14/09/2025

Wait! did that owl just dye its feathers pink? Nope, you’re looking at a real-life natural marvel. This stunning bird is a snowy owl, but instead of the usual crisp white, it’s sporting a shocking pink tint that looks almost too wild to be true. No, it didn’t fall into a bucket of paint and it’s not photoshopped either. This rare coloring has left experts and bird enthusiasts buzzing with excitement.
So, what’s going on here? Snowy owls are famous for their white plumage that helps them blend into the Arctic snow. But sometimes, unusual environmental factors like mineral dust, diet influences, or even feather pigmentation quirks can give them surprising hues. In fact, some owls have been documented with rusty or reddish tinges caused by natural staining in their environment. This pink look, though, is especially striking and incredibly rare to witness.
And here’s the kicker, snowy owls are already considered one of the most majestic and mysterious birds on Earth. They can live for decades, fly silently with massive wings, and their eyes are built like night-vision goggles, able to hunt in near darkness. Add a rosy tint to all that, and you’ve got a creature that looks like it flew straight out of a fantasy novel.
It’s moments like these that remind us how unpredictable and mind-blowing nature really is. Just when we think we’ve seen it all, a pink owl shows up on a power line and says, “Think again.”
So next time you glance at the sky, remember, nature is full of surprises, and sometimes it likes to throw in a splash of color just to keep us amazed.
Takeaway: Mother Nature is still the best artist, and her palette is full of surprises.

23/08/2025
17/08/2025

“ในฐานะที่เราเคยเรียนหมอจุฬารุ่น44 มาด้วยกัน ภาพในความทรงจำคือจุ๊กเป็นเพื่อนที่ไม่ใช่แค่เรียนเก่ง แต่คือเพื่อนที่นิสัยดีมาก มีความเป็นผู้นำ มีความคิดในการพัฒนาสังคมมาตั้งแต่เป็นนักเรียน เป็นเพื่อน เป็นติวเตอร์ให้เพื่อนที่ยังเรียนไม่เข้าใจเสมอๆ เราจำได้ดี เราจึงไม่เคยมีข้อกังขาใดๆในตัวเพื่อนคนนี้เลย เราพร้อมเป็นส่วนหนึ่งถ้ามีอะไรพอจะช่วยได้นะครับ ขอให้จุ๊กแคล้วคลาดและปลอดภัยครับ”

นี่เป็นความเห็นหนึ่งท่ามกลางคอมเมนต์จำนวนมากที่เข้าไปให้กำลังใจคุณหมอสุภัทรตอนนี้

🌻

ถ้าเรายังไม่ลืมความเจ็บปวดคับแค้นจากสถานการณ์โควิดในครั้งแรกที่เข้ามาเมืองไทย เราคงไม่ลืมว่าหมอสุภัทรคือบุคลากรทางการแพทย์คนแรกที่ออกมาเตือนภัยทุกคนว่ามันร้ายแรงขนาดไหน ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง ในขณะที่กระทรวงสาธารณสุขยังนิ่ง

โควิดตอนนี้ยังไม่หมดฤทธิ์ เมื่อวาน 16 สิงหาคม 2568 โพสต์บนเฟซบุ๊กส่วนตัวของ นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “หมอจุ๊ก“ประธานชมรมแพทย์ชนบท และผู้อำนวยการโรงพยาบาลสะบ้าย้อย จ.สงขลา บอกว่าคุณหมอกำลังจะถูกสั่งให้ออกจากราชการ เนื่องจากถูกสอบสวนวินัยร้ายแรงในข้อหาละเมิดระเบียบการจัดซื้อชุดตรวจ ATK (Antigen Test Kit) สมัยโควิด-19 เมื่อปี 2564

จากคำสั่งของ นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ที่ต้องการ”จัดการ“เรื่องนี้ให้เสร็จสิ้นก่อนเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 กันยายน 2568 ซึ่งก็เหลือเวลาประมาณ 45 วัน

ทุกคนรู้ คุณหมอสุภัทรเป็นคู่กัด สธ.มาตั้งแต่ตอนโควิดระบาดครั้งแรก หรือก่อนนั้น

นพ.โอภาส ได้รับการแต่งตั้งเป็นปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2565 ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยการเสนอชื่อจากนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย

หากมีการลงนาม“ไล่ออก”นี้จริง
ตามที่คุณหมอสุภัทรโพสต์ในเฟซบุ๊ค
ก็อาจจะเหมือนการเซ็นทิ้งทวน
ทว่าจะเป็นหอกทวนหรือระเบิดเวลา
ยังเป็นประเด็นที่ต้องติดตาม
แต่กระแสเซฟหมอสุภัทรเริ่มจุดติด
แทบทุกสื่อตอนนี้กำลังเฝ้าจับตา

🌻

สาเหตุหลักของคำสั่งให้ออกจากราชการ มาจากการสอบสวนวินัยร้ายแรงกรณีจัดซื้อ ATK ในช่วงกรกฎาคม-สิงหาคม 2564 สมัยที่ นพ.สุภัทร เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลจะนะ (ก่อนถูกย้าย)

ในวิดีโอสัมภาษณ์ นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ จากเพจ Facebook ของ The Reporters เผยแพร่เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2566 เป็นการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ของพิธีกรรายการ เพื่อชี้แจงข้อกล่าวหาการถูกตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรงจากกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ในประเด็นหลัก 2 เรื่อง คือ การจัดซื้อชุดตรวจ ATK (Antigen Test Kit) ในช่วงโควิด-19 และการแก้ไขสัญญาก่อสร้างอาคาร 8 ชั้นของโรงพยาบาลจะนะ ซึ่งเชื่อมโยงกับความขัดแย้งในอำเภอจะนะ จ.สงขลา ซึ่งในคลิป นพ.สุภัทร ยังยืนยันว่าเป็นการกลั่นแกล้งทางการเมืองและไม่ได้รับความเป็นธรรม

นพ.สุภัทร ถูกย้ายจากตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลจะนะไปโรงพยาบาลสะบ้าย้อยเมื่อต้นปี 2566 ซึ่งเขามองว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการกลั่นแกล้ง

หลังจากนั้น สธ. ส่งทีมตรวจสอบภายในเข้ามาขุดค้นความผิดย้อนหลัง และตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรงในเดือนพฤษภาคม 2566 โดยมี นพ.สุรโชค ต่างวิวัฒน์ เป็นประธานกรรมการ

เขาระบุว่าถูกสอบวินัยมากกว่า 10 ครั้งในช่วง 3 ปีก่อนหน้า (2564-2566) ส่วนใหญ่จบด้วยคำเตือนหรือทัณฑ์บน แต่ครั้งนี้รุนแรงถึงขั้นอาจให้ออกจากราชการ เพราะมี “ธง” จากผู้บริหารระดับสูง (เชื่อมโยงกับ นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัด สธ. ในขณะนั้น)

นพ.สุภัทร ชี้ว่าการสอบนี้เลือกปฏิบัติ เพราะโรงพยาบาลอื่นที่จัดซื้อ ATK ในลักษณะเดียวกันแต่ไม่ถูกสอบ และเขาเชื่อว่ามาจากจุดยืนวิพากษ์วิจารณ์นโยบาย สธ. เช่น นโยบายกัญชาเสรีและโครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะ

🌻

ในช่วงกรกฎาคม-สิงหาคม 2564 ซึ่งในประเทศไทยเป็นช่วงโควิดระบาดหนัก มีภาพข่าวคนป่วยคนตายจำนวนมาก นพ.สุภัทร ในฐานะผู้อำนวยการโรงพยาบาลจะนะ ได้จัดซื้อ ATK 5 ครั้ง (รวมมูลค่าไม่เกิน 2 ล้านบาทต่อครั้ง) เพื่อใช้ในโครงการ “แพทย์ชนบทบุกกรุง” ซึ่งเป็นการอาสาช่วยตรวจคัดกรองโควิดในกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยตรวจประชาชน 192,905 คน พบผู้ติดเชื้อ 22,451 คน และให้การรักษาทันที

กรรมการสอบมองว่านี่เป็นการ “แบ่งซื้อแบ่งจ้าง” เพื่อหลีกเลี่ยงระเบียบจัดซื้อจัดจ้างของกระทรวงการคลัง (ที่กำหนดให้ต้องประกวดราคาหากเกินวงเงิน)

