Wealthy Thai สื่อที่มีความคิดสร้างสรรค์ ด้านการเงิน การลงทุน เพื่อนำเสนอข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือแก่นักลงทุน ติดต่อโฆษณา/สนับสนุน รบกวนติดต่อ : คุณมินตรา (เป้) 086-516-0092

“กรกฎา-ปีมะเส็ง” ปั้นรายได้สม่ำเสมอดีกว่า “เงินฝาก”...กับ “REIT” 3 สินทรัพย์คุณภาพ"Data Center-คลังสินค้า&โรงงาน-ศูนย์กา...
04/07/2025

“กรกฎา-ปีมะเส็ง” ปั้นรายได้สม่ำเสมอดีกว่า “เงินฝาก”...
กับ “REIT” 3 สินทรัพย์คุณภาพ
"Data Center-คลังสินค้า&โรงงาน-ศูนย์การค้า" !!!
ลายแทงกองทุน: นโยบาย “ภาษี Trump” กำลังจะถึงเส้นตายในวันที่ 9 ก.ค. 25 นี้ แล้ว ถ้าไม่มีการยืดเวลาออกไปอีก ในไม่ช้าคงมีความชัดเจนเกิดขึ้นสำหรับประเทศไทยเช่นเดียวกัน
แม้สินทรัพย์การลงทุนหลักๆ ยังคง “ผันผวน” และยากจะประเมินทิศทางได้ตราบเท่าที่เรื่องปัจจัย “ภาษี Trump” ยังไม่ชัดเจนนั้น
หนึ่งใน “สินทรัพย์ทางเลือก” ที่ยังคงแข็งแกร่งและน่าสนใจก็คือ “ทรัสต์เพื่อลงทุนในอสังหาริมทรัพย์” (REIT) นั่นเอง
โดยเฉพาะในช่วง “ดอกเบี้ยทั่วโลก” กลับสู่ “ขาลง” นั้นยิ่งทำให้สินทรัพย์ในกลุ่ม REIT กลับมาน่าสนใจอีกครั้ง โดย “ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ” และ “สูงกว่าเงินฝาก” และ “ตราสารหนี้”
วันนี้ทางทีมงาน ‘Wealthy Thai’ จึงได้คัดสรร “4 กองทุนเด่น” กรกฎา-ปีมะเส็ง กับ “REIT” ที่ลงทุนใน 3 สินทรัพย์คุณภาพ "Data Center-คลังสินค้า&โรงงาน-ศูนย์การค้า" ที่น่าสนใจมาฝากกัน
“INETREIT” ลุย "DATA Center" โอกาสโตในยุคดิจิทัล
มาเริ่มกันที่ “INETREIT: ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ไอเน็ต” ของ “บจ.ไอเน็ต รีท แมเนจเม้นท์” ผู้บริหาร “ทรัสต์กองแรก” และ “กองเดียว” ในประเทศไทยที่ลงทุนใน “Data Center” ทั้งหมด พร้อมทั้งอุปกรณ์ที่ให้บริการ Cloud อย่างมีประสิทธิภาพ
เน้นลงทุนในศูนย์ข้อมูล INET-IDC3 เฟส 1 และเฟส 2 (ส่วนแรก) ที่ให้บริการด้าน Co-location และ Cloud ครอบคลุมทั้ง Infrastructure as a Service (IaaS), Platform as a Service (PaaS) และ Software as a Service (SaaS) นอกจากนี้ ทรัพย์สินของ INETREIT ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากล ซึ่งรวมถึง Uptime Tier III Certification และมาตรฐาน ISO ที่เกี่ยวข้องกับ Data Center และ Cloud สะท้อนถึงคุณภาพและความน่าเชื่อถือของการให้บริการ สอดคล้องกับกลยุทธ์ของกองทรัสต์ในการมุ่งเน้นโอกาสในการเติบโตในระยะยาว
“ล่าสุด ได้ปรับเปลี่ยนนโยบายการจ่ายปันผลของกองทรัสต์เป็น ‘รายเดือน’ จากเดิมที่จ่ายเป็น ‘รายไตรมาส’ ซึ่งนับเป็นทรัสต์กองแรกในประเทศไทยที่มีนโยบายจ่ายปันผลในรูปแบบรายเดือน เพื่อสร้างผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอให้แก่นักลงทุน และสะท้อนถึงความแข็งแกร่งทางการเงินของ ‘INETREIT’ ตลอดจนความมั่นใจในศักยภาพการสร้างรายได้ของทรัพย์สินที่ลงทุน พร้อมมีแผนลงทุนเพิ่มใน INET-IDC3 เฟส 2 ส่วนเพิ่มเติม อีกด้วย”
ปัจจุบัน “อัตราเงินปันผล 12 เดือนล่าสุด” อยู่ที่ 9.27% ปีนี้ราคาตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้น +8.72%
“ALLY” ลงทุน "ศูนย์การค้า" รับธุรกิจค้าปลีกเติบโต
สลับมาที่ “ALLY: ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ อัลไล” ของ “บจ.อัลไล รีท แมนเนจเมนท์” ผู้นำการบริหาร “Green Community Mall”
เน้นการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์หลากหลายประเภทในประเทศไทย ภายใต้แนวคิดสถานที่เพื่อวิถีชีวิตใหม่ ทั้งการใช้ชีวิต การทำงาน และการพักผ่อน มีโครงการศูนย์การค้าภายใต้การบริหารจัดการ จำนวน 14 โครงการ ได้แก่ 1) คริสตัล ดีไซน์ เซ็นเตอร์, 2) เดอะ คริสตัล เอกมัย-รามอินทรา, 3) เดอะ คริสตัล เอสบี ราชพฤกษ์, 4) อมอรินี่, 5) แอมพาร์ค 6)เพลินนารี่ มอลล์, 7) สัมมากรเพลส รามคำแหง, 8) สัมมากรเพลส รังสิต, 9) สัมมากรเพลส ราชพฤกษ์, 10) เดอะ ซีน, 11) กาดฝรั่ง วิลเลจ, 12) เดอะ คริสตัล ชัยพฤกษ์, 13) เดอะ ไพร์ม หัวลำโพง และ 14) แฮปปี้ อเวนิว ดอนเมือง
“ล่าสุดเตรียมรุกขยายพอร์ตสินทรัพย์ อยู่ระหว่างลงทุนเพิ่มในคอมมูนิตี้มอลล์ 2 แห่งบนทำเลศักยภาพ ‘ทีเท็น บาย วิลเลจ ฮับ’ และ ‘วิลเลจ ฮับ สายไหม’ คาดดำเนินการแล้วเสร็จในเดือนสิงหาคมนี้ หนุนเพิ่มผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหน่วยทรัสต์ในระยะยาว”
ปัจจุบัน “อัตราเงินปันผล 12 เดือนล่าสุด” อยู่ที่ 11.56% ปีนี้ราคาตลาดปรับตัวลดลง -16.95%
