The Momentum Stay curious, be open.

ติดต่อกองบรรณาธิการ [email protected]
ติดต่อโฆษณา [email protected] The MOMENTUM

ปลัดท่องเที่ยวฯ บุกเมืองย่าโมเยี่ยมสนามวอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลกพร้อมชมการแข่งขันคู่ ‘แคนาดา-สเปน’ วันนี้ (25 สิงหาคม 25...
25/08/2025

ปลัดท่องเที่ยวฯ บุกเมืองย่าโม
เยี่ยมสนามวอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก
พร้อมชมการแข่งขันคู่ ‘แคนาดา-สเปน’

วันนี้ (25 สิงหาคม 2568) นัทรียา ทวีวงศ์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เดินทางมาสนามจัดการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก 2025 (FIVB Women's World Championship 2025) ที่จังหวัดนครราชสีมา และให้กำลังใจนักกีฬาที่เข้าร่วมการแข่งขัน สนามชาติชายฮอลล์ โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญคือ การให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทีมงาน พร้อมเชียร์การแข่งขัน โดยปลัดกระทรวงฯ ได้เข้าเยี่ยมชมที่พัก และสภาพความเป็นอยู่ของนักกีฬาที่เข้าร่วมการแข่งขัน พร้อมเน้นย้ำถึงมาตรการดูแลความปลอดภัยและสิ่งอำนวยความสะดวกให้ครบถ้วน เพื่อให้นักกีฬาทุกชาติเกิดความมั่นใจ และแข่งขันได้อย่างเต็มศักยภาพ
ขณะเดียวกันยังเชิญชวนประชาชนและนักท่องเที่ยวมาเที่ยวจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งนอกจากจะได้ร่วมเชียร์นักตบสาวไทยและทีมดังจากทั่วโลกอย่างใกล้ชิดแล้ว ยังสามารถสัมผัสเสน่ห์ของ ‘เมืองย่าโม’ ทั้งแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และธรรมชาติ เช่น อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี วัดศาลาลอย ปราสาทหินพิมาย และอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ตลอดจนอาหารพื้นเมืองที่มีเอกลักษณ์ โดยก่อนเดินทางมาสนามการแข่งขัน ปลัดกระทรวงฯ เดินทางเยี่ยมชมจุดก่อสร้างสกายวอล์ก บริเวณพื้นที่เขาเขื่อนลั่น ตำบลคลองไผ่ อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ได้อนุมัติงบประมาณโครงการปรับปรุงภูมิทัศน์และพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ บริเวณพื้นที่เขาเขื่อนลั่น ตำบลคลองไผ่ อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา ภายใต้แผนงานบูรณาการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวประจำปีงบประมาณ 2568 วงเงิน 63.5 ล้านบาท
“การจัดการแข่งขันครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นเวทีสำคัญของวงการวอลเลย์บอลโลก แต่ยังเป็นโอกาสทองในการส่งเสริมภาพลักษณ์ประเทศไทย และกระตุ้นการท่องเที่ยวในภูมิภาคทั้งเหนือ กลาง ใต้ และอีสาน อย่างเช่นจังหวัดนครราชสีมา ที่ถือเป็นหัวใจของภาคอีสาน การแข่งขัน FIVB Women’s World Championship 2025 ที่ประเทศไทยครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงศึกกีฬาแห่งศักดิ์ศรี แต่ยังเป็นเวทีที่สะท้อนพลังแห่งมิตรภาพ ความร่วมมือ และการท่องเที่ยวไทยในเวทีโลกอย่างแท้จริงด้วย
“ดิฉันอยากจะเชิญชวนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ หากท่านมีบัตรเข้าชมการแข่งขัน ทางกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬาโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ร่วมกับจังหวัดที่จัดการแข่งขันมีสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆจัดให้ไว้สําหรับทั้งนักกีฬา เพราะผู้ที่มาเชียร์ โดยท่านสามารถนําบัตรที่เข้า ชมการแข่งขันไปเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวแต่ละจุดที่ร่วมกับ ททท.ได้ฟรี เช่น พิพิธภัณฑ์ สถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์โดยรอบ นี่คือ Sport tourism ที่รัฐบาลโดยกระทรวงท่องเที่ยวพยายามผลักดันอย่างชัดเจน”

จากนั้นปลัดกระทรวงท่องเที่ยวฯ และผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมาได้ร่วมชมการแข่งขันวอลเลย์บอลระหว่างทีมชาติแคนาดากับสเปน บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก ผู้เข้าร่วมชมการแข่งขันทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติต่างส่งเสียงเชียร์ทีมที่ตัวเองรัก โดยช่วงพักครึ่งมีการเปิดเพลง ‘To Be The Champion เสียงเชียร์ เพื่อแชมป์’ ซึ่งเป็นเพลงประจำการแข่งขันครั้งนี้ ปลัดกระทรวงท่องเที่ยว และผู้ว่าฯ จังหวัดนครราขสีมา จึงชวนทีมงานและกองเชียร์ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติลุกขึ้นเต้นสนุกไปกับการเชียร์เพื่อร่วมกิจกรรมของสหพันธ์วอลเลย์บอลนานาชาติ (FIVB) ด้วย
ส่วนกรณีที่มีการแชร์ภาพสนามชาติชายฮอลล์ น้ำท่วมจนนักกีฬาสาธารณรัฐเช็ก ต้องลุยน้ำท่วมเข้าสนามเพื่อลงแข่งขันรอบแบ่งกลุ่มนัดแรก นัทรียาระบุว่า ทางผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมาแจ้งว่าได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นแล้ว 100% รวมทั้งยังได้ทำการขุดลอกท่อ สแตนด์บายรถสูบ และสแตนด์บายอ่างเก็บน้ำ พร้อมวางจุดกำลังคน รวมถึงยกระดับทางเดินให้สูงขึ้น เตรียมรับมือในช่วงที่มีพายุด้วย
#กระทรวงท่องเที่ยว #วอลเลย์บอล #นครราชสีมา

หลวงพ่ออลงกตตัวท็อปวงการสงฆ์พระหนึ่งรูป ร้อยเรื่องราวถึงวันนี้ ชื่อของ พระราชวิสุทธิประชานาถ หรือ ‘หลวงพ่ออลงกต’ อดีตเจ้...
25/08/2025