คำชี้แจงของ นพ.สุภัทรระบุว่า เขายืนยันว่าเป็นการตัดสินใจในภาวะฉุกเฉิน เพราะจำนวนผู้มารับตรวจคาดเดายาก (บางวันมาก บางวันน้อย) และ สธ. ในขณะนั้นยังไม่มี ATK จัดสรรให้โรงพยาบาล (ยึด RT-PCR เป็นหลัก)

การซื้อแยกครั้งเป็นการปรับตามสถานการณ์หน้างาน ไม่ได้ทุจริตหรือทำให้รัฐเสียหาย โดยมีราคาเฉลี่ย 230 บาทต่อชุด (ถูกกว่าที่ สปสช. กำหนดไว้ที่ 450 บาท) โรงพยาบาลอื่น ๆ ที่ร่วมโครงการก็ซื้อในลักษณะเดียวกันแต่ไม่ถูกสอบ

นอกจากนี้ เขาได้ชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรต่อกรรมการแล้ว แต่ไม่เป็นผลเพราะกรรมการ “มีธง” ในใจ

นพ.สุภัทร ย้ำว่าเจตนาคือช่วยประชาชนในวิกฤตโควิด ไม่ได้เอื้อเอกชนหรือคอร์รัปชัน และการตรวจนี้ช่วยลดภาระระบบสาธารณสุขใน กทม. ได้มาก

🌻

ในคลิป นพ.สุภัทร ระบุว่าการสอบวินัยครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งที่ยืดเยื้อจากจุดยืนของเขาในการคัดค้านโครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะ (ซึ่งอาจกระทบสุขภาพและสิ่งแวดล้อมชุมชน) ทำให้ถูกมองว่าเป็น “ตัวปัญหา” ในสายตาผู้บริหาร สธ. และรัฐบาล

การย้ายตำแหน่งปี 2566 ถูกมองว่าเป็นการลงโทษจากการเคลื่อนไหวทางสังคม เช่น การนำชาวบ้านคัดค้านโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา (ซึ่งยกเลิกสำเร็จ) และนิคมอุตสาหกรรมจะนะ

เขาชี้ว่าการสอบวินัยเป็นเครื่องมือเพื่อ “กำจัด” เขาออกจากระบบราชการ โดยเชื่อมโยงกับแรงกดดันทางการเมืองจากนโยบายรัฐที่เขาวิพากษ์วิจารณ์ เช่น กัญชาเสรีและการจัดการโควิด

เขายกตัวอย่างว่าการแก้ไขสัญญาก่อสร้างอาคาร 8 ชั้นของโรงพยาบาลจะนะ (อีกข้อกล่าวหา) ว่าเป็นการปรับตามความจำเป็น (เช่น เพิ่มลิฟต์เพื่อผู้สูงอายุ) ไม่ได้ทำให้รัฐเสียหาย แต่ถูกนำมาขยายเพื่อสอบสวน

🌻

นพ.สุภัทร แสดงความผิดหวังต่อระบบราชการที่ขาดความเป็นธรรมและเต็มไปด้วยอคติ โดยเฉพาะใน สธ. เขาเรียกร้องให้ดู “เจตนา” และ “ผลลัพธ์” ของการทำงานมากกว่าระเบียบตายตัว และเตรียมขอความเป็นธรรมจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (ในขณะนั้นคือ นายอนุทิน ชาญวีรกูล) หรือใช้ช่องทางสภาและสื่อมวลชน

เขายืนยันว่าจะต่อสู้ต่อไป โดยเปิดเรื่องสู่สาธารณะเพื่อระดมการสนับสนุน และมองว่ากรณีนี้สะท้อนปัญหาการเมืองภายในราชการที่ลงโทษบุคลากรที่วิพากษ์วิจารณ์นโยบาย

คลิปมีความยาวประมาณ 10-15 นาที โดยพิธีกรถามเจาะลึกถึงหลักฐานและมุมมองส่วนตัว นพ.สุภัทร พูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจและเรียกร้องความยุติธรรม

