Wealthy Thai สื่อที่มีความคิดสร้างสรรค์ ด้านการเงิน การลงทุน เพื่อนำเสนอข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือแก่นักลงทุน ติดต่อโฆษณา/สนับสนุน รบกวนติดต่อ : คุณมินตรา (เป้) 086-516-0092

หนี้ยุค… “Cashless Society” !!!Wealth EZ: ในยุคแรกๆ “การให้สินเชื่อ” ค่อนข้างลำบากมาก การจะได้รับเงินกู้ไม่ว่าจะเป็นเงิน...
21/09/2025

หนี้ยุค… “Cashless Society” !!!
Wealth EZ: ในยุคแรกๆ “การให้สินเชื่อ” ค่อนข้างลำบากมาก การจะได้รับเงินกู้ไม่ว่าจะเป็นเงินกู้บ้าน เงินกู้ส่วนบุคคล บัตรเครดิต หรือ เงินกู้ธุรกิจเพื่อรายย่อย เป็นต้น แต่ละสถาบันการเงินใช้เวลานานมากในการพิจารณาเครดิตของผู้กู้ ต่อมาการพิจารณาสินเชื่อมีพัฒนาการที่ดีและรวดเร็วขึ้นตามการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจและสังคม จนมาถึงยุคที่การแข่งขันระหว่างสถาบันการเงินสูงขึ้นมากๆ ทุกสถาบันการเงินมองเห็นตลาดลูกค้าบุคคล หรือ ธุรกิจรายย่อย เป็นแหล่งสร้างกำไร ทำให้ใครอนุมัติช้า อดได้ลูกค้าที่ดี
เราก้าวเข้าสู่ “ยุคดิจิทัล” หรือ “ยุค Cashless Society” ที่การกู้เงินสามารถเกิดขึ้นได้ผ่าน “Mobile Banking” ทำให้สามารถยื่นคำขอใช้บริการสินเชื่อกับสถาบันการเงินด้วยมือของท่านเอง และท่านจะแปลกใจมากๆ ที่ได้รับเงินในเวลาไม่เกิน 5 นาที เท่าที่ผู้เขียนพอทราบข้อมูลในส่วนของ “Alibaba (Ant Finance)” สามารถให้เงินกู้ลูกค้าบุคคลภายในเวลา 2 นาที ส่วนลูกค้าธุรกิจใช้เวลาประมาณ 3-5 นาที ขึ้นกับตัวแปรที่นำมาใช้ในการวิเคราะห์ การที่ Ant Finance สามารถทำได้เร็วขนาดนั้น เพราะมีการบริหาร “Big Data” ที่ใช้ AI มาวิเคราะห์ข้อมูลผ่าน Platform จนสามารถรู้ถึงพฤติกรรมของผู้กู้ ได้ดียิ่งกว่าผู้กู้รู้จักตัวเอง เพื่อนำมาคำนวณเป็น “Credit Scoring” นั่นเอง
“หลายๆ สถาบันการเงินเริ่มให้บริการ ‘สินเชื่อออนไลน์’ ผ่านมือถือแล้วตั้งแต่ช่วงกลางปี 2561 และในปี 2562 เป็นต้นมา ตลาดสินเชื่อออนไลน์ จะแข่งขันกันสูงขึ้น ทุกๆ สถาบันการเงินพยายามช่วงชิงลูกค้าเข้ามาไว้บน ‘Ecosystem’ ใครช้า ลูกค้าหายทันที”
ผู้เขียน มีทัศนคติในเชิงบวกเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะจะทำให้การเข้าถึงสถาบันการเงินสำหรับบุคคลที่มีพฤติกรรมที่ดีทางการเงินทำได้ง่ายและสะดวกมากขึ้น ดังนั้นการที่จะได้รับประโยชน์จาก “สินเชื่อออนไลน์” ระบบแบบแผนพฤติกรรมที่ดี ยังจำเป็นในการพิจารณาสินเชื่อ ดังนั้นพฤติกรรมที่ควรทำ และจะเป็นประโยชน์แก่ท่าน ในเบื้องต้นมีดังนี้
- “ผู้กู้” ควรต้องสร้างพฤติกรรมที่ดีทางการเงิน ผ่านการใช้บริการ “Mobile Banking” เพราะเท่ากับเป็นการสร้างเครดิตที่ดีต่อตัวผู้กู้ในระยะยาว พฤติกรรมที่ดี ย่อมถูกจัดเป็นลูกค้าระดับ Premium ที่จะได้รับข้อเสนอที่ดีเสมอจากสถาบันการเงิน
- “ผู้กู้” ที่มีพฤติกรรมที่ดี ผ่านเกณฑ์การวิเคราะห์ของ AI จากการเก็บรูปแบบพฤติกรรมการใช้บริการ Mobile Banking ในการทำธุรกรรมทางการเงิน และ ธุรกรรมการค้าบนมือถือ จะได้รับข้อเสนอที่ดีขึ้นมากๆ ทั้งในรูปวงเงินสินเชื่อ อัตราดอกเบี้ย และเงื่อนไขสินเชื่อต่างๆ ดีกว่ารูปแบบการปล่อยสินเชื่อแบบเดิมๆ เพราะ AI สามารถแปรผลการวิเคราะห์ออกมาได้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้กู้ และสามารถทราบถึงอัตราความเสี่ยงของการไม่ได้รับชำระหนี้ของลูกหนี้ทันที ทำให้สถาบันการเงินมีความมั่นใจในการสนับสนุนทางการเงินต่อท่านสูงมาก
- “ผู้กู้” ที่มีพฤติกรรมที่ดี จะเข้าถึงแหล่งเงินได้เร็วขึ้น ในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน หรือ ช่วงเปิดเทอม ในช่วงเวลาที่ท่านจำเป็นต้องใช้เงินเร่งด่วนจำนวนไม่มาก เช่น ค่าเทอมลูก ภรรยาเกิดอุบัติเหตุ พ่อแม่ป่วย จำเป็นต้องเข้าโรงพยาบาล เป็นต้น ท่านสามารถขอใช้บริการสินเชื่อผ่าน Mobile Banking ได้ทันที และเงินจะเข้าบัญชีท่านภายในเวลาไม่เกิน 2 นาที หรือเร็วกว่าในอนาคต
- “ผู้กู้” ที่มีพฤติกรรมทางการเงินที่ดี หรือ “Good Rating” ย่อมได้รับต้นทุนทางการเงินที่ถูกกว่า “Bad Rating”
- คนตัวเล็ก มีไอเดีย ธุรกิจเพิ่งเริ่ม สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนทางธุรกิจง่ายขึ้น และจะได้รับการตอบสนองทางการเงินเพื่อขยายธุรกิจ ผ่านการวิเคราะห์โดย AI ที่เข้าใจถึงรูปแบบธุรกรรมทางการเงินและการค้าของธุรกิจ ท่านจะได้เงินกู้เพื่อขยายธุรกิจในเวลาที่เหมาะสมและทันใจ
- จาก “ผู้กู้” สามารถเปลี่ยนเป็น “ผู้ลงทุน” ได้ทันที จากคำแนะนำของ “AI Agent” ที่พร้อมจะนำเสนอบริการทางการเงินในรูปแบบต่างๆ อาทิเช่น เงินฝาก ประกันชีวิต ประกันภัย กองทุน รวมถึง จัด Portfolio การลงทุน ให้กับท่าน เพราะ AI สามารถวางแผนการเงินได้สอดคล้องกับ Life Cycle และ Life Style และรูปแบบในอนาคต (หาก BOT อนุญาต) เมื่อท่านมีเงินเหลือ ท่านจะกลายเป็นผู้ปล่อยกู้เอง โดย AI ทำการ Matching ลูกค้าให้
อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนอยากฝากข้อคิดว่า “ยิ่งสินเชื่อได้ไว ต้องยิ่งระมัดระวังการใช้จ่ายและลงทุน”
ติดตามความรู้และข่าวสารสมาคมนักวางแผนการเงินไทย ได้ที่ LINE@cfpthailand, สมาคมนักวางแผนการเงินไทย Facebook Fanpage และ www.tfpa.or.th

