เกษตรดิจิทัลนิวส์ Kaset Digital news

เกษตรดิจิทัลนิวส์ Kaset Digital news เพจเล็กๆ ที่อยากสื่อสารงานข่าว ด้านเศรษฐกิจ เกษตร สังคม ท่องเที่ยว การศึกษาที่น่าสนใจเป็นประโยชน์❤️🇹🇭❤️

อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ สั่งลุยติดอาวุธแก่ผู้ปฏิบัติหน้าที่ “รองนายทะเบียนสหกรณ์” เสริมความรู้ พัฒนาทักษะ ก้าวทันความเปล...
05/09/2025

อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ สั่งลุยติดอาวุธแก่ผู้ปฏิบัติหน้าที่ “รองนายทะเบียนสหกรณ์” เสริมความรู้ พัฒนาทักษะ ก้าวทันความเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่

ในยุคปัจจุบันที่สภาพแวดล้อมเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยี ส่งผลให้การดำเนินภารกิจของกรมส่งเสริมสหกรณ์ต้องเผชิญความท้าทายหลากหลายรูปแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบทบาทของสหกรณ์จังหวัด ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในฐานะ “รองนายทะเบียนสหกรณ์” และเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนและกำกับดูแลสหกรณ์ในระดับพื้นที่ ตลอดจนเป็นผู้เชื่อมโยงนโยบายของกรมส่งเสริมสหกรณ์ไปสู่ขบวนการสหกรณ์ทั่วประเทศ

นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เปิดเผยว่า ตนในฐานะนายทะเบียนสหกรณ์ให้ความสำคัญในเรื่องการยกระดับและพัฒนาขีดความสามารถของบุคลากรในสังกัดทุกระดับ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าบทบาท “รองนายทะเบียนสหกรณ์” เป็นบทบาทที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการขับเคลื่อนนโยบายกรมส่งเสริมสหกรณ์ รวมถึงนโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้ไปสู่สหกรณ์ในระดับพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในปีงบประมาณ พ.ศ.2569 กรมส่งเสริมสหกรณ์จึงกำหนดแนวทางการขับเคลื่อนนโยบายด้านการสร้างความเข้มแข็งของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร โดยใช้กลไกการพัฒนาสหกรณ์จังหวัด ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในฐานะรองนายทะเบียนสหกรณ์ ให้มีความพร้อมต่อการเผชิญหน้ากับความท้าทายใหม่ ๆ ทั้งด้านบทบาทภารกิจในหน้าที่ การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล การมีส่วนร่วมของชุมชน รวมถึงการกำกับดูแลสหกรณ์ให้มีความโปร่งใส ทันสมัยและเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น
“โครงการสัมมนาทางวิชาการขับเคลื่อนสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรสู่ความเข้มแข็งผ่านการถอดบทเรียนรองนายทะเบียนสหกรณ์ที่จัดขึ้นครั้งนี้ จะช่วยติดอาวุธ เสริมความรู้ และพัฒนาทักษะของผู้ปฏิบัติหน้าที่รองนายทะเบียนสหกรณ์ให้พร้อมรับมือทุกความเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ สามารถปฏิบัติงานตามที่ได้รับมอบหมายจากนายทะเบียนสหกรณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถใช้ดุลพินิจของรองนายทะเบียนสหกรณ์ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม รวมทั้งป้องกันการเกิดข้อบกพร่องต่าง ๆ ที่อาจเกิดในอนาคตได้ ซึ่งจะทำให้สหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรมีประสิทธิภาพในการบริหารงาน โดยส่งผลต่อการยกระดับชั้นของสหกรณ์ให้สูงขึ้น นอกจากนี้ ยังเป็นการเปิดพื้นที่ให้บุคลากรกรมส่งเสริมสหกรณ์

ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางและแนวทางการขับเคลื่อนการส่งเสริมสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรให้มีความเข้มแข็งผ่านการถอดบทเรียนร่วมกัน ตลอดจนการเสวนาให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
แนวทางการส่งเสริมกำกับสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรสู่ความเข้มแข็งอีกด้วย” อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าว
สำหรับโครงการสัมมนาทางวิชาการขับเคลื่อนสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรสู่ความเข้มแข็งผ่านการถอดบทเรียนรองนายทะเบียนสหกรณ์ มีกำหนดจัดระหว่างวันที่ 3 – 5 กันยายน 2568 ณ โรงแรมแกรนด์ พาลาสโซ่ พัทยา จังหวัดชลบุรี ซึ่งโครงการได้รับเกียรติจากวิทยากรจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาร่วมบรรยายให้ความรู้หลายเนื้อหาวิชา เช่น การบรรยายเรื่องกฎหมายการดำเนินคดีแพ่ง / อาญาที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานและการดำเนินธุรกิจสหกรณ์ เพื่อให้ผู้ปฏิบัติหน้าที่รองนายทะเบียนสหกรณ์ มีความรู้ที่จำเป็นสำหรับใช้ในการกำกับดูแลสหกรณ์ให้เป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งจะช่วยป้องกันการกระทำความผิดที่มีความเสี่ยงกระทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และการบรรยายเรื่องการวางแผนทางการเงินเพื่อสร้างความมั่นคงในชีวิต

ผลพวงจากนโยบาย “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” ที่เป็นหนึ่งในเป้าหมายของรัฐบาล และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ภายใต้โครงการ...
28/08/2025