ปี 2566 คลิปนี้ยังอยู่ในขั้นตอนสอบสวนเบื้องต้น ปัจจุบัน เนื้อหาในคลิปมีการยกระดับให้เป็นประเด็นใหญ่ในปี 2568 ตามที่เป็นข่าวในขณะนี้ และตอนนี้ นพ.สุภัทรได้โพสต์ระบุว่ากำลังจะถูกไล่ออกจากราชการจริง

🌻

"...ยอดชุดตรวจATK ที่โรงพยาบาลจะนะรับผิดชอบมีจำนวน 42,854 ชุด ATK ยี่ห้อ standardQ ชุดละ 230 บาทเป็นเงินทั้งหมด 9,856,420 บาท สปสช.จ่ายเหมาค่าตรวจ ATK ที่รายละ 450 บาท มียอดที่เรียกเก็บได้จำนวน 39,216 รายเป็นข้อมูลบุคคลที่ไม่มีเอกสารยืนยันตัวตนหรือยืนยันตัวตนแล้วไม่ผ่าน 3,638 ราย“

”สปสช.ได้โอนเงินคืนเข้าบัญชีเงินบำรุงโรงพยาบาลจะนะ 17,457,030 บาทคิดเป็นกำไรหลังหักจากต้นทุน ATK เป็นเงิน 7,600,610 บาท เงินทุกบาททุกสตางค์ที่ สปสช.จ่ายชดเชยให้นั้น เข้าบัญชีเงินบำรุงโรงพยาบาลจะนะทั้งหมด ไม่ได้เข้าบัญชีส่วนตัวของใครหรือของชมรมแพทย์ชนบทแต่อย่างใด..." นพ.สุภัทรให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวอิศราพร้อมเอกสารชี้แจงอย่างละเอียดเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2566 ไว้อย่างนั้น (มี reference ในช่องคอมเมนต์)

🌻

นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ย้ายมาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลจะนะ จังหวัดสงขลา ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 (หลังจากทำงานที่โรงพยาบาลสะบ้าย้อย 4 ปี) จนถึงปี พ.ศ. 2566 ก่อนถูกย้ายไปโรงพยาบาลสะบ้าย้อยอีกครั้ง

กว่า 20 ปีที่เขาอยู่ในพื้นที่นี้ ทำให้เขาได้รับการยอมรับจากชุมชนอย่างมาก โดยเฉพาะในฐานะแพทย์ชนบทที่ไม่เพียงรักษาผู้ป่วย แต่ยังทำงานเชิงรุกเพื่อสุขภาพชุมชน สิ่งแวดล้อม และสิทธิของชาวบ้าน

การทำงานของเขามักผสมผสานระหว่างบทบาททางการแพทย์และการเคลื่อนไหวทางสังคม โดยเน้น “รักษาคนไข้ ไม่ใช่รักษาโรค” ซึ่งหมายถึงการมองสุขภาพในมิติกว้าง รวมถึงปัจจัยสังคมและสิ่งแวดล้อม

🌻

นพ.สุภัทร พัฒนาโรงพยาบาลจะนะให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพชุมชน โดยเน้นการป้องกันและส่งเสริมสุขภาพนอกโรงพยาบาล

ตัวอย่างที่เด่นชัด ได้แก่การจัดการวิกฤตโควิด-19 (พ.ศ. 2563-2564) เขานำทีมลงพื้นที่ตรวจโรงงานเพื่อคัดกรองผู้ติดเชื้อ, เปิดโรงพยาบาลสนาม 5 แห่ง (4 แห่งใช้โรงเรียน และ 1 แห่งใช้ค่ายทหาร), จัดระบบวัคซีน, และคัดกรองด้วย ATK/RT-PCR ทำให้สามารถควบคุมการระบาดในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ เขายังนำแพทย์ชนบทอาสาช่วยตรวจเชิงรุกในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “แพทย์ชนบทบุกกรุง”

การส่งเสริมสุขภาพชุมชน นพ.สุภัทรก่อตั้งชมรมผู้สูงอายุ, คลินิกเบาหวาน, และโครงการออกเยี่ยมบ้าน เพื่อให้ชุมชนดูแลสุขภาพกันเอง โดยใช้บุคลากรจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด นอกจากนี้ เขายังสนับสนุนนักศึกษาแพทย์ให้เรียนรู้จากชุมชนจริงผ่านอาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้าน (อสม.) เพื่อเข้าใจมิติสังคมที่กระทบสุขภาพ

