Wealthy Thai สื่อที่มีความคิดสร้างสรรค์ ด้านการเงิน การลงทุน เพื่อนำเสนอข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือแก่นักลงทุน ติดต่อโฆษณา/สนับสนุน รบกวนติดต่อ : คุณมินตรา (เป้) 086-516-0092

โรคเลื่อนทำพิษ!BTS-BEM กอดคอกันร่วงหลังนโยบาย 20 บาทตลอดสายเปลี่ยนกำหนดดีเดย์เป็น 15 พ.ย.682 หุ้นรถไฟฟ้า BTS-BEM กอดคอกั...
26/08/2025

โรคเลื่อนทำพิษ!
BTS-BEM กอดคอกันร่วง
หลังนโยบาย 20 บาทตลอดสาย
เปลี่ยนกำหนดดีเดย์เป็น 15 พ.ย.68
2 หุ้นรถไฟฟ้า BTS-BEM กอดคอกันร่วง หลัง “คมนาคม” เลื่อนกำหนดนโยบาย 20 บาทตลอดสายจาก 1 ต.ค. เป็น 15 พ.ย.68 ฟากโบรกฯ ยังแนะ “ซื้อ” แพ็คคู่ พร้อมชูเป้า 6.49 บาท และ 9.10 บาท
โดยราคาหุ้น บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS ปิดตลาดวันนี้อยู่ที่ระดับ 3.32 บาท ลดลง 0.14 บาท หรือ -4.05% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 664.45 ล้านบาท
เช่นเดียวกับ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ปิดตลาดวันนี้อยู่ที่ระดับ 5.25 บาท ลดลง 0.15 บาท หรือ -2.78% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 173.52 ล้านบาท
ทั้งนี้ บทวิเคราะห์จาก บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุว่า BTS และ BEM ปรับตัวลดลง โดยมีจิตวิทยาลบระยะสั้นจากประเด็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเผยมาตรการค่ารถไฟฟ้าสูงสุดไม่เกิน 20 บาท หรือ 20 บาทตลอดสาย เลื่อนจากกำหนดวันที่ 1 ต.ค. 2568 ออกไปเป็นวันที่ 15 พ.ย. 2568 โดยรวมยังคงคำแนะนำทางพื้นฐาน คือ “ซื้อ” โดยให้ราคาเป้าหมาย BTS ที่ 6.49 บาท และ BEM ที่ 9.10 บาท

#รถไฟฟ้า #รถไฟฟ้า20บาทตลอดสาย #หุ้น

26/08/2025

MSCI Rebalance มีผลราคาปิดวันนี้ ทำเม็ดเงินไหลออก กดดัน SET Index ลบ 11 จุด ปิดที่ 1251.26 จุด

CAT หุ้นอุตสาหกรรมยักษ์ที่ยังแกร่งแม้เจอพิษภาษีCaterpillar Inc. (CAT) เป็นผู้ผลิตเครื่องจักรหนักที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ แ...
26/08/2025

