THE STANDARD สำนักข่าวที่มุ่งสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกแก่สังคม News outlets that drive positive social change

UPDATE: สีหศักดิ์เผยความคืบหน้าดีลสันติภาพ ใช้ชื่อ ‘คำประกาศความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา’ ลงนามใน ASEAN Summit และตั้งเงื่อนไ...
19/10/2025

UPDATE: สีหศักดิ์เผยความคืบหน้าดีลสันติภาพ ใช้ชื่อ ‘คำประกาศความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา’ ลงนามใน ASEAN Summit และตั้งเงื่อนไข 4 ข้อให้ทุกฝ่ายยอมรับ
สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยความคืบหน้าการจัดทำข้อตกลงสันติภาพ โดยใช้ชื่อว่า ‘คำประกาศความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา’ เพื่อลงนามใน ASEAN Summit 2025 พร้อมยื่นเงื่อนไข 4 ข้อให้ทุกฝ่ายยอมรับ และจัดแผนงานอย่างเป็นรูปธรรม ชี้กัมพูชาแสดงท่าทีที่ดี และหาทางออกไปข้างหน้ากับไทย
สีหศักดิ์เปิดเผยว่า วันที่ 17 ตุลาคมที่ผ่านมา มีการประชุม 4 ฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ได้แก่ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศไทย, กัมพูชา, มาเลเซีย รองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา และรองผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นความคืบหน้าที่ดำเนินต่อเนื่องจากการประชุม UN ที่นิวยอร์ก
ประเด็นหลักของการประชุมในครั้งนี้ คือ การจัดทำร่างเอกสารที่เรียกว่า ‘คำประกาศความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา’ หรือการกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหา ที่จะนำไปสู่การปรับปรุงฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศ โดยทางการไทยมีเงื่อนไขสำคัญ 4 ข้อ ตามที่ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯ ไทยได้เสนอไปให้ โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ และทางการกัมพูชา ได้แก่
1.การถอนอาวุธหนัก
2.การกู้ทุ่นระเบิดตามแนวชายแดน
3.ไทย-กัมพูชาต้องร่วมกันปราบอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งเป็นปัญหาที่ทุกคนให้ความสนใจ และไทยมีความจริงจังดำเนินการในเรื่องนี้
4.การจัดการรุกล้ำบริเวณชายแดน
สีหศักดิ์ระบุว่า การเจรจาเงื่อนไขทั้ง 4 ข้อมีความคืบหน้า โดยมีการตกลงเรื่องการถอนกำลังและการกู้ทุ่นระเบิด รวมถึงจะมีการเจรจาแผนงาน หรือรายละเอียดเพิ่มเติมในการประชุม GBC (General Border Committee) ในวันที่ 20-21 ตุลาคมนี้ เนื่องจากเนื้อหาที่มีอยู่ไม่เพียงพอ และทางการไทยต้องการสร้างความมั่นใจว่า กัมพูชาจะดำเนินการอย่างจริงจัง ซึ่งรวมไปถึงเงื่อนไขอีก 2 ข้ออย่างการปราบอาชญากรรมข้ามชาติ และการจัดการการรุกล้ำบริเวณชายแดน ที่ต้องเน้นการแก้ไขปัญหาอย่างสันติวิธี
อย่างไรก็ดี รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศระบุว่า ทางการไทยก็ต้องการรายละเอียดที่เป็นรูปธรรมและชัดเจน จากการจัดทำคำประกาศความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาขึ้นว่า ทั้งสองประเทศจะดำเนินอย่างไรต่อ
“เราอยากได้ไปไกลกว่านั้น อยากได้รายละเอียดว่า สิ่งเหล่านี้จะดำเนินการอย่างไร เราต้องมีความมั่นใจว่า มีการดำเนินการ เพราะท่านนายกฯ พูดเสมอว่า เงื่อนไข 4 ข้อเป็นประเด็นสำคัญ ขณะเดียวกัน เราก็ต้องชัดเจนด้วยว่า เราจะปฏิบัติกันอย่างไร ไม่เช่นนั้นจะเป็นการตกลงในหลักการเฉยๆ”
สีหศักดิ์ยังอธิบายว่า ทางการไทยได้หยิบยกประเด็นการปล่อยเชลยศึก 18 คนมาเจรจากับกัมพูชาจริง เพราะต้องการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ แต่ในเอกสารคำประกาศฯ ทางการไทยระบุไว้ชัดเจนว่า ข้อตกลงทุกอย่างต้องดำเนินการจริง จึงพิจารณาทำตามเงื่อนไขดังกล่าว ซึ่งเป็นไปตามแนวทางที่นายกฯ ระบุไว้
สำหรับขั้นตอนการดำเนินการหลังจากนี้ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศระบุว่า จะมีการประชุม GBC ที่กำลังจะถึง ซึ่งรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมทั้ง 2 ฝ่าย ต้องมารับรองเอกสารกัน หลังจากนั้นจึงผ่านกระบวนการภายในประเทศ คือ เข้าคณะรัฐมนตรี โดยเรื่องการปล่อยเชลยศึกเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทั้งหมด
“ต่อไปเราก็คงจะมองไปข้างหน้าว่า เราจะดำเนินมาตรการที่สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ หรือบรรยากาศที่ดีขึ้นในความสัมพันธ์กันอย่างไร”
นอกจากนี้ สีหศักดิ์เปิดเผยว่า เอกสารคำประกาศความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา จะใช้ในการทำข้อตกลงร่วมกันใน ASEAN Summit 2025 ที่กำลังจะถึง โดยมาเลเซียและสหรัฐฯ ต้องการไทยและกัมพูชาลงนามในการประชุมครั้งนี้ ซึ่งทรัมป์จะมาร่วมด้วย
รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศทิ้งท้ายว่า คำประกาศความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชามีความคืบหน้าในส่วนเอกสารหลัก ซึ่งหลังจากนี้ มีการเจรจาลงรายละเอียด และแผนงานที่ชัดเจน ณ การประชุมกัวลาลัมเปอร์ และการประชุม GBC โดยหากตกลงกันเรียบร้อย แต่ละฝ่ายต้องดำเนินการภายใน คือ เข้าคณะรัฐมนตรี และลงนามในการประชุม ASEAN Summit 2025 ต่อ
“ขณะนี้ก็เป็นไปด้วยดี หลังจากการพูดคุยอย่างจริงจัง ฝ่ายกัมพูชาเข้ามาด้วย คือท่าทีของเราต้องแสดงความพร้อม ความจริงใจ จริงจัง ซึ่งในการประชุมเมื่อวานนี้ กัมพูชาก็แสดงท่าทีที่ดี และพยายามจะหาทางเดินไปข้างหน้าด้วยกัน” สีหศักดิ์ระบุ
ภาพ: กระทรวงการต่างประเทศ

UPDATE : เลขาฯ กกต. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมเลือกตั้งซ่อม สส. กาญจนบุรี เขต 4 ย้ำความสุจริตเที่ยงธรรม พร้อมเชิญชวนประชาชนออกม...
19/10/2025

