นิทานนำบุญ

นิทานนำบุญ รวมนิทานก่อนนอนและเรื่องเล่า โดยนำ นิทานก่อนนอน โดย นำบุญ นามเป็นบุญ

ค่อย ๆ ทำ
17/06/2025

ค่อย ๆ ทำ

17/06/2025

ทีมทนายเก่งมาก :
พี่นำบุญเจอคลิปนี้ เล่าเรื่องคดีละเมิดลิขสิทธิ์
ผู้ถูกละเมิด...เริ่มด้วยความใจดี (ใจดีมาก และผลงานก็น่ารักน่าใช้มาก)
ผู้ละเมิด...มองไม่เห็นความใจดีนั้น (มีการ ให้ความรู้ ผู้ถูกละเมิด)...
สุดท้าย ผู้ถูกละเมิดจึง...เลิกใจดี
ให้ทีมทนายช่วยดำเนินการตามกฎหมาย...
เคสนี้...ไม่ง่าย
เพราะเป็นการละเมิดแพลนเนอร์
แต่ทีมทนายเก่งมาก ๆ
สุดท้าย ผู้ละเมิดต้องเสียเงินหลักแสน...
จริง ๆ ผู้ถูกละเมิด ไม่ต้องใจดี ตั้งแต่ต้นก็ได้
ถ้าเราถูก "ขโมย" ผลงานไปใช้
ไม่ว่าจะใช้เพื่อการค้าหรือไม่ เข้าข่ายคดีอาญาทันที
ดังนััน การใช้กฎหมายคุย...โดยมีทีมทนายที่เชี่ยวชาญ จะทำให้ไม่ต้องเสียเวลา หรือเสียอารมณ์ใด ๆ...
ถ้าละเมิดลิขสิทธิ์จริง...การยอมรับผิดชอบ เป็นวิธีที่เบาที่สุด

คลิปนี้ น่าดูนะครับ

https://www.facebook.com/share/v/16KZxPyWZD/

สวัสดีครับ...นิทานของ ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน (ผู้แต่งนิทานเรื่อง ลูกเป็ดขี้เหร่, เด็กหญิงขายไม้ขีดไฟ, เงือกน้อย และ...
15/06/2025

สวัสดีครับ...นิทานของ ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน (ผู้แต่งนิทานเรื่อง ลูกเป็ดขี้เหร่, เด็กหญิงขายไม้ขีดไฟ, เงือกน้อย และอื่น ๆ) เป็นนิทานที่แต่งในช่วง ค.ศ.1805-1875 หรือราว 150 ปีขึ้นไป สภาพสังคม และวิธีคิด วิธีมองโลก จะต่างปัจจุบันพอสมควร

ในการเรียบเรียงนิทานอมตะ พี่นำบุญพยายามรักษาเนื้อเรื่องตามต้นฉบับให้ได้มากที่สุด ดังนั้น เนื้อหาบางส่วน คุณพ่อคุณแม่อาจต้องอ่านก่อน แล้วพิจารณาว่าเหมาะกับลูกหรือไม่? ควรอธิบายอะไรเพิ่มเติมไหม? หรืออยากปรับเนื้อเรื่องบางส่วนด้วยตัวเอง สิ่งเหล่านี้จะเป็นวิธีช่วยกรองสื่อกรองเนื้อหา ก่อนสื่อสารไปยังเด็ก ๆ ที่เรารักครับ

มาอ่านนิทานกันเลยครับ
....

นิทานเรื่อง คนเลี้ยงหมูกับเจ้าหญิงเบาปัญญา

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...
มีเจ้าชายองค์หนึ่งอาศัยอยู่ในอาณาจักรเล็ก ๆ ที่สงบสุข แม้พระองค์จะไม่ได้ร่ำรวยล้นฟ้า แต่พระองค์มีพรสวรรค์ในการประดิษฐ์ของวิเศษต่าง ๆ...
วันหนึ่ง เจ้าชายได้ยินกิตติศัพท์ของเจ้าหญิงแสนสวยที่อยู่ ณ อาณาจักรใหญ่ข้างเคียง เจ้ายชายทรงสนใจเจ้าหญิงมาก เจ้าชายมักเผลอคิดถึงเจ้าหญิงอยู่บ่อย ๆ จนกระทั่งวันหนึ่ง เจ้าชายเอ่ยกับตัวเองว่า...

