถเข้าถึงบริเวณใต้เหงือกได้อย่างสมบูรณ์ การขจัดหินปูนที่ไม่สมบูรณ์ โดยเฉพาะบริเวณใต้เหงือก จะส่งผลให้หินปูนยังคงสะสมตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคปริทันต์อักเสบ ที่อาจลุกลามทำลายกระดูกรองรับฟัน นำไปสู่การสูญเสียฟันได้ หากไม่ได้ รับการรักษาที่เหมาะสมจากทันตแพทย์

4. ความเสี่ยงในการติดเชื้อ: เครื่องมือที่ไม่ได้รับการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อตามมาตรฐานทางการแพทย์ (Sterilization) จะกลายเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคต่าง ๆ เช่น แบคทีเรีย ไวรัส และเชื้อรา ซึ่งเมื่อนำมาใช้ในช่องปาก อาจก่อให้เกิดการติดเชื้อรุนแรงได้

“เพื่อสุขภาพช่องปากที่ดี ควรเข้ารับการตรวจสุขภาพช่องปากและขูดหินปูนกับทันตแพทย์อย่างน้อยปีละ 1-2 ครั้ง เพื่อมั่นใจได้ว่าการขจัดหินปูนที่เป็นสาเหตุของโรคปริทันต์นั้นเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย รวมทั้งผู้ป่วยควรได้รับการตรวจวินิจฉัยปัญหาอื่น ๆ ในช่องปาก เช่น ฟันผุ รากฟันอักเสบ หรือรอยโรคก่อนเป็นมะเร็งในช่องปากอย่างเหมาะสมด้วย หรือสอบถามเพื่อปรึกษาปัญหาสุขภาพช่องปาก ได้ที่ Facebook : สถาบันทันตกรรม กรมการแพทย์ และ LineOA : สำหรับประชาชนสิทธิบัตรทอง สามารถขูดหินปูนที่คลินิกทันตกรรมที่เข้าร่วมโครงการ "30 บาทรักษาทุกที่" หรือที่หน่วยบริการประจำตามสิทธิ ได้ปีละ 3 ครั้ง ฟรีไม่เสียค่าใช้จ่าย และไม่ถูกเรียกเก็บเงินเพิ่ม” นายอนุกูล ระบุ

ด่วน..!! เปิดรับ'สาวไทย' ฝึกงานเทคนิค ที่ญี่ปุ่น ผ่าน IM Japan เงินเดือนดี ก.แรงงานรับรอง สมัครออนไลน์ ฟรี 21-27 ก.ค. 68...
20/07/2025

ด่วน..!! เปิดรับ'สาวไทย' ฝึกงานเทคนิค ที่ญี่ปุ่น ผ่าน IM Japan เงินเดือนดี ก.แรงงานรับรอง สมัครออนไลน์ ฟรี 21-27 ก.ค. 68 นี้

วันนี้ (20 กรกฎาคม 2568) นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาล โดยกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ประกาศรับสมัครคัดเลือกผู้ฝึกงานเทคนิคคนไทยไปฝึกงานในประเทศญี่ปุ่นผ่านองค์กร IM Japan ปี 2568 ครั้งที่ 5 (เพศหญิง) ในตำแหน่งผู้ฝึกปฏิบัติงานทางเทคนิค ประเภทงานอุตสาหกรรมการผลิต อาทิ งานหล่อกลึงโลหะ งานพ่นสี งานปั้มขึ้นรูปโลหะ งานหล่อพลาสติก และงานผลิตอาหารสำเร็จรูป ระหว่างวันที่ 21 - 27 กรกฎาคม 2568 สมัครฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย และไม่เว้นวันหยุดราชการ ฟรีค่าตั๋วเครื่องบินไป - กลับ เมื่อฝึกปฏิบัติงานครบ 3 ปี

โดยผู้ผ่านการคัดเลือก เดือนแรกจะได้รับเบี้ยเลี้ยง 80,000 เยน หรือประมาณ 17,800 บาท ฟรี ค่าที่พัก ค่าน้ำ ค่าไฟ เดือนที่ 2 ถึงเดือนที่ 36 จะได้ค่าจ้างไม่น้อยกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่กฎหมายญี่ปุ่นกำหนด เมื่อสำเร็จการฝึกปฏิบัติครบ 3 ปี จะได้รับประกาศนียบัตรรับรองการฝึกงานทางเทคนิค และเงินสนับสนุนการประกอบอาชีพจำนวน 600,000 เยน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการประกอบอาชีพเมื่อเดินทางกลับประเทศไทย

สำหรับคุณสมบัติเบื้องต้นของการรับสมัครในครั้งนี้จะต้องเป็นเพศหญิง อายุ 20 - 30 ปี จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 ประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) หรือประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ไม่จำกัดสาขาวิชา สูงไม่ต่ำกว่า 150 เซนติเมตร สุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ ไม่มีรอยสักบนร่างกาย ไม่มีประวัติอาชญากรรม ไม่เคยทำงานหรือเข้าเมืองหรือพำนักโดยผิดกฎหมายหรือต้องห้ามเข้าญี่ปุ่น เป็นต้น

ส่วนการสอบคัดเลือกจะใช้วิธีการทดสอบสมรรถภาพร่างกาย และสอบข้อเขียนภาษาญี่ปุ่น ณ ศูนย์สอบกรุงเทพมหานคร โดยจะประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิสอบ ภายในวันที่ 1 สิงหาคม 2568 ทางเว็บไซต์ของกรมการจัดหางาน doe.go.th/prd หรือเว็บไซต์กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ doe.go.th/overseas และ facebook: IMthailand

ผู้สนใจสามารถสมัครสอบได้ที่เว็บไซต์ toea.doe.go.th ลงทะเบียนอิเล็กทรอนิกส์ การบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ กรอกข้อมูลเพื่อลงทะเบียนคนหางาน และดำเนินการสมัครไปทำงาน โดยเลือกหัวข้อ "สมัครไปทำงานโดยรัฐจัดส่ง สมัครไปฝึกงานในประเทศญี่ปุ่น และสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ กรมการจัดหางาน โทร. 0 2245 9428 หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร. 1694 หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร. 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน

“รัฐบาลมุ่งมั่นในการสร้างโอกาสให้แรงงานไทย โดยเฉพาะแรงงานหญิง ได้พัฒนาทักษะและยกระดับศักยภาพในเวทีสากล เพื่อนำความรู้และประสบการณ์กลับมาพัฒนาตนเองและประเทศอย่างยั่งยืน” นางสาวศศิกานต์ ระบุ

“เหล้าแป้” ของดีจังหวัดแพร่ สร้างรายได้แล้วกว่า 3,600 ล้านบาท หลังรัฐบาลเดินหน้า สร้างโอกาส ยกระดับสินค้าแปรรูปภาคการเกษ...
20/07/2025

“เหล้าแป้” ของดีจังหวัดแพร่ สร้างรายได้แล้วกว่า 3,600 ล้านบาท หลังรัฐบาลเดินหน้า สร้างโอกาส ยกระดับสินค้าแปรรูปภาคการเกษตรขึ้นทะเบียน GI แล้ว

วันนี้ (20 กรกฎาคม 2568) นายอนกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เพื่อสร้างโอกาสทางการค้าการแข่งขันพร้อมยกระดับสินค้าแปรรูปภาคการเกษตร รัฐบาล โดยกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ เดินหน้าขับเคลื่อนมาตรการส่งเสริมการยกระดับสินค้าด้านการเกษตร ผ่านการประกาศขึ้นทะเบียน “เหล้าแป้” สุราพื้นบ้าน ให้เป็นสินค้า GI ลำดับที่ 3 ของจังหวัดแพร่ ต่อจากสินค้าผ้าหม้อห้อมแพร่ และส้มโอขาวน้ำผึ้งเมืองลอง

นายอนุกูล กล่าวว่า “เหล้าแป้” เป็นสุรากลั่น ประเภทสุราขาว ด้วยลักษณะจุดเด่นที่มีการกลั่นจากน้ำส่าหรือน้ำสุราแช่ ที่ได้มาจากการหมักข้าวด้วยลูกแป้ง ผ่านกระบวนการหมักด้วยสมุนไพรท้องถิ่นหลายชนิด และในขั้นตอนการกลั่นสุรา ด้วยลักษณะทางภูมิศาสตร์แบบร้อนชื้น จึงทำให้มีผลกระตุ้นต่อการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ท้องถิ่น ส่งผลทำให้เหล้าแป้มีรสชาติที่เป็นเอกลักษณะเฉพาะตัว และมีความโดดเด่น อาทิ มีรสชาติที่เผ็ดร้อน หรือนุ่มละมุน มีความใส ไม่มีสี ไม่มีตะกอน และมีกลิ่นหอม นอกจากนี้ความโดดเด่นของเหล้าแป้ ไม่เพียงแต่รสชาติที่มีเอกลักษณ์ที่โดดเด่น แต่ด้วยขั้นตอนการทำยังถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง นับวัฒนธรรมของชุมชนในพื้นที่จังหวัดแพร่ ที่ได้รับการสืบทอดกันมาอย่างยาวนาน ทำให้เหล้าแป้จึงเป็นสุราที่มีทั้งเอกลักษณ์ และอัตลักษณ์ที่โดดเด่น และเป็นที่นิยมของผู้บริโภคสุราพื้นบ้านทั่วประเทศ จนมีประโยคที่ว่า “เหล้าที่ดีที่สุด คือ เหล้าแป้” อย่างไรก็ดี ปัจจุบันเหล้าแป้ได้กลายเป็นหนึ่งในสินค้าและอุตสาหกรรมสำคัญที่ได้สร้างชื่อเสียงและรายได้ให้กับประชาชนในจังหวัดแพร่ ไปแล้วกว่า 3,600 ล้านบาทต่อปี

“การยกระดับสินค้าเกษตรเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญที่รัฐบาลพร้อมสนับสนุนผลักดันให้เกิดขึ้น เพื่อเป็นการเพิ่มมูลค่าและรายได้ให้กับเกษตรกร ผ่านการนำเอาเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในการผลิตและการแปรรูป ทั้งนี้ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า และรายได้ให้เกษตรกรในชุมชนอย่างยั่งยืน รัฐบาลพร้อมขับเคลื่อนมาตรการส่งเสริมการค้าให้ภาคการเกษตร ผ่านการยกระดับสินค้าไทยด้วยการขึ้นทะเบียน GI ไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการคุ้มครองสินค้าท้องถิ่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว รวมทั้งยังเป็นการควบคุมคุณภาพสินค้าเพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค ซึ่งจะเป็นหนึ่งในช่องทางสำคัญเพื่อขยายตลาดการส่งออกทั้งในประเทศและต่างประเทศต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ” นายอนุกูล ระบุ

ศบ.ทก. ประชุม ฝ่ายเลขาฯ วันนี้ รับฟังผลสอบ “กับระเบิด” ของ ทภ2. ก่อนนำเข้าคณะใหญ่ พรุ่งนี้ 09.30 น. เพื่อกำหนดท่าทีตอบโต...
20/07/2025

ศบ.ทก. ประชุม ฝ่ายเลขาฯ วันนี้ รับฟังผลสอบ “กับระเบิด” ของ ทภ2. ก่อนนำเข้าคณะใหญ่ พรุ่งนี้ 09.30 น. เพื่อกำหนดท่าทีตอบโต้

วันนี้ (20 กรกฎาคม 2568) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า ภายหลังจากกองทัพภาคที่ 2 ได้รายงานผลสอบกรณีกับระเบิดที่จังหวัดอุบลราชธานีเย็นวานนี้ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะ

ผู้อำนวยการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา(ศบ.ทก.) ได้เรียกประชุมฝ่ายเลขาฯ ของคณะกรรมการ ศบ.ทก.ในวันนี้ เวลา 14.00 น. โดยจะเป็นการกำหนดแนวทางกรณีกองทัพภาคที่ 2 รายงานผลการตรวจสอบกรณีกำลังพลที่จังหวัดอุบลราชธานี ปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนรักษาความสงบในพื้นที่ช่องบกและเหยียบกับระเบิด ทำให้ได้รับบาดเจ็บ 3 นาย