UPDATE : เลขาฯ กกต. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมเลือกตั้งซ่อม สส. กาญจนบุรี เขต 4 ย้ำความสุจริตเที่ยงธรรม พร้อมเชิญชวนประชาชนออกมาใช้สิทธิ
วันนี้ (19 ตุลาคม) แสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร กกต. วีระ ยี่แพร และว่าที่ร้อยตรี ภาสกร สิริภคยาพร รองเลขาธิการ กกต. รวมถึงเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและสังเกตการณ์การจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดกาญจนบุรี เขตเลือกตั้งที่ 4 แทนตำแหน่งที่ว่าง
เลขาธิการ กกต. และคณะ ได้เดินทางไปยังหน่วยเลือกตั้งในพื้นที่อำเภอเลาขวัญ เพื่อสังเกตการณ์ขั้นตอนการเปิดการลงคะแนนและการลงคะแนนเลือกตั้ง พร้อมให้กำลังใจคณะกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง (กปน.) และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ในหน่วยเลือกตั้งต่าง ๆ อาทิ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านเลาขวัญ และโรงเรียนอนุบาลวัดเลาขวัญ
จากนั้นในเวลา 14.30 น. แสวง บุญมี และคณะ จะตรวจเยี่ยมการดำเนินงานของศูนย์รวมคะแนนการเลือกตั้ง สส. กาญจนบุรี เขตเลือกตั้งที่ 4 ณ ที่ว่าการอำเภอเลาขวัญ พร้อมให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงภาพรวมการดำเนินการจัดการเลือกตั้งในพื้นที่
สำนักงาน กกต. ยืนยันว่า ได้จัดเจ้าหน้าที่ชุดเคลื่อนที่เร็วลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องปรามการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง และเพื่อให้การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นไปด้วยความสุจริต เที่ยงธรรม และชอบด้วยกฎหมาย
สำนักงาน กกต. ขอเชิญชวนประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งที่ 4 จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งประกอบด้วย อำเภอเลาขวัญ, อำเภอห้วยกระเจา, อำเภอบ่อพลอย (ยกเว้นตำบลหนองกุ่ม) และอำเภอหนองปรือ ออกไปใช้สิทธิลงคะแนนในวันอาทิตย์ที่ 19 ตุลาคม 2568 ตั้งแต่เวลา 08.00 – 17.00 น. ณ หน่วยเลือกตั้งที่ท่านมีชื่อ
ประชาชนสามารถติดตามหรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางเว็บไซต์ www.ect.go.th หรือ สำนักงาน กกต. ประจำจังหวัดกาญจนบุรี โทรศัพท์ 0 3456 4131 – 3 หรือบริการสายด่วน 1444

UPDATE : นิด้าโพลเผย คนไทยเกินครึ่งพอใจบทบาทกองทัพ สถานการณ์ขัดแย้งไทย-กัมพูชา ขณะที่กว่า 40% เริ่มหมดความอดทน หวั่นสถาน...
19/10/2025

UPDATE : นิด้าโพลเผย คนไทยเกินครึ่งพอใจบทบาทกองทัพ สถานการณ์ขัดแย้งไทย-กัมพูชา ขณะที่กว่า 40% เริ่มหมดความอดทน หวั่นสถานการณ์ยืดเยื้อ
วันนี้ (19 ตุลาคม) ศูนย์สำรวจความคิดเห็นนิด้าโพล สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ได้เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเรื่องคนไทย ยังอดทนอยู่หรือเปล่า? เกี่ยวกับความพอใจและความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา
ซึ่งจากการสำรวจพบว่า ประชาชนมีความพอใจต่อบทบาทของกองทัพมากที่สุด ในขณะที่กว่า 40% เริ่มแสดงความไม่พอใจและหมดความอดทนแล้ว พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลกดดันทางเศรษฐกิจ
ผลสำรวจดังกล่าวจัดทำขึ้นระหว่างวันที่ 14-16 ตุลาคม 2568 จากประชาชน 1,310 หน่วยตัวอย่าง ทั่วประเทศ
จากการสอบถามความพอใจต่อบทบาทของภาคส่วนต่าง ๆ ในสถานการณ์ความขัดแย้ง พบว่า กองทัพไทย ได้รับคะแนนความพอใจสูงสุด โดย:
- กองทัพไทย: ร้อยละ 53.67 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 34.20 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ (รวมพอใจ/ค่อนข้างพอใจ สูงถึง 87.87%)
- กระทรวงการต่างประเทศ: ส่วนใหญ่ร้อยละ 34.66 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ แต่มีผู้ที่ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ/ไม่พอใจเลย รวมกันสูงถึง 48.78%
- รัฐบาลไทย: มีผู้แสดงความไม่พอใจมากที่สุด โดยร้อยละ 38.32 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ และร้อยละ 26.03 ระบุว่า ไม่พอใจเลย (รวมไม่ค่อยพอใจ/ไม่พอใจเลย สูงถึง 64.35%)
เมื่อถามถึงความอดทนของประชาชนต่อสถานการณ์ความขัดแย้งในขณะนี้ พบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 40.53 ระบุว่า ยังมีความอดทนอยู่พอประมาณ อย่างไรก็ตาม ผู้ที่แสดงความไม่ค่อยอดทนและหมดความอดทนแล้ว มีสัดส่วนรวมกันสูงถึง 44.12%
ในด้านความกังวล สิ่งที่ประชาชนกังวลมากที่สุดคือสถานการณ์ความขัดแย้งจะยืดเยื้อยาวนานไม่จบ ด้วยสัดส่วนร้อยละ 44.05 รองลงมาคือ สภาพความเป็นอยู่ของประชาชนตามแนวชายแดน (ร้อยละ 41.76) และสภาพความเป็นอยู่ของเจ้าหน้าที่รัฐ/ทหาร/ตำรวจตามแนวชายแดน (ร้อยละ 31.15)
กลุ่มประชาชนตามแนวชายแดน (210 ตัวอย่าง) มีความกังวลต่อสถานการณ์ยืดเยื้อ (ร้อยละ 46.19) และสภาพความเป็นอยู่ประชาชนชายแดน (ร้อยละ 44.76) ในสัดส่วนที่สูงกว่าภาพรวมประเทศ
สำหรับแนวทางในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ประชาชนส่วนใหญ่มีความเห็นดังนี้:
-ร้อยละ 35.19 เห็นว่าควร กดดันทางเศรษฐกิจ เช่น การปิดด่านต่อไปอย่างจริงจัง งดการนำเข้าส่งออก
- ร้อยละ 33.97 เห็นว่า ทำอย่างไรก็ได้ แต่ต้องไม่เสียดินแดนและไม่เสียเปรียบให้กัมพูชา
- ร้อยละ 24.81 เห็นว่าควร เปิดเจรจาทางการทูตสองฝ่ายอย่างจริงจัง
- ร้อยละ 22.06 เห็นว่า รัฐบาลต้องเปิดไฟเขียวอย่างเต็มที่ให้กองทัพแก้ไขปัญหา
นอกจากนี้ ร้อยละ 20.99 ยังระบุว่า ควรรบจนกว่าจะได้ชัยชนะอย่างเบ็ดเสร็จหรือได้เปรียบกัมพูชา แสดงให้เห็นว่า ประชาชนส่วนหนึ่งมีความต้องการให้ใช้มาตรการที่แข็งกร้าวควบคู่ไปกับการกดดันทางเศรษฐกิจ
อ้างอิง : https://nidapoll.nida.ac.th/survey_detail?survey_id=774