CAT หุ้นอุตสาหกรรมยักษ์
ที่ยังแกร่งแม้เจอพิษภาษี
Caterpillar Inc. (CAT) เป็นผู้ผลิตเครื่องจักรหนักที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ และของโลก ที่มีธุรกิจหลักครอบคลุมตั้งแต่เครื่องจักรก่อสร้างและเหมืองแร่ ไปยังกังหันก๊าซอุตสาหกรรมและหัวรถจักร ซึ่งแม้ประกอบการไตรมาส 2 ปี 2025 จะออกมาอ่อนแอลงจากแรงกดดันด้านภาษีและการแข่งขันด้านราคา แต่ทั้งตัวบริษัทเองและนักวิเคราะห์กลับยังมีมุมมองบวกจากอุปสงค์ที่ยืดหยุ่นและคำสั่งซื้อที่คงค้างซึ่งเติบโตต่อเนื่อง
โดยในไตรมาส 2 ปี 2025 CAT รายงานรายได้ราว 16.6 พันล้านดอลลาร์ ลดลง 1% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY) ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 2.18 พันล้านดอลลาร์ ลดลงเกือบ 19% YoY และกำไรต่อหุ้นปรับปรุงแล้ว (Adjusted EPS) ลดลง 21% YoY มาอยู่ที่ 4.72 ดอลลาร์ ซึ่งแม้ตัวเลขเหล่านี้จะต่ำกว่าระดับสูงสุดของปีก่อน แต่ก็เป็นการอ่อนตัวที่สะท้อนแรงกดดันชั่วคราวจากปัจจัยภายนอก เช่น ภาษีนำเข้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน หรือ กิจกรรมการก่อสร้างเชิงพาณิชย์ในอเมริกาเหนือที่ชะลอตัว มากกว่าการที่อุปสงค์ทรุดตัว
ซึ่งแม้จะเผชิญแรงกดดัน แต่ธุรกิจหลักของ CAT ก็แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่ง โดยยอดขายกลุ่มพลังงานและการขนส่ง (Energy & Transportation) เพิ่มขึ้น 7% YoY จากความต้องการกังหันและเครื่องผลิตไฟฟ้าที่สูงขึ้น ส่วนรายได้ธุรกิจการเงิน (Financial Products) ขยายตัว 4% YoY และกำไรเพิ่ม 9% YoY นอกจากนี้ คำสั่งซื้อคงค้างของ CAT เพิ่มขึ้นอีก 2.5 พันล้านดอลลาร์ในหลายกลุ่มธุรกิจ สะท้อนอุปสงค์จากผู้ใช้ปลายทางที่ยังมั่นคง
สำหรับแนวโน้มข้างหน้า บริษัทคาดว่ารายได้ในไตรมาส 3 ปี 2025 จะเติบโตเมื่อเทียบกับปีก่อนแม้ภาษียังคงเป็นแรงกดดันต่อกำไร สำหรับทั้งปี ฝ่ายบริหารยังคงมั่นใจและปรับเพิ่มคาดการณ์รายได้จาก “ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงจากปี 2024” เป็น “สูงกว่ารายได้ปี 2024 เล็กน้อย“ โดยชี้ถึงความแข็งแกร่งของคำสั่งซื้อและอุปสงค์ที่ต่อเนื่องในหลายภาคส่วน
ทั้งนี้ หลังจากประกาศผลประกอบการไตรมาส 2 โบรกเกอร์รายใหญ่หลายแห่งได้มีการปรับมุมมองดีขึ้น ในขณะที่บางเจ้ายังมีความกังวลอยู่บ้าง
Evercore ISI ปรับคำแนะนำหุ้น CAT ขึ้นจาก “Hold” เป็น “Outperform (Buy)” และตั้งราคาเป้าหมายใหม่ที่ 476 ดอลลาร์ โดยให้เหตุผลว่าธุรกิจหลักยังมีความแข็งแกร่ง แม้อัตรากำไรปี 2025 จะถูกกดดันจากภาษีและต้นทุน แต่คาดว่าการฟื้นตัวของอัตรากำไรในปี 2026 จะชัดเจนขึ้นจากการบริหารสต็อกและประสิทธิภาพต้นทุนที่ดีขึ้น
Bank of America (BofA) คงคำแนะนำ “Buy” และปรับราคาเป้าหมายขึ้นจาก 460 เป็น 495 ดอลลาร์ โดยชี้ว่าบริษัทมีปัจจัยบวกจากยอดคำสั่งซื้อที่ลูกค้าสั่งไว้แล้ว (backlog) ที่เพิ่มขึ้น ราว 2.5 พันล้านดอลลาร์ และการลดลงของสต็อกสินค้าของดีลเลอร์ราว 400 ล้านดอลลาร์ ซึ่งสะท้อนว่าดีลเลอร์สามารถระบายสินค้าคงคลังออกไปและจะมีความต้องการสั่งสินค้าใหม่เข้ามา อีกทั้งยังมีสัญญาณอุปสงค์ปลายทางที่ฟื้นตัวดีขึ้น ทำให้ BofA มั่นใจว่า CAT จะกลับมาเติบโตแข็งแรงในปี 2026
Raymond James ยังคงคำแนะนำที่ระดับ “Market Perform (ถือ/กลางๆ)” โดยมองว่าผลประกอบการไตรมาส 2/2025 อาจไม่เป็นที่พอใจนักลงทุน เนื่องจาก EPS ออกมาต่ำกว่าคาด แต่ยังเห็นปัจจัยสนับสนุนจาก การมี exposure ในตลาดพลังงานและก๊าซธรรมชาติ โดยเฉพาะธุรกิจ power generation ซึ่งยังคงช่วยพยุงความเชื่อมั่นนักลงทุนที่มีต่อหุ้นไว้ได้
ด้าน Edward Jones คงคำแนะนำ “Hold” โดยให้เหตุผลว่าการลงทุนในภาคเหมืองและพลังงานยังมีข้อจำกัดในระยะสั้น ซึ่งแม้บริษัทจะมี backlog ที่แข็งแกร่ง และมีความต้องการที่ยังคงต่อเนื่อง แต่ความเสี่ยงจาก ข้อพิพาทด้านภาษี และการชะลอตัวของการก่อสร้างเชิงพาณิชย์ยังคงเป็นแรงกดดันต่อผลประกอบการ ทำให้นักลงทุนควรระมัดระวังในช่วงสั้นนี้
โดยรวมแล้ว ข้อมูลจาก TipRanks ระบุว่า CAT มีเรตติ้งเฉลี่ยที่ “Moderate Buy” และราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 455.87 ดอลลาร์ บ่งชี้ upside ราว 4.6% จากราคาหุ้นปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม แม้ผลประกอบการไตรมาส 2/2025 ของ CAT จะถูกกดดันจากภาษีและอัตรากำไรที่อ่อนตัว แต่การขยายตัวของธุรกิจหลัก, ยอดคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้น และการปรับเป้ารายได้ขึ้นเล็กน้อย แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของบริษัท ขณะที่โบรกเกอร์ชั้นนำอย่าง Evercore และ Bank of America ยังคงมุมมองบวกและให้ราคาเป้าหมายสูงกว่า 470–495 ดอลลาร์ สะท้อนว่าตลาดยังเชื่อมั่นในศักยภาพการฟื้นตัวของ CAT ในระยะยาว แม้ความเสี่ยงจากภาษีและการชะลอตัวในบางอุตสาหกรรมยังคงอยู่

#หุ้น #หุ้นสหรัฐฯ #หุ้นอุตสาหกรรม #แนะนำหุ้น

โค้งสุดท้าย! เช็กหุ้นเข้า-ออก MSCI & FTSEหุ้นไหนเด่น-กลุ่มไหนควรเฝ้าระวัง?ใกล้ถึงรอบปรับดัชนี MSCI และ FTSE ใหม่อีกครั้ง...
26/08/2025