ทั้งนี้ ได้สั่งการให้กองทัพภาคที่ 2 เก็บข้อมูลหลักฐาน และผลการพิสูจน์ ทั้งหมดรายงานผลเป็นลายลักษณ์อักษรให้ฝ่ายเลขาฯ ศบ.ทก.ทราบ

นายจิรายุกล่าวต่อไปว่าจากนั้นในวันพรุ่งนี้ (วันจันทร์ที่ 21 กรกฎาคม 2568) เวลา 09.30 น. จะเป็นการประชุมคณะกรรมการ ศบ.ทก. ชุดใหญ่ที่สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เต็มคณะทั้งจากกระทรวงการต่างประเทศ และฝ่ายความมั่นคงที่เป็นคณะกรรมการของ ศบ.ทก. เข้าร่วม เพื่อหารือถึงผลการพิสูจน์กับระเบิด และการกำหนดท่าทีที่จะดำเนินการต่อไป

ด่วน.!!เว็บ..Lazada shopee และอีก 17 เว็บดังต้องปฏิบัติตาม ม.20 ภายใต้กฎหมาย DPS หลังรัฐบาลเดินหน้าคุมเข้มคุ้มครองผู้บริ...
20/07/2025

ด่วน.!!เว็บ..Lazada shopee และอีก 17 เว็บดังต้องปฏิบัติตาม ม.20 ภายใต้กฎหมาย DPS หลังรัฐบาลเดินหน้าคุมเข้มคุ้มครองผู้บริโภค อาทิ ต้องบอกมาตรฐานของสินค้าที่ขายในเว็บ

วันนี้ (20 กรกฎาคม 2568) นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาล โดยสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA เดินหน้าบูรณาการความร่วมมืออย่างเป็นระบบ เพื่อป้องกันและรับมือกับปัญหาการหลอกลวงทางออนไลน์ โดยเฉพาะการกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัลภายใต้กฎหมาย DPS ซึ่งราชกิจจานุเบกษา ได้ประกาศเรื่อง กำหนดรายชื่อบริการแพลตฟอร์ม ดิจิทัลประเภทตลาดสินค้า ที่ต้องปฏิบัติตามมาตรา 20 แห่งพระราชกฤษฎีกาการประกอบ บริการแพลตฟอร์มที่ต้องแจ้งให้ทราบ พ.ศ.2565 โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 10 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป จำนวน 19 แพลตฟอร์ม ดังนี้

1. ช้อปปี้ (Shopee) 2. ลาซาด้า (Lazada) 3. วันทูคาร์ (One2car.com) – ประกาศซื้อขายรถยนต์มือสอง 4. แกร็บ (Grab) 5. ขายดี (Kaidee.com) 6. เอสไอเอ อี-อ๊อกชันซิสเต็ม (SIA E-AUCTION SYSTEM) 7. ไลน์ช้อปปิ้ง (LINE SHOPPING) 8. อาลีบาบา (Alibaba) 9. น็อกน็อก (NocNoc) 10. อาลีเอ็กซ์เพรส (AliExpress) 11. ดิสช็อป (Thisshop) 12. รักเหมา (Rakmao) 13. เถาเป่า (Taobao) 14. เอสซีจี โฮม (SCGHome) 15. วันสยาม แอปพลิเคชัน (ONESIAM Application) 16. เรดดี้พลาสติก อ็อกชัน (ReadyPlastic Auction) 17. รูทส์แพลตฟอร์ม (ROOTS Platform) 18. เทอมู (TEMU) 19. อีเบย์ (eBay)

โดยทั้ง 19 แพลตฟอร์ม จะต้องมีหน้าที่เพิ่มเติมตาม ม. 20 ภายใต้กฎหมาย DPS ที่ต้องดำเนินการเพิ่มเติมนอกจากหน้าที่ทั่วไป ได้แก่

1.ประเมินความเสี่ยง และจัดทำมาตรการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ

2.ดำเนินการอื่นตามประกาศของคณะกรรมการ เช่น เก็บรวบรวมข้อมูลผู้ขาย ก่อนอนุญาตให้ขายหรือโฆษณาสินค้าที่ต้องมีมาตรฐาน ตรวจสอบหลักฐานที่เกี่ยวข้อง ก่อนเปิดขายสินค้าที่มีข้อกำหนดเรื่องมาตรฐาน

3.แสดงข้อมูลมาตรฐานสินค้า อย่างชัดเจนบนหน้าร้านค้า

4.มีกลไกแจ้งเตือนและนำออกสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน

5.กำหนดบทลงโทษ สำหรับผู้ประกอบการที่ฝ่าฝืน

“แพลตฟอร์มดิจิทัลดังกล่าวข้างต้น ถือเป็นแพลตฟอร์มประเภทตลาดสินค้าออนไลน์ที่เข้าข่ายมีความเสี่ยงสูง และอาจส่งผลกระทบในวงกว้าง และมีลักษณะมูลค่าธุรกรรมในราชอาณาจักรเกิน 100 ล้านบาท/ปี หรือไม่ได้จดทะเบียนกับ DBD แต่มีผู้ประกอบการ 100 รายขึ้นไป หรือไม่ได้จดทะเบียนกับ DBD แต่มีผู้ใช้บริการเกินกว่า 5% แต่ไม่เกิน 10% (เฉลี่ยต่อเดือน) หรือผู้ใช้บริการสามารถกระทำการใดโดยไม่มีมาตรการควบคุมดูแลที่มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ยังมีแพลตฟอร์มดิจิทัลอีกจำนวนมากที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติม หาก ETDA พบว่าเข้าเกณฑ์ข้างต้น ก็จะมีการประกาศรายชื่อเพิ่มเติมต่อไป ตามที่ ม. 24 กำหนดให้ต้องมีการ “ทบทวนรายชื่อ” แพลตฟอร์มเป็นประจำทุกปี ดังนั้น รายชื่อประกาศข้างต้น อาจมีการ เพิ่ม ลด หรือปรับเปลี่ยนได้ตามลักษณะการให้บริการที่เปลี่ยนแปลงไป” นายอนุกูล ระบุ

