24/10/2025
ฎีกาที่ 798/2568 🔥 #วิอาญา #หน้าที่นำสืบก่อนในคดีอาญา #ภาระการพิสูจน์เรื่องเหตุลดหย่อนโทษตกอยู่แก่ฝ่ายใด #ฎีกาในข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบ
[น่าสนใจ น่าออกสอบมาก] 🌟🌟🌟🌟
1. คดีอาญา หากโจทก์ฟ้อง จำเลยให้การปฏิเสธ ก็จะต้องมีการสืบพยาน ซึ่งการนำพยานเข้าสืบในคดีอาญานั้น โจทก์มีหน้าที่นำพยานเข้าสืบก่อนเสมอ [ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 174] เมื่อสืบพยานโจทก์เสร็จแล้ว ก็สืบพยานจำเลยต่อเนื่องไปในทันที
2. ❤️🔥**แต่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ก็ #ไม่มีบัญญัติว่า “ #ภาระการพิสูจน์ในคดีอาญา” #เป็นหน้าที่ของคู่ความฝ่ายใด
3. 🌟🌟🌟 **แต่ ป.วิ.อ. มาตรา 15 บัญญัติว่า “วิธีพิจารณาข้อใดซึ่งประมวลกฎหมายนี้มิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ ให้นำบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. มาใช้บังคับเท่าที่พอจะใช้บังคับได้” 🔑
👉 ซึ่ง ป.วิ.พ. มาตรา 84/1 บัญญัติให้ ”คู่ความฝ่ายใดกล่าวอ้างข้อเท็จจริงเพื่อสนับสนุนคำคู่ความของตน ให้คู่ความฝ่ายนั้นมีภาระการพิสูจน์“
4.💡 ซึ่งตามปกติ ในคดีอาญา [ในคดีสืบสู้] ** #ประเด็นว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ [รวมถึงกรณีจำเลยให้การสู้ อ้างเหตุยกเว้นความผิด เช่น อ้างว่าเป็นการกระทำโดยป้องกันโดยชอบ จึงมิได้กระทำผิดตามฟ้อง] #ภาระการพิสูจน์จะตกอยู่แก่ฝ่ายโจทก์ที่ต้องมีหน้าที่นำสืบเสมอ
[และเมื่อเป็นคดีที่สืบสู้ ก็จะต้องสืบฯ ถึงขนาดปราศจากความสงสัยฯ ตามมาตรา 227 วรรคสอง ด้วย]
5. 🔥แต่หากโจทก์ฟ้อง **จำเลยให้การรับสารภาพ #แต่อ้างเหตุลดหย่อนโทษ
เช่น โจทก์ฟ้องจำเลยข้อหาพยายามฆ่า **จำเลยให้การรับสารภาพฯ **ซึ่งข้อหาที่โจทก์ฟ้อง ***เป็นข้อหาที่ต้องสืบประกอบคำรับสารภาพ [ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 176 วรรคหนึ่ง] อย่างนี้ ศาลก็จะต้องฟังพยานโจทก์จนกว่าจะพอใจว่าจำเลยได้กระทำผิดจริง [จะพิพากษาลงโทษตามฟ้องทันทีเลยไม่ได้]
⚡️✨แต่หากจำเลย จะอ้างว่า #กระทำไปโดยบันดาลโทสะ **อย่างนี้ #ภาระการพิสูจน์ในเรื่องเหตุลดหย่อนโทษดังกล่าว [เรื่องบันดาลโทสะ] ** #ก็จะตกอยู่แก่ฝ่ายจำเลย **ที่ต้องนำสืบ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 84/1 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15** [💡ประเด็นลักษณะนี้ เคยออกสอบสนามผู้ช่วยผู้พิพากษา ข้อพยานอาญา มาแล้ว แต่สามารถนำมาออกวกวนได้เสมอ ]
6. ❤️🔥หากระหว่างสืบพยานโจทก์ประกอบคำรับสารภาพ **จำเลย #ไม่ได้ถามค้านเรื่องการข่มเหงฯ และ การ #สืบพยานของจำเลยเอง #ก็ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงเรื่องถูกผู้เสียหายข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยไม่เป็นธรรม ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่าตามฟ้อง
👉 ดังนี้ **จำเลยจะหยิบยกประเด็นเรื่องกระทำโดยบันดาลโทสะ #กล่าวอ้างขึ้นใหม่ในชั้นฎีกาไม่ได้ **เป็นฎีกา #ในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง และ 252 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 ❌
7. ❤️🔥 ส่วน #ฎีกาของจำเลยทำนองว่าก่อนและหลังกระทำความผิดจำเลยมีอาการทางจิต **จำเลย #ก็มิได้นำสืบว่า จำเลยป่วยเป็นโรคจิตเภทและกระทำความผิดในขณะยังสามารถรู้ผิดชอบได้อยู่บ้างหรือไม่อย่างไร **ฎีกาของจำเลย #เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงอันนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย **ถือว่า #เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบ ในศาลล่างทั้งสอง **ต้องห้ามมิให้ฎีกาเช่นกัน./ ❌
🩵🌻 ข้อสังเกต : หากจำเลยยังติดใจคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่พิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานพยายามฆ่าฯ ดังกล่าว 👉 **จำเลยก็จะต้องรีบอุทธรณ์คำพิพากษาในชั้นอุทธรณ์ ***โดยอ้างในทำนองว่า #ข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบประกอบฟังไม่ได้ว่า จำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายตามฟ้อง **ถ้าอ้างมาอย่างนี้ จำเลยอุทธรณ์ได้ [เนื่องด้วย โจทก์มีการสืบพยานประกอบฯว่า จำเลยพยายามฆ่าผู้เสียหาย กระทำผิดจริงตามฟ้องมาแล้ว ] *จึง #มิใช่อุทธรณ์โต้เถียงข้อเท็จจริงที่ขัดกับคำให้การรับสารภาพของจำเลย #หรือเป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ อันจะเป็นอุทธรณ์ที่ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 แต่อย่างใด [เทียบ ฎ.59/2567, 4697/2566] [แต่ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาแก้ หรือจะพิพากษายืน หรือจะยกฟ้องหรือไม่นั้น ก็เป็นอีกกรณีหนึ่ง]
💥 แต่หากจำเลยไม่อุทธรณ์ในประเด็นดังกล่าวเลย **แต่จำเลยเพิ่งจะมาหยิบยกขึ้นใหม่ในชั้นฎีกา หรืออ้างในชั้นฎีกาอย่างเช่นฎีกาปี 68 **กรณีอย่างนี้ **เป็นฎีกาในข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบฯ ย่อมต้องห้ามฎีกา./