นินจา การตลาด

นินจา การตลาด SME​ need​ to​ know, SME​ ​ต้องมีกลยุทธ์​
(1)

ต่อให้เป็นของดี อยู่ผิดที่ก็ไร้ค่า คอนเทนต์ก็เช่นกัน เพราะคลิปเดียวกันอาจไม่ได้ตอบโจทย์ทุกแพลตฟอร์ม  #สรุปให้ในโพสเดียวเ...
28/07/2025

ต่อให้เป็นของดี อยู่ผิดที่ก็ไร้ค่า คอนเทนต์ก็เช่นกัน เพราะคลิปเดียวกันอาจไม่ได้ตอบโจทย์ทุกแพลตฟอร์ม #สรุปให้ในโพสเดียว
เคยไหม? ลงคอนเทนต์เรื่องเดียวกันทั้ง Facebook, IG, TikTok แต่ผลตอบรับแต่ละแพลตฟอร์ม “ไม่เหมือนกัน” บางที่คนสนใจ บางที่เงียบสนิท
หลายแบรนด์เจอปัญหานี้บ่อย เพราะเข้าใจผิดว่าคอนเทนต์แบบเดียวกันจะเวิร์กทุกที่ ทั้งที่จริงแต่ละแพลตฟอร์มมี “นิสัย” และรูปแบบการเสพคอนเทนต์ที่แตกต่างกันสุดๆ
วันนี้เราจะมาแชร์ 5 กลยุทธ์ Cross-platform Content ที่ช่วยให้คอนเทนต์ของเรา “เข้าทุกทาง” ตอบโจทย์แต่ละช่องทางได้แบบมืออาชีพ
1. เข้าใจ “ธรรมชาติ” ของแต่ละแพลตฟอร์มก่อน
- Facebook เหมาะกับคอนเทนต์เล่าเรื่องยาวๆ ให้รายละเอียดลึก ตอบโต้ในคอมเมนต์ได้
- Instagram เน้นภาพสวย วิดีโอสั้น Storytelling กระชับ มี Hashtag และใส่ความเป็นไลฟ์สไตล์
- TikTok ต้องเร็ว กระชับ เข้าประเด็นไว ดึงอารมณ์หรือความบันเทิงให้มากที่สุด
อย่าก็อปคอนเทนต์แปะทั้งสามที่ แต่ต้อง “ปรับ” ให้เข้ากับนิสัยคนแต่ละแพลตฟอร์ม
2. ดึง “ไอเดียหลัก” มาแตกเป็นหลายรูปแบบ
เริ่มจากไอเดียหรือเนื้อหาหลักเดียวกัน เช่น รีวิวสินค้า หรือเทคนิคเด็ด
แต่แยกไปเป็น
- โพสต์ยาวพร้อมตัวอย่างจริงใน Facebook
- รูปสวย/อินโฟกราฟิก/คลิปสั้นๆ บน IG
- คลิปสั้น กระชับ ท้าให้ลอง หรือเทรนด์ Challenge บน TikTok
หนึ่งไอเดีย ขยายเป็นหลายรูปแบบตามสไตล์แต่ละแพลตฟอร์ม
3. ใช้ “ภาษาและโทน” ให้เหมาะกับแต่ละช่องทาง
- Facebook ใช้โทนเป็นกันเอง มีคำถามจบโพสต์ให้ชวนคุย
- IG เน้นคำบรรยายสั้น กระชับ มีแคปชั่นเก๋ๆ
- TikTok ใช้ประโยคนำโดนๆ หรือเทคนิคพูดเปิดคลิปที่ดึงดูด เช่น “เชื่อไหมว่า…” หรือ “5 วินาทีรู้เรื่อง!”
ปรับภาษาและโทนให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายแต่ละแพลตฟอร์ม
4. ใส่ “CTA” ที่ชวนคนมีส่วนร่วมตามช่องทาง
แต่ละแพลตฟอร์มมีพฤติกรรมการมีส่วนร่วมไม่เหมือนกัน
- Facebook ชวนแชร์หรือคอมเมนต์แลกเปลี่ยน
- IG ชวน Tag เพื่อนในคอมเมนต์ หรือกด Like/Save
- TikTok ชวนดูต่อ หรือกดติดตามช่อง
ใส่ CTA ให้เหมาะกับพฤติกรรมผู้ใช้แต่ละแพลตฟอร์ม
5. เช็กผลลัพธ์-ปรับแบบ “เร็ว” อย่าคาดเดาเอง
อย่าคิดแทนลูกค้า! ใช้สถิติของแต่ละแพลตฟอร์ม เช่น ยอด Reach, Watch Time, CTR ดูว่าแบบไหนเวิร์กจริง แล้วกล้าปรับเนื้อหาให้เหมาะกับผลลัพธ์ที่ได้
บางทีคอนเทนต์ที่ฮิตบน TikTok อาจต้องปรับรายละเอียดก่อนถึงจะเวิร์กบน Facebook
ใช้ข้อมูลจริงเป็นเข็มทิศ ไม่ใช่ความรู้สึก
คอนเทนต์ดีไม่พอ ต้อง “เข้าทาง” ของแต่ละแพลตฟอร์มด้วย ลองใช้ 5 กลยุทธ์นี้ แล้วจะเห็นว่าคอนเทนต์เดียวกัน สามารถแตกไลน์ให้ปังได้ทุกช่องทางแบบมืออาชีพ
ถ้าชอบบความรู้ทางธุรกิจแบบนี้ อย่าลืมกดติดตามเรา นินจาการตลาด แล้วเราจะมาลับคมความรู้ทางธุรกิจไปด้วยกันครับ

#นินจาการตลาด #กลยุทธ์การตลาด

5 เทคนิค ทำคอนเทนต์ให้ตรงใจกลุ่มลูกค้าด้วย Persona Content Strategy   #สรุปให้ในโพสเดียวเคยเจอปัญหาแบบนี้กันไหม? อยากขยา...
26/07/2025