ผลพวงจากนโยบาย “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” ที่เป็นหนึ่งในเป้าหมายของรัฐบาล และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ภายใต้โครงการยกระดับคุณภาพมาตรฐานสินค้าเกษตร (GAP) ที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมส่งเสริมสหกรณ์ ถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการพัฒนาภาคการผลิต เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าสหกรณ์ทั้งตลาดในและต่างประเทศ
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ภายใต้การนำของ “อรรถกร ศิริลัทธยากร” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ซึ่งได้ให้ความสำคัญในเรื่องการยกระดับการทำเกษตรแบบดั้งเดิมให้เป็นเกษตรทันสมัย พร้อมกำหนดให้การส่งเสริมด้านการตลาดสินค้าเกษตรเป็นนโยบายเร่งด่วน ขณะที่กรมส่งเสริมสหกรณ์ที่มีอธิบดี “วิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์” รับไม้ต่อสนองนโยบายอย่างทันท่วงที
มาตรการด้านการผลิตและรวบรวม ผ่านโครงการยกระดับคุณภาพมาตรฐานสินค้าเกษตร (GAP) โครงการส่งเสริมและพัฒนาสินค้าเกษตรอัตลักษณ์พื้นถิ่นและภูมิปัญญาพื้นถิ่นให้มีมูลค่าเพิ่ม รวมถึงการสนับสนุนอุปกรณ์การตลาดที่จำเป็น เพื่อให้สหกรณ์เป็นศูนย์กลางในการรวบรวมและกระจายผลผลิตของสมาชิก เป็นนโยบายสำคัญที่กรมดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง “วิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์” อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าวตอนหนึ่งระหว่างเป็นประธานในพิธีมอบอาคารรวบรวมผลผลิตขนาด 2,000 ตัน ของสหกรณ์การเกษตรโพธิ์ไทร จำกัด อ.โพธิ์ไทร จ.อุบลราชธานี
อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ยังมีด้านการเงิน ผ่านการสนับสนุนเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อปี จากกองทุนพัฒนาสหกรณ์ (กพส.) เพื่อให้สหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรกู้ยืมไปดำเนินธุรกิจต่าง ๆ ตลอดจนการส่งเสริมการค้าทั้งตลาด Offline และตลาด Online ทั้ง 3 มาตรการข้างต้น จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ยกระดับคุณภาพผลผลิตตามมาตรฐาน GAP สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตร อีกทั้งส่งเสริมการเชื่อมโยงสินค้าเกษตร โดยมีสหกรณ์เป็นกลไกในการขับเคลื่อน ถือเป็นการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจฐานรากให้กับสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรอย่างมั่นคง
อย่างไรก็ตามโครงการยกระดับคุณภาพมาตรฐานสินค้าเกษตร กรมส่งเสริมสหกรณ์ได้ดำเนินการขับเคลื่อนผ่านสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร มาตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 จนถึงปัจจุบัน (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2568) โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ได้ดำเนินการจัดทำโครงการยกระดับคุณภาพมาตรฐานสินค้าเกษตร โดยการส่งเสริมสมาชิกและสหกรณ์หรือกลุ่มเกษตรกร ให้มีองค์ความรู้ด้านมาตรฐานสินค้าเกษตร จำนวน 114 แห่ง โดยมีเป้าหมายสมาชิกผู้เข้าร่วมโครงการฯ จำนวน 2,280 ราย
สหกรณ์การเกษตรแก้มลิงหนองเลิงเปือย จำกัด อ.ร่องคำ จ.กาฬสินธุ์ 1 ใน 114 แห่งที่เข้าร่วมโครงการฯ ในปีนี้ โดยนางประมวล ปองได้ ประธานกรรมการสหกรณ์ฯ กล่าวว่าในอดีตที่ผ่านมานั้นการผลิตสินค้าการเกษตร มีจุดอ่อนทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ เมื่อสหกรณ์มีตลาดที่สำคัญในการรับซื้อผลผลิต ได้แก่ ห้างแม็คโคร ห้างบิ๊กซี และโรงพยาบาลกาฬสินธุ์ แต่ต้องมีข้อกำหนดคุณภาพของสินค้าตามมาตรฐานจีเอพี (GAP) ซึ่งเกษตรกรต้องปฏิบัติตามทำให้เกษตรกรเรียนรู้ที่จะวางแผนการผลิตที่ยกระดับสินค้าเกษตรให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น ควบคู่กับมีปริมาณผลผลิตที่สามารถขายได้ตลอดทั้งปี
“สหกรณ์สนับสนุนให้สมาชิกเข้าอบรม Good Agricultural Practices : GAP เพื่อให้สามารถขอรับรองมาตรฐานเครื่องหมาย Q ซึ่งเป็นเครื่องหมายรับรองคุณภาพสินค้าเกษตร เพราะว่าเราจะเอาใบรับรองนี้ไปกับพืชผักเวลาไปส่งให้กับทางโรงพยาบาลกาฬสินธุ์ ห้างแม็คโคร และบิ๊กซี ส่งสัปดาห์ละ 2 วัน (พุธและศุกร์) ส่วนใหญ่ก็จะเป็นต้นหอม ผักชี ผักกาดหอม เคล คะน้า และอีกหลายชนิด โดยสมาชิกจะรวมกลุ่มกันปลูกพืชผักแต่ละชนิด ซึ่งจะสลับหมุนเวียนกันไปตามวงรอบ สมาชิกบางรายก็อาศัยพื้นที่บริเวณข้างบ้านปลูก ผลผลิตได้มาก็ส่งให้กับสหกรณ์ ปัจจุบันสหกรณ์มีสมาชิกอยู่ 200 ราย อาชีพหลักทำนารองลงมาปลูกพืชผัก ทำให้สมาชิกมีรายได้ทุกเดือนเฉลี่ย 3,000 - 4,000 บาท ถือว่าอยู่ได้ นางประมวล กล่าวว่า ในส่วนสหกรณ์จะดูแลเรื่องการตลาดให้กับสมาชิกเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำนำไปลงทุนปลูกพืชผักดังกล่าว
ขณะว่าที่ ร.ต.หญิง บุษกร จงกลรัตน์ นักวิชาการมาตรฐานสินค้า กลุ่มส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจสหกรณ์ สำนักงานสหกรณ์จังหวัดกาฬสินธุ์ กล่าวถึงสหกรณ์การเกษตรแก้มลิงหนองเลิงเปือย จำกัด ซึ่งเข้าร่วมโครงการยกระดับคุณภาพมาตรฐานสินค้าเกษตร ของสมาชิกสหกรณ์ว่าในส่วนสำนักงานสหกรณ์จังหวัดกาฬสินธุ์ ได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปดูแลลงตรวจแปลงอย่างต่อเนื่อง หลังได้มีการประสานเจ้าหน้าที่จากศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรกาฬสินธุ์ มาทำการอบรมการจัดทำมาตรฐานแปลง ซึ่งก็ได้รับความร่วมมือจากสมาชิกเป็นอย่างดี
“ทางเราช่วยในเรื่องการจัดการอบรม ประสานเจ้าหน้าที่จาก ศวพ.กาฬสินธุ์มาอบรมแล้วก็จัดทำและรวบรวมเอกสารต่าง ๆ ของสมาชิกสหกรณ์ให้กับทาง ศวพ.กาฬสินธุ์ เวลาเจ้าหน้าที่เขาลงพื้นที่ตรวจแปลง เราก็จะร่วมตรวจด้วย ส่วนการเลือกสหกรณ์การเกษตรแก้มลิงหนองเลิงเปือย จำกัด เข้าร่วมโครงการเป็นเป้าหมายมาจากกรม เพราะเป็นสหกรณ์ที่มีความพร้อมทั้งอุปกรณ์การตลาดโรงคัดแยกพืชผักและสมาชิกมีความเข้มแข็ง ส่วนปัญหาที่ผ่านมาไม่มียกเว้นเรื่องน้ำต้องใช้น้ำบาดาลและน้ำฝนเท่านั้น เนื่องจากระบบชลประทานยังมาไม่ถึง” นักวิชาการฯ คนเดิมกล่าว
สหกรณ์การเกษตรสอยดาว จำกัด อ.สอยดาว จ.จันทบุรี เป็นอีกสหกรณ์ที่เข้าร่วมโครงการยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตร (GAP) ปัจจุบันมีสมาชิกทั้งหมด 60 ราย มีอาชีพทำสวนลำไยเป็นหลักในการสร้างรายได้ แต่ที่ผ่านมาแปลงปลูกลำไยส่วนใหญ่ยังไม่ได้ยกระดับแปลงปลูกตามมาตรฐานจีเอพี (GAP) เนื่องจากสมาชิกมองว่าการยกระดับแปลงปลูกให้ได้มาตรฐานกับทำแปลงแบบดั้งเดิมราคาจำหน่ายก็ไม่ได้ต่างกัน สมาชิกจึงมุ่งทำแปลงแบบดั้งเดิมเป็นหลัก ทว่าปัจจุบันเริ่มเห็นความแตกต่างมากขึ้นในเรื่องราคาจำหน่าย
”สอยดาวเป็นสหกรณ์เล็ก ๆ มีสมาชิกแค่ 60 ราย ยึดอาชีพทำสวนลำไยเป็นหลัก สมาชิกส่วนใหญ่ทำแปลงปลูกแบบดั้งเดิม ไม่มีมาตรฐานจีเอพี (GAP) แต่มีสมาชิกที่เข้าร่วมโครงการฯ เพียง 20 รายเท่านั้น เป็นเพราะสหกรณ์ไม่มีทุนเพียงพอรับซื้อผลผลิตจากสมาชิก เราจึงเน้นสมาชิกไม่มีตลาดรองรับก่อน ส่วนใหญ่ดีลตรงกับล้งอยู่แล้ว” นางธำรงลักษณ์ นักเสียง ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจสหกรณ์ สำนักงานสหกรณ์จังหวัดจันทบุรี เผยสาเหตุคัดเลือกสหกรณ์การเกษตรสอยดาว จำกัด ให้เป็นสหกรณ์ที่เข้าร่วมโครงการฯ โดยยอมรับว่าการยกระดับมาตรฐานสวนลำไยจีเอพี (GAP) มีข้อแตกต่างอย่างชัดเจนกับการทำสวนแบบดั้งเดิม หากไม่มีใบรับรองมาตรฐานจีเอพี (GAP) กำกับในการซื้อขายผลผลิตในอนาคตจะลำบาก หากต้องส่งออกผลผลิตไปยังต่างประเทศ นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการสำหรับเกษตรกรทั่วไป แต่หากเป็นสมาชิกสหกรณ์ฯ ทุกอย่างจะฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายทั้งการฝึกอบรม การประสานเจ้าหน้าที่ ศวพ.ที่ 6 จันทบุรีมาฝึกอบรมให้ความรู้การจัดการแปลง ตลอดจนการจัดทำเอกสารยื่นขอจีเอพี (GAP) ซึ่งทางสำนักงานสหกรณ์จังหวัดจันทบุรี ดำเนินการให้ทั้งหมด
“เราเข้าไปดูแลจัดอบรม โดยประสานไปยัง ศวพ.6 จันทบุรี ส่งเจ้าหน้าที่มาอบรมให้ความรู้ให้ที่สหกรณ์ฯ สอยดาว ทำให้จบตรงนั้นเลย โดยสมาชิกไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเดินทางไป ศวพ.6 จันทบุรี ระยะทางก็ไกล ประมาณ 70 กิโลเมตร บางรายที่มีใบจีเอพี (GAP) อยู่แล้วแต่หมดอายุก็มาต่อได้ สหกรณ์ฯ เป็นผู้ประสานให้ ต่อไปการต่อใบอนุญาตแต่ละครั้งจะมีค่าใช้จ่าย แต่ถ้าเป็นสมาชิกสหกรณ์ไม่ต้องเสีย แต่ก่อนไม่มีใครสนใจ ทำให้ตอนนี้มีแต่คนอยากเข้ามาเป็นสมาชิกมากขึ้น นี่คือข้อดีของการเป็นสมาชิกสหกรณ์” นางธำรงลักษณ์ กล่าวย้ำ
นับเป็นอีกก้าวของขบวนการสหกรณ์ไทยในการยกระดับมาตรฐานสินค้าสหกรณ์ผ่านแปลงปลูกจีเอพี (GAP) ตามนโยบายกรมส่งเสริมสหกรณ์เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภคสู่ความยั่งยืนของเกษตรกรสมาชิก