หลวงพ่ออลงกต
ตัวท็อปวงการสงฆ์
พระหนึ่งรูป ร้อยเรื่องราว
ถึงวันนี้ ชื่อของ พระราชวิสุทธิประชานาถ หรือ ‘หลวงพ่ออลงกต’ อดีตเจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ จังหวัดลพบุรี กลายเป็น ‘ตัวท็อป’ ของเรื่องฉาววงการสงฆ์ ภายหลังสารพัดเรื่องราวไม่ชอบมาพากลรุมเร้าหลวงพ่ออลงกตเสียจนตอบคำถามสังคมได้ยากเย็น ขณะเดียวกันความน่าเชื่อถือของทั้งหลวงพ่อ ผู้เคยเป็น ‘เทพเจ้าเอดส์’ และวัดพระบาทน้ำพุที่สั่งสมมานานเกิน 30 ปี สั่นคลอนอย่างหนัก
เพราะต้องยอมรับว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา คนไทยนับล้านคนมีความผูกพันกับหลวงพ่ออลงกต ผ่านทั้งงานเขียนหนังสือ งานบรรยายธรรมตามสถานที่ต่างๆ การออกรายการโทรทัศน์ นอกจากนี้หลวงพ่ออลงกตยังมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับบรรดาเซเลบริตี บรรดาอินฟลูเอนเซอร์ ทำให้วัดพระบาทน้ำพุ เป็นวัดที่มี ‘ตู้รับบริจาค’ มากที่สุดเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ
แรงสั่นสะเทือนกรณีหลวงพ่ออลงกตจากสารพัดข่าวสารที่ผ่านมา ทำให้ ‘ศรัทธา’ ที่มี ถูกตั้งคำถาม
The Momentum รวบรวม ‘ความผิดปกติ’ ในตัวตนของหลวงพ่ออลงกต หลายเรื่องที่น่าสงสัย ตั้งแต่การจัดการเงินบริจาค การบริหารวัดพระบาทน้ำพุที่ถูกปล่อยร้าง และถึงที่สุดแล้ว ‘หลวงพ่อ’ คือใครกันแน่
1. ตัวตนปลอม
หนึ่งในปริศนาที่แวดล้อมตัวตนพระอลงกตวันนี้คือ ‘ตัวตน’ เพราะก่อนหน้าที่จะบวชเป็นพระ พระรูปนี้ใช้ชื่อว่า เกรียงไกร เพ็ชร์แก้ว เกิดที่อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี และมีประวัติศึกษาอยู่ในจังหวัดขอนแก่น
แต่ในเวลาเดียวกันก็พบคนชื่อ อลงกต พลมุข ใช้ชื่อเดียวกัน นามสกุลคล้ายกัน มีประวัติรับราชการกรมชลประทานและเสียชีวิตไปเมื่อปี 2566 โดยพระอลงกตใช้ชื่อนี้ในใบสุทธิพระ และยังใช้ชื่อบิดา-มารดา ใช้วันเดือนปีเกิด เหมือนกับอลงกต พลมุข
ขณะเดียวกันแม้กรมการปกครองจะยืนยันว่า เลขบัตรประชาชน 13 หลัก ของ ‘หลวงพ่ออลงกต’ และ ‘อลงกต พลมุข’ ไม่ตรงกัน ทว่าใบสุทธิพระที่จดไว้ในปี 2529 กลับใช้เลข 13 หลักของ อลงกต พลมุข ไม่ได้ใช้เลขบัตรประชาชน 13 หลักของ เกรียงไกร เพ็ชร์แก้ว
ความสับสนในตัวตนทำให้สาธารณชนตั้งคำถามต่อไปว่า เพราะเหตุใด พระอลงกตจึงได้ปิดบังตัวตนที่แท้จริงของตนเอง หรือแท้จริงแล้วเป็นการบวชเพื่อหนีคดี หนีอดีตบางอย่าง หรือแท้จริงแล้วต้องการสวมชื่อผู้อื่น เพื่อทำเรื่องผิดกฎหมาย-ปิดบังข้อเท็จจริงบางอย่าง
เรื่องนี้ไม่มีใครอาจทราบได้นอกจากตัวหลวงพ่ออลงกตเอง ที่ยังคงเลือกนิ่ง เงียบ ไม่ตอบคำถามใดๆ ขณะที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ผู้ดูแลพระสงฆ์ทั่วประเทศก็อมพะนำ ไม่อาจตรวจสอบการปลอมชื่อคนอื่นมาจดใบสุทธิพระได้เช่นกัน
สะท้อนให้เห็นว่า ณ วันนี้ หากมีใครปลอมชื่อคนอื่นมาบวชพระ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติก็ไม่อาจรับรู้ได้ เป็นอันตรายอย่างยิ่งสำหรับพุทธศาสนา
2. ประวัติการศึกษาลวงโลก
เดิมพระอลงกตมีประวัติการศึกษายาวเป็นหางว่าว ตั้งแต่เรียนมัธยมปลายที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ จบปริญญาตรีที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และจบปริญญาโทสาขาเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย (Australian National University: ANU)
ขณะเดียวกัน หลวงพ่อเคยให้สัมภาษณ์ทั้งทีวี นิตยสาร และเขียนประวัติตัวเองลงหนังสือว่า มีประวัติการศึกษาที่เพียบพร้อม จบปริญญาโทจากต่างประเทศ และตัดสินใจบวชเป็นพระ เพราะช้ำในผู้หญิงเหมือนกับรู้ว่า คนไทยชอบคนมีการศึกษาที่ตัดสินใจละทางโลก เข้าสู่เส้นทางธรรม
ทว่าทั้งหมดกลายเป็นเรื่องลวงโลก เมื่อมีผู้ไปค้นรายชื่อศิษย์เก่า ทั้งที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ทั้งที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ ไม่ปรากฏชื่อของอลงกตหรือเกรียงไกร นั่นหมายความว่าประวัติการศึกษาจาก ANU ก็เป็นเรื่องหลอกลวงไปด้วย
สัปดาห์ที่แล้ว หลวงพ่ออลงกตให้สัมภาษณ์สำนักข่าวอีจัน บอกว่าได้รับอุบัติเหตุทางรถยนต์ทำให้สมองกระทบกระเทือน แท้จริงแล้วหลวงพ่อเรียนที่โรงเรียนแก่นนคร เคยไปเตะฟุตบอลที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ จึงใฝ่ฝันที่จะเรียนที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ ขณะที่ตนเองชอบเรื่องเครื่องกล เลยใฝ่ฝันที่จะเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์
นอกจากนี้ระหว่างที่เรียนที่โรงเรียนแก่นนคร ออสเตรเลียเคยสร้างอาคารเรียนให้ จึงใฝ่ฝันที่จะไปเรียนที่ออสเตรเลีย
ประวัติการศึกษาลวงโลกเช่นนี้ยังถูกนำไปใช้ในการประกาศเกียรติคุณเป็น ‘ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์’ ทั้งในสาขาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, สาขาปรัชญา มหาวิทยาลัยรามคำแหง, สาขาพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, สาขาการบริหารศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี และสาขาสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ข้อสังเกตก็คือว่า หลวงพ่ออลงกตไม่ใช่พระสงฆ์ธรรมดา หากยังเป็นระดับ ‘เจ้าคุณ’ ชั้นราช ซึ่งต้องติดตามต่อว่า หากยื่นประวัติการศึกษาปลอมในการขอพระราชทานสมณศักดิ์ จะกระทบกับสถานะพระภิกษุหรือไม่
3. ใช้ชื่อคนอื่นถือครองทรัพย์สิน-มูลนิธิ
อันที่จริง เรื่องของหลวงพ่ออลงกตเริ่มปรากฏเป็นข่าวจากกรณี เสกสันน์ ทรัพย์สืบสกุล หรือที่รู้จักกันในนาม หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ ที่ส่งเงินบริจาคเข้าไปยังวัดพระบาทน้ำพุและหลวงพ่ออลงกตเป็นประจำ แต่เรื่องเลยเถิดก็คือ เมื่อลงลึกไปถึงการถือครองทรัพย์สิน วัดซื้อที่ดินหลายแปลง และควรเป็นผู้ถือครองที่ดิน แต่เมื่อตรวจสอบลงไปกลับพบว่า มูลนิธิอาทรประชานาถของวัดพระบาทน้ำพุไม่ได้ถือครองที่ดินเหล่านั้น หากเป็นชื่อบุคคล 5 รายชื่อถือครองที่ดินแทน ไม่ใช่หลักสิบไร่ แต่เป็นหลายร้อยไร่ หรืออาจถึงพันไร่
คำถามก็คือ เพราะเหตุใดจึงใช้ชื่อบุคคลอื่น บุคคลเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นนายธนชัย ที่ถือครองที่ดิน 900 ไร่ บริษัท เอพลัส พาวเวอร์ จำกัด ที่ถือครองที่ดิน 843 ไร่ วิชัยที่ถือครองที่ดิน 416 ไร่ วรสุดาที่ถือครองที่ดิน 25 ไร่เกี่ยวพันกับวัดพระบาทน้ำพุอย่างไร หรือมีการทำธุรกิจอะไรจากเงินบริจาคหรือไม่ ยังคงเป็นปริศนา
4. การจัดการเงินบริจาคไม่โปร่งใส
นอกจากที่ดิน-ทรัพย์สินต่างๆ ยังมีการนำเงินบริจาคไปลงทุนไปสร้างสนามฟุตบอล 9 สนาม เนื้อที่ 200 ไร่ ใจฟ้าอคาเดมี ในจังหวัดลพบุรี รวมถึงยังได้เบิกเงินจากวัดไปประมาณสัปดาห์ละ 1 แสนบาท เพื่อดูแลเยาวชนซึ่งก็มีการตั้งคำถามว่า เรื่องนี้เป็น ‘กิจของสงฆ์’ หรือไม่ และเพราะเหตุใด หลวงพ่ออลงกตถึงเลือกลงทุนไปกับการสร้างกิจการสนามฟุตบอลและทีมฟุตบอล
ข้อมูลล่าสุดเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา พระครูสุวัฒน์กิตติสาร เจ้าอาวาสวัดสระมะเกลือ เจ้าคณะตำบลเขาสามยอด รักษาการเจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ พบว่า 8 บัญชีของวัดพระบาทน้ำพุขณะนี้ เหลือเงินรวมเพียง 10 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งก็ต้องตั้งคำถามว่าแล้วเงินบริจาคจำนวนมหาศาล ทั้งที่หลวงพ่ออลงกตเดินสายรับบริจาคทั่วประเทศ ทั้งที่ประชาชนบริจาคผ่าน QR Code บริจาคผ่านคนอื่น รวมถึงหมอบี ทูตสื่อวิญญาณที่เป็นทางผ่านเงินกว่า 200 ล้านบาท รวมถึงเงินที่ประชาชนบริจาคโดยตรงกับทางวัดนั้น วันนี้อยู่ที่ไหน และมีจำนวนเงินเท่าไรบ้าง
5. ปล่อยอาคารรับรองผู้ป่วยทิ้งร้าง
หากเดินเข้าไปยังอาคารเมตตาธรรม อาคารสูง 4 ชั้น ของวัดพระบาทน้ำพุ ซึ่งเป็นอาคารรองรับผู้ป่วย HIV รวมถึงเป็นสถานชีวาภิบาล ขึ้นทะเบียนกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จะพบว่า ในปัจจุบันได้กลายเป็นอาคารร้าง นอกจากนี้ยังพบผ้าอ้อมผู้ใหญ่ สำลี หน้ากากอนามัย ถังออกซิเจน วางทิ้งไว้เกลื่อนกลาด กลายเป็นภาพที่ ‘ช็อก’ ความรู้สึกของผู้บริจาคให้วัดพระบาทน้ำพุ
อย่างไรก็ตามวัดพระบาทน้ำพุชี้แจงว่า อาคารดังกล่าวเคยถูกใช้เป็นสถานที่รองรับผู้ป่วย HIV มาก่อน แต่ในเวลาต่อมา ฝูงลิงได้เข้ามารบกวนอาคารจนเสียหายหนัก ชำรุดทรุดโทรม ไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป ขณะที่สิ่งของที่ทิ้งไว้ในอาคารดังกล่าว ล้วนเป็นสิ่งของที่ ‘หมดอายุ’ แล้วทั้งสิ้น
ต้องติดตามต่อว่า ‘โดมิโน’ ที่เริ่มล้มที่วัดพระบาทน้ำพุ จะส่งไปถึงวัดใดต่อไป และพระสงฆ์ ผู้ทรงศีล ผู้ทรงธรรม ซึ่งล้มกันมาก่อนหน้านี้ ทั้งด้วยเรื่องสีกา เรื่องการจัดการเงินไม่โปร่งใส ไปจนถึงมหกรรมลวงโลก รวมทุกเรื่องไว้ที่เดียวที่วัดพระบาทน้ำพุ จะพาคนไทยไปเจอเรื่องอะไรต่อไป
เรื่อง: The Momentum Team
ภาพ: ปราโมทย์ ปิ่นศรี
#วัดพระบาทน้ำพุ #หลวงพ่ออลงกต #พระสงฆ์