UPDATE : ชยิกา ฝากตรงถึงนายกฯ ต้องบูรณาการทุกกระทรวง 'อย่าลอยตัวเหนือปัญหา' เดินหน้ากดดันสแกมเมอร์ในกัมพูชาทุกวิถีทางวัน...
19/10/2025

UPDATE : ชยิกา ฝากตรงถึงนายกฯ ต้องบูรณาการทุกกระทรวง 'อย่าลอยตัวเหนือปัญหา' เดินหน้ากดดันสแกมเมอร์ในกัมพูชาทุกวิถีทาง
วันนี้ (19 ตุลาคม) ชยิกา วงศ์นภาจันทร์ อดีตที่ปรึกษาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้แสดงความหวังต่อการประชุมคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ในวันจันทร์ที่ 20 ตุลาคมนี้
พร้อมเสนอให้รัฐบาลชุดปัจจุบันถอดรหัส กลไกที่ประเทศมหาอำนาจใช้กดดันเครือข่ายสแกมเมอร์ในกัมพูชา และนำมาประยุกต์ใช้ โดยยืนยันว่าควรต่อยอดจากความสำเร็จที่รัฐบาลแพทองธารเคยดำเนินการไว้
ชยิกา ระบุว่า การประชุมเพื่อจัดทำยุทธศาสตร์ระดับชาติด้านการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี พร้อมทั้งเสนอ 4 แนวทางเร่งด่วนในการปราบปรามเครือข่ายสแกมเมอร์คอลเซ็นเตอร์ ดังนี้:
1. โจมตีเส้นทางการเงิน (Financial Warfare): เสนอให้รัฐบาลคว่ำบาตรผู้เล่นตัวหลักและตัดการเข้าถึงระบบการเงิน เพื่อให้ค่ายสแกมเมอร์เดินเงินยาก และสร้างผลกระทบเชิงจิตวิทยาต่อทั้งเครือข่าย โดยควรต่อยอดแผนเดิมในการจัดตั้ง ศูนย์บริหารเหตุการณ์แก๊งคอลเซ็นเตอร์ และค้ามนุษย์นานาชาติ (ศกค.) เพื่อขยายการตรวจสอบเส้นทางการเงินของเครือข่ายอาชญากรรม กลุ่ม Prince Group ของเฉินจื้อ และผู้เกี่ยวข้องในไทย
2. ยึดสินทรัพย์ดิจิทัลขนาดใหญ่: เรียกร้องให้ ปปช., ปปง., กระทรวงการคลัง และ กลต. ตรวจสอบเส้นทางบิตคอยน์ที่เชื่อมโยงกับเครือข่ายสแกมเมอร์ในกัมพูชา เพื่อสกัดกั้นอาชญากรรมข้ามชาติ
3. ไล่ปิดท่อรับสมัครผิดกฎหมาย: มุ่งล้างโฆษณางานต่างแดนปลอมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็น ท่อล่อ เข้าสู่คอมพาวด์ และตัดที่จุดกำเนิดคน ไม่ใช่แค่ปลายทาง โดยต่อยอดจากการที่รัฐบาลแพทองธารเคยปิดเว็บไซต์เถื่อนไปแล้วกว่า 400,000 URL
4. ยกระดับเรียกร้องระหว่างประเทศ: เรียกร้องให้ประเทศสมาชิกสหประชาชาติ (UN) และชาติในอาเซียน (ASEAN) ช่วยกันแก้ปัญหาการค้ามนุษย์และสแกมข้ามชาติต่อไปอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ชยิกา ยังฝากถึงนายกรัฐมนตรีโดยตรงว่า "อย่ากลัวที่จะต้องต่อยอดนโยบายเดิมของรัฐบาลแพทองธาร" เพราะเป็นการช่วยเหลือประชาชน พร้อมย้ำว่าในฐานะนายกรัฐมนตรีไม่สามารถอ้างว่าไม่ทราบรายละเอียดของงานได้ แต่จะต้องบูรณาการงานของทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานอื่น ๆ
เพื่อแก้ไขปัญหาความทุกข์ของประชาชน และต้องเดินหน้ากดดันสแกมเมอร์ในกัมพูชาทุกวิถีทาง เพื่อสร้างอำนาจต่อรองในการเจรจา โดยจะต้องไม่ลอยตัวเหนือปัญหาและปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกองทัพ ตำรวจ และกระทรวงการต่างประเทศไปแก้ปัญหากันเอง

UPDATE : 'คนละครึ่งพลัส' ร้านค้าลงทะเบียนแล้วกว่า 1.2 แสนราย เตือนประชาชนอย่าหลงกลลิงก์ปลอม เตรียมเปิดให้ลงทะเบียน 20 ต....
19/10/2025

UPDATE : 'คนละครึ่งพลัส' ร้านค้าลงทะเบียนแล้วกว่า 1.2 แสนราย เตือนประชาชนอย่าหลงกลลิงก์ปลอม เตรียมเปิดให้ลงทะเบียน 20 ต.ค. นี้
วันนี้ (19 ตุลาคม) อัยรินทร์ พันธุ์ฤทธิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยความคืบหน้าการลงทะเบียนร้านค้าตั้งแต่วันที่ 15 - 17 ตุลาคม 2568 (ณ เวลา 12.00 น.) ว่า มีร้านค้าลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ สำเร็จแล้ว 123,960 ราย แบ่งเป็นร้านค้ารายเดิม 72,185 ราย และร้านค้ารายใหม่ 51,775 ราย ขณะที่ยังมีร้านค้าที่อยู่ระหว่างขั้นตอนการสมัครอีกกว่า 98,064 ราย
รองโฆษกฯ ประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้ผู้ประกอบการที่สนใจสามารถทยอยลงทะเบียนได้อย่างต่อเนื่องจนถึงวันที่ 19 ธันวาคม 2568 เนื่องจากโครงการฯ จะเปิดให้ประชาชนเริ่มสแกนใช้จ่ายได้จริงในวันที่ 29 ตุลาคม 2568
ในส่วนของประชาชน โครงการคนละครึ่งพลัส จะเปิดให้เริ่มลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง เท่านั้น ตั้งแต่วันที่ 20 - 26 ตุลาคม 2568 ระหว่างเวลา 06.00 - 22.00 น. โดยผู้ได้รับสิทธิจะสามารถเริ่มใช้จ่ายได้ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม ถึง 31 ธันวาคม 2568
เนื่องจากกระแสความนิยมของโครงการฯ สูงมาก รัฐบาลจึงไม่ได้นิ่งนอนใจต่อปัญหาที่มิจฉาชีพพยายามฉวยโอกาสหลอกลวงประชาชนหลายรูปแบบ โดยเฉพาะการส่งลิงก์ปลอม มาหลอกเอาข้อมูลส่วนตัวและดูดทรัพย์ โดยรองโฆษกฯ ได้ขอให้ประชาชนปฏิบัติตามคำแนะนำของตำรวจไซเบอร์อย่างเคร่งครัด ดังนี้:
1. อย่ากดลิงก์ จาก SMS/ข้อความแปลกปลอม โครงการรัฐจะไม่ส่งลิงก์ลงทะเบียนผ่านข้อความ
2. ลงทะเบียนที่ถูกต้อง ทำได้เฉพาะแอปฯ “เป๋าตัง” และ “ถุงเงิน” เท่านั้น อย่าหลงเชื่อเพจ/บัญชีโซเชียลที่ไม่เป็นทางการ
3. อย่าให้ข้อมูลส่วนตัว เช่น เลขบัตรประชาชน, PIN, OTP หรือข้อมูลบัญชีธนาคาร
4. อย่าเชื่อสายโทรศัพท์ ที่อ้างเป็นเจ้าหน้าที่ โดยหน่วยงานรัฐและธนาคารไม่มีนโยบายโทรขอ OTP หรือให้โอนเงิน
5. ตรวจสอบข้อมูลทุกครั้ง หากสงสัยให้โทรสอบถามหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรง
รองโฆษกฯ ย้ำว่า หากประชาชนได้รับลิงก์ปลอม ขอให้พิจารณา ตั้งสติ และไม่กดลิงก์ และในกรณีที่เผลอกดลิงก์ปลอมและได้รับความเสียหายแล้ว ให้รีบแจ้งความออนไลน์ที่ https://www.thaipoliceonline.go.th/login หรือโทร. สายด่วน 1441 เพื่อระงับบัญชีคนร้ายภายใน 72 ชั่วโมง และรีบเข้าพบพนักงานสอบสวนที่สถานีตำรวจใกล้บ้านโดยเร็วที่สุด