5 เทคนิค ทำคอนเทนต์ให้ตรงใจกลุ่มลูกค้าด้วย Persona Content Strategy #สรุปให้ในโพสเดียว
เคยเจอปัญหาแบบนี้กันไหม? อยากขยายฐานลูกค้า อยากให้คอนเทนต์ตรงใจหลายกลุ่ม แต่สุดท้ายโพสต์ออกไปแล้วกลับ “ไม่สุด” สักทาง
เนื้อหาเริ่มหลุดโทน เดี๋ยวก็พูดกับกลุ่มวัยรุ่น เดี๋ยวก็สื่อสารกับสายครอบครัว จนแบรนด์ขาดความเป็นตัวเอง
จริงๆ แล้วเราสามารถทำคอนเทนต์ให้ตรงใจลูกค้าหลายกลุ่ม โดยที่ยังคง “ตัวตน” ของแบรนด์ไว้ได้ แค่ต้องรู้จักวาง “Persona Content Strategy” ให้ดี
วันนี้จะพาไปดู 5 เทคนิคปั้นคอนเทนต์ให้โดนใจหลายกลุ่มเป้าหมาย แบบไม่เสีย DNA ของแบรนด์
1. กำหนด “ตัวตนแบรนด์” ให้ชัดก่อน
เริ่มที่รากฐาน… ต้องตอบตัวเองให้ได้ว่าแบรนด์ของเรา “เป็นใคร” มีคาแรคเตอร์แบบไหน เช่น จริงจัง อบอุ่น หรือสนุกสนาน
ยิ่งเราชัดในจุดยืนและโทนเสียง เวลาทำคอนเทนต์จะไม่หลุดแกนกลาง ไม่ว่าจะสื่อสารกับกลุ่มไหน
สรุป: ตัวตนชัด = สื่อสารหลากหลายแต่ไม่หลุดโฟกัส
2. สร้าง “Persona” ลูกค้าแต่ละกลุ่มอย่างละเอียด
แบ่งลูกค้าออกเป็นกลุ่มหลักๆ แล้วระบุให้ชัดว่าแต่ละกลุ่มมีไลฟ์สไตล์ ความสนใจ หรือปัญหาอะไรบ้าง
ตัวอย่างเช่น กลุ่มวัยรุ่นสนใจเทรนด์ใหม่ๆ ส่วนกลุ่มครอบครัวโฟกัสเรื่องความคุ้มค่าและปลอดภัย.
การรู้จัก Persona จะช่วยให้เราเลือกหัวข้อและแนวทางการนำเสนอที่เหมาะกับแต่ละกลุ่ม
สรุป: รู้จักลูกค้าแต่ละกลุ่ม = คอนเทนต์แม่นยำมากขึ้น
3. ปรับเนื้อหาให้ “เฉพาะเจาะจง” แต่ยังคงโทนแบรนด์
เมื่อได้ Persona แล้ว ให้ปรับรายละเอียดในคอนเทนต์ เช่น ภาษา ตัวอย่าง หรือวิธีเล่าเรื่อง ให้เหมาะกับกลุ่มเป้าหมาย
แต่ยังคงคาแรคเตอร์หลักของแบรนด์ไว้ เช่น เล่าเรื่องสนุกเหมือนเดิม แต่ใช้ศัพท์วัยรุ่นมากขึ้นเมื่อสื่อสารกับวัยทีน
สรุป: เปลี่ยนแค่รายละเอียด ไม่เปลี่ยนตัวตน
4. ใช้ “Content Pillar” แยกหมวดคอนเทนต์
แบ่งคอนเทนต์ออกเป็นหมวด หรือหัวข้อหลักที่แต่ละ Persona สนใจ เช่น
- หมวด How-to สำหรับคนเริ่มต้น
- หมวดรีวิวสินค้าสำหรับนักช้อป
- หมวดไอเดียเทรนด์สำหรับวัยรุ่น
การจัด Pillar แบบนี้ช่วยให้แบรนด์มีความหลากหลาย แต่ยังคุมโทนรวมทั้งเพจ
สรุป: คอนเทนต์หลากหลาย แต่ยังดูเป็นแบรนด์เดียวกัน
5. วัดผลและฟังเสียงลูกค้าแต่ละกลุ่ม
ลองดูว่ากลุ่มไหนมี Engagement กับคอนเทนต์แบบไหน แล้วเอาข้อมูลนี้มาปรับปรุงในรอบต่อไป
อย่าลืมเปิดรับฟีดแบ็คหรือคำถามจากแต่ละกลุ่มเสมอ เพราะนี่คือโอกาสทองในการพัฒนาคอนเทนต์และสร้างความผูกพัน
สรุป: ฟังลูกค้า = ได้ใจลูกค้าหลายกลุ่ม
การทำคอนเทนต์ให้โดนใจหลายกลุ่ม ไม่จำเป็นต้องเสียความเป็นตัวเองของแบรนด์ ถ้าเราชัดเจนใน “ตัวตน” และเข้าใจ “Persona” ของแต่ละกลุ่ม คอนเทนต์ของเราจะทั้งแม่นยำ และสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นได้แบบระยะยาว
ใครกำลังเจอกับปัญหานี้อยู่ ลองแชร์ประสบการณ์หรือเทคนิคที่ใช้แก้ปัญหานั้นๆ กันหน่อย คอมเมนต์ได้เลยครับ
และถ้าชอบความรู้ดีๆ ทางธุรกิจแบบนี้ อย่าลืมกดติดตามนินจาการตลาด เราจะหาความรู้ใหม่ๆ ที่จำเป็นต่อธุรกิจ มาลับคมความรู้กันแบบนี้ ทุกวันเลย

#นินจาการตลาด #ธุรกิจ #การตลาด

ความสำเร็จของโพสไม่ได้วัดกันแต่ยอด Like & Share เพียงเท่านั้น แต่ใช้ข้อมูลเชิงลึก!! วันนี้พามาดู 5 KPI วัดผลความสำเร็จแบ...
24/07/2025