“หากเจ้าหญิงได้เห็นของขวัญที่ข้าประดิษฐ์ให้ด้วยหัวใจ เจ้าหญิงอาจจะรักข้าก็ได้…”

เมื่อคิดเช่นนั้น เจ้าชายจึงลงมือประดิษฐ์ของขวัญพิเศษสองชิ้นเพื่อมอบให้แก่เจ้าหญิง..
ของขวัญชิ้นแรก คือ ดอกกุหลาบที่สามารถเบ่งบานได้แม้ในฤดูหนาว

ของขวัญชิ้นที่สอง คือ นกไนติงเกลวิเศษ ที่ร้องเพลงได้ไพเราะราวกับเสียงบรรเลงเพลงของนางฟ้า

เจ้าชายทรงส่งของขวัญทั้งสองไปให้เจ้าหญิง และแอบหวังว่า เจ้าหญิงน่าจะชอบ....
แต่เมื่อเจ้าหญิงเปิดกล่องออกดู และพบว่าของในกล่องเป็นดอกกุหลาบและนกประดิษฐ์ เจ้าหญิงกลับทำหน้าย่น แล้วพูดขึ้นว่า

“โอ๊ย! แค่ดอกไม้ปลอมกับนกประดิษฐ์ก๊องแก๊ง ไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจเลยสักนิด ส่งขยะพวกนี้คืนไปเถอะ!”....

เมื่อของขวัญถูกส่งกลับมา เจ้าชายเสียใจมาก
แต่แทนที่เจ้าชายจะนั่งเศร้า แล้วร้องไห้ให้น้ำตาเปื้อนหมอน เจ้าชายกลับยิ้มมุมปาก แล้วพูดเบา ๆ ว่า...

“ถ้าเจ้าหญิงไม่เห็นคุณค่าของสิ่งที่ทำมาจากใจ ข้าก็จะลองสอนพระองค์อีกแบบหนึ่งดู!”....

เมื่อคิดเช่นนั้น เจ้าชายจึงปลอมตัวเป็นคนเลี้ยงหมู โดยใส่เสื้อผ้าเก่า ๆ ขาด ๆ แล้วเดินทางไปยังอาณาจักรของเจ้าหญิง และขอทำงานในคอกหมูที่อยู่ในเขตวังหลวง.....

ที่นั่น เจ้าชายเริ่มประดิษฐ์สิ่งของจากเศษไม้และเศษเหล็ก.....

จนกระทั่งวันหนึ่ง ท่ามกลางกลิ่นหญ้าแห้งและเสียงหมูร้องอู๊ด ๆ เจ้าชายได้สร้างหม้อวิเศษขึ้นมา เมื่อนำหม้อใบนั้นไปต้มน้ำ หม้อจะร้องเพลงได้ราวกับมีเสียงขลุ่ย เสียงพิณ และเสียงระนาดรวมกันอยู่........

เสียงเพลงจากหม้อวิเศษลอยไปถึงปราสาท
เจ้าหญิงซึ่งกำลังนั่งหวีผมอยู่ในห้องบรรทมได้ยินเสียงเพลงก็รู้สึกสะดุดหู เจ้าหญิงจึงเอ่ยปากกับนางกำนัลว่า

“นั่นเสียงอะไร..เพราะจัง ไปดูให้ทีซิ”
......

นางกำนัลรีบวิ่งไปดู แล้วกลับมารายงานว่า
“มันเป็นเสียงจากหม้อต้มน้ำของคนเลี้ยงหมูเพคะ"

"แล้วทำไมไม่เอาหม้อต้มน้ำใบนั้นมาด้วย" เจ้าหญิงเอ็ด

นางกำนัลก้มหน้าแล้วตอบเจ้าหญิงว่า
"คนเลี้ยงหมูมีเงื่อนไขว่า ใครอยากดูหม้อร้องเพลง ต้องจูบเขาสิบครั้งเพคะ”

เจ้าหญิงตกใจ “อะไรนะ จูบคนเลี้ยงหมูเนี่ยนะ …แต่…หม้อมันก็ร้องเพลงเพราะจังเลยนะ…”

เจ้าหญิงเดินไปเดินมาด้วยความกระวนกระวายใจ หม้อต้มน้ำที่ร้องเพลงได้แบบนี้ จะไปหาดูได้ที่ไหนอีกนะ เจ้าหญิงคิดแล้วคิดอีก สุดท้าย...ความอยากเห็นของวิเศษด้วยตาตัวเองก็มากกว่าความลังเล ด้วยเหตุนี้ เจ้าหญิงจึงเสด็จไปหาคนเลี้ยงหมู แล้วยอมจูบคนเลี้ยงหมูสิบครั้ง โดยมีนางกำนัลยืนล้อมรอบไว้ไม่ให้ใครเห็น
......