โค้งสุดท้าย! เช็กหุ้นเข้า-ออก MSCI & FTSE
หุ้นไหนเด่น-กลุ่มไหนควรเฝ้าระวัง?
ใกล้ถึงรอบปรับดัชนี MSCI และ FTSE ใหม่อีกครั้ง ซึ่งถือเป็นข้อมูลสำคัญสำหรับนักลงทุน เพราะการปรับน้ำหนักและการ เข้า-ออก ของหุ้นในดัชนีมีผลต่อแรงซื้อขายและทิศทางราคาหุ้นในตลาดไทย โดยหุ้นบางตัวอาจได้รับแรงซื้อหรือแรงขายเพิ่มขึ้น ขณะที่พอร์ตที่อิงดัชนีอาจต้องปรับเพื่อบริหารความเสี่ยง ดังนั้น การติดตามการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จึงช่วยให้นักลงทุนประเมินโอกาสและวางกลยุทธ์การลงทุนได้รอบคอบ
ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุ MSCI Rebalance: MSCI ประกาศรายชื่อหุ้นเข้า-ออกและปรับน้ำหนักดัชนีฯ รอบใหม่ มีผล ณ ราคาปิดวันที่ 26 ส.ค. โดยประกาศดัชนี Global Standard Index ไม่มีหุ้นเข้า ขณะที่หุ้นออก ได้แก่ HMPRO, OR และดัชนี Global Small Index หุ้นเข้า ได้แก่ HMPRO, KTC และหุ้นออก ได้แก่ SISB, TPIPL, ICHI
ขณะที่ดัชนี FTSE Global Equity Index Series ประกาศหุ้น เข้า-ออก จากการคำนวณดัชนีฯ โดยจะใช้ราคาปิด วันที่ 19 ก.ย.68 เพื่อทำการ rebalance โดย CPAXT ถูกย้ายจาก Large Cap ไป Mid Cap ขณะที่ BGRIM, SAWAD ถูกย้ายจาก Mid Cap ไปสู่ Small Cap
ทั้งนี้ ในแง่กลยุทธ์การลงทุน สำหรับดัชนี MSCI บล.กรุงศรี แนะนำเก็งกำไร บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC ด้วยราคาเป้าหมาย 40.00 บาท ขณะที่ให้หลีกเลี่ยงหุ้นที่หลุดออกจากดัชนี
ด้าน บล.ดาโอ (ประเทศไทย) ระบุถึงกรณีที่ FTSE มีการปรับหุ้นคำนวณดัชนีฯ อาจต้องระวังแรงขายหุ้น ที่มีการลดระดับชั้นลง ได้แก่ CPAXT, SAWAD และ BGRIM

#หุ้น #การลงทุน

SET วันนี้แกว่งตัวในกรอบ 1,245-1,275 จุดรอความชัดเจนคดีถอดถอนนายก 29 ส.ค.นี้บล.กสิกรไทย ประเมินดัชนีหุ้นไทยวันนี้แกว่งตั...
26/08/2025

SET วันนี้แกว่งตัวในกรอบ 1,245-1,275 จุด
รอความชัดเจนคดีถอดถอนนายก 29 ส.ค.นี้
บล.กสิกรไทย ประเมินดัชนีหุ้นไทยวันนี้แกว่งตัวในกรอบ 1,245-1,275 จุด รอความชัดเจนคดีถอดถอนนายก 29 ส.ค.นี้ แนะกลยุทธ์ลงทุนหุ้นมีปัจจัยบวกเฉพาะพร้อมแนวโน้มกำไรเติบโตช่วงครึ่งปีหลัง ชู GFPT-CK เป็นหุ้นเด่นประจำวัน

#หุ้น #ภาวะตลาดหุ้น

บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลดลง ดัชนี S&P500 ลดลง 0.43%, Nasdaq Composite ล...

โอกาสทองลงทุน “กองตราสารหนี้โลก” รับ “ดอกเบี้ยขาลง”รับ 2 เด้ง ได้ “Yield-สูง” พร้อมโอกาสกำไรจาก “Capital Gain” !!!Fun of...
25/08/2025

