ปลาเป็น ว่ายทวนน้ำ Plapen Film Studio

ปลาเป็น ว่ายทวนน้ำ Plapen Film Studio We are an independent film studio
เราเชื่อว่า ศิลปะต้องรับใช้ชีวิตและสังคม

เราเกิดมาจากความอยากจะเล่าเรื่องที่แตกต่างหลากหลาย
เราศึกษาหนังตลอด
เราให้ความสำคัญกับความเป็นศิลปะและศิลปิน
เราทำทั้งหนังสั้นและหนังยาว
เราเชื่อมั่นในพลังของหนัง
เราเชื่อมั่นในพลังคนหนุ่มสาว
เรายินดีให้ความรู้และทำการอบรมให้กับคนรุ่นใหม่
เราทำหนังทุนน้อย ใช้เงินเท่าที่จำเป็น มีเท่าไหร่ เราทำเท่านั้น
แต่เราจะต้องทำอย่างสม่ำเสมอ

01/09/2025

More than 500 influential directors, actors and other notable names in Hollywood and around the world voted on the best films released since Jan. 1, 2000. See how their ballots stacked up.

ดีงามมาก
01/09/2025

ดีงามมาก

นิติ ภวัครพันธุ์ ชวนสำรวจอำนาจของ 'การอ่าน' และ 'การเขียน' ที่สร้างปฏิสัมพันธ์ซับซ้อนกับมนุษย์ในหลายมิติ ในแง่หนึ่งมันสะท้อนพลังของตัวอักษรต่อสังคมมนุษย์ ส่วนอีกแง่หนึ่งมันเป็นสื่อที่มนุษย์ใช้แสดงความคิดและความเป็นอิสระจากพันธนาการอันมิพึงประสงค์
อ่านฉบับเต็ม: https://www.the101.world/power-of-reading-and-writing/
"เราจะเห็นคนพิมพ์ข้อความลงในโทรศัพท์มือถือส่งให้มิตรสหาย ญาติพี่น้อง หรือผู้อื่น เป็นกิจวัตรที่เราเคยชินจนอาจลืมไปแล้วว่าการ ‘อ่านออกเขียนได้’ มีความสำคัญเพียงใดกับชีวิตผู้คน? เนรมิตให้เกิดสัญญะแห่งความหมายอันทรงพลังมากมายเพียงใด? เข้าครอบงำความรู้สึกนึกคิดของเราจนเกินจินตนาการแค่ไหน?!"
"เมื่อคนทั่วไปได้เรียนหนังสือจนอ่านออกเขียนได้เพื่อทำงานรับใช้สังคมอุตสาหกรรม นำไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจ ในอีกด้านหนึ่งก็ทำให้เกิดการรวมศูนย์ทางวัฒนธรรม สลายวัฒนธรรมท้องถิ่นต่างๆ ที่เป็นวัฒนธรรมย่อย รวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมกลางหรือวัฒนธรรมชาติ การอ่านออกเขียนได้ทำให้ประชากรในชาติหันมาใช้ภาษาเดียวกัน นำไปสู่ให้กระบวนการทำให้คล้ายคลึงกัน (homogenization) ทางวัฒนธรรมและสังคม"
"ถ้าเกลเนอร์ได้ยินเรื่องเล่าของหญิงมุสลิมจากยะลาผู้นี้ เขาอาจมีข้อเสนอเพิ่มเติมว่าการอ่านออกเขียนได้ นอกจากทำให้เกิดความชำนาญเฉพาะด้าน ยังให้อิสระเสรีแก่ผู้คน ปลดปล่อยผู้ที่เป็นแรงงานออกจากบ้านเรือนของตน จากพันธนาการของกฎเกณฑ์ในครอบครัวสู่โลกภายนอก (ที่ต้องการแรงงานเพื่อการผลิต) ทำให้ผู้ที่เป็นแรงงานมีรายได้ อันมีความสำคัญอย่างยิ่งในสังคมปัจจุบัน และความคิดที่ว่าตนเองมีอิสระในการดำเนินชีวิตตามที่ต้องการ – แต่ความเป็นจริงจะเป็นเช่นใดนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง"
"บันทึกที่น่าสนใจมากเล่มหนึ่งที่มิได้เกี่ยวข้องกับการศึกษาหรือการค้นคว้าของผม ทว่า เต็มไปด้วยเรื่องเล่าและรายละเอียดที่น่ารู้ เขียนโดยคนอังกฤษนามจอห์น เบาล์ทบี (John Boultbee) ในชื่อว่า Journal of a Rambler ที่หากแปลเป็นภาษาไทยคงเรียกว่าบันทึกของชายผู้ไร้จุดหมาย เล่าถึงการเดินทางและประสบการณ์ของเขาในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ในช่วงต้นศตวรรษที่ 19"
"บันทึกนี้นอกจากสะท้อนถึงความสามารถทางภาษาของเขา (เขาพูดภาษาเมารีสำเนียงที่พูดกันในทางใต้ของเกาะใต้ได้คล่องแคล่วและเคยอยู่กับคนเมารีด้วย) ทักษะในการดำรงชีพ (เขาตกปลาจับสัตว์น้ำได้เก่งทีเดียว) ยังบอกเล่าเรื่องราวที่ไม่มีผู้ใดเขียนจดไว้หรือรู้มาก่อน และช่วยให้ผู้ที่ศึกษาค้นคว้าเรื่องคนเมารีเข้าใจสังคม-วัฒนธรรมและความคิดของคนพื้นเมืองกลุ่มนี้มากขึ้น เช่น เขาเขียนถึงหัวหน้าเผ่าผู้หนึ่งที่มีร่างกายแข็งแรง สง่าผ่าเผย สุขุม เยือกเย็น น่าเกรงขาม มีความเป็นผู้นำแต่ก็มีไมตรีจิต"
"มีวลีสั้นๆ ที่ท่านผู้อ่านอาจคุ้นเคยว่า ‘ปากกาคมกว่าดาบ’ ที่หากแปลกันแบบตรงตามตัวอักษรน่าจะเป็น ‘ปากกามีอานุภาพกว่าดาบ’ (The pen is mightier than the sword.) ซึ่งมีความหมายว่าการคิดและการเขียน (หนังสือ) มีอิทธิพลต่อผู้คนมากกว่าการใช้กำลังหรือความรุนแรง หากเห็นด้วยกับนัยของวลีนี้ เราอาจตีความได้ว่าอำนาจที่น่ากลัวที่สุดมิใช่หอกดาบกระบอกปืนหรือลูกระเบิด แต่เป็น ‘อักษร’ และ ‘การเขียน’ เพราะทำให้ผู้มีอำนาจหวาดกลัวจนต้องจัดการด้วยความรุนแรง ด้วยการทำลาย"
"แต่อำนาจ การกดขี่ และเพลิงบรรลัยก็ไม่อาจหยุดยั้งความคิดที่แตกต่างที่แสดงออกมาผ่านการเขียน มีงานเขียนจำนวนมากที่มีลักษณะหรือสไตล์การเขียนแบบต่างๆ ที่สะท้อนถึงการต่อต้านอำนาจที่กดขี่ข่มเหงของผู้ปกครอง หนึ่งในงานเขียนเหล่านี้คือบันทึกที่เขียนขึ้นในขณะที่ผู้เขียนถูกจองจำกักขัง มีตัวอย่างที่ท่านผู้อ่านอาจคุ้นเคย เช่น อัตชีวประวัติที่เขียนโดยเนลสัน แมนเดลลา (Nelson Mandela) ในช่วงที่เขาติดคุกอย่างยาวนานถึง 27 ปีบนเกาะรอบเบน หรือ The Prison Notebooks ของอันโตนิโอ กรัมชี (Antonio Gramsci) นักคิดฝ่ายซ้าย ที่เขียนขึ้นในคุกเพราะถูกรัฐบาลฟาสซิสต์ของอิตาลีจับกุมกักขัง"
"ในสังคมไทย หนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนของบันทึกที่สะท้อนถึงการใช้อำนาจบังคับ การข่มขู่ข่มเหงโดยอำนาจรัฐ และการจับกุมกักขังผู้ที่คิดเห็นต่างคือหนังสือเรื่อง 6 ตุลา เราคือผู้บริสุทธิ ที่รวบรวมจดหมายและคำให้สัมภาษณ์ของผู้ที่ถูกจองจำในเรือนจำบางคน"
"หากคิดว่าทุกคนควรมีเสรีภาพในการแสดงออกเฉกเช่นสังคมประชาธิปไตยอื่นๆ เราก็ไม่น่าเอาเป็นเอาตายกับความคิดเห็นที่แตกต่าง อาจพิจารณาว่าเป็นเรื่องธรรมดาหรือเป็นสิทธิทางการเมือง ซึ่งคงช่วยให้คดีทางการเมืองลดน้อยลง (ไม่ผิดกฎหมายก็ไม่มีคดีความ) ผู้ถูกคุมขังก็ลดจำนวนลง พวกเขาได้กลับบ้านกลับสู่ครอบครัว ไปหาคนที่รักใคร่ห่วงใยที่รอคอยอยู่อย่างกระวนกระวาย"
ภาพประกอบ: พิรุฬพร นามมูลน้อย