นพ.สุภัทร สร้างโปรเจคท์นวัตกรรมพลังงานสะอาดโดยรณรงค์ติดตั้งโซลาร์เซลล์ที่โรงพยาบาลจะนะ เพื่อประหยัดงบประมาณและลดการใช้พลังงานฟอสซิล ซึ่งกลายเป็นต้นแบบให้โรงพยาบาลอื่นทั่วประเทศนำไปใช้

ผลงานเหล่านี้ช่วยยกระดับการเข้าถึงบริการสุขภาพในพื้นที่ชายแดนใต้ ซึ่งเป็นเขตห่างไกลและมีปัญหาความขัดแย้ง ทำให้โรงพยาบาลจะนะกลายเป็นศูนย์กลางที่ชาวบ้านไว้วางใจ

ผลงานด้านสิ่งแวดล้อมและการเคลื่อนไหวทางสังคม
นพ.สุภัทร เป็นที่รู้จักในฐานะ “หมอเอ็นจีโอ” ที่ผสมผสานงานแพทย์กับการต่อสู้เพื่อสิ่งแวดล้อมและสิทธิชุมชน โดยใช้ข้อมูลวิชาการทางการแพทย์เพื่อคัดค้านโครงการพัฒนาที่อาจกระทบสุขภาพและวิถีชีวิตชาวบ้าน ไม่ว่าจะเป็นการคัดค้านโครงการวางท่อก๊าซไทย-มาเลเซียและโรงแยกก๊าซ ตั้งแต่ปี 2542 เป็นต้นมา

เมื่อย้ายมาจะนะ เขาเริ่มบทบาทโดยให้ข้อมูลผลกระทบสุขภาพจากมลพิษแก่ชาวบ้าน แม้โครงการจะดำเนินต่อ แต่ก็ช่วยผลักดันให้โรงงานมีมาตรฐานสิ่งแวดล้อมสูงขึ้นจากแรงกดดันของชุมชน

นพ.สุภัทรคัดค้านโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา (2559)โดยนำชาวบ้านเดินเท้า 1,400 กิโลเมตร เพื่อเรียกร้องหยุดสัมปทานปิโตรเลียมและโรงไฟฟ้าถ่านหิน โดยใช้ข้อมูลวิจัยผลกระทบสุขภาพ เช่น มะเร็งจากมลพิษอากาศ ซึ่งนำไปสู่การยกเลิกโครงการในที่สุด

เขาถูกย้ายตำแหน่งจากเหตุนี้
แต่รอดมาได้จากการสนับสนุน
ของชมรมแพทย์ชนบท
และกระแสสังคมบนเฟซบุ๊ก

🌻

ในการคัดค้านนิคมอุตสาหกรรมจะนะ ตั้งแต่ปี 2563-ปัจจุบัน นพ.สุภัทรเป็นแกนนำหลักในการต่อต้าน โดยให้ข้อมูลถึงผลกระทบต่อทะเล ชาวประมง และสุขภาพจากมลพิษอุตสาหกรรม

เขายืนข้างชาวบ้านแม้ขัดกับนโยบายรัฐ และใช้โซเชียลมีเดียสร้างกระแส ซึ่งนำไปสู่การชุมนุมและการทบทวนโครงการ

การเคลื่อนไหวนี้นำไปสู่คำสั่งย้ายเขาในปี 2566 ซึ่งชาวบ้านมองว่าเป็นการลงโทษทางการเมือง และนำไปสู่การชุมนุมคัดค้านที่กระทรวงสาธารณสุข

ยังมีโครงการอื่นๆ ที่นพ.สุภัทร เป็นแกนนำหรือมีส่วนร่วม ไม่ว่าจะเป็นคัดค้านการตัดถนนผ่านป่าต้นน้ำที่สะบ้าย้อย (ก่อนย้ายมาจะนะ) ซึ่งช่วยยกเลิกโครงการ และก่อตั้ง “Deep South Watch” เพื่อส่งเสริมสันติภาพในพื้นที่ชายแดนใต้ โดยเน้นการมีส่วนร่วมของชุมชน