ความสำเร็จของโพสไม่ได้วัดกันแต่ยอด Like & Share เพียงเท่านั้น แต่ใช้ข้อมูลเชิงลึก!! วันนี้พามาดู 5 KPI วัดผลความสำเร็จแบบเห็นผลกัน #สรุปให้ในโพสเดียว
เคยรู้สึกไหมว่า ลงแรงทำคอนเทนต์แต่ละชิ้น เห็นยอดไลก์กับยอดแชร์เยอะก็ใจฟู แต่สุดท้ายแล้ว…
“ตัวเลขพวกนี้ มันสะท้อนความสำเร็จที่แท้จริงของแบรนด์เราไหม?”
ในยุคที่ทุกแบรนด์ต้องการ “โตอย่างยั่งยืน” แค่ยอด Like & Share มันไม่พออีกต่อไปแล้ว เพราะเป้าหมายใหญ่จริงๆ คือการเปลี่ยนคอนเทนต์ให้เป็น “ผลลัพธ์ที่จับต้องได้” ทั้งยอดขาย ฐานลูกค้าประจำ หรือแม้แต่ความสัมพันธ์ระยะยาวกับกลุ่มเป้าหมาย
วันนี้ขอชวนมาดู 5 KPI สำคัญ ที่ควรจับตาให้มากกว่า Like & Share ถ้าอยากให้แบรนด์โตจริง ไม่ใช่แค่ดังวูบเดียว
1. Engagement ที่ลึกกว่าการกด (Meaningful Engagement)
แค่ยอดคอมเมนต์หรือแชร์ ยังไม่พอ
ให้ดู “เนื้อหาการมีส่วนร่วม” เช่น มีการพูดคุย ถามตอบ หรือมีคอมเมนต์ที่แชร์ประสบการณ์จริง คนเข้ามาแลกเปลี่ยนมุมมองต่อเนื้อหา เพราะ Engagement ที่มีคุณภาพจะสะท้อนว่า แบรนด์เราเข้าไปอยู่ในใจลูกค้าจริงๆ
สรุป: คอนเทนต์ไหนสร้างบทสนทนาได้ = คอนเทนต์ที่มีค่า
2. Click-Through Rate (CTR): อัตราการคลิกที่บอกถึง “ความสนใจจริง”
ถ้าโพสต์แล้วมีคนกดเข้าไปอ่านหรือดูรายละเอียดต่อ แปลว่าคอนเทนต์นั้นดึงดูดความสนใจได้ดี
CTR ช่วยวัดได้ว่าเนื้อหาของเรา “พาคน” เดินไปสู่เป้าหมายต่อได้แค่ไหน ไม่ใช่แค่ผ่านตาแล้วจบ
สรุป: ยอดคลิกสูง = คนสนใจอยากรู้จักแบรนด์ต่อ
3. Conversion Rate: เปลี่ยนคนดูให้เป็นลูกค้า
คีย์เวิร์ดสำคัญในยุคนี้คือ “เปลี่ยน” ไม่ใช่แค่ “โดนใจ”
Conversion Rate คือสัดส่วนของคนที่ดูคอนเทนต์แล้วลงมือทำจริง เช่น กรอกฟอร์ม สมัครสมาชิก หรือซื้อสินค้า นี่แหละคือ KPI ที่สะท้อนผลลัพธ์ที่แท้จริง
สรุป: เปลี่ยนยอดดูให้เป็นยอดขายหรือ lead = แบรนด์โตจริง
4. Retention Rate: สัดส่วนคนที่ “กลับมา” เสพคอนเทนต์ซ้ำ
ถ้าเราทำให้คนเดิมๆ กลับมาเสพคอนเทนต์เราเรื่อยๆ ได้ แปลว่าแบรนด์เราสร้าง “แฟนคลับ” ไม่ใช่แค่คนผ่านทาง
Retention Rate คือเครื่องมือสำคัญที่ช่วยเช็กว่าเราสร้างสายสัมพันธ์ระยะยาวกับกลุ่มเป้าหมายได้ดีแค่ไหน
สรุป: มีแฟนคลับประจำ = ธุรกิจยั่งยืน
5. Customer Lifetime Value (CLV): มูลค่าตลอดชีพของลูกค้า
นี่คือ KPI ที่หลายคนมองข้าม แต่สำคัญมาก
CLV วัดว่าลูกค้าคนหนึ่งจะสร้างรายได้ให้เราได้มากแค่ไหนตลอดเวลาที่เขายังเป็นลูกค้า
ถ้าเราสร้างคอนเทนต์ที่ทำให้ลูกค้าอยู่กับเราไปนานๆ ซื้อซ้ำ หรือแนะนำเพื่อน แบรนด์ก็เติบโตแบบมั่นคง
สรุป: CLV สูง = ลงทุนทำคอนเทนต์แล้วคุ้มในระยะยาว
ถ้าอยากให้แบรนด์โตอย่างยั่งยืน อย่าไปยึดติดแค่ยอด Like & Share ลองเริ่มวัดผลด้วย 5 KPI นี้ แล้วใช้ข้อมูลปรับคอนเทนต์ให้ตอบโจทย์ทั้งเป้าหมายและคนดู
นี่คือส่วนหนึ่งของการวัดผลทางการตลาดเท่านั้น ถ้าพวกเราชอบความรู้ดีๆ ทางธุรกิจ อย่าลืมติดตามเรา นินจาการตลาด แล้วจะเอาความรู้มาลับคมให้ทุกวันแน่นอนครับ

#นินจาการตลาด #การตลาด

สร้างแบรนด์ให้ชัดด้วย 3 คำถาม สร้างตัวตนให้คนไม่ลืม  #สรุปให้ในโพสเดียวเคยไหม แค่คิดจะทำแบรนด์ก็รู้สึกว่ามัน “ไกลตัว” ต้...
22/07/2025