“PROSPECT” ลุย "คลังสินค้า-โรงงานสำเร็จรูป" บนทำเลยุทธศาสตร์ของไทย
มาต่อกันที่ “PROSPECT: ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ พรอสเพค โลจิสติกส์และอินดัสเทรียล” ของ “บจ.พรอสเพค รีท แมเนจเมนท์” หนึ่งใน “ผู้นำ” การบริหารธุรกิจโครงการด้านอาคารคลังสินค้าและโรงงานให้เช่า “เขตปลอดภาษี” (Free Zone) ใหญ่สุดในพื้นที่บางนา-ตราด
เน้นลงทุนในทรัพย์สินประเภทโรงงานและคลังสินค้าให้เช่า 4 โครงการ มีพื้นที่ให้เช่ารวม 292,232 ตร.ม.ประกอบด้วย (1) สิทธิการเช่าช่วงที่ดินและอาคารบางส่วนในโครงการบางกอกฟรีเทรดโซน 1 (BFTZ 1) (2) กรรมสิทธิ์ในที่ดินอาคารโรงงานและสำนักงาน แบบ Built-to-suit โครงการ X44 Bangna Km.18 (3) สิทธิการเช่าช่วงที่ดินและอาคารบางส่วนในโครงการบางกอกฟรีเทรดโซน 2 (BFTZ 2) (4) กรรมสิทธิ์ในที่ดินและอาคารบางส่วนในโครงการบางกอกฟรีเทรดโซน 3 (BFTZ 3)
“ล่าสุดได้ลงทุนเพิ่มในทรัพย์สินใหม่คุณภาพสูงเพิ่มเติมทั้ง 3 โครงการ ได้แก่ โครงการบางกอกฟรีเทรดโซน 1 (ถ.บางนา-ตราด กม.23) โครงการบางกอกฟรีเทรดโซน 2 (ถ.เทพารักษ์) และโครงการบางกอกฟรีเทรดโซน 3 (ถ.บางนา-ตราด กม.19) พื้นที่ให้เช่ารวมกว่า 221,678 ตร.ม. ทำให้พื้นที่การบริหารจัดการรวมพุ่งแตะ 514,010 ตร.ม. ซึ่งมีพื้นที่ ‘Free Zone’ ผืนใหญ่ที่สุดในย่านบางนา-ตราด ที่พร้อมสร้างรายได้และผลตอบแทนที่โดดเด่น”
ปัจจุบัน “อัตราเงินปันผล 12 เดือนล่าสุด” อยู่ที่ 7.10% ปีนี้ราคาตลาดปรับตัวลดลง -15.29%
“CPNREIT” ลงทุน "ศูนย์การค้า" ในโครงการเซ็นทรัลผู้นำค้าปลีกไทย
ปิดท้ายกันด้วย “CPNREIT: ทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ CPN รีเทล โกรท” ของ “บจ.ซีพีเอ็น รีท แมเนจเมนท์” ผู้นำการบริหาร “กองทรัสต์ค้าปลีก” ชั้นนำระดับภูมิภาค โดยได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งแกร่งจาก “บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา” (CPN) ผู้พัฒนาและบริหารอสังหาริมทรัพย์เบอร์หนึ่งของไทย ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการบริหารศูนย์การค้ามายาวนาน ในฐานะ “Sponsor” ผู้ถือหน่วยทรัสต์รายใหญ่ที่ถือต่อเนื่องมาโดยตลอด พร้อมนำทรัพย์สินเข้ากองเพื่อสร้างการเติบโตไปพร้อมๆ กัน
เน้นลงทุนในทรัพย์สินที่หลากหลายบนทำเลศักยภาพในพื้นที่กรุงเทพและต่างจังหวัดรวม 12 โครงการ ได้แก่ 1) การลงทุนในสิทธิการเช่าศูนย์การค้าเซ็นทรัล 7 แห่ง ได้แก่ เซ็นทรัล พระราม 2, เซ็นทรัล พระราม 3, เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า, เซ็นทรัล เชียงใหม่ แอร์พอร์ต, เซ็นทรัล พัทยา, เซ็นทรัล ลำปาง และเซ็นทรัล มารีนา (พัทยา) มีพื้นที่ให้เช่ารวม 252,840 ตารางเมตร 2) อาคารสำนักงาน 4 แห่ง ได้แก่ ปิ่นเกล้า ทาวเวอร์ เอ, ปิ่นเกล้า ทาวเวอร์ บี, เดอะไนน์ ทาวเวอร์ส และยูนิลีเวอร์ เฮ้าส์ มีพื้นที่ให้เช่ารวม 111,541 ตารางเมตร และ 3) โรงแรม 1 แห่ง ได้แก่ ฮิลตัน พัทยา จำนวน 304 ห้อง
“ล่าสุดกองทรัสต์อยู่ระหว่างศึกษาข้อมูลและพิจารณาการลงทุนในศูนย์การค้าทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โดยจะให้ความสำคัญกับศูนย์การค้าที่มีผลประกอบการที่ดี และอยู่ในทำเลที่ยังมีศักยภาพในการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยเสริมความมั่นคงให้กับรายได้และช่วยสร้างการเติบโตของผลตอบแทนในระยะยาว อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับนักลงทุนของ ‘CPNREIT’ ในอนาคตอีกด้วย”
ปัจจุบัน “อัตราเงินปันผล 12 เดือนล่าสุด” อยู่ที่ 5.60% ปีนี้ราคาตลาดปรับตัวลดลง -11.38%
ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและตลาดการเงินโลก จากนโยบายของ “Donald Trump” การเสริมแกร่งให้กับพอร์ตลงทุนด้วยการกระจายลงทุนไปในกลุ่ม “สินทรัพย์ทางเลือก” อย่าง “REIT” ก็ช่วยลดความผันผวนและเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนให้กับพอร์ตของคุณได้เช่นกัน โดยเฉพาะในช่วงที่ราคาตลาดปรับตัวลงมามาก จนทำให้ “Yield” ปรับตัวดีขึ้น ในขณะที่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของกองทรัสต์แต่ประการใด
ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทรัสต์ มิได้เป็นสิ่งยืนยันผลการดำเนินงานในอนาคต ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจ ลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