ผ่านไปไม่กี่วัน คนเลี้ยงหมูก็สร้างของเล่นใหม่ขึ้นอีก นั่นคือกระดิ่งวิเศษ ที่เมื่อสั่นกระดิ่ง มันจะมีเสียงดนตรีดังกังวาน ราวกับมีวงดนตรีทั้งวงเล่นประสานเสียงกันอยู่
..

เมื่อเจ้าหญิงได้ยินเสียงของกระดิ่งดังแว่วมาก็ตาลุกวาว เสียงจากกระดิ่งไพเราะกว่าเสียงจากหม้อต้มน้ำเสียอีก

เจ้าหญิงอยากเห็นกระดิ่งวิเศษด้วยตาตนเอง พระองค์จึงรีบเสด็จไปยังคอกหมูด้วยความตื่นเต้น

“กระดิ่งนี้ฉันต้องมีให้ได้ จะแลกด้วยอะไรก็ว่ามาเถอะ” เจ้าหญิงกล่าว

คนเลี้ยงหมูยิ้มมุมปาก แล้วพูดว่า “ถ้าเช่นนั้น จงจูบหม่อมฉันหนึ่งร้อยครั้ง”

“อะไรนะ” เจ้าหญิงเบิกตาโพลง

แต่เจ้าหญิงทรงลังเลเพียงครู่เดียว เพราะเสียงกระดิ่งไพเราะจนเกินต้าน ในที่สุด เจ้าหญิงก็พยักหน้า แล้วเริ่มจูบคนเลี้ยงหมูทันที
...

หนึ่ง...สอง...สาม....สี่...ห้า....
เจ้าหญิงกระหน่ำจูบคนเลี้ยงหมูแบบลืมตัว
เสียงจูบดังจ้วบจ้าบ จ้วบจ้าบ จนพระราชาได้ยินเสียง
...

ครั้นเมื่อเจ้าหญิงกำลังจูจุ๊บคนเลี้ยงหมูเป็นครั้งที่สามสิบ พระราชาผู้เป็นพระบิดาของเจ้าหญิงก็เสด็จมาเห็นพอดี

....

“อะไรกันนี่ ลูกสาวของข้าจูบคนเลี้ยงหมู" พระราชาตกใจจนตาค้าง

"เจ้าไม่รู้จักอายบ้างหรือ? เจ้าไม่เหมาะจะเป็นเจ้าหญิง ออกไปเดี๋ยวนี้ ข้าขอขับไล่เจ้า”

พระราชาทรงโมโหมาก เสียงของพระราชาดังจนหมูในคอกยังตกใจ

เจ้าหญิงทรงตกตะลึง น้ำตาคลอเบ้า พระองค์ทรงถูกขับออกจากวังโดยเหลือเพียงเสื้อคลุมบาง ๆ และน้ำตาเต็มสองแก้ม
...

เจ้าหญิงทรงเดินออกจากวังไปอย่างช้า ๆ โดยไม่มีใครห้าม ไม่มีใครปลอบ และไม่มีนางกำนัลติดตาม มีแค่เพียงคนเลี้ยงหมูที่เดินนำหน้าเจ้าหญิงไปเล็กน้อย
..

ครั้นเมื่อคนเลี้ยงหมูกับเจ้าหญิงเดินพ้นออกจากวังไปได้ไม่นาน คนเลี้ยงหมูก็ค่อย ๆ ถอดเสื้อผ้าเก่า ๆ ของเขาออก แล้วเผยให้เห็นเสื้อผ้าอาภรณ์อันงดงามของเจ้าชาย
....

“ข้าคือเจ้าชายที่ส่งดอกไม้ปลอมและนกประดิษฐ์ให้เจ้าหญิง แต่เจ้าหญิงไม่ต้องการของที่ข้าทำจากหัวใจ ด้วยเหตุนี้ ข้าก็ไม่ต้องการเจ้าหญิง ที่เห็นคุณค่าของของที่ทำเล่น ๆ มากกว่าความตั้งใจจริงของข้าเช่นกัน”

เมื่อพูดจบ เจ้าชายก็เดินเข้าไปในป่าเพื่อขี่ม้าที่ทรงผูกไว้ แล้วมุ่งหน้ากลับเมืองของตนเอง

ส่วนเจ้าหญิงก็ได้แต่ยืนอึ้ง ใบหน้าซีดเผือด และเสียใจกับบทเรียนที่เจ้าชายทิ้งไว้ให้