น่าสนใจ
29/08/2025

น่าสนใจ

"ใครอยากทำละครเวที"
เชิญทางนี้ ปีที่ 2

ติดตามรายละเอียดโครงการ
เดือนตุลาคมนี้

เกี่ยวกับโครงการ

โครงการ “POEMS DIMENSION” ได้รับการพัฒนาโดยยึดแนวคิด “Commercial Arts Incubator” โดยบริษัท เจริญสุข คอร์เปอเรท กรุ๊ป จำกัด (CCG) มีเป้าหมายในการส่งเสริม และยกระดับศิลปินละครเวทีรุ่นใหม่ ผ่านการสนับสนุนเชิงกลยุทธ์ ทั้งในด้านทุนตั้งต้น (Seed Investment) โครงสร้างการพัฒนาผลงาน และการบริหารจัดการในรูปแบบที่ตอบโจทย์ทั้งด้านศิลปะและตลาดเชิงพาณิชย์

โครงการฯ มุ่งเน้นการเปิดพื้นที่ให้ผู้กำกับ นักเขียนบท และนักแสดงหน้าใหม่ ได้ทดลองและพัฒนาผลงานบนเวทีจริง ภายใต้ระบบสนับสนุนที่เอื้อต่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในอุตสาหกรรมการแสดงร่วมสมัย

หมายเหตุ: “Commercial Arts Incubator” คือแพลตฟอร์มเชิงกลยุทธ์ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อบ่มเพาะศิลปินละครเวทีรุ่นใหม่ และผู้ประกอบการสายสร้างสรรค์ โดยให้การสนับสนุนทั้งในด้านทุนและการเข้าถึงตลาด เพื่อแปลงไอเดียทางศิลปะให้กลายเป็นผลงานที่สามารถสร้างรายได้ และเติบโตได้ในเชิงพาณิชย์

+++++++++++++++++++++

POEMS DIMENSION
“Poetry You Can Feel in New Dimensions”

+++++++++++++++++++++

ติดตามความเคลื่อนไหวของวัฒนธรรมละครโรงเล็กตลอดทั้งปีกันได้ที่โปรเจกต์ POEMS DIMENSION

+ FB: https://shorturl.at/OPWnP
+ IG: https://www.instagram.com/POEMSDIMENSION
+ Website: www.charoensook.com/poemsdimension

+++++++++++++++++++++

POEMS DIMENSION
by CHAROENSOOK CORPORATE GROUP CO., LTD. (CCG)



#ละครเวที #ละครโรงเล็ก #ละครเวทีไทย #ชมละครเวที

ยาวมาก แต่ดี
29/08/2025

ยาวมาก แต่ดี

Understanding the Dark Side of Human Nature : การทำความเข้าใจด้านมืดของธรรมชาติมนุษย์ โดย Daniel Breyer (Professor of Philosophy ที่ Illinois State University)
บางทีเวลาเราพูดถึงคำว่า “ด้านมืดของมนุษย์” เรามักคิดไปถึงเรื่องใหญ่ ๆ แบบในข่าวหรือสารคดี ฆาตกร สงคราม หรือเผด็จการร้าย ๆ ที่อยู่ไกลเหลือเกินจากชีวิตประจำวันเรา เหมือนเป็นไวรัสชนิดหนึ่งที่ไปติดใครบางคน แต่ไม่เคยมาถึงเราเอง