#กองทุน #ลายแทงกองทุน #ทรัสต์เพื่อลงทุนในอสังหาริมทรัพย์

TMAN ผนึก BERTRAMเสริมแกร่ง ดันโพรโพลิซเจาะนทท. เดินหน้าปั้นสินค้าใหม่ ขยายตลาดรพ.-ตปท.หนุนรายได้ปี 68 เติบโตไม่ต่ำกว่า ...
04/07/2025

TMAN ผนึก BERTRAM
เสริมแกร่ง ดันโพรโพลิซเจาะนทท.
เดินหน้าปั้นสินค้าใหม่ ขยายตลาดรพ.-ตปท.
หนุนรายได้ปี 68 เติบโตไม่ต่ำกว่า 10%
TMAN เผยครึ่งปีแรกผลงานเป็นไปตามแผน พร้อมคงเป้ารายได้ปี 2568 โตไม่ต่ำกว่า 10% เดินหน้าเปิดตัวสินค้าใหม่ ขยายตลาดโรงพยาบาล-ต่างประเทศ ล่าสุดผนึก BERTRAM เสริมแกร่งธุรกิจ กระจาย “เซียงเพียว-เป๊ปเปอร์มิ้นท์ ฟิลด์” ทั่วไทย พร้อมดัน “โพรโพลิซ” เจาะกลุ่มนักท่องเที่ยว เล็งต่อยอดสินค้าใหม่ร่วมกันในอนาคต
นายประพล ฐานะโชติพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ที.แมน ฟาร์มาซูติคอล จำกัด (มหาชน) หรือ TMAN เปิดเผยว่า ภาพรวมผลประกอบการในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ยังเป็นไปตามแผนที่วางไว้ จากการการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่, การขยายช่องทางจัดจำหน่ายไปยังโรงพยาบาล, การรุกตลาดต่างประเทศ, การให้บริการรับจ้างผลิต (OEM) และการพัฒนา Distribution Channel พร้อมยังคงเป้าหมายผลักดันรายได้ปี 2568 ให้เติบโตไม่ต่ำกว่า 10% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 2,226 ล้านบาท
สำหรับการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในปีนี้บริษัทวางแผนไว้ประมาณ 15-18 SKU โดยในไตรมาส 1/68 เปิดตัวไปแล้ว 5 รายการ ส่วนที่เหลือจะทยอยเปิดตัวต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปี 2568 ขณะที่การขยายช่องทางจัดจำหน่ายไปยังโรงพยาบาลยังมีการเติบโตต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นสิทธิ์ประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่คนไทยสามารถเบิกจ่ายได้
ส่วนการขยายตลาดในต่างประเทศ บริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตราว 10-15% จากปีก่อน จากการขยายตลาดผ่านช่องทาง Offline ในประเทศจีนมากขึ้น โดยเดือนก.ค. นี้ บริษัทจะเริ่มวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่กว่างโจว ผ่านสาขาของวัตสัน จำนวน 1,000 สาขา นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างการเจรจากับคู่ค้าอื่นๆ ซึ่งรวมถึงคู่ค้าเดิมในประเทศมาเลเซียที่มีการทำธุรกิจอยู่แล้ว และการเปิดตลาดใหม่ๆ ในเกาหลีใต้ และฟิลิปปินส์ เป็นต้น
ขณะที่การเติบโตของธุรกิจ Distributor ซึ่งบริษัทเล็งเห็นถึงโอกาสขยายธุรกิจเพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายมากขึ้น ผ่านความร่วมกับพันธมิตรที่มีสินค้าคุณภาพและมีแบรนด์ที่แข็งแกร่งเพื่อสร้างการเติบโตทางธุรกิจร่วมกัน ล่าสุดบริษัทได้ร่วมมือกับ บริษัท เบอร์แทรม (1958) จำกัด หรือ BERTRAM เป็นพันธมิตรทางธุรกิจในรูปแบบ “Distributor Synergy” ภายใต้การนำจุดแข็งด้านเครือข่ายจัดจำหน่าย และการวางกลยุทธ์การขายของทั้งสองฝ่าย เพื่อยกระดับการทำงานร่วมกันให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และขับเคลื่อนยอดขายเพื่อสร้างการเติบโตในระยะยาว
โดยความร่วมมือครั้งนี้ บริษัทจะนำความเชี่ยวชาญในเวชภัณฑ์ยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ ที่มีระบบโลจิสติกส์ที่แข็งแกร่ง กระจายผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ “เซียงเพียว” และ “เป๊ปเปอร์มิ้นท์ ฟิลด์” ซึ่งมีหลากหลายรายการสินค้า (SKUs) ไปยังช่องทางร้านขายยาให้ครอบคลุมทั่วประเทศและช่องทางร้านค้าโมเดิร์นเทรด ตลอดจนความร่วมมือด้านกิจกรรมการตลาดและกิจกรรมส่งเสริมการขาย ส่วนทีมการตลาดของเบอร์แทรม จะสนับสนุนกิจกรรมการตลาดและสร้างแบรนด์อย่างเข้มข้น โดยวางเป้าหมายจะเพิ่มอัตราการเข้าถึงตลาด (Pe*******on Rate) ได้ครอบคลุมทั่วประเทศ
“การผนึกกำลังของ TMAN กับ BERTRAM เป็นการเติมเต็มซึ่งกันและกัน โดย TMAN มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญกว่า 50 ปีในวงการเวชภัณฑ์ยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ มีศักยภาพการกระจายสินค้าผ่านช่องทางร้านขายยา โรงพยาบาล ร้านค้าโมเดิร์นเทรด และคลินิกกว่า 10,000 แห่ง ภายใต้ทีมขายและทีมการตลาดกว่า 180 ราย ทั้งยังมีสินค้าที่หลากหลายครบพอร์ตโฟลิโอ ซึ่งความร่วมมือครั้งนี้ BERTRAM จะร่วมส่งเสริมการขายผลิตภัณฑ์โพรโพลิซ (Propoliz Series) เพื่อขยายฐานลูกค้านักท่องเที่ยวให้กับบริษัท ซึ่งเป็นการสร้างโมเดลธุรกิจพันธมิตรที่นำพาทั้งสองฝ่ายไปสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืนในอนาคต” นายประพล กล่าว
นายประพล กล่าวเพิ่มว่า บริษัทมุ่งมั่นเป็น Distribution เวชภัณฑ์และผลิตภัณฑ์สุขภาพแบบครบวงจร ภายใต้แนวคิดสร้างสรรค์บริการที่ยืดหยุ่นและปรับแต่งได้ตอบสนองกลยุทธ์ของลูกค้าอย่างลงตัว ที่มีการให้บริการครบวงจร (One Stop Solution) ให้คู่ค้าตั้งแต่การขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ การจัดจำหน่าย การทำตลาด การวางบิล ฯลฯ ทั้งยังมีระบบคลังสินค้าที่นำเทคโนโลยีสมัยใหม่และศูนย์กระจายสินค้าที่มีมาตรฐานระดับสากล Good Distribution Practice (GDP) และเข้าใจความต้องการของแบรนด์และช่องทางจัดจำหน่ายอย่างลึกซึ้ง
ทั้งนี้ บริษัทคาดการณ์กลุ่มธุรกิจ Distribution จะมีรายได้ปี 2568 เติบโตไม่ต่ำกว่า 10-15% จากปี 2567 ที่มีสัดส่วนรายได้ประมาณ 2.1% ของรายได้รวม โดยปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้หลักกว่า 96% มาจากผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ของตนเอง (House Brand) และที่เหลืออีกราว 2% มาจากการให้บริการรับจ้างผลิต (OEM)
ด้านนายสุวรรณา เอี่ยมพิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เบอร์แทรม (1958) จำกัด หรือ BERTRAM ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เซียงเพียว และเป๊ปเปอร์มิ้นท์ ฟิลด์ กล่าวว่า ความร่วมมือ “Distributor Synergy” ครั้งนี้ บริษัทมีเป้าหมายเพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์เซียงเพียวและเป๊ปเปอร์มิ้นท์ ฟิลด์ ให้เข้าถึงและขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ ได้อย่างกว้างขวาง โดยใช้ประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ และความพร้อมด้านทรัพยากรอย่างครบวงจรของ TMAN เป็นผู้กระจายสินค้าผ่านช่องทางร้านขายยาและร้านค้าโมเดิร์นเทรดทั่วประเทศ
บริษัทให้ความสำคัญกับการกระจายสินค้า โดยเฉพาะการเลือก Distributor เนื่องจากมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจในยุคที่การแข่งขันรุนแรงและพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเมื่อช่องทางการจัดจำหน่ายมีความหลากหลายมากขึ้น Distributor ที่มีศักยภาพจะช่วยขยายการเข้าถึงตลาดผ่านจุดกระจายสินค้าที่ครอบคลุม เพิ่มประสิทธิภาพในการจัดส่งและกระจายสินค้าเสริมความคล่องตัวในการตอบสนองความต้องการของตลาด
รวมทั้งการบริหารความสัมพันธ์กับร้านค้าและพันธมิตรในช่องทางต่างๆ สนับสนุนการเติบโตของแบรนด์อย่างยั่งยืน ซึ่งบริษัทวางเป้าหมายการกระจายสินค้าของ TMAN จะเพิ่มการเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคในทุกภูมิภาค และจะผลักดันรายได้ปี 2568-2569 เติบโตอย่างก้าวกระโดด 27% และส่วนแบ่งทางการตลาดที่เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ในอนาคตบริษัทมีแผนจะต่อยอดความร่วมมือกับ TMAN ในการพัฒนาสินค้ากลุ่มใหม่ (New Category) ที่นำจุดแข็งของทั้งสองแบรนด์มาผสานกันอย่างลงตัว เพื่อมอบประสบการณ์ที่พิเศษยิ่งขึ้นให้กับผู้บริโภค

#หุ้น #โพรโพลิซ #หุ้นไทยวันนี้

04/07/2025

"ThaiESGX" ปิดจ๊อบ "ไม่ปัง" ได้ยอด 3.2 หมื่นลบ. เป็น "เงินโอน LTF" 2.5 หมื่นลบ. & "เงินลงทุนใหม่" 6.9 พันลบ. !!!

