The laws of life 👩‍🎓สรุปคำบรรยายเนติและคำพิพากษาน่าสนใจ
👩‍⚖️เตรียมสอบเนติบัณฑิต​ ผู้พิพากษา​ อัยการ

24/10/2025
24/10/2025

ฎีกาที่ 798/2568 🔥 #วิอาญา #หน้าที่นำสืบก่อนในคดีอาญา #ภาระการพิสูจน์เรื่องเหตุลดหย่อนโทษตกอยู่แก่ฝ่ายใด #ฎีกาในข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบ
[น่าสนใจ น่าออกสอบมาก] 🌟🌟🌟🌟

1. คดีอาญา หากโจทก์ฟ้อง จำเลยให้การปฏิเสธ ก็จะต้องมีการสืบพยาน ซึ่งการนำพยานเข้าสืบในคดีอาญานั้น โจทก์มีหน้าที่นำพยานเข้าสืบก่อนเสมอ [ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 174] เมื่อสืบพยานโจทก์เสร็จแล้ว ก็สืบพยานจำเลยต่อเนื่องไปในทันที

2. ❤️‍🔥**แต่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ก็ #ไม่มีบัญญัติว่า “ #ภาระการพิสูจน์ในคดีอาญา” #เป็นหน้าที่ของคู่ความฝ่ายใด

3. 🌟🌟🌟 **แต่ ป.วิ.อ. มาตรา 15 บัญญัติว่า “วิธีพิจารณาข้อใดซึ่งประมวลกฎหมายนี้มิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ ให้นำบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. มาใช้บังคับเท่าที่พอจะใช้บังคับได้” 🔑
👉 ซึ่ง ป.วิ.พ. มาตรา 84/1 บัญญัติให้ ”คู่ความฝ่ายใดกล่าวอ้างข้อเท็จจริงเพื่อสนับสนุนคำคู่ความของตน ให้คู่ความฝ่ายนั้นมีภาระการพิสูจน์“

4.💡 ซึ่งตามปกติ ในคดีอาญา [ในคดีสืบสู้] ** #ประเด็นว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ [รวมถึงกรณีจำเลยให้การสู้ อ้างเหตุยกเว้นความผิด เช่น อ้างว่าเป็นการกระทำโดยป้องกันโดยชอบ จึงมิได้กระทำผิดตามฟ้อง] #ภาระการพิสูจน์จะตกอยู่แก่ฝ่ายโจทก์ที่ต้องมีหน้าที่นำสืบเสมอ
[และเมื่อเป็นคดีที่สืบสู้ ก็จะต้องสืบฯ ถึงขนาดปราศจากความสงสัยฯ ตามมาตรา 227 วรรคสอง ด้วย]

5. 🔥แต่หากโจทก์ฟ้อง **จำเลยให้การรับสารภาพ #แต่อ้างเหตุลดหย่อนโทษ
เช่น โจทก์ฟ้องจำเลยข้อหาพยายามฆ่า **จำเลยให้การรับสารภาพฯ **ซึ่งข้อหาที่โจทก์ฟ้อง ***เป็นข้อหาที่ต้องสืบประกอบคำรับสารภาพ [ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 176 วรรคหนึ่ง] อย่างนี้ ศาลก็จะต้องฟังพยานโจทก์จนกว่าจะพอใจว่าจำเลยได้กระทำผิดจริง [จะพิพากษาลงโทษตามฟ้องทันทีเลยไม่ได้]
⚡️✨แต่หากจำเลย จะอ้างว่า #กระทำไปโดยบันดาลโทสะ **อย่างนี้ #ภาระการพิสูจน์ในเรื่องเหตุลดหย่อนโทษดังกล่าว [เรื่องบันดาลโทสะ] ** #ก็จะตกอยู่แก่ฝ่ายจำเลย **ที่ต้องนำสืบ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 84/1 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15** [💡ประเด็นลักษณะนี้ เคยออกสอบสนามผู้ช่วยผู้พิพากษา ข้อพยานอาญา มาแล้ว แต่สามารถนำมาออกวกวนได้เสมอ ]

6. ❤️‍🔥หากระหว่างสืบพยานโจทก์ประกอบคำรับสารภาพ **จำเลย #ไม่ได้ถามค้านเรื่องการข่มเหงฯ และ การ #สืบพยานของจำเลยเอง #ก็ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงเรื่องถูกผู้เสียหายข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยไม่เป็นธรรม ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่าตามฟ้อง
👉 ดังนี้ **จำเลยจะหยิบยกประเด็นเรื่องกระทำโดยบันดาลโทสะ #กล่าวอ้างขึ้นใหม่ในชั้นฎีกาไม่ได้ **เป็นฎีกา #ในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง และ 252 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 ❌