ส.ป.ก.ออกโฉนดเพื่อการเกษตร ทะลุ 7 ล้านไร่    ส.ป.ก.ออกโฉนดเพื่อการเกษตรกว่า 7 ล้านไร่ พร้อมย้ำเร่งออกโฉนดเพื่อการเกษตรให...
23/08/2025

ส.ป.ก.ออกโฉนดเพื่อการเกษตร ทะลุ 7 ล้านไร่

ส.ป.ก.ออกโฉนดเพื่อการเกษตรกว่า 7 ล้านไร่ พร้อมย้ำเร่งออกโฉนดเพื่อการเกษตรให้ได้ตามเป้า ภายใน 2 ปี

ตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้ประชาชนสามารถใช้ประโยชน์จากทรัพย์สิน เพื่อสร้างอาชีพรายได้ และความมั่นคงในชีวิต โดยจะเร่งดำเนินการให้ประชาชนมีสิทธิในที่ดิน โดยพิจารณาเอกสารสิทธิการใช้ประโยชน์ในที่ดิน ให้เป็นโฉนดเพื่อการเกษตร เพื่อสามารถนำไปต่อยอด เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้นั้น โดยสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อ เกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ได้ดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ในการยกระดับมูลค่าที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน เพื่อทำให้ เกษตรกรสามารถใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ไปต่อยอดเข้าถึงแหล่งทุน เพื่อนำมาพัฒนาที่ดินในการสร้างโอกาสการ มีอาชีพ รายได้ และคุณภาพชีวิตระยะยาว ซึ่งได้ดำเนินการจัดทำโครงการปรับปรุงหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก.4-01) เป็นโฉนดเพื่อการเกษตร ภายใน 2 ปี ในพื้นที่เขตปฏิรูปที่ดิน จำนวน 67 จังหวัด ซึ่งในปัจจุบันมีผลการดำเนินงานรับคำขออออกโฉนดเพื่อการเกษตร จำนวน 1.604,927 แปลง 18.16 ล้านไร่ คิดเป็น ร้อยละ 90.16 และออกโฉนดเพื่อการเกษตร จำนวน 652,597 แปลง 7.02 ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ 36.66 (ข้อมูล ณ วันที่ 18 ส.ค.68)

นายเศรษฐเกียรติ กระจ่างวงษ์ เลขาธิการ ส.ป.ก. กล่าวว่า “จากนโยบายการยกระดับ ส.ป.ก. 4-01 เป็น โฉนดเพื่อการเกษตร ส.ป.ก.ได้ดำเนินการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาล และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า จนถึงปัจจุบันสามารถดำเนินการออกโฉนดเพื่อการเกษตรได้กว่า 7 ล้านไร่ โดยมี เป้าหมายการดำเนินงาน ในพื้นที่เขตปฏิรูปที่ดิน จำนวน 67 จังหวัด โดยส่วนกลางได้ส่งทีม Alro force ลงปฏิบัติภารกิจสนับสนุนสำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดในการปฏิบัติงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย”

ทั้งนี้ ส.ป.ก. ได้จัดทีมหน่วยเคลื่อนที่เร็ว (ALRO FORCE) เพื่อลงพื้นที่สนับสนุนการปฏิบัติงานของสำนักงาน การปฏิรูปที่ดินจังหวัดช่วงเดือนมิถุนายน – สิงหาคม 2568 ในภารกิจการรับคำขอออกโฉนดเพื่อการเกษตร จำลองรูป แผนที่แปลงที่ดินเพื่อจัดทำโฉนดเพื่อการเกษตร และตรวจแผนที่แปลงที่ดิน ซึ่งมีผลการปฏิบัติงานรับยื่นคำขอออก โฉนดเพื่อการเกษตร จำนวน 7,596 แปลง และจำลองรูปแผนที่แปลงที่ดินเพื่อออกโฉนด จำนวน 4,335 แปลง ตรวจแผนที่ แปลงที่ดิน 2,138 แปลง