แม่ทัพภาคที่ 2 กล่อมเด็ก ม.เกษตรฯยอมรับน้อยใจ-เสียใจตอนโดนถาม ‘ทหารมีไว้ทำไม’ยืนยันไทยมีสิทธิปกป้องตัวเอง หากกัมพูชายั่ว...
25/08/2025

แม่ทัพภาคที่ 2 กล่อมเด็ก ม.เกษตรฯ
ยอมรับน้อยใจ-เสียใจตอนโดนถาม ‘ทหารมีไว้ทำไม’
ยืนยันไทยมีสิทธิปกป้องตัวเอง หากกัมพูชายั่วยุ
วันนี้ (25 สิงหาคม 2568) พลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เดินทางไปยังมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน เพื่อเข้าร่วมงานสนทนาพิเศษ ‘เรื่องจริงจากชายแดน’ โดยตอนหนึ่งได้ตอบคำถามจากนิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ที่ถามว่า กองทัพมีบทบาทอย่างไรในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนเพื่อให้เกิดความมั่นคง
พลโทบุญสินให้คำตอบโดยเริ่มจากคำถามที่ว่า ครั้งหนึ่งมีคนถามว่า ‘ทหารมีไว้ทำไม’ ตนมองว่าคำถามดังกล่าวทำให้ทหารรู้สึกน้อยใจและเสียใจ อีกทั้งยังไม่สามารถตอบโต้ได้ แต่ทหารต้องฝึกฝนการรบอยู่ตลอดเวลา เพราะไม่สามารถรู้ได้ว่าการรบจริงจะเกิดขึ้นเมื่อใด
พลโทบุญสินเล่าให้นิสิตฟังต่อว่า มีข้าราชการทหารรายหนึ่งใกล้เกษียณอายุราชการเดินมาบอกกับตนว่า ตั้งแต่รับราชการและฝึกมาทั้งชีวิต เพิ่งจะได้มารบจริงก็เมื่อเร็วๆ นี้
แม่ทัพภาคที่ 2 เสริมต่อว่า การฝึกทางการทหารไม่ได้ทำได้ง่ายๆ เพราะต้องฝึกฝนความอดทน เทคนิคการใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ และทักษะต่างๆ นอกเหนือจากนั้น ในห้วงเวลาที่ไม่มีการรบ ทหารยังมีภารกิจให้ ‘ความช่วยเหลือ’ กับประชาชนที่เดือดร้อน เช่น น้ำท่วม น้ำแล้ง ไฟไหม้ หรือปัญหายาเสพติด
“นี่คือความรับผิดชอบต่อประเทศชาติบ้านเมือง ในยามสงบทหารต้องช่วยดูแลรักษาความมั่นคงภายใน อะไรที่เป็นเรื่องเดือดร้อน แม่ทัพฯ มีบทบาทเป็นผู้อำนวยการรักษาความมั่งคงภายในประจำภาค และช่วยดูแลผู้ว่าฯ 20 จังหวัดในภาคอีสาน เพราะฉะนั้นเวลาเกิดเรื่องอะไร แม่ทัพจะโดนว่าทุกเรื่อง
“เมื่อพูดถึงว่า ทหารมีไว้ทำไม ทหารพัฒนาประเทศด้วยการทำอย่างไรก็ได้ให้ประเทศพัฒนา ช่วยกันกับกระทรวง ทบวง กรม ทั้งหลาย” แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าว
ในงานสนทนาครั้งนี้ยังมีคำถามเพิ่มเติมจากนิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ว่า พื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ยังมีโอกาสเกิดเหตุปะทะขึ้นอีกรอบได้หรือไม่ รวมทั้งฝ่ายไทยจะสามารถ ‘ทวงคืน’ พื้นที่ที่เคยเป็นของไทย เช่น ปราสาทตาควาย กลับมาได้หรือไม่
พลโทบุญสินให้คำตอบสุดท้ายว่า ในประเด็นนี้ขึ้นอยู่กับนโยบายของผู้นำของประเทศคู่ขัดแย้ง ตลอดจนท่าทีของทหารกัมพูชาที่อยู่ตามพื้นที่ชายแดนว่า มีลักษณะ ‘ก้าวร้าว’ หรือเป็นฝ่ายที่ริเริ่มก่อนหรือไม่ หากฝ่ายกัมพูชามีท่าทีที่เป็นฝ่ายเริ่มหรือก่อกวนก่อน ทหารของไทยก็มีสิทธิตอบโต้ ทั้งนี้แม่ทัพภาคที่ 2 ยืนยันว่าจะทำหน้าที่ของตนเองให้ดีจนถึงวันที่ 30 กันยายน 2568 ซึ่งเป็นวันเกษียณอายุราชการของตน
ทั้งนี้ในวันเดียวกันมีรายงานเพิ่มเติมว่า บรรยากาศโดยรอบมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เช่น บริเวณป้ายมหาวิทยาลัยฝั่งประตูถนนพหลโยธิน และป้ายมหาวิทยาลัยฝั่งถนนวิภาวดีรังสิต (ตรงข้ามโรงพยาบาลวิภาวดี) มีการติดกระดาษที่มีตัวละคร ‘กุ้ง’ พร้อมทั้งระบุข้อความว่า “ลูกน้องเจ็บตายคาชายแดน แม่ทัพโชว์แมนหาแสงส่อง”
ภาพ: อนุวัตน์ เดชธำรงวัฒน์
#แม่ทัพภาคที่2 #พลโทบุญสิน #แม่ทัพกุ้ง #ไทยกัมพูชา #มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ #กองทัพ #ทหารมีไว้ทำไม