#กองทุน

ดีลเปลี่ยนเกม!ภาษีไทย-สหรัฐฯ ชี้ทิศ SETเจาะสมมติฐานภาษีทั้งดีสุด-แย่สุดพร้อมกลยุทธ์ลงทุน หุ้นไหนเด่นแต่ละกรณีในช่วงที่กา...
04/07/2025

ดีลเปลี่ยนเกม!
ภาษีไทย-สหรัฐฯ ชี้ทิศ SET
เจาะสมมติฐานภาษีทั้งดีสุด-แย่สุด
พร้อมกลยุทธ์ลงทุน หุ้นไหนเด่นแต่ละกรณี
ในช่วงที่การเจรจาการค้าระหว่างไทย–สหรัฐฯ ยังไม่บรรลุข้อสรุป นักลงทุนจำนวนมากเริ่มจับตาผลลัพธ์ของดีลภาษีที่จะตามมา เนื่องจากอัตราภาษีนำเข้าระหว่างสองประเทศอาจกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ชี้นำทิศทางตลาดในระยะสั้นถึงกลาง บทความนี้จึงรวบรวมบทวิเคราะห์จากกูรูเพื่อนำเสนอแนวทางการลงทุนภายใต้สมมติฐานต่าง ๆ ของอัตราภาษี เพื่อช่วยให้นักลงทุนเตรียมกลยุทธ์รับมือในแต่ละสถานการณ์ได้อย่างเหมาะสม
โดยบทวิเคราะห์จาก บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุ วานนี้ยังไม่มีข้อสรุปการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ–ไทย อย่างไรก็ตาม ประเมินกลยุทธ์ลงทุนว่าภาษีการค้าไทยจะได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบกับเวียดนาม ด้วย 5 ฉากทัศน์ และแนะนำวางกลยุทธ์เตรียมไว้ดังนี้
1.) ไทยได้ดีลภาษี 10–15% (ดีลดีกว่าเวียดนาม) คาด SET จะตอบรับทางบวก Bullish +3–5% เน้นนิคมฯ WHA, AMATA รับ FDI China plus 1 / Export Tech เน้น DELTA, KCE, HANA / ส่งออก TU, ITC, AAI, CPF, STA / กลุ่มนำเข้า (กรณีไทยตกลงงดภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ เช่นกัน) COM7, ADVICE, SYNEX, BE8, BBIK / GULF, GPSC กลุ่ม Infra + Import Technology Play / ADVANC, TRUE
2.) ไทยได้ดีลภาษี 15–18% (ดีกว่าเวียดนามเล็กน้อย) คาด SET แกว่งตัวในกรอบ 1,130–1,180 หุ้นเด่นเน้น Selective Export: KCE, HANA / นิคมฯ WHA, AMATA (ยังสะสมได้) / นำเข้า (กรณีไทยตกลงงดภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ เช่นกัน) ADVANC, COM7, ADVICE, INSET / นำเข้าก๊าซ : PTTGC, GPSC, BGRIM
3.) ไทยได้ดีลภาษี 19–21% (เท่าเวียดนาม) ประเมินเป็นกลางถึงบวกแคบต่อ SET / หุ้นเด่นเน้น กลุ่ม Domestic Defensive: BDMS, CPALL / โรงไฟฟ้า: GULF, GPSC / เปิดเมือง–ท่องเที่ยว: MINT, CENTEL / กลุ่มเช่าซื้อ KTC, MTC
4.) ไทยได้ดีลภาษี 22–25% (แย่กว่าเวียดนาม) SET มีโอกาสแกว่งต่ำกว่า 1,100 จุด / เน้นหุ้นพลังงาน PTTEP, BANPU / โรงพยาบาล: BDMS / Domestic Laggards ADVANC, GULF / เช่าซื้อ KTC, MTC, SAWAD
5.) ไทยถูกเก็บภาษี >25% (Worst Case) SET ปรับฐานและมีโอกาสปรับลงทดสอบ low เก่า บริเวณ 1,053 จุด / เน้นหุ้นดอกเบี้ยลด KTC, MTC / High Yield ADVANC, AP / หนี้สูง อาทิ TRUE, MINT, CPALL / กลุ่ม Energy Defensive: GULF, BCPG / กลุ่ม Healthcare BDMS, B*H, CHG / ท่องเที่ยว CENTEL, ERW
ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด แนะนำเกาะติดข่าวสารการเจรจาการค้าไทย-สหรัฐฯ คาดเป็น Swing Factor สำคัญที่จะกำหนดทิศทางของ SET Index สัปดาห์หน้า โดยแบ่ง Case scenario ดังนี้
1) การเจรจาประสบผลสำเร็จ คือสหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้าสินค้าไทยต่ำกว่า 20% หากเกิดขึ้นจะส่งผลบวกอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะกลุ่มนิคมฯ, ส่งออก และอิเล็กทรอนิกส์
2) อัตราภาษีอยู่ระหว่าง 20-25% คาดตลาดหุ้นทรงตัว แต่กลุ่มที่อาจปรับตัวลงคือนิคมฯ เนื่องจากอัตราภาษีสูงกว่าคู่แข่งฐานการผลิตคือเวียดนาม
3) การเจรจาไม่มีความคืบหน้าและมีแนวโน้มไม่ได้ข้อตกลงภายในวันที่ 9 ก.ค. คาด SET ปรับตัวลง โดยมอง 1,100 จุดเป็นแนวรับสำคัญ และคาดเห็นแรงขายในกลุ่มนิคมฯ, ส่งออก และอิเล็กทรอนิกส์

#หุ้น #ภาษีทรัมป์ #สงครามการค้า #แนวโน้มตลาดหุ้นไทย #กลยุทธ์การลงทุน

เปิดโผ 6 หุ้นมีโอกาสเฉิดฉายหลัง HFT ถูกจำกัดเหลือ SET100ในช่วงที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเร่งดำเนินมาตรการเพื่อสร้างเ...
04/07/2025

