ลงทุน360

ลงทุน360 แอดไลน์เพจผมไว้ มีคลาสเรียนลงทุน
https://lin.ee/O33Bwwv
(1)

รีโพส !!FED ลดดอกเบี้ยแล้วหุ้นจะขึ้นได้ ต้องดูว่า “ลดเพราะอะไร” ถ้าลดในภาวะเศรษฐกิจยังไปได้ (soft landing) ตลาดมักเดินหน...
18/09/2025

รีโพส !!
FED ลดดอกเบี้ยแล้วหุ้นจะขึ้นได้ ต้องดูว่า “ลดเพราะอะไร” ถ้าลดในภาวะเศรษฐกิจยังไปได้ (soft landing) ตลาดมักเดินหน้าต่อ แต่ถ้าลดเพราะกลัวเศรษฐกิจชะลอแรงหรือเสี่ยงถดถอย (hard landing) หุ้นอาจไปไม่ไกล หรือตกแรงด้วย
ตัวอย่างช่วงวิกฤตโควิดช่วงต้นมีการลดดอกเบี้ยแต่ไม่ทันแล้วตลาดหุ้นดิ่งแรงจนได้ Unlimited QE มาช่วยไว้
ก่อนอื่นต้องเข้าใจ “ที่มา-ที่ไป” ของรอบลดดอกเบี้ย มักเริ่มจากการชะลอขึ้นดอก → หยุดขึ้น (pause) → ส่งสัญญาณคุมสภาพคล่องผ่านงบดุล (QT ช้าลง/หยุด) → แล้วค่อยเข้าสู่รอบลดดอกเบี้ย (rate cut cycle)
แล้วตลาดหุ้นตอบรับยังไงเมื่อลดดอกเบี้ย? ส่วนใหญ่บวกได้ แต่จะบวกเท่าไหร่ขึ้นกับบริบทเศรษฐกิจ รายได้บริษัท (EPS) และทิศทางบอนด์ยีลด์ในช่วงนั้นมากกว่าตัวเลขดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียว
รายละเอียดสำคัญที่ต้องรู้ทันการลดดอกเบี้ย
1. เหตุผลที่ลด
– ถ้าลดเพราะเงินเฟ้อชะลอและดีมานด์ยังโอเค (soft landing) สินทรัพย์เสี่ยงมักได้แรงหนุน เช่น ปี 2019 ที่เศรษฐกิจชะลอจากภาษีการค้าสหรัฐ-จีน และปีที่แล้ว 2024
– ถ้าลดเพราะเศรษฐกิจแผ่ว/ความเสี่ยงถดถอยสูง (hard landing) หุ้นอาจโดนกดดัน แม้ดอกจะต่ำลงก็ตาม เช่น ปีโควิด 2020 หรือปี 2008 subprime แล้วต้องใช้ QE มาช่วย
2. จังหวะและสปีด
– ลด “ค่อยเป็นค่อยไป” มักให้เวลาตลาดปรับตัวได้ดี
– ลด “เร่งด่วน” มักสะท้อนปัญหาเศรษฐกิจเชิงโครงสร้าง ควรจะระวังตัวมาก
3. ผลต่อกลุ่มอุตสาหกรรม (sector) โดยคร่าว
– REITs/Utilities ได้อานิสงส์จากยีลด์พันธบัตรลง ต้นทุนเงินถูกลง
– Small Caps ได้ประโยชน์เมื่อสินเชื่อผ่อนคลายและดีมานด์ในประเทศกระเตื้อง
– Tech/High Duration ได้ประโยชน์จากส่วนลดกระแสเงินสด (discount rate) แต่ยังต้องพึ่ง EPS จริง ไม่ใช่แรงดอกเบี้ยอย่างเดียว
4. ระยะสั้นรอบประกาศ
– ก่อน-หลังวันลดดอกเบี้ย มักเหวี่ยงแรงจากการ “เทียบกับความคาดหวัง” (expectation vs reality) กลยุทธ์ที่เวิร์กคือแบ่งไม้ซื้อแทนการ all-in
5. สิ่งที่ต้องจับตาคู่กัน
– แนวโน้ม EPS/Margin ของบริษัทจดทะเบียน
– ดัชนีแรงงาน/การบริโภค วัดแรงเศรษฐกิจจริง
– เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (yield curve) และสภาพคล่องระบบ
สรุป
Fed ลดดอกไม่ใช่การันตีของขาขึ้นตลาดหุ้น ทุกอย่างขึ้นกับบริบทเศรษฐกิจและกำไรบริษัท ถ้าเป็นรอบลดเพื่อค้ำการขยายตัว โอกาสรีเรทมีสูงกว่า แต่ถ้าลดเพราะเศรษฐกิจแผ่ว ควรถือเป็นเชิงรับมากขึ้น

วิธีเขียนแชทสั่ง AI หรือการ Prompt สำหรับการลงทุน เป็นแนวทางจาก OPENAI Academy เจ้าของ chatgpt สอนเองเลย มี 3 ขั้นตอนสำห...
15/09/2025

วิธีเขียนแชทสั่ง AI หรือการ Prompt สำหรับการลงทุน เป็นแนวทางจาก OPENAI Academy เจ้าของ chatgpt สอนเองเลย มี 3 ขั้นตอนสำหรับการเขียน prompt เพื่อสั่งงาน AI อย่างมีประสิทธิภาพ:
1. เริ่มต้นด้วยเป้าหมายที่กว้าง ๆ
2. กำหนดขั้นตอนที่เฉพาะเจาะจงเป็นข้อ ๆ
3. เพิ่มรายละเอียดเพิ่มเติมที่ AI ต้องรู้

ฟังเวอร์ชั่นเต็มมีลิ้งในคอมเม้นครับ

เวลานี้ ถ้าใครซื้อที่ชาร์จแบตมือถือแบบชาร์จเร็ว มีโอกาสสูงมากที่ข้างในจะใช้ “ชิป GaN” หรือ Gallium Nitrideซึ่งผู้นำระดับ...
12/09/2025

เวลานี้ ถ้าใครซื้อที่ชาร์จแบตมือถือแบบชาร์จเร็ว มีโอกาสสูงมากที่ข้างในจะใช้ “ชิป GaN” หรือ Gallium Nitride
ซึ่งผู้นำระดับโลกด้านนี้ ก็คือบริษัทจีนที่ชื่อว่า Innoscience พึ่ง IPO เข้าตลาดหุ้นฮ่องกง รหัส 2577
แล้ว Innoscience มีดีอะไร ถึงได้ขึ้นมาเป็นผู้นำในตลาดที่กำลังโตเร็วแบบนี้ ?
Innoscience ก่อตั้งขึ้นที่จีน และเพิ่งเข้าตลาดหุ้นฮ่องกงปลายปี 2024
ผู้ก่อตั้งคือ ดร. Weiwei Luo นักวิทยาศาสตร์ที่ถือหุ้นใหญ่สุดประมาณ 24.6%
และที่น่าสนใจคือ ยังมี STMicroelectronics ยักษ์ใหญ่เซมิคอนระดับโลก มาลงทุนเป็น Cornerstone Investor ด้วย
พูดง่าย ๆ คือ ไม่ได้มีแต่เงินทุนจีน แต่ยังได้การรับรองจากผู้เล่นต่างชาติด้วย
แล้ว Innoscience ทำอะไร ?
บริษัทนี้ผลิต GaN Power Semiconductor ซึ่งทำหน้าที่เป็น “สวิตช์ไฟขนาดจิ๋ว”
ข้อดีของ GaN คือ เล็กกว่า เร็วกว่า และเสียพลังงานน้อยกว่า ซิลิคอนปกติ
GaN เลยถูกใช้ตั้งแต่
- ที่ชาร์จเร็วมือถือ โน้ตบุ๊ก
- Power Supply ของ AI Server
- ระบบโซลาร์ และกักเก็บพลังงาน
- ไปจนถึงอุปกรณ์ยานยนต์ไฟฟ้า เช่น On-board Charger, DC-DC Converter หรือแม้แต่ LiDAR
พูดง่าย ๆ คือ ทุกที่ที่อยากให้ไฟฟ้าชาร์จเร็วขึ้น ส่งไฟมากขึ้น ร้อนน้อยลง ก็มักจะหนีไม่พ้น GaN