UPDATE : กรมชลฯ รายงานสถานการณ์น้ำเจ้าพระยา ปริมาณน้ำไหลผ่านนครสวรรค์พุ่ง 2,845 ลบ.ม./วินาที คาดเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หลังฝ...
19/10/2025

UPDATE : กรมชลฯ รายงานสถานการณ์น้ำเจ้าพระยา ปริมาณน้ำไหลผ่านนครสวรรค์พุ่ง 2,845 ลบ.ม./วินาที คาดเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หลังฝนตกตอนบน
วันนี้ (19 ตุลาคม) กรมชลประทานรายงานสถานการณ์น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา ณ เวลา 06.00 น. พบว่าปริมาณน้ำมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากยังมีฝนตกในพื้นที่ตอนบนของประเทศ โดยขณะนี้ปริมาณน้ำที่ไหลผ่านจังหวัดนครสวรรค์ได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
สถานการณ์น้ำสำคัญ :
- สถานี C.2 อ.เมือง จ.นครสวรรค์: มีปริมาณน้ำไหลผ่าน 2,845 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที (ลบ.ม./วินาที) ระดับน้ำอยู่ที่ 24.58 เมตร ซึ่งยังคงต่ำกว่าระดับตลิ่ง 1.12 เมตร แต่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
- สถานี C.13 เขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท: ปริมาณน้ำที่ระบายออกจากเขื่อนอยู่ที่ 2,500 ลบ.ม./วินาที ระดับน้ำเหนือเขื่อนอยู่ที่ 16.68 เมตร ส่วนระดับน้ำท้ายเขื่อนอยู่ที่ 15.94 เมตร ซึ่งต่ำกว่าตลิ่ง 40 เซนติเมตร และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
กรมชลประทานได้เร่งบริหารจัดการน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยาด้วยการ หน่วงน้ำไว้ด้านเหนือ พร้อมกับรับน้ำเข้าระบบชลประทานทั้งสองฝั่งตามศักยภาพของคลอง เพื่อลดผลกระทบต่อพื้นที่ด้านท้ายน้ำให้ได้มากที่สุด
ทั้งนี้ มีรายงานพื้นที่ที่อยู่นอกคันกั้นน้ำบริเวณด้านท้ายเขื่อนเจ้าพระยาที่ได้รับผลกระทบจากระดับน้ำที่เพิ่มขึ้น ดังนี้:
- จังหวัดอ่างทอง: คลองโผงเผง, วัดไชโย, และอำเภอป่าโมก
- จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (ติดแม่น้ำน้อย): คลองบางบาล, ตำบลหัวเวียง อำเภอเสนา, ตำบลลาดชิด, และตำบลท่าดินแดง อำเภอผักไห่
- จังหวัดสิงห์บุรี: วัดสิงห์ อำเภออินทร์บุรี, อำเภอเมืองสิงห์บุรี, อำเภอพรหมบุรี, และวัดเสือข้าม อำเภออินทร์บุรี
- จังหวัดชัยนาท: ตำบลโพนางดำ อำเภอสรรพยา
กรมชลประทานระบุว่า หากระดับน้ำทางตอนบนเพิ่มสูงขึ้นและส่งผลให้มีปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มมากขึ้น จะมีการแจ้งให้ประชาชนรับทราบสถานการณ์เป็นระยะต่อไป ขอให้ประชาชนที่อาศัยในพื้นที่เสี่ยงติดตามประกาศจากทางการอย่างใกล้ชิด

UPDATE : ‘ธรรมนัส’ เร่งกรมการข้าว ประสานโรงสีทั่วประเทศ ถกมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าว 22 ต.ค.นี้ หวังหาทางออกระบายข้าว...
19/10/2025

UPDATE : ‘ธรรมนัส’ เร่งกรมการข้าว ประสานโรงสีทั่วประเทศ ถกมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าว 22 ต.ค.นี้ หวังหาทางออกระบายข้าวช่วยชาวนา
วานนี้ (18 ตุลาคม)ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) ได้สั่งการให้กรมการข้าวเร่งประสานงานกับโรงสีข้าวทั่วประเทศ เพื่อจัดประชุมเร่งด่วนในวันอังคารที่ 22 ตุลาคม 2568 นี้ เวลา 10.00 น. ที่ ห้องประชุม 123 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อขับเคลื่อนมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก และหาแนวทางในการระบายผลผลิตข้าวให้แก่เกษตรกรอย่างเร่งด่วน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า การประชุมดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายเร่งด่วนของตน เพื่อหาทางออกและแนวทางการระบายข้าวเปลือกให้แก่ชาวนา โดยกรมการข้าวในฐานะหน่วยงานหลักในการดำเนินมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวปีการผลิต 2567/68 และหน่วยงานสนับสนุน จะเป็นผู้รับผิดชอบการจัดประชุมและประสานการดำเนินงานระหว่างโรงสีและสหกรณ์
สาระสำคัญของการหารือจะเน้นไปที่การเร่งรัดการขับเคลื่อนมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก การประสานการดำเนินงานระหว่างโรงสีและสหกรณ์ รวมถึงการทำความเข้าใจและผ่อนปรนหลักเกณฑ์การดำเนินงานและเกณฑ์การพิจารณาต่าง ๆ เช่น วงเงินสินเชื่อ ค่าใช้จ่ายในการวิเคราะห์โครงการ และการกำหนดราคารับซื้อข้าวเปลือกจากสมาชิก
นอกจากนี้ การประชุมจะพิจารณาแนวทางในการสร้างกลไกการแข่งขันและยกระดับราคาข้าว ด้วยการประสานโรงสีนอกพื้นที่ให้เป็นจุดรวบรวมข้าวเพิ่มขึ้น ตลอดจนสนับสนุนการนำเครื่องลดความชื้นข้าวจากหน่วยงานอื่น ๆ เข้ามาร่วมดำเนินการ เพื่อช่วยแก้ปัญหาความชื้นในผลผลิตของเกษตรกร รวมถึงวิธีการระบายข้าวเปลือกต่อไป
ร้อยเอก ธรรมนัส ยังได้ย้ำว่า ได้มอบหมายให้กรมการข้าวเร่งจัดทำข้อเสนอโครงการมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวปีการผลิต 2569/70 นำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาตั้งแต่ต้นปีการผลิต เพื่อให้เกษตรกรทราบล่วงหน้า และดำเนินการให้ครอบคลุมทั้งข้าวนาปีและนาปรังอย่างมีประสิทธิภาพ