แต่ถ้ามองให้ดี ความมืดอาจไม่ได้อยู่ไกลขนาดนั้น มันอาจโผล่มาเวลาที่คุณเผลอแอบสะใจเล็ก ๆ ตอนเพื่อนร่วมงานที่ชอบอวดเก่งตอบผิดกลางที่ประชุม หรือเวลาที่คุณคิดในใจว่า “ขอให้เขาพลาดเถอะ” ทั้งที่ปากบอกว่า “ขอให้โชคดีนะ”
Plato อาจใช้เรื่องแหวน Gyges เพื่อตั้งคำถามชวนคิดว่า ถ้าไม่มีใครเห็นเราทำผิด เราจะยังทำดีอยู่หรือไม่ ส่วน Freud คงหัวเราะหึ ๆ แล้วบอกว่า “เจ้าก็แค่ปล่อยแรงขับที่เก็บกดออกมาเล็กน้อยนั่นแหละ” และ Jung คงชี้นิ้วไปที่ Shadow ของคุณแล้วบอกว่า “เห็นไหมล่ะ เงาที่คุณไม่เคยอยากมองตรง ๆ”
เรามักเชื่อว่าเราคือ “คนดี” เหมือนนักแสดงที่ยืนอยู่กลางเวที ใต้แสงสปอตไลต์ที่สาดส่องลงมา แต่หากมองให้ลึกลงไปอีกนิด คุณจะเห็นเงาดำทอดยาวอยู่ด้านหลัง และเงานั้นก็คือคุณเช่นกัน เพียงแต่คุณเลือกไม่หันกลับไปมองมัน
Daniel Breyer จึงไม่ถามว่า “ใครคือคนเลว?” แต่ถามว่า “เงาที่อยู่ในใจคุณคืออะไร?” เพราะถ้าคุณไม่รู้จักเงาของตัวเอง คุณก็จะใช้เวลาทั้งชีวิตชี้นิ้วใส่เงาของคนอื่น
ความน่าขันคือ… ด้านมืดไม่ใช่แค่ความร้ายกาจ แต่ยังรวมถึงความเปราะบาง ความกลัวตาย ความคาดหวังที่ไม่สมเหตุสมผล ความอยากที่ไม่มีวันเติมเต็ม และการรู้ทั้งรู้แต่ก็เลือกทำผิดอยู่ดี
ด้านมืดจึงไม่ใช่เพียง “ปีศาจ” หากแต่เป็น “เพื่อนเก่า” ที่เดินตามเรามาตั้งแต่วันแรกที่เราเกิด เสียงร้องไห้ทารกอาจเป็นเพียงสัญญาณแรก ๆ ของการพบด้านมืดในรูปแบบของความเปราะบางที่สุดในชีวิต
คำถามสำคัญจึงไม่ใช่ว่า “คุณมีด้านมืดไหม?” เพราะคำตอบนั้นชัดเจนเกินไป แต่คือ “คุณจะอยู่กับด้านมืดอย่างไร โดยไม่ต้องหลอกตัวเองว่าไม่มีมัน”
และถ้าคุณคิดว่า “ฉันไม่มีหรอกนะด้านมืดแบบนั้น” แอดต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่ง แต่ขอบอกว่า ความคิดนั้นเอง…ก็คือหนึ่งในกลอุบายด้านมืดที่เจ้าเล่ห์ที่สุดแล้ว
==============================
1. ความหมายที่กว้างไกลกว่าความชั่ว
Breyer ย้ำว่า หากเรานิยาม “ด้านมืด” เพียงว่า Evil เราก็จะเข้าใจมันแคบเกินไป เพราะด้านมืดรวมถึงสิ่งเหล่านี้ด้วย...
ความเปราะบางต่อความตาย: ความรู้ว่าชีวิตของเรานั้นต้องจบลงแน่ ๆ
ความทุกข์และความผิดหวัง: ความจริงที่ว่าชีวิตไม่เคยได้ตามใจเราเสมอ
ความต้องการที่ไม่สมเหตุสมผล: ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น แม้เรารู้ว่ามันจะพาเราเจ็บ
ความอ่อนแอในการตัดสินใจ: รู้ว่าอะไรดีแต่เลือกอีกอย่าง
กล่าวอีกอย่างคือ “ด้านมืด” เป็น เงาที่มาพร้อมกับการมีชีวิตเป็นมนุษย์ มันไม่ใช่สิ่งที่เราสามารถกำจัดออกไปได้ง่าย ๆ เพราะถ้าไม่มีมัน เราก็อาจไม่ใช่มนุษย์เต็มความหมาย
2. เรื่องเล่าของแหวน Gyges ศีลธรรมที่ถูกทดสอบด้วยอำนาจ
Plato เล่าเรื่องราวของ Gyges คนเลี้ยงแกะผู้เจอแหวนที่ทำให้เขาล่องหนได้ และเมื่อรู้ว่าตัวเอง “ทำอะไรก็ไม่มีใครจับได้” เขาก็ใช้พลังนั้นในการยั่วยวนราชินีและฆ่ากษัตริย์เพื่อยึดอำนาจ เรื่องนี้สะท้อนคำถามเชิงศีลธรรมที่ลึกมาก
ถ้าเราแน่ใจว่า ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครลงโทษ เรายังจะเลือกทำสิ่งที่ถูกอยู่ไหม?
หรือว่าเราทุกคนมี “ด้านมืด” รอจะระเบิดออกมาเมื่อไร้การตรวจสอบ?
Glaucon (ตัวละครใน Republic) เสนอว่ามนุษย์ไม่ได้ต่างกันมากนัก ระหว่าง “คนดี” กับ “คนเลว” อาจมีเพียงเส้นบาง ๆ คือ “การมีหรือไม่มีผลลัพธ์ให้รับผิดชอบ” เรื่องนี้สะกิดเราว่า ด้านมืดไม่ใช่ของ “คนอื่น” แต่มันอยู่ในใจเราทุกคน
3. ชายในบ่อ : น้ำผึ้งหยดเดียวกับความตายที่รออยู่
ในตำนานพุทธและเชน มีเรื่องเล่าของชายคนหนึ่งหนีสัตว์ร้ายแล้วพลัดตกลงไปในบ่อ เขาเกาะเถาวัลย์ที่หนูกำลังกัดกร่อน ข้างบนมีเสือ ข้างล่างมีงูพิษ แต่สิ่งที่เขาสนใจกลับไม่ใช่ความตายรอบด้าน หากเป็น “หยดน้ำผึ้ง” ที่อยู่ใกล้ปากบ่อ เขาลืมนาทีวิกฤติทั้งหมดเพราะมัวแต่ลิ้มรสหวานนั้น
นี่คือภาพเปรียบของมนุษย์... ที่แม้เผชิญความตาย เราก็ยังหมกมุ่นอยู่กับความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ เราเลียหยดน้ำผึ้งแห่งการเสพติด การบริโภค การยึดติด ทั้งที่ความจริงคือเรากำลังแขวนอยู่เหนือหุบเหว ความหลงใหลเหล่านี้เองก็เป็นส่วนหนึ่งของ “ด้านมืด” ไม่ใช่เพราะมันเลว แต่เพราะมันทำให้เราหลงลืมเงื่อนไขความจริงของชีวิต
4. ด้านมืดในฐานะเงื่อนไขของชีวิต
จากสองอุปมา (Gyges และชายในบ่อ) Breyer ต้องการชี้ว่า “ด้านมืด” ไม่ใช่สิ่งที่อยู่ข้างนอกเรา หากเป็นสิ่งที่กำกับการมีอยู่ของเราเอง เราอยู่กับมันตลอดเวลา
ความกลัวตายทำให้เราโหยหาความหมาย
ความปรารถนาที่ไม่สิ้นสุดทำให้เราต้องดิ้นรน
ความเปราะบางทำให้เรารู้จักแสวงหาความรักและการปกป้อง
หากไม่มีด้านมืดเหล่านี้ มนุษย์ก็อาจไม่ต้องการศิลปะ ปรัชญา หรือศาสนา มันจึงเป็น “ของกำนัล” ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของการมีชีวิต
5. มนุษย์โดยพื้นฐาน “ดี” หรือ “เลว”?
หากมีคำถามหนึ่งที่มนุษย์ไม่เคยหยุดถามตลอดหลายพันปี คงหนีไม่พ้นว่า “มนุษย์โดยพื้นฐานแล้วเป็นสิ่งมีชีวิตที่ดี หรือเป็นสิ่งมีชีวิตที่เลว?”
คำถามนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ ที่ตอบเล่น ๆ ได้ เพราะมันกำหนดว่าเราจะสร้างสังคมแบบไหน:
ถ้าเราเชื่อว่ามนุษย์ โดยพื้นฐานดี → เราอาจเน้นการศึกษา การปลูกฝังคุณธรรม การเปิดโอกาสให้ศักยภาพด้านบวกของแต่ละคนเติบโต