สุดคึกคัก กองถ่ายหนังต่างชาติบุกไทย ครึ่งปีแรก กวาดรายได้เข้าประเทศ 2.8 พันล้าน คาดทั้งปีสร้างรายได้เข้าประเทศ 10,000 ล้...
19/07/2025

สุดคึกคัก กองถ่ายหนังต่างชาติบุกไทย ครึ่งปีแรก กวาดรายได้เข้าประเทศ 2.8 พันล้าน คาดทั้งปีสร้างรายได้เข้าประเทศ 10,000 ล้านบาท

วันนี้ ( 19 กรกฎาคม 2568 ) เวลา 09.10 น. นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ข้อมูลจากกองกิจการภาพยนตร์และวีดิทัศน์ต่างประเทศ กรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พบว่าการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย ในช่วง 6 เดือน (1 ม.ค. – 30 มิ.ย. 68) มีการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย จำนวน 279 เรื่อง จากทั่วโลกมีรายได้จากการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศ 2,866 ล้านบาท โดยรวบรวมจากสถิติการขออนุญาตถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง และได้กระจายรายได้ไปสู่ภาคธุรกิจต่าง ๆ ทั้งภาคอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ธุรกิจท่องเที่ยว และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องอื่น ๆ รวมทั้ง สามารถประชาสัมพันธ์ประเทศไทยไปสู่สายตาผู้ชมภาพยนตร์ทั่วโลก ส่งผลให้เกิดการท่องเที่ยวตามรอยภาพยนตร์ต่อไป

ทั้งนี้ ประเทศที่เข้ามาถ่ายทำมากสุด 4 ประเทศแรก ได้แก่ อินเดีย เกาหลี ญี่ปุ่น จีน ส่วนจังหวัดที่ได้รับความนิยม 3 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพฯ ปทุมธานี ชลบุรี เป็นต้น โดยในปี 2568 กองกิจการภาพยนตร์และวีดิทัศน์ต่างประเทศ กรมการท่องเที่ยว คาดว่าจะสร้างรายได้จากกองถ่ายภาพยนตร์ต่างประเทศหรือกองหนังต่างชาติ จำนวน 10,000 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายการทำงานที่กรมการท่องเที่ยววางเป้าหมายไว้ที่ 7,500 ล้านบาท

“คาดว่าในปีนี้จะมีภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์หลายเรื่องที่เข้ามาถ่ายทำในไทย เช่น จูราสสิค เวิลด์ ไวท์ โลตัส เป็นต้น ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าจะมีเรื่องอื่น ๆ ที่สนใจเข้ามาถ่ายทำในไทยอย่างต่อเนื่อง รัฐบาล เดินหน้าผลักดันไทยเป็น Premiere Filming Destination ซึ่งมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย โดยการคืนเงินกองถ่ายต่างชาติสูงสุด 30% จะช่วยดึงดูดผู้ผลิตภาพยนตร์จากทั่วโลกตัดสินใจเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์เพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในประเทศ สร้างรายได้ให้กับหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม ร้านอาหาร ธุรกิจบริการ ตลอดจนชุมชนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับสถานที่ถ่ายทำ เป็นการช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวและสร้างภาพลักษณ์เชิงบวกให้กับประเทศไทยในเวทีโลก” นางสาวศศิกานต์ ระบุ

“หวยเกษียณ” ใกล้เส้นชัย! กอช. “จัดงาน “10 ปี กอช. ศุกร์ได้ลุ้น สุขได้ออมกับหวยเกษียณ”ร่างกฎหมายจ่อเข้าสภา ถกวาระ 2-3 วัน...
19/07/2025

“หวยเกษียณ” ใกล้เส้นชัย! กอช. “จัดงาน “10 ปี กอช. ศุกร์ได้ลุ้น สุขได้ออมกับหวยเกษียณ”ร่างกฎหมายจ่อเข้าสภา ถกวาระ 2-3 วันที่ 23 ก.ค. นี้

กอช. ครบรอบ 10 ปี จัดงาน “10 ปี กอช. ศุกร์ได้ลุ้น สุขได้ออมกับหวยเกษียณ” พร้อมนำเสนอนวัตกรรมการออมรูปแบบใหม่ “สลาก กอช.” หรือ “หวยเกษียณ” ตั้งเป้าเปลี่ยนพฤติกรรมการออมคนไทย ภายใต้แนวคิด “ซื้อหวยเงินไม่หาย กลายเป็นเงินออม”

กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ครบรอบ 10 ปี จัดงาน “10 ปี กอช. ศุกร์ได้ลุ้น สุขได้ออมกับหวยเกษียณ” พร้อมนำเสนอนวัตกรรมการออมรูปแบบใหม่ “สลาก กอช.” หรือ “หวยเกษียณ” ตั้งเป้าเปลี่ยนพฤติกรรมการออมคนไทย ภายใต้แนวคิด “ซื้อหวยเงินไม่หาย กลายเป็นเงินออม” เพื่อขยายโอกาสการออมให้เข้าถึงประชาชนทุกกลุ่ม รองรับการเข้าสู่สังคมสูงวัย

​วันที่ 19 ก.ค. 68 ที่สถานีรถไฟกรุงเทพฯ (หัวลำโพง) กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) จัดงาน “10 ปี กอช. ศุกร์ได้ลุ้น สุขได้ออม กับหวยเกษียณ” โดยได้รับเกียรติจาก ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนที่มาร่วมงานอย่างคับคั่ง อาทิ ธนาคารกรุงไทย, ธนาคารออมสิน, ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.), ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.), ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย, ทัณฑสถานหญิงกลาง, ทัณฑสถานหญิงนครราชสีมา, บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.), กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.), TrueMoney, AIS และ ShopeePay ที่มาร่วมออกบูธ เพื่อให้คำแนะนำด้านการออมและการวางแผนทางการเงิน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการสร้างวินัยการออม และเตรียมพร้อมให้คนไทยก้าวสู่สังคมสูงวัยอย่างมั่นคง