สงครามเขื่อนในเอเชียใต้อินเดียรื้อแผนสร้างเขื่อนควบคุมน้ำรับมือโครงการ ‘เขื่อนใหญ่ที่สุดในโลก’ ของจีนวันนี้ (25 สิงหาคม ...
25/08/2025

สงครามเขื่อนในเอเชียใต้
อินเดียรื้อแผนสร้างเขื่อนควบคุมน้ำ
รับมือโครงการ ‘เขื่อนใหญ่ที่สุดในโลก’ ของจีน
วันนี้ (25 สิงหาคม 2025) อินเดียเปิดแผนสร้างเขื่อนใหญ่ที่สุดในประเทศ คาดรับมือภัยคุกคามทางภูมิรัฐศาสตร์จากจีน หลังเริ่มเมกะโปรเจ็กต์สร้างเขื่อนยาร์ลุงซางโป (Yarlung Tsangpo) เขื่อนที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อรองรับการผลิตพลังงาน ด้านผู้เชี่ยวชาญมองปรากฏการณ์ดังกล่าวกระทบต่อภูมิรัฐศาสตร์ในเอเชียใต้อย่างมีนัยสำคัญ
ทั้งนี้รายงาน Exclusive จาก Reuters เผยว่า อินเดียกลับมาพิจารณาแผนการสร้างเขื่อนในรัฐอรุณาจัลประเทศภายใต้โครงการ Siang Upper Multipurpose Project (SUMP) ที่มีมูลค่า 13.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 4.27 แสนล้านบาท) และมีศักยภาพสามารถกักเก็บน้ำได้ถึง 9 พันล้านลูกบาศก์เมตร โดยระบุเหตุผลด้าน ‘ความจำเป็นทางยุทธศาสตร์’ และเพื่อควบคุมการไหลของแม่น้ำในหน้าแล้ง
หากย้อนกลับไป แผนการสร้างเขื่อนของอินเดียเคยถูกเสนอตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 2000 แต่ได้รับเสียงต่อต้านและข้อวิจารณ์จากสาธารณะ เพราะวัตถุประสงค์การสร้างเขื่อนคือ การควบคุมทิศทางน้ำจากธารน้ำแข็งอังซี (Angsi) ในทิเบต คือแม่น้ำเซียง (Siang) หรือแม่น้ำยาร์ลุงซาร์โปในภาษาจีน ซึ่งไหลลงสู่รัฐอรุณาจัลประเทศ อัสสัม พรหมบุตร คงคา แม่น้ำในบังกลาเทศและอ่าวเบงกอล ถือเป็นเส้นทางคมนาคมสำคัญ และสายธารที่หล่อเลี้ยงปากท้องของ 3 ประเทศในเอเชียใต้อย่างจีน อินเดีย และบังกลาเทศ
แม้ชนพื้นเมืองในรัฐอรุณาจัลประเทศออกมาคัดค้านโครงการ SUMP หลังเกิดเหตุปะทะในการประท้วงขั้นรุนแรง และศาลสูงกูวาฮาติ (Gauhati) ในรัฐอัสสัม ออกคำสั่งให้รัฐยกเลิกแผนดังกล่าวในปี 2022 แต่ดูเหมือนว่า ล่าสุดรัฐบาลของ นเรนทรา โมดี (Narendra Modi) นายกรัฐมนตรีอินเดีย เริ่มเคลื่อนไหวสานต่อเมกะโปรเจกต์ โดยออกคำสั่งให้บริษัทไฟฟ้ายักษ์ใหญ่เคลื่อนย้ายการสำรวจ และส่งตำรวจติดอาวุธไปคุ้มครอง ขณะที่แหล่งข่าวระดับสูงไม่เปิดเผยตัวตนยังระบุว่า เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลอินเดีย ประชุมเพื่อเร่งรัดโปรเจกต์สร้างเขื่อนให้เสร็จภายในปีนี้
สำหรับสาเหตุการสร้างเขื่อน Reuters ได้รับข้อมูลจากแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือ 4 รายว่า อินเดียหวั่นกลัวผลกระทบจากเขื่อนยาร์ลุงซางโป หลังจีนเดินหน้าเมกะโปรเจกต์มูลค่า 170 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 5,500 ล้านบาท) ซึ่งได้รับการจับตามองในฐานะเขื่อนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่สามารถผลิตพลังงานได้มากกว่าเขื่อนสามผาถึง 3 เท่า
ทั้งนี้รัฐบาลอินเดียประเมินไว้ว่า หากจีนสามารถเขื่อนยาร์ลุงซางโป อาจควบคุมทิศทางการไหลของแม่น้ำได้เบ็ดเสร็จ ซึ่งอาจเกิดผลกระทบร้ายแรงสุด คือ ‘น้ำท่วม’ ทะลักเข้ามาในประเทศ โดยเจ้าหน้าที่บางส่วนถึงกับประเมินไว้ว่า เมกะโปรเจกต์ของจีนคือ ‘ระเบิดน้ำ’ ทำลายอินเดีย ขณะที่เขื่อนของอินเดียจะช่วยบรรเทาปัญหาดังกล่าว และสามารถปล่อยน้ำไปยังเมืองกูวาฮาติ เมืองหลักในภาคอุตสาหกรรมและการเกษตรที่พึ่งพาทรัพยากรน้ำได้
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญประเมินปรากฏการณ์ดังกล่าวว่า เป็นสงครามทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างจีนกับอินเดีย ที่ต้องการช่วงชิงความได้เปรียบทางทรัพยากร ซึ่งจะสร้างผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศ วิถีชีวิตของประชาชน รวมถึงก่อให้เกิดความเสี่ยงด้าน ‘แผ่นดินไหว’ มากขึ้นอีกด้วย
ปัจจุบันรัฐบาลอินเดียไม่ได้แสดงความคิดเห็นหรือยืนยันถึงโปรเจกต์ดังกล่าว ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศจีนยืนยันว่า เขื่อนยาร์ลุงซางโปผ่านการประเมินด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ โดยมั่นใจได้ว่า ปลอดภัย เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และไม่มีผลกระทบต่อธรรมชาติ หรือประเทศข้างเคียง
ภาพ: AFP
อ้างอิง
https://thediplomat.com/2025/01/indias-response-to-worlds-largest-dam-in-china-faces-local-opposition/
https://www.reuters.com/sustainability/land-use-biodiversity/chinas-new-mega-dam-triggers-fears-water-war-india-2025-08-25/
https://www.straitstimes.com/asia/south-asia/india-plans-mega-dam-in-arunachal-pradesh-with-eye-on-chinas-hydropower-station-in-tibet
#จีน #อินเดีย #เขื่อน #เอเชียใต้