โอกาสทองลงทุน “กองตราสารหนี้โลก” รับ “ดอกเบี้ยขาลง”
รับ 2 เด้ง ได้ “Yield-สูง” พร้อมโอกาสกำไรจาก “Capital Gain” !!!
Fun of Funds: ล่าสุด “Jerome Powell” ประธาน Fed ส่งสัญญาณถึงแนวโน้มดอกเบี้ยเป็นไปทางผ่อนคลาย (Dovish) มากขึ้น แต่ยังมีความระมัดระวังผสมเข้ามา ในงานประชุม “Jackson Hole Economic Policy Symposium ปี2025”
“ระยะสั้น” เงินเฟ้อเผชิญความเสี่ยงด้านสูง ขณะที่ตลาดแรงงานเผชิญความเสี่ยงด้านต่ำ เป็นความท้าทายในการกำหนดจุดยืนนโยบายการเงิน
ตลาดเองก็คาดว่า Fed จะมีการปรับลดดอกเบี้ยลงในการกระชุมเดือนก.ย. นี้
ภาพรวมของ “ดอกเบี้ยขาลง” ยังเป็นปัจจัยบวกต่อการลงทุนใน “กองทุนตราสารหนี้โลก” รับ 2 เด้ง ได้ “Yield-สูง” พร้อมโอกาสกำไรจาก “Capital Gain” เป็นจังหวะที่ดีในการลงทุน
ทำไม “กองตราสารหนี้โลก” จึงน่าสนใจลงทุนในบริบทเช่นนี้ ตามทีมงาน ‘โต๊ะกองทุน Wealthy Thai’ ไปอัปเดตมุมมองจากผู้เชี่ยวชาญพร้อมกันได้เลย
ชี้จังหวะลงทุน “ตราสารหนี้โลก” รับ “ดอกเบี้ยขาลง”...เน้นคุณภาพ-เพิ่มโอกาสทำกำไรที่มากกว่า
โดย “ปณตพล ตัณฑวิเชียร” Chief Investment Officer บลจ.กสิกรไทย บอกว่า สภาวะตลาดการเงินโลกยังมีความผันผวน การกระจายการลงทุนจึงยังคงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ โดยเฉพาะการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงและมีศักยภาพในการสร้างรายได้สม่ำเสมออย่าง “ตราสารหนี้คุณภาพดีทั่วโลก” บริษัทมีมุมมองเชิงบวกต่อตราสารหนี้โลก เนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่อาจจะทยอยชะลอตัวลงในครึ่งปีหลัง จากผลกระทบของนโยบายทางภาษีของสหรัฐ โดยมองว่า “ธนาคารกลางสหรัฐ” (Fed) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยทั้งหมด 2 ครั้งภายในสิ้นปี25 พร้อมดำเนินนโยบายทางการเงินอย่างระมัดระวังท่ามกลางความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายทางภาษีที่อาจจะกระทบทั้งอัตราเงินเฟ้อและตลาดแรงงานของสหรัฐ
“หากตลาดแรงงานเริ่มส่งสัญญาณการชะลอตัว Fed จะสามารถปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจได้ ยังแนะนำให้ผู้ลงทุนทยอยสะสม ‘ตราสารหนี้โลก’ และมองกรอบอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ 10 ปี ณ สิ้นปี25 อยู่ที่ 4.1-5.0%”
รับ 2 เด้ง ได้ “Yield-สูง” พร้อมโอกาสกำไรจาก “Capital Gain”
เช่นเดียวกับ “ณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์ Head of Wealth Advisory บมจ.ธนาคารทิสโก้ ที่มองว่า การลงทุนใน “ตราสารหนี้โลก” กลับมีความน่าสนใจมากขึ้นจากอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ระดับสูงและธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลกยังมีทิศทางปรับตัวลดลงจากภาพเศรษฐกิจที่อ่อนแอลง ทำให้โอกาสการลงทุนใน “กองทุนตราสารหนี้โลก” ที่มีอายุระยะกลางถึงยาวที่นอกจากผู้ลงทุนจะได้อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ระดับสูงแล้วยังมีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากส่วนต่างราคา (Capital Gain) อีกด้วย
ในขณะที่ “หุ้นสหรัฐ” ราคาปรับขึ้นแรงจนทำให้ค่า P/E พุ่งแตะระดับกว่า 22.4 เท่า ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีที่อยู่ที่ 18.6 เท่า และหากเทียบกับผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯอายุ 10 ปีที่อยู่ที่ 4.5% หมายความว่า ค่าเชิดชูความเสี่ยง (Equity Risk Premium) ของหุ้นอยู่เพียง 2.5% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 4.5% อย่างมีนัยสำคัญ และถือเป็นหนึ่งในระดับที่แพงที่สุดในรอบ 30 ปี
“หุ้นสหรัฐจ่อ ‘ปรับฐาน’ หลังราคาขึ้นแรงสวนทางภาวะเศรษฐกิจที่ส่งสัญญาณอ่อนตัวจากอัตราภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้น ฉุดกำไรจดทะเบียนลดลงตาม แนะใช้จังหวะนี้ขายทำกำไรหุ้นสหรัฐ โยกเงินเข้าซื้อ ‘ตราสารหนี้โลก’ รับอัตราดอกเบี้ยในระดับสูง และมีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากส่วนต่างราคา”
ส่วนผู้ลงทุนที่ “รับความเสี่ยงได้สูง” หุ้นที่ยังน่าสนใจช่วงนี้ได้แก่ “หุ้นกลุ่มปันผลสูงทั่วโลก” (High Dividend) ที่มีการจ่ายปันผลที่สูงและสม่ำเสมอ มีผลประกอบการมีความแข็งแกร่ง รวมทั้งยังมีมูลค่าหุ้น (Valuation) ถูก ปรับขึ้นน้อยกว่าดัชนีตลาดหุ้นโลก (Discount) ประมาณ 25%
ส่วนอีกตลาดหนึ่งที่น่าสนใจ คือ “ตลาดหุ้นไทย” โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มปันผล ที่ปัจจุบันระดับเงินปันผล (Dividend Yield) อยู่ในระดับเกือบ 7% และ Valuation ของหุ้นกลุ่มปันผลของไทยจากดัชนี SETHD ยังซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี สะท้อนจากค่า Price to Book Value (PBV) ประมาณ 0.9 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตมากถึง 35%
สำหรับใครที่กำลังมองหาโอกาสลงทุนที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดี โดยที่ความเสี่ยงยังอยู่ในระดับของตราสารหนี้เหมือนเดิม “กองทุนตราสารหนี้โลก” น่าจะเป็นทางเลือกที่ช่วยเติมเต็มพอร์ตให้ได้เป็นอย่างดี จากเมื่อก่อนที่ได้ผลตอบแทนไม่มาก ในภาวะ “ดอกเบี้ยขาลง” เช่นนี้ ความเสี่ยงยังคงไม่ต่างจากเดิม แต่เพิ่มเติมเข้ามา คือ โอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้นนั่นเอง

#กองทุน #กองทุนตราสารหนี้โลก #กสิกรไทย #ทิสโก้

BPP ชี้ครึ่งปีหลังสดใสรับ Hedge ค่าเงิน-ฤดูร้อนสหรัฐฯ หนุนรายได้โรงไฟฟ้า Temple ปรับตัวดีขึ้นมั่นใจปี 68 EBITDA ยังโตตาม...
25/08/2025