#วางแผนสินเชื่อ #สินเชื่อออนไลน์ #หนี้ยุคCashlessSociety #การวางแผนการเงิน

21/09/2025

“ตราสารหนี้” vs “ตราสารทุน” ต่างกันยังไง?...รู้ไว้ ช่วยให้ “เลือกลงทุน” ได้ตรงใจ !!!

SIRI หุ้นอสังหาฯ ปันผลแรงยีลด์เฉียด 9% แม้กำไรปีนี้อาจหดตัวหุ้นปันผลสัปดาห์นี้ Wealthy Thai ขอหยิบยกหุ้นอสังหาฯ ที่ให้ผล...
21/09/2025

SIRI หุ้นอสังหาฯ ปันผลแรง
ยีลด์เฉียด 9% แม้กำไรปีนี้อาจหดตัว
หุ้นปันผลสัปดาห์นี้ Wealthy Thai ขอหยิบยกหุ้นอสังหาฯ ที่ให้ผลตอบแทนจากปันผลในระดับสูงเกือบ 9% อย่าง SIRI หรือ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) แม้แนวโน้มไตรมาส 3/68 และภาพรวมกำไรสุทธิในปี 2568 อาจไม่ได้เติบโตเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่นักวิเคราะห์มองว่าผลตอบแทนของ SIRI ยังน่าสนใจเมื่อเทียบกับ valuation ที่ไม่แพง
โดย SIRI เป็นหุ้นอสังหาฯ ปันผลสูงที่อยู่ในเรดาห์ของนักลงทุนเสมอ โดยบริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นปีละ 2 ครั้ง ทั้งนี้ เงินปันผลที่จ่ายรวมทั้งสิ้นในแต่ละปีจะมีจำนวนประมาณ 50% ของกำไรสุทธิ หลังจากหักเงินสำรองต่าง ๆ ทุกประเภทที่กฎหมายและบริษัทได้กำหนดไว้
ซึ่งหากนักลงทุนถือหุ้นตั้งแต่ปี 2563 จนถึงปัจจุบัน จะได้รับเงินปันผลทั้งหมด 10 ครั้ง ล่าสุดสำหรับงวดผลประกอบการ 1 ม.ค. - 30 มิ.ย. 68 บริษัทได้ประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาลในอัตราหุ้นละ 0.05 บาท และจ่ายเงินปันผลให้กับนักลงทุนไปแล้วในวันที่ 11 ก.ย. 68 ที่ผ่านมา
ส่วนเงินปันผลที่เหลืออีก 1 ครั้ง SIRI อาจจ่ายในอัตราหุ้นละ 0.09 บาท บนคาดการณ์ปันผลปี 2568 ที่นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) คาดว่าจะจ่ายในอัตราหุ้นละ 0.14 บาท คิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ในระดับสูง 8.9% ขณะที่ปี 2569 คาดการณ์ว่าบริษัทจะจ่ายปันผลในระดับ 0.15 บาท คิดเป็น Dividend Yield ที่ 9.6% เท่าเดิม
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการ นักวิเคราะห์คาดกำไรสุทธิไตรมาส 3/68 ที่ 1.0-1.1 พันล้านบาท ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้า ตามอัตราส่วนกำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ที่คาดลดลง ตาม price promotion ที่เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้มีโอกาสเห็นการทำ joint venture ทั้งในโครงการ low-rise และ condo ต่อเนื่อง โดยเป้าปี 2568 จำนวน 7 โครงการ ทำให้ยังมีโอกาสของ extra gain ที่เกิดขึ้นเมื่อขาย landbank เข้าโครงการ JV ในช่วงไตรมาส 3/68 และ 4/68 (ไตรมาส 1/68 รับรู้ extra gain เข้ามา 235 ล้านบาท) โดยไตรมาส 3/68 คาดรับรู้ extra gain ราว 75 ล้านบาท และในไตรมาส 4/68 ก็มีโอกาสรับรู้ extra gain ได้อีก ทั้งนี้ประมาณการใส่ extra gain เข้ามาในปี 2568 ที่ราว 400 ล้านบาท ซึ่งน่าจะใกล้เคียงกับที่จะเกิดขึ้นจริง
ฝ่ายวิเคราะห์คาด presale และ transfer ช่วงครึ่งหลังปี 2568 ปรับตัวดีขึ้น รวมถึงกำไรสุทธิครึ่งปีหลังคาดดีขึ้นเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก ตามการเปิดโครงการใหม่มาก และอาจมี extra gain เข้ามาทั้งการขายที่ดินเข้าโครงการ JV และการทยอยรับรู้กำไรที่จากการขาย The Standard Hotel
อย่างไรก็ตาม ยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2568 ของ SIRI ที่ 4.55 พันล้านบาท ลดลง 13% เมื่อเทียบกับปีก่อน ถึงแม้แนวโน้มกำไรปกติปีนี้มีโอกาส downside จากการโอน และอัตราส่วนกำไรขั้นต้นที่อาจต่ำกว่าคาด แต่ extra gain ที่จะเข้ามาในครึ่งปีหลังน่าจะช่วยจำกัด downside ของกำไรสุทธิได้
พร้อมคงคำแนะนำ “ซื้อ” และราคาเป้าหมายที่ 2 บาทต่อหุ้น โดยให้เป็นหนึ่งใน top pick จาก business direction ที่ยัง aggressive กว่ากลุ่มอสังหาฯ เป็นโอกาสของเพิ่ม market share ซึ่งเป็นผลดีในระยะยาว โดยราคาปัจจุบันซื้อขาย PER ปี 2568 ที่ 6.5 เท่า และคาด Dividend Yield สูง 8.9% มองผลตอบแทนน่าสนใจเมื่อเทียบกับ valuation ที่ไม่แพง
จากข้อมูลข้างต้น SIRI ยังคงเป็นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลสูง ขณะที่มูลค่าหุ้นอยู่ในระดับที่ไม่แพง สำหรับนักลงทุนที่สนใจ แนะนำให้พิจาณาข้อมูลอย่างรอบด้าน รวมถึงประเมินความเสี่ยงที่ตนเองรับได้ก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง

#หุ้น #หุ้นปันผล #แสนสิริ #หุ้นอสังหา #ลงทุน

รู้หรือไม่? “RMF-ทองคำ” มีกำไร...คำสั่ง “Switching” ช่วยได้ช่วยให้ “ทำกำไร” แบบไม่ผิดเงื่อนไข !!!Wealthy Way: หนึ่งในสิน...
21/09/2025

รู้หรือไม่? “RMF-ทองคำ” มีกำไร...
คำสั่ง “Switching” ช่วยได้
ช่วยให้ “ทำกำไร” แบบไม่ผิดเงื่อนไข !!!
Wealthy Way: หนึ่งในสินทรัพย์ที่ทำผลตอบแทนได้โดดเด่นในช่วง 2 ปี นี้ ต้องยกให้ “ทองคำ” ปีนี้ ราคาพุ่งขึ้นมาทำ “All Time High” ปัจจุบันอยู่ระดับ 3,658 ดอลลาร์/ทรอยออนซ์ YTD +39.35%, ย้อนหลัง 1 ปี +42.93% และย้อนหลัง 5 ปี +87.55% (ที่มา: tradingview.com, วันที่ 19 ก.ย. 25)
ดังนั้น ใครที่ลงทุนใน “ทองคำ” ไว้ ก็น่าจะทำผลตอบแทนกันไปได้ไม่มากก็น้อย
เช่นเดียวกับกลุ่ม “กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ” (RMF) ที่ลงทุนใน “ทองคำ” ก็มีผลงานที่ดีเช่นเดียวกัน ปีนี้ทำผลตอบแทนได้เฉลี่ย +25.26%, ย้อนหลัง 1 ปี +27.81%, ย้อนหลัง 3 ปี +18.81% ต่อปี, ย้อนหลัง 5 ปี +8.17% ต่อปี และย้อนหลัง 10 ปี +8.15% ต่อปี (ที่มา: morningstarthailand.com, ณ วันที่ 31 ส.ค. 25)
ใครที่ลงทุนใน “RMF-ทอง” ไว้ น่าจะมี “กำไร” กันถ้วนหน้ามากน้อยแตกต่างกันไป แต่ก็อดหวั่นใจไม่ได้ เพราะราคาทองก็วิ่งมาเร็วแรงเหลือเกิน จะไปต่อหรือพอแค่นี้? แล้วจะทำยังไงกับ “กำไร” นี้ดี
เพราะถ้ายังไม่อายุ 55 ปี และถือลงทุนต่อเนื่องไม่ถึง 5 ปี ก็ยัง “ขายไม่ได้” เดี๋ยวจะ “ผิดเงื่อนไข” การลงทุนไปอีก
แม้เงื่อนไขกองทุน “RMF” จะ “ห้ามขาย” ก่อนครบกำหนดเงื่อนไขภาษี (เพื่อประโยชน์ทางภาษี) แต่ได้ห้าม “ทำกำไร” แต่ประการใด และในทางตรงข้าม ก็ไม่ได้ห้าม “ป้องกันขาดทุนหนัก” ด้วยเช่นกัน
จะทำยังไงดีนั้น วันนี้ ทีมงาน ‘Wealthy Thai’ มีเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้มาฝากกัน
“RMF” ห้ามขายก่อนครบเงื่อนไข...แต่ไม่ได้ห้าม “ทำกำไร” หรือ “ปกป้องขาดทุนหนัก” แต่ประการใด
เชื่อว่านักลงทุนส่วนใหญ่ ทราบอยู่แล้วในเรื่อง “เงื่อนไขการลงทุน” ในกองทุน “RMF” เพื่อประโยชน์ทางภาษีต้องลงทุนต่อเนื่อง 5 ปี ขึ้นไป และจะขายได้เมื่ออายุ 55 ปี
ปัญหาที่นักลงทุนส่วนใหญ่พบระหว่างทางที่ลงทุน คือ เมื่อ “มีกำไร” แล้วจะทำยังไง? ในทางตรงข้ามถ้า “ขาดทุน” แล้วจะจัดการยังไงดี?
คำตอบ คือ “RMF” ไม่ได้ห้ามคุณ “ทำกำไร” หรือ “ป้องกันขาดทุนหนัก” ให้พอร์ตการลงทุน RMF ของตัวเองแต่ประการใดนะ เขาแค่ “ห้ามขาย”
แต่นักลงทุนสามารถทำการ “สับเปลี่ยนหน่วยลงทุน” (Switching) ระหว่างกองทุน “RMF” ด้วยกันได้ โดย “ไม่ผิดเงื่อนไข” แต่ประการใด เพราะการ “Switching” ไม่ใช่การขาย เมื่อไม่ขาย ก็ไม่ผิดเงื่อนไข และนี่คือ “กุญแจสำคัญ” ที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถบริหารพอร์ต RMF ได้ระหว่างที่ลงทุนนั่นเอง
โดยคำสั่ง “Switching” จะทำการโอนหน่วยจาก “กองทุนต้นทาง” ไปเข้า “กองทุนปลายทาง” ตามที่นักลงทุนต้องการ ถ้า RMF ที่ลงทุนอยู่มี “กำไร” อยากทำกำไร ก็ Switching จาก RMF ที่มีกำไร ออกไปไว้ใน RMF อีกกองเพื่อล็อกกำไรเอาไว้นั่นเอง