UPDATE:​​ กองทัพไทยปฏิเสธข่าวลือ ปล่อยตัวเชลยศึกชาวกัมพูชา ภายหลังการประชุม 4 ฝ่าย ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์วานนี้ (18 ตุลาคม...
19/10/2025

UPDATE:​​ กองทัพไทยปฏิเสธข่าวลือ ปล่อยตัวเชลยศึกชาวกัมพูชา ภายหลังการประชุม 4 ฝ่าย ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์
วานนี้ (18 ตุลาคม) พล.ต. วิทัย ลายถมยา โฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย ชี้แจงกรณีตามที่มีรายงานข่าวและกระแสข่าวลือแพร่สะพัดในสื่อสังคมออนไลน์และบางสำนักข่าวว่า ประเทศไทยได้ตกลงที่จะปล่อยตัวเชลยศึกชาวกัมพูชาจำนวน 18 นาย ภายหลังการประชุม 4 ฝ่าย ระหว่างไทย กัมพูชา มาเลเซีย และสหรัฐอเมริกา ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2568 นั้น
พล.ต. วิทัย กล่าวว่า ข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริงโดยสิ้นเชิง และขอยืนยันว่า ไม่มีการปล่อยตัวเชลยศึกชาวกัมพูชาทั้ง 18 นาย แต่อย่างใดตามที่มีรายงานข่าวและกระแสข่าวลือแพร่สะพัดในสื่อสังคมออนไลน์และบางสำนักข่าวว่า ประเทศไทยได้ตกลงที่จะปล่อยตัวเชลยศึกชาวกัมพูชาจำนวน 18 นาย ภายหลังการประชุม 4 ฝ่าย ระหว่างไทย กัมพูชา มาเลเซีย และสหรัฐอเมริกา ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2568 นั้น
ทั้งนี้ การควบคุมตัวเชลยศึกเป็นไปตามหลักปฏิบัติสากล ภายใต้สถานการณ์ความขัดแย้งด้วยอาวุธ โดยกองทัพไทยได้ดำเนินการอย่างเคร่งครัดตาม หลักมนุษยธรรมและอนุสัญญาเจนีวา (Geneva Conventions) เพื่อคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของผู้ถูกควบคุมตัวทุกนาย
สำหรับการดำเนินการใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการส่งมอบหรือปล่อยตัวเชลยศึกนั้น จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อฝ่ายกัมพูชาได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขสำคัญ 4 ข้อ ซึ่งกองทัพไทยได้เสนอไว้อย่างเป็นทางการก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็น การถอนอาวุธหนัก การร่วมกันเก็บกู้ทุ่นระเบิด การร่วมปราบอาชญากรรมระหว่างประเทศสแกมเมอร์ และ การแก้ปัญหาการรุกล้ำพื้นที่เขตแดน
ทั้งนี้ ถือเป็นเงื่อนไขที่มีความจำเป็นต่อการสร้าง สันติภาพ ความมั่นคง และความไว้วางใจระหว่างสองประเทศในระยะยาว ที่สำคัญที่สุด ฝ่ายกัมพูชาต้องแสดงความจริงใจและยุติการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อประเทศไทยโดยสิ้นเชิง จึงจะมีการพิจารณาแนวทางอื่นๆ ร่วมกันได้ในอนาคต
,
กองทัพไทย ขอเรียกร้องให้ สื่อมวลชนและประชาชนใช้ความระมัดระวังในการรับและเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร และขอให้ติดตามข้อมูลจากแหล่งข่าวทางการเท่านั้น โดยเฉพาะจาก กองบัญชาการกองทัพไทยและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดหรือกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
,
ทั้งนี้ จึงแถลงมาเพื่อให้ประชาชนได้รับทราบข้อเท็จจริงอย่างถูกต้อง พร้อมทั้งขอความร่วมมือจากสื่อมวลชนในการเผยแพร่ข้อมูลอย่างรอบคอบและเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ โดยขอให้ทุกภาคส่วนร่วมกันสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง เพื่อรักษาบรรยากาศความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของประเทศ

18/10/2025

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คัมแบ็กประชาธิปัตย์ แสดงวิสัยทัศน์ครั้งแรกในฐานะหัวหน้าพรรค

UPDATE: รังสิมันต์หวั่นนายกฯ ตั้ง คกก. ปราบสแกมเมอร์แค่ซื้อเวลา ชี้หากเอาจริงควรปลดธรรมนัส-สาวเส้นเงินถึง เบน สมิธวันนี้...
18/10/2025