#โฉนดเพื่อการเกษตร #เพิ่มมูลค่าที่ดิน #โอกาสใหม่

กรมส่งเสริมสหกรณ์ คว้าอันดับ 1 ผลประเมิน ITA กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 2 ปีซ้อนย้ำจุดยืนบริหารองค์กรด้วยหลักธรรมาภิบาล โปร่ง...
21/08/2025

กรมส่งเสริมสหกรณ์ คว้าอันดับ 1 ผลประเมิน ITA กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 2 ปีซ้อน
ย้ำจุดยืนบริหารองค์กรด้วยหลักธรรมาภิบาล โปร่งใส ตรวจสอบได้

ภายหลังจากที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ประกาศผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment : ITA) ประจำปีงบประมาณ 2568 ซึ่งปรากฏว่า “กรมส่งเสริมสหกรณ์” ได้รับผลคะแนน 98.40 คะแนน จัดเป็นหน่วยงานระดับ “ผ่านดีเยี่ยม” คว้าอันดับ 1 ของหน่วยงานในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน และอันดับ 10 ของประเทศ ในประเภทกรมหรือเทียบเท่า นอกจากนี้ คะแนน 98.40 ยังเป็นคะแนนที่สูงที่สุดนับตั้งแต่กรมส่งเสริมสหกรณ์เข้ารับการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (ITA) อีกด้วย

ด้านนายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เปิดเผยว่า หลังจากได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ ตนได้ตระหนักและเล็งเห็นความสำคัญของการประเมิน ITA จึงได้มีการมอบนโยบายในการแต่งตั้งคณะทำงานคุณธรรมและความโปร่งใสภายในหน่วยงานของกรมส่งเสริมสหกรณ์ เพื่อมอบหมายให้ผู้บริหารภายในหน่วยงานแต่ละกอง/สำนัก เข้ามามีบทบาท หน้าที่รับผิดชอบ และมีส่วนร่วมในการประเมิน ITA เพิ่มขึ้น ประกอบกับมีการสร้างความเข้าใจในข้อคำถามเกี่ยวกับการตอบแบบประเมิน ITA ในทุกตัวชี้วัด โดยมีการรวบรวมข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับการประเมิน ITA จากแต่ละปีมาวิเคราะห์หาจุดบกพร่องที่ต้องเร่งแก้ไข พร้อมกับนำคำแนะนำของสำนักงาน ป.ป.ช มาปรับปรุง และเสนอต่อที่ประชุมคณะทำงานคุณธรรมและความโปร่งใสของกรมส่งเสริมสหกรณ์ เพื่อหาแนวทางขับเคลื่อนงานให้เกิดประสิทธิภาพร่วมกัน

“รางวัลนี้ถือเป็นรางวัลที่สร้างความภาคภูมิใจแก่บุคลากรกรมส่งเสริมสหกรณ์ ในด้านการเปิดเผยข้อมูลสาธารณะและการบริหารงานด้วยหลักคุณธรรมและความโปร่งใส ซึ่งตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ.2564 เป็นต้นมา กรมส่งเสริมสหกรณ์ต่างได้รับคะแนนผลการประเมิน ITA ในระดับสูง (ปี 2564 ได้ 93.80 คะแนน , ปี 2565 ได้ 93.90 คะแนน , ปี 2566 ได้ 96.61 คะแนน , ปี 2567 ได้ 95.39 คะแนน และ ปี 2568 ได้ 98.40 คะแนน) ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของกรมที่ต้องการปรับปรุงการบริหารงานและกำกับดูแลการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพ โปร่งใส ตรวจสอบได้ และเกิดประโยชน์ต่อประชาชนให้มากที่สุด” อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าว

สำหรับการเตรียมความพร้อมการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment : ITA) ในอนาคต อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เน้นย้ำว่ากรมจะไม่หยุดพัฒนา โดยจะดำเนินการนำผลการประเมิน ITA และคำแนะนำของสำนักงาน ป.ป.ช. มาปรับปรุงและพัฒนาการปฏิบัติงานของกรมให้มีประสิทธิภาพ มีความโปร่งใส พร้อมทั้งสร้างการรับรู้และความเข้าใจแก่บุคลากรของกรม รวมถึงบุคคลภายนอกอย่างสม่ำเสมอด้วย

เปิดแผนแก้ปัญหาหนี้สินสมาชิกสหกรณ์ - กลุ่มเกษตรกรกว่า 2 แสนล้าน มุ่งลดหนี้ เพิ่มรายได้ สร้างวินัยทางการเงิน     กรมส่งเส...
19/08/2025

เปิดแผนแก้ปัญหาหนี้สินสมาชิกสหกรณ์ - กลุ่มเกษตรกรกว่า 2 แสนล้าน มุ่งลดหนี้ เพิ่มรายได้ สร้างวินัยทางการเงิน
กรมส่งเสริมสหกรณ์ เพิ่มความเข้มข้นแก้ไขปัญหาหนี้สินสมาชิกสหกรณ์-กลุ่มเกษตรกรกว่า 2 แสนล้าน ตั้งคณะทำงานลงลึกระดับจังหวัด จัดทีมโค้ชร่วมปรึกษาแก้หนี้ยั่งยืน เพิ่มรายได้เสริม ควบคู่สร้างวินัยทางการเงิน ตั้งเป้าปี 2568 ลดมูลหนี้ค้างชำระไม่ต่ำกว่า 25%
จากเป้าหมายปี 2568 ของกรมส่งเสริมสหกรณ์ โดย นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ ที่มุ่งพัฒนาสหกรณ์ ให้มีความเข้มแข็งเป็นสถาบันเกษตรกรที่มีบทบาทในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของสมาชิก ควบคู่กับการพัฒนาบุคลากรกรมส่งเสริมสหกรณ์ ให้มีศักยภาพในการทำงานสูง สามารถเข้าไปดำเนินงานร่วมกับสหกรณ์ที่รับผิดชอบได้ เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ได้แก่
• ตลาดนำการผลิต
• การแก้ปัญหาหนี้สินสมาชิกสหกรณ์ โดยตั้งเป้าหมายไว้ให้ได้อย่างน้อย 25% ของหนี้ NPL
• การส่งเสริมปริมาณธุรกิจสหกรณ์ให้เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 3%
• ฟื้นฟูสหกรณ์ที่ขาดทุนสะสมให้มีกำไรเพิ่มขึ้น 25%
• การพัฒนาความเข้มแข็งของสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกร ให้มีความเข้มแข็ง ชั้น 1 และชั้น 2 เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ไม่น้อยกว่า 2%
• การพัฒนาบุคลากรของสหกรณ์ และของกรม ให้มีศักยภาพการทำงานสูงขึ้น

นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าวว่า กรมส่งเสริมสหกรณ์ ในฐานะหน่วยงานสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่มีหน้าที่ในการแนะนำ ส่งเสริม และสนับสนุนพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกรให้ดีขึ้นผ่านขบวนการสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร เล็งเห็นความจำเป็นในการแก้ไขปัญหาหนี้สินครัวเรือนของสมาชิกสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร
ขณะเดียวกัน ยังสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม และแผนการปฏิรูปประเทศด้านเศรษฐกิจ รวมทั้งนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการแก้ไขปัญหาความยากจนของเกษตรกร เพื่อทำให้ภาระหนี้ครัวเรือนที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นให้ลดลง
ทั้งนี้ จากสภาพปัญหาหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้นของประเทศไทย แสดงให้เห็นว่า ประชาชนมีรายได้น้อยกว่ารายจ่าย ซึ่งปัญหารายได้น้อยกว่ารายจ่ายนี้ ย่อมหมายถึงรายได้สุทธิของประชาชนที่ติดลบ ทำให้มีโอกาสน้อยในการเข้าถึงแหล่งเงินเพื่อนำมาเป็นทุนในการประกอบอาชีพ เช่น ธนาคารรัฐ ธนาคารพาณิชย์ โดยเฉพาะเกษตรกร ซึ่งมีรายได้ไม่แน่นอน มีความเสี่ยงในการประกอบอาชีพสูง อันเกิดจากสภาพภูมิอากาศที่มีความแปรปรวน จนเกิดเป็นภัยพิบัติต่าง ๆ เช่น ภัยแล้ง น้ำท่วม สถาบันการเงินระดับชุมชน โดยเฉพาะสหกรณ์ จึงเป็นแหล่งเงินทุนที่เกษตรกรคาดหวังว่าจะสามารถเป็นที่พึ่งได้ เกษตรกร จึงหันมาพึ่งพาสหกรณ์เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ จากข้อมูลกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ พบว่า ระดับหนี้สินของสมาชิกสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกร ในปี 2565 จากหนี้สิน จำนวน 209,865 บาท/คน เพิ่มขึ้นในปี 2566 เป็นจำนวน 219,192 บาท/คน หรือเพิ่มขึ้น 4.44% โดยในภาพรวมเป็นลูกหนี้ผิดนัดชำระ/หนี้ NPL ในปี 2566 จำนวน 50,663.34 ล้านบาท เพิ่มขึ้นในปี 2567 เป็นจำนวน 51,682.21 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 2.01%
ดังนั้น จึงได้มอบหมายให้ กองพัฒนาระบบสนับสนุนการสหกรณ์ เร่งเดินหน้าแก้ไขปัญหาหนี้สินและพัฒนาคุณภาพชีวิตสมาชิกสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร ด้วยระบบสหกรณ์ เพื่อให้สหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรมีการบริหารจัดการสินเชื่อที่มีประสิทธิภาพ สมาชิกมีความสามารถในการบริหารจัดการหนี้ตนเอง วางแผนทางการเงิน สร้างวินัยทางการเงิน สามารถสร้างรายได้เพิ่มเพื่อลดหนี้และเพิ่มรายได้

นายบรรจง ชัยขุนพล ผู้อำนวยการกองพัฒนาระบบสนับสนุนการสหกรณ์ กล่าวว่า สำหรับกองพัฒนาระบบสนับสนุน การสหกรณ์ โดยกลุ่มพัฒนาระบบการแก้ไขปัญหาหนี้ มีกรอบพันธกิจในการพัฒนาระบบการแก้ไขปัญหาหนี้สินของสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร สมาชิกสหกรณ์ และสมาชิกกลุ่มเกษตรกร รวมถึงการสำรวจภาวะหนี้สินของสมาชิกสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร ตลอดจนกำหนดแนวทาง มาตรการ การติดตามและประเมินผล เพื่อให้ความช่วยเหลือ แก้ไขปัญหาหนี้สิน ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
พร้อมกันนี้ ได้นำกรอบแนวคิดในการแก้ไขปัญหาหนี้แบบองค์รวมอย่างยั่งยืน ตามแนวทางของธนาคารแห่งประเทศไทย มาเป็นกรอบแนวทางในการแก้ไขปัญหาหนี้สินของสมาชิกสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร โดยเฉพาะหนี้ NPL ดังนี้

กรอบแนวทางในการแก้ไขปัญหาหนี้สิน
1. การสร้างข้อมูลและองค์ความรู้ : การสร้างฐานข้อมูลลูกหนี้ สอบทานศักยภาพและความสามารถในการชำระหนี้ของสมาชิก จำแนกกลุ่มลูกหนี้ วิเคราะห์ศักยภาพในการชำระหนี้ของสมาชิกให้องค์ความรู้กระบวนการจัดการสินเชื่อ
2. การแก้หนี้เก่าให้ลดและปลดหนี้ได้ : การกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้ที่มีปัญหา ให้ข้อมูล สินเชื่อที่เหมาะสม บริหารจัดการหนี้ตามศักยภาพลูกหนี้ เช่น ปรับโครงสร้างหนี้ ลด/งดคิดดอกเบี้ยและค่าปรับ ขยายระยะเวลาการชำระหนี้ การดำเนินตามกฎหมาย
3. การปล่อยหนี้ใหม่ให้ยั่งยืน ทั่วถึง และตอบโจทย์ : การปล่อยสินเชื่อใหม่ที่ตรงกับศักยภาพและความเสี่ยงของสมาชิก ส่งเสริมการปล่อยสินเชื่ออย่างมีความรับผิดชอบ สนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ
4. การเพิ่มรายได้และศักยภาพครัวเรือนเกษตร : การเพิ่มศักยภาพของครัวเรือนลูกหนี้ควบคู่กับการแก้หนี้ ส่งเสริมอาชีพหลักและอาชีพเสริม สนับสนุนการเข้าถึงช่องทางการตลาด สนับสนุนสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรให้เป็นกลไกในการบริการสมาชิก
5. การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันและความรู้ความเท่าทันทางการเงิน : การให้ความรู้สร้างทักษะการบริหารจัดการเงินและการบริหารจัดการหนี้ สร้างวินัยทางการเงิน
กรมส่งเสริมสหกรณ์ จึงได้จัดทำโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินและพัฒนาคุณภาพชีวิตสมาชิกสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกรด้วยระบบสหกรณ์ เพื่อส่งเสริมให้สหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรดำเนินการแก้ไขปัญหาหนี้ของสมาชิกและมีการบริหารจัดการสินเชื่อ ที่มีประสิทธิภาพ การส่งเสริมให้สมาชิกสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรมีความรู้ในการวางแผนทางการเงินและสามารถบริหารจัดการหนี้ของตนเองได้ และเสริมสร้างรายได้ให้แก่สมาชิกโดยผ่านกลไกการให้บริการของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรเป้าหมาย