สร้างแบรนด์ให้ชัดด้วย 3 คำถาม สร้างตัวตนให้คนไม่ลืม #สรุปให้ในโพสเดียว
เคยไหม แค่คิดจะทำแบรนด์ก็รู้สึกว่ามัน “ไกลตัว” ต้องใช้งบเยอะ ต้องจ้างดีไซเนอร์ หรือคิดว่าแบรนด์คือแค่เรื่องของโลโก้สวย ๆ
ความจริงแล้ว “ตัวตนแบรนด์” คือรากฐานสำคัญที่ต้องคิดก่อนลงมือทำโลโก้หรือออกแบบอะไรทั้งนั้น ถ้าเรายังตอบ 3 คำถามนี้ไม่ได้ โลโก้จะสวยแค่ไหนก็ไม่ช่วยให้แบรนด์แข็งแรง
มาดู 3 คำถามเบสิก ที่ช่วยให้เราเริ่มต้นวางตัวตนแบรนด์แบบเข้าใจง่ายและใช้ได้จริง
1. “เราคือใคร?” (What are we?)
ก่อนจะขายของ หรือบอกใครว่าเราทำอะไร ให้ลองถามตัวเองง่าย ๆ ว่า “ธุรกิจของเราคือใคร?”
- ขายแค่สินค้า หรืออยากเป็นแบรนด์ที่มีความหมายกับลูกค้า?
- เราอยากให้คนมองเราเป็นแบบไหน?
ลองนิยามตัวเองเป็นประโยคสั้น ๆ เช่น “เราอยากเป็นร้านกาแฟที่อบอุ่นเหมือนบ้าน” หรือ “เราอยากเป็นแบรนด์เสื้อผ้าสายชิลล์สำหรับคนรุ่นใหม่”
ถ้าเราไม่ชัดเจนในจุดยืน คนอื่นก็จะไม่เข้าใจว่าแบรนด์เราคืออะไร
2. “ใครคือคนที่เราอยากคุยด้วย?” (Who do we want to talk to?)
แบรนด์ที่ดีต้องรู้ว่ากำลัง “คุยกับใคร”
- กลุ่มเป้าหมายคือใคร?
- เขาอยู่ที่ไหน ชอบอะไร หรือมีปัญหาอะไร?
เช่น เราขายขนมเพื่อสุขภาพ กลุ่มเป้าหมายอาจเป็นคนรักสุขภาพ หรือคุณแม่ที่ใส่ใจลูก เพราะถ้าเรายังไม่ชัดว่ากำลังจะสื่อสารกับใคร ต่อให้โลโก้สวยแค่ไหน ก็ไปไม่ถึงใจลูกค้า
เมื่อรู้ว่าใครคือกลุ่มเป้าหมาย การออกแบบทุกอย่างจะตรงจุดและง่ายขึ้น
3. “อยากให้เขารู้สึกยังไงเมื่อเห็นแบรนด์เรา?” (How do we want them to feel?)
ความรู้สึกแรกที่คนเห็นแบรนด์เราอยากให้เป็นแบบไหน?
- อยากให้รู้สึกไว้วางใจ?
- อยากให้รู้สึกสนุก สดใส หรือดูมืออาชีพ?
สิ่งนี้จะนำไปสู่การเลือกโทนสี ฟอนต์ ภาพ และวิธีสื่อสาร เช่น
ถ้าอยากให้แบรนด์ดูอบอุ่น คำพูดและภาพจะต้องเป็นกันเอง สีสันอาจเลือกแนวธรรมชาติ แต่ถ้าอยากดูเท่ห์หรือล้ำสมัย ก็ต้องใช้โทนเข้มหรือดีไซน์เรียบหรู
ความรู้สึกคือสิ่งที่ทำให้แบรนด์มีเอกลักษณ์ และเป็นจุดที่ลูกค้าจำเราได้
ก่อนจะเริ่มลงทุนทำโลโก้หรือออกแบบอะไร ลองใช้เวลาตอบ 3 คำถามนี้ให้ชัด เพราะรากฐานของแบรนด์ที่แข็งแรงไม่ได้เริ่มจากรูป แต่เริ่มจาก “ตัวตน” ที่เราชัดเจน
เมื่อทุกอย่างตอบโจทย์ครบ โลโก้และดีไซน์จะกลายเป็นแค่ส่วนเสริมที่ต่อยอดภาพลักษณ์ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
การสร้างแบรนด์ไม่ใช่เรื่องไกลตัว ถ้าเราตั้งใจศึกษาและใช้เวลากับมันแบบจริงจัง ใครที่มีความฝันอยากทำแบรนด์อะไรกันบ้าง ลองคอมเมนต์พูดคุยกันบ้างนะครับ

#สร้างแบรนด์ #นินจาการตลาด #การตลาด #แบรนด์ดิ้ง

21/07/2025

Ep.3 — เมื่อคนไทย... ไปปักธงในออสเตรเลีย!
"จากพิมพ์เขียวบ้านๆ... สู่อาณาจักรใหม่ในต่างแดน"
#น้องเงาเล่าเรื่อง
#อสังหาต่างประเทศ #ไปไกลแต่ไม่ลืมราก #ธุรกิจไทยโกอินเตอร์ #แรงบันดาลใจธุรกิจ

20/07/2025

Ep.2 — อยู่รอดในวันที่ทุกอย่างพัง
"ตอนคนอื่นล้ม... เขากลับ ‘ไล่ซื้อ’ ที่ดินทั้งประเทศ"
#น้องเงาเล่าเรื่อง
#วิกฤตต้มยำกุ้ง #เจ็บแล้วจำ #อสังหาไทย #กลยุทธ์ธุรกิจ #อยู่เป็นเห็นรอด

19/07/2025

Ep.1 — จาก “ไม่มีรองเท้า” สู่เจ้าของหมู่บ้านทั่วประเทศ
“ไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเทอม... แต่เขากลับกลายเป็นเจ้าของอาณาจักรพันล้าน!”
#น้องเงาเล่าเรื่อง
#แรงบันดาลใจ #อสังหาไทย #ธุรกิจจากศูนย์ #มหาเศรษฐีไทย #จุดเริ่มต้นเล็กๆ

วางแผนทำคอนเทนต์สร้างแฟนคลับ ด้วย 5 เป้าหมาย แบบนักการตลาดมือโปร เคยสงสัยไหมว่า ทำไมบางแบรนด์แค่โพสต์ธรรมดาๆ แต่กลับมีคน...
17/07/2025