BPP ชี้ครึ่งปีหลังสดใส
รับ Hedge ค่าเงิน-ฤดูร้อนสหรัฐฯ
หนุนรายได้โรงไฟฟ้า Temple ปรับตัวดีขึ้น
มั่นใจปี 68 EBITDA ยังโตตามเป้าหมาย 20%
BPP มองครึ่งปีหลังสดใส รับ Hedge ค่าเงิน - ไตรมาส 3/68 เข้าฤดูร้อนสหรัฐฯ หนุนรายได้โรงไฟฟ้า Temple I , II ดีขึ้น ด้านงบลงทุนปีนี้ 200-400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ยังมองหาโอกาสควบรวม-ซื้อกิจการต่อเนื่อง พร้อมคงเป้าหมาย EBITDA ปี 2568 โต 20% จากปีก่อน
นายอิศรา นิโรภาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลัง โดยมองว่าไตรมาส 3/68 ซึ่งเป็นฤดูร้อนของประเทศสหรัฐอมริกา จะทำให้รายได้ของโรงไฟฟ้า Temple I และ Temple II ปรับตัวดีขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่สภาพอากาศร้อนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยมาก
นอกจากนี้บริษัทยังมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Hedge) โดยในปี 2568 บริษัทได้ล็อกรายได้ไว้สูงกว่าปีก่อนอย่างมีนัยสำคัญ ปัจจัยนี้จะช่วยหนุนให้ผลประกอบการโดยรวมในปีนี้พัฒนาดีขึ้น อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงเป้าหมายกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ในปี 2568 จะเติบโตประมาณ 20%
สำหรับแผนการลงทุนในปี 2568 บริษัทคาดว่าจะใช้งบประมาณ 200 – 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยในช่วงครึ่งปีแรกใช้งบลงทุนไปแล้ว 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานและระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (Energy Infrastructure and BESS) โดยส่วนที่เหลือบริษัทยังคงมองหาโอกาสในการควบรวมและซื้อกิจการ (M&A) อย่างต่อเนื่อง
ส่วนแผนการลงทุนโรงไฟฟ้าในสหรัฐฯ ยังคงเป็นเป้าหมายหลักในการลงทุนระยะยาว ปัจจุบันมีโครงการที่อยู่ในระหว่างการพัฒนาหรือการพิจารณาการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยจะเน้นการพัฒนาและเปลี่ยนผ่านไปสู่โรงไฟฟ้าก๊าซมากขึ้น
ทั้งนี้ จากแผนการลงทุนในปี 2568 – 2573 ซึ่งใช้งบประมาณรวมประมาณ 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ บริษัทคาดว่าจะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่จากก๊าซธรรมชาติได้มากกว่า 1,500 เมกะวัตต์ (MW) และสนับสนุนให้กำไรจากการดำเนินงานก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เติบโตมากกว่า 1.8 เท่า อย่างไรก็ตาม การลงทุนอาจไม่ได้มาอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ แต่ขึ้นอยู่กับโอกาสและจังหวะ
ด้านผลประกอบการครึ่งแรกปี 2568 บริษัทมีกำไรสุทธิ 1,846 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 11 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) รวม 4,486 ล้านบาท ปัจจัยหลักมาจากการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ Temple I และ II ปรับตัวดีขึ้น และมีกำไรจากการวัดมูลค่าเครื่องมือทางการเงิน (Change in Fair Value of Financial Instrument) อันเป็นผลจากการทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงในราคาที่ดี โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม (CHPs) ในจีนที่บริหารต้นทุนถ่านหินได้มีประสิทธิภาพ และรายได้จากการขายสิทธิการปล่อยก๊าซคาร์บอนที่เพิ่มขึ้น
ขณะที่ธุรกิจพลังงานความร้อน (Thermal Energy) โรงไฟฟ้าเจิ้งติ้งในจีน เริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยใช้ชีวมวลร่วมกับเชื้อเพลิงหลักในสัดส่วนร้อยละ 10 ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ได้ราว 70,000 ตันต่อปี ส่วนโรงไฟฟ้าโจวผิงได้เริ่มก่อสร้างระบบท่อส่งไอน้ำฝั่งเหนือในเดือนกรกฎาคมและกำลังศึกษาการขยายท่อเพิ่มเติมไปยังฝั่งตะวันตกและตะวันออกเพื่อส่งมอบไอน้ำที่มีความเสถียรและคุ้มค่าให้แก่ภาคอุตสาหกรรมได้มากขึ้น ขณะที่โรงไฟฟ้า HPC ในสปป. ลาว และ BLCP ในไทย ยังคงรักษาค่าความพร้อมจ่ายไฟ (EAF) ในระดับสูงที่ร้อยละ 89 และ 90 ตามลำดับ
ด้านธุรกิจ Renewables+ โครงการอิวาเตะ โตโนะ (Iwate Tono) แบตเตอรี่ฟาร์มในญี่ปุ่น กำลังไฟฟ้า 14.5 เมกะวัตต์ ความจุพลังงาน 58 เมกะวัตต์ชั่วโมง ได้เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดย BPP ยังเดินหน้าขยายธุรกิจระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (Battery Energy Storage System: BESS) ที่ญี่ปุ่น ผ่าน Banpu NEXT ซึ่ง BPP ถือหุ้นร้อยละ 50 โดยตั้งเป้าสู่การเป็นผู้เล่นหลักในธุรกิจ BESS ของญี่ปุ่น พร้อมทั้งอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายการลงทุน BESS สู่ตลาดสหรัฐฯ ในอนาคต
ในยุคที่ความมั่นคงด้านพลังงานเป็นปัจจัยสำคัญของเสถียรภาพเศรษฐกิจและความมั่นคงของทุกประเทศทั่วโลก BPP มุ่งเป็นผู้นำและพัฒนาพลังงานที่ไม่หยุดแค่การผลิตไฟฟ้า แต่ยังต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยธุรกิจ Power Trading ในตลาดสหรัฐฯ ผ่านบริษัทลูก BPPUS โดยใช้ความเชี่ยวชาญด้านดิจิทัล ข้อมูล และทีมงานมืออาชีพ ถือเป็นก้าวสำคัญที่เราสามารถสร้างรายได้จากธุรกิจซื้อขายสิทธิรายได้จากความแออัดของระบบสายส่งไฟฟ้า หรือ Congestion Revenue Rights (CRR) รวมรายได้ตั้งแต่เริ่มดำเนินธุรกิจ CRR ในไตรมาส 4 ของปีที่ผ่านมา จนถึงครึ่งปีแรก 2568 กว่า 133 ล้านบาท
และเตรียมขยายสู่ตลาด Intercontinental Exchange (ICE) เพื่อทำกำไรจากตลาดซื้อขายไฟล่วงหน้าจากการคาดการณ์ราคาพลังงาน (Proprietary Trade) ซึ่งจะเป็นแรงขับเคลื่อนควบคู่กับธุรกิจผลิตไฟฟ้าอันเป็นธุรกิจหลักของบริษัทที่ยังคงสร้างกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง นอกจากนี้ เรายังดำเนินธุรกิจค้าปลีกไฟฟ้าในสหรัฐฯ ผ่าน BKV Energy บริษัทย่อยภายใต้ความร่วมมือระหว่าง BPPUS และ BKV Corporation ซึ่งล่าสุดได้รับรางวัล “Best Electricity Company” จากเวที Best of the Best 2025 ของ Houston Chronicle ผ่านการโหวตของผู้บริโภคในรัฐเท็กซัส สะท้อนถึงความเชื่อมั่นต่อคุณภาพและการส่งมอบไฟฟ้าที่ต่อเนื่องในราคาที่เหมาะสม”
นอกจากนี้ บริษัทยังได้ประกาศพันธกิจใหม่ 3 ด้าน เพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนและสอดรับกับพลวัตของอุตสาหกรรมพลังงานโลก ได้แก่ 1. ผลักดันการเติบโตด้วยนวัตกรรมดิจิทัล ความเชี่ยวชาญระดับสากล และการลงทุนเชิงกลยุทธ์ในโครงการระดับโลก 2. ขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่ยั่งยืน ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อลดการปล่อย CO2 และเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานเพื่ออนาคต และ 3.ยกระดับคุณภาพชีวิตผ่านการพัฒนาชุมชน ทั้งในด้านการศึกษา การดูแลสุขภาพ และการฟื้นฟูหลังภัยพิบัติ ฯลฯ เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน

#หุ้น #บ้านปูเพาเวอร์ #หุ้นโรงไฟฟ้า #หุ้นไทยวันนี้

6 หุ้นโรงไฟฟ้าพากันวิ่งรับปัจจัยบวกหลายด้านโบรกฯ มอง GULF – GPSC เด่นชี้พื้นฐานแกร่ง เติบโตระกลางถึงยาว6 หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ...
25/08/2025

6 หุ้นโรงไฟฟ้าพากันวิ่ง
รับปัจจัยบวกหลายด้าน
โบรกฯ มอง GULF – GPSC เด่น
ชี้พื้นฐานแกร่ง เติบโตระกลางถึงยาว
6 หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างพร้อมเพรียงในวันนี้ หลังได้รับแรงหนุนจากหลายปัจจัย ทั้งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) การแข็งค่าของเงินบาท ซึ่งส่งผลบวกต่อหุ้นที่มีหนี้ต่างประเทศสูง รวมถึงราคาก๊าซธรรมชาติที่ปรับลดลง โดยนักวิเคราะห์มองว่า GULF และ GPSC มีความโดดเด่นจากธุรกิจพลังงานและเทคโนโลยีโครงสร้างพื้นฐาน (Infra Tech) ที่เติบโตต่อเนื่อง ชี้พื้นฐานแกร่ง และมีการติบโตในระยะกลางถึงยาว
โดยราคาหุ้น บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ล่าสุดราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 40.25 บาท เพิ่มขึ้น 3.00 บาท หรือ +8.05% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 731.36 ล้านบาท
ขณะที่ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM ล่าสุดราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 12.90 บาท เพิ่มขึ้น 0.80 บาท หรือ +6.61% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 582.78 ล้านบาท
ส่วน บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) หรือ BCPG ล่าสุดราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 8.45 บาท เพิ่มขึ้น 0.30 บาท หรือ +3.68% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 323.84 ล้านบาท
ด้าน บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ล่าสุดราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 48.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท หรือ +2.11% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 1,247.78 ล้านบาท
สำหรับ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ RATCH ล่าสุดราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 27.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท หรือ +1.89% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 130.26 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GUNKUL ล่าสุดราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 1.83 บาท เพิ่มขึ้น 0.03 บาท หรือ +1.67% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 50.93 ล้านบาท
ทั้งนี้ บทวิเคราะห์จาก บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุ เช้านี้หุ้นโรงไฟฟ้านำตลาด หนุนจาก
1) มุมมอง Fed ค่อนไปทาง Dovish โดย Fed ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยหากแรงงานอ่อน หนุนเศรษฐกิจ
2) บาทแข็ง โดยดอกเบี้ยสหรัฐฯ มีแนวโน้มลงเร็วกว่า EM หนุนค่าเงิน EM ส่งผลบวกโรงไฟฟ้าหนี้ต่างประเทศสูง (BGRIM, GPSC, GULF)
3) ก๊าซ NYMEX -4.5% โดยก๊าซ NYMEX QTD -24% หนุน GPSC, BGRIM (ลูกค้าอุตสาหกรรมสูง) ขณะค่า Ft ก.ย.–ธ.ค. 25 ลดเล็กน้อย (3.94 บ. vs 3.97 บ.)
4) กระแส Infra Tech ไทยเด่นต่อเนื่อง เน้น GULF, GPSC โดย Infra Tech: Vertiv ผู้จำหน่ายอุปกรณ์ไฟฟ้าและทำความเย็นระดับโลก องค์ประกอบหลัก Data Center มองไทยเป็น “คลื่นลูกที่ 3” (ต่อจากสิงคโปร์ และมาเลเซีย) ลงทุน Data Center ของอาเซีย ซึ่งส่งผลให้ GULF เด่นสุดจากธุรกิจไฟฟ้า และสื่อสาร
ทั้งนี้ Fund Flow สลับเข้า EM หนุนหุ้นธีม Infra Tech เป็นเป้าหมายแรก ๆ ด้านกลยุทธ์ลงทุน หุ้นโรงไฟฟ้าเด่นต่อเนื่อง เน้นพื้นฐานแข็ง และเติบโตระยะกลาง–ยาว
GULF ราคาเป้าหมาย 59.00 บาท เป้าหมายหลักธีม Infra Tech แนวรับ 47.5/46.5 แนวต้าน 50/51.25 Stop 45.5
GPSC ราคาเป้าหมาย 40.80 บาท โดยได้แรงหนุนจากเงินบาทแข็งค่ารวมถึงราคาก๊าซที่ปรับตัวลดลง อีกทั้งยังมีการเติบโตในอินเดีย แนวรับ 37.25/36.5 แนวต้าน 40/41.5 Stop 36