‘ณัฐพงษ์’ นำทีม สส.ถูกกัลฟ์ฟ้องเรียก 300 ล้านบาทเข้าพบศาลตามนัดหมายยืนยันเจตนาเป็นไปโดยบริสุทธิ์วันนี้ (25 สิงหาคม 2568)...
25/08/2025

‘ณัฐพงษ์’ นำทีม สส.ถูกกัลฟ์ฟ้องเรียก 300 ล้านบาท
เข้าพบศาลตามนัดหมาย
ยืนยันเจตนาเป็นไปโดยบริสุทธิ์
วันนี้ (25 สิงหาคม 2568) ที่ศาลอาญารัชดา ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.แบบบัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชน พร้อมด้วย ศุภโชติ ไชยสัจ และวรภพ วิริยะโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน เข้าพบศาลตามนัดไต่สวนมูลฟ้องเพื่อยืนยันเจตนาบริสุทธิ์ ภายหลังถูก บริษัท กัลฟ์ เจพี เอ็นเอส จำกัด บริษัทผู้ผลิตและการส่งไฟฟ้า และบริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ฟ้องข้อหาหมิ่นประมาทและเรียกค่าเสียหายคนละ 100 ล้านบาท รวมมูลค่าฟ้องแพ่ง 300 ล้านบาท
ณัฐพงษ์ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนตอนหนึ่งว่า ขณะนี้กระบวนการไต่สวนมูลฟ้องยังไม่จบ ทางฝ่ายโจทก์คือ กลุ่มกัลฟ์เหลือพยานที่จะไต่สวนมูลฟ้องเพิ่มเติม และจะนัดอีกทีในวันที่ 27 ตุลาคม 2568
“ผมยืนยันว่า พวกเรามีเจตนาสุจริตในการทำหน้าที่ สส.ในการดำเนินนโยบายของรัฐบาลให้เกิดประโยชน์สาธารณะต่อประชาชน และโจทก์ก็มีสิทธิ์ในการยื่นฟ้อง จะเป็นอย่างไร ศาลน่าจะให้ความยุติธรรมกับเราได้” ณัฐพงษ์ระบุ
หัวหน้าพรรคประชาชนยังปฏิเสธตอบคำถามว่า เรื่องดังกล่าวเป็นการ ‘ฟ้องปิดปาก’ หรือไม่ โดยขอให้เป็นไปตามวิจารณญาณของประชาชน และสื่อมวลชน อย่างไรก็ตามยืนยันว่า การทำหน้าที่ของตนเองและ สส.เป็นการทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา ในการเปิดเผยข้อเท็จจริงต่อสาธารณะ
สำหรับเรื่องที่ณัฐพงษ์ถูกฟ้องเป็นผลพวงจากกระบวนการ ‘รับซื้อ’ ไฟฟ้าหมุนเวียนโดยรัฐบาล โดยณัฐพงษ์ตั้งข้อสังเกตว่า มีการตั้งราคาเกินจริงหรือไม่ มีการล็อกสิทธิให้กับกลุ่มทุนพลังงานบางกลุ่มหรือไม่ และเพราะเหตุใดประเทศไทยจำเป็นต้องมีไฟฟ้าสำรองเพิ่มเติม ทั้งที่มีกำลังไฟฟ้าสำรองล้นเกินอยู่แล้ว
ภาพ: นนท์ มีวัฒนานนท์
#พรรคประชาชน #ณัฐพงษ์ #กัลฟ์

กองทัพอากาศซื้อ ‘กริพเพน’ เพิ่ม 4 ลำประจำการที่กองบิน 1 โคราชยืนยันหาทางออกสันติวิธีกับกัมพูชาวันนี้ (25 สิงหาคม 2568) ม...
25/08/2025

กองทัพอากาศซื้อ ‘กริพเพน’ เพิ่ม 4 ลำ
ประจำการที่กองบิน 1 โคราช
ยืนยันหาทางออกสันติวิธีกับกัมพูชา
วันนี้ (25 สิงหาคม 2568) มีรายงานว่า เวลาประมาณ 17.00 น. หรือเวลา 12.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นในประเทศสวีเดน กองทัพอากาศไทยนำโดย พลอากาศเอก พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ จะลงนามในสัญญาการจัดซื้อเครื่องบินขับไล่โจมตี JAS 39 Gripen E/F ระยะที่ 1 จำนวน 4 ลำ วงเงิน 1.95 หมื่นล้านบาท
สำหรับโครงการจัดซื้อดังกล่าวเป็นไปเพื่อทดแทนเครื่องบินที่ปลดประจำการ และเพิ่มขีดความสามารถในการป้องกันประเทศ โดยเป็นการจัดซื้อตามข้อเสนอชดเชยการนำเข้ายุทโธปกรณ์​ (Defence Offset Policy) ทำให้นอกเหนือจากประโยชน์ด้านความมั่นคงแล้ว ประเทศไทยยังได้ประโยชน์จากการถ่ายทอดเทคโนโลยีระดับสูงและการจ้างงานแรงงานทักษะสูงอีกด้วย
การลงนามในครั้งนี้เป็นการลงนามระหว่างกองทัพอากาศไทยกับ Saab บริษัทผู้ผลิตเครื่องบินขับไล่โจมตีกริพเพนของสวีเดน โดยมี มาริษ เสงี่ยมพงษ์​ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เข้าร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนามจัดซื้อแบบจีทูจี (G2G)
พลอากาศเอกพันธ์ภักดีเปิดเผยว่า การจัดซื้อเครื่องบินขับไล่โจมตีกริพเพนในครั้งนี้ เพื่อทดแทนเครื่องบินขับไล่ F-16 ของกองบิน 1 โคราช โดยการจัดซื้อในครั้งนี้ไม่ได้ทำให้กองทัพอากาศมากขึ้น เล็กลงเสียด้วยซ้ำ แต่ทำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ด้านมาริษกล่าวว่า ประเทศสวีเดนให้ความสำคัญกับเรื่องสิทธิมนุษยชน ขอยืนยันว่าประเทศไทยแก้ไขปัญหาความขัดแย้งกับกัมพูชาโดยใช้การเจรจาเป็นหลัก เลี่ยงการใช้กำลัง และยึดหลักสันติวิธี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศระบุว่า การตอบโต้ของไทยเป็นการปกป้องตนเองตามมาตรา 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ การใช้กำลังมีขอบเขตชัดเจนคือ การลดทอนกำลังทางการทหารของกัมพูชาเท่านั้น จะเห็นได้ว่าขณะนี้ยังไม่มีประเทศใดที่ตำหนิหรือแทรกแซงปฏิบัติการของไทย
ทั้งนี้ฝูงบินใหม่นี้จะประจำการอยู่ในฝูงบิน 102 ของกองบิน 1 โคราช โดยจะใช้ชื่อว่า ‘บูรพาสันติ’ (PEACE BURAPHA) และมีคำขวัญประจำฝูงบินว่า ‘เราจะหยุดไพรีที่ห้าวหาญ’
ภาพ: Reuters
#กองทัพอากาศ #กริพเพน #ไทย #สวีเดน #ทหารอากาศ #กองทัพ #เครื่องบินรบ