ในส่วนของการดำเนินงานนั้น กองพัฒนาระบบสนับสนุนการสหกรณ์ ได้ดำเนินการอย่างเข้มข้นมาตั้งแต่ปี 2566 และขับเคลื่อนแผนงานอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ด้วยการแต่งตั้งคณะทำงานแก้ไขปัญหาหนี้ฯ ระดับจังหวัด การแต่งตั้งทีมงานส่งเสริมการแก้ไขปัญหาหนี้ (ทีมโค้ช) ของสำนักงานสหกรณ์จังหวัด และทีมปฏิบัติการของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร โดยการร่วมกันวิเคราะห์ปัญหา สาเหตุ และร่วมกันหาแนวทางแก้ไขปัญหาหนี้ของสมาชิกสหกรณ์ในพื้นที่
นอกจากนี้ ยังมุ่งจัดอบรมให้ความรู้กับทีมโค้ชและทีมปฏิบัติการในเรื่องเกี่ยวกับการบริหารสินเชื่อ แนวทางการแก้ไขหนี้ การสร้างภูมิคุ้มกัน/วินัยทางการเงินแก่สมาชิก และส่งเสริมอาชีพให้สมาชิกมีรายได้ รวมถึงการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ แนะนำส่งเสริมให้สหกรณ์จัดทำแผนการแก้ปัญหาหนี้สินสมาชิก แผนการส่งเสริมอาชีพ
ตลอดจนส่งเสริมสนับสนุนการส่งเสริมอาชีพให้แก่สมาชิก เพื่อสร้างรายได้และมีความสามารถในการชำระหนี้ โดยอบรมให้ความรู้ในการส่งเสริมอาชีพ และการวางแผนทางการเงิน ให้สหกรณ์สนับสนุนปัจจัยการผลิตและการตลาด ขณะที่กรมส่งเสริมสหกรณ์สนับสนุนเงินกองทุนพัฒนาสหกรณ์ในการลงทุนในการประกอบอาชีพให้แก่สมาชิก และติดตาม กำกับ ดูแล การแก้ไขปัญหาหนี้ และรายงานผลการดำเนินการ

เปิดผลสำเร็จโครงการปี 2566 - 2568
นับจากปี 2566 จนถึงปี 2568 มีกลุ่มสหกรณ์เป้าหมายเข้าร่วมโครงการ ดังนี้
หนึ่งในตัวอย่างของความสำเร็จในการให้คำปรึกษา หาแนวทางร่วมแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกร ได้แก่ สหกรณ์การเกษตรสทิงพระ จำกัด ที่ดำเนินโครงการแก้หนี้ แก้จน โดยเริ่มจากการส่งเสริมอาชีพสมาชิกเพื่อให้มีรายได้เพิ่มและสามารถนำมาจ่ายหนี้สหกรณ์คืนได้ตามกำหนดเวลา ซึ่งจากสภาพพื้นที่พบว่า ชาวบ้านส่วนใหญ่มีอาชีพทำนาปลูกข้าวปีละครั้ง และทำตาลโตนดมีรายได้ไม่แน่นอน สำนักงานสหกรณ์จังหวัดสงขลาจึงร่วมกับสหกรณ์การเกษตรสทิงพระ จำกัด ในการส่งเสริมให้สมาชิกปลูกพืชระยะสั้น และบูรณาการกับหน่วยงานต่าง ๆ มาดูแลในเรื่องต่างๆ ทั้งดินและน้ำ ส่วนสหกรณ์จะดูแลการรวบรวมผลผลิตและการตลาด
สหกรณ์การเกษตรสทิงพระ จำกัด ถือว่าเป็นสหกรณ์ต้นแบบของโครงการแก้หนี้แก้จนที่เห็นความสำคัญในการให้สมาชิกมีรายได้ เริ่มต้นจากการนำทุนสวัสดิการสหกรณ์ไปส่งเสริมจัดหาพันธุ์พืชให้เกษตรกรสมาชิกที่เข้าร่วมโครงการ ส่งเสริมระบบแหล่งน้ำ แหล่งเงินทุน ตลอดจนจัดหาตลาดให้ เมื่อเห็นผลจึงมีการขยายพื้นที่อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเป็นโครงการต้นแบบ เพื่อขยายผลไปยังสหกรณ์การเกษตรอื่น ๆ ต่อเนื่อง
ก่อนเข้าร่วมโครงการฯ ในปี 2566 สหกรณ์การเกษตรสทิงพระ จำกัด มีมูลหนี้ค้างชำระ รวม 4,005,644.44 บาท ซึ่งมีดอกเบี้ยค้างรับ 946,991.72 บาท โดยหลังจากเข้าร่วมโครงการ ในปี 2568 ดอกเบี้ยค้างชำระลดลงเหลือ 490,272.35 บาท คิดเป็นลดลง 53%
สำหรับในปีงบประมาณ 2569 กรมส่งเสริมสหกรณ์ ยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกร ควบคู่กับการให้ความรู้ สร้างวินัยทางการเงิน ส่งเสริมการสร้างอาชีพเพื่อเพิ่มรายได้ เพื่อลดหนี้และนำไปสู่การปลดหนี้ เพื่อการแก้ไขปัญหาหนี้อย่างยั่งยืนต่อไป

บอร์ดพืชน้ำมันฯ ไฟเขียวเปิดโควตานำเข้า 3 กลุ่มสินค้า กากถั่วเหลือง-เมล็ดถั่วเหลือง-มะพร้าวกำหนดกรอบ 3 ปี พร้อมวางกลไกสร้...
19/08/2025

บอร์ดพืชน้ำมันฯ ไฟเขียวเปิดโควตานำเข้า 3 กลุ่มสินค้า กากถั่วเหลือง-เมล็ดถั่วเหลือง-มะพร้าวกำหนดกรอบ 3 ปี พร้อมวางกลไกสร้างสมดุล ยกระดับรายได้เกษตรกร

นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2568 นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งได้รับมอบหมายจาก นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช ครั้งที่ 1/2568 ณ ห้องกิติยากรวรลักษณ์ กระทรวงพาณิชย์ โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม เพื่อพิจารณาแนวทางการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมพืชน้ำมันและน้ำมันพืชของประเทศให้มีความมั่นคงและยั่งยืน ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบในประเด็นสำคัญเพื่อบริหารจัดการสินค้าพืชน้ำมันและน้ำมันพืชให้เกิดความสมดุล ทั้งในมิติของการสร้างความมั่นคงทางวัตถุดิบให้กับภาคอุตสาหกรรม และการดูแลเกษตรกรในประเทศ โดยมีสาระสำคัญดังนี้

1. การเปิดตลาดและการบริหารการนำเข้าสินค้ากากถั่วเหลืองที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมผลิตเพื่อมนุษย์บริโภค และกากถั่วเหลืองที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมอื่น ๆ ปี คราวละ 3 ปี (ปี 2568 – 2570) ตามพันธกรณีตามความตกลงการเกษตรภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) ปริมาณ 230,559 ตัน อัตราภาษีในโควตาร้อยละ 10 นอกโควตาร้อยละ 133 และความตกลงการค้าเสรี (FTA) อื่นๆ ตามข้อผูกผันไว้ ซึ่งกากถั่วเหลืองที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมผลิตเพื่อมนุษย์บริโภค จะต้องเป็นกากถั่วเหลืองฯ Non GMO เพื่อให้อุตสาหกรรมแปรรูปอาหารเช่น ซอส ซีอิ้ว เป็นต้น เพื่อลดต้นทุนและสามารถแข่งขันกับผลิตภัณฑ์ต่างประเทศได้ พร้อมหลักเกณฑ์การจัดสรรปริมาณการนำเข้าในโควตาภายใต้พันธกรณี WTO สำหรับสินค้ากากถั่วเหลืองฯ เพื่อสร้างความอำนวยสะดวกให้กับผู้ประกอบการ