UPDATE: รังสิมันต์หวั่นนายกฯ ตั้ง คกก. ปราบสแกมเมอร์แค่ซื้อเวลา ชี้หากเอาจริงควรปลดธรรมนัส-สาวเส้นเงินถึง เบน สมิธ
วันนี้ (18 ตุลาคม) รังสิมันต์ โรม สส. แบบบัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน และประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ระบุผ่านโพสต์เฟซบุ๊กว่า ตอนนี้ทั่วโลกให้ความสำคัญกับเรื่องสแกมเมอร์เป็นอย่างมาก แต่ความเคลื่อนไหวของประเทศไทยกลับตามหลังประเทศอื่นๆอย่างมีนัยยะสำคัญ
รังสิมันต์ห่วงว่า การที่นายกรัฐมนตรีได้ตั้งคณะทำงานปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์ ฟังเหมือนจะดูดี แต่ห่วงว่าจะเป็นเพียงการซื้อเวลาเท่านั้น เพราะนอกจากการตั้งคณะกรรมการดังกล่าวแล้ว ยังไม่เห็นความเคลื่อนไหวอย่างเอาจริงของเจ้าหน้าที่รัฐที่จะทลายศูนย์กลางของแก๊งสแกมเมอร์แต่ประการใด
“ไอ้ที่จับๆ ไปที่มีให้เห็นอยู่บ้าง ก็เทียบไม่ได้กับบรรดาแก๊งสแกมเมอร์ที่ใกล้ชิดกับ สมเด็จ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภาของกัมพูชา นั่นน่ะหลายแสนล้านบาท เผลอๆ นับล้านล้าน เป็นเครือข่ายใหญ่มาก ทุกวันนี้เราก็เห็นแค่เพียงการส่งสัญญาณฟอกขาวของบรรดาเจ้าหน้าที่รัฐต่ออาชญากรตัวเป้งที่กัดกินสังคมไทยมาเป็นเวลานานเท่านั้น น่าผิดหวังจริงๆ” รังสิมันต์ระบุ
รังสิมันต์เสนอว่า หากนายกรัฐมนตรีต้องการเอาจริง และไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียใดๆ กับแก๊งสแกมเมอร์ ควรสั่งการต่อไปนี้
1. ปลด ร.อ.ธรรมนัส พรกมเผ่า ออกจากการเป็นรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เนื่องจากที่ผ่านมา ร.อ.ธรรมนัสให้คณะทำงานของตัวเองเป็นทนายความให้กับ เบน สมิธ ซึ่งเป็นหนึ่งในบุคคลที่ถูกเฝ้าระวังจากสหรัฐอเมริกา ที่ถูกเชื่อมโยงกับแก๊งสแกมเมอร์ในกัมพูชา และเป็นที่ปรึกษาของสมเด็จ ฮุน เซน อาจทำให้เจ้าหน้าที่ของรัฐเกิดความเกรงกลัวไม่กล้าทำหน้าที่ ซึ่งจะส่งผลเสียต่อประเทศชาติอย่างร้ายแรง
นอกจากนี้ ยังมีพฤติกรรมไม่ให้ความร่วมมือต่อการตรวจสอบของกรรมาธิการ อีกทั้งยังใช้อำนาจในลักษณะของการข่มขู่การฟ้องปิดปากต่อสื่อมวลชนและประชาชนทั่วไป ทำให้ขาดความเหมาะสมต่อการดำรงตำแหน่งเป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอื่นใดอย่างยิ่ง
2. สั่งการให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ตรวจสอบเส้นทางการเงินของ เบน สมิธ และภรรยา, ร.อ. ธรรมนัส ตลอดจนเครือข่ายของ ยิม เลียก หากพบว่าเป็นเงินที่ได้มาจากการกระทำความผิดก็ต้องยึดอายัดทันที
3. สั่งการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งรวบรวมพยานหลักฐานในการปราบปรามและดำเนินคดีเครือข่ายทุนเทายึดประเทศพวกนี้ หากเชื่อมโยงกับผู้มีอำนาจในกัมพูชา ก็ต้องมีการใช้กลของศาล ICC เพื่อเอาผิดผู้นำของกัมพูชาด้วย
“ผมในฐานะประธานกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐฯ หวังว่าท่านนายกรัฐมนตรีจะเห็นแก่ประโยชน์ของประเทศชาติ ส่วนตัวผมก็จะทำหน้าที่ของตัวเองในการเชิญท่านธรรมนัส ท่านนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และท่านวรภัค ธันยาวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อมาชี้แจงต่อกรรมาธิการความมั่นคงในวันที่ 30 ตุลาคมนี้ด้วย โปรดมาด้วยตนเองนะครับ อย่าส่งใครมาแทน” รังสิมันต์เน้นย้ำ
รังสิมันต์ระบุด้วยว่า เนื่องจากตนเองได้ติดตามคณะรัฐสภาไทยในเวทีการประชุม IPU หรือสหภาพรัฐสภา ณ นครเจนีวา ก็จะหยิบยกเรื่อง Scam Center เพื่อเป็นหนึ่งในเรื่องเร่งด่วนเพื่อนำไปสู่การยกระดับความร่วมมือในการจัดการแก๊งสแกมเมอร์ต่อประเทศต่างๆ ต่อไปด้วย.
ภาพ: ฐานิส สุดโต

#ฐานิสสุดโต

อภิสิทธิ์คัมแบ็กหัวหน้าประชาธิปัตย์ บอกกลับมาครั้งนี้ไม่มีกำไร ขอสมาชิกอย่าหวั่นไหวเสียงปรามาส ขอจะใช้ความคมของแก้วแตก ต...
18/10/2025