ถ้าเราเชื่อว่ามนุษย์ โดยพื้นฐานเลว → เราจะเน้นการออกกฎหมายเข้มงวด การลงโทษ การควบคุม เพื่อไม่ให้ความชั่วที่อยู่ในใจทุกคนระเบิดออกมา
Daniel Breyer เปิดสนามถกเถียงนี้ ผ่านปรัชญาจีนโบราณสองสาย: Mencius และ Xunzi ก่อนจะเชื่อมโยงเข้ากับงานวิจัยสมัยใหม่และความคิดตะวันตก
6. Mencius = มนุษย์ดีโดยธรรมชาติ
Mencius (เม่งจื๊อ) ปราชญ์จีนยุครัฐจ้าว (ประมาณ 372–289 ก่อนคริสต์ศักราช) เสนอแนวคิดที่มักเรียกว่า optimism about human nature หรือมองมนุษย์ในเชิงบวก
มนุษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมกับ “หน่อแห่งคุณธรรม” (Sprouts of Virtue)
ตัวอย่างเช่น หากใครเห็นเด็กเล็กกำลังจะตกบ่อน้ำ เขาจะรีบเข้าไปช่วยทันที ไม่ใช่เพราะหวังรางวัลหรือกลัวโทษ แต่เพราะ ความกรุณาเกิดขึ้นเองโดยสัญชาตญาณ
Mencius เปรียบคุณธรรมเหมือนอวัยวะภายใน: เรามี “หัวใจแห่งเมตตา” ติดตัวมา เหมือนกับที่เรามีตา มีหู
แม้หน่อคุณธรรมเหล่านี้จะอ่อนแอและถูกสภาพแวดล้อมบีบคั้นได้ แต่ถ้าเราปลูกฝัง มันก็จะงอกงามกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ได้
8. Xunzi = มนุษย์เลวโดยธรรมชาติ
ตรงกันข้ามกับ Mencius, Xunzi (ประมาณ 310–235 ก่อนคริสต์ศักราช) ถือมุมมองแบบ pessimism about human nature หรือมองมนุษย์ในเชิงลบ
มนุษย์เกิดมาพร้อมความเห็นแก่ตัวและความใคร่ เช่น อยากได้ทรัพย์ อยากได้อำนาจ อยากเอาชนะผู้อื่น
หากไม่มีการฝึกฝนหรือกฎเกณฑ์ควบคุม สังคมจะวุ่นวายราวกับป่า
ดังนั้นจึงต้องอาศัย การศึกษา, พิธีกรรม, และกฎหมาย เพื่อควบคุมและ “ดัด” ธรรมชาติที่คดงอของมนุษย์
Xunzi เปรียบมนุษย์เหมือนไม้ที่คดงอมาแต่กำเนิด หากอยากให้เป็นเสาตรงก็ต้องใช้เครื่องมือบังคับดัดให้เข้ารูป
9. Dualism และ Indifferentism
นอกจากสองขั้วนี้ ยังมีนักคิดที่พยายามอธิบายมนุษย์ด้วยวิธีที่ “ก้ำกึ่ง” หรือ “ผสมผสาน”:
Dualism (ทวิภาวะ) – มนุษย์มีทั้งความดีและความเลวอยู่ในตัว เป็นการต่อสู้ภายในที่ไม่มีวันจบ สิ่งที่เราเลือกหรือสิ่งแวดล้อมที่เราพบเจอจะทำให้น้ำหนักไปทางใดทางหนึ่ง
Indifferentism (ความเป็นกลาง) – มนุษย์เกิดมาไม่ดีไม่เลว เหมือนผ้าขาว (blank slate) แล้วสังคม วัฒนธรรม และการเลี้ยงดูจะวาดลายลงไป
มุมมองเหล่านี้ช่วยให้เราไม่ต้องติดอยู่กับการเลือกข้างว่า “มนุษย์ดี” หรือ “มนุษย์เลว” อย่างสุดโต่ง
10. Evil คืออะไร?
เมื่อเราพูดคำว่า “Evil” หรือ “ความชั่วร้าย” ภาพที่ผุดขึ้นมาในใจอาจมีหลายแบบ: ฮิตเลอร์, การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์, ฆาตกรโรคจิต, หรือแม้กระทั่งการโกงข้อสอบตอน ม.ปลาย แต่ความจริงแล้วนักปรัชญาและนักศาสนาต่างถกเถียงกันอย่างยาวนานว่า คำว่า Evil หมายถึงอะไรกันแน่?
A. มันคือ “สิ่งที่เลวร้ายที่สุด” ในระดับพิเศษ เหนือกว่าความผิดศีลธรรมทั่วไป?
B. มันคือการกระทำที่สร้างความทุกข์โดยเจตนา?
C. หรือจริง ๆ แล้ว “Evil” ไม่ได้มีอยู่จริง แต่เป็นเพียงป้ายที่เราติดให้กับสิ่งที่เราไม่ชอบ?
Breyer ใช้สองบทเรียนนี้เพื่อพาเราเจาะลึกคำถามเชิงปรัชญาว่า evil คืออะไร และใครกันแน่ที่เราจะเรียกว่า “สัตว์ประหลาดทางศีลธรรม” (moral monsters)
11. Evil ในฐานะ “การขาดสิ่งดี”
หนึ่งในทฤษฎีคลาสสิกที่สุดเกี่ยวกับ Evil มาจาก Augustine นักบุญและนักปรัชญาคริสเตียน เขาเสนอว่า evil ไม่ได้เป็นสิ่งที่ “มีอยู่จริง” แต่เป็นเพียง การขาดของความดี (Privation Theory)
เปรียบเหมือน “ความมืด” ที่ไม่ได้มีตัวตนจริง แต่เกิดจากการไม่มีแสง
หรือ “ความหนาว” ที่ไม่ใช่พลังพิเศษ แต่เป็นการขาดความร้อน
ดังนั้น Evil คือ รูรั่วของความดี เป็นการเสื่อมสลายของสิ่งที่ควรดีมากกว่าเป็นพลังลึกลับที่ดำรงอยู่ในตัวเอง
จุดแข็งของทฤษฎีนี้
I. ช่วยหลีกเลี่ยงปัญหาที่ว่า “ถ้าพระเจ้าสร้างทุกสิ่ง แล้วใครสร้างความชั่ว?” (ตอบว่า ความชั่วไม่ใช่สิ่งที่ถูกสร้าง แต่เป็นความเสื่อม)
II. อธิบายได้ว่าทำไม Evil จึงมักเกิดจากการใช้ของดีผิดทาง เช่น ความกล้ากลายเป็นความบ้าบิ่น ความรักกลายเป็นความหลงใหล
จุดอ่อนของทฤษฎีนี้ = ฟังดูอธิบายได้ในเชิงอภิปรัชญา แต่สำหรับผู้ที่เจ็บปวดจากโศกนาฏกรรมจริง ๆ เช่นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ คำว่า “Evil เป็นแค่การขาดความดี” ฟังดูอาจเบาเกินไป
12. Evil ในฐานะ “คุณสมบัติพิเศษ”
อีกมุมหนึ่งคือมองว่า Evil เป็น คุณสมบัติที่มีอยู่จริง ไม่ใช่แค่การขาดความดี
Evil อาจถูกอธิบายว่าเป็น การเจตนาทำให้ผู้อื่นเจ็บปวดโดยไร้เหตุผลที่ชอบธรรม
หรือเป็นการกระทำที่ “เลวร้ายสุดขีด” จนไม่อาจเปรียบเทียบกับความผิดทั่วไปได้
ในกรอบนี้ Evil มีสถานะเป็น “ชนิดพิเศษ” ของการกระทำ ไม่ใช่แค่การลดระดับของความดี
ปัญหาคือ = เส้นแบ่งว่า “เลวร้ายแค่ไหนถึงเรียกว่า Evil” มันไม่ชัด และขึ้นอยู่กับกรอบวัฒนธรรม
13. ความเลวในฐานะ “ความผิดปกติของบุคคล”
ปรัชญาสมัยใหม่หลายสายพยายามวางนิยามของ Evil ไว้กับ ลักษณะทางบุคลิกภาพ ไม่ใช่แค่การกระทำเฉพาะครั้ง เช่น
Dispositional model ตีความ Evil คือ การมีนิสัยชอบทำร้ายผู้อื่น
-ไม่ใช่ความผิดพลาดครั้งเดียว แต่เป็นรูปแบบซ้ำ ๆ
-เช่น ฆาตกรต่อเนื่องที่หาความสุขจากการทรมาน
Affect model ตีความ Evil คือ การขาดความเห็นอกเห็นใจ (empathy)
-คนที่ไม่สามารถมองผู้อื่นเป็น “มนุษย์เท่าเทียม” ได้