ในทางตรงข้าม หาก “RMF” ที่ลงทุน “ขาดทุนหนัก” และอยาก “ป้องกันขาดทุน” ก็ “Switching” ออกจากกองทุน RMF ที่ขาดทุน ไปสู่ RMF อื่นๆ ที่มีโอกาสดีกว่า หรือจะไปพักไว้ที่ RMF-ตราสารตลาดเงินก่อนเพื่อรอจังหวะลงทุนที่ดีกว่าก็ได้เช่นกัน
“RMF-ทอง” มีกำไร...ทำยังไงดี?
ดังนั้น “RMF-ทองคำ” หากลงทุนแล้ว “มีกำไร” และอยาก “ทำกำไร” มาเก็บไว้ให้อุ่นใจก็สามารถทำได้เลยผ่านคำสั่ง “Switching” นั่นเอง จะ Switching บางส่วน หรือทั้งหมดก็ได้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการ “ทำกำไร” โดยไม่ผิดเงื่อนไขแต่ประการใด ขอยกมาให้ดู 3 กรณี ได้แก่
- ปกติ “ทองคำ” แนะนำให้มีติดพอร์ตไว้ไม่เกิน 10 – 15% ถ้ากำไรทองคำทำให้สัดส่วน “RMF-ทอง” เพิ่มขึ้นเกินสัดส่วน ก็ปรับพอร์ตล็อกกำไรออกมา เพื่อคงสัดส่วนไว้เท่าเดิม ด้วยการ “สับเปลี่ยนหน่วยลงทุน” (Switching) ไปไว้ในกลุ่ม “RMF-ตราสารตลาดเงิน”
- ถ้าจัดสัดส่วน “ทองคำ” ไว้ในพอร์ตแล้ว ยังเหลือระยะเวลาการลงทุนอีกนานกว่าจะเกษียณ และมองว่าราคาทองคำระยะยาวจากนี้ไปจนถึงวันเกษียณ น่าจะขึ้นมากกว่าลง ก็ถือไปเรื่อยๆ ไม่ต้องทำอะไร
- ใกล้เกษียณจะครบเงื่อนไขการลงทุน “RMF” มีกำไร อยาก “ล็อกกำไร” เอาไว้ก่อน ก็ทำได้เลย โดย “สับเปลี่ยนหน่วยลงทุน” (Switching) ล็อกเอากำไร มาไว้ในกลุ่ม “RMF-ตราสารตลาดเงิน” แทน
“การ Switching ไปสู่ ‘RMF-ตราสารตลาดเงิน’ ซึ่งมีความเสี่ยงต่ำสุดนั้น เหมาะใช้เป็นจุด ‘พักเงิน’ จะช่วยเก็บกำไรจากทองคำที่คุณทำไว้ได้เป็นอย่างดี จะเก็บไว้ถาวร หรือจะเก็บไว้รอจังหวะในการ Switching เพื่อกลับไปลงทุนใน RMF อื่นๆ ที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าในอนาคตก็ได้ เพราะเวลา Switching ออกจาก RMF-ตราสารตลาดเงิน จะใช้เวลาน้อยสุด T+1 เท่านั้นเอง”
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นกับมุมมองของนักลงทุนเองที่มีต่อ “ราคาทองคำ” และ “ระยะเวลาการลงทุน” ตลอดจน “การจัดสรรเงินลงทุน” ของตัวนักลงทุนเองว่าเป็นยังไงด้วยเช่นกัน แต่ปกติแนะนำให้มีในพอร์ตไม่เกิน 10 – 15% เพื่อกระจายความเสี่ยงเป็นสำคัญ เพราะทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีปันผล เคลื่อนไหวตามดีมานด์-ซัพพลาย และยังมีปัจจัยที่มีผลกระทบกับราคาหลากหลายทั้งค่าเงินดอลลาร์, ดีมานด์-ซัพพลายในตลาดโลก, ความต้องการถือครองของธ.กลาง, เงินลงทุนจากกองทุนทองคำ หรือความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาตร์โลก เป็นต้น ซึ่งการเคลื่อนไหวของราคา “ทองคำ” ในแต่ละช่วงจะถูกกำหนดด้วยปัจจัยต่างๆ ในสัดส่วนที่ต่างกันออกไป ตรงนี้จึงขึ้นกับกลยุทธ์และมุมมองของตัวผู้ลงทุนเองเป็นสำคัญ
เพราะ “RMF” เป็นกองทุนที่มีเป้าหมายเพื่อเกษียณ มีระยะเวลาการลงทุนยาว ภาครัฐจึงให้มีการลงทุนได้หลากหลายสินทรัพย์ เพื่อใช้ในการจัดพอร์ตและบริหารให้เหมาะสมกับภาวะตลาดในแต่ละช่วงที่เปลี่ยนไปได้ด้วยนั่นเอง แม้จะ “ห้ามขาย” แต่ไม่ได้ห้าม “ทำกำไร” หรือ “ปกป้องขาดทุนหนัก” แต่ประการใด