แล้วทำไม Innoscience ถึงขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 ของโลก ?
1. เป็นรายแรกที่ผลิตบนแผ่นเวเฟอร์ 8 นิ้ว
ปกติคู่แข่งใช้ 6 นิ้ว ทำให้ได้ชิปต่อแผ่นน้อยกว่า
แต่ 8 นิ้วให้ผลผลิตมากกว่า 80% และลดต้นทุน ~30%
2. มีกำลังผลิตใหญ่สุดในโลก
โรงงาน 2 แห่งที่ซูโจวและจูไห่ รวมกันปิดปี 2024 ผลิตได้ 13,000 แผ่น/เดือน
3. Yield สูงเกิน 95%
หมายถึงของเสียแทบไม่มี ต้นทุนต่ำ คุณภาพสม่ำเสมอ ลูกค้าเชื่อถือได้
4. ครบวงจรแบบ IDM
ตั้งแต่ดีไซน์ → ผลิตเวเฟอร์ → แพ็กเกจ → เทสต์ ทำเองทั้งหมด
ทำให้ควบคุมกำลังการผลิตได้ ไม่ต้องไปพึ่งโรงงานอื่นที่ต้องแย่งกำลังการผลิตกับเจ้าอื่น
5. ผลิตภัณฑ์ครบทุกแรงดันไฟ (15V–1,200V)
เจาะได้ทั้งตลาดเล็กอย่างมือถือ จนถึงตลาดใหญ่ EV/อุตสาหกรรม
ผลลัพธ์คือ ปัจจุบัน Innoscience ครองส่วนแบ่งตลาด GaN Power เกิน 1/3 ของโลก
มีลูกค้าอย่าง Oppo, Vivo, Xiaomi, Anker, UGreen รวมถึง RoboSense และ Hesai ในฝั่งยานยนต์ LiDAR
ปี 2024 บริษัททำรายได้ 828.5 ล้านหยวน โต ~40% YoY
แม้ยังขาดทุน แต่ขาดทุนลดลงเร็วมาก
Nvidia กำลังเริ่มใช้ชิพ GaN โดยมี Innoscience เป็นพาร์ทเนอร์หลัก เพราะแผนระยะยาวต้องการส่งกำลังไฟมากขึ้นเข้ามาใช้ใน data center โดยตรงเพื่อเร่งความสามารถชิพ ซึ่ง GaN จะถูกนำมาใช้เป็นชิพของ Nvidia บางส่วนทดแทน ซิลิคอนแบบเดิมที่ติดข้อจำกัดความร้อน
พอถึงตรงนี้ จะเห็นว่า แม้ Innoscience ยังไม่มีกำไร
แต่ด้วยโมเดล “ลงทุนโรงงานใหญ่ + Scale + Yield สูง + ต้นทุนลดเร็ว”
ทำให้บริษัทมีโอกาสกลายเป็น “โรงงาน GaN ของโลก”
ในวันที่ทุกอุตสาหกรรมต้องการประหยัดไฟ ประหยัดพื้นที่ และใช้พลังงานคุ้มค่ามากขึ้น
ซึ่งคำถามที่น่าสนใจก็คือ..
อีก 5 ปีข้างหน้า เวลาที่เราชาร์จมือถือ ใช้ EV หรือเปิด AI Server
มีโอกาสสูงแค่ไหนที่ทุกอย่างจะขับเคลื่อนด้วยชิป GaN จาก Innoscience ?

ในอดีตโลกเคยใช้ระบบ Bretton Woods ซึ่งสหรัฐเป็นคนคุมเกม เพราะดอลลาร์ถูกผูกไว้กับทองคำที่ราคา 1 ออนซ์ = 35 ดอลลาร์ และประ...
10/09/2025

ในอดีตโลกเคยใช้ระบบ Bretton Woods ซึ่งสหรัฐเป็นคนคุมเกม เพราะดอลลาร์ถูกผูกไว้กับทองคำที่ราคา 1 ออนซ์ = 35 ดอลลาร์ และประเทศอื่นก็เอาค่าเงินตัวเองไปผูกกับดอลลาร์อีกที ทำให้การค้าระหว่างประเทศค่อนข้างนิ่ง
แต่ปัญหาใหญ่เกิดขึ้นในปี 1971 เมื่อสหรัฐยกเลิกการผูกดอลลาร์กับทองคำ เพราะทองที่มีอยู่จริงไม่พอค้ำกับดอลลาร์ที่พิมพ์ออกมาแล้ว นี่คือจุดสิ้นสุดของ Bretton Woods → ดอลลาร์ และสกุลเงินหลักอื่น ๆ กลายเป็น Fiat Currency หรือเงินที่ไม่มีทองมาค้ำ
ผลคือรัฐบาลสหรัฐสามารถพิมพ์เงินได้ไม่จำกัดเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ตอนนั้นเป็นปีเริ่มลดแลกแจกแถมไปทั่ว แต่สิ่งที่ตามมาคือ เงินเฟ้อพุ่งสูง โดยเฉพาะในยุค 1970s ที่เจอทั้งสงครามเวียดนามและวิกฤตราคาน้ำมัน ทำให้ค่าครองชีพถีบตัวแรง
ในภาวะแบบนี้ นักลงทุนและประชาชนหันหาที่หลบภัย → ทองคำ กลายเป็นสินทรัพย์ป้องกันเงินเฟ้อ (Inflation Hedge) ราคาจึงวิ่งขึ้นอย่างมหาศาล จาก 35 ดอลลาร์/ออนซ์ (ปี 1944) พุ่งไปถึง 670 ดอลลาร์/ออนซ์ (ปี 1980) หรือกว่า 19 เท่า ในเวลาไม่ถึง 10 ปี
ถัดมา เหตุผลคล้าย ๆ กันก็เกิดขึ้นอีกในช่วง วิกฤติการเงิน 2008 และต่อเนื่องถึงปัจจุบัน
เมื่อสหรัฐและยุโรปใช้นโยบาย QE (Quantitative Easing) หรือการพิมพ์เงินขนาดใหญ่เพื่อกอบกู้ระบบการเงิน → ตลาดกังวลเงินเฟ้อและความมั่นคงของค่าเงิน นักลงทุนทั่วโลกจึงกลับไปหาทองอีกครั้ง ราคาทองทะยานจาก ประมาณ 800 ดอลลาร์/ออนซ์ (2008) ไปแตะ กว่า 3,650 ดอลลาร์/ออนซ์ (ปัจจุบัน) และยังจะขึ้นต่อไปเพราะทิศทางทั่วโลกตอนนี้คือการกู้เยอะๆมาประคองเศรษฐกิจ

เวลาที่ราคาทองคำโลกวิ่งขึ้นใครได้ประโยชน์มากที่สุด ?หนึ่งในนั้นคือ บริษัทเหมืองทองเพราะทันทีที่ราคาทองปรับขึ้น แต่ต้นทุน...
08/09/2025

เวลาที่ราคาทองคำโลกวิ่งขึ้น
ใครได้ประโยชน์มากที่สุด ?
หนึ่งในนั้นคือ บริษัทเหมืองทอง
เพราะทันทีที่ราคาทองปรับขึ้น แต่ต้นทุนการผลิตยังใกล้เคียงเดิม
ส่วนต่างกำไรจะพุ่งทันที เหมือน “เสือนอนกิน” ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มก็ได้เงิน
ธุรกิจเหมืองทองมี 4 ขั้นตอนใหญ่ ๆ
สำรวจหาทอง → พัฒนาเหมือง → ผลิต
รายได้ขึ้นตรงกับ ราคาทองในตลาดโลก
ในขณะที่ต้นทุนหลักคือ ค่าแรง น้ำมัน เครื่องจักร ถ้ายังทำเหมืองที่เดิมส่วนใหญ่ค่าใช้จ่ายจะคงที่
นักลงทุนดูตัวเลขที่เรียกว่า AISC (All-in Sustaining Cost)
เช่น ถ้า AISC อยู่ที่ 1,200 ดอลลาร์/ออนซ์ แต่ราคาทองตลาดโลกขึ้นไป 2,500 ดอลลาร์
ส่วนต่างกว่า 1,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จะกลายเป็นกำไรทันที และยิ่งราคาทองขึ้น กำไรก็จะขึ้น
ผู้เล่นรายใหญ่ที่เป็นเหมือน “เจ้าของเหมืองเสือนอนกิน” ได้แก่
Newmont รหัสหุ้น NEM
Barrick Gold รหัสหุ้น B
Agnico Eagle Mines รหัสหุ้น AEM
AngloGold Ashanti รหัสหุ้น AU
Kinross Gold รหัสหุ้น KGC
ธุรกิจนี้คือการเล่นทองแบบมีคันโยก (Leverage)
ทองขึ้น 10% หุ้นเหมืองอาจวิ่งขึ้น 20–30%
เพราะรายได้เพิ่ม แต่ต้นทุนแทบไม่ขยับ
ในยุคที่เศรษฐกิจผันผวน เงินเฟ้อสูง
ทองคำกลายเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย
และ เหมืองทองคำก็กลายเป็นเสือนอนกิน ที่สร้างกำไรได้อัตโนมัติ

06/09/2025

LiDAR จีนครองตลาด 80-90% ไปแล้ว มีสามบริษัทที่ผูกขาด คือ
1. HESAI (รหัสหุ้น HSAI)
2. Robosense (รหัสหุ้น 2498 ตลาดฮ่องกง)
3. Huawei (ไม่มีหุ้น)

Zhang Junjie จากเด็กฝึกงานร้านชา สู่เจ้าของแบรนด์ชานม CHAGEE ที่เข้าตลาดหุ้น Nasdaqหลายคนน่าจะเคยเห็นร้าน “霸王茶姬” หรือ CH...
05/09/2025

Zhang Junjie จากเด็กฝึกงานร้านชา สู่เจ้าของแบรนด์ชานม CHAGEE ที่เข้าตลาดหุ้น Nasdaq
หลายคนน่าจะเคยเห็นร้าน “霸王茶姬” หรือ CHAGEE ที่ขยายสาขามาเปิดในไทยกันแล้ว
แต่รู้หรือไม่ว่า แบรนด์ชานมเจ้านี้ เพิ่งก่อตั้งเมื่อปี 2017 ที่เมืองคุนหมิง มณฑลยูนนานเท่านั้นเอง
ภายในเวลาเพียง 8 ปี ก็กลายเป็นเชนชานมระดับโลกที่มีสาขากว่า 4,000 แห่ง และเพิ่งเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐไปสด ๆ ร้อน ๆ
แล้ว CHAGEE โตมาได้อย่างไร ?
Zhang Junjie ผู้ก่อตั้ง เขาเริ่มจากการเป็นเด็กฝึกงานในร้านชา ก่อนจะไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ทำธุรกิจที่สตาร์ตอัปแห่งหนึ่งในเซี่ยงไฮ้
แรงบันดาลใจจริง ๆ มาจากตอนเห็นแบรนด์ Hey Tea กำลังมาแรง เขาจึงอยากสร้างแบรนด์ชาที่ผสมผสาน “วัฒนธรรมชาโบราณของจีน” เข้ากับชานมยุคใหม่
CHAGEE จึงถูกออกแบบมาให้แตกต่าง
- ชื่อเมนูส่วนใหญ่มาจากบทกวีจีน
- โลโก้ได้แรงบันดาลใจจากงิ้วปักกิ่ง
- เน้นภาพลักษณ์หรูหรา คล้ายแบรนด์แฟชั่น
จุดเปลี่ยนคือการใช้ “ระบบแฟรนไชส์” ตั้งแต่เริ่มต้น ทำให้ขยายสาขาได้รวดเร็ว
เพียง 2 ปีหลังเปิดตัว ก็เริ่มออกนอกประเทศ โดยเปิดสาขาแรกที่มาเลเซียและสิงคโปร์
หลังจากนั้นการเติบโตยิ่งเร่งตัว
* 2021 ย้ายสำนักงานใหญ่จากคุนหมิงไปเฉิงตู เพื่อจัดการซัพพลายเชนได้ดีขึ้น
* 2022 บุกไทย เปิดสาขาแรกในกรุงเทพฯ
* 2024 ทำ Pop-up Store ที่ปารีสช่วงโอลิมปิก และตั้งสำนักงานใหญ่ต่างประเทศที่เซี่ยงไฮ้ พร้อมมีสาขาเกิน 4,000 แห่งทั่วโลก
เรื่องรายได้ก็เติบโตแบบก้าวกระโดด
- ปี 2022 รายได้ 500 ล้านหยวน
- ปี 2024 รายได้พุ่งเป็น 1.2 หมื่นล้านหยวน โตเกิน 20 เท่าใน 2 ปี จากการเปิดสาขาใหม่จำนวนมาก
และล่าสุด วันที่ 17 เมษายน 2025 CHAGEE สามารถระดมทุนได้ 411 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ผ่านการ IPO ที่ Nasdaq
กลายเป็นแบรนด์ชานมจีนรายใหญ่ที่ได้โลดแล่นในตลาดทุนสหรัฐ
ทั้งหมดนี้ก็สะท้อนให้เห็นว่า CHAGEE กำลังเดินเกม “Globalization” อย่างเต็มตัว
จากร้านชาท้องถิ่นเล็ก ๆ ในยูนนาน สู่การเป็นเชนชานมระดับโลกที่เข้าตลาดหุ้นสหรัฐภายใน 8 ปี ถือว่าโตเร็วที่สุดรายหนึ่งในประวัติศาสตร์ธุรกิจเครื่องดื่ม

จะเห็นว่าช่วงนี้มีคนสนใจมากว่า “Fed ลดดอกเบี้ยเมื่อไหร่ และ หุ้นจะขึ้นไหม?” คำตอบสั้น ๆ คือ ไม่เสมอไป สิ่งชี้ขาดไม่ใช่ “...
03/09/2025

จะเห็นว่าช่วงนี้มีคนสนใจมากว่า “Fed ลดดอกเบี้ยเมื่อไหร่ และ หุ้นจะขึ้นไหม?”
คำตอบสั้น ๆ คือ ไม่เสมอไป สิ่งชี้ขาดไม่ใช่ “ลดเท่าไร” แต่คือ “ลดเพราะอะไร” ถ้าลดในภาวะเศรษฐกิจยังไปได้ (soft landing) ตลาดมักเดินหน้าต่อ แต่ถ้าลดเพราะกลัวเศรษฐกิจชะลอแรงหรือเสี่ยงถดถอย (hard landing) หุ้นอาจไปไม่ไกล หรือตกแรงด้วย
ก่อนอื่นต้องเข้าใจ “ที่มา-ที่ไป” ของรอบลดดอกเบี้ย มักเริ่มจากการชะลอขึ้นดอก → หยุดขึ้น (pause) → ส่งสัญญาณคุมสภาพคล่องผ่านงบดุล (QT ช้าลง/หยุด) → แล้วค่อยเข้าสู่รอบลดดอกเบี้ย (rate cut cycle)
แล้วตลาดหุ้นตอบรับยังไงเมื่อลดดอกเบี้ย? ส่วนใหญ่บวกได้ แต่จะบวกเท่าไหร่ขึ้นกับบริบทเศรษฐกิจ รายได้บริษัท (EPS) และทิศทางบอนด์ยีลด์ในช่วงนั้นมากกว่าตัวเลขดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียว
รายละเอียดสำคัญที่ต้องรู้ทันการลดดอกเบี้ย
1. เหตุผลที่ลด
– ถ้าลดเพราะเงินเฟ้อชะลอและดีมานด์ยังโอเค (soft landing) สินทรัพย์เสี่ยงมักได้แรงหนุน
– ถ้าลดเพราะเศรษฐกิจแผ่ว/ความเสี่ยงถดถอยสูง (hard landing) หุ้นอาจโดนกดดัน แม้ดอกจะต่ำลงก็ตาม
2. จังหวะและสปีด
– ลด “ค่อยเป็นค่อยไป” มักให้เวลาตลาดปรับตัวได้ดี
– ลด “เร่งด่วน” มักสะท้อนปัญหาเศรษฐกิจเชิงโครงสร้าง ควรจะระวังตัวมาก
3. ผลต่อกลุ่มอุตสาหกรรม (sector) โดยคร่าว
– REITs/Utilities ได้อานิสงส์จากยีลด์พันธบัตรลง ต้นทุนเงินถูกลง
– Small Caps ได้ประโยชน์เมื่อสินเชื่อผ่อนคลายและดีมานด์ในประเทศกระเตื้อง
– Tech/High Duration ได้ประโยชน์จากส่วนลดกระแสเงินสด (discount rate) แต่ยังต้องพึ่ง EPS จริง ไม่ใช่แรงดอกเบี้ยอย่างเดียว
4. ระยะสั้นรอบประกาศ
– ก่อน-หลังวันลดดอกเบี้ย มักเหวี่ยงแรงจากการ “เทียบกับความคาดหวัง” (expectation vs reality) กลยุทธ์ที่เวิร์กคือแบ่งไม้ซื้อแทนการ all-in
5. สิ่งที่ต้องจับตาคู่กัน
– แนวโน้ม EPS/Margin ของบริษัทจดทะเบียน
– ดัชนีแรงงาน/การบริโภค วัดแรงเศรษฐกิจจริง
– เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (yield curve) และสภาพคล่องระบบ
สรุป
Fed ลดดอกไม่ใช่การันตีของขาขึ้นตลาดหุ้น ทุกอย่างขึ้นกับบริบทเศรษฐกิจและกำไรบริษัท ถ้าเป็นรอบลดเพื่อค้ำการขยายตัว โอกาสรีเรทมีสูงกว่า แต่ถ้าลดเพราะเศรษฐกิจแผ่ว ควรถือเป็นเชิงรับมากขึ้น

ชายผู้ถูกขนานนามว่าเป็น “พ่อมดแห่งหุ้นเติบโต”- นักลงทุนที่ผสมผสาน Fundamental + Technical ได้อย่างลงตัว- ผู้ก่อตั้งหนังส...
01/09/2025

ชายผู้ถูกขนานนามว่าเป็น “พ่อมดแห่งหุ้นเติบโต”
- นักลงทุนที่ผสมผสาน Fundamental + Technical ได้อย่างลงตัว
- ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์การเงินชื่อดัง Investor’s Business Daily
- ผู้สร้างกลยุทธ์ CANSLIM ที่ถูกใช้มาจนถึงปัจจุบัน
โอนีล เกิดในปี 1933 ที่สหรัฐอเมริกา
หลังเรียนจบจาก Southern Methodist University เขาเริ่มต้นอาชีพในฐานะโบรกเกอร์ และเพียงไม่กี่ปี ก็สร้างชื่อเสียงจากการค้นหาหุ้นที่เติบโตแบบก้าวกระโดด
จุดเริ่มต้นของตำนาน
ในยุค 1960s เขาใช้เวลาศึกษาประวัติหุ้นที่เคยพุ่งแรงแบบ “10-bagger” เช่น IBM, Home Depot, Apple แล้วหาว่ามีปัจจัยอะไรที่เหมือนกัน
จนกลั่นกรองออกมาเป็นระบบที่ชื่อว่า CANSLIM
CANSLIM คืออะไร?
ชื่อ CANSLIM มาจากตัวย่อ 7 ปัจจัยที่หุ้นผู้นำมักจะมีร่วมกัน
C = Current Earnings กำไรไตรมาสล่าสุดโตแรง
A = Annual Earnings กำไรสุทธิรายปีโตต่อเนื่อง
N = New ของใหม่ เช่น ผลิตภัณฑ์ใหม่หรือจุดเปลี่ยนในอุตสาหกรรม
S = Supply & Demand หุ้นที่มีแรงซื้อชัดเจน
L = Leader เลือกหุ้นผู้นำ ไม่ใช่หุ้นรั้งท้าย
I = Institutional Sponsorship มีสถาบันเข้ามาสะสม
M = Market Direction ตลาดต้องเป็นขาขึ้น
ความต่างของโอนีล
เขาไม่ได้ลงทุนแบบเน้นคุณค่าอย่างวอร์เรน บัฟเฟตต์
แต่เป็นสาย Growth + Momentum มองหาหุ้นที่จะ “ระเบิดการเติบโต”
สิ่งที่เขาเน้นย้ำคือ Relative Strength (RS) เพราะเชื่อว่าหุ้นที่แข็งจริง จะขึ้นนำตลาดก่อนข่าวดีเสมอ
ผลงาน
โอ’นีลเขียนหนังสือขายดี How to Make Money in Stocks ที่กลายเป็นคัมภีร์การลงทุนแนว Growth Stock และต่อมาได้ก่อตั้ง Investor’s Business Daily (IBD) เพื่อเผยแพร่แนวคิด CANSLIM ให้แพร่หลาย
ปัจจุบัน แม้เวลาผ่านมากว่า 60 ปี แต่นักลงทุนทั่วโลกยังใช้ CANSLIM เป็นเครื่องมือในการคัดหุ้นผู้นำ เพราะมันไม่ใช่สูตรตายตัว แต่เป็น “กรอบความคิด” ในการหาหุ้นที่พร้อมจะโต
สรุปแล้ว เรื่องราวของ William O’Neil สอนให้เราเข้าใจว่า
การลงทุนที่ดีไม่ใช่แค่การมองพื้นฐาน หรือดูกราฟเพียงอย่างเดียว
แต่คือการนำทั้งสองอย่างมาผสมผสาน จนค้นพบหุ้นที่ทั้ง แข็งแกร่ง และ กำลังเติบโต
และนี่คือเหตุผลที่ CANSLIM กลายเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ยืนยาวที่สุดในโลกการลงทุน