วางแผนทำคอนเทนต์สร้างแฟนคลับ ด้วย 5 เป้าหมาย แบบนักการตลาดมือโปร
เคยสงสัยไหมว่า ทำไมบางแบรนด์แค่โพสต์ธรรมดาๆ แต่กลับมีคนพูดถึง แชร์ต่อ หรือแนะนำต่อให้เพื่อนแบบไม่มีใครขอ?
ในขณะที่หลายเพจโพสต์กันเป็นร้อยครั้ง ยอดแชร์ ยอดพูดถึงยังนิ่งสนิท ความลับมันไม่ได้อยู่ที่ “โชคดี” หรือ “ไวรัลฟลุคๆ”
แต่อยู่ที่การวางแผนคอนเทนต์อย่างมีกลยุทธ์ตั้งแต่ลูกค้ารู้จักแบรนด์ ไปจนถึง “อิน” กับแบรนด์และอยากบอกต่อเองโดยธรรมชาติ
วันนี้ชวนมาดู 5 เป้าหมายวางคอนเทนต์ ที่เปลี่ยนคนรู้จักให้กลายเป็น “แฟนพันธุ์แท้” และพร้อมเป็นกระบอกเสียงให้แบรนด์
1. สร้างการรับรู้ (Awareness) ด้วย “ตัวตน” ที่ชัดเจน
ก่อนจะให้ใครอินกับเรา เราต้องทำให้แบรนด์โดดเด่นและจดจำง่าย เลือกแนวทางการสื่อสารที่เป็นเอกลักษณ์ เช่น โทนภาษา สไตล์ภาพ หรือคอนเทนต์ที่สะท้อน DNA ของแบรนด์
จุดนี้คือจุดที่ลูกค้าเริ่ม “รู้จัก” และเริ่มแอบมองเรา
สรุป: ตัวตนชัด มีคนจำได้ = ก้าวแรกสู่การบอกต่อ
2. ดึงดูดความสนใจ (Interest) ด้วยเรื่องราวและ Insight จริง
เนื้อหาต้องไม่ใช่แค่ขายของ แต่ต้องเล่าเรื่องที่ “ตรงใจ” คนอ่าน เช่น เล่าปัญหาที่คนส่วนใหญ่เจอ วิธีแก้ปัญหาที่ใช้ได้จริง หรือประสบการณ์จากผู้ใช้งานจริง
คอนเทนต์ที่อินไซต์โดนใจจะกระตุ้นให้คนหยุดดูและอยากมีส่วนร่วม
สรุป: ถ้าเจอเรื่องที่ใช่ คนพร้อมแชร์หรือคอมเมนต์ทันที
3. สร้างความสัมพันธ์ (Engagement) ให้เกิดบทสนทนา
ถาม-ตอบ ชวนคุย หรือสร้างกิจกรรมที่ชวนให้คนมีส่วนร่วม ไม่ใช่แค่รับสารอย่างเดียว เช่น โพลล์, ชวนแชร์ประสบการณ์ หรือคอนเทนต์แบบเปิดประเด็นให้แสดงความคิดเห็น
เมื่อคนรู้สึกว่ามีพื้นที่ในเพจ เขาจะเริ่มรู้สึกผูกพัน
สรุป: ยิ่งคุย ยิ่งผูกพัน ยิ่งอยากมีส่วนร่วม
4. กระตุ้นการตัดสินใจ (Action) ด้วยข้อเสนอที่ “จับต้องได้”
ไม่ว่าจะเป็นสิทธิพิเศษ คำแนะนำเฉพาะบุคคล หรือโปรโมชัน ต้องทำให้คนรู้สึกว่า “ได้ประโยชน์” จากการลงมือทำ
อย่าลืมใส่ Call to Action ชัดๆ เช่น “ลองเลย!”, “จองก่อนสิทธิ์หมด!”
สรุป: ข้อเสนอชัด คนอยากลองและแชร์ประสบการณ์
5. สร้างโมเมนต์ให้คน “ภูมิใจ” ที่เป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์ (Advocacy)
สุดท้าย อย่าลืมสร้างพื้นที่ให้ลูกค้ารู้สึกพิเศษ เช่น การแชร์รีวิวลูกค้า การจัดแคมเปญที่ชวนให้คนเล่าเรื่องราวของตัวเอง หรือมอบรางวัลเล็กๆ สำหรับคนที่แนะนำเพื่อน
วิธีนี้จะช่วยให้คนอยากแชร์ อยากบอกต่อแบรนด์แบบธรรมชาติ เพราะรู้สึกว่าแบรนด์เห็นคุณค่าในตัวเขา
สรุป: ลูกค้ารู้สึกพิเศษ = พร้อมเป็นกระบอกเสียงให้แบรนด์
คอนเทนต์ที่ดีไม่ใช่แค่ทำให้คนรู้จักแบรนด์ แต่ต้องสร้างความผูกพันและภูมิใจ จนเขาอยากเป็นส่วนหนึ่งและอยากแชร์ด้วยใจ
สำหรับใครที่กำลังทำเพจ หรือ ธุรกิจ อย่าลืมติดตามเรา นินจาการตลาด แล้วเราจะเอาเทคนิค และกลยุทธ์ดีๆ มาแนะนำกันทุกวันเลยครับ

5 กลยุทธ์ การเล่า Story สั้น ๆ ที่ทำให้คนจำเราได้ไม่ลืม  #สรุปให้ในโพสเดียวเคยไหม…เวลาเจอลูกค้าหรือถ่ายวิดีโอ ก็ยังรู้สึ...
16/07/2025