#กองทุน ีกำไรทำไงดี #ทำกำไรกองทุนRMF

20/09/2025

“บลน.” ครึ่งแรกปี25 แข่งเดือด มีเพียง 57% ที่โชว์ "กำไรเพิ่มขึ้น"...“บลูเบลล์” แชมป์กำไรโตสุด +192.76% ส่วน “ฟินโนมีนา” แชมป์กำไรมากสุด 30.07 ลบ. !!!
#กองทุน ันละนิด

20/09/2025

4 “หุ้นจีน” (Tencent-Alibaba- Xiaomi-Baidu) ห้ามพลาด!...สำหรับนักลงทุนไทย “มือใหม่” ลงทุนง่ายๆ ผ่าน “DR” !!!

TKN ยังน่าซื้ออยู่ไหม?6 เดือนราคารูดแล้ว 31%โบรกฯ ประสานเสียง “เป็นกลาง”มองขยายตลาด หนุนยอดขายครึ่งหลังแกร่งราคาหุ้น บริ...
20/09/2025

TKN ยังน่าซื้ออยู่ไหม?
6 เดือนราคารูดแล้ว 31%
โบรกฯ ประสานเสียง “เป็นกลาง”
มองขยายตลาด หนุนยอดขายครึ่งหลังแกร่ง
ราคาหุ้น บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TKN ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา โดยวันที่ 19 ก.ย.68 ราคาหุ้นปิดตลาดที่ระดับ 5.80 บาท ลดลง 4.13% จากวันก่อนหน้า ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ 95.58 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม หากนับช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาราคาหุ้นปรับตัวลดลงไปแล้ว 30.95% จากระดับ 8.40 บาท ณ วันที่ 19 มี.ค. 68
โดยคาดว่าปัจจัยที่กดดันราคาหุ้น TKN มาจากผลประกอบการที่อ่อนตัว ทั้งจากการบริโภคในประเทศและการส่งออกจีนที่ฟื้นตัวช้า ขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์สูงขึ้นกดดันอัตรากำไร อีกทั้งการลงทุนขยายตลาดใหม่ยังไม่สร้างรายได้ชัดเจน และการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น ทำให้แนวโน้มการเติบโตชะลอตัว ส่งผลให้นักลงทุนกังวลต่อการฟื้นตัวระยะสั้น
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์มีมุมมองค่อนข้างเป็นกลางสำหรับ TKN โดยประเมินว่าการขยายตลาดต่างประเทศ รวมถึงการร่วมมือกับพันธมิตรในประเทศ และการสร้างโกดังเก็บสาหร่าย จะช่วยหนุนการเติบโตและลดความผันผวนของต้นทุนในระยะยาว
ทั้งนี้ บทวิเคราะห์จาก บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุ TKN ประกาศจัดตั้งบริษัท พีที เถ้าแก่น้อย ฟู้ด อินโดนีเซีย ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ถือหุ้นทั้งหมด เพื่อดำเนินธุรกิจนำเข้า ซื้อขาย และจัดจำหน่ายสินค้าของ TKN และผู้ผลิตรายอื่นในประเทศอินโดนีเซีย เงินลงทุนเริ่มต้นอยู่ที่10 พันล้านรูเปียห์อินโดนีเซีย (19.2 ล้านบาท)
โดยมองว่าเป็นไปตามที่ผู้บริหารเคยแจ้งในการประชุมนักวิเคราะห์ครั้งล่าสุดว่า บริษัทต้องการกระจายความเสี่ยงจากผลิตภัณฑ์สาหร่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ เนื่องจากราคาวัตถุดิบสาหร่ายที่ปรับตัวสูงขึ้นนอกจากนี้สินค้าที่นำเข้าควรจะมีระดับพรีเมียมลดลงและมุ่งเป้าไปที่ช่องทางจำหน่ายแบบดั้งเดิม
ขณะที่ บล.กรุงศรี มองว่าการเคลื่อนไหวนี้เป็นไปในเชิงบวก เนื่องจากคิดว่านี่อาจเป็นโอกาสสำหรับ TKN ในการเพิ่มยอดขาย แม้ว่าจะยังไม่มีการให้แนวทางในเรื่องของยอดขายและผลกำไรในขณะนี้ก็ตาม
อย่างไรก็ตาม ยังคงคำแนะนำ “NEUTRAL” และราคาเป้าหมายที่ 6.00 บาท โดยเชื่อว่า TKN ยังคงเผชิญความท้าทายจากราคาสาหร่ายที่เพิ่มขึ้นในปี 2568 เนื่องจากความต้องการสาหร่ายเติบโตเร็วกว่าอุปทานเพราะสาหร่ายสามารถเพาะปลูกได้เฉพาะในจีนเกาหลีและญี่ปุ่นเท่านั้น อย่างไรก็ตาม อัตราส่วน P/E ปี 2568 ที่ 17.1 เท่าต่ากว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ -0.8SD ซึ่งบ่งชี้ว่าแนวโน้มที่ท้าทายได้ถูกสะท้อนในราคาไปแล้ว
ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด ระบุว่า มีความเห็นเป็นกลางต่อประเด็นที่ผู้บริหาร TKN ให้ข้อมูลถึงยอดขายในครึ่งหลังปี 2568 ที่คาดว่าจะดีกว่าครึ่งแรกปี 2568 โดยตลาดในประเทศ ที่มีสัดส่วนรายได้ 43.9% จะเน้นสาหร่ายแบบโรย และอบ และจะใช้ดารามาช่วยประชาสัมพันธ์ และการร่วมมือพัฒนาผลิตภัณฑ์กับ CHAO และ MAJOR จะเป็นแรงช่วยอีกทางหนึ่ง
ขณะที่ตลาดต่างประเทศ สัดส่วนรายได้ 56.1% โดยมีจีนเป็นตลาดหลักจะเริ่มเจาะ Online มากขึ้น และจะขยายช่องทางกับ snack store เบอร์ 1 ของจีน Lin Shi Hen Mang และ Zhao Yi Ming ซึ่งมีหน้าร้านมากกว่า 16,000 ร้าน คาดว่าจะเริ่มภายในไตรมาส 4/68 ส่วนตลาดอินโดนีเซีย จะเจาะตลาดใหม่แบบ Traditional Trade (TT) จะจับมือกับผู้ประกอบการในประเทศ ส่วนตลาดสหรัฐดีกว่าที่คาดไว้ว่าจะโดนภาษี 36% ทำให้เจรจาปรับราคาได้ง่ายขึ้น
นอกจากนี้ โกดังแบบเย็นจะสร้างเสร็จในไตรมาส 1/69 จะทำให้ TKN จะเก็บสาหร่ายได้ยาวนาน 12 เดือน ช่วยลดความผันผวนของราคาวัตถุดิบได้มากขึ้น ด้วยโมเมนตัมเชิงบวกของในประเทศ และการแก้ปัญหาในตลาดต่างประเทศ รวมถึงต้นทุนสาหร่ายในไตรมาส 3/68 เริ่มต่ำกว่าครึ่งแรกปี 2568 คาดว่ากำไรสุทธิในครึ่งหลังปี 2568 มีแนวโน้มจะฟื้นตัวได้อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ ให้ราคาเป้าหมาย TKN ที่ 6.40 บาท

#หุ้น #คลินิกแก้พอร์ต #เถ้าแก่น้อย #ราคาหุ้น #ลงทุน

“SCBBLNE” ลุย “หุ้นสหรัฐ” อย่างมีสไตล์...จัดพอร์ตเหมือน “เศรษฐีระดับโลก” !!!กองทุนติดดาว: กลับมาอีกครั้งกับคอลัมน์ประจำส...
20/09/2025