มีเด็กคนไหนอยากอ่านนิทาน "เรื่องใหม่" เรื่องนี้บ้างครับนิทานที่เรียบเรียงจากผลงานของ ฮันน์ คริสเตียน แอนเดอร์สัน 😊 คนรู้...
15/06/2025

มีเด็กคนไหน
อยากอ่านนิทาน "เรื่องใหม่" เรื่องนี้บ้างครับ
นิทานที่เรียบเรียงจากผลงานของ ฮันน์ คริสเตียน แอนเดอร์สัน 😊 คนรู้จักน้อย แต่ความสนุก..ไม่น้อย

ชื่อเรื่องแบบนี้
เนื้อเรื่องจะเป็นแบบไหนนะ
ลองเดากันเล่น ๆ นะครับ

😊

14/06/2025

แขกมหัศจรรย์ในวันฝนตก

ที่มาของนิทาน :พี่นำบุญรักนิทานที่ตัวเองแต่งเพราะนิทานแต่ละเรื่อง มีที่มาเกี่ยวข้องกับสิ่งที่อยู่รอบตัวญาติมิตร ความคิด ...
12/06/2025

ที่มาของนิทาน :
พี่นำบุญรักนิทานที่ตัวเองแต่ง
เพราะนิทานแต่ละเรื่อง
มีที่มาเกี่ยวข้องกับสิ่งที่อยู่รอบตัว
ญาติมิตร ความคิด หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ
(หรืออย่างน้อย ก็จะเกี่ยวข้องกับชีวิตในช่วงใดช่วงหนึ่ง มันจึงมีความทรงจำมากมายซ่อนอยู่ในนิทาน).....
นิทานเรื่องล่าสุด
"บ้านที่ฟางชี้โด่เด่"
เป็นนิทาน ที่มีที่มา จากภาพเหล่านี้....
นกที่นครพนม ชอบเอาฟาง มายัดในห้องเก็บของ
ยัดที่ช่องตรงโรงรถ ยัดที่โคมไฟหน้าบ้าน
ยัดที่ป้ายทะเบียนรถ (116)....
นี่คือ บางส่วนเท่านั้น...
การที่พี่นำบุญพบเจอเหตุการณ์แบบนี้
จุดประกายให้อยากแต่งนิทานสักเรื่อง
จุดเริ่มต้น เป็นเรื่องของนกที่ชอบเอาฟางมายัดตามที่ต่าง ๆ
แต่เนื้อเรื่องจะเป็นอย่างไร...ตอนนั้นยังคิดไม่ออก...
พี่นำบุญปล่อยให้ "เมล็ดนิทาน" ค่อย ๆ งอกขึ้นมาเอง...
ไม่ตั้งใจคิดนิทาน โดยเริ่มจากการคิด "แก่นเรื่อง"
แต่ปล่อยให้เรื่องราวค่อย ๆ งอกงาม
ตามหัวใจที่ยังคงเต้นอยู่...
จนวันหนึ่ง เมื่อภาพเริ่มชัดเจนขึ้น
พี่นำบุญจึงเริ่มเขียนความคิด
ให้ออกมาเป็นรูปเป็นร่าง....
นิทานเรื่องนี้ ไม่ได้ใช้เวลาแต่ง 15 วัน
แต่ปล่อยให้มัน "แต่งตัวเอง" ไปเรื่อย ๆ..
ทุกรายละเอียดของเรื่อง
เกิดจากความคิด ความเชื่อ
ซึ่งถ้าเป็นคนอื่น เมื่อเจอนกเอาฟางมาทำแบบนี้
เขาอาจจัดการนก หรืออาจแต่งนิทานแนวทำร้ายนก

แต่นิทานนำบุญ....มีอะไรบางอย่างที่...เป็นแบบนิทานเรื่องนี้

พี่นำบุญไม่ได้พยายามแต่งนิทานออกมาแบบนี้

มันแค่ ออกมาเป็นนิทานแบบนี้

😅

หวังว่าจะชอบกันนะครับ

เผยแพร่ครั้งแรกที่นี่นิทานเรื่อง บ้านที่ฟางชี้โด่ชี้เด่กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีคุณตากับคุณยายคู่หนึ่ง อาศัยอยู่ในบ้านไม้...
12/06/2025