5 กลยุทธ์ การเล่า Story สั้น ๆ ที่ทำให้คนจำเราได้ไม่ลืม #สรุปให้ในโพสเดียว
เคยไหม…เวลาเจอลูกค้าหรือถ่ายวิดีโอ ก็ยังรู้สึกว่า “พูดไม่เก่ง ไม่รู้จะเล่าอะไร”?
แต่ความจริงแล้ว แบรนด์ที่คนจำได้ส่วนใหญ่มักมี “เรื่องเล่าเล็ก ๆ” ที่คนอ่านแล้วรู้สึกตาม ไม่จำเป็นต้องพูดคล่องหรือใช้คำหรู เพราะสิ่งสำคัญคือ “เล่าเรื่องให้สั้น กระชับ และจับใจ”
วันนี้เรามี 5 กลยุทธ์ การเล่า Story สั้น ๆ ที่ช่วยให้แบรนด์มีตัวตน แม้เจ้าของจะไม่ได้เป็นนักพูดมืออาชีพ
1. เลือก “เรื่องเล่า” ที่คนฟังแล้วรู้สึกเชื่อมโยง
ไม่ต้องหาจุดขายยิ่งใหญ่ แค่เลือกเรื่องเล่าจากประสบการณ์จริง เช่น จุดเริ่มต้นของแบรนด์, เหตุผลที่เลือกขายของนี้, หรือแรงบันดาลใจเล็ก ๆ ในแต่ละวัน
เช่น “วันแรกที่เปิดร้าน…เราเจอลูกค้าคนแรกที่แวะมาเพราะป้ายหน้าร้าน” เรื่องง่าย ๆ แบบนี้มักเป็นจุดที่ลูกค้ารู้สึกใกล้ชิด
เลือกเล่าเรื่องจริงใจ คนอ่านสัมผัสได้
2. สั้น กระชับ ไม่ต้องแต่งประโยคยาว
หลายคนกังวลว่าต้องพูดเก่ง พูดยาว แต่จริง ๆ แล้ว Story ที่ดีไม่จำเป็นต้องยาว
เช่น “วันนี้ส่งกาแฟ 100 แก้ว ภูมิใจที่ลูกค้าบอกว่า ‘กาแฟร้านนี้ไม่เหมือนใคร’” เน้นใจความหลัก อารมณ์เหมือนคุยกับเพื่อน
สั้น กระชับ ได้ใจความ ยิ่งจำง่าย
3. ใช้รูปภาพหรือวิดีโอช่วยเสริม ไม่ต้องพึ่งแต่คำพูด
ใครพูดไม่เก่ง ลองใช้รูปภาพบรรยายเรื่องราว หรือถ่ายคลิปเบื้องหลังธรรมชาติ
บางทีแค่ภาพรอยยิ้มลูกค้าก็เล่าเรื่องได้มากกว่าคำพูด Story ที่เล่าผ่านภาพ ทำให้แบรนด์ดูเข้าถึงง่าย
ภาพดี วิดีโอจริงใจ ช่วยเล่าเรื่องแทนเรา
4. ชวนลูกค้าร่วมเล่าเรื่อง
ลองแชร์รีวิวหรือประสบการณ์ของลูกค้า เช่น “วันนี้ลูกค้าเล่าว่าซื้อเสื้อจากร้านเราไปใส่วันรับปริญญาแล้วเพื่อนชม”
การให้ลูกค้ามีส่วนร่วมในการเล่าเรื่องจะช่วยให้แบรนด์น่าจดจำขึ้นอีกหลายเท่า และยังสร้างพลังบวกให้กับร้านเองด้วย
ให้ลูกค้าช่วยเล่าเรื่อง แบรนด์จะยิ่งดูจริงใจ
5. ปิดท้ายด้วย “ความรู้สึก” หรือข้อคิด
จบเรื่องเล่าแต่ละวันด้วยความรู้สึก เช่น “ทุกวันนี้ยังจำรอยยิ้มลูกค้าคนแรกได้เสมอ” หรือ “ขอบคุณที่ให้โอกาสเราได้เป็นส่วนหนึ่งในวันดี ๆ ของทุกคน”
แม้พูดไม่เยอะ แต่ถ้าส่งความรู้สึกจริงใจ คนฟังจะจำแบรนด์เราได้
ให้เรื่องราวจบแบบอบอุ่น ใครอ่านก็อยากบอกต่อ
ไม่ต้องเป็นนักพูด ไม่ต้องมีสคริปต์ยาว ๆ ถ้าเล่า “เรื่องจริง” สั้น ๆ ด้วยหัวใจ แบรนด์เราก็มีพลังในแบบที่คนจำได้
ลองหยิบเรื่องเล็ก ๆ ในแต่ละวันมาเล่า สร้างตัวตนให้แบรนด์ทีละนิด
แล้ววันหนึ่งจะพบว่า ลูกค้าไม่ได้จดจำเพราะเราเก่งพูด แต่เพราะเรา “จริงใจและมีเรื่องเล่า”
แล้วพวกเราล่ะ ชอบเรื่องที่ นินจา การตลาดเอามาเล่าหรือป่าว ถ้าชอบ กดติดตามเราไว้สิ เพราะเราจะมีเรื่องราวทางธุรกิจมาเล่าให้พวกเรา ลับคมความรู้กันทุกวันแน่นอน

เคยไหม? วางแผนคอนเทนต์เต็มปฏิทิน โพสต์ถี่ทุกวัน แต่สุดท้าย Engagement เงียบกริบ ยอดขายก็ยังนิ่งเหมือนเดิม นี่แหละคือปัญห...
15/07/2025