เปิดโผ 6 หุ้นมีโอกาสเฉิดฉาย
หลัง HFT ถูกจำกัดเหลือ SET100
ในช่วงที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเร่งดำเนินมาตรการเพื่อสร้างเสถียรภาพและความมั่นใจให้นักลงทุนรายย่อย โดยหนึ่งในมาตรการสำคัญที่ประกาศล่าสุด คือ การกำหนดให้ผู้ลงทุนกลุ่ม High-Frequency Trading (HFT) สามารถซื้อหลักทรัพย์ได้เฉพาะหลักทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่และมีสภาพคล่องสูง เพื่อลดความผันผวนของราคาหลักทรัพย์ขนาดกลางและเล็กที่อาจไม่มีสภาพคล่องในการซื้อขายอย่างเพียงพอ โดยกำหนดให้สามารถซื้อขายได้เฉพาะหุ้นในดัชนี SET100 เท่านั้น ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 7 กรกฎาคมเป็นต้นไป
ทั้งนี้ บทวิเคราะห์จาก บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุ ประเด็นนี้หนุนให้หุ้นขนาดเล็ก อย่าง sSET หรือ mai ที่ Underperform มาตลอด มีโอกาสผันผวนน้อยลง ดังนั้นฝ่ายวิจัยฯ จึงทำการค้นหาหุ้นนอก SET100 ที่มักมี Program Trade เข้ามาซื้อขายคึกคัก และบางครั้งก็กดดันราคาในปีนี้ โดยเชื่อว่าหุ้นดังกล่าวมีโอกาสฟื้นขึ้นมาได้ แนะนำ Trading หุ้น CPAXT, STECON, PTG, PSL, THCOM, TKN เป็นต้น
เริ่มที่คำแนะนำ “Neutral” สำหรับ บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) หรือ CPAXT จากบล.เอเซีย พลัส ด้วยราคาเป้าหมาย 29.50 บาท โดยกําไรไตรมาส 1/68 มีสัดส่วน 22% ของคาดการณ์ทั้งปี อีกทั้งฝ่ายวิจัยมีความกังวลมากขึ้นต่อเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี ซึ่งจะกดดันกําลังซื้อ ทําให้ปรับลดประมาณการกําไรปี 2568 ลง 11% เหลือ 1.1 หมื่นล้านบาท (+8% จากปีก่อน)
สำหรับราคาหุ้น ณ วันที่ 3 ก.ค.68 ปิดตลาดที่ระดับ 19.20 บาท เพิ่มขึ้น 0.50% จากวันก่อนหน้า ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ 191.60 ล้านบาท คิดเป็นอัพไซด์จากราคาเป้าหมาย 53.65% ทั้งนี้ หากนับจากต้นปีราคาหุ้นปรับตัวลดลงไปแล้ว 26.15% จากระดับ 26.00 บาท ณ วันที่ 2 ม.ค. 68
ขณะที่บล.เอเซีย พลัส แนะนำ “Outperform” บริษัท สเตคอน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ STECON ด้วยราคาเป้าหมาย 8.80 บาท ทั้งนี้ ผลประกอบการไตรมาส 1/68 พลิกเป็นกำไรโดดเด่นแม้ไม่รวมเงินปันผลที่รับจาก Gulf มองเห็นพัฒนาการเชิงบวกหลายด้าน หากยังรักษาโมเมนตัมเรื่อง margin ได้ และมีการเร่งตัวของรายได้ตามแผน ก็มีโอกาสที่ STECON จะทำกำไรได้สูงกว่าที่ฝ่ายวิจัยประเมิน อีกทั้งในช่วงระหว่างไตรมาส 2-3/68 มีลุ้นข่าวดีหลายเรื่อง ทั้งเงินประกันภัยจากโครงการอุโมงค์บึงหนองบอน การไม่ต้องรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและชมพู รวมถึงโอกาสที่จะได้รับงานใหม่เพิ่มเติม
สำหรับราคาหุ้น ณ วันที่ 3 ก.ค.68 ปิดตลาดที่ระดับ 6.20 บาท เพิ่มขึ้น 4.20% จากวันก่อนหน้า ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ 38.07 ล้านบาท คิดเป็นอัพไซด์จากราคาเป้าหมาย 41.94% ทั้งนี้ หากนับจากต้นปีราคาหุ้นปรับตัวลดลง 15.65% จากระดับ 7.35 บาท ณ วันที่ 2 ม.ค. 68
ส่วน บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG บล.เอเซีย พลัส แนะนำ “Outperform” ด้วยราคาเป้าหมาย 8.50 บาท ทั้งนี้ ปรับลดประมาณการกําไรปี 2568-69 ลง 5.0% และ 4.7% จากเดิมมาอยู่ที่ 1.2 และ 1.4 พันล้านบาท ตามลําดับเพื่อสะท้อนการปรับลดปริมาณขายน้ํามันลงจากเดิม เฉลี่ยปีละ 5.0% มาอยู่ที่ 7.0 และ 7.4 พันล้านลิตร ตามลําดับ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ตลาดในปัจจุบันที่มีการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น ภายใต้หลักความระมัดระวัง
สำหรับราคาหุ้น ณ วันที่ 3 ก.ค.68 ปิดตลาดที่ระดับ 5.90 บาท ลดลง 2.61% จากวันก่อนหน้า ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ 20.27 ล้านบาท คิดเป็นอัพไซด์จากราคาเป้าหมาย 44.07% ทั้งนี้ หากนับจากต้นปีราคาหุ้นปรับตัวลดลงไปแล้ว 29.34% จากระดับ 8.35 บาท ณ วันที่ 2 ม.ค. 68
ด้าน บริษัท พรีเชียส ชิพปิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PSL บล.ฟินันเซีย ไซรัส แนะนำ “ขาย” ด้วยราคาเป้าหมาย 5.40 บาท ทั้งนี้ แนวโน้มไตรมาส 2/68 คาดว่าน่าจะมีกำไรแบบอ่อน ๆ ค่าระวางเรือเริ่มฟื้นตั้งแต่เดือน มี.ค. จากการ Restock ของผู้นำเข้าสินค้าชั่วคราว ดัชนี BHSI เฉลี่ย 2QTD ที่ 578 จุด (+14.7% จากไตรมาสก่อน, -20.2% จากปีก่อน) BSI เฉลี่ยที่ 958 จุด (+16.7% จากไตรมาสก่อน, -29.8% จากปีก่อน) แต่การค้าโลกที่ยังเผชิญความเสี่ยง ขณะที่ Supply ของเรือเพิ่มขึ้น
สำหรับราคาหุ้น ณ วันที่ 3 ก.ค.68 ปิดตลาดที่ระดับ 5.90 บาท เพิ่มขึ้น 2.61% จากวันก่อนหน้า ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ 5.84 ล้านบาท คิดเป็นอัพไซด์จากราคาเป้าหมาย -8.47% ทั้งนี้ หากนับจากต้นปีราคาหุ้นปรับตัวลดลงไปแล้ว 12.59% จากระดับ 6.75 บาท ณ วันที่ 2 ม.ค. 68
ขณะเดียวกัน บล.หยวนต้า แนะนำ “ซื้อ” บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) หรือ THCOM ด้วยราคาเป้าหมาย 13.50 บาท พร้อมทั้งคงประมาณการปี 2568 ที่148 ล้านบาท (+35% จากปีก่อน) โดยคาดว่าผลประกอบการหลักจะดีขึ้นในไตรมาส 2/68 จากการรับรู้รายได้ USO เฟส 2 เพิ่มขึ้น และเริ่มรับรู้รายได้ลูกค้าอินเดียและลุ้นการประมูลงาน USO เฟส 3 ที่หากเกิดขึ้นได้เร็วจะหนุนรายได้ฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง 2568
สำหรับราคาหุ้น ณ วันที่ 3 ก.ค.68 ปิดตลาดที่ระดับ 7.50 บาท ลดลง 2.04% จากวันก่อนหน้า ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ 21.76 ล้านบาท คิดเป็นอัพไซด์จากราคาเป้าหมาย 80% ทั้งนี้ หากนับจากต้นปีราคาหุ้นปรับตัวลดลงไปแล้ว 40.48% จากระดับ 12.60 บาท ณ วันที่ 2 ม.ค. 68
ปิดท้ายด้วยคำแนะนำ “ขาย” บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TKN จาก บล.กรุงศรี ด้วยราคาเป้าหมาย 6.00 บาท ทั้งนี้ เชื่อว่าแนวโน้มไตรมาส 2/68 ยังคงไม่แน่นอนเนื่องจากความขัดแย้งทางการค้าระหว่างประเทศที่ยังคงดำเนินอยู่ นอกจากนี้ ยังยากที่จะคาดการณ์ราคาสาหร่าย และความผันผวนอาจส่งผลกระทบต่อผลกำไรของ TKN
สำหรับราคาหุ้น ณ วันที่ 3 ก.ค.68 ปิดตลาดที่ระดับ 5.65 บาท เพิ่มขึ้น 3.67% จากวันก่อนหน้า ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ 34.72 ล้านบาท คิดเป็นอัพไซด์จากราคาเป้าหมาย 6.19% ทั้งนี้ หากนับจากต้นปีราคาหุ้นปรับตัวลดลงไปแล้ว 29.81% จากระดับ 8.05 บาท ณ วันที่ 2 ม.ค. 68

#หุ้น #หุ้นTrading #หุ้นรับอานิสงส์HFT #เกณฑ์ใหม่HFT

คาด SET แกว่งตัวขึ้นต่อจับตาประกาศอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯบล.อินโนเวสท์ เอกซ์ คาดตลาดแกว่งตัวผันผวนทางขึ้นต่อ ระยะสั้นขึ้นม...
04/07/2025

คาด SET แกว่งตัวขึ้นต่อ
จับตาประกาศอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ
บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ คาดตลาดแกว่งตัวผันผวนทางขึ้นต่อ ระยะสั้นขึ้นมาทดสอบแนวต้านที่ 1128 หากยืนเหนือได้ มีแนวต้านหลักถัดไปที่ 1135/1140 ที่จะทำให้เกิดการชะลอตัว ส่วนแนวรับอยู่ที่ 1120/1115 เชิงปัจจัย ยังลุ้นการประกาศภาษีศุลกากรสหรัฐฯ กับไทยก่อน 9 ก.ค.นี้ หากไม่สูงไปกว่า 15% คาดว่าตลาดจะตอบสนองเชิงบวก

#หุ้น #ภาวะตลาดหุ้น

บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด คาดตลาดแกว่งตัวผันผวนทางขึ้นต่อ ระยะสั้นขึ้นมาทดสอบแนวต้านที่ 1128 ....