7. ❤️‍🔥 ส่วน #ฎีกาของจำเลยทำนองว่าก่อนและหลังกระทำความผิดจำเลยมีอาการทางจิต **จำเลย #ก็มิได้นำสืบว่า จำเลยป่วยเป็นโรคจิตเภทและกระทำความผิดในขณะยังสามารถรู้ผิดชอบได้อยู่บ้างหรือไม่อย่างไร **ฎีกาของจำเลย #เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงอันนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย **ถือว่า #เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบ ในศาลล่างทั้งสอง **ต้องห้ามมิให้ฎีกาเช่นกัน./ ❌

🩵🌻 ข้อสังเกต : หากจำเลยยังติดใจคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่พิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานพยายามฆ่าฯ ดังกล่าว 👉 **จำเลยก็จะต้องรีบอุทธรณ์คำพิพากษาในชั้นอุทธรณ์ ***โดยอ้างในทำนองว่า #ข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบประกอบฟังไม่ได้ว่า จำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายตามฟ้อง **ถ้าอ้างมาอย่างนี้ จำเลยอุทธรณ์ได้ [เนื่องด้วย โจทก์มีการสืบพยานประกอบฯว่า จำเลยพยายามฆ่าผู้เสียหาย กระทำผิดจริงตามฟ้องมาแล้ว ] *จึง #มิใช่อุทธรณ์โต้เถียงข้อเท็จจริงที่ขัดกับคำให้การรับสารภาพของจำเลย #หรือเป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ อันจะเป็นอุทธรณ์ที่ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 แต่อย่างใด [เทียบ ฎ.59/2567, 4697/2566] [แต่ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาแก้ หรือจะพิพากษายืน หรือจะยกฟ้องหรือไม่นั้น ก็เป็นอีกกรณีหนึ่ง]
💥 แต่หากจำเลยไม่อุทธรณ์ในประเด็นดังกล่าวเลย **แต่จำเลยเพิ่งจะมาหยิบยกขึ้นใหม่ในชั้นฎีกา หรืออ้างในชั้นฎีกาอย่างเช่นฎีกาปี 68 **กรณีอย่างนี้ **เป็นฎีกาในข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบฯ ย่อมต้องห้ามฎีกา./

22/10/2025
22/10/2025
22/10/2025

ฎีกาที่ 2614/2568 (ประชุมใหญ่) “ #แก๊งCallCenter” น่าสนใจ ๆ มาก การกระทำผิดต่างกรรม 🌟🌟🌟🌟

🔥 #การกระทำของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ [จำเลยทั้งสาม] ที่ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นคนอื่น นั้น ***เป็นความผิดฐานร่วมกันกระทำการเป็นอั้งยี่ ฐานร่วมกันเป็นช่องโจร และฐานร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ
**ซึ่งแม้จะยังไม่ได้กระทำการตามที่สมคบกัน ✨ #ก็เป็นความผิดสำเร็จแล้วตั้งแต่สมคบวางแผน เพื่อกระทำผิด

💡 #เมื่อต่อมา จำเลยทั้งสามได้กระทำการร่วมกันฉ้อโกงฯ และนำเข้าสู่ระบบคอมฯ

💥ดังนี้ ***จึงเป็นความผิด “ #ต่างกรรม“ กับ 👉 ความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นคนอื่น และความผิดฐานร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ปลอมหรือเป็นเท็จ./

22/10/2025

🌟คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2614/2568 (ป.)
การกระทำของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ในความผิดฐานร่วมกันกระทำการเป็นอั้งยี่ ฐานร่วมกันเป็นซ่องโจรและฐานร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติเป็นความผิดต่างกรรมกับความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นคนอื่นและความผิดฐานร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ปลอมหรือเป็นเท็จ

—————
📍ติดตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่น่าสนใจ #สรรหาฎีกาเด็ด by ศูนย์วิชาการงานคดี ศาลฎีกา
ได้ทุกวันพุธ ผ่านช่องทางดังนี้
-เว็บไซต์ศาลฎีกา https://www.supremecourt.or.th
-page สื่อศาล
-สืบค้นฉบับย่อยาวเพิ่มเติมได้ที่ http://deka.supremecourt.or.th/
ในวันที่เผยแพร่ ตั้งแต่เวลา 12.00 น. เป็นต้นไป