ในไตรมาส 2 ปี 2025 ที่ผ่านมา จีน ไม่มีการนำเข้า Nvidia H20 เลย หลังจากข้อจำกัดส่งออกของสหรัฐบังคับให้ขายได้แต่รุ่น “ลดสเ...
31/08/2025

ในไตรมาส 2 ปี 2025 ที่ผ่านมา จีน ไม่มีการนำเข้า Nvidia H20 เลย หลังจากข้อจำกัดส่งออกของสหรัฐบังคับให้ขายได้แต่รุ่น “ลดสเปก” และยังมีเงื่อนไขต้องแบ่งรายได้ 15% ให้รัฐบาลสหรัฐ ทำให้จีนหันไปเร่งลงทุนซัพพลายเชนภายในประเทศเต็มที่ ผลักดันบริษัทอย่าง Huawei, Cambricon รวมถึง Alibaba Cloud และ Baidu Cloud ใช้ ชิปจีนเอง แทบทั้งหมดในการรันโมเดล AI ใหม่ๆ
แม้ไม่มี H20 เข้ามา แต่รายได้จากธุรกิจ AI ของจีนกลับยังโตต่อเนื่อง
- Huawei รายงานยอดขายชิป Ascend 910B/910C พุ่งขึ้น โดยเฉพาะในภาครัฐและสถาบันการเงิน
- Alibaba Cloud เปิดบริการ Model-as-a-Service รันบนชิปจีนแทน Nvidia
- Baidu AI Cloud ยังคงขยายฐานลูกค้าปกติ
โดยรวมแล้วการเติบโตของ Cloud จีนยังอยู่ในระดับ “ปกติ” ไม่ได้สะดุดจากการขาดชิปสหรัฐ
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังมีอยู่มาก — ชิปจีนรองรับ AI inference ได้ดี แต่ยังไม่แรงพอสำหรับ AI training ขนาดใหญ่ เช่นกรณี DeepSeek R2 ที่มีรายงานว่าล่าช้าเพราะต้องเทรนบนชิป Huawei แทน Nvidia
สรุป
จีนกำลัง “ปลดแอกตัวเอง” จากการพึ่งพาชิปตะวันตก เพื่อสร้างความมั่นคงทางเทคโนโลยี แม้จะต้องแลกด้วยความเสี่ยงที่ AI ระยะสั้นอาจก้าวช้าลง แต่หาก “Made in China Chips” ไล่ทันภายในไม่กี่ปีข้างหน้า จีนอาจกลายเป็นอีกขั้วอำนาจ AI ที่ท้าทายสหรัฐได้จริง

29/08/2025

หุ่นยนต์ในโรงงานรถEV เริ่มใช้จริงแล้ว
พัฒนาให้เคลื่อนไหวคล่อง สงสัยจะมาเต็มโรงงานใน 2-3 ปีข้างหน้า

ที่อยู่

Bangkok

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ลงทุน360ผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์