#หุ้น #กลุ่มโรงไฟฟ้า #ราคาหุ้นโรงไฟฟ้า #บริษัทจดทะเบียน

25/08/2025

เมื่อสงครามยังไม่จบ? ความสัมพันธ์ไทย–กัมพูชา ยังคงสั่นคลอนทั้งการเมือง เศรษฐกิจ และการทหาร
Cheers n’ Chat พฤหัสบดีนี้ เจาะลึกการค้าและอธิปไตยชาติ กับ พล.อ. รังษี กิติญาณทรัพย์ หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจ

#ถูกคอก็มาคุย #เพราะทุกประเด็นเป็นเรื่องแซ่บ #ทุกดีลธุรกิจปิดที่โต๊ะอาหาร #อาร์ทเอกรัฐ #รังษีกิติญาณทรัพย์ #ไทยกัมพูชา

เปิดลิสต์หุ้นรับอานิสงส์บวกงาน Thailand Focus 2025Thailand Focus 2025 เป็นงานสัมมนาประจำปีที่จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประ...
25/08/2025

เปิดลิสต์หุ้นรับอานิสงส์บวก
งาน Thailand Focus 2025
Thailand Focus 2025 เป็นงานสัมมนาประจำปีที่จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อถ่ายทอดนโยบายด้านเศรษฐกิจและกลยุทธ์การลงทุนของตลาดทุนไทยต่อกลุ่มนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศ โดยปีนี้งานจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 27–29 ส.ค. 68 ภายใต้ธีม “Beyond the Challenges” ซึ่งจากสถิติบริษัทที่เข้าร่วมงานวันแรกมักให้ผลตอบแทนเป็นบวก
บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า Thailand Focus 2025 รอบนี้จัดขึ้นระหว่าง 27–29 ส.ค. 2025 ภายใต้ธีม “Beyond the Challenges” มีนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศกว่า 100 กองทุน โดยจะมีการให้ข้อมูลทั้งจากภาครัฐและเอกชน เพื่อเร่งฟื้นฟูความเชื่อมั่นในการลงทุนที่ถูกบั่นทอนไปมากในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา เช่น การปฏิรูป และการสร้างเสถียรภาพให้ตลาดทุน, การแก้ไข ปัญหาหนี้ครัวเรือน, และการเติบโตในอุตสาหกรรมที่ เป็น New S-Curve เช่น Virtual Bank, ภาค ท่องเที่ยว, และบริการทางการแพทย์ขั้นสูง
นอกจากนี้ ฝ่ายวิเคราะห์คาดว่าจะมีการนำเสนอความคืบหน้าโครงการ Jump+ ซึ่งมองว่าจะช่วยหนุนความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนต่างชาติได้ เพราะช่วยยกระดับการเติบโตให้กับกำไรของบริษัทจดทะเบียน และกระตุ้นให้เกิดการลงทุนรอบใหม่ภายใต้ภาวะต้นทุนทางการเงินที่อยู่ในระดับต่ำ ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อ Valuation ในระยะยาว
ขณะที่ข้อมูลเชิงสถิติในอดีตสะท้อนว่าบริษัทที่เข้าร่วมงานในวันแรกนี้ มักให้ผลตอบแทนเฉลี่ยเป็นบวก ทั้งในช่วง 1 สัปดาห์ก่อนการจัดงาน และระหว่าง 3 วันของการจัดงาน โดยบริษัทที่เข้าร่วมงานวันแรกของปี ได้แก่ CP Group, KTB, BAM, MINT, THAI, BDMS, SCB
ขณะเดียวกันยังคาดว่าประเด็นการสัมมนาจะเป็นบวกเชิง Sentiment ต่อหุ้นที่เกี่ยวข้อง เช่น MEDEZE, B*H, BH, PR9, AOT, CENTEL, ADVANC, BBIK, SECURE เป็นต้น

#หุ้น #โพยหุ้น #หุ้นไทย

25/08/2025

“กองตราสารหนี้โลก” ปีนี้ฟื้น โชว์ผลตอบแทนเฉลี่ย +2.25% (ดีสุด +7.81%, แย่สุด -2.59%)…Top5 โชว์ผลงานเฉลี่ย +5.70% แนะมีติดพอร์ตรับแนวโน้ม “ดอกเบี้ยขาลง” !!!
#กองทุน ันละนิด

4 STEP “ผ่อนบ้าน”...ผสานเทคนิคให้ถึงฝัน !!!Wealth EZ: ในชีวิตคนหนึ่งคนการที่จะมีบ้านเป็นของตัวเองเป็นหนึ่งในความฝันอันสู...
24/08/2025

4 STEP “ผ่อนบ้าน”...ผสานเทคนิคให้ถึงฝัน !!!
Wealth EZ: ในชีวิตคนหนึ่งคนการที่จะมีบ้านเป็นของตัวเองเป็นหนึ่งในความฝันอันสูงสุด และความฝันนี้ก็ตามมาด้วยภาระหนี้ก้อนใหญ่ที่สุดเช่นกัน หลายคนจึงบากบั่นทำงานหนักเพื่อให้ภาระนี้หมดไปให้เร็วที่สุด บทความนี้จึงขอนำเสนอวิธีที่จะช่วยเป็นจุดเริ่มต้นของ “การวางแผนการเงิน” ในการ “ซื้อบ้าน”
1.จำนวนเงินในการผ่อนต่อเดือน

หลังจากเราเลือกบ้านในฝันได้แล้ว การประเมินค่าใช้จ่ายให้เหมาะสมกับกำลังเงินที่มีจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุด เพื่อจะไม่ให้กระทบกับสภาพคล่องทางการเงิน เพราะแน่นอนที่สุดว่า “การผ่อนบ้าน” จะกลายเป็น “รายจ่ายประจำเดือน” ที่เราต้องแบกรับไว้
2.ผ่อนอย่างสม่ำเสมอ

ความสม่ำเสมอในการผ่อน ถือเป็นการ “รักษาเครดิต” ของตัวเอง และยังช่วยเรื่อง “ไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ย” ที่จะถูกทบในการผ่อนไม่ตรงเวลา
3.เร่งสปีดลดต้น

หลังจากที่เราสามารถผ่อนบ้านในฝันของเราได้อย่างสม่ำเสมอแล้ว สิ่งที่จะทำให้ภาระก้อนนี้หมดไปได้เร็วมีสองอย่างคือ
- “ผ่อนเกินค่างวด” ซึ่งอาจไม่จำเป็นต้องผ่อนเยอะกว่าค่างวดปรกติมากมาย เงินส่วนนี้จะเป็นเงินส่วนที่ไป “ลดเงินต้น” โดยตรงทำให้ระยะเวลาในการผ่อนสั้นลงได้
- “โปะด้วยเงินก้อน” สิ่งนี้จะเป็นการเร่งสปีดระยะเวลาการผ่อนอย่างชัดเจน เราอาจจะเอาเงินโบนัส เงินจากรายได้พิเศษ หรือแม้กระทั่งเงินออมมาโปะตรงนี้ก็ยังได้

4.ปรับโครงสร้างหนี้ใหม่

รูปแบบดอกเบี้ยบ้านจะเป็นแบบ “MRR” (Minimum Retail Rate) คืออัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำที่ธนาคารใช้ในการปล่อยสินเชื่อให้ลูกค้ารายย่อยชั้นดี เช่น สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อที่อยู่อาศัย ถ้าในปีต่อๆ ไปมีการปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ซึ่งขึ้นอยู่กับการกำหนดนโยบายของแต่ละธนาคาร เช่น จากเดิม 3% แต่เมื่อผ่านไป 3 ปีกลับเป็น 6.5% ทำให้เราต้องจ่ายเพิ่มขึ้นอีกและเงินส่วนมากที่ผ่อนไปก็จะไปเป็นการจ่ายดอกเบี้ยซะด้วย ซึ่งการ “ปรับโครงสร้างหนี้” จะมีสองรูปแบบคือ
- “Refinance” เป็นการย้ายหนี้จากธนาคารเดิมไปธนาคารอื่น ที่เสนออัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า แต่ก็ควรต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ และอาจจะต้องเสียค่าปรับหากมีการไถ่ถอนก่อนกำหนด
- “Retention” เป็นการปรับโครงสร้างหนี้และดอกเบี้ยใหม่ให้มีอัตราลดลงจากธนาคารเดิมที่ผ่อนอยู่ ก็จะลดความยุ่งยากในการดำเนินการ และยิ่งหากเรามีประวัติการผ่อนที่ดีก็อาจได้รับการพิจารณาให้ได้อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำได้

“ทั้งนี้ไม่ว่าจะ ‘Refinance’ หรือ ‘Retention’ ต่างมี ‘ข้อดี’ และ ‘ข้อเสีย’ ที่แตกต่างกัน เราสามารถตัดสินใจเลือกโดยพิจารณาจากเงื่อนไขต่างๆ ของแต่ละธนาคาร และความคุ้มค่าจากอัตราดอกเบี้ยที่เราได้รับ”
การ “ซื้อบ้าน” เป็นหนี้ระยะยาวหลักสิบปีขึ้นไป การไม่สร้างหนี้ระหว่างทางก็เปรียบเหมือนการไม่สร้างภาระหนี้เพิ่ม สุดท้ายเราจะได้มีความสุขกับบ้านในฝันของเราอย่างไร้หนี้ปลอดโปร่งโล่งสบาย
ติดตามความรู้และข่าวสารสมาคมนักวางแผนการเงินไทย ได้ที่ LINE@cfpthailand, สมาคมนักวางแผนการเงินไทย Facebook Fanpage และ http://www.tfpa.or.th

#4เทคนิคผ่อนบ้าน #วางแผนการซื้อบ้าน #การวางแผนการเงิน

ที่อยู่

Chamnan Penjati Building 2nd Fl. , Rama 9 Road , Huaykwang
Bangkok
10310

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Wealthy Thaiผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง Wealthy Thai:

แชร์

WEALTHY THAI | เกตเวย์สู่ความมั่งคั่ง

เรามุ่งหวังให้ข้อมูลที่นำเสนอ ช่วยให้คนไทยมีความรู้ สู่เส้นทางความมั่นคง และมั่งคั่ง ด้านความรู้ทางด้านการเงิน และการลงทุน

ด้วยเป้าหมายนำเสนอข้อมูล และความรู้การเงิน การลงทุน ให้เข้าถึงง่าย และน่าสนใจมากขึ้นเน้นรูปแบบการนำเสนอที่ผสมผสานระหว่างข้อมูลเชิงลึกที่น่าเบื่อ เข้าใจยาก กับความคิดสร้างสรรค์ และTrend การสื่อสารเข้าด้วยกัน

---

ส่งข่าวประชาสัมพันธ์ [email protected] ติดต่อโฆษณา [email protected]