‼️หมายเหตุ : วิธีสืบค้นคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับย่อยาว
1.กรอกเฉพาะเลขคำพิพากษาศาลฎีกา เช่น 2614/2568 ในช่อง ค้นหาจากหมายเลขคำพิพากษา แล้วคลิกค้นหา
2.เมื่อเจอคำพิพากษาที่ต้องการแล้ว ให้คลิกที่ “ดูฉบับย่อ” จะปรากฏข้อมูลทั้งย่อสั้นและย่อยาว

#สรรหาฎีกาเด็ด
#รวดเร็ว #แม่นยำ #เป็นประโยชน์
#แหล่งรวบรวมความรู้ทางกฎหมายเพื่ออำนวยความยุติธรรมแก่ประชาชน

22/10/2025

ฎีกาที่ 3270/2568 #วิอาญา มาตรา 245 วรรค 2 น่าสนใจ น่าออกสอบได้เสมอ 🌟🌟🌟🌟
[ การที่จำเลยอุทธรณ์ #ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 245 วรรค 2 หรือไม่ ? ประเด็นที่จำเลยฎีกาจะติดมาตราดังกล่าวหรือไม่ ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกามาชอบหรือไม่]

🔥 #ปัญหามีว่า : โจทก์ฟ้อง จำเลยให้การปฏิเสธ **ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 277 วรรคสี่ (ฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีฯโดยมีอาวุธปืนหรือโดยใช้มีดเป็นอาวุธ) รวม 4 กระทง ให้จำคุกกระทงละตลอดชีวิต เมื่อรวมทุกกระทง คงจำคุกจำเลยตลอดชีวิต ตาม ป.อ. 91 (3)
**จำเลยอุทธรณ์ ขอให้ลงโทษเบากว่าศาลชั้นต้น **ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยกระทำชำเราเด็กโดยมีอาวุธปืนหรือโดยใช้มีดเป็นอาวุธตามฟ้องจริง “พิพากษายืน” ดังนี้ :
🔶 **การที่จำเลยอุทธรณ์ในประเด็นดังกล่าว และศาลอุทธรณ์วินิจฉัยฯ จะเป็นการวินิจฉัยโดยอาศัยอำนาจตาม ป.วิ.อ.มาตรา 245 วรรค 2 หรือไม่ ?
🔶 **จำเลยจะฎีกาว่า พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยกระทำความผิดหรือไม่ ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 227 วรรคสอง ได้หรือไม่ ? ศาลชั้นต้น
สั่งรับฎีกาประเด็นนี้มา ชอบหรือไม่ ?
🔶 **จำเลยฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยสถานเบา ได้หรือไม่ ?

1. 👩🏻‍⚖️คดีนี้ ศาลชั้นต้น #พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบห้าปี ซึ่งมิใช่ภริยาของตน โดยเด็กหญิงนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม โดยมีอาวุธปืนหรือโดยใช้มีดเป็นอาวุธตาม ป.อ. มาตรา 277 วรรคสี่ รวม 4 กระทง และให้จำคุกกระทงละตลอดชีวิต แต่เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว คงจำคุกจำเลยตลอดชีวิต ตาม ป.อ. มาตรา 91 (3)

2. 💥**จำเลย #อุทธรณ์ ขอให้ศาลอุทธรณ์ภาคฯ #ลงโทษจำเลยเบากว่าคำพิพากษาศาลชั้นต้น [✨กรณีจึงถือว่า ประเด็นว่าจำเลยกระทำชำเราเด็กฯโดยมีอาวุธปืนหรือโดยใช้มีดเป็นอาวุธหรือไม่ ขึ้นมาสู่ศาลอุทธรณ์ตามมาตรา 245 วรรคสอง]

3. 👨🏻‍⚖️**การที่ศาลอุทธรณ์ภาคฯ #วินิจฉัยว่า **จำเลยกระทำชำเราเด็กโดยมีอาวุธปืนหรือโดยใช้มีดเป็นอาวุธตามฟ้องจริง #ย่อมเป็นการวินิจฉัยโดยอาศัยอำนาจตาม ป.วิ.อ. มาตรา 245 วรรคสอง✅ ⚡️🔥