เคยไหม? วางแผนคอนเทนต์เต็มปฏิทิน โพสต์ถี่ทุกวัน แต่สุดท้าย Engagement เงียบกริบ ยอดขายก็ยังนิ่งเหมือนเดิม
นี่แหละคือปัญหาของการทำ Content Calendar แบบ “เช็คชื่อ” โพสต์ไปวันๆ โดยไม่ได้วางเป้าหมายให้ชัดเจน
จริงๆ แล้ว Content Calendar ไม่ได้มีไว้แค่เตือนว่า “วันนี้ต้องโพสต์อะไร” แต่ควรเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ “ทุกโพสต์” มีเป้าหมาย และขับเคลื่อนผลลัพธ์ทางธุรกิจได้จริง
วันนี้มาดู 5 สเต็ปสร้าง Content Calendar ที่ไม่ได้แค่โพสต์เยอะ แต่โพสต์แล้วเกิดผลลัพธ์ ลองมาดูกันทีละข้อ ว่าแต่ละขั้นตอนควรโฟกัสอะไร
1. เริ่มต้นจาก “เป้าหมาย” ไม่ใช่ไอเดีย
อย่าเพิ่งเริ่มที่ “โพสต์อะไรดี?” ให้เริ่มที่ “อยากได้อะไรจากโพสต์นี้?” เช่น อยากเพิ่มยอดขาย, ดึงดูดลูกค้าใหม่ หรือสร้างการรับรู้แบรนด์
พอมีเป้าหมายแล้ว การคิดคอนเทนต์จะตรงจุด ไม่หลุดโฟกัส
สรุป: เป้าหมายชัด โอกาสเห็นผลก็ชัด
2. แบ่งประเภทคอนเทนต์ ให้ครบทุกเป้าหมาย
ลองจัดกลุ่มคอนเทนต์ เช่น
- ให้ความรู้
- สร้างแรงบันดาลใจ
- รีวิวหรือเคสจริง
- โปรโมชัน
- คำถามชวนคุย
การจัดกลุ่มแบบนี้ช่วยให้ Content Calendar ไม่ซ้ำซาก และตอบโจทย์เป้าหมายธุรกิจครบทุกด้าน
สรุป: โพสต์หลากหลาย ไม่จำเจ คนติดตามก็ไม่เบื่อ
3. วางจังหวะโพสต์ให้ “สัมพันธ์” กับพฤติกรรมลูกค้า
แต่ละช่วงเวลา คนมีความสนใจต่างกัน เช่น ต้นเดือนอาจเปิดใจรับอะไรใหม่ๆ, ปลายเดือนเน้นโปรโมชัน ลองสังเกตพฤติกรรมลูกค้า แล้วเลือกเวลาที่เหมาะกับคอนเทนต์แต่ละแบบ
สรุป: โพสต์ถูกที่ถูกเวลา โอกาสโดนใจลูกค้าก็สูงขึ้น
4. ใส่ “Call to Action” ทุกโพสต์ อย่าให้จบแค่เลื่อนผ่าน
ทุกโพสต์ควรมี CTA ที่ชัดเจน เช่น ชวนคอมเมนต์ แชร์ หรือกดติดตาม เพื่อกระตุ้นให้เกิด Engagement หรือการกระทำบางอย่าง
อย่าลืม! CTA ที่ดีจะพาคนอ่านเข้าใกล้เป้าหมายของเรา
สรุป: ใส่ CTA ทุกครั้ง โพสต์จะมีพลังมากขึ้น
5. เช็คผลลัพธ์ ปรับแผนในแต่ละเดือน
ดูสถิติว่าคอนเทนต์แบบไหนเวิร์ก แบบไหนแป้ก แล้วเอาข้อมูลนี้มาปรับตารางโพสต์ในเดือนถัดไป อย่าปล่อยให้ Content Calendar กลายเป็น “แพลนลอยน้ำ” ต้องอัปเดตตลอดเวลา
สรุป: กล้าที่จะปรับ แล้วโพสต์จะยิ่งทรงพลัง
Content Calendar ที่ดีไม่ใช่แค่ตารางโพสต์เยอะๆ แต่คือแผนที่ช่วยให้แต่ละโพสต์มีเป้าหมาย และขับเคลื่อนธุรกิจไปข้างหน้า
แล้วถ้าเราอยากเดินไปข้างหน้าแบบมีกลยุทธ์ อย่าลืมติดตามเรา นินจาการตลาด แล้วเราจะเอากลยุทธ์และเทคนิคดีๆ ที่จะพาธุรกิจพวกเราก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง มาฝากทุกวันครับ

14/07/2025

สายลับธุรกิจ สร้างเองได้ หาคำตอบได้ใน EP.3 Business Manager
#น้องเงาเล่าเรื่อง #นินจาการตลาด #การตลาด #ธุรกิจ #โปรโมชั่น

12/07/2025

ใช้ Business Manager อย่างไรให้สร้างยอดขายได้ ติดอาวุธให้ธุรกิจ พิชิดใจได้ถูกคน จำได้ทุกรายละเอียด ทั้งหมดนี้มันซ่อนคำว่า... หาคำตอบได้ใน EP.2 Business Manager
#น้องเงาเล่าเรื่อง #นินจาการตลาด #การตลาด #ธุรกิจ #โปรโมชั่น

ที่อยู่

40/41​ แขวงบางชัน เขตคลองสามวา
Bangkok
10520

เบอร์โทรศัพท์

+66925614622

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ นินจา การตลาดผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง นินจา การตลาด:

แชร์

เริ่มต้นด้วยกลยุทธ์ แล้วค่อยไปบุกด้วยการใช้สื่อ

จากใจ Admin . 4 ปีที่ได้มีโอกาสแสดงบทบาทของตัวเองเพิ่มขึ้นนอกจากแค่การเป็นผู้ประกอบการ โดยการเป็นอาจารย์สอนหนังสือ ให้กับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม หน่วยงานของรัฐที่ส่งเสริมและสนับสนุน SME (ผมอยากเรียกว่าสอนหนังสือนะ เพราะรู้สึกเป็นคำพูดที่มีความน่าภาคภูมิ) . ถึงแม้เนื้อหาส่วนใหญ่ที่สอน จะเป็นเนื้อหาในเชิงเทคนิคและการปฏิบัติ (Workshop/ Tip/ Technic) ที่เกี่ยวกับเครื่องมือในการสื่อสารการตลาดยุคดิจิทัล อย่าง Facebook Ad, LINE@, Google Adword หรือแม้แต่การสร้างเว็บไซต์ ที่สอนผู้ประกอบการด้วยกันเองที่ยังไม่รู้ในสิ่งที่เรารู้และมีประสบการณ์ ซึ่งเอาจริงๆ ถือว่าเป็นเนื้อหาที่ยากสำหรับหลายๆ คนที่เพิ่งเริ่มเข้าสู่โลกการค้าขายดิจิทัล . เชื่อได้เลยครับ หลายคนประทับใจกับเนื้อหาและวิธีการสอนที่มาจากประสบการณ์จริงที่เคยเจอจากตัวผมเอง ซึ่งหลายคนก็เอาวิธีการยิงโฆษณา และการใช้งานเชิงเทคนิคของสื่อสื่อดิจิทัลตัวต่างๆ ที่กล่าวไปแล้วข้างบน ไปใช้งานจนประสบความสำเร็จในกิจการอยู่หลายราย . ผมมีโอกาสได้ตระเวนสอนทั่วประเทศเลยครับ ลูกศิษย์ที่เป็น SME ถ้านับคน ณ วันนี้เอง ก็น่าจะหลักหลายพันคนแล้ว ทั้งระดับหลัก 10 ล้าน 100 ล้าน หรือแม้แต่กระทั่ง OTOP ถ้าพูดถึงวัยก็ตั้งแต่คนรุ่นใหม่ที่เข้าใจเทคโนโลยีเร็ว ไปจนถึงผู้สูงวัยแต่ใจเยาว์ ที่ยังไม่รู้จักแม้แต่การสร้างอีเมล์เพื่อใช้ Login สื่อออนไลน์ต่างๆ . สนุกครับ.. 555 แต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็นทีผมอยากจะเล่าให้ฟัง... . ประเด็นมันอยู่ตรงนี้ครับ . มีอยู่วันหนึ่ง คุณป้าคนนึงที่เป็นลูกศิษย์เดินเข้ามาบอกกับผมว่า “ขอบคุณที่มอบเทคนิคต่างๆ ในการใช้สื่อดิจิทัลให้สามารถซื้อได้ประหยัดต้นทุนขนาดนี้ แต่ป้าติดปัญหาอยู่เรื่องนึง ที่ไปต่อไม่ได้จริงๆ ก็คือ ป้าไม่รู้จะโพสอะไรดี ป้าคิดคอนเทนต์ หรือเนื้อหาไม่ออก หรือควรต้องใช้ภาพหรือไม่ใช่ภาพแบบไหนดี” . จะเห็นได้ชัดเลยครับว่า ใครๆ ก็พยายามหาทางเข้าถึงการใช้สื่อโฆษณากันมาก แต่สิ่งที่เรามองข้ามไปคือเรื่องของเนื้อหาที่ต้องไปตอบความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของเราให้ได้ แต่เราพยายามกันมากกับการใช้เงินในการโฆษณาสินค้าโดยคาดหวังกันว่าจะเกิดยอดขาย . ไม่ผิดอะไรนะครับ กับการโฆษณาขายสินค้า เป็นสิ่งที่ควรต้องทำครับ ผมยืนยัน เพียงแต่สิ่งที่มันเกิดขึ้นในปัจจุบันคือ ความเข้าใจในเรื่องกลไกของการทำการตลาดนั้น มีความเข้าใจผิดกันอยู่มาก . วันนี้เราไม่ได้ทำการตลาดครับ แต่เราทำการขาย . สังเกตุจากเนื้อหาที่แบรนด์หน้าใหม่ใช้โพสต์กันทุกวันนี้ โดยส่วนใหญ่ คือการโพสต์ขายของ ซึ่งนั่นทำให้คนที่ควรจะเป็นลูกค้าเราจริงๆ กลับไม่สนใจ ในครั้งแรกที่เห็น Ad ของเรา เพราะเป็นจังหวะที่เค้าไม่ได้ต้องการสินค้าตัวนั้นๆ นั่นก็ทำให้แบรนด์ของเราก็ไม่ถูกจดจำ การกระจายของเนื้อหาให้เกิดการแสดงผลได้มากๆ นั้น จึงจำเป็นต้องอาศัยเงินในการซื้อมันมาเป็นส่วนใหญ่ (Paid มาก Organic ต่ำ) . แล้วยิ่งไม่สามารถที่จะสร้างเนื้อหา Content ที่ทำให้ลูกค้าจดจำได้แล้ว ยิ่งไปกันใหญ่ . หยุดยิงโฆษณาเมื่อไหร่ ยอดขายก็หายไปเมื่อนั้น . วันนี้ SME หรือแบรนด์หน้าใหม่ในตลาด มีโอกาสใช้สื่อในราคาที่เท่าเทียมกันกับแบรนด์ใหญ่ๆ แล้ว แต่กลับไม่สามารถช่วงชิงเอาโอกาสนี้มาสร้างให้เกิดประโยชน์กับแบรนด์ได้ . เราดันไปเริ่มต้นจากการใช้เครื่องมือ สื่อ จนลืมไปว่า เนื้อหาที่เรานำเสนอนั้น เป็นที่ต้องการของกลุ่มเป้าหมายหรือเปล่า . หลายคนเก่งนะครับ สร้างสามารถหาเนื้อหา Content ดีๆ มากระตุ้นการจดจำได้ . แต่เมื่อถึงระยะหนึ่ง สิ่งที่ทำให้เราไปต่อไม่ได้ก็เกิดขึ้น คือ อาการ “ตันคอนเทนต์” คิดไม่ออก ไม่รู้จะโพสต์อะไรอีกต่อไปดี . ทางแก้ที่ผมอยากจะแนะนำให้ SME ไทย หันกลับมาทบทวนกันจริงๆ จังๆ กันคือ อยากให้เรียงลำดับความสำคัญของกระบวนการทางการตลาดกันเสียใหม่ . เพราะการใช่สื่อ เป็นระดับการทำงานปลายทางครับ ไม่ใช่ต้นทาง . ซึ่งแท้จริงๆ แล้วกลยุทธ์การตลาดต่างหากล่ะ คือแก่นกระพี้ของการสื่อสารการตลาดดิจิทัลที่แท้จริง . หากมีกลยุทธ์แล้ว เชื่อผมเถอะ เราจะสามารถสร้างเนื้อหาดีๆ ที่ตอบสนองให้กลุ่มลูกค้าเป้าหมายอยากติดตาม ชื่นชม และรักในความเป็นแบรนด์เราได้ตลอดต่อเนื่อง . ลองกลับไปทบทวนกันดูนะครับพี่น้อง SME ชาวไทย ว่าวันนี้เรากำลังเริ่มต้นในขั้นตอนที่ถูกต้องอยู่ หรือเรากำลังก้าวผิดจุดไป ลองย้อนกลับมาดูกันหน่อยครับ ว่าวันนี้ แก่นกระพี้ของสินค้าและบริการของเราคืออะไร . ทำไมโลกใบนี้ต้องการสินค้าหรือบริการของคุณ . ถ้ากลยุทธ์คุณดี เนื้อหาของคุณที่สื่อออกมาก็จะดีด้วย และการตอบสนองของกลุ่มเป้าหมายก็จะเป็นตัวสะท้อนความเป็นจริงนั้นออกมา