อภิสิทธิ์คัมแบ็กหัวหน้าประชาธิปัตย์ บอกกลับมาครั้งนี้ไม่มีกำไร ขอสมาชิกอย่าหวั่นไหวเสียงปรามาส ขอจะใช้ความคมของแก้วแตก ตัดวงจรซื้อเสียง-คอร์รัปชัน ย้ำอุดมการณ์ พรรคเสรีประชาธิปไตย
วันนี้ (18 ตุลาคม) ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ หลักสี่ ในการประชุมใหญ่วิสามัญพรรคประชาธิปัตย์ ครั้งที่ 1 ประจำปี 2568 เพื่อเลือกกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ โดยที่ประชุมมีมติรับกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ ชุดใหม่ ดังนี้
1. อภิสิทธิ์​ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ด้านภารกิจ) 8 คน ประกอบด้วย
1. กรณ์​ จาติกวณิช อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ด้านเศรษฐกิจ
2. การดี เลียวไพโรจน์​ ผู้เชี่ยวชาญด้านสินทรัพย์ดิจิทัล ดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ด้านเศรษฐกิจดิจิทัล
3. จูรี​ นุ่มแก้ว อินฟลูเอ็นเซอร์ และอดีตผู้สมัคร สส.สงขลา พรรคชาติพัฒนากล้า ดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ด้านสื่อสารองค์กร
4. วีระพงษ์ ประภา อดีตผู้แทนการค้าไทย ดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
5. สาทิตย์ วงศ์หนองเตย อดีต สส.ตรัง ดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ด้านยุทธศาสตร์การเมือง
6. อิสรา สุนทรวัฒน์ อดีต สส.กรุงเทพฯ และอดีตรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ด้านการต่างประเทศ
7. อัมพร พินะสา อดีตเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) ดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ด้านการศึกษา
8. รัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี อดีตรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และอดีตผู้สมัคร สส.กรุงเทพฯ พรรครวมไทยสร้างชาติ ดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ด้านสังคมและความยั่งยืน
รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ดูแลภาค และพื้นที่) ประกอบด้วย
1. สกลธี ภัททิยกุล อดีต สส.กรุงเทพฯ ดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ดูแลพื้นที่กรุงเทพฯ
2. สงกรานต์​ จิตสุทธิภากร​ อดีต สส.นครสวรรค์ ดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ดูแลพื้นที่ภาคเหนือ
3. เมฆินทร์ เอี่ยมสอาด​ ดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ดูแลพื้นที่ภาคกลาง
4. ชัยชนะ เดชเดโช สส.นครศรีธรรมราช ดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ดูแลพื้นที่ภาคใต้
5. ธนพร สมศรี อดีตเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ดูแลพื้นที่ภาคอีสาน
ขณะที่ ชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ อดีต สส.ตาก ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์
รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์
1. กันตวรรณ ตันเถียร อดีต สส.พังงา
2. ขยัน วิพรหมชัย นายกเทศมนตรีตำบลอุโมงค์ จังหวัดลำพูน
3. เจะอามิง โตะตาหยง อดีต สส.นราธิวาส
4. ประชา ยอดวานิช อดีตผู้สมัคร สส.ชัยนาท
5. ราเมศ รัตนะเชวง อดีตโฆษกพรรคประชาธิปัตย์
6. มล .อภิมงคล โสณกุล อดีต สส.กรุงเทพฯ
ทั้งนี้ เจิมมาศ จึงเลิศศิริ อดีต สส.กรุงเทพฯ ดำรงตำแหน่งเหรัญญิกพรรคประชาธิปัตย์, ผ่องศรี ธาราภูมิ อดีต สส.ลพบุรี นายทะเบียนพรรคประชาธิปัตย์ และ ร.ต.อ. พงศกร ขวัญเมือง อดีตผู้สมัคร สส.กรุงเทพฯ และอดีตโฆษกกรุงเทพมหานคร ดำรงตำแหน่งโฆษกพรรคประชาธิปัตย์
อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่มีการเสนอชื่อรองหัวหน้าพรรค ที่ดูแลภาคกลาง มีการเสนอชื่อสาธิต ปิตุเตชะ อดีต สส.ระยอง ก่อนจะมีการเสนอชื่อ เมฆิน แข่ง ผลปรากฏว่า เมฆิน ได้คะแนนเสียง 65 % ส่วนนายสาธิต ได้ไปเพียง 35%
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวต่อที่ประชุมใหญ่วิสามัญของพรรค โดยเริ่มต้นด้วยการขอบคุณสมาชิกพรรคทั่วประเทศที่ให้ความไว้วางใจเลือกตนให้กลับมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์อีกครั้ง พี่น้องชาวประชาธิปัตย์ที่เคารพรักทุกท่าน ผมขอกล่าวย้ำว่าเมื่อมาประชุมแล้ว อย่าลืมอยู่ต่อให้ครบองค์ประชุม เพื่อให้กระบวนการเลือกตั้งเป็นไปอย่างเรียบร้อย
อภิสิทธิ์กล่าวขอบคุณสมาชิกทุกคนที่ร่วมกันรักษากระบวนการประชาธิปไตยภายในพรรค ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของประชาธิปัตย์ที่ไม่มีพรรคการเมืองอื่นทำได้เช่นนี้ พร้อมยืนยันว่าการได้เป็นหัวหน้าพรรค ก็เพราะความยินยอมพร้อมใจของสมาชิกทั่วประเทศ ที่จนถึงวันนี้ ยังไม่มีพรรคใดที่มีการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคโดยสมาชิกอย่างแท้จริงเช่นพรรคเรา ผมจึงต้องกราบขอบคุณอีกครั้ง ที่ยังคงยืนยันว่าประเทศไทยยังมีพรรคการเมืองที่มีความเป็นประชาธิปไตยภายในพรรคอย่างแท้จริง
อภิสิทธิ์กล่าวขอบคุณรักษาการหัวหน้าพรรค รักษาการเลขาธิการ และคณะกรรมการบริหารพรรคที่ทำให้การเลือกตั้งเป็นไปด้วยความเรียบร้อย รวมทั้งเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครทุกคน ก่อนจะเอ่ยถึง เฉลิมชัย ศรีอ่อน อดีตหัวหน้าพรรคว่า แม้หัวหน้าเฉลิมชัยจะไม่ได้อยู่ในที่ประชุมวันนี้ แต่ผมอยากบอกว่าผมไม่เคยตั้งคำถามต่อความทุ่มเทของท่านต่อสมาชิกพรรค ขอให้ทุกท่านปรบมือให้ท่านเฉลิมชัยด้วย”
อภิสิทธิ์ย้อนถึงวันที่ลาออกจากพรรคเมื่อเกือบสองปีก่อน โดยย้ำว่าไม่ได้ออกไปเพราะหมดศรัทธา หากแต่เพื่อเปิดทางให้พรรคเดินต่อไปได้ วันนั้นผมพูดชัดเจนว่า ผมไม่มีพรรคอื่น และจะไม่มีวันไปอยู่พรรคอื่น เลือดที่ไหลออกมาคือสีฟ้า ผมจะรับใช้อุดมการณ์ประชาธิปัตย์จนวันตาย ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน
เขายังกล่าวถึงคลิปเก่าจากเมื่อ 30 ปีก่อน ที่ตนเคยให้สัมภาษณ์ตั้งแต่อายุ 27 ปี ว่าจะอยู่กับพรรคเดียวตลอดชีวิต ในยุคนี้ที่นักการเมืองบางคนเปลี่ยนคำพูดได้ภายใน 3 ชั่วโมง ผมขอยืนยันว่าผมจะยึดมั่นในสัจจะและความซื่อสัตย์ตลอดไป”
อภิสิทธิ์กล่าวว่า ทุกคนบอกว่าผมมาเที่ยวนี้ ไม่มีทางกำไร มากสุดก็เสมอตัว ขาดทุนไม่มากก็น้อย น่าจะเป็นสิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุด แต่ผมระลึกเสมอว่าชีวิตผมมาถึงจุดนี้ได้ เพราะพรรคประชาธิปัตย์ จะลำบากอย่างไรจะขาดทุนเท่าไร ผมก็ต้องกลับบ้าน กลับมาเพื่อให้การเมืองนี้อยู่คู่ประเทศไทยตลอดไป ผมไม่ได้คิดเฉพาะเรื่องพรรค ผมเป็นหนี้ประเทศนี้แผ่นดินนี้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ผมเติบโตมาเคยใช้ชีวิตในต่างประเทศ ผมรู้ว่าประเทศนี้มีอะไรดีมากกว่า ผมไม่เคยคิดอยู่ที่อื่น บางคนแซวด้วยซ้ำว่าถ้าผมไปเกิดที่อื่น ไปเล่นการเมืองที่อื่นน่าจะรุ่งกว่านี้ในประเทศที่เขาพัฒนาแล้ว แต่ที่นี่คือที่ ๆ ผมรักและเชื่อว่าพวกเรารักที่สุด ผมจึงต้องชดใช้หนี้แผ่นดินนี้เหมือนกับต้องชดใช้หนี้พรรคประชาธิปัตย์