รู้หรือไม่? “จุดสูงสุดใหม่”...อาจ “ไม่ใช่สัญญาณอันตราย” อย่างที่คิด !!!Where2put Ur Money: ช่วงนี้เพื่อนๆ นักลงทุนหลายคน...
04/07/2025

รู้หรือไม่? “จุดสูงสุดใหม่”...อาจ “ไม่ใช่สัญญาณอันตราย” อย่างที่คิด !!!
Where2put Ur Money: ช่วงนี้เพื่อนๆ นักลงทุนหลายคนคงได้เห็นข่าว “ตลาดหุ้นสหรัฐฯ” กลับมาทำ “New High” อีกครั้ง กราฟขึ้นเอาๆ จนหลายคนแอบรู้สึกกล้าๆ กลัวๆ เริ่มลังเลว่า “จะเข้าตอนนี้เลยดีไหม หรือรอให้ย่อลงก่อน?” “เข้าไปแล้วจะดอยเลยไหม” ไทรมองว่าความรู้สึกแบบนี้ เป็นเรื่องธรรมดาที่สุดของนักลงทุนเลยค่ะ
เพราะไม่ว่าเราจะลงทุน อยู่กับตลาดมานานแค่ไหน แต่เวลาตลาดทำจุดสูงสุดใหม่ เราก็มักรู้สึกระแวงนิด ๆ ว่า “รอบนี้จะไปต่อ หรือจะจบรอบแล้วกันแน่ ?” ในวันนี้ไทรอยากชวนทุกคนมามองอีกมุมหนึ่ง มาดูกันว่า....การลงทุนในช่วงที่ตลาดดูจะแพงที่สุดแบบนี้ จริงๆ แล้วอาจไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด และบางที...อาจเป็นช่วงเวลาที่ดีด้วยซ้ำ
“จุดสูงสุดใหม่”...อาจไม่ใช่สัญญาณอันตรายอย่างที่คิด
หลายคนมักรู้สึกไม่มั่นใจเวลาตลาดทำ “จุดสูงสุดใหม่” เพราะคิดว่า “ตลาดจะเริ่มเจอแรงขายทำกำไร และจะเริ่มปรับตัวลง” แต่พอไทรลองไปดูข้อมูลจริงๆ กลับพบว่า ความเชื่อนี้อาจไม่ตรงกับข้อเท็จจริงเท่าไหร่ค่ะ เพราะจากข้อมูลของ “Standard & Poor’s” และ “FactSet” ที่ศึกษาตลาดหุ้นสหรัฐฯ ย้อนหลังตั้งแต่ปี 1950 พบว่า:
หากเราลงทุนในวันที่ “ตลาดหุ้นสหรัฐฯ” (S&P 500) ทำ “New High”

• ผลตอบแทนเฉลี่ยในอีก 1 ปี ข้างหน้าจะ +9.4%

• ผลตอบแทนเฉลี่ยในอีก 3 ปี ข้างหน้าจะ +29.1%

• และผลตอบแทนเฉลี่ยในอีก 5 ปี ข้างหน้าจะสูงถึง +50.3%
“ในขณะที่ ถ้าเราลงทุนใน วันธรรมดาทั่วไป วันไหนก็ได้ที่ ‘ไม่ใช่ New High’ จะได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 1ปี, 3ปี และ 5ปี ที่ 8.7%, 28.7% และ 51.3% ตามลำดับ”
จะเห็นได้ว่า...ผลตอบแทนแทบไม่ต่างกันเลยค่ะ แถมในบางช่วงเวลา การซื้อในวันที่ตลาดทำ “จุดสูงสุด” กลับได้ผลตอบแทนดีกว่าด้วยซ้ำ ซึ่งก็สะท้อนให้เห็นว่า “ตลาด New High” อาจจะเป็นช่วงที่เราควร “กล้า” มากกว่า “กลัว”
แล้วทำไมการลงทุนตอน “New High” ถึงมักให้ผลตอบแทนดี?
เพราะในความเป็นจริง การที่ตลาดหุ้นสามารถทำ “New High” ได้ในทุกครั้ง ไม่ใช่เพราะ “อยู่ๆ ก็แพงขึ้นเฉยๆ” แต่เป็นเพราะ “พื้นฐานของตลาดที่ดีขึ้น” จนราคาต้องวิ่งตาม เช่น บริษัทจดทะเบียนรายงานกำไรโตต่อเนื่อง นโยบายการเงินเริ่มผ่อนคลายมากขึ้น เศรษฐกิจฟื้นตัวแข็งแกร่ง สภาพคล่องเริ่มกลับเข้าสู่ตลาดอีกครั้ง หรือ ปัจจัยที่กดดันตลาดต่างๆ เริ่มจางหายไป เมื่อภาพรวมทั้งหมดเอื้อต่อการลงทุน นักลงทุนทั่วโลก โดยเฉพาะนักลงทุนสถาบันก็จะเริ่ม "กลับมาเพิ่มน้ำหนัก" หุ้นอีกครั้ง และนั่นแหละค่ะ…คือช่วงเวลาที่ตลาดจะทำ “New High”
เราอาจจะได้เห็นการทำ “New High” อีกหลายครั้งในปี 2025 ?
ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 27 มิถุนายน 2025 ระบุว่า “S&P 500” เพิ่งทำ “New High” ไปเพียง 4 ครั้งเท่านั้นในปีนี้
ซึ่งถือว่ายังน้อยมากเมื่อเทียบกับช่วงที่ตลาดเป็นขาขึ้นในอดีต เช่น:

• ปี 2021: S&P500 ทำ New High ไปถึง 70 ครั้ง

• ปี 2017: S&P500 ทำ New High ไป 62 ครั้ง

• ปี 2014 และ 2024: S&P500 ทำ New High ไป 57 ครั้ง

• ปี 2013: S&P500 ทำ New High ไป 45 ครั้ง
“โดยค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 12 ปี (2013–2024) ‘S&P 500’ ทำ ‘New High’ เฉลี่ยปีละ 33 ครั้ง
เมื่อเทียบกับจำนวนเพียง 4 ครั้งในปีนี้ ไทรมองว่า... ปี 2025 อาจยังอยู่ในช่วงต้นของรอบขาขึ้น มากกว่าจะเป็น ‘จุดสูงสุด’ของวัฏจักร”
และถ้าถามว่า แล้ว “ช่วงเวลาไหนของปี” ที่มักสร้างโอกาสให้กับนักลงทุนได้มากที่สุด? หนึ่งในเดือนที่มีสถิติหนุนแรงที่สุดทุกปี ก็คือ... “เดือนกรกฎาคม” ค่ะ
ไทรอยากชวนทุกคนดูอีกปัจจัยที่มักถูกมองข้าม… ก็คือ “ฤดูกาลของตลาด” หรือ “Seasonality”
โดยจากสถิติย้อนหลัง 10 ปี ดัชนี “S&P500” ในเดือนกรกฎาคมให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึง 3.3% และ สามารถทำผลตอบแทนเป็นบวกได้ 9 จาก 10 ปีหลังสุด
ด้านดัชนี “Nasdaq” เองก็ปรับตัวขึ้นเป็นบวกได้ 9 จาก 10 ปีหลังสุดเช่นกัน และ ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยถึง 4.4% โดยเฉพาะในปี 2023 ที่ บวกแรงถึง 8.5%
หนึ่งในเหตุผลสำคัญ คือ นักลงทุนมักเริ่มต้นปีด้วยความกังวลว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวจากปีก่อน จากดัชนีชี้นำภาคธุรกิจที่เริ่มอ่อนแอลง หรือความกดดันต่างๆ ที่มักถาโถมในช่วงไตรมาสแรก แต่พอเข้าสู่ “ฤดูกาลประกาศงบไตรมาส 2” ช่วงเดือนกรกฎาคม ข้อมูลจริงที่ออกมากลับมัก “แข็งแกร่งเกินคาด” โดยเฉพาะตัวเลขกำไรของบริษัทจดทะเบียน ที่ช่วยสะท้อนเศรษฐกิจจริงดีกว่าแบบสำรวจทางเศรษฐกิจต่างๆ
“เมื่อภาพเริ่มชัดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจไม่เข้าสู่ภาวะชะลอตัวลงอย่างที่นักลงทุนกังวล นักวิเคราะห์จึงมักจะมีการปรับประมาณการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจขึ้น และ ปรับราคาเป้าหมายของตลาดให้สูงขึ้น แรงซื้อจึงมักไหลกลับเข้าตลาดหุ้นอย่างรวดเร็วในเดือนนี้”
แล้วเดือนถัดไปล่ะ?
แม้ “กรกฎาคม” จะขึ้นชื่อว่าเป็นเดือนทองของตลาดหุ้น แต่ถ้าจะวางแผนลงทุนให้รอบคอบ ไทรอยากชวนให้ดูไปถึง “สิงหาคม–กันยายน” ด้วยค่ะ
• เดือนสิงหาคม: ตลาดมักจะค่อนข้างผันผวน เนื่องจากในหลายๆ ปีมักเกิดแรงขายทำกำไรหลังจากที่ตลาดปรับตัวขึ้นมาแรงในเดือนก่อนหน้า