​โดย ดร.เผ่าภูมิ ได้กล่าวถึงภาพรวมของเศรษฐกิจไทยว่า ในยุคที่เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญกับความท้าทาย ทั้งการเข้าสู่สังคมสูงวัย ความผันผวนของระบบการเงินของโลกและการค้าระหว่างประเทศ ดังนั้นการสร้างวินัยการออมในระดับครัวเรือนจึงเป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยเสริมความมั่นคงทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนในระยะยาว สำหรับการจัดงาน “10 ปี กอช. ศุกร์ได้ลุ้น สุขได้ออม กับหวยเกษียณ” จึงนับเป็นก้าวใหม่ที่ กอช. ได้นำเสนอ “หวยเกษียณ” ในฐานะนวัตกรรมทางการเงินภายใต้แนวคิด “ซื้อหวยเงินไม่หาย กลายเป็นเงินออม ใช้ประโยชน์จากพฤติกรรมที่คนไทยมีอยู่แล้ว เพื่อเติมเต็มให้คนไทยได้ออมเงินกันถ้วนหน้าผ่าน “หวยเกษียณ”

​ดร.เผ่าภูมิ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงการคลังมีนโยบายสนับสนุนการออมที่เข้าถึงได้สำหรับทุกกลุ่มอาชีพ ซึ่ง “หวยเกษียณ” จะเป็นเครื่องมือที่ช่วยผลักดันให้สามารถเพิ่มเงินออมของประชาชนทุกคน โดยจะร่วมกันขับเคลื่อนผ่านความร่วมมือระหว่าง กอช. สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ทั้งนี้ ปัจจุบันร่างแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. จะเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรในวาระ 2 และ 3 ในวันที่ 23 กรกฎาคมนี้ เพื่อให้ กอช. มีหน้าที่และอำนาจในการออกและจำหน่าย “หวยเกษียณ” เพื่อเป็นทางเลือกให้ประชาชนออมเงิน ผ่านการลุ้นรางวัล และสร้างระบบการออมที่ยั่งยืนรองรับสังคมผู้สูงอายุของไทย

​สำหรับ “สลาก กอช.” หรือ “หวยเกษียณ” เป็น สลากขูดดิจิทัล ราคาฉบับละ 50 บาท เปิดจำหน่ายให้ผู้มีสัญชาติไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป สามารถซื้อได้สูงสุดเดือนละ 3,000 บาท (60 ฉบับ) ผ่านแอปพลิเคชัน “กอช.” โดยออกรางวัลทุกวันศุกร์ เวลา 17.00 น. ประกอบด้วย รางวัลที่ 1 มูลค่า 1 ล้านบาท (5 รางวัล) รางวัลที่ 2 มูลค่า 1,000 บาท (10,000 รางวัล) ทั้งนี้ ผู้ที่ถูกรางวัลจะได้รับเงินผ่านระบบพร้อมเพย์ทันที โดยเงินซื้อสลากทุกบาทจะถูกสะสมไว้เป็นเงินออม และผู้ซื้อสสลากจะได้รับเงินออม พร้อมผลประโยชน์เป็นก้อนในครั้งเดียว 4 กรณีดังนี้ 1.อายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ 2.อายุมากกว่า 60 ปี จะได้รับเงินคืนทั้งหมดเมื่อครบ 5 ปี นับแต่วันที่ซื้อสลาก และสามารถซื้อต่อไปได้คราวละ 5 ปี 3.ทุพพลภาพ, เสียสัญชาติไทย และ4.เสียชีวิต คืนเงินให้แก่บุคคลที่ระบุไว้ หรือทายาท

​ด้าน นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) กล่าวถึงบทบาทและผลการดำเนินงานตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมาว่า กอช. ได้ทำหน้าที่เป็นกลไกการออมเพื่อสังคมให้แก่แรงงานนอกระบบ รวมถึงนักเรียน นักศึกษา และกลุ่มประชาชนทั่วไป อายุตั้งแต่ 15 – 60 ปี ที่ไม่มีสวัสดิการบำเหน็จบำนาญจากรัฐ เพื่อสร้างหลักประกันรายได้ยามชราภาพ กอช. เปิดดำเนินงานเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2558 มีสมาชิกเริ่มต้นเพียง 300,000 คน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กอช. ได้ขยายช่องทางการออมที่สะดวกทันสมัย และสร้างความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐและเอกชน โดยจุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 2565 กอช. ขับเคลื่อน “วาระการออมแห่งชาติ” ผลักดันการปรับปรุงกฎหมายเพิ่มเพดานการออมจากปีละ 13,200 บาท เป็นสูงสุด 30,000 บาท และเพิ่มเงินสมทบจากรัฐจากไม่เกิน 1,200 บาท เป็น 1,800 บาทต่อปี เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนออมได้มากขึ้นและได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้นทำให้ปัจจุบัน กอช. มีสมาชิกกว่า 2.7 ล้านคน และมีทรัพย์สินกองทุนรวมกว่า 15,152 ล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568)

​“กอช. ยังขยายโครงการสร้างวินัยการออมให้ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย อาทิ นักเรียน นิสิต นักศึกษา ผ่านความร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการและมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ตลอดจนขยายเครือข่ายการออมสู่แรงงานนอกระบบ ผู้สูงอายุ ผู้พิการ กลุ่มเปราะบาง และผู้ต้องขังในโครงการ “สร้างชีวิตใหม่” เพื่อให้คนไทยทุกกลุ่มเข้าถึงโอกาสการออมอย่างแท้จริง และยังได้ขับเคลื่อนงานผ่านกระทรวงมหาดไทยที่ว่าการอำเภอ และสำนักงานคลังจังหวัดทั่วประเทศ และยังสร้างตัวแทน กอช. ประจำหมู่บ้าน ได้ครอบคลุมทั่วประเทศ

​นอกจากนี้ เรายังได้ขยายช่องทางการรับสมัครและส่งเงินออม ผ่านธนาคารกรุงไทย, ออมสิน, ธอส., ธกส., ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย และเคาน์เตอร์เซอร์วิส เดินหน้ายกระดับการให้บริการ เพิ่มช่องทางการออมที่สะดวก รวดเร็ว เพื่อให้เข้าถึงประชาชนทุกคน โดยสามารถสมัครสมาชิกและส่งเงินออมผ่านแอปพลิเคชัน “กอช.” และพันธมิตรดิจิทัลชั้นนำอย่าง ทรูมันนี่, MyAIS และ ShopeePay ตอบโจทย์วิถีชีวิตยุคใหม่ที่ทุกการออมทำได้แค่ปลายนิ้วสัมผัส”นางสาวจารุลักษณ์ กล่าว

สำหรับในวาระครบรอบ 10 ปีนี้ นางสาวจารุลักษณ์ กล่าวว่า กอช. ยังเปิดตัว “สลาก กอช.” หรือ “หวยเกษียณ” ซึ่งเป็นนวัตกรรมการออมรูปแบบใหม่ โดยรัฐบาลมุ่งหวังให้ “หวยเกษียณ” เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือในการขยายโอกาสการออมให้กับคนไทยทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียม กอช. จะเดินหน้ายกระดับบริการต่อเนื่อง เพื่อสร้างระบบการออมที่ยั่งยืนและครอบคลุมทุกกลุ่มประชาชน สร้างอนาคตที่มั่นคงให้คนไทย ก้าวข้ามความเสี่ยงของสังคมสูงวัยอย่างมั่นใจ

​ขณะที่ ดร.วโรทัย โกศลพิศิษฐ์กุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กล่าวถึงการเข้าสู่สังคมสูงวัยและความมั่นคงทางรายได้หลังเกษียณของประเทศไทยว่า จากข้อมูลของธนาคารโลกระบุว่า รายได้หลังเกษียณที่เพียงพอควรอยู่ที่อย่างน้อย 50–60% ของรายได้ก่อนเกษียณแต่แรงงานในระบบของไทยมีรายได้หลังเกษียณเฉลี่ยเพียง 41% ขณะที่แรงงานนอกระบบมีรายได้หลังเกษียณต่ำกว่า 5% และมีรายได้ไม่แน่นอน จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ภาครัฐต้องหามาตรการเพิ่มแรงจูงใจในการออมเพื่อสร้างความมั่นคงทางรายได้ในยามเกษียณให้กับประชาชนทุกกลุ่ม

​“การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุจะส่งผลต่อโครงสร้างรายได้ รายจ่ายของภาครัฐ และอาจกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เนื่องจากการลดลงของสัดส่วนประชากรวัยแรงงาน ซึ่งเป็นกำลังที่สำคัญทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลลดลง ขณะที่รัฐต้องใช้งบประมาณในการดูแลสวัสดิการด้านบำเหน็จบำนาญผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น ทั้งเบี้ยยังชีพ เบี้ยหวัด บำเหน็จบำนาญ และเงินสมทบกองทุนการออมเพื่อการเกษียณต่างๆ โดยในปี 2567 ภาครัฐใช้งบประมาณด้านสวัสดิการบำเหน็จบำนาญผู้สูงอายุรวม 500.7 ล้านบาท หรือคิดเป็น 15% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าจากปี 2557 ที่ใช้งบประมาณ 253.4 ล้านบาท หรือประมาณ 10% ของงบประมาณ”ดร.วโรทัย กล่าว

​ดร.วโรทัย กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการคลังในระยะยาว ภาครัฐจึงสนับสนุนให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการออมเงินด้วยตนเองผ่าน “หวยเกษียณ” ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นคงด้านรายได้หลังเกษียณ และลดภาระงบประมาณของรัฐ โดยโครงการหวยเกษียณ ใช้งบประมาณเงินรางวัลปีละ 780 ล้านบาท จะช่วยเพิ่มเงินออมเพื่อการเกษียณให้กับประเทศปีละ 13,000 ล้านบาท หรือทุก 1 ล้านบาทที่รัฐใช้เป็นเงินรางวัล จะช่วยเพิ่มเงินออมเพื่อการเกษียณได้ถึง 16.6 ล้านบาท โดยเงินจำนวนนี้จะไม่เพียงแต่อยู่ในบัญชีเงินออม แต่จะถูกนำไปลงทุนต่อในตลาดทุน ทำให้มีเงินไหลเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ช่วยเพิ่มสภาพคล่องทำให้มีเงินหมุนเวียนในภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมมากขึ้น ส่งผลให้เกิดการลงทุนใหม่ๆ ในประเทศ นำไปสู่การจ้างงาน และการกระจายรายได้สู่ประชาชน สุดท้ายแล้วไม่เพียงแต่ประชาชนได้ประโยชน์จากเงินออมของตัวเอง แต่ประเทศก็จะได้ประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มั่นคงและยั่งยืนไปพร้อมกัน

เตือนภัยประชาชน! รัฐบาลระดมกำลังกวาดล้างคดีหลอกลวงออนไลน์ พบผู้หญิงวัยทำงานตกเป็นเหยื่อ 64% รัฐบาลลุยใช้กฎหมาย DPS คุมแพ...
19/07/2025

เตือนภัยประชาชน! รัฐบาลระดมกำลังกวาดล้างคดีหลอกลวงออนไลน์ พบผู้หญิงวัยทำงานตกเป็นเหยื่อ 64% รัฐบาลลุยใช้กฎหมาย DPS คุมแพลตฟอร์มคุ้มครองผู้บริโภค ฝ่าฝืนมีบทลงโทษ

วันนี้ ( 19 กรกฎาคม 2568 ) เวลา 08.45 น. นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาล โดยสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA รายงานสถิติการร้องเรียนในช่วงปี 2567 พบกรณีมีโฆษณาหลอกลวงกว่า 3,381 เรื่อง ทั้งการหลอกลงทุน แอบอ้างบุคคลมีชื่อเสียง ขายสินค้าปลอม รวมถึงการปลอมแปลงเป็นสถาบันการเงินหรือสร้างเพจปลอม สร้างความเสียหายรวมกว่า 19,000 ล้านบาท ภายในเวลาเพียง 1 ปี ขณะที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) รายงานว่า ในปี 2567 มีการแจ้งความคดีอาชญากรรมไซเบอร์มากกว่า 400,000 คดี มูลค่าความเสียหายรวมสูงกว่า 60,000 ล้านบาท และในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 มีการแจ้งความสะสมแล้วถึง 166,000 คดี โดยกว่า 50% เป็นคดีเกี่ยวกับการซื้อขายออนไลน์ ซึ่งกลุ่มผู้เสียหายหลักคือ “ผู้หญิงวัยทำงาน” คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 64% สะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มผู้ใช้งานดิจิทัลประจำตกเป็นเป้าหมายหลักของกลุ่มมิจฉาชีพ

รัฐบาลโดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ยกระดับการกำกับดูแล หากยังพบความเสี่ยง แพลตฟอร์มอาจถูกจัดให้เป็น “แพลตฟอร์มที่มีความเสี่ยงสูง” ซึ่งต้องปฏิบัติตามหน้าที่เพิ่มเติมตามกฎหมาย และจะมีบทลงโทษหากฝ่าฝืน โดยล่าสุด สพธอ. ได้ออกประกาศ ที่ ธพด. 4/2568 เรื่อง กำหนดรายชื่อบริการแพลตฟอร์มดิจิทัลประเภทตลาดสินค้า ที่ต้องปฏิบัติตามมาตรา 20 แห่งพระราชกฤษฎีกาการประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัล ที่ต้องแจ้งให้ทราบ พ.ศ. 2568 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา

“รัฐบาลสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการความร่วมมืออย่างเป็นระบบ เพื่อป้องกันและรับมือกับปัญหาการหลอกลวงทางออนไลน์ โดยเฉพาะการกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัลภายใต้กฎหมาย DPS ซึ่งได้มีการวางกลไกการดำเนินงานที่ครอบคลุม ตั้งแต่ระดับนโยบายจนถึงการปฏิบัติ เสริมบทบาทความรับผิดชอบของผู้ให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัล ต่อเนื้อหาที่ปรากฏบนระบบของตนเอง ขอย้ำเตือนประชาชนเพิ่มความระมัดระวัง ต้อง ตรวจสอบข้อมูลก่อนทำธุรกรรมทางออนไลน์ทุกครั้ง หากพบพฤติกรรมต้องสงสัยสามารถแจ้งผ่านสายด่วนศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ 1441 หรือเว็บไซต์ www.thaipoliceonline.com” นายอนุกูล กล่าว

รัฐบาลย้ำ เดินหน้าเต็มสูบ ดูแล SMEs จัดเต็มทุกมาตรการช่วยเหลือ ล่าสุด บสย. ช่วย SMEs รายย่อยแล้ว 2.1 หมื่นราย มียอดค้ำปร...
19/07/2025

รัฐบาลย้ำ เดินหน้าเต็มสูบ ดูแล SMEs จัดเต็มทุกมาตรการช่วยเหลือ ล่าสุด บสย. ช่วย SMEs รายย่อยแล้ว 2.1 หมื่นราย มียอดค้ำประกันสินเชื่อครึ่งปีแรกเกือบ 2 หมื่นล้านบาท

วันนี้ (19 กรกฎาคม2568 )เวลา 08.30 น. นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า ในช่วงเวลาเกือบ 1 ปี รัฐบาลให้ความสำคัญต่อการพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพ SMEs ของไทยประมาณ 75% ของประเทศ โดยได้ประสานไปยังกระทรวงการคลัง เพื่อออกนโยบายต่าง ๆ เร่งผลักดันและช่วยเหลือ SMEs ให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืน

ล่าสุด บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ได้เปิดเผยยอดค้ำประกันสินเชื่อครึ่งปีแรก 2568 (ม.ค.-มิ.ย.) รวม 1.9 หมื่นล้านบาท โดยสามารถช่วย SMEs รายย่อย ให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อ 21,348 ราย ก่อให้เกิดผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจกว่า 8 หมื่นล้านบาท

โดยกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อย Micro SMEs 81% (ค้ำประกันเฉลี่ย 1.4 แสนบาท/ราย) และอีก 19% เป็น SMEs ทั่วไป (ค้ำประกันเฉลี่ย 4.25 ล้านบาท/ราย) ซึ่งก่อให้เกิดสินเชื่อในระบบกว่า 2.6 หมื่นล้านบาท รักษาการจ้างงานได้ราว 1.88 แสนตำแหน่ง และสร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจได้มากกว่า 8.04 หมื่นล้านบาท สำหรับธุรกิจค้ำประกันสูงสุด 3 ลำดับแรก ได้แก่ การบริการ 31.4% อาหารและเครื่องดื่ม 10.7% และเกษตรกรรม 8%

ซึ่งธุรกิจ 3 ประเภทดังกล่าวครองสัดส่วนค้ำประกันรวมถึง 50% สะท้อนให้เห็นถึงอุตสาหกรรมหลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 โดยเฉพาะอุตสาหกรรม “ท่องเที่ยว เกษตรและอาหารแปรรูป และ medical and wellness” ที่เป็นอุตสาหกรรมที่ภาครัฐกำลังเดินหน้าเร่งกระตุ้นการลงทุนและผลักดันเป็นอุตสาหกรรมอนาคตของประเทศ

นายจิรายุกล่าวอีกว่า โครงการหลักอย่างโครงการ “บสย. SMEs ยั่งยืน” นั้นพบว่า ตั้งแต่ ก.ค. 2567 – มิ.ย. 2568 มียอดค้ำประกัน 3.8 หมื่นล้านบาท ช่วย SMEs เข้าถึงสินเชื่อ 4.8 หมื่นราย โดยเป็นกลุ่มที่ไม่เคยใช้บริการ บสย. (ลูกค้าใหม่) ถึง 74% และผู้ใช้บริการส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม Micro SMEs ถึง 86%

"ตอกย้ำความสำเร็จในการช่วยเหลือ “กลุ่มเปราะบาง” รายย่อย พ่อค้า แม่ค้า อาชีพอิสระ และกลุ่มที่ต้องการเข้าถึงสินเชื่อเช่าซื้อรถกระบะใหม่ ที่มีปัญหาขาดหลักทรัพย์ค้ำประกัน และขาดคนค้ำประกัน สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้มากขึ้น"

สำหรับมาตรการช่วงครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสที่ 3 (ก.ค. - ก.ย. ) ได้ดำเนินการออก “มาตรการพิเศษ” ภายใต้มาตรการ “บสย. พร้อมค้ำ” วงเงินรวม 5 หมื่นล้านบาท ประกอบ 2 โครงการใหม่ คือ

1. โครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs Power Trade & Biz วงเงิน 3 พันล้านบาท ค้ำประกันต่อราย 5 แสนบาท – 10 ล้านบาท สำหรับกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า และซัพพลายเชนที่เกี่ยวข้อง รวมถึงกลุ่มที่ได้ผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ

2. โครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs Micro Biz วงเงิน 2 พันล้านบาท ค้ำประกันต่อราย 1 หมื่นบาท – 5 แสนบาท ที่ตอบโจทย์กลุ่มรายย่อย (Micro SMEs) ค้าขายออนไลน์ อาชีพอิสระ ฯลฯ ที่ต้องการเงินทุนหมุนเวียน แต่ขาดคนค้ำและขาดหลักทรัพย์ค้ำประกัน

นายจิรายุกล่าวว่า จุดเด่นทั้ง 2 โครงการ คือ ฟรี! ค่าธรรมเนียมค้ำประกัน 3 ปีแรก ปีต่อไปชำระต่ำเพียง 1.5% ต่อปี ค้ำประกันสูงสุด 7 ปี มุ่งเสริมสภาพคล่อง และลดภาระทางการเงินได้ รวมทั้งยังช่วยกระตุ้นให้สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อในรายที่ต้องการสภาพคล่องเพิ่มเติม แต่ขาดหลักทรัพย์ค้ำประกันด้วยการจ่ายเคลม (จ่ายค่าประกันชดเชย) สูงถึง 37% (SMEs Power Trade & Biz) และ 42% (SMEs Micro Biz) ต่อพอร์ตการค้ำประกันเมื่อเทียบกับการค้ำประกันปกติที่ระยะเวลา 10 ปี

"ขอยืนยันว่ารัฐบาลจะเดินหน้าช่วยเหลือ SMEs อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะมาตรการที่เกี่ยวกับด้านเงินทุนให้กับ SMEs ไทย เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับบรรดาผู้ประกอบการ เจ้าของกิจการ ให้สามารถอยู่รอด เพิ่มประสิทธิภาพการแข่งขัน และเติบโตขึ้นได้อย่างยั่งยืน"

ที่อยู่

Bangkok

เบอร์โทรศัพท์

+66969890810

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ONB newsผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง ONB news:

แชร์

ความเป็นมาของเราโอเอ็นบี นิวส์

สำนักข่าว โอเอ็นบี นิวส์ (ONB News) ก่อตั้งโดยกลุ่มนักวิชาการ นักพัฒนาภาคเอกชน สื่อสารมวลชน และชมรมผู้สื่อข่าวภูมิภาคทั่วประเทศไทย โดยมีการระดมทุนกันเองทั้งจากองค์กรพัฒนาเอกชน องค์กรชาวบ้าน นักวิชาการ นักธุรกิจ นักกิจกรรม และนักสื่อมวลชน เป็นองค์กรสื่อส่วนกลางของภาคประชาชน ที่ทำงานร่วมกับสื่อมวลชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อให้ข่าวสารภาคประชาชน โดยเฉพาะเกี่ยวกับปัญหาความยากจน ปัญหาคนชายขอบและปัญหาของชุมชนท้องถิ่นต่างๆ สื่อสารไปยังสังคมในวงกว้าง โดยผ่านสื่อมวลชนและเว็บไซต์ เพื่อให้องค์กรภาคประชาชนพัฒนาความรู้ ความเข้าใจในการใช้สื่อ ผลิตสื่อ และวิธีการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ

โดยผู้สื่อข่าวของ โอเอ็นบี นิวส์ เป็นผู้สื่อข่าวระดับพื้นที่ ซึ่งมิใช่ผู้สื่อข่าวอาชีพ แต่เป็นผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดกับข้อเท็จจริง กระจายอยู่ตามสาขาอาชีพต่างๆ ในชนบททั่วประเทศ โดยมีศูนย์ข่าวภูมิภาคประจำอยู่ใน 4 ภูมิภาค คือ ภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงในการฝึกอบรม และจัดตั้งผู้สื่อข่าวระดับพื้นที่ รายงานข่าวแก่สมาชิกเป็นประจำผ่านทางจดหมายข่าวออนไลน์

สำนักข่าวโอเอ็นบี นิวส์ (ONB News) ก่อตั้งช่วงเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2560 เพื่อนำเสนอข่าวสืบสวนสอบสวน เน้นประเด็นตรวจสอบความโปร่งใสภาครัฐ ความโปร่งใสภาคเอกชน และการพัฒนาที่ยั่งยืน ดำเนินงานโดยทีมงานนักข่าวอาชีพที่มีประสบการณ์ในวงการข่าว นานกว่า 20 ปี มุ่งหวังที่จะใช้อินเทอร์เน็ต เป็นทั้งพื้นที่ในการนำเสนอข่าว แลกเปลี่ยนกับผู้อ่าน และเป็นเครื่องมือในการทำงาน โดยเชื่อมั่นในพลังของสื่อใหม่ว่า การใช้อินเทอร์เน็ตเป็นพื้นที่และเครื่องมือจะช่วยดำรงความเป็นอิสระของกองบรรณาธิการ ก้าวข้ามข้อจำกัดของสื่อกระแสหลัก และสร้างความแตกต่างให้กับสำนักข่าว โอเอ็นบี นิวส์ (ONB News) ทั้งในแง่ของการนำเสนอข่าวเชิงลึก และการนำเสนอข้อมูลที่ซับซ้อนอย่างเข้าใจง่าย แก้ไขความเข้าใจผิด สร้างความเชื่อมั่น ความน่าเชื่อถือ และศรัทธาในภาครัฐ

เราเชื่อมั่นว่า การนำ “ความเร็ว” ของพลังสังคมและข้อมูลข่าวสารในสื่อสังคมออนไลน์ มาผสานกับ “ประสิทธิภาพ” ของเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตในการเชื่อมโยงและนำเสนอข้อมูล ผนวกกับ “ความลึก” ของนักข่าวมืออาชีพมากประสบการณ์ จะเปิดมิติใหม่ให้แก่วงการสื่อสารมวลชนไทย