-ตัวอย่างเช่น ผู้บัญชาการนาซีที่มองนักโทษค่ายกักกันเป็น “วัตถุ” ไม่ใช่คน
14. Moral Monsters ใครคือ “สัตว์ประหลาดทางศีลธรรม”?
Breyer ใช้คำว่า “Moral Monsters” เพื่ออธิบายบุคคลที่เรามักรู้สึกว่า “ชั่วจนเกินมนุษย์” เช่น
Adolf Hi**er
Josef Mengele (หมอแห่ง Auschwitz)
Pol Pot
เรามักคิดว่าพวกเขาเป็นปีศาจ มากกว่ามนุษย์ แต่การตีตราแบบนี้อาจเป็นการหลีกเลี่ยงความจริงที่เจ็บปวดว่า ความชั่วร้ายระดับมหึมาเกิดจาก “มนุษย์ธรรมดา” ไม่ใช่ปีศาจจากต่างโลก
15. The Banality of Evil ของ Hannah Arendt
นักคิดชื่อดัง Hannah Arendt เสนอแนวคิดที่โด่งดังหลังเธอรายงานการพิจารณาคดี Adolf Eichmann (เจ้าหน้าที่นาซีผู้จัดการระบบขนย้ายชาวยิวไปสู่ค่ายกักกัน)
Arendt บอกว่า Eichmann ไม่ได้เป็นอัจฉริยะด้านความเลว หรือโรคจิต แต่เป็นเพียงข้าราชการธรรมดา ที่ “ทำตามหน้าที่” อย่างแข็งขัน
Evil ของเขาเกิดจากความคิดไม่เป็นอิสระ (Thoughtlessness)
ความสยองคือ คนธรรมดาสามารถก่อความชั่วร้ายระดับใหญ่หลวงได้ เพียงเพราะเขาไม่คิด ไม่ตั้งคำถาม
นี่คือสิ่งที่ Arendt เรียกว่า Banality of Evil ความชั่วร้ายที่ดูธรรมดา เพราะมันมาจากการทำงานเชิงระบบ ไม่ใช่ปีศาจลึกลับ
16. ความรับผิดชอบ ความผิด และบาป
เมื่อเราเริ่มเข้าใจความหมายของ Evil ว่ามันไม่ใช่ปีศาจในตำนาน แต่คือการกระทำและความโน้มเอียงที่มนุษย์ทุกคนมีศักยภาพจะทำได้ ปัญหาต่อมาที่น่าปวดหัวไม่แพ้กันคือ แล้วใครควรรับผิดชอบ?
เพราะหากความชั่วเกิดจาก “ธรรมชาติของมนุษย์” หรือจาก “เงื่อนไขที่เราไม่ได้เลือก” เช่น ความผิดปกติทางสมอง ความกดดันจากสังคม หรือแม้แต่ “บาปกำเนิด” (Original Sin) เราจะยังมีสิทธิ์กล่าวโทษใครได้อยู่หรือไม่?
นี่คือสิ่งที่ Daniel Breyer พาเราเจาะลึกไปถึง ความรับผิดชอบทางศีลธรรม (moral responsibility) และแนวคิดเรื่อง บาปดั้งเดิม ที่ฝังอยู่ในหลายศาสนา
17. ปัญหาของเสรีภาพ
ลองนึกภาพฆาตกรที่มีประวัติสมองผิดปกติ (เช่น Amygdala ผิดปกติ ทำให้ควบคุมอารมณ์โกรธไม่ได้) คำถามคือ:
เขายังควรถูกมองว่า “ผิดเต็ม ๆ” ไหม?
หรือเราควรมองว่าเขาเป็น “เหยื่อของกลไกทางชีววิทยา”?
นี่คือปัญหาใหญ่ในกฎหมายและจริยศาสตร์: ระหว่าง การเลือกอย่างอิสระ กับ การถูกบังคับโดยสภาพสมองและสภาพสังคม
กฎหมายในหลายประเทศมีสิ่งที่เรียกว่า Insanity Defense คือถ้าผู้กระทำความผิด “ไม่สามารถแยกถูกผิดได้ในขณะก่อเหตุ” เขาอาจพ้นจากความผิดทางอาญา (แต่จะถูกกักตัวรักษาแทน)
นี่สะท้อนว่าความรับผิดชอบไม่ได้ขึ้นกับการกระทำเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นกับสภาพจิตใจและความสามารถในการเลือก ด้วย
18. สมมติฐานของความรับผิดชอบ
นักปรัชญาเสนอเงื่อนไขหลายประการที่ทำให้เราสามารถ “โทษ” ใครบางคนได้อย่างชอบธรรม เช่น:
เสรีภาพในการเลือก (Freedom of choice) – เขาต้องมีทางเลือกอื่นที่ดีกว่า
ความรู้ความเข้าใจ (Epistemic condition) – เขาต้องรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด
การควบคุม (Control condition) – เขาต้องควบคุมการกระทำได้ ไม่ใช่ถูกบังคับ
หนึ่งในกรณีศึกษาที่ท้าทายที่สุดคือ Psychopaths หรือผู้ที่มีความผิดปกติด้านบุคลิกภาพ จนขาดความเห็นอกเห็นใจและไม่รู้สึกผิดเมื่อทำร้ายผู้อื่น
นักวิทยาศาสตร์บางคนบอกว่า Psychopath ไม่ควรถูกโทษเหมือนคนปกติ เพราะเขา “ไร้ความสามารถทางศีลธรรม” แต่โดยธรรมชาติ
ในขณะเดียวกันบางคนบอกว่า ถ้าเรายกเว้น Psychopath ทั้งหมดจากความผิด เราจะไม่มีทางจัดการกับพวกเขาในสังคมได้
19. Original Sin เราผิดตั้งแต่เกิด?
จากโลกของกฎหมายและจิตวิทยา Breyer พาเราก้าวเข้าสู่ โลกศาสนา โดยเฉพาะคริสต์ศาสนา ซึ่งเสนอแนวคิดที่ทั้งลึกลับและชวนให้ถกเถียงอย่างหนัก "บาปแต่กำเนิด" (Original Sin)
นักบุญ Augustine อธิบายว่า เมื่อ Adam และ Eve ฝ่าฝืนคำสั่งพระเจ้า (กินผลไม้ต้องห้าม) ผลที่ตามมาคือไม่ใช่แค่พวกเขา แต่ มนุษย์ทุกคนหลังจากนั้นตกอยู่ในสภาพบาป เราทุกคนจึงเกิดมา “บกพร่อง” ตั้งแต่แรก แม้ยังไม่ได้ทำอะไรเลย
Original Sin ทำให้มนุษย์มีความโน้มเอียงสู่ความชั่ว (Concupiscence)
เราไม่อาจรอดพ้นได้ด้วยตัวเอง ต้องอาศัยพระหรรษทาน (พระพรที่พระเป็นเจ้าทรงประทานให้กับมนุษย์)
20. Aquinas กับมุมมองบาปกำเนิดในฐานะการขาดคุณธรรมเดิม
นักบุญ Thomas Aquinas ตีความใหม่โดยบอกว่า Original Sin ไม่ใช่ “สิ่งที่สืบทอดทางกายภาพ” แต่คือการที่เราทุกคนเกิดมา ขาดความยุติธรรมดั้งเดิม (Original Justice) ที่พระเจ้าตั้งไว้
พูดอีกอย่างคือ เราเกิดมาในสภาพที่ “โน้มเอียงสู่การผิด” โดยธรรมชาติ ไม่ใช่เพราะเราทำผิดด้วยตัวเอง แต่เพราะเราสืบต่อเงื่อนไขที่ Adam ทำให้เสียไป
แม้แนวคิด Original Sin จะดูโบราณ แต่ถ้าคิดดี ๆ มันก็คล้ายกับทฤษฎีทางสังคมวิทยาและจิตวิทยาสมัยใหม่หลายแบบ:
สังคมวิทยา: เราเกิดมาในโครงสร้างสังคมที่ไม่ยุติธรรม เช่น ความเหลื่อมล้ำ ความรุนแรงเชิงระบบ เหมือนเป็น “บาปกำเนิด” ของยุคสมัย
จิตวิทยา: เราสืบทอด predispositions บางอย่าง เช่น ความก้าวร้าว ความเห็นแก่ตัว ที่ฝังอยู่ในสมองตั้งแต่แรกเกิด
21. ความคิดดำมืด ความปรารถนา และความทุกข์
จนถึงตอนนี้เราคุยกันเรื่อง Evil ในมิติภายนอก ฆาตกร สงคราม ระบบอำนาจ แต่ Breyer ไม่หยุดแค่ “ด้านนอก” เขาหันกล้องเข้ามาในใจเราเอง เพราะ ด้านมืดไม่ได้อยู่ไกล มันอยู่ในความคิดเล็ก ๆ ที่โผล่มาในหัวทุกวัน
ใครไม่เคย…
แอบคิดว่าอยากให้คู่แข่งพลาด
รู้สึกสะใจเล็ก ๆ (schadenfreude) เมื่อคนที่เราไม่ชอบมีเรื่องซวย?
หรือเผลอมีความปรารถนาที่ “ไม่ควรจะมี” จนต้องรีบสะบัดหัวไล่มันออกไป?
Breyer ชี้ว่าความคิดมืดเหล่านี้ไม่ใช่ “ความผิดเล็กน้อย” แต่เป็นร่องรอยสำคัญของธรรมชาติมนุษย์ ที่จะพาเราไปสู่การเข้าใจความทุกข์และความปรารถนาที่ไม่สิ้นสุด
22. Dark Thoughts & Desires
นักจิตวิทยา Carl Jung เสนอว่าในจิตไร้สำนึกของเรามีส่วนที่เรียกว่า Shadow พื้นที่ที่เราเก็บกดทุกสิ่งที่สังคมบอกว่า “ไม่ดี” หรือ “ไม่ควร” เช่น ความโกรธ ความใคร่ ความอิจฉา
เรามักปฏิเสธว่า “ฉันไม่มีด้านนั้น”
แต่จริง ๆ แล้ว Shadow ไม่ได้หายไป มันเพียงแต่แฝงตัวและรอจะโผล่มา ในเวลาที่เราไม่ทันตั้งตัว
I. ความคิดแทรกซ้อน (Intrusive Thoughts)
งานวิจัยทางจิตวิทยาชี้ว่า ความคิดแปลกประหลาด เช่น “ถ้าอยู่ดี ๆ ฉันผลักเพื่อนตกตึกล่ะ?” หรือ “ถ้าเหวี่ยงทารกในอ้อมแขนออกไปจะเป็นยังไง?” เกิดขึ้นในคนจำนวนมาก
ส่วนใหญ่เราจะตกใจ รีบปัดมันทิ้ง
แต่มันแสดงว่า สมองมนุษย์มีศักยภาพคิดทุกอย่าง แม้สิ่งที่ขัดกับศีลธรรมที่สุด
ความคิดมืดจึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติ แต่เป็นหลักฐานว่าเรามี Shadow อยู่เสมอ
II. Schadenfreude สุขบนความทุกข์ของผู้อื่น
คำเยอรมันนี้อธิบายความรู้สึกที่หลายคนแอบมี เช่น แอบสะใจเวลาเจ้านายทำผิด หรือดีใจที่คนขี้อวดล้มเหลวทางธุรกิจ
บางครั้งมันเป็นการ “คืนสมดุล” ทางสังคม เราอยากเห็นคนที่หยิ่งยะโสโดนดึงลงมา
แต่บางครั้งมันก็เผยความอิจฉาลึก ๆ ในใจเรา
23. Expectation & Desire ความคาดหวังที่ไม่สิ้นสุด
Breyer ชี้ว่า ความทุกข์ไม่ได้มาจากความอยากเพียงอย่างเดียว แต่มาจาก “ความคาดหวัง” ด้วย เช่น
เราคาดหวังว่าแฟนต้องเข้าใจเราโดยไม่ต้องอธิบาย → ผิดหวัง
เราคาดหวังว่างานต้องสมบูรณ์แบบ → เครียดตลอดเวลา
เราคาดหวังว่าชีวิตต้อง “เป็นไปตามแผน” → ทรมานเมื่อเจออุปสรรค
Expectation คือการวาดภาพในหัวแล้วเรียกร้องให้โลกเดินตาม ซึ่งแทบจะไม่มีวันตรงกันจริง ๆ
24. การรู้ว่าเราต้องตาย
ในบรรดาความจริงทั้งหมดที่มนุษย์ต้องเผชิญ มีสิ่งหนึ่งที่โหดร้ายและซื่อตรงที่สุด “เราทุกคนต้องตาย” ไม่ว่าเราจะมีบ้านใหญ่แค่ไหน หรือสอบได้เกรด A กี่ครั้งก็ตาม ความตายคือเส้นชัยที่เท่ากันสำหรับทุกคน และการตระหนักรู้นี้เองคือ “ด้านมืด” ที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตมนุษย์
Breyer ชี้ว่า ความกลัวตาย (Fear of Death) และความวิตกกังวลเชิงภววิสัย (Existential Anxiety) ไม่ใช่ปัญหาของ “คนบางคน” แต่เป็นรากฐานของการมีชีวิต ทุกวัฒนธรรมและทุกปรัชญาล้วนเคยพยายามตีความหรือจัดการกับมัน
25. Epicurus และ Lucretius และความตายที่ไม่น่ากลัว
นักปรัชญากรีก Epicurus และศิษย์ของเขา Lucretius เสนอเหตุผลที่โด่งดังว่า “ความตายไม่ใช่สิ่งที่ควรกลัว”
เวลาที่เรามีชีวิตอยู่ ความตายยังไม่มา
เวลาที่ความตายมา เราก็ไม่อยู่แล้วที่จะทุกข์
ดังนั้น “ความตายไม่ใช่เรื่องของเรา”
Lucretius ใช้อุปมาว่า ก่อนที่เราจะเกิด เราไม่เคยทุกข์กับการไม่มีตัวตน ดังนั้นหลังความตายก็ควรเป็นแบบเดียวกัน = ความว่างเปล่าที่ไม่เจ็บปวด
Socrates มองว่าความตายอาจเป็น “การนอนหลับที่ไร้ฝันอันยาวนาน” หรืออาจเป็น “การเดินทางไปอีกโลกหนึ่งที่ได้เจอวิญญาณนักปราชญ์ทั้งหลาย” ในมุมนี้ ความตายไม่ใช่ศัตรู แต่เป็นการเปลี่ยนสภาพการดำรงอยู่
26. Camus และความไร้แก่นสาร
Albert Camus บอกว่า มนุษย์ทุกคนถูกโยนเข้าสู่โลกที่ไร้ความหมายโดยเนื้อแท้ แต่เราก็ยังโหยหาความหมายอยู่เสมอ ความตึงเครียดนี้คือ “Absurd” และมันทำให้เกิดความวิตกเชิงภววิสัย (Existential Anxiety)
Camus ยกตัวอย่าง Sisyphus ที่ถูกลงโทษให้กลิ้งก้อนหินขึ้นเขาไปเรื่อย ๆ แล้วมันก็กลิ้งลงมา ต้องทำซ้ำไปตลอดกาล เหมือนชีวิตเราที่ทำงานวนลูปแต่ไม่รู้เพื่ออะไร
Thomas Nagel ก็มองว่า ชีวิตดูไร้สาระเพราะเราสามารถ “ถอยออกมามองตัวเองจากมุมสูง” แล้วเห็นว่าทุกสิ่งที่เราจริงจัง (งาน เงิน ชื่อเสียง) อาจไม่สำคัญอะไรเลยในจักรวาลอันกว้างใหญ่ แต่การเห็นความไร้สาระนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าเราควรสิ้นหวัง มันอาจทำให้เราใช้ชีวิตแบบเบาขึ้น
ในขณะเดียวกัน นักเทววิทยา Paul Tillich เสนอว่า การเผชิญหน้ากับความวิตกจากความไม่แน่นอนและความตายต้องการ “ความกล้าที่จะดำรงอยู่” (The Courage to Be) ซึ่งหมายถึงการยอมรับความเปราะบางของชีวิต แต่เลือกจะใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าแทนที่จะถอยหนี
27. Grief and the Goodness of Mourning
เมื่อเราสูญเสียคนที่รัก เราจะเจอกับความทุกข์ที่เรียกว่า Grief แต่มันไม่ใช่เพียงความเจ็บปวด มันคือหลักฐานว่าเรารักใครบางคนอย่างลึกซึ้ง หากเราไม่รัก เราก็จะไม่โศก
Breyer เน้นว่า การไว้ทุกข์ไม่ใช่สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง แต่เป็นสิ่งที่มีคุณค่าในตัวเอง เพราะมันเผยให้เห็นความหมายของความสัมพันธ์มนุษย์
Sigmund Freud เสนอว่า grief คือกระบวนการที่จิตใจ “ถอนการลงทุนทางอารมณ์” (Withdraw Libidinal Energy) จากผู้ที่เราสูญเสีย และนำมันกลับมาใช้กับสิ่งอื่น ๆ ได้อีกครั้ง ถ้าไม่ทำกระบวนการนี้ เราจะติดค้างในอดีตและไม่สามารถก้าวต่อไป

28. Homo Necans มนุษย์ผู้ฆ่า
คำว่า Homo Necans (มนุษย์ผู้ฆ่า) มาจากนักมานุษยวิทยา Walter Burkert ผู้เสนอว่า “การฆ่า” เป็นหนึ่งในรากฐานของวัฒนธรรมมนุษย์
พิธีกรรมบูชายัญในสมัยโบราณมักมีการฆ่าสัตว์ (หรือแม้แต่คน) เพื่อสร้างความศักดิ์สิทธิ์ และความรุนแรงไม่ได้ถูกมองว่าเป็น “ความผิด” แต่เป็น “เครื่องมือเชื่อมต่อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์”
นักจิตวิทยาวิวัฒนาการ David Buss ชี้ว่า มนุษย์ทุกคนมี “กลยุทธ์การฆ่า” อยู่ในสมอง เพราะการฆ่าในอดีตอาจเพิ่มโอกาสในการเอาตัวรอดและสืบพันธุ์ เช่น การกำจัดคู่แข่ง
ในอีกด้าน Adrian Raine ศึกษาสมองของฆาตกร พบว่ามีความผิดปกติในบริเวณที่เกี่ยวกับการควบคุมอารมณ์และการเห็นอกเห็นใจ
คำถามคือ:
การฆ่าคือธรรมชาติ หรือเป็นผลผลิตของวัฒนธรรม?
เราจะลดความรุนแรงได้จริงหรือ แค่ “เปลี่ยนรูปแบบ” ของมัน จากการความรุนแรงด้วยดาบ → ความรุนแรงด้วยความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ?
29. Nightmares ฝันร้าย
Breyer มองว่า ฝันร้ายเป็น “กระจก” ที่สะท้อนความกลัวและความรุนแรงที่เราพกพาอยู่
นักจิตวิทยามองว่าฝันร้ายคือกลไกสมองในการ “ซ้อม” สถานการณ์อันตราย เช่น ฝันว่าถูกไล่ฆ่า ทำให้เราฝึกหนีภัย
Jung อาจบอกว่าฝันร้ายคือการที่ Shadow พยายามส่งสัญญาณให้เรายอมรับมัน
ฝันร้ายจึงไม่ใช่เพียงความบังเอิญ แต่เป็นการบอกว่าความรุนแรงและความกลัวคือส่วนหนึ่งของสภาวะมนุษย์
30. Self-Deception การโกหกตัวเอง
ทำไมเราต้องโกหกตัวเอง?
เพราะบางครั้ง “ความจริง” มันหนักเกินไป เราจึงสร้างภาพลวงเพื่ออยู่รอด
นักปรัชญา Jean-Paul Sartre เรียกสิ่งนี้ว่า Bad Faith การแกล้งทำเป็นว่าเราไม่มีเสรีภาพ เพื่อหนีจากความรับผิดชอบ เช่น พนักงานที่บอกว่า “ฉันไม่มีทางเลือก ต้องทำตามเจ้านาย” ทั้งที่จริง ๆ มีทางเลือก
นักจิตวิทยาวิวัฒนาการบางคน เช่น Robert Trivers ชี้ว่า การโกหกตัวเองช่วยให้เราหลอกคนอื่นได้ดีกว่า (เพราะเราดูเชื่อจริง ๆ)
ตัวอย่างในชีวิตจริง
คนที่ติดการพนันอาจบอกตัวเองว่า “ฉันใกล้จะได้แจ็กพอตแล้ว”
คนที่ทำงานในองค์กรทุจริตอาจบอกตัวเองว่า “ฉันก็แค่ทำตามระบบ”
นี่คือวิธีที่ด้านมืดแฝงตัวอยู่ในชีวิตประจำวัน เราไม่เพียงโกหกคนอื่น แต่โกหกตัวเองด้วย
31. Ignorance – ความไม่รู้ (โดยตั้งใจ?)
นักปรัชญาหลายคนแยก Ignorance ออกเป็นสองแบบ:
Ignorance ธรรมดา = ไม่รู้จริง ๆ เช่น ไม่รู้สูตรคณิตศาสตร์
Willful Ignorance = “แกล้งไม่รู้” เพราะไม่อยากรับผิดชอบ
ตัวอย่าง: คนที่เพิกเฉยต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งที่ข้อมูลชัดเจนแล้ว อาจจะไม่ใช่เพราะไม่รู้ แต่เพราะ การยอมรับความจริงหมายถึงต้องเปลี่ยนวิถีชีวิต ซึ่งมันยากกว่าแกล้งทำไม่รู้
นี่คือด้านมืดของความไม่รู้ มันไม่ใช่แค่ช่องโหว่ของข้อมูล แต่คือการเลือกที่จะอยู่ในความสบาย
32. Weakness of Will รู้ว่าผิด แต่ก็ทำ
Aristotle เคยถามว่า: ทำไมเราทำสิ่งที่รู้ว่าไม่ควรทำ?
เขาเรียกปัญหานี้ว่า Akrasia หรือ “ความอ่อนแอของเจตจำนง”
ตัวอย่างเช่น รู้ว่าต้องอ่านหนังสือสอบ แต่กลับดูซีรีส์ต่อ, รู้ว่าควรเลิกสูบบุหรี่ แต่ก็ยังหยิบมาอีกมวน, รู้ว่าควรพูดความจริง แต่เลือกโกหกเพราะมันง่ายกว่า
วิทยาศาสตร์ปัจจุบันอธิบายว่า Weakness of Will อาจเกิดจากสมอง 2 ระบบที่ต่อสู้กันเอง
ระบบเร็ว (Fast system): อารมณ์ ความอยาก ความพอใจทันที อยู่ในสมองส่วนลิมบิก
ระบบช้า (Slow system): การวางแผน การยับยั้งชั่งใจ อยู่ในสมองส่วน Prefrontal Cortex
เมื่อเรารู้ว่า “ควรทำ A” แต่กลับทำ B แทน แสดงว่า “ระบบเร็วชนะระบบช้า” เราเลือกความสุขระยะสั้นมากกว่าผลระยะยาว
นักจิตวิทยาเรียกสิ่งนี้ว่า Present Bias หรือ อคติที่ให้ค่ากับปัจจุบันทันทีมากกว่าผลลัพธ์ในอนาคต
33. Luck & Limits of Blame – โชคกับขอบเขตของการกล่าวโทษ
นักปรัชญา Thomas Nagel และ Bernard Williams เคยตั้งคำถามเรื่อง Moral Luck บางครั้งผลของการกระทำไม่ได้ขึ้นกับเจตนา แต่ขึ้นกับโชค เช่น
คนขับสองคนเมาเหมือนกัน → คนหนึ่งถึงบ้านอย่างปลอดภัย อีกคนชนเด็กตาย
ต้นเหตุแทบเหมือนกัน แต่ผลต่างกันมหาศาล
แล้วเราควร “โทษ” เท่า ๆ กันหรือไม่?
Breyer ใช้กรณีนี้เพื่อชี้ว่าการกล่าวโทษมนุษย์อาจมีขอบเขต เพราะเราทุกคนถูกกำหนดบางส่วนด้วยสิ่งที่เราไม่ได้เลือก เช่น พันธุกรรม สิ่งแวดล้อม โชคดีหรือโชคร้าย
34. Victim Blaming การกล่าวโทษเหยื่อ