อภิสิทธิ์กล่าวถึงปัญหาเศรษฐกิจ สังคม และความเหลื่อมล้ำที่สะสมมานานกว่า 10 ปี ชี้ว่าประเทศไทยติดหล่มทางเศรษฐกิจมานานเกินไป เศรษฐกิจโตแค่ 2% ก็ถือว่าดีแล้ว ทั้งที่ควรดีกว่านี้มาก เราไม่ควรอยู่ในสภาพที่ต้องดีใจกับโครงการระยะสั้นอย่าง ‘คนละครึ่งพลัส’ แล้วสุดท้ายก็เหลือแต่หนี้รัฐบาล
อภิสิทธิ์กล่าวขอบคุณพรรคที่เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ เดินเข้ามามีบทบาท พร้อมย้ำว่าประเทศไทยต้องสร้าง เครื่องจักรใหม่ทางเศรษฐกิจ เราจะหวังพึ่งแต่สิ่งที่เคยมีไม่ได้ ภาคเกษตรและอุตสาหกรรมต้องปรับตัว ภาคบริการต้องสร้างมูลค่าเพิ่ม เทคโนโลยีและนวัตกรรมคือคำตอบ
อภิสิทธิ์ยังระบุว่า วันนี้ตนเองจะทำให้พรรคประชาธิปัตย์ไม่ตกอยู่ในวังวนวาทกรรม ไม่ต้องมาถามว่า เราเป็นพรรคอนุรักษ์นิยม หรือเป็นพรรคประชาธิปไตย หรือเรากั๊กที่จะเป็นพรรคอนุรักษ์ก้าวหน้า เพราะเราประกาศอุดมการณ์มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2489 ว่าเราคือต้นตำรับ พรรคเสรีประชาธิปไตยในประเทศไทย
อภิสิทธิ์กล่าวต่อว่า วันนี้ตนเองไม่ต้องการให้พรรคประชาธิปัตย์เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการที่นำเรื่องของสถาบันพระมหากษัตริย์เข้ามาอยู่ในวังวนความขัดแย้งทางการเมือง กล่าวหาอีกฝ่ายว่าล้ม หรือกล่าวหาอีกฝ่ายว่าโหน เพราะไม่ใช่เรื่องของการเมือง เนื่องจากสถาบันพระมหากษัตริย์คือศูนย์รวมจิตใจของประชาชนคนไทยที่ต้องอยู่เหนือการเมือง ไม่ว่าเราจะมีความเห็นทางการเมืองต่างกันอย่างไร
ขณะเดียวกันเราต้องไม่เอาเรื่องของกองทัพเข้ามาเป็นประเด็นทางการเมือง กองทัพจะทำหน้าที่ได้อย่างไรหากพรรคการเมืองมีอคติต่อกองทัพ และกองทัพจะปกป้องแผ่นดินไทยอย่างเข้มแข็ง การเมืองก็ไม่สามารถที่จะไปโหนได้ การเมืองต้องช่วยสนับสนุนการต่างประเทศ การทูตเชิงรุกเพื่อให้การทำงานของทหารและกองทัพทำได้อย่างมีประสิทธิภาพและสบายใจมากยิ่งขึ้น เราไม่ควรเอาเรื่องความมั่นคงของประเทศและนโยบายการต่างประเทศมาเสี่ยง และผลักภาระให้ประชาชนลงประชามติในสิ่งที่ประชาชนไม่เข้าใจ และถามกลับว่า คนที่ถามนั้นมีความเข้าใจต่อเรื่องดังกล่าวหรือไม่
อภิสิทธิ์กล่าวต่อว่า หากประชาธิปไตยไม่ได้เริ่มต้นด้วยการเลือกตั้งที่สุจริตเที่ยงธรรม แต่เป็นการประมูลซื้อเสียงหรือซื้อ สส. แล้ว คอร์รัปชันกัดเซาะไปทุกองค์กร ต้นทุนอันมหาศาลไม่ใช่แค่เรื่องตัวเงิน แต่ความไว้วางใจของสังคมจะถูกทำลาย และนำมาสู่กฎระเบียบกติกาที่ซับซ้อนเพื่อพยายามแก้ไขสิ่งนี้ แต่กลับกลายเป็นการเปิดช่องให้คอร์รัปชันรูปแบบใหม่ยังไม่จบสิ้น
วันนี้เราต้องถือเป็นเรื่องสำคัญที่จะผลักดันให้ความซื่อสัตย์และการบริหารบ้านเมืองที่สุจริตกลับมาให้ได้ ตนเองพูดเสมอว่า ความรับผิดชอบทางการเมืองมันสูงกว่าความรับผิดชอบทางกฎหมาย จริยธรรมเป็นเรื่องสำคัญแต่จริยธรรมต้องไม่เป็นอาวุธทางการเมืองมาทำลายฝ่ายการเมือง ประชาธิปัตย์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2489 จนถึงวันนี้ อุดมการณ์ที่เขียนไว้ตอนนั้นยังชัดเจนในเรื่องเหล่านี้ทั้งหมด
อภิสิทธิ์ ยังกล่าวยกถึงงานอดิเรกของตนเอง ที่สามารถวกกลับมาสู่เรื่องการเมืองได้ ตนเองขอพูดถึงพรรคการเมืองที่พยายามจะดูด สส. ด้วยอำนาจเงินและอำนาจรัฐ ตนเองเป็นคนที่ดูฟุตบอลลีกอังกฤษ พร้อมระบุว่า ระวังนะครับ ศูนย์หน้าฟอร์มดี ค่าตัวแพงที่สุด ย้ายสโมสรไปแล้วยิงไม่ได้สักประตูครับ
อภิสิทธิ์ยังยกตัวอย่างเป็นตนเองคนที่ฟังเพลงของ Taylor Swift นักร้องชื่อดังที่มักจะมีคำคมเสมอว่า “แก้วที่แตกจะคมมากขึ้น ฉะนั้นใครที่คิดจะทุบพรรคประชาธิปัตย์ เหมือนกำลังทุบแก้วให้แตก ผมจะบอกว่า ทุบเราเสร็จ ผมจะใช้ความคมนั้นตัดวงจรอุบาศว์การซื้อเสียงและคอร์รัปชันในประเทศไทย ซึ่งเป็นสิ่งที่เราต้องสู้ด้วยหัวใจ”
ส่วนงานอดิเรกที่สาม ตนเองเป็นคนที่ชอบใช้ปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอ ซึ่งเคยขอให้ออกแบบสัญลักษณ์ของความซื่อสัตย์ สัญลักษณ์สัจจะ สัญลักษณ์ของการปราบมาร และสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์
แต่เอไอไม่สามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ ตนเองจึงแนะนำว่ารู้จักพระแม่ธรณีหรือไม่ เพราะพระแม่ธรณีคือพยานของความซื่อสัตย์และสัจจะ ในวันที่พระพุทธเจ้าต้องผจญมารจนตรัสรู้ และน้ำที่บีบออกจากมวยผมได้ชำระล้างจนพญามารหนี น้ำนี้นำมาซึ่งความอุดมสมบูรณ์
เอไอไม่สามารถออกแบบให้ได้สามารถสมบูรณ์เท่าพระแม่ธรณี แต่เอไอได้แนะนำว่าต้องมีการออกแบบสัญลักษณ์ให้ดูมีความทันสมัยมากขึ้น จึงอยากจะบอกกับทุกคนว่าเราอย่าหวั่นไหว การกลับมาในวันนี้ มีคนปรามาส บอกว่า เหล้าเก่าขวดเก่า แต่สัญลักษณ์พระแม่ธรณี และข้อความ “สจฺจํ เว อมตา วาจา” คือคำตอบของยุคสมัยนี้อย่างแท้จริง
แต่คนที่จะทำให้เกิดขึ้นได้ คือ พวกเราที่นั่งอยู่ตรงนี้วันนี้ ขอเชิญชวนคนทั้งประเทศที่เบื่อกับการเมืองมาร่วมกับเรา แม้จะเป็นสิ่งที่ไม่ง่าย เพราะบรรพบุรุษที่ก่อตั้งพรรคประชาธิปัตย์แทบไม่เหลือผู้ก่อตั้ง แต่ทำไมยังมีพรรคประชาธิปัตย์จนถึงวันนี้ ก็เป็นเพราะการถ่ายทอดจากยุคสู่ยุค
อภิสิทธิ์กล่าวทิ้งท้ายว่า ตนเองคือคนที่ได้รับการแต่งตั้งเมื่ออายุ 27 ปี แม้วันนี้ผมขาวแล้ว แต่พร้อมส่งต่อภารกิจให้คนรุ่นถัดไป เพื่อให้พรรคประชาธิปัตย์ยังคงอยู่คู่ประเทศไทย และนำพาชาติให้ก้าวหน้าอย่างยั่งยืน เป้าหมายของเราไม่ใช่เพียงอยู่รอด แต่ต้องทำให้ประเทศไทยเจริญก้าวหน้า เพื่อให้คนไทยทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

ที่อยู่

23/100-102 Soi Soonvijai, Rama 9 Road, Bangkapi, Huay Kwang
Bangkok
10310

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ THE STANDARDผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง THE STANDARD:

แชร์

THE STANDARD

สำนักข่าวออนไลน์เชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ

ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์หลากรูปแบบ ทั้งคอนเทนต์ออนไลน์ วิดีโอ และพอดแคสต์ โดยมีเนื้อหาครอบคลุมทั้งเรื่องในประเทศและต่างประเทศ ครบถ้วนทุกประเด็นทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ศิลปะ วัฒนธรรม บันเทิง แฟชั่น และไลฟ์สไตล์

For Advertising: [email protected]