4. 👨🏻‍⚖️ เมื่อศาลอุทธรณ์ #พิพากษายืน #ข้อเท็จจริงที่ว่า จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาหรือไม่ #จึงเป็นอันถึงที่สุดตาม ป.วิ.อ. มาตรา 245 วรรคสอง 🔥
👉จำเลย #ไม่มีสิทธิฎีกาว่าพยานโจทก์ยังเป็นที่สงสัยตามสมควรว่า จำเลยกระทำความผิดหรือไม่ ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 227 วรรคสอง #อันเป็นทำนองว่าจำเลยไม่ได้กระทำความผิดตามฟ้องได้อีก ❌

5. ที่ศาลชั้นต้น 👩🏻‍⚖️ #สั่งรับฎีกาของจำเลยในประเด็นนี้มา เป็นการไม่ชอบ ❌ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

6. ✨ #แต่อย่างไรก็ดี สำหรับประเด็นที่ว่า สมควรลงโทษจำเลยสถานเบาหรือไม่นั้น #ยังไม่ถึงที่สุดเพราะจำเลยอุทธรณ์ และ #จำเลยมีสิทธิฎีกาในประเด็นนี้ได้ ✅ [และแม้ศาลอุทธรณ์จะพิพากษายืน ก็ไม่ต้องห้ามจำเลยฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคสอง เพราะศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำคุกเกิน 5 ปี คงต้องห้ามแต่เฉพาะโจทก์เท่านั้น] **จึงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า มีเหตุสมควรลงโทษจำเลยเบากว่าคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองหรือไม่./

20/10/2025

ฎีกาที่ 3487/2568 วิแพ่ง น่าสนใจ น่าออกสอบ🌟🌟🌟

จำเลยที่ 2 #เป็นผู้ค้ำประกัน ความรับผิดของจำเลยที่ 1 #เฉพาะตามสัญญาเช่าชื้อฉบับที่2 เท่านั้น

👩🏻‍⚖️การที่ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสอง ** #ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ [ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 161] **โดยกำหนดค่าทนายความให้ 3,000 บาท #จึงเป็นการพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ชำระค่าธรรมเนียมศาลแทนโจทก์ #รวมถึงค่าฤชาธรรมเนียม #ในส่วนข้อพิพาทตามสัญญาเช่าซื้อฉบับที่1 ด้วย
ซึ่ง #เกินกว่าที่ จำเลยที่ 2 ต้องรับผิด** เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ❌

[👨🏻‍⚖️ศาลฎีกา พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ในส่วน “ค่าขึ้นศาล” ตามจำนวนทุนทรัพย์ “ที่โจทก์ชนะคดีจำเลยที่ 2”]

20/10/2025
20/10/2025

วันนี้มีฎีกากลับหลักมาฝาก 1 ฎีกา ครับ

19/10/2025

ีกาใหม่ปี68 🧠📝

ฎ. 2304/2568 ( #น่าสนใจมาก)

#ประเด็นสำคัญที่ต้องโฟกัสคือ
“โจทก์จะฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองเปลี่ยนชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์โฉนดที่ดินเลขที่ 314 จากจำเลยทั้งสองมาเป็นโจทก์ (ตามการครอบครองในความเป็นจริง) ได้หรือไม่ และคดีนี้เป็นคดีมีทุนทรัพย์หรือไม่ ?”

#คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า

• เดิมนาย ว. เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 306 และที่ดินโฉนดเลขที่ 314 ต่อมานาย ว. ถึงแก่ความตาย โจทก์และนาง ส. ซึ่งเป็นบุตรนาย ว. ได้รับโอนมรดกโดยโจทก์จดทะเบียนรับโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 306 ส่วนนาง ส. จดทะเบียนรับโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 314 เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2551

(✎ #จุดนี้ ที่ดินที่เราจะต้องโฟกัสคือ ที่ดินโฉนดเลขที่ 306 ที่โจทก์ได้รับโอนมาเมื่อวันที่ 7 ก.ค. 2551 ได้มาโดยการรับมรดกของนาย ว. บิดาของโจทก์)

• ต่อมานาง ส. จดทะเบียนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 314 ให้แก่จำเลยทั้งสองเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2551 แต่ปรากฏว่านับแต่วันที่ 7 กรกฎาคม 2551 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน โจทก์เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 314 และจำเลยทั้งสองเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 306 นับตั้งแต่วันที่ 9 กรกฎาคม 2551 จนถึงปัจจุบัน