นักจิตวิทยา Melvin Lerner พบว่า มนุษย์มีแนวโน้มเชื่อใน “โลกที่ยุติธรรม” (Just World Hypothesis) เราอยากเชื่อว่า “คนดีจะได้ดี คนเลวจะได้ผลกรรม”
ผลคือเมื่อเห็นใครประสบเคราะห์ร้าย เรามัก “หาเหตุผลว่าพวกเขาสมควรโดน” เช่น
เหยื่อถูกปล้น → “ก็เพราะแต่งตัวล่อแหลมเอง”
คนจน → “ก็เพราะไม่ขยันเอง”
นี่คือการกล่าวโทษเหยื่อ (Victim Blaming) ที่จริง ๆ แล้วเป็นการปกป้องความสบายใจของเราเอง มากกว่าหาความจริง
35. Justice or Revenge ความยุติธรรม หรือการแก้แค้น
แนวคิดเรื่อง ความยุติธรรม (Justice) เป็นเสาหลักของสังคมมนุษย์มาแต่โบราณ กฎหมายฮัมมูราบีในบาบิโลน ก็ตั้งอยู่บนหลักการ “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” (lex talionis) นี่ไม่ใช่เพียงคำสั่งลงโทษ แต่เป็นความพยายามสร้าง “สมดุล” ให้แก่สังคม เพื่อไม่ให้การลงโทษเกินเลยไปกว่าความผิด และเพื่อยืนยันว่า “มนุษย์อยู่ร่วมกันได้เพราะกฎแห่งความยุติธรรม” (เท่าที่ยุคนั้นจะมีได้)
ความยุติธรรมจึงมีลักษณะเป็น “หลักการ” ที่อยู่เหนือความรู้สึกส่วนตัว การลงโทษผู้ทำผิดไม่ใช่เพราะเราสะใจ แต่เพราะมันจำเป็นสำหรับการรักษาความสงบและกติกาที่ทุกคนยอมรับร่วมกัน
แต่เมื่อพูดถึง “การแก้แค้น” (Revenge) ภาพที่ปรากฏกลับต่างออกไปโดยสิ้นเชิง การแก้แค้นไม่ได้ถามว่า “อะไรคือความถูกต้อง” แต่ถามว่า “ฉันเจ็บแค่ไหน และฉันจะทำให้เขาเจ็บกลับได้อย่างไร” มันไม่ได้สนใจสมดุลของสังคม หากแต่สนใจ “การคืนรสชาติของความเจ็บปวดให้กับผู้กระทำผิด” การแก้แค้นจึงเป็นไฟอารมณ์ล้วน ๆ เป็นการยอมให้โทสะเป็นผู้ขับเคลื่อน
36. Elimination of Anger – เราควรกำจัดความโกรธไหม?
นักปรัชญาสตรีนิยมบางคนโต้แย้งว่า “ความโกรธไม่ควรถูกกำจัดเสมอไป” เพราะบางครั้งมันคือพลังขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางสังคม (เช่น ความโกรธต่อความอยุติธรรม)
แต่สำนักปรัชญาบางแห่งก็บอกว่า “ความโกรธคือโรคของจิตใจ ที่ไม่เคยนำไปสู่สิ่งดีเลย”
Breyer ทิ้งคำถามไว้ให้ผู้อ่านว่า เราจะใช้ความโกรธเป็น “พลังเพื่อความยุติธรรม” ได้อย่างไร โดยไม่ปล่อยให้มันกลายเป็น “เชื้อเพลิงของการทำลาย”?
37. The Allure of the Dark Side – เสน่ห์ของด้านมืด
Daniel Breyer หยิบเรื่องใน Republic ของ Plato มาเล่าเหตุการณ์ของ Leontius ชายชาวเอเธนส์ผู้หนึ่งที่เดินอยู่ใกล้กำแพงเมืองและพบกับร่างของผู้ถูกประหาร เขาเกิดความขัดแย้งภายในอย่างรุนแรง ดวงตาอยากจ้อง แต่จิตใจกลับรู้สึกรังเกียจ เขาพยายามหันหน้าหนี แต่สุดท้ายก็เหลียวไปมองพร้อมตะโกนด่าตัวเองว่า “ตาเอ๋ย เอาเลย มองให้เต็มตา!”
Daniel Breyer ชี้ให้เห็นว่า “มนุษย์ไม่ได้แค่หวาดกลัวหรือรังเกียจความมืด แต่ยังถูกมันดึงดูดในสามลักษณะหลัก”
I. Predation – ความกลัวว่าจะตกเป็นเหยื่อ
มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่วิวัฒน์มาโดยต้องเอาตัวรอดจากนักล่า ภาพของซากศพ ความรุนแรง หรือการฆาตกรรม จึงสะกิดสัญชาตญาณดึกดำบรรพ์ในใจเรา เราดูมันด้วยความสยอง แต่ก็ใช้มันเป็น “การซ้อม” เผื่อเราต้องเจอเองในชีวิตจริง
II. Contagion – ความรังเกียจสิ่งปนเปื้อน
ศพ เลือด ความสกปรก มักทำให้เราขยะแขยง แต่ความรังเกียจนั้นเองกลับดึงดูดสายตา เราทั้งอยากหันหนีและอยากมองต่อ ราวกับการรังเกียจและการหลงใหลเป็นสองด้านของเหรียญเดียวกัน
III. Violation – การถูกรบกวนจากสิ่งที่ไม่เข้าพวก
เรามีภาพของ “ความเป็นบุคคล” และ “ความปกติ” อยู่ในใจ เมื่อเห็นอะไรที่รบกวนกรอบนี้ มันเขย่าความเข้าใจโลกของเรา และนั่นเองที่ทำให้เราทั้งหวาดหวั่นและหลงใหล
Breyer เชื่อมโยงเข้ากับสิ่งที่นักจิตวิทยาเรียกว่า “The Paradox of Horror” ทำไมเราถึงสนุกกับหนังสยองขวัญ หรือทำไมเราถึงอยากเหลียวมองอุบัติเหตุ ทั้งที่รู้ว่าจะไม่สบายใจ นี่สะท้อนว่ามนุษย์มีความอยากรู้อยากเห็นแบบย้อนแย้ง เพลิดเพลินกับการเผชิญด้านมืดในพื้นที่ปลอดภัย
Breyer ไม่ได้พูดถึงเสน่ห์ของด้านมืดแค่ผ่านๆ แต่ใช้ทั้งกรอบทางปรัชญา (Plato) และจิตวิทยาสมัยใหม่ มาชี้ให้เห็นว่า ด้า

ที่อยู่

39/98 ถนนรัชดาภิเษก ซอย 14 แขวงตลาดพลู เขตธนบุรี
Bangkok
10600

เบอร์โทรศัพท์

+66815673710

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ปลาเป็น ว่ายทวนน้ำ Plapen Film Studioผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง ปลาเป็น ว่ายทวนน้ำ Plapen Film Studio:

แชร์