เผยแพร่ครั้งแรกที่นี่

นิทานเรื่อง บ้านที่ฟางชี้โด่ชี้เด่

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
มีคุณตากับคุณยายคู่หนึ่ง อาศัยอยู่ในบ้านไม้กลางสวนดอกไม้แสนสวย...
บ้านหลังนี้ไม่ใช่บ้านธรรมดา
แต่เป็นบ้านที่ทั้งสองช่วยกันสร้างขึ้นมาด้วยหัวใจ
คุณตาเป็นคนเลือกไม้ เลือกสีทาห้อง
ส่วนคุณยายเป็นคนปักผ้าม่าน ตัดผ้าปูโต๊ะ จัดดอกไม้ในแจกันข้างหน้าต่าง....
“เราจะมีบ้านที่น่าอยู่ที่สุดในโลก” คุณยายเคยพูด พร้อมยิ้มหวาน...
และก็เป็นจริงอย่างที่คุณยายว่า
บ้านหลังนั้นอบอวลไปด้วยกลิ่นขนมอบใหม่ ๆ ดอกไม้สด และเสียงนกร้องจิ๊บจิ๊บ
คุณตามักตื่นแต่เช้า เพื่อออกไปดูแลต้นไม้ดอกไม้ในสวน
ส่วนคุณยายก็จะนำขนมและชาอุ่น ๆ มาให้ พร้อมกับเสียงฮัมเพลงเบา ๆ ที่ทำให้ทุกเช้าสดใสและเต็มไปด้วยความสุข..
“ยายคือดอกไม้ที่งดงามที่สุดในชีวิตของตา
ตาเลยอยากปลูกดอกไม้สวย ๆ เพื่อทำให้ยายยิ้มได้ทุกเช้า”...
คุณยายเคยยิ้มให้กับคำพูดนั้น
และยังคงยิ้มทุกครั้งที่ได้ยินคุณตาพูด...
คุณยายเป็นคนที่ยิ้มแล้วน่ารักมาก ๆ คุณยายมักยิ้มให้คุณตา ยิ้มให้ต้นไม้ ยิ้มให้ชีวิตเรียบง่ายที่มีความสุขเต็มหัวใจ...
แต่แล้ว วันหนึ่ง...
คุณยายก็ล้มป่วย และจากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ...

บ้านที่เคยสดใส กลายเป็นบ้านที่เงียบงัน
คุณตาไม่ออกไปปลูกต้นไม้ดอกไม้ และไม่ทำอะไรอีกเลย
วัน ๆ คุณตาเอาแต่นั่งเหม่ออยู่ในห้อง นึกถึงเสียงฮัมเพลงของคุณยายที่เหมือนยังคงแว่วอยู่ในทุกมุมบ้าน....

“เมื่อไม่มียาย... บ้านก็ไม่ใช่บ้านอีกต่อไป”
คุณตาพึมพำเบา ๆ เหมือนเสียงจะหายไปกับสายลม...

ดอกไม้ในสวนเริ่มเหี่ยว
กระถางต้นไม้หน้าบ้านเริ่มแห้ง
หน้าต่างเริ่มเป็นฝ้า
และหัวใจของคุณตาก็แห้งแล้งลงเรื่อย ๆ...

นกน้อยในสวนเฝ้ามองคุณตาอยู่เงียบ ๆ
พวกมันพยายามร้องเพลงที่เพราะที่สุดให้คุณตาฟัง
บางครั้ง พวกมันก็พยายามส่งเสียงร้องให้ดังจนน่ารำคาญ
แต่คุณตากลับไม่ได้ยิน ไม่ได้ฟัง และไม่แม้แต่จะเงยหน้ามามอง....

หัวใจของคุณตาหดเล็กลงทุกวัน...
เหมือนลูกโป่งที่ลมค่อย ๆ รั่วออก.....
วันหนึ่ง เจ้านกกระจอกน้อยตัวหนึ่งบินมาเกาะที่ต้นไม้ แล้วพูดกับเพื่อนนกว่า
“เราต้องช่วยคุณตานะ ถ้าเราไม่ช่วย คุณตาต้องแย่แน่ ๆ”....
“ถ้าการส่งเสียงร้องไม่ได้ผล เราก็คงต้องเปลี่ยนแผน!” นกตัวหนึ่งเปรย

นกชราตัวหนึ่งครุ่นคิด จากนั้น มันก็บอกนกทุกตัวว่า "เราลองใช้ฟางเพื่อช่วยคุณตากันดีไหม?”

ฝูงนกปรึกษาหารือกันอยู่สักพัก
เมื่อนกทุกตัวเข้าใจตรงกันแล้ว
พวกมันก็ช่วยกันคาบเศษฟาง เศษหญ้า ใบไม้แห้ง
แล้วบินไปเสียบไว้ตามรูร่องต่าง ๆ ของบ้าน...
นกบางตัวเอาฟางไปแหย่ตามