
17/08/2025
“ในฐานะที่เราเคยเรียนหมอจุฬารุ่น44 มาด้วยกัน ภาพในความทรงจำคือจุ๊กเป็นเพื่อนที่ไม่ใช่แค่เรียนเก่ง แต่คือเพื่อนที่นิสัยดีมาก มีความเป็นผู้นำ มีความคิดในการพัฒนาสังคมมาตั้งแต่เป็นนักเรียน เป็นเพื่อน เป็นติวเตอร์ให้เพื่อนที่ยังเรียนไม่เข้าใจเสมอๆ เราจำได้ดี เราจึงไม่เคยมีข้อกังขาใดๆในตัวเพื่อนคนนี้เลย เราพร้อมเป็นส่วนหนึ่งถ้ามีอะไรพอจะช่วยได้นะครับ ขอให้จุ๊กแคล้วคลาดและปลอดภัยครับ”
นี่เป็นความเห็นหนึ่งท่ามกลางคอมเมนต์จำนวนมากที่เข้าไปให้กำลังใจคุณหมอสุภัทรตอนนี้
🌻
ถ้าเรายังไม่ลืมความเจ็บปวดคับแค้นจากสถานการณ์โควิดในครั้งแรกที่เข้ามาเมืองไทย เราคงไม่ลืมว่าหมอสุภัทรคือบุคลากรทางการแพทย์คนแรกที่ออกมาเตือนภัยทุกคนว่ามันร้ายแรงขนาดไหน ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง ในขณะที่กระทรวงสาธารณสุขยังนิ่ง
โควิดตอนนี้ยังไม่หมดฤทธิ์ เมื่อวาน 16 สิงหาคม 2568 โพสต์บนเฟซบุ๊กส่วนตัวของ นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “หมอจุ๊ก“ประธานชมรมแพทย์ชนบท และผู้อำนวยการโรงพยาบาลสะบ้าย้อย จ.สงขลา บอกว่าคุณหมอกำลังจะถูกสั่งให้ออกจากราชการ เนื่องจากถูกสอบสวนวินัยร้ายแรงในข้อหาละเมิดระเบียบการจัดซื้อชุดตรวจ ATK (Antigen Test Kit) สมัยโควิด-19 เมื่อปี 2564
จากคำสั่งของ นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ที่ต้องการ”จัดการ“เรื่องนี้ให้เสร็จสิ้นก่อนเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 กันยายน 2568 ซึ่งก็เหลือเวลาประมาณ 45 วัน
ทุกคนรู้ คุณหมอสุภัทรเป็นคู่กัด สธ.มาตั้งแต่ตอนโควิดระบาดครั้งแรก หรือก่อนนั้น
นพ.โอภาส ได้รับการแต่งตั้งเป็นปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2565 ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยการเสนอชื่อจากนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย
หากมีการลงนาม“ไล่ออก”นี้จริง
ตามที่คุณหมอสุภัทรโพสต์ในเฟซบุ๊ค
ก็อาจจะเหมือนการเซ็นทิ้งทวน
ทว่าจะเป็นหอกทวนหรือระเบิดเวลา
ยังเป็นประเด็นที่ต้องติดตาม
แต่กระแสเซฟหมอสุภัทรเริ่มจุดติด
แทบทุกสื่อตอนนี้กำลังเฝ้าจับตา
🌻
สาเหตุหลักของคำสั่งให้ออกจากราชการ มาจากการสอบสวนวินัยร้ายแรงกรณีจัดซื้อ ATK ในช่วงกรกฎาคม-สิงหาคม 2564 สมัยที่ นพ.สุภัทร เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลจะนะ (ก่อนถูกย้าย)
ในวิดีโอสัมภาษณ์ นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ จากเพจ Facebook ของ The Reporters เผยแพร่เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2566 เป็นการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ของพิธีกรรายการ เพื่อชี้แจงข้อกล่าวหาการถูกตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรงจากกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ในประเด็นหลัก 2 เรื่อง คือ การจัดซื้อชุดตรวจ ATK (Antigen Test Kit) ในช่วงโควิด-19 และการแก้ไขสัญญาก่อสร้างอาคาร 8 ชั้นของโรงพยาบาลจะนะ ซึ่งเชื่อมโยงกับความขัดแย้งในอำเภอจะนะ จ.สงขลา ซึ่งในคลิป นพ.สุภัทร ยังยืนยันว่าเป็นการกลั่นแกล้งทางการเมืองและไม่ได้รับความเป็นธรรม
นพ.สุภัทร ถูกย้ายจากตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลจะนะไปโรงพยาบาลสะบ้าย้อยเมื่อต้นปี 2566 ซึ่งเขามองว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการกลั่นแกล้ง
หลังจากนั้น สธ. ส่งทีมตรวจสอบภายในเข้ามาขุดค้นความผิดย้อนหลัง และตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรงในเดือนพฤษภาคม 2566 โดยมี นพ.สุรโชค ต่างวิวัฒน์ เป็นประธานกรรมการ
เขาระบุว่าถูกสอบวินัยมากกว่า 10 ครั้งในช่วง 3 ปีก่อนหน้า (2564-2566) ส่วนใหญ่จบด้วยคำเตือนหรือทัณฑ์บน แต่ครั้งนี้รุนแรงถึงขั้นอาจให้ออกจากราชการ เพราะมี “ธง” จากผู้บริหารระดับสูง (เชื่อมโยงกับ นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัด สธ. ในขณะนั้น)
นพ.สุภัทร ชี้ว่าการสอบนี้เลือกปฏิบัติ เพราะโรงพยาบาลอื่นที่จัดซื้อ ATK ในลักษณะเดียวกันแต่ไม่ถูกสอบ และเขาเชื่อว่ามาจากจุดยืนวิพากษ์วิจารณ์นโยบาย สธ. เช่น นโยบายกัญชาเสรีและโครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะ
🌻
ในช่วงกรกฎาคม-สิงหาคม 2564 ซึ่งในประเทศไทยเป็นช่วงโควิดระบาดหนัก มีภาพข่าวคนป่วยคนตายจำนวนมาก นพ.สุภัทร ในฐานะผู้อำนวยการโรงพยาบาลจะนะ ได้จัดซื้อ ATK 5 ครั้ง (รวมมูลค่าไม่เกิน 2 ล้านบาทต่อครั้ง) เพื่อใช้ในโครงการ “แพทย์ชนบทบุกกรุง” ซึ่งเป็นการอาสาช่วยตรวจคัดกรองโควิดในกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยตรวจประชาชน 192,905 คน พบผู้ติดเชื้อ 22,451 คน และให้การรักษาทันที
กรรมการสอบมองว่านี่เป็นการ “แบ่งซื้อแบ่งจ้าง” เพื่อหลีกเลี่ยงระเบียบจัดซื้อจัดจ้างของกระทรวงการคลัง (ที่กำหนดให้ต้องประกวดราคาหากเกินวงเงิน)
คำชี้แจงของ นพ.สุภัทรระบุว่า เขายืนยันว่าเป็นการตัดสินใจในภาวะฉุกเฉิน เพราะจำนวนผู้มารับตรวจคาดเดายาก (บางวันมาก บางวันน้อย) และ สธ. ในขณะนั้นยังไม่มี ATK จัดสรรให้โรงพยาบาล (ยึด RT-PCR เป็นหลัก)
การซื้อแยกครั้งเป็นการปรับตามสถานการณ์หน้างาน ไม่ได้ทุจริตหรือทำให้รัฐเสียหาย โดยมีราคาเฉลี่ย 230 บาทต่อชุด (ถูกกว่าที่ สปสช. กำหนดไว้ที่ 450 บาท) โรงพยาบาลอื่น ๆ ที่ร่วมโครงการก็ซื้อในลักษณะเดียวกันแต่ไม่ถูกสอบ
นอกจากนี้ เขาได้ชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรต่อกรรมการแล้ว แต่ไม่เป็นผลเพราะกรรมการ “มีธง” ในใจ
นพ.สุภัทร ย้ำว่าเจตนาคือช่วยประชาชนในวิกฤตโควิด ไม่ได้เอื้อเอกชนหรือคอร์รัปชัน และการตรวจนี้ช่วยลดภาระระบบสาธารณสุขใน กทม. ได้มาก
🌻
ในคลิป นพ.สุภัทร ระบุว่าการสอบวินัยครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งที่ยืดเยื้อจากจุดยืนของเขาในการคัดค้านโครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะ (ซึ่งอาจกระทบสุขภาพและสิ่งแวดล้อมชุมชน) ทำให้ถูกมองว่าเป็น “ตัวปัญหา” ในสายตาผู้บริหาร สธ. และรัฐบาล
การย้ายตำแหน่งปี 2566 ถูกมองว่าเป็นการลงโทษจากการเคลื่อนไหวทางสังคม เช่น การนำชาวบ้านคัดค้านโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา (ซึ่งยกเลิกสำเร็จ) และนิคมอุตสาหกรรมจะนะ
เขาชี้ว่าการสอบวินัยเป็นเครื่องมือเพื่อ “กำจัด” เขาออกจากระบบราชการ โดยเชื่อมโยงกับแรงกดดันทางการเมืองจากนโยบายรัฐที่เขาวิพากษ์วิจารณ์ เช่น กัญชาเสรีและการจัดการโควิด
เขายกตัวอย่างว่าการแก้ไขสัญญาก่อสร้างอาคาร 8 ชั้นของโรงพยาบาลจะนะ (อีกข้อกล่าวหา) ว่าเป็นการปรับตามความจำเป็น (เช่น เพิ่มลิฟต์เพื่อผู้สูงอายุ) ไม่ได้ทำให้รัฐเสียหาย แต่ถูกนำมาขยายเพื่อสอบสวน
🌻
นพ.สุภัทร แสดงความผิดหวังต่อระบบราชการที่ขาดความเป็นธรรมและเต็มไปด้วยอคติ โดยเฉพาะใน สธ. เขาเรียกร้องให้ดู “เจตนา” และ “ผลลัพธ์” ของการทำงานมากกว่าระเบียบตายตัว และเตรียมขอความเป็นธรรมจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (ในขณะนั้นคือ นายอนุทิน ชาญวีรกูล) หรือใช้ช่องทางสภาและสื่อมวลชน
เขายืนยันว่าจะต่อสู้ต่อไป โดยเปิดเรื่องสู่สาธารณะเพื่อระดมการสนับสนุน และมองว่ากรณีนี้สะท้อนปัญหาการเมืองภายในราชการที่ลงโทษบุคลากรที่วิพากษ์วิจารณ์นโยบาย
คลิปมีความยาวประมาณ 10-15 นาที โดยพิธีกรถามเจาะลึกถึงหลักฐานและมุมมองส่วนตัว นพ.สุภัทร พูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจและเรียกร้องความยุติธรรม
ปี 2566 คลิปนี้ยังอยู่ในขั้นตอนสอบสวนเบื้องต้น ปัจจุบัน เนื้อหาในคลิปมีการยกระดับให้เป็นประเด็นใหญ่ในปี 2568 ตามที่เป็นข่าวในขณะนี้ และตอนนี้ นพ.สุภัทรได้โพสต์ระบุว่ากำลังจะถูกไล่ออกจากราชการจริง
🌻
"...ยอดชุดตรวจATK ที่โรงพยาบาลจะนะรับผิดชอบมีจำนวน 42,854 ชุด ATK ยี่ห้อ standardQ ชุดละ 230 บาทเป็นเงินทั้งหมด 9,856,420 บาท สปสช.จ่ายเหมาค่าตรวจ ATK ที่รายละ 450 บาท มียอดที่เรียกเก็บได้จำนวน 39,216 รายเป็นข้อมูลบุคคลที่ไม่มีเอกสารยืนยันตัวตนหรือยืนยันตัวตนแล้วไม่ผ่าน 3,638 ราย“
”สปสช.ได้โอนเงินคืนเข้าบัญชีเงินบำรุงโรงพยาบาลจะนะ 17,457,030 บาทคิดเป็นกำไรหลังหักจากต้นทุน ATK เป็นเงิน 7,600,610 บาท เงินทุกบาททุกสตางค์ที่ สปสช.จ่ายชดเชยให้นั้น เข้าบัญชีเงินบำรุงโรงพยาบาลจะนะทั้งหมด ไม่ได้เข้าบัญชีส่วนตัวของใครหรือของชมรมแพทย์ชนบทแต่อย่างใด..." นพ.สุภัทรให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวอิศราพร้อมเอกสารชี้แจงอย่างละเอียดเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2566 ไว้อย่างนั้น (มี reference ในช่องคอมเมนต์)
🌻
นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ย้ายมาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลจะนะ จังหวัดสงขลา ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 (หลังจากทำงานที่โรงพยาบาลสะบ้าย้อย 4 ปี) จนถึงปี พ.ศ. 2566 ก่อนถูกย้ายไปโรงพยาบาลสะบ้าย้อยอีกครั้ง
กว่า 20 ปีที่เขาอยู่ในพื้นที่นี้ ทำให้เขาได้รับการยอมรับจากชุมชนอย่างมาก โดยเฉพาะในฐานะแพทย์ชนบทที่ไม่เพียงรักษาผู้ป่วย แต่ยังทำงานเชิงรุกเพื่อสุขภาพชุมชน สิ่งแวดล้อม และสิทธิของชาวบ้าน
การทำงานของเขามักผสมผสานระหว่างบทบาททางการแพทย์และการเคลื่อนไหวทางสังคม โดยเน้น “รักษาคนไข้ ไม่ใช่รักษาโรค” ซึ่งหมายถึงการมองสุขภาพในมิติกว้าง รวมถึงปัจจัยสังคมและสิ่งแวดล้อม
🌻
นพ.สุภัทร พัฒนาโรงพยาบาลจะนะให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพชุมชน โดยเน้นการป้องกันและส่งเสริมสุขภาพนอกโรงพยาบาล
ตัวอย่างที่เด่นชัด ได้แก่การจัดการวิกฤตโควิด-19 (พ.ศ. 2563-2564) เขานำทีมลงพื้นที่ตรวจโรงงานเพื่อคัดกรองผู้ติดเชื้อ, เปิดโรงพยาบาลสนาม 5 แห่ง (4 แห่งใช้โรงเรียน และ 1 แห่งใช้ค่ายทหาร), จัดระบบวัคซีน, และคัดกรองด้วย ATK/RT-PCR ทำให้สามารถควบคุมการระบาดในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ เขายังนำแพทย์ชนบทอาสาช่วยตรวจเชิงรุกในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “แพทย์ชนบทบุกกรุง”
การส่งเสริมสุขภาพชุมชน นพ.สุภัทรก่อตั้งชมรมผู้สูงอายุ, คลินิกเบาหวาน, และโครงการออกเยี่ยมบ้าน เพื่อให้ชุมชนดูแลสุขภาพกันเอง โดยใช้บุคลากรจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด นอกจากนี้ เขายังสนับสนุนนักศึกษาแพทย์ให้เรียนรู้จากชุมชนจริงผ่านอาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้าน (อสม.) เพื่อเข้าใจมิติสังคมที่กระทบสุขภาพ
นพ.สุภัทร สร้างโปรเจคท์นวัตกรรมพลังงานสะอาดโดยรณรงค์ติดตั้งโซลาร์เซลล์ที่โรงพยาบาลจะนะ เพื่อประหยัดงบประมาณและลดการใช้พลังงานฟอสซิล ซึ่งกลายเป็นต้นแบบให้โรงพยาบาลอื่นทั่วประเทศนำไปใช้
ผลงานเหล่านี้ช่วยยกระดับการเข้าถึงบริการสุขภาพในพื้นที่ชายแดนใต้ ซึ่งเป็นเขตห่างไกลและมีปัญหาความขัดแย้ง ทำให้โรงพยาบาลจะนะกลายเป็นศูนย์กลางที่ชาวบ้านไว้วางใจ
ผลงานด้านสิ่งแวดล้อมและการเคลื่อนไหวทางสังคม
นพ.สุภัทร เป็นที่รู้จักในฐานะ “หมอเอ็นจีโอ” ที่ผสมผสานงานแพทย์กับการต่อสู้เพื่อสิ่งแวดล้อมและสิทธิชุมชน โดยใช้ข้อมูลวิชาการทางการแพทย์เพื่อคัดค้านโครงการพัฒนาที่อาจกระทบสุขภาพและวิถีชีวิตชาวบ้าน ไม่ว่าจะเป็นการคัดค้านโครงการวางท่อก๊าซไทย-มาเลเซียและโรงแยกก๊าซ ตั้งแต่ปี 2542 เป็นต้นมา
เมื่อย้ายมาจะนะ เขาเริ่มบทบาทโดยให้ข้อมูลผลกระทบสุขภาพจากมลพิษแก่ชาวบ้าน แม้โครงการจะดำเนินต่อ แต่ก็ช่วยผลักดันให้โรงงานมีมาตรฐานสิ่งแวดล้อมสูงขึ้นจากแรงกดดันของชุมชน
นพ.สุภัทรคัดค้านโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา (2559)โดยนำชาวบ้านเดินเท้า 1,400 กิโลเมตร เพื่อเรียกร้องหยุดสัมปทานปิโตรเลียมและโรงไฟฟ้าถ่านหิน โดยใช้ข้อมูลวิจัยผลกระทบสุขภาพ เช่น มะเร็งจากมลพิษอากาศ ซึ่งนำไปสู่การยกเลิกโครงการในที่สุด
เขาถูกย้ายตำแหน่งจากเหตุนี้
แต่รอดมาได้จากการสนับสนุน
ของชมรมแพทย์ชนบท
และกระแสสังคมบนเฟซบุ๊ก
🌻
ในการคัดค้านนิคมอุตสาหกรรมจะนะ ตั้งแต่ปี 2563-ปัจจุบัน นพ.สุภัทรเป็นแกนนำหลักในการต่อต้าน โดยให้ข้อมูลถึงผลกระทบต่อทะเล ชาวประมง และสุขภาพจากมลพิษอุตสาหกรรม
เขายืนข้างชาวบ้านแม้ขัดกับนโยบายรัฐ และใช้โซเชียลมีเดียสร้างกระแส ซึ่งนำไปสู่การชุมนุมและการทบทวนโครงการ
การเคลื่อนไหวนี้นำไปสู่คำสั่งย้ายเขาในปี 2566 ซึ่งชาวบ้านมองว่าเป็นการลงโทษทางการเมือง และนำไปสู่การชุมนุมคัดค้านที่กระทรวงสาธารณสุข
ยังมีโครงการอื่นๆ ที่นพ.สุภัทร เป็นแกนนำหรือมีส่วนร่วม ไม่ว่าจะเป็นคัดค้านการตัดถนนผ่านป่าต้นน้ำที่สะบ้าย้อย (ก่อนย้ายมาจะนะ) ซึ่งช่วยยกเลิกโครงการ และก่อตั้ง “Deep South Watch” เพื่อส่งเสริมสันติภาพในพื้นที่ชายแดนใต้ โดยเน้นการมีส่วนร่วมของชุมชน
การคัดค้านเหล่านี้ไม่เพียงหยุดโครงการบางอย่าง แต่ยังช่วยให้ชาวบ้านมีเสียงและสิทธิ์ในการตัดสินใจเรื่องพัฒนาพื้นที่ โดยเขาเน้น “ประชาธิปไตยฐานราก” และการเปิดวงสนทนากับชุมชนหลังเลิกงาน
🌻
จากการอยู่ในพื้นที่ยาวนาน ใกล้ชิดกับคนในท้องถิ่น นพ.สุภัทรสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และชาวบ้านทุกหมู่บ้าน ทำให้ได้รับความช่วยเหลือในงานสาธารณสุข เช่น การจัดการโควิด ชาวบ้านยกย่องเขาในฐานะ “ส่วนหนึ่งของชุมชน” ที่อัธยาศัยดีและช่วยเหลือโดยไม่แบ่งแยก
งานของนพ.สุภัทรช่วยปกป้องวิถีชีวิตชาวประมงและเกษตรกรจากมลพิษ ส่งเสริมสุขภาพยั่งยืน และสร้างแบบอย่างให้แพทย์ชนบทอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวเหล่านี้นำไปสู่ความขัดแย้งกับผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข โดยมีความพยายามที่จะย้ายนพ.สุภัทรออกจากพื้นที่ถึง 3 ครั้ง แต่ฐานสนับสนุนจากชุมชนและสังคมช่วยให้เขายืนหยัดได้
ผลงานของ นพ.สุภัทรในพื้นที่จะนะ บอกถึงการเป็นแพทย์ที่ทุ่มเทให้ชุมชน โดยผสมผสานสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และสังคมเข้าด้วยกัน แม้จะเผชิญแรงกดดันทางการเมือง แต่เขาก็ได้สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อชาวบ้านกว่าแสนคนในอำเภอจะนะ ทำให้เขาเป็นสัญลักษณ์ของ “แพทย์ชนบทหัวใจนักสู้”
🌻
ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2565-2568) นพ.สุภัทร ถูกสอบสวนวินัยจากกระทรวง สธ. มากกว่า 10 ครั้ง ส่วนใหญ่ได้รับเพียงคำเตือนหรือทัณฑ์บน แต่ครั้งนี้รุนแรงถึงขั้นให้ออกจากราชการ โดยเขาชี้แจงต่อคณะกรรมการแล้วแต่ไม่เป็นผล
ในโพสต์ นพ.สุภัทรเขียนไว้ว่า“วันนี้ผมถูกบีบคั้นจนมุม ถึงเวลาที่ต้องเปิดเผยความจริงสู่สาธารณะ หากท่านเชื่อในตัวผม ‘สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ’ ขอให้เราจงร่วมกันต่อสู้ ระบบราชการต้องมีความเป็นธรรมต่อข้าราชการและต่อประชาชน ประเทศจึงจะมีความหวัง”
🌻
กรณีของ นพ.สุภัทร เป็นตัวอย่างชัดเจนของการที่บุคคลถูกตีตราจาก “ขั้วการเมือง” หรือจุดยืนที่ถูกมองว่า “ต่อต้าน” หรือ “สนับสนุน” ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ในสังคมไทยที่มีการแบ่งขั้วทางการเมืองอย่างเข้มข้น คนที่ออกมาแสดงจุดยืนชัดเจน เช่น การคัดค้านนโยบายกัญชาเสรีหรือโครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะ มักถูกมองว่าเป็นตัวแทนของ “ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง” โดยอัตโนมัติ แม้ว่าจุดยืนนั้นอาจมาจากหลักการหรือผลประโยชน์สาธารณะมากกว่าการเมือง
🌻
จากคอมเมนต์ต่างๆ เราจะเห็นคนได้ว่าคนจำนวนมากอาจ “รัก” หรือ “ชัง” นพ.สุภัทร โดยไม่เคยสัมผัสผลงานของเขา เช่น การทำงานในพื้นที่ชายแดนใต้ การแก้ปัญหาสาธารณสุขในชุมชน หรือการผลักดันนโยบายเพื่อกลุ่มคนชายขอบ (marginalized groups) การตัดสินจากภาพลักษณ์หรือการเมืองทำให้ผลงานจริงถูกละเลย และกลายเป็นการประเมินจาก “ข้างที่เลือก” มากกว่าข้อเท็จจริง
นอกจากนี้ การทำงานเพื่อกลุ่มชายขอบ เช่น ชุมชนในพื้นที่ห่างไกล กลุ่มชาติพันธุ์ หรือผู้ด้อยโอกาส มักไม่ได้รับความสนใจจากสาธารณชนหรือสื่อ เพราะผลลัพธ์ไม่ฉูดฉาด ไม่เป็นข่าวหวือหวาและวัดได้ยากเมื่อเทียบกับโครงการใหญ่ ๆ เช่น การสร้างโรงพยาบาลหรือนโยบายที่มุ่งกลุ่มประชากรส่วนใหญ่
งานของ นพ.สุภัทร ในฐานะแพทย์ชนบทที่เน้นแก้ปัญหาในพื้นที่อย่างจะนะ (เช่น การคัดค้านโครงการอุตสาหกรรมที่อาจกระทบสุขภาพและสิ่งแวดล้อม) จึงอาจไม่ถูกมองว่า “น่าประทับใจ” ในสายตาคนทั่วไป
🌻
นอกจากนี้ การผลักดันนโยบายเพื่อกลุ่มชายขอบมักขัดแย้งกับนโยบายระดับชาติที่เน้นผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจหรือกลุ่มที่มีอำนาจ เช่น โครงการนิคมอุตสาหกรรม กรณีนี้ทำให้ นพ.สุภัทร ถูกมองว่าเป็น “อุปสรรค” ในสายตาผู้บริหารหรือกลุ่มผลประโยชน์ ซึ่งอาจนำไปสู่การถูกกลั่นแกล้งหรือลงโทษทางวินัย