• เดือนกันยายน: เป็นเดือนที่ “ตลาดหุ้นสหรัฐฯ” มีโอกาสติดลบสูงที่สุดของปี เฉลี่ย 10 ปีย้อนหลัง ติดลบถึง 1.9%

ดังนั้น ถ้าคิดจะลงทุนในช่วงนี้ การทยอยซื้อใน ก.ค. และ เผื่อเงินสดไว้บางส่วน สำหรับจังหวะที่ตลาดอาจพักตัวในอีก 1-2 เดือนข้างหน้า ก็เป็นแนวทางที่ดีไม่น้อยเลยค่ะ
ถ้ากลัวเข้าไปแล้ว “ตลาดจะย่อ”... ควรทำยังไงดี?
ถ้ายังไม่มั่นใจว่าควรลงทุนด้วยเงินลงทุนก้อนใหญ่ในตอนนี้เลยดีไหม ไทรมีแนวทางเบื้องต้นมาแบ่งปันเป็นไอเดียง่าย ๆ ค่ะ:

• ทยอยลงทุน (DCA) : เพื่อลดโอกาส “เข้าผิดจังหวะ”

• แบ่งเงินออกเป็น 2–3 ก้อน: ลงทุนตอนนี้บางส่วน อีกส่วนเผื่อไว้ช่วงตลาดย่อตัวลง

• เลือกกองทุนที่กระจายความเสี่ยงได้ดี: เช่น Global Equity, Multi-Asset หรือ Thematic Fund ที่สามารถปรับพอร์ตตามสถานการณ์
เดือน “กรกฎาคม” อาจเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าทยอยลงทุน ด้วยแรงหนุนจากหลายปัจจัยทั้งเศรษฐกิจและโมเมนตัมของตลาด แต่ก็อย่าลืมว่า การลงทุนที่ดีต้องเริ่มจากความเข้าใจในความเสี่ยงของตัวเอง ค่อยๆ วางแผน และเลือกสินทรัพย์การลงทุนให้เหมาะสมกับเป้าหมายของเรานะคะ

#หุ้นสหรัฐNewHigh #ซื้อเลยหรือรอย่อดี #การวางแผนการลงทุน

03/07/2025

จากการแข่งขันกันอย่างดุเดือดของวงการสุกี้ ที่เริ่มมีการโต้ตอบกันด้วยราคา
จนทำให้เกิดปรากฎการณ์ยักษ์สุกี้ 2 เจ้า มาปะทะกันในช่วงเวลาเศรษฐกิจที่ท้าทาย
เพื่อดึงทั้งลูกค้าและรายได้
แต่เบื้องหลังสงครามครั้งนี้ เกิดจากการตอบโต้ของสุกี้ตี๋น้อยหรือไม่ ?
แล้วอนาคตของสุกี้ตี๋น้อยจะไปต่ออย่างไร ?
รวมไปถึงการเข้า IPO ในตลาดหลักทรัพย์จะอยู่ในอนาคตของสุกี้ตี๋น้อยด้วยหรือไม่ ?
พูดคุยเรื่องร้อนกับหม้อสุกี้เดือดๆ กับ คุณเฟิร์น นัทธมน พิศาลกิจวนิช , ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป จำกัด

ใน Cheers n' Chat กับ อาร์ท เอกรัฐ และ ไกด์ รัฐศักดิ์

#ถูกคอก็มาคุย #เพราะทุกประเด็นเป็นเรื่องแซ่บ #ทุกดีลธุรกิจปิดที่โต๊ะอาหาร #อาร์ทเอกรัฐ

เจาะโอกาสลงทุน 3 เหรียญเด่น ETH–SOL–B*Hหลังตลาด altcoin กลับมาคึกคักจับตา ETF- Fed ลดดอกเบี้ยหนุนครึ่งปีหลังในปัจจุบัน ป...
03/07/2025

เจาะโอกาสลงทุน
3 เหรียญเด่น ETH–SOL–B*H
หลังตลาด altcoin กลับมาคึกคัก
จับตา ETF- Fed ลดดอกเบี้ยหนุนครึ่งปีหลัง
ในปัจจุบัน ปัจจัยมหภาค ไม่ว่าจะเป็น การขยายตัวของกองทุนคริปโต (ETF) ต่างๆ ความสนใจจากนักลงทุนสถาบันที่เพิ่มขึ้น หรือคาดการณ์การปรับลดดอกเบี้ยของเฟด ก็ทำให้นักลงทุนจำนวนมากเริ่มหันกลับมาสนใจเหรียญอื่นๆ นอกเหนือจาก BTC (หรือ altcoin) กันมากขึ้น และทำให้มูลค่าตลาดรวมของ altcoin ฟื้นตัวขึ้นมาอยู่ที่ระดับ ใกล้ 1.2–1.3 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งนี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการหมุนเวียนเงินทุนเข้าสู่ตลาด altcoin รอบใหม่
โดยบทความนี้จะอัปเดตโอกาสและความท้าทายของ altcoin เด่น 3 ตัว ได้แก่ Ethereum (ETH), Solana (SOL) และ Bitcoin Cash (B*H) พร้อมนำเสนอมุมมองทางเทคนิคจากนักวิเคราะห์จากแพลตฟอร์ม Investing.com เพื่อช่วยให้นักลงทุนรับมือกับรอบตลาดคริปโตในปัจจุบัน
1. Ethereum (ETH)

แม้ว่า ETH จะยังถูกกดดันในช่วงนี้ โดยเฉพาะหลังจากที่ ก.ล.ต. สหรัฐฯ เลื่อนการพิจารณา ETF แบบที่ให้ผลตอบแทนจากการฝากเหรียญไว้กับระบบบล็อกเชน (เรียกว่า Staking) แต่เมื่อปีที่แล้ว Ethereum ก็ได้รับการอนุมัติให้มี ETF แบบ Spot ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญ และถ้าในอนาคต สามารถรวมระบบ staking เข้าไปด้วยได้ ก็จะยิ่งเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ช่วยให้ ETH เติบโตในระยะยาว นอกจากนี้ปัจจัยบวกอื่น ๆ ได้แก่ การใช้งานเครือข่ายที่เพิ่มขึ้น, การอัปเกรดโปรโตคอลล่าสุด, และแนวโน้มการขยายผลิตภัณฑ์ ETH สำหรับนักลงทุนสถาบันในช่วงครึ่งหลังของปี 2025
ในช่วงที่ผ่านมา ETH ได้ปรับตัวขึ้นหลังสงครามในตะวันออกกลางเริ่มผ่อนคลาย โดยสามารถอยู่เหนือระดับแนวรับ 2,430 ดอลลาร์ ได้สำเร็จ โดยนักวิเคราะห์มองว่า หากสามารถทะลุ 2,500 ดอลลาร์ได้ ก็อาจไปทดสอบระดับ 2,700 ดอลลาร์ และหากทะลุ 2,730 ดอลลาร์ได้ อาจพุ่งสู่ช่วง 3,000–3,400 ดอลลาร์
แต่หาก ETH หลุดระดับ 2,430 ดอลลาร์ และปรับลงต่อเนื่องต่ำกว่าค่าเฉลี่ย EMA 3 เดือนที่ 2,380 ดอลลาร์ ก็มีแนวโน้มจะร่วงลงสู่ระดับ 2,000 ดอลลาร์
2. Solana (SOL)