( ✎ #พูดง่าย ๆ คือ

→ โจทก์อ้างว่าโจทก์ครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่ 314 ( #ความจริงเป็นที่ดินของจำเลยทั้งสอง) นับตั้งแต่วันที่โจทก์รับโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 306 มาโดยการรับมรดก และ

→ จำเลยทั้งสองครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่ 306 ( #ความจริงเป็นที่ดินของโจทก์) มาตั้งแต่วันที่ ส. จดทะเบียนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 314 ให้แก่จำเลยทั้งสอง)

• อันเป็นกรณีที่โจทก์และจำเลยทั้งสองครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินถูกต้องตามเจตนา แต่โจทก์และจำเลยทั้งสองจดทะเบียนโอนและมีชื่อในโฉนดที่ดินสลับแปลงเนื่องจากความเข้าใจผิด

• โจทก์เข้าครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 314 ของจำเลยทั้งสองโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่า 10 ปี โดยไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้าน

• ( #คำขอของโจทก์วรรคนี้สำคัญมาก ») (โจทก์) ขอให้พิพากษาให้จำเลยทั้งสองเปลี่ยนชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินเลขที่ 314 จากชื่อจำเลยทั้งสองเป็นชื่อโจทก์ และส่งมอบโฉนดที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์ ด้วยค่าใช้จ่ายของจำเลยทั้งสอง หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา โดยโจทก์ยินยอมเปลี่ยนชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินเลขที่ 306 จากชื่อโจทก์เป็นชื่อจำเลยทั้งสอง ด้วยค่าใช้จ่ายของโจทก์และยินยอมส่งมอบโฉนดที่ดินแก่จำเลยทั้งสอง

#จำเลยทั้งสองให้การโดยสรุปได้ว่า

• โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เนื่องจากโจทก์อ้างว่าครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่ 314 มาโดยตลอด จึงเป็นการอ้างว่าได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ที่ดินของตนเอง (✎ #จุดนี้น่าพิจารณา เดี๋ยวผู้เขียนจะวิเคราะห์ต่อในคอมเมนต์ครับ)

• ที่ดินโฉนดเลขที่ 314 จำเลยทั้งสองครอบครองและทำประโยชน์มาโดยตลอด

• ที่ดิน (โฉนดเลขที่ 306) ที่โจทก์อ้างว่าเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 314 นั้น โจทก์ทิ้งร้างมาโดยตลอด จนปี 2564 โจทก์จึงเข้ามาปลูกส้มโอ ที่โจทก์อ้างว่าครอบครองตั้งแต่ปี 2551 จึงไม่เป็นความจริง

• จำเลยทั้งสองได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 314 โดยสุจริต เสียค่าตอบแทน จดทะเบียนถูกต้อง ขอให้ยกฟ้อง
ข้อสังเกต คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษา “ยกฟ้องโจทก์” โจทก์ฎีกาโดยได้รับอนุญาตให้ฎีกา

#ประเด็นในฎีกานี้คือ “โจทก์จะฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองเปลี่ยนชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์โฉนดที่ดินเลขที่ 314 จากจำเลยทั้งสองมาเป็นโจทก์ (ตามการครอบครองในความเป็นจริง) ได้หรือไม่ และคดีนี้เป็นคดีมีทุนทรัพย์หรือไม่ ?”

#ศาลฎีกาวินิจฉัยไว้น่าสนใจ ดังนี้ครับ

• (เมื่อ) ได้ความว่า โจทก์และจำเลยทั้งสองต่างครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมาโดยมิได้โต้แย้งกรรมสิทธิ์กัน

( ✎ #มุมมองของศาลฎีกาจุดนี้สำคัญ เพราะเมื่อเราพิจารณาจากคำฟ้อง โจทก์อ้างว่าความตั้งใจในการครอบครองที่ดินของจำเลยทั้งสองและโจทก์ถูกต้องตามความเป็นจริงแล้ว เพียงแต่เลขโฉนดที่ดินมันสลับกัน ซึ่งคำให้การของจำเลยทั้งสองก็อ้างเรื่องอำนาจฟ้อง และเรื่องการครอบครองที่ดิน “ที่ดินตนครอบครอง” โดยชอบแล้ว เท่านั้น
ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าทั้งสองโจทก์และจำเลยไม่ได้กล่าวอ้างเพื่อที่จะไป “ #แย่งเอา” ที่ดินของอีกฝ่ายมาเป็นของตน ต่างคนก็ต่างประสงค์จะได้ที่ดินที่ตนครอบครองอยู่ตามความเป็นจริงเท่านั้น จึงเป็นเหตุผลที่ศาลฎีกาวินิจฉัยเกริ่นนำมาว่า “ #โจทก์และจำเลยทั้งสองไม่ได้โต้แย้งกรรมสิทธิ์กัน” นั่นเองครับ )