กรณีการสอบสวนวินัย นพ.สุภัทร จากการจัดซื้อชุดตรวจ ATK ในช่วงโควิด-19 (2564) แสดงให้เห็นว่าระบบราชการอาจให้ความสำคัญกับ “ระเบียบ” หรือ “ความสอดคล้อง” มากกว่าผลลัพธ์ของการทำงาน การที่โรงพยาบาลอื่นซื้อ ATK ในลักษณะเดียวกันแต่ไม่ถูกสอบสวน สนับสนุนข้อกล่าวหาของ นพ.สุภัทร ว่าอาจมีการเลือกปฏิบัติ ซึ่งอาจเชื่อมโยงกับจุดยืนของเขาที่ขัดแย้งกับนโยบายกระทรวงหรือผู้บริหาร
🌻
การที่ นพ.สุภัทร ระบุว่า นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัด สธ. มี “ธง” ที่จะให้เขาออกจากราชการก่อนเกษียณ สะท้อนถึงความขัดแย้งภายในกระทรวง ซึ่งอาจไม่ใช่แค่เรื่องผลงาน แต่เป็นเรื่องของ “การเลือกข้าง” หรือการจัดการบุคคลที่ถูกมองว่าไม่สอดคล้องกับทิศทางของผู้บริหาร
หาก นพ.สุภัทร ถูกให้ออกจากราชการจริง
คงเป็นการสูญเสียบุคลากร
ที่มีความทุ่มเทและมีผลงานในพื้นที่ชายขอบ
ซึ่งหาได้ยากในระบบราชการ
สิ่งนี้ไม่เพียงกระทบตัวเขา
แต่ยังส่งผลต่อขวัญและกำลังใจ
ของบุคลากรสาธารณสุข
ที่ทำงานในลักษณะเดียวกัน
การที่กรณีนี้ถูกมองว่า
เป็นการ “กลั่นแกล้ง” หรือ “เลือกข้าง”
อาจทำให้ประชาชนและบุคลากร
ในระบบสาธารณสุข
ขาดความไว้วางใจในกระทรวง
โดยเฉพาะเมื่อ นพ.สุภัทร
มีภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่ง
ในฐานะเป็นแพทย์ที่อุทิศตัวเพื่อชุมชน
🌻
กรณีไล่ออกคุณหมอสุภัทร เป็นตัวอย่างชัดเจนของปัญหาใหญ่ในบ้านเมืองเรา จากการที่ “เลือกข้าง” มีน้ำหนักมากกว่าการประเมินผลงานในระบบราชการและสังคมไทย
การที่ นพ.สุภัทร ถูกตีตราจากจุดยืนทางการเมืองหรือการวิพากษ์วิจารณ์นโยบาย ทำให้ผลงานของเขาในฐานะแพทย์ชนบทที่ทุ่มเทให้ชุมชนถูกละเลย
🌻
สังคมไทยเรามักให้ความสำคัญกับ “ภาพลักษณ์” หรือ “ขั้วการเมือง” มากกว่าการพิจารณาข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน ซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฝังรากลึก
กรณีนี้ยังบอกถึงความยากลำบากของบุคคลที่ทำงานเพื่อกลุ่มชายขอบ ซึ่งมักต้องเผชิญทั้งความไม่เข้าใจจากสังคมและแรงกดดันจากระบบราชการ การแก้ไขปัญหานี้จึงควรต้องเริ่มจากการสร้างระบบประเมินผลงานที่โปร่งใสและเป็นธรรม รวมถึงการให้ความสำคัญกับงานที่อาจไม่ “หวือหวา” แต่มีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของกลุ่มเปราะบางด้วย
การที่ นพ.สุภัทร เลือกเปิดเผยเรื่องนี้สู่สาธารณะ อาจเป็นโอกาสให้คนในสังคมเราได้ทบทวนว่า เราควรตัดสินคุณค่าบุคคลจากอะไร จากผลงาน จากขั้วการเมือง
หรือคนของใคร?
🌻
References ในช่องคอมเมนต์
#เซฟหมอสุภัทร