“SCBBLNE” ลุย “หุ้นสหรัฐ” อย่างมีสไตล์...
จัดพอร์ตเหมือน “เศรษฐีระดับโลก” !!!
กองทุนติดดาว: กลับมาอีกครั้งกับคอลัมน์ประจำสัปดาห์อย่าง “กองทุนติดดาว” กองทุนที่ได้เรทติ้ง “Morningstar 5 ดาว” จัดเป็นกองทุนหัวกะทิที่มี ‘ผลตอบแทนปรับด้วยความเสี่ยง’ (Risk-adjusted returns) ดีสุด 10% แรกของกลุ่ม ตามสูตรลับเฉพาะของคนกลางอย่าง “Morningstar” ซึ่งเป็นองค์กรที่จัดอันดับกองทุนรวมที่ได้รับการยอมรับจากนักลงทุนทั่วโลก
ครั้งนี้เป็นกองทุนในกลุ่ม “US Equity” ที่มีจุดเด่นเน้นลงทุน “หุ้นสหรัฐ” โดยจัดสัดส่วนการลงทุนให้เหมาะกับสภาวการณ์ในแต่ละขณะเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีและเป็นการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
ที่สำคัญเป็นการลงทุนในพอร์ตหลักเช่นเดียวกับนักลงทุนระดับ “มหาเศรษฐีแนวหน้า” ที่ประสบความสำเร็จจากการลงทุนมาอย่างยาวนานอีกด้วย
เป็นการลงทุนในหุ้นตามแบบดัชนี “IBillionaire” ซึ่งนักลงทุนทั่วไปไม่สามารถลงทุนในดัชนีได้โดยตรง จึงถือเป็นโอกาสที่น่าสนใจจะเรียกว่าลงทุนตามรอย “เศรษฐีระดับโลก” ก็คงไม่ผิดนัก
เส้นทางที่ง่ายกว่า...คือตามรอยคนที่ประสบความสำเร็จมาแล้วนั่นเอง !!!
วันนี้ ทีมงาน ‘Wealthy Thai’ มี “กองทุนหุ้นสหรัฐ” ที่น่าสนใจ ดีกรี “กองทุน 5 ดาว” จากทาง “Morningstar” มาฝากกัน
“SCBBLNE” ลงทุน “หุ้นสหรัฐ” จัดพอร์ตเหมือน “เศรษฐีระดับโลก”
สำหรับกองทุนรวมที่คัดมาแนะนำกันในครั้งนี้ มีชื่อว่า “SCBBLNE: กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ บิลเลียนแนร์ (ชนิดช่องทางอิเล็กทรอนิกส์)” บริหารจัดการโดย ‘บลจ.ไทยพาณิชย์’ มีความเสี่ยง “ระดับ 6” (เสี่ยงสูง) เริ่มต้น Class เมื่อวันที่ 11 ก.พ. 2565 มีนโยบายลงทุน “หุ้นสหรัฐ” โดยจัดสัดส่วนการลงทุนให้เหมาะกับสภาวการณ์ในแต่ละขณะเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีและเป็นการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
โดยจะกระจายการลงทุนด้วยกลยุทธ์ลงทุนในหุ้น 30 ตัว ด้วยน้ำหนักลงทุนที่เท่ากัน (Equal-weighted approach) ตามแบบดัชนี “IBillionaire” ซึ่งนักลงทุนทั่วไปไม่สามารถลงทุนในดัชนีได้โดยตรง โดยทาง “IBillionaire Inc.” จะคัดเลือกหุ้นสหรัฐที่มีมูลค่าตลาดมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ และคัดเลือกรายชื่อนักลงทุน 10 ราย ที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ แล้วคัดเลือกหลักทรัพย์ที่นักลงทุนดังกล่าวเลือกลงทุน 30 บริษัท มาเป็นองค์ประกอบของดัชนี โดยเลือกจากหุ้นที่มีการจัดสรรสูงที่สุด 30 อันดับแรกในพอร์ตลงทุนของนักลงทุนที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ดังกล่าวนั่นเอง
หน้าตาพอร์ต...สไตล์ “หุ้นใหญ่” ที่เป็น “หุ้นเติบโต”
จากนโยบายลงทุนทำให้หน้าตาหุ้นในพอร์ตของกอง ‘SCBBLNE’ มีบุคลิกของหุ้นสไตล์ “หุ้นใหญ่” ที่เป็น “หุ้นเติบโต” (Growth) เป็นสำคัญ
สำหรับหน้าตาพอร์ต (ณ วันที่ 31 ก.ค. 25) นั้น พบว่า 5 กลุ่มอุตสาหกรรมที่ลงทุนมากสุด ประกอบด้วย
- G SOFTWARE&SER 33.95%

- G RETAILING 12.64%

- G CAPITAL 7.31%

- G UTILITIES 6.85%

- G CONSUMERSER 6.30%
“โดย 5 หุ้นที่ลงทุนมากสุด ได้แก่ 1) ORACLE CORP 4.31%, 2) GE VERNOVA INC. 3.93%, 3) NVDIA CORP 3.70%, 4) VISTRA CORP. 3.65% และ 5) BROADCOM INC. 3.41% ตามลำดับ”
“ด้านผลการดำเนินงานของกองทุน ‘SCBBLNE’ ตั้งแต่จัดตั้งกองทุน (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ก.ค. 25) เฉลี่ยอยู่ที่ 6.46% ต่อปี (ดัชนีชี้วัด 6.67% ต่อปี) ขณะที่ความผันผวนของผลการดำเนินงานเฉลี่ยอยู่ที่ 24.16% ต่อปี (ดัชนีชี้วัด 24.98% ต่อปี) อย่างไรก็ดีในช่วง 5 ปีย้อนหลังกองทุนเคยมีผลขาดทุนสูงสุด (Maximum Drawdown) อยู่ที่ -34.99%”
เงินลงทุนขั้นต่ำ “ครั้งแรก” และ “ครั้งถัดไป” เพียง 1 บาท เท่านั้น
นักลงทุนที่กำลังสนใจกองดังกล่าวก็สามารถลงทุนโดยใช้เงินลงทุนขั้นต่ำใน “การซื้อครั้งแรก” และ “ครั้งถัดไป” อยู่ที่ 1 บาท เท่านั้น ส่วนการขายคืนขั้นต่ำและยอดคงเหลือก็จะอยู่ที่ 1 บาท เช่นเดียวกัน โดยเงื่อนไขการได้รับเงินค่าขายคืนอยู่ที่ 2 วันทำการนับจากวันทำรายการขายคืน (T+2)
สำหรับรายละเอียดการซื้อขายในปัจจุบันจะสามารถทำได้ทั้งผ่านช่องทางออฟไลน์อย่าง ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนไทยพาณิชย์ จํากัดหรือผู้สนับสนุนการขายหรือรับซื้อคืนที่บริษัทแต่งตั้งขึ้นและยังมีช่องทางออนไลน์ที่สามารถทำได้ผ่านแอพพลิเคชั่น SCB EASY
สำหรับใครที่ยังชอบ “หุ้นสหรัฐ แต่ไม่รู้จะเลือกลงทุนหุ้นอะไรดีนั้น การลงทุนตามรอบ “เศรษฐีระดับโลก” ก็อาจเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ได้เช่นกัน การเดินตามรอยคนที่ประสบความสำเร็จ...อาจจะเป็นเส้นทางที่สั้นกว่าที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จได้เช่นกัน
ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันผลการดำเนินงานในอนาคต ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจ ลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

#กองทุน #กองทุนติดดาว #กองทุนหุ้นสหรัฐ #ไทยพาณิชย์

“บลน.” ครึ่งแรกปี25 แข่งเดือด มีเพียง 57% ที่โชว์ "กำไรเพิ่มขึ้น"...“บลูเบลล์” แชมป์กำไรโตสุด +192.76%ส่วน “ฟินโนมีนา” แ...
19/09/2025

“บลน.” ครึ่งแรกปี25 แข่งเดือด มีเพียง 57% ที่โชว์ "กำไรเพิ่มขึ้น"...
“บลูเบลล์” แชมป์กำไรโตสุด +192.76%
ส่วน “ฟินโนมีนา” แชมป์กำไรมากสุด 30.07 ล้านบาท !!!
สาระ Fund วันละนิด: วันนี้จะพามาส่องผลประกอบการของ “บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน” (บลน.) ในช่วงครึ่งแรกปี2025 กัน ซึ่งจะรวมถึง “บริษัทหลักทรัพย์” (บล.) ที่มีโมเดลในการเปิดธุรกิจนายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุนด้วยเช่นกัน
สมรภูมินี้ถือว่า “ไม่ง่าย” และแข่งขันกันดุเดือดไม่แพ้ธุรกิจ “บลจ.” ทำให้มี “บลน.” เพียงไม่กี่รายที่เป็นเจ้าตลาดและทำธุรกิจมีกำไรได้
ช่วงครึ่งปีแรกปี25 “ธุรกิจกองทุนรวม” มีสินทรัพย์สุทธิกว่า 6 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย +1.45% จากสิ้นปีก่อน
“บลน.” 7 แห่ง ในช่วงครึ่งแรกปี25 ทำกำไรได้ 25.52 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +13.73% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่มีบลน.เพียง 4 แห่ง คิดเป็น 57% เท่านั้น ที่มี “กำไรเพิ่มขึ้น” ส่วนที่เหลือยัง “ขาดทุน”
ผลงานของ “บลน.” และ “บล.” (ที่ขายกองทุน) ทั้ง 7 แห่งในช่วงครึ่งแรกปี25 เป็นไงบ้างนั้น ทีมงาน ‘Wealthy Thai’ สรุปเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ตามไปดูพร้อมๆ กันได้เลย
“บลน.” แข่งเดือด ครึ่งแรกปี25 มีเพียง 57% โชว์ “กำไรเพิ่มขึ้น”...“บลูเบลล์” แชมป์กำไรโตสุด +192.76%
จากการสำรวจของทีมงาน ‘Wealthy Thai’ ส่องผลงานเหล่า “บลน.” และ “บล.” (ที่ขายกองทุน) ชั้นนำในอุตสาหกรรมทั้ง 7 แห่ง ช่วงครึ่งแรกปี25 พบว่า ทำกำไรได้เฉลี่ย 25.52 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +13.73% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่มีบลน.เพียง 4 แห่ง คิดเป็น 57% เท่านั้น ที่มี “กำไรเพิ่มขึ้น” ส่วนที่เหลือยัง “ขาดทุน”
สำหรับ 4 “บลน./บล.” ที่มี “กำไรเติบโต” สูงสุดช่วงครึ่งแรกปี25 ประกอบด้วย
1) “บล.บลูเบลล์” มีกำไร 22.63 ล้านบาท +192.76%

2) “อมุนดิ” พลิกกลับมามีกำไร 3.33 ล้านบาท +129.42%

3) “บล.ไพน์ เวลท์ โซลูชั่น” กำไร 10.26 ล้านบาท +34.65%

4) “ฟินโนมีนา” กำไร 30.07 ล้านบาท +18.57%
“ทั้ง 4 แห่ง มีกำไรรวมกันถึง 66.29 ล้านบาท สูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่ม และยังมีการเติบโตที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มด้วยเช่นกัน ซึ่งถือเป็น ‘ผู้เล่นหลัก’ ใน ‘ธุรกิจขายกองทุน’ ในปัจจุบันนั่นเอง”
ส่วน 3 “บลน./บล.” ที่มี “ขาดทุนเพิ่มขึ้น” สูงสุดช่วงครึ่งแรกปี25 ประกอบด้วย
1) “บล.อพอลโล่ เวลธ์” ขาดทุน 35.47 ล้านบาท -1,365.70%

2) “บล.เวลธ์ เมจิก” ขาดทุน 3.83 ล้านบาท -17.48%

3) “บล.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์” ขาดทุน 1.47 ล้านบาท -15.75%
“สำหรับ ‘บล. (ที่ขายกองทุน)’ ด้วยนั้นจะมีธุรกิจอื่นๆ ในมือด้วย ซึ่งโมเดลธุรกิจของแต่ละแห่งในรายละเอียดอาจจะแตกต่างกันไป แต่หลักๆ จะเป็น “การขายหุ้นกู้” (ใบอนุญาตประเภท ข.) กับ “ขายกองทุน” (ใบอนุญาตประเภท ง) เป็นสำคัญ”
เมื่อ “ธุรกิจกองทุนรวม” มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง “กองทุน” มีความหลากหลายมากขึ้น นักลงทุนเองก็มองหาทางเลือกที่จบครบในที่เดียว มีกองทุนให้เลือกหลากหลาย มีผู้แนะนำการลงทุน มีแอพพลิเคชั่นที่อำนวยความสะดวก เป็นปัจจัยหนุนให้ “ธุรกิจขายกองทุน” ทั้ง “บลน./บล.” เติบโตไปด้วยเช่นกัน แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกแห่งจะประสบความสำเร็จ สะท้อนผ่านข้อมูลชัดเจนว่ามี “ผู้เล่นหลัก” ที่ช่วงชิงเค้กก้อนนี้ได้เพียงไม่กี่แห่งเท่านั้นในปัจจุบัน และยังเป็นตลาดที่ “แข่งขันดุเดือด” อีกตลาดหนึ่งเลยทีเดียว

#กองทุน ันละนิด #บลน #งบบลน.ครึ่งแรกปี25 #ธุรกิจขายกองทุน

19/09/2025

เปิดวิธีสู้ "สินค้าจีน" ของ สินค้านวัตกรรมไทย
วันนี้ประเทศไทยไม่สามารถแข่งสินค้าในราคาถูกได้อีกต่อไป ทำให้สินค้าที่จะขับเคลื่อนประเทศหลังจากนี้ คือ สินค้านวัตกรรม ที่ต่อยอดมูลค่า และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน
แต่สินค้านวัตกรรมไม่ได้ขายแค่นวัตกรรม
เพราะในชีวิตจริงของผู้ประกอบการต้องมีทักษะด้านการตลาดในการสื่อสารคุณค่าไปยังลูกค้า
จึงทำให้ช่องทางออนไลน์เข้ามามีส่วนสำคัญจนมีโครงการที่ประสบความสำเร็จอย่าง Innomall ที่เป็นเวทีพัฒนาศักยภาพสินค้านวัตกรรมที่ครอบคลุมทั้งทักษะการตลาดดิจิทัล
เบื้องหลังความสำเร็จของโครงการนี้ จะเป็นอย่างไร ? ร่วมพูดคุยกับ คุณ วรวุฒิ สายบัว กรรมการสมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทย และ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แบรนด์นิสต้า จำกัด ใน Wealthy Talk

#แบรนด์นิสต้า

เปิดลิสต์ 3 กลุ่ม REIT เสี่ยงต่ำ–สูงโอกาสสร้างผลตอบแทนยุคดอกเบี้ยขาลงสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ไม่มาก และต้องการร...
19/09/2025

เปิดลิสต์ 3 กลุ่ม REIT เสี่ยงต่ำ–สูง
โอกาสสร้างผลตอบแทนยุคดอกเบี้ยขาลง
สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ไม่มาก และต้องการรายได้อย่างสม่ำเสมอ การลงทุนในทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Investment Trust : REITs) นับเป็นหนึ่งในทางเลือกที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในช่วงอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ทำให้ส่วนต่างผลตอบแทนระหว่างกอง REITs กับการลงทุนในพันธบัตรรับบาลและเงินฝากสูง
โดยนักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งแรกปี 2568 เติบโต 3.0% ซึ่งสูงกว่า 1.9% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีปัจจัยหลักมาจากการลงทุนภาครัฐและการเร่งส่งออกสินค้าก่อนที่สหรัฐฯ จะเริ่มมาตรการเก็บภาษีนำเข้าจากไทยในอัตรา 19% มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ธปท. คาดว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวลงเหลือ 1.6% ในช่วงครึ่งปีหลัง เนื่องจากการส่งออกจะลดลง ทำให้ภาพรวมการเติบโตของ GDP ทั้งปี 2568 อยู่ที่ 2.3% และคาดว่าจะชะลอตัวลงในปี 2569 เป็น 1.7% เนื่องจากผลกระทบจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ และการเติบโตที่ช้าลงของประเทศคู่ค้าหลักอย่างสหรัฐฯ และจีน
นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อก็อยู่ในระดับต่ำที่ 0.5% ในปี 2568 และ 0.8% ในปี 2569 ซึ่งต่ำกว่ากรอบเป้าหมายของธปท. ที่ 1-3% ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำ Krungsri Securities คาดว่า ธปท. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 1-2 ครั้ง ทำให้ดอกเบี้ยอยู่ที่ 1.00-1.25% ภายในครึ่งแรกปี 2569
การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่คาดว่าจะเกิดขึ้นนั้น จะทำให้ส่วนต่างของผลตอบแทนระหว่างเงินปันผลจากกอง REITs กับการลงทุนอื่นๆ เช่น พันธบัตรรัฐบาลและเงินฝากธนาคารสูงขึ้น ส่งผลให้กอง REITs น่าสนใจมากขึ้นสำหรับนักลงทุนที่มองหาผลตอบแทนสม่ำเสมอ
ฝ่ายวิเคราะห์ได้คัดเลือกกอง REITs ที่ให้อัตราผลตอบแทนที่แท้จริง (real yield) มากกว่า 5% และมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (market cap) 3-5 พันล้านบาท และจัดกลุ่มออกเป็นสามธีม ดังนี้
1.ความเสี่ยงต่ำ, ผลตอบแทนต่ำ คือ INETREIT ซึ่งเป็นเจ้าของสินทรัพย์แบบผสมระหว่างกรรมสิทธิ (freehold 42%) และสิทธิการเช่า (leasehold 58% สัญญาสิ้นสุด 31 ธ.ค. 2588) ลงทุนในศูนย์ข้อมูลของ INET เฟส 1 และเฟส 2 ในจังหวัดสระบุรี ให้ผลตอบแทนที่แท้จริง 5.2% โครงสร้างรายได้ของกองทุนนี้เป็นแบบคงที่ และเพิ่มขึ้น 2% ต่อปีทุกปี ขณะที่ผู้สนับสนุน (sponsor) อย่าง INET มีหน้าที่รับผิดชอบ ค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์
2.ความเสี่ยงปานกลาง, ผลตอบแทนปานกลาง โดยกลุ่มนี้ประกอบด้วย FUTURERT, ALLY, และ PROSPECT ซึ่งทั้งหมดเป็นสิทธิการเช่า 100%
และ 3. ความเสี่ยงสูง, ผลตอบแทนสูง ได้แก่ CPTREIT, BOFFICE และ TPRIME ซึ่งทั้งหมดลงทุนในอาคารสำนักงาน ซึ่งมีแนวโน้มอุตสาหกรรมที่ท้าทาย เนื่องจากอุปทานล้นตลาดและมีแรงกดดันด้านค่าเช่า นอกจากนี้ DREIT ซึ่งเป็น REIT ที่ลงทุนในโรงแรมก็จัดอยู่ในกลุ่มนี้เช่นกัน

#กองรีท #อสังหาริมทรัพย์ #ดอกเบี้ย #ลงทุน

คาดดัชนีแกว่งตัวในกรอบ 1,285-1,315 จุดโบรกฯ แนะกลยุทธ์ เน้นหุ้นมีปัจจัยบวกเฉพาะบล.กสิกรไทย ประเมินดัชนีหุ้นไทยวันนี้มีแน...
19/09/2025

คาดดัชนีแกว่งตัวในกรอบ 1,285-1,315 จุด
โบรกฯ แนะกลยุทธ์ เน้นหุ้นมีปัจจัยบวกเฉพาะ
บล.กสิกรไทย ประเมินดัชนีหุ้นไทยวันนี้มีแนวโน้มแกว่งตัวในกรอบ 1,285-1,315 จุด แนะกลยุทธ์ลงทุน เน้นหุ้นมีปัจจัยบวกเฉพาะ ชู BCH-CK เป็นหุ้นเด่นประจำวัน

#หุ้น #ภาวะตลาดหุ้น

บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้....

ที่อยู่

Chamnan Penjati Building 2nd Fl. , Rama 9 Road , Huaykwang
Bangkok
10310

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Wealthy Thaiผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง Wealthy Thai:

แชร์

WEALTHY THAI | เกตเวย์สู่ความมั่งคั่ง

เรามุ่งหวังให้ข้อมูลที่นำเสนอ ช่วยให้คนไทยมีความรู้ สู่เส้นทางความมั่นคง และมั่งคั่ง ด้านความรู้ทางด้านการเงิน และการลงทุน

ด้วยเป้าหมายนำเสนอข้อมูล และความรู้การเงิน การลงทุน ให้เข้าถึงง่าย และน่าสนใจมากขึ้นเน้นรูปแบบการนำเสนอที่ผสมผสานระหว่างข้อมูลเชิงลึกที่น่าเบื่อ เข้าใจยาก กับความคิดสร้างสรรค์ และTrend การสื่อสารเข้าด้วยกัน

---

ส่งข่าวประชาสัมพันธ์ [email protected] ติดต่อโฆษณา [email protected]