• ศาลฎีกาเห็นว่า การที่โจทก์และจำเลยทั้งสองต่างมีเจตนาครอบครองที่ดินที่ตนครอบครองอยู่มาแต่ต้น แต่เมื่อความปรากฏในภายหลังว่าโจทก์และจำเลยทั้งสอง มีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินสับกัน โจทก์จึงประสงค์ให้เปลี่ยนชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินให้ถูกต้องตามความจริงนั้น

• มิใช่เป็นกรณีที่โจทก์และจำเลยทั้งสองโต้แย้งหรือแย่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินกัน แม้โจทก์จะอ้างมาในคำฟ้องว่าเป็นกรณีที่โจทก์ครอบครองปรปักษ์ที่ดินของจำเลยทั้งสองจนได้กรรมสิทธิ์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ก็มิใช่เป็นคดีโต้แย้งหรือแย่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินแต่อย่างใด เพราะโจทก์และจำเลยทั้งสองต่างครอบครองที่ดินของตนเอง

• ทั้งการจดทะเบียนรับโอนที่ดินก็มีเจตนารับโอนที่ดินที่ตนได้ครอบครองอยู่เท่านั้น กรณีเป็นเรื่องความผิดพลาดในการจดทะเบียนรับโอน โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองจดทะเบียนแก้ไขให้ถูกต้องตามความจริงได้

• ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่ากรณีตามฟ้องเป็นเรื่องการครอบครองปรปักษ์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น

(✎ #จุดนี้ให้สังเกตให้ดีว่า แม้โจทก์จะอ้างว่า “ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินของจำเลยทั้งสองโดยการครอบครองปรปักษ์” ก็ตาม #แต่เมื่อรูปเรื่องที่แท้จริงคือ โจทก์อ้างว่าเป็นการโอนที่ดินสลับแปลงกันและต้องการเปลี่ยนแปลงแก้ไขชื่อในทะเบียนให้ถูกต้องเท่านั้น ดังนั้น ศาลฎีกาจึงมีอำนาจปรับข้อกฎหมายให้ถูกต้องตามรูปเรื่องของโจทก์ได้ พูดง่าย ๆ คือ คดีนี้โจทก์ต้องการ “ #แก้ไขชื่อในทะเบียน” มิใช่ต้องการ “ #กรรมสิทธิ์ในที่ดินของจำเลยทั้งสอง”
ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยคดีว่าเป็นเรื่องของการ “ #ครอบครองปรปักษ์” จึงไม่ถูกต้องตามรูปเรื่อง ศาลฎีกาจึงไม่เห็นพ้องด้วยนั่นเองครับ)

#ในส่วนประเด็นเรื่องคดีมีทุนทรัพย์นั้น ศาลฎีกาได้วินิจฉัยต่อไปว่า

• (เมื่อ) ได้วินิจฉัยแล้วว่า คดีนี้เป็นเรื่องโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองจดทะเบียนแก้ไขชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินให้ถูกต้องตามความจริง มิใช่คดีโต้แย้งหรือแย่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินกัน #จึงเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัย ว่าเป็นคดีมีทุนทรัพย์ และให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลอย่างคดีมีทุนทรัพย์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย

🧠 #สรุป ศาลฎีกาพิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองดำเนินการจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินเลขที่ 314 จากชื่อจำเลยทั้งสองเป็นชื่อโจทก์แล้วส่งมอบโฉนดที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์
กับให้โจทก์ดำเนินการจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินเลขที่ 306 จากชื่อโจทก์เป็นชื่อจำเลยทั้งสองแล้วส่งมอบโฉนดที่ดินดังกล่าวแก่จำเลยทั้งสอง
หากจำเลยทั้งสองหรือโจทก์ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสองและโจทก์ ให้คืนค่าขึ้นศาลที่เสียเกินมาทั้งสามศาลแก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลนอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ

🤍

ที่อยู่

Bangkok

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ The laws of lifeผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์