Solana กำลังได้รับความสนใจจากการเปิดตัว ETF แบบ Spot ที่มีผลตอบแทนจากการฝากเหรียญไว้ในระบบ (staking reward) ตัวแรกของโลกภายใต้ชื่อ REX-Osprey SOL+Staking ETF ในวันที่ 2 กรกฎาคม 2025 ซึ่งนับเป็นนวัตกรรมที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนรับผลตอบแทนทั้งจากราคา SOL และรายได้แบบ passive จากการ staking ในกองเดียว
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยพื้นฐานที่อ่อนแอ เช่น ปริมาณ stablecoin ที่ลดลง และรายได้ของเครือข่ายที่หดตัว ยังคงเป็นข้อจำกัดต่อความมั่นใจในระยะยาว
โดยนักวิเคราะห์มองแนวรับสำคัญอยู่ที่ 148 ดอลลาร์ ซึ่งหากสามารถยืนได้ ก็จะมีแนวต้านถัดไปที่ 165 ดอลลาร์, 183 ดอลลาร์ และ 202 ดอลลาร์ แต่หากราคาเคลื่อนไหวต่ำกว่า 148 ดอลลาร์ ก็มีโอกาสปรับฐานลงสู่โซน 130 ดอลลาร์
3. Bitcoin Cash (B*H)

B*H กลายเป็นหนึ่งใน altcoin ที่แข็งแกร่งที่สุดในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา โดยสามารถไต่ระดับขึ้นได้อย่างต่อเนื่องแม้ตลาดโดยรวมจะมีการย่อตัว
ทั้งนี้ แรงซื้อจากนักลงทุนและสัญญาณ divergence เชิงบวก สะท้อนว่า B*H อาจเป็นเหรียญที่น่าสนใจสำหรับนักเก็งกำไรระยะสั้น ส่วนแนวโน้มระยะยาวยังคงขึ้นอยู่กับภาพรวมเศรษฐกิจมหภาค
โดยนักวิเคราะห์มองว่า ถ้าราคาของ B*H สามารถปิดเหนือระดับ 544 ดอลลาร์ ได้ในกราฟรายสัปดาห์ (คือราคาตอนปิดวันอาทิตย์อยู่สูงกว่า 544 ดอลลาร์) แรงส่งอาจพาไปถึงระดับ 620 ดอลลาร์ และมีเป้าหมายระยะกลางที่ 720–840 ดอลลาร์ แต่หากไม่สามารถทะลุ 544 ดอลลาร์ ได้ นักลงทุนอาจแห่ขายทำกำไรและกดราคาลงสู่ระดับ 485 ดอลลาร์

#เหรียญคริปโต *H

03/07/2025

"คุณสู้ เราช่วย"
คำถามคาใจลูกหนี้ชั้นดี ฉันสู้แล้ว แต่ใครช่วย?

"ภาษี" ที่นักลงทุนควรรู้ก่อนลงทุนต่างประเทศปัจจุบันนักลงทุนหันไปลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น สหรัฐฯ จีน...
03/07/2025

"ภาษี" ที่นักลงทุนควรรู้
ก่อนลงทุนต่างประเทศ
ปัจจุบันนักลงทุนหันไปลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น สหรัฐฯ จีน เวียดนาม หรือยุโรป เพื่อเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับพอร์ต และช่วยกระจายความเสี่ยงจากเศรษฐกิจในประเทศ แต่ขณะเดียวกันการลงทุนในต่างประเทศก็มาพร้อมเรื่อง “ภาษี” ที่นักลงทุนควรเข้าใจให้ชัดเจน
เดิมกรมสรรพากรกำหนดว่าผู้ที่มีรายได้จากต่างประเทศ หากนำเงินกลับเข้าไทยในปีภาษีเดียวกันต้องนำรายได้นั้นมาคำนวณภาษี ทำให้ที่ผ่านมาหลายคนจึงเลือกชะลอการนำรายได้ที่เกิดในต่างประเทศกลับเข้าไทยหลังจากผ่านปีที่เกิดรายได้นั้นไปแล้ว เช่น รายได้เกิดขึ้นในปี 2565 แต่รอนำเข้าไทยในปี 2566
แต่หลังจากวันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป กรมสรรพากรได้ปรับหลักเกณฑ์ใหม่ โดยระบุว่า บุคคลธรรมดาที่พำนักอยู่ในประเทศไทยครบ 180 วันในหนึ่งปีภาษี หากมีรายได้จากต่างประเทศ และนำเงินเข้าประเทศเมื่อใด จะต้องนำรายได้นั้นมาคำนวณภาษีในปีที่โอนเข้าประเทศทันที ไม่ว่าจะเป็นปีเดียวกับที่มีรายได้หรือไม่ก็ตาม
ภาษีที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนต่างประเทศมีอะไรบ้าง?
1.ภาษีจากเงินปันผลหัก ณ ที่จ่าย (Cash Dividend Withholding Tax)

เงินปันผลจากหุ้นต่างประเทศจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายตามกฎหมายของแต่ละประเทศ เช่น หุ้นในสหรัฐฯ จะถูกหักภาษี 15% อย่างไรก็ตาม ไทยมี “อนุสัญญาภาษีซ้อน” กับหลายประเทศ ซึ่งช่วยให้สามารถนำภาษีที่จ่ายไปแล้วมาใช้เป็นเครดิตภาษีในไทยได้

2.ภาษีเงินได้จากการขายหลักทรัพย์ (Capital Gain Tax)

แม้บางประเทศ เช่น สหรัฐฯ หรือ ฮ่องกง จะไม่เก็บภาษีกำไรจากการขายหุ้นสำหรับนักลงทุนต่างชาติ แต่หากนักลงทุนนำกำไรกลับเข้ามาในประเทศไทย จะต้องนำกำไรมารวมเป็นเงินได้และเสียภาษีตามอัตราก้าวหน้าในไทย
3.ภาษีอื่น ๆ

บางตลาดหุ้นมีภาษีหรือค่าธรรมเนียมอื่นๆ ที่ต้องจ่ายเพิ่มเติม เช่น ภาษีขาขาย (Selling Tax), ค่าธรรมเนียมจากหลักทรัพย์ (SEC Fee), ค่าธรรมเนียมการถือครอง ADR, และภาษีอากรแสตมป์ (Stamp Duty) เป็นต้น
หากกำไรที่เกิดขึ้นเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน (FX Gain) เช่น อัตราแลกเปลี่ยนดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นเมื่อแลกกลับเป็นเงินบาท ส่วนต่างนี้ไม่ถือเป็นเงินได้ และไม่ต้องเสียภาษี
โดยสรุปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นรายได้จากเงินปันผลหรือกำไรจากการขายหุ้น หากเป็นรายได้จากต่างประเทศ เมื่อนำกลับเข้าประเทศไทยเมื่อใด ก็ต้องเสียภาษีทันที นักลงทุนจึงควรศึกษาอนุสัญญาภาษีซ้อนของประเทศที่ลงทุนไว้ และเก็บหลักฐานให้ครบ เพื่อใช้สิทธิเครดิตภาษีได้อย่างถูกต้อง เพราะการวางแผนภาษีล่วงหน้า จะช่วยให้คุณลงทุนได้อย่างมั่นใจ และรักษาผลตอบแทน “หลังหักภาษี” ให้คุ้มค่าในระยะยาว

#หุ้น #ลงทุนต่างประเทศ #วางแผนลงทุน #ภาษี #ภาษีลงทุนต่างประเทศ

ที่อยู่

Chamnan Penjati Building 2nd Fl. , Rama 9 Road , Huaykwang
Bangkok
10310

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Wealthy Thaiผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง Wealthy Thai:

แชร์

WEALTHY THAI | เกตเวย์สู่ความมั่งคั่ง

เรามุ่งหวังให้ข้อมูลที่นำเสนอ ช่วยให้คนไทยมีความรู้ สู่เส้นทางความมั่นคง และมั่งคั่ง ด้านความรู้ทางด้านการเงิน และการลงทุน

ด้วยเป้าหมายนำเสนอข้อมูล และความรู้การเงิน การลงทุน ให้เข้าถึงง่าย และน่าสนใจมากขึ้นเน้นรูปแบบการนำเสนอที่ผสมผสานระหว่างข้อมูลเชิงลึกที่น่าเบื่อ เข้าใจยาก กับความคิดสร้างสรรค์ และTrend การสื่อสารเข้าด้วยกัน

---

ส่งข่าวประชาสัมพันธ์ [email protected] ติดต่อโฆษณา [email protected]