การคัดค้านเหล่านี้ไม่เพียงหยุดโครงการบางอย่าง แต่ยังช่วยให้ชาวบ้านมีเสียงและสิทธิ์ในการตัดสินใจเรื่องพัฒนาพื้นที่ โดยเขาเน้น “ประชาธิปไตยฐานราก” และการเปิดวงสนทนากับชุมชนหลังเลิกงาน

🌻

จากการอยู่ในพื้นที่ยาวนาน ใกล้ชิดกับคนในท้องถิ่น นพ.สุภัทรสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และชาวบ้านทุกหมู่บ้าน ทำให้ได้รับความช่วยเหลือในงานสาธารณสุข เช่น การจัดการโควิด ชาวบ้านยกย่องเขาในฐานะ “ส่วนหนึ่งของชุมชน” ที่อัธยาศัยดีและช่วยเหลือโดยไม่แบ่งแยก

งานของนพ.สุภัทรช่วยปกป้องวิถีชีวิตชาวประมงและเกษตรกรจากมลพิษ ส่งเสริมสุขภาพยั่งยืน และสร้างแบบอย่างให้แพทย์ชนบทอื่นๆ

อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวเหล่านี้นำไปสู่ความขัดแย้งกับผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข โดยมีความพยายามที่จะย้ายนพ.สุภัทรออกจากพื้นที่ถึง 3 ครั้ง แต่ฐานสนับสนุนจากชุมชนและสังคมช่วยให้เขายืนหยัดได้

ผลงานของ นพ.สุภัทรในพื้นที่จะนะ บอกถึงการเป็นแพทย์ที่ทุ่มเทให้ชุมชน โดยผสมผสานสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และสังคมเข้าด้วยกัน แม้จะเผชิญแรงกดดันทางการเมือง แต่เขาก็ได้สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อชาวบ้านกว่าแสนคนในอำเภอจะนะ ทำให้เขาเป็นสัญลักษณ์ของ “แพทย์ชนบทหัวใจนักสู้”

🌻

ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2565-2568) นพ.สุภัทร ถูกสอบสวนวินัยจากกระทรวง สธ. มากกว่า 10 ครั้ง ส่วนใหญ่ได้รับเพียงคำเตือนหรือทัณฑ์บน แต่ครั้งนี้รุนแรงถึงขั้นให้ออกจากราชการ โดยเขาชี้แจงต่อคณะกรรมการแล้วแต่ไม่เป็นผล

ในโพสต์ นพ.สุภัทรเขียนไว้ว่า“วันนี้ผมถูกบีบคั้นจนมุม ถึงเวลาที่ต้องเปิดเผยความจริงสู่สาธารณะ หากท่านเชื่อในตัวผม ‘สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ’ ขอให้เราจงร่วมกันต่อสู้ ระบบราชการต้องมีความเป็นธรรมต่อข้าราชการและต่อประชาชน ประเทศจึงจะมีความหวัง”

🌻

กรณีของ นพ.สุภัทร เป็นตัวอย่างชัดเจนของการที่บุคคลถูกตีตราจาก “ขั้วการเมือง” หรือจุดยืนที่ถูกมองว่า “ต่อต้าน” หรือ “สนับสนุน” ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

ในสังคมไทยที่มีการแบ่งขั้วทางการเมืองอย่างเข้มข้น คนที่ออกมาแสดงจุดยืนชัดเจน เช่น การคัดค้านนโยบายกัญชาเสรีหรือโครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะ มักถูกมองว่าเป็นตัวแทนของ “ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง” โดยอัตโนมัติ แม้ว่าจุดยืนนั้นอาจมาจากหลักการหรือผลประโยชน์สาธารณะมากกว่าการเมือง

🌻

จากคอมเมนต์ต่างๆ เราจะเห็นคนได้ว่าคนจำนวนมากอาจ “รัก” หรือ “ชัง” นพ.สุภัทร โดยไม่เคยสัมผัสผลงานของเขา เช่น การทำงานในพื้นที่ชายแดนใต้ การแก้ปัญหาสาธารณสุขในชุมชน หรือการผลักดันนโยบายเพื่อกลุ่มคนชายขอบ (marginalized groups) การตัดสินจากภาพลักษณ์หรือการเมืองทำให้ผลงานจริงถูกละเลย และกลายเป็นการประเมินจาก “ข้างที่เลือก” มากกว่าข้อเท็จจริง

นอกจากนี้ การทำงานเพื่อกลุ่มชายขอบ เช่น ชุมชนในพื้นที่ห่างไกล กลุ่มชาติพันธุ์ หรือผู้ด้อยโอกาส มักไม่ได้รับความสนใจจากสาธารณชนหรือสื่อ เพราะผลลัพธ์ไม่ฉูดฉาด ไม่เป็นข่าวหวือหวาและวัดได้ยากเมื่อเทียบกับโครงการใหญ่ ๆ เช่น การสร้างโรงพยาบาลหรือนโยบายที่มุ่งกลุ่มประชากรส่วนใหญ่

งานของ นพ.สุภัทร ในฐานะแพทย์ชนบทที่เน้นแก้ปัญหาในพื้นที่อย่างจะนะ (เช่น การคัดค้านโครงการอุตสาหกรรมที่อาจกระทบสุขภาพและสิ่งแวดล้อม) จึงอาจไม่ถูกมองว่า “น่าประทับใจ” ในสายตาคนทั่วไป

🌻

นอกจากนี้ การผลักดันนโยบายเพื่อกลุ่มชายขอบมักขัดแย้งกับนโยบายระดับชาติที่เน้นผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจหรือกลุ่มที่มีอำนาจ เช่น โครงการนิคมอุตสาหกรรม กรณีนี้ทำให้ นพ.สุภัทร ถูกมองว่าเป็น “อุปสรรค” ในสายตาผู้บริหารหรือกลุ่มผลประโยชน์ ซึ่งอาจนำไปสู่การถูกกลั่นแกล้งหรือลงโทษทางวินัย

กรณีการสอบสวนวินัย นพ.สุภัทร จากการจัดซื้อชุดตรวจ ATK ในช่วงโควิด-19 (2564) แสดงให้เห็นว่าระบบราชการอาจให้ความสำคัญกับ “ระเบียบ” หรือ “ความสอดคล้อง” มากกว่าผลลัพธ์ของการทำงาน การที่โรงพยาบาลอื่นซื้อ ATK ในลักษณะเดียวกันแต่ไม่ถูกสอบสวน สนับสนุนข้อกล่าวหาของ นพ.สุภัทร ว่าอาจมีการเลือกปฏิบัติ ซึ่งอาจเชื่อมโยงกับจุดยืนของเขาที่ขัดแย้งกับนโยบายกระทรวงหรือผู้บริหาร

🌻

การที่ นพ.สุภัทร ระบุว่า นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัด สธ. มี “ธง” ที่จะให้เขาออกจากราชการก่อนเกษียณ สะท้อนถึงความขัดแย้งภายในกระทรวง ซึ่งอาจไม่ใช่แค่เรื่องผลงาน แต่เป็นเรื่องของ “การเลือกข้าง” หรือการจัดการบุคคลที่ถูกมองว่าไม่สอดคล้องกับทิศทางของผู้บริหาร

หาก นพ.สุภัทร ถูกให้ออกจากราชการจริง
คงเป็นการสูญเสียบุคลากร
ที่มีความทุ่มเทและมีผลงานในพื้นที่ชายขอบ
ซึ่งหาได้ยากในระบบราชการ
สิ่งนี้ไม่เพียงกระทบตัวเขา
แต่ยังส่งผลต่อขวัญและกำลังใจ
ของบุคลากรสาธารณสุข
ที่ทำงานในลักษณะเดียวกัน

การที่กรณีนี้ถูกมองว่า
เป็นการ “กลั่นแกล้ง” หรือ “เลือกข้าง”
อาจทำให้ประชาชนและบุคลากร
ในระบบสาธารณสุข
ขาดความไว้วางใจในกระทรวง
โดยเฉพาะเมื่อ นพ.สุภัทร
มีภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่ง
ในฐานะเป็นแพทย์ที่อุทิศตัวเพื่อชุมชน

🌻

กรณีไล่ออกคุณหมอสุภัทร เป็นตัวอย่างชัดเจนของปัญหาใหญ่ในบ้านเมืองเรา จากการที่ “เลือกข้าง” มีน้ำหนักมากกว่าการประเมินผลงานในระบบราชการและสังคมไทย

การที่ นพ.สุภัทร ถูกตีตราจากจุดยืนทางการเมืองหรือการวิพากษ์วิจารณ์นโยบาย ทำให้ผลงานของเขาในฐานะแพทย์ชนบทที่ทุ่มเทให้ชุมชนถูกละเลย

🌻

สังคมไทยเรามักให้ความสำคัญกับ “ภาพลักษณ์” หรือ “ขั้วการเมือง” มากกว่าการพิจารณาข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน ซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฝังรากลึก

กรณีนี้ยังบอกถึงความยากลำบากของบุคคลที่ทำงานเพื่อกลุ่มชายขอบ ซึ่งมักต้องเผชิญทั้งความไม่เข้าใจจากสังคมและแรงกดดันจากระบบราชการ การแก้ไขปัญหานี้จึงควรต้องเริ่มจากการสร้างระบบประเมินผลงานที่โปร่งใสและเป็นธรรม รวมถึงการให้ความสำคัญกับงานที่อาจไม่ “หวือหวา” แต่มีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของกลุ่มเปราะบางด้วย

การที่ นพ.สุภัทร เลือกเปิดเผยเรื่องนี้สู่สาธารณะ อาจเป็นโอกาสให้คนในสังคมเราได้ทบทวนว่า เราควรตัดสินคุณค่าบุคคลจากอะไร จากผลงาน จากขั้วการเมือง

หรือคนของใคร?

🌻

References ในช่องคอมเมนต์
#เซฟหมอสุภัทร

Well ยังไง !มนุษย์เรานั้น รักที่สุดก็คือตัวเอง ความเสียใจจากการพลัดพรากจากสิ่งที่รักนั้นแท้จริงแล้ว...คือการพลัดกพรากควา...
16/08/2025

Well ยังไง !

มนุษย์เรานั้น รักที่สุดก็คือตัวเอง

ความเสียใจจากการพลัดพรากจากสิ่งที่รักนั้น
แท้จริงแล้ว...คือการพลัดกพรากความสุขทางใจของตนเองอันยึดเอาสิ่งอื่นหรือคนอื่นเป็นที่ตั้ง
เช่นการสูญเสียคนรัก...ความเสียใจเกิดการ ตระหนักรู้ว่าตนเองนั้น จะไม่ได้รับความสุขที่เกิดขึ้นจากบุคคลนั้นๆอีกแล้ว...เรารักความสุขของเราไม่ใช่เหรอ...ยอมรับเหอะว่า มนุษย์นั้น รักที่สุดก็คือตัวเอง

16/08/2025
14/08/2025

📣 ปุกาศ ปุกาศ กลับมาอีกครั้ง…
สำหรับปีนี้ Siriraj open house x Siriraj museum
ซื้อตั๋วใบเดียว เที่ยวได้ 3 พิพิธภัณฑ์

ในราคาพิเศษ 20 ฿/ท่าน (เฉพาะนักเรียนอายุ ≤ 18 ปี)
จำกัด 1,000 สิทธิ์เท่านั้น‼️

จุดจำหน่ายบัตร : บูธพิพิธภัณฑ์ศิริราช อาคารศรีสวรินทิรา ชั้น 1 ตั้งแต่เวลา 08.00 น.เป็นต้นไปหรือจนกว่าบัตรจะหมด

ปล. กรณีบัตรจำหน่ายหมด น้องๆสามารถติดต่อซื้อบัตรเข้าชมในราคาปกติ ณ เคาเตอร์จำหน่ายตั๋ว ตึกอดุลยเดชวิกรม ชั้น 2 และ อาคารพิพิธภัณฑ์ศิริราชพิมุขสถาน

#พิพิธภัณฑ์ศิริราชมีมากกว่าที่คุณคิด
ิริราช #เปิดบ้านศิริราช #ศิริราช

11/08/2025
10/08/2025
06/06/2024

วัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวมข้อมูล เนื่องด้วยทางเครือข่ายเยาวชนไม่นะกัญชาและยาเสพติด (YNAC) มีความห่วงใยในเ...

ที่อยู่

Bangkok
10260

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ IdeaInboxผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์