2. การเปิดตลาดและบริหารการนำเข้าเมล็ดถั่วเหลือง (ปี 2569 – 2571) เห็นชอบให้เปิดตลาดและบริหารการนำเข้าเมล็ดถั่วเหลืองเป็นระยะเวลา 3 ปี ภายใต้พันธกรณี WTO โดยไม่จำกัดปริมาณและมีอัตราภาษีร้อยละ 0 เนื่องจากความต้องการใช้ในประเทศสูงถึง 3.6 – 4.0 ล้านตันต่อปี ขณะที่ผลผลิตในประเทศมีเพียง 15,000 - 16,000 ตันต่อปี มาตรการดังกล่าวจะช่วยให้มีวัตถุดิบเพียงพอสำหรับอุตสาหกรรมสกัดน้ำมัน อาหารสัตว์ และแปรรูปอาหาร พร้อมกันนี้ ที่ประชุมได้กำหนดกลไกดูแลเกษตรกรอย่างเข้มแข็ง ได้แก่ การยกระดับราคา คาดการณ์ว่าราคาถั่วเหลืองในประเทศปี 2569 จะปรับตัวสูงขึ้นไม่น้อยกว่ากิโลกรัมละ 1 บาท เพื่อสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรขยายพื้นที่เพาะปลูก สนับสนุนการรวบรวม ซึ่งภาคเอกชนพร้อมสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการรวบรวมผลผลิตให้แก่สหกรณ์การเกษตร/วิสาหกิจชุมชน เพิ่มขึ้นในอัตรากิโลกรัมละ 2 บาท เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้สถาบันเกษตรกร

3. การเปิดตลาดและบริหารการนำเข้ามะพร้าวและผลิตภัณฑ์ (ปี 2569 – 2571) เห็นชอบให้เปิดตลาดและบริหารการนำเข้าสินค้าน้ำมันถั่วเหลืองและแฟรกชัน, มะพร้าว, มะพร้าวฝอย, เนื้อมะพร้าวแห้ง และน้ำมันมะพร้าวและแฟรกชัน เป็นระยะเวลา 3 ปี ภายใต้พันธกรณี WTO และ FTA อื่นๆ โดยเน้นการสร้างสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทานในประเทศ รักษาเสถียรภาพราคาไม่ให้เกิดความผันผวนจนส่งผลกระทบต่อเกษตรกรผู้ปลูกมะพร้าว พร้อมหลักเกณฑ์การจัดสรรปริมาณการนำเข้าในโควตาภายใต้พันธกรณี WTO
ทั้งนี้ ที่ประชุมยังแต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับดูแลที่มีตัวแทนจากทุกภาคส่วนร่วมบริหารจัดการ โดยแต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับดูแล ประกอบด้วยภาครัฐ เกษตรกร และเอกชน เพื่อกำกับดูแลการดำเนินการให้เป็นไปตามมติอย่างมีประสิทธิภาพ โดยแต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหารจัดการสินค้ามะพร้าว มีปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานอนุกรรมการ เพื่อให้การบริหารจัดการสินค้ามะพร้าวและผลิตภัณฑ์ เป็นไปตามนโยบาย เงื่อนไข และมาตรการนำเข้าสินค้ามะพร้าว ตามมติคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช และยังได้มีมติแต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับ ดูแลเมล็ดถั่วเหลือง โดยมี เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร เป็นประธานอนุกรรมการ เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลการนำเข้าให้เป็นไปตามนโยบายที่กำหนด

“การประชุมครั้งนี้ ถือเป็นการกำหนดการบริหารจัดการสินค้าพืชน้ำมันและน้ำมันพืชตลอดโซ่อุปทานให้เป็นไปอย่างมีระบบ สอดคล้องกับพันธกรณีการค้าระหว่างประเทศ พร้อมสร้างความเชื่อมั่นว่าภาคอุตสาหกรรมจะมีวัตถุดิบอย่างเพียงพอ ขณะเดียวกันก็มีกลไกที่ชัดเจนในการดูแล และยกระดับรายได้ให้แก่เกษตรกรอย่างเป็นรูปธรรม” เลขาธิการ สศก. กล่าว

อธิบดีทวีศักดิ์ โชว์ผลงานงบฯ ปี 68 สนองนโยบายเร่งด่วน ขับเคลื่อนการดำเนินงาน 6 ด้าน ก้าวสู่ “องค์การอัจฉริยะทางดิน ขับเค...
17/08/2025

อธิบดีทวีศักดิ์ โชว์ผลงานงบฯ ปี 68 สนองนโยบายเร่งด่วน ขับเคลื่อนการดำเนินงาน 6 ด้าน ก้าวสู่ “องค์การอัจฉริยะทางดิน ขับเคลื่อนการใช้ที่ดินอย่างเหมาะสม 15 ล้านไร่ ภายในปี 2570”

กรมพัฒนาที่ดิน เปิดผลงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ขับเคลื่อนนโยบายเร่งด่วนของกระทรวงเกษตรฯ และนโยบายของรัฐบาลด้านเกษตรเป็นไปตามเป้า เน้นการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม เพื่อการอนุรักษ์ดินและน้ำ และการใช้ข้อมูลเชิงพื้นที่เพื่อการวางแผนการใช้ที่ดิน โดยพื้นที่เกษตรกรรมที่ได้รับการบริหารจัดการด้านเทคโนโลยีด้านพัฒนาที่ดินให้เกิดความสมดุลและยั่งยืน

ดร.ทวีศักดิ์ ธนเดโชพล อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน ได้ขับเคลื่อนนโยบายด้านการพัฒนาที่ดิน ทั้งที่เป็นนโยบายเร่งด่วนของกระทรวงเกษตรฯ และนโยบายของรัฐบาลด้านเกษตร 9 ด้าน ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มอบหมายให้ส่วนราชการภายใต้สังกัด เร่งรัดการดำเนินการตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ 2568 ซึ่งกรมพัฒนาที่ดินได้มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนนโยบายเร่งด่วนใน 6 ด้าน ประกอบด้วย
1. การพัฒนาสู่เกษตรทันสมัยด้วยเทคโนโลยีด้านการเกษตร (Agri Tech) มุ่งเน้นเพิ่มศักยภาพการพัฒนาเกษตรทันสมัยด้วยระบบแผนที่เกษตร เพื่อการบริหารจัดการเชิงรุก ภายใต้การดำเนินงานการปรับเปลี่ยนการผลิตพืชด้วย Agri-map ช่วยให้เกษตรกรมีฐานข้อมูลประกอบการตัดสินใจและวางแผนการผลิตสินค้าเกษตรให้สอดคล้องกับศักยภาพพื้นที่ มีเทคโนโลยีและนวัตกรรมในการจัดการดินที่เหมาะสม มีการปรับเปลี่ยนพื้นที่ไม่เหมาะสม ปลูกพืชทางเลือกเกษตรผสมผสาน ช่วยลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มรายได้ อีกทั้งมีการให้บริการวิเคราะห์ดินพร้อมคำแนะนำ การบริหารการจัดการดินและปุ๋ย รวมถึงจัดทำฐานข้อมูลทรัพยากรดินและระบบฐานข้อมูลเกษตรปลอดภัย ผ่านระบบ e-Service และ Application ต่าง ๆ
2. ด้านยกระดับการบริหารจัดการน้ำ โดยดำเนินการในพื้นที่นอกเขตอนุรักษ์ ป้องกันชะล้างพังลายของดินด้วยระบบอนุรักษ์ดินและน้ำ ในพื้นที่ลุ่มน้ำสาขาห้วยน้ำก่ำ ลุ่มน้ำหลักโขงตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดสกลนคร ครอบคลุมพื้นที่ได้ประโยชน์ทั้งสิ้น 22,664 ไร่ และยังมีการเพิ่มศักยภาพในการกักเก็บน้ำ ด้วยการก่อสร้างแหล่งน้ำไร่นานอกเขตชลประทาน จำนวน 13,007 บ่อ ซึ่งเมื่อดำเนินการครบตามเป้าหมายจะสามารถเก็บกักน้ำ เพื่อใช้ประโยชน์ทางการเกษตรในช่วงฝนทิ้งช่วงได้
3. ด้านการฟื้นฟูทรัพยากรดินและน้ำรักษาสมดุลของระบบนิเวศ ได้ดำเนินการฟื้นฟูดินและที่ดินเพื่อรักษาสมดุลของระบบนิเวศ ตามมาตรการอนุรักษ์ดินและน้ำ วิธีพืช และวิธีกล โดยดำเนินการในพื้นที่ราบ/ลุ่ม ที่ดอน และที่สูง ครอบคลุมพื้นที่มากกว่า 90,000 ไร่ ด้วยการพัฒนาคุณภาพดินในระบบส่งเสริมเกษตรแปลงใหญ่ พัฒนาพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ พัฒนาพื้นที่สูง แล้วขยายผลในพื้นที่ ในโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ พัฒนาคุณภาพดินในพื้นที่ คทช. นอกจากนั้น มีการสร้างฝายชะลอน้ำเพื่ออนุรักษ์ดินและน้ำ 16 แห่ง ส่งเสริมเกษตรทฤษฎีใหม่ ด้วยการสาธิตการปรับปรุงบำรุงดิน สนับสนุนปัจจัยการผลิต รวมถึงถ่ายทอดองค์ความรู้การพัฒนาที่ดินแก่เกษตรกร เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์พื้นที่อย่างยั่งยืน
4. ด้านส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) เพื่อส่งเสริมเกษตรสีเขียว ตาม BCG Model โดยกรมฯ ได้ดำเนินการพัฒนาด้านเศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Economy) ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ ผลิตภัณฑ์จุลินทรีย์ พด. และการวิเคราะห์ดินกับการปลูก เพื่อมุ่งสร้างมูลค่าเพิ่มของทรัพยากรชีวภาพเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ด้วยการจัดการวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ไถกลบตอซัง ลดการเผาในพื้นที่ และธนาคารปุ๋ยอินทรีย์ เพื่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรคุ้มค่ามากที่สุด และดำเนินการเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ที่คำนึงถึงความยั่งยืนของทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ด้วยการลดการใช้สารเคมีในการปรับปรุงบำรุงดิน ทำเกษตรกรรมยั่งยืน/เกษตรอินทรีย์ PGS และสร้างความสมดุลในการจัดการทรัพยากรที่ดิน LDN & Carbon Neutrality ซึ่งส่งผลให้เกิดการผลิตเกษตรที่ยั่งยืน ผลิตสินค้าเกษตรปลอดภัยและมีมูลค่าสูง
5. ด้านรับมือภัยพิบัติธรรมชาติ เพื่อป้องกันภัยพิบัติทั้งด้านภัยแล้ง น้ำท่วม และดินถล่ม ผ่านการอนุรักษ์ดินและน้ำ การสร้างความสมดุลในการจัดการทรัพยากรที่ดิน LDN & Carbon Neutrality และป้องกันการชะล้างพังทลายของดินแบบบูรณาการ นำไปสู่การพัฒนาเป็นฐานข้อมูลภัยพิบัติ เพื่อติดตามสถานการณ์ และป้องกันภัยพิบัติ ในพื้นที่เกษตรกรรม
6. ด้านระบบราชการดิจิทัล (Digital Government) ระบบราชการ 4.0 ของกรมพัฒนาที่ดิน ขับเคลื่อนผ่าน Smart LDD (LDD Excellent Model) มีระบบบริหารราชการดิจิทัล ที่พัฒนาฐานข้อมูลสำนักงานอิเล็กทรอนิกส์ เช่น ระบบ e-Saraban ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ลดต้นทุน ลดความซับซ้อน มีความปลอดภัยในข้อมูล ตลอดจนพัฒนาบุคลากรด้านคอมพิวเตอร์และสารสนเทศให้เป็นระบบราชการที่ทันสมัย มีประสิทธิภาพ
“กรมพัฒนาที่ดิน ยังมีแนวทางการขับเคลื่อนงานตามภารกิจภายใต้แผนปฏิบัติราชการระยะ 5 ปี พ.ศ. 2566 - 2570 ที่สามารถสะท้อนทั้งมิติกระบวนการทำงานที่มีประสิทธิภาพ มีคุณภาพและได้มาตรฐาน ร่วมกับมิติด้านผลลัพธ์ที่สามารถสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้แก่องค์กร ควบคู่กับการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมได้อย่างสมดุล มุ่งเน้นการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างเหมาะสม และการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยมีพื้นที่เกษตรกรรมได้รับการอนุรักษ์ ปรับปรุง ฟื้นฟูตามเป้าหมายวิสัยทัศน์ “เป็นองค์การอัจฉริยะทางดินเพื่อการใช้ที่ดินอย่างเหมาะสม 15 ล้านไร่ภายในปี 2570” มีเกษตรกรได้รับการพัฒนาศักยภาพจำนวน 1,133,264 ราย ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงเพื่อขับเคลื่อนแผนฯ โดยปรับการให้บริการเชิงรุกเน้นประชาชนเป็นศูนย์กลาง สร้างการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายภาครัฐ เอกชน ท้องถิ่น ประชาชน ในระดับชุมชน ระดับหน่วยงาน ระดับประเทศ และระดับโลก ประยุกต์ใช้งานวิจัยและนวัตกรรม ปรับสู่ระบบราชการดิจิทัล พัฒนาสมรรถนะบุคลากรรองรับการเปลี่ยนแปลง” อธิบดีกรพัฒนาที่ดิน กล่าวในตอนท้าย

ที่อยู่

Bangkok

เบอร์โทรศัพท์

+66897716426

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ เกษตรดิจิทัลนิวส์ Kaset Digital newsผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง เกษตรดิจิทัลนิวส์ Kaset Digital news:

แชร์