กระทรวงการต่างประเทศใช้ ‘นโยบายเชิงรุก’รับมือสถานการณ์ไทย-กัมพูชาพร้อมรักษาผลประโยชน์แห่งชาติบนเวทีโลกวันที่ 22 สิงหาคม ...
25/08/2025

กระทรวงการต่างประเทศใช้ ‘นโยบายเชิงรุก’
รับมือสถานการณ์ไทย-กัมพูชา
พร้อมรักษาผลประโยชน์แห่งชาติบนเวทีโลก
วันที่ 22 สิงหาคม 2568 กระทรวงการต่างประเทศชี้แจงข้อสรุปและแนวทางการดำเนินนโยบายต่างประเทศเชิงรุกต่อสถานการณ์ไทย-กัมพูชา โดยมี รัศม์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ และอดีตเอกอัครราชทูต เป็นผู้ชี้แจงสถานการณ์และแนวทางรับมือของไทยบนเวทีโลกต่อเหตุการณ์ปัจจุบัน
ทั้งนี้กระทรวงต่างประเทศเปิดเผยแนวทางการดำเนินการบนเวทีระหว่างประเทศคือ การประท้วงและร้องเรียนต่อกัมพูชา 3 ประเด็นหลัก ได้แก่
1. การวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลจากกัมพูชา ซึ่งละเมิดอธิปไตยของไทย และอนุสัญญาออตตาวา หรือข้อตกลงว่าด้วยการห้ามใช้ สะสม ผลิต และโอน และการทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคล 1997
สำหรับมาตรการดังกล่าว กระทรวงฯ แจ้งรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวาและเลขาธิการ UN (United Nations) ให้เริ่มการสอบสวน รวมถึงเรียกร้องประชาคมระหว่างประเทศให้กดดันกัมพูชา เพื่อกลับมาเก็บกู้ทุ่นระเบิดชายแดนตามกลไกการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee: GBC) ขณะที่ยังเชิญทูตประเทศต่างๆ ร่วมฟังบรรยายสรุป พร้อมลงพื้นที่ในจังหวัดศรีสะเกษ และเข้าพบประชาชนที่ได้รับผลกระทบ
2. การโจมตีประชาชน พื้นที่พลเรือนไทย และโรงพยาบาล ซึ่งละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (International Humanitarian Law: IHL) โดยกระทรวงฯ แจ้งไปยังกลไกระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง เช่น UN, คณะกรรมการกาชาดสากล (International Committee of the Red Cross: ICRC), ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (Office of the United Nations High Commissioner for Human Rights: OHCHR) และกองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (United Nations Children’s Fund: UNICEF)
3. การรุกรานอธิปไตยและละเมิดข้อตกลงหยุดยิงระหว่าง 2 ประเทศ โดยกระทรวงฯ ส่งหนังสือประท้วงกัมพูชาไปถึงกลุ่มประเทศและตัวกลาง ได้แก่ มาเลเซีย ประธานอาเซียน 2025, สหรัฐอเมริกา, จีน และเลขาธิการ UN
สำหรับแนวทางในอนาคต กระทรวงการต่างประเทศยึดมั่นใช้กลไกทวิภาคี เพื่อไม่ให้เกิดการปะทะ พร้อมกับดำเนินการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบทั้งภาคเอกชนและพลเมืองชาวไทย ขณะที่เน้นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีบนเวทีระหว่างประเทศ และประท้วงการกระทำอันมิชอบของกัมพูชา
ขณะเดียวกัน ทางการมุ่งเน้นให้กลไกทวิภาคีอย่าง GBC และการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee: RBC) โดยไทยจะจัดการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Commission: JBC) ในเดือนกันยายนที่กำลังจะถึงนี้ ไปพร้อมกับวางแนวทางกำหนดประเด็นผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (Interim Observer Team: IOT) และผู้สังเกตการณ์จากอาเซียน (ASEAN Observer Team: AOT)
นอกจากนี้กระทรวงต่างประเทศยังทำงานสร้างความเข้าใจต่อประชาคมโลกด้านการรับมือกับข่าวปลอมและสงครามข่าวสาร ควบคู่ไปกับการชี้แจงประเด็นการละเมิดอนุสัญญาออตตาวาและกฎหมายมนุษยธรรมของกัมพูชาบนเวทีพหุภาคีอย่างเวที ICRC, การประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (United Nations General Assembly: UNGA) เดือนกันยายน 2568 และการประชุมผู้นำอาเซียนในเดือนตุลาคม 2568
#กระทรวงการต่างประเทศ #ไทยกัมพูชา #ไทย #กัมพูชา

อยู่บ้านพ่อแม่ก็สบายดีแต่บางทีก็อยากอยู่คนเดียวแล้วเมื่อไหร่คือเวลาที่ควร ‘ย้ายออก’‘อยู่กับพ่อแม่ไม่ต้องจ่ายค่าเช่า แต่อ...
25/08/2025

อยู่บ้านพ่อแม่ก็สบายดี
แต่บางทีก็อยากอยู่คนเดียว
แล้วเมื่อไหร่คือเวลาที่ควร ‘ย้ายออก’
‘อยู่กับพ่อแม่ไม่ต้องจ่ายค่าเช่า แต่อยู่คนเดียวจะพาเพื่อนมาบ้านก็ไม่มีใครว่า’
‘อยู่กับพ่อแม่ไม่ต้องทำความสะอาดบ้าน แต่อยู่คนเดียวจะวางของตรงไหนก็ได้’
หลายคนที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่ได้ออกไปเรียนไกลบ้าน หรือเมื่อถึงวัยทำงานก็สามารถเดินทางไป-กลับระหว่างบ้านกับที่ทำงานได้ไม่ยาก จึงเลือกอาศัยอยู่กับพ่อแม่ในบ้านหลังเดิมที่เติบโตมา และหลายคนปฏิเสธไม่ได้ว่า การอยู่กับครอบครัวทำให้เกิดความสบายในหลายมิติ
เพราะพ่อแม่บางคนยังคอยดูแลเรื่องอาหาร ทำความสะอาดบ้าน หรือซักรีดผ้าให้ด้วย และบางคนก็รู้สึกอุ่นใจกับบรรยากาศที่สมาชิกในครอบครัวได้นั่งกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตา ได้ทำกิจกรรมด้วยกันในบ้าน หรือสามารถติดต่อช่วยเหลือกันได้ทันท่วงทีในกรณีฉุกเฉิน อีกทั้งยังไม่ต้องออกเงินจ่ายค่าเช่าบ้านจำนวนมาก หรือเป็นหนี้ระยะยาว เพราะกู้ซื้อบ้านเป็นของตัวเอง
มีเหตุผลมากมายที่ทำให้หลายคนไม่อยากย้ายออกจากบ้านพ่อแม่ แต่คนกลุ่มนี้ก็มักโดนสังคมครหาว่า ‘ไม่โตเป็นผู้ใหญ่เสียที เพราะพึ่งพาที่อยู่อาศัยจากพ่อแม่’ หรือ ‘ถ้ายังอยู่กับพ่อแม่แล้วจะเริ่มสร้างครอบครัวได้อย่างไร’ และคำกล่าวอื่นๆ จากคนใกล้ตัว ซึ่งลดทอนความมั่นใจแล้วเริ่มตั้งคำถามกับตัวเอง และคิดหนักว่าจะย้ายออกจากบ้านพ่อแม่ดีไหม แล้วถึงเวลาหรือยังที่ต้องย้ายออกไปอยู่ด้วยตัวเอง
บางคนอาจกำลังหาคำตอบว่า อายุเท่านี้ควรอยู่ด้วยตนเองหรือยัง เพราะคนไทยมักเปรียบเทียบกับวัยรุ่นสหรัฐอเมริกา ที่เรามักเห็นตามสื่อต่างๆ ว่า จะเริ่มย้ายออกจากบ้านพ่อแม่ตอนที่เรียนจบไฮสคูล ก็เป็นช่วงอายุประมาณ 18 ปี ซึ่งนับว่าเร็วกว่าเด็กไทยหลายปี เพราะแม้หลายคนจะออกมาอยู่หอคนเดียวตั้งแต่สมัยมหาวิทยาลัย แต่ก็เป็นแค่การฝึกฝนที่ต้องไปกลับช่วงปิดเทอม และพ่อแม่เป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย เมื่อเรียนจบและเริ่มทำงานไกลบ้านจึงเป็นการย้ายออกมาอยู่คนเดียวอย่างสมบูรณ์
เมื่อเทียบกันแล้วอาจใกล้เคียงประเทศในแถบยุโรป เพราะข้อมูลจากเว็บไซต์ Eurostat ที่รวบรวมสถิติด้านต่างๆ อย่างเป็นทางการของสหภาพยุโรประบุว่า ในปี 2022 คนหนุ่มสาวทั่วสหภาพยุโรปออกจากบ้านพ่อแม่โดยเฉลี่ยเมื่ออายุ 26.4 ปี อย่างไรก็ตาม แต่ละประเทศก็มีค่าเฉลี่ยช่วงอายุแตกต่างกัน เพราะอายุเฉลี่ยในโครเอเชีย 33.4 ปีจึงจะย้ายออก สโลวาเกีย 30.8 ปี รวมถึงประเทศกรีซ บัลแกเรีย สเปน มอลตาและอิตาลีก็มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 30 ปี ในขณะเดียวประเทศในยุโรปที่วัยรุ่นย้ายออกเร็วที่สุดคือ ฟินแลนด์ ด้วยอายุเฉลี่ย 21.3 ปี และประเทศสวีเดน เดนมาร์กและเอสโตเนียก็ย้ายออกเร็วไม่แพ้กัน
เมื่อได้เห็นค่าเฉลี่ยของแต่ละประเทศในแถบยุโรป เชื่อว่าหลายคนคงเบาใจว่า เราไม่ใช่เด็กไม่ร้จักโตเสียหน่อย เพราะการจะย้ายออกหรือไม่ล้วนขึ้นอยู่กับสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ และบรรยากาศในครอบครัวของเราเอง ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องอายุ
แต่สำหรับคนที่คิดไม่ตกว่าจะย้ายออกดีไหม ก็มีสิ่งที่ต้องพิจารณานอกเหนือจากอายุ 3 ข้อ ได้แก่
1. เรามีความมั่นคงในหน้าที่การงานและการเงินแล้วหรือยัง
เพราะการย้ายออกจากบ้านพ่อแม่เป็นเรื่องท้าทาย โดยเฉพาะทางการเงิน ทั้งเรื่องค่ามัดจำ ค่าเช่าหรือผ่อนที่พักอาศัย สำหรับบ้านคนอาจเป็นจำนวนเกินครึ่งของเงินเดือน รวมถึงค่าเดินทางที่เมื่อย้ายบ้านแล้วอาจต้องจ่ายค่ารถเพิ่มก็ได้ ไปจนถึงค่าใช้จ่ายในครัวเรือนที่ไม่สามารถหารกับสมาชิกในครอบครัวได้ ทั้งค่าอาหารและค่าข้างของเครื่องใช้ ต้องถามตัวเองว่า เราพร้อมแบกรับค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นหรือไม่
ทั้งนี้ต้องคิดว่า เรามีแผนจะย้ายงานเร็วๆ นี้หรือไม่ เพราะหากลงหลักปักฐานกับบ้านไปแล้ว แต่กลับต้องเปลี่ยนที่ทำงานก็อาจทำให้เดินทางลำบาก หรือภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้นด้วย
2. รู้ว่าตัวเองอยากอาศัยอยู่ที่ไหน
ทำเลที่พักเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องคิดให้รอบคอบ และสำหรับคนที่อยู่บ้านเดิมมาทั้งชีวิตอาจต้องลองพิจารณาดูว่า เราต้องการอะไร เราขับรถเองหรือโดยสารขนส่งสาธารณะ เราชอบเดินห้างหรือชอบซื้อกับข้าวในตลาด อยากวิ่งออกกำลังกายในสวนหรือชอบอยู่ในฟิตเนสก็ต้องเลือกที่พักให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ เมื่อพิจารณาดูแล้วหลายคนอาจพบคำตอบ เช่น เราอยากอาศัยอยู่ในย่านเดิมที่คุ้นชิน เพียงแค่อยากย้ายออกจากบ้านพ่อแม่เท่านั้นเอง
3. ความจำเป็นที่ต้องย้าย
บางคนมีความจำเป็นต้องย้ายออกจากบ้านด้วยการเรียนและหน้าที่การงาน ตลอดจนปัญหาในครอบครัวที่เมื่ออยู่ใกล้ก็ทะเลาะกันเหมือนลิ้นกับฟัน จนส่งผลต่อจิตใจสมาชิกในครอบครัว แต่เมื่อแยกกันอยู่กลับรู้สึกรักกันมากขึ้นเสียอย่างนั้น เพราะมีการเว้นพื้นที่ไว้คิดถึงกันบ้าง
แต่สำหรับหลายครอบครัวอาจไม่มีความจำเป็นที่จะต้องย้ายออก เช่น ครอบครัวรักใคร่กลมเกลียวไม่เคยมีปัญหากับสมาชิกในครอบครัว พ่อแม่คอยดูแลสนับสนุนอยู่ที่บ้านไม่เคยบ่นดุด่า ไม่ต้องจ่ายค่าบ้านหรือค่าน้ำค่าไฟ ที่ทำงานอยู่ใกล้บ้าน เดินทางสะดวกรวดเร็วและประหยัด
แม้บางคนจะไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องย้ายออกจากบ้านพ่อแม่ นอกจากอยากลองอยู่คนเดียวสักครั้งในชีวิต อยากลองมีพื้นที่ส่วนตัวอย่างแท้จริง อาจลองเช่าที่พักระยะสั้นก่อน เพราะสุดท้ายแล้วไม่ใช่ทุกคนที่ชอบอยู่ไกลจากพ่อแม่
อ้างอิง:
- https://www.imoving.com/blog/before-your-move/average-age-to-move-out-of-parents-house/
- https://ec.europa.eu/eurostat/web/products-eurostat-news/w/ddn-20230904-1
#บ้าน #บ้านพ่อแม่ #ย้ายออกจากบ้าน #พื้นที่ส่วนตัว

Photo Journalภาพก่อนวันงานเทศกาลว่าวนานาชาติโคลอมโบ 2025 (Colombo International Kite Festival) ที่กรุงโคลอมโบ เมืองหลวงข...
25/08/2025

Photo Journal
ภาพก่อนวันงานเทศกาลว่าวนานาชาติโคลอมโบ 2025 (Colombo International Kite Festival) ที่กรุงโคลอมโบ เมืองหลวงของประเทศศรีลังกา ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 24 สิงหาคมที่ผ่านมา
สำหรับเทศกาลในปีนี้มีนักเล่นว่าว 55 คน จาก 25 ประเทศทั่วโลกเข้าร่วม โดยได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานส่งเสริมการท่องเที่ยวศรีลังกา (Sri Lanka Tourism Promotion Bureau) ที่หวังดึงให้ผู้คนเข้ามาท่องเที่ยว เพื่อฟื้นเศรษฐกิจด้วยประเพณีการเล่นว่าวที่มีมาอย่างยาวนาน
ภาพ: AFP
#ศรีลังกา #โคลอมโบ #เทศกาลว่าวนานาชาติโคลอมโบ

มือหนึ่งถือแก้วมัทฉะลาเต้ อีกมือเปิดหนังสือของนักเขียนสตรีนิยม (Feminist) ค้างไว้ที่หน้าตรงกลาง พร้อมฟังเพลงของ ‘แคลร์โร...
24/08/2025

มือหนึ่งถือแก้วมัทฉะลาเต้ อีกมือเปิดหนังสือของนักเขียนสตรีนิยม (Feminist) ค้างไว้ที่หน้าตรงกลาง พร้อมฟังเพลงของ ‘แคลร์โร (Clairo)’ หรือ ‘บีบาดูบี (beabadoobee)’ จากหูฟังมีสาย และสะพายกระเป๋าผ้าบนบ่า นี่คืออัตลักษณ์ของ ‘Performative Male’ ที่กำลังถูกพูดถึงไปทั่วโลกในตอนนี้
เมื่อพูดถึง Performative Male หลายคนอาจมองว่า เป็นรสนิยม ความชอบ ความสนใจส่วนตัวของผู้ชายเลือกแต่งตัวดูดี เลือกเสพสื่อเหมือนผู้หญิง หรือเลือกแสดงออกแบบใดก็ได้ และไม่ควรไปแปะป้ายหรือหยามหมิ่นรสนิยมแบบ Performative Male
ทว่านี่เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เพราะแท้จริงแล้วนิยามจาก Urban Dictionary (กรกฎาคม 2025) บอกว่า Performative Male คือ “กลุ่มย่อยของ ‘หนุ่มนิสัยดี (Nice Guy)’ ที่พยายามเข้าถึงความเป็นผู้หญิงมากเกินไปหรือเสแสร้งทำเป็นชอบสิ่งต่างๆ เช่น K-pop กระเป๋าผ้า รักการอ่าน ดื่มมัทฉะ ฟังเลเวย์ (Laufey) หรืออะไรแนวนี้เพื่อเพิ่มความนิยมในหมู่สาวๆ ซึ่งมักจะหมายถึงการละทิ้งตัวตนที่แท้จริง เพื่อสร้างภาพต่อคนรักตลอด 24 ชั่วโมง และอาจนำไปสู่ความตึงเครียดในความสัมพันธ์เมื่อคนรักรู้ว่า เขาทำแบบนั้นเพื่อหวังผลในความสัมพันธ์”
ในสายตาผู้หญิงหัวก้าวหน้าที่กำลังมองหาผู้ชายธงเขียว (Green Flag) ผู้ซึ่งฉลาด เปิดกว้าง และเข้าใจเฟมินิสต์ อาจเคยถูกตาต้องใจผู้ชายสไตล์นี้ แต่ไม่ใช่ในวันนี้ เพราะทุกคนรู้ทันกันหมดแล้วว่าภายในคือธงแดง (Red Flag) และปัญหาของ Performative Male อยู่ที่การเริ่มต้นจากการโกหกปิดบังรสนิยม ตลบตะแลงว่าเป็นเฟมินิสต์ให้ผู้หญิงไว้ใจ อาจนำไปสู่การล่อลวงทางเพศ (Sexual Harassment)
แต่เมื่อเหยื่อไม่ยอมตกหลุมพรางที่ขุดไว้ การพยายามแสดงออกเป็น ‘ลูกแตงโม เขียวนอกแดงใน’ จึงไม่มีประโยชน์อีกต่อไป และภาพของ Performative Male จึงค่อยๆ เลือนหาย เหลือเพียงผู้ชาย ‘ตัวจริง’ ที่เป็นตัวของตัวเองจริงๆ แม้จะมีจำนวนไม่มากก็ตาม
อย่างไรก็ตาม ภาพและคอนเทนต์ของ Performative Male ที่เห็นในโซเชียลฯ ทุกวันนี้เป็นเพียงมีม (Meme) และการล้อเลียน (Parody) ที่ทำขึ้นเพื่อล้อเลียนพวกอาหวัง (คำสแลงไวรัลที่ใช้เรียกผู้ชายสายอบอุ่นที่แสดงออกว่า หวังดีต่อสาวๆ แต่แอบมีเจตนาแฝง) ผู้ชายบางคนจัดอยู่ในกลุ่มเพื่อนหญิงพลังหญิง หรือเป็นเฟมินิสต์ เพียงแต่ไม่ได้ชอบดื่มมัทฉะ ไม่ฟังเพลง หรือไม่อ่านหนังสือที่ถูกหยิบมาเป็นสัญลักษณ์ จนการล้อเลียนกลายเป็นการแสดงซ้อนแสดง ที่ขยายขอบเขตไปกว้างไกลกว่า Performative Male แบบต้นฉบับ (ที่ในวันนี้อาจเปลี่ยนตัวตนกันหมดแล้ว)
รู้ไหมว่า การเอาคืนผู้ชายธงแดงไม่ได้มีเพียงแค่นั้น เพราะอีกหลายเมืองในโลกมีการจัดประกวดแข่งขัน ‘Performative Male Contest’ ชิงรางวัลผู้ชายที่แสดงเก่งที่สุด พร้อมมอบรางวัลให้ จึงเป็นที่มาของคำถามว่า ทำไมต้องเป็นมัทฉะ เพลงของศิลปินหญิงอินดี้ หนังสือสตรีนิยม และกระเป๋าผ้า อะไรทำให้ส่วนผสมเหล่านี้ถูกหยิบมาเป็นสัญลักษณ์ The Momentum จึงชวนไขปริศนาเบื้องหลังองค์ประกอบของ Performative Male
อ่านบทความ ตลบหลัง ‘อาหวัง’ ด้วยมีมล้อเลียน เมื่อผู้หญิงรู้ทัน ‘Performative Male’ คือคนเสแสร้ง แค่การแสดงเหมือนนกยูงตัวผู้รำแพนหาง ได้ทาง https://themomentum.co/feature-performative-male
#อาหวัง

ที่อยู่

33 พระราม9 ซอย 26 แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร
Bangkok
10310

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ The Momentumผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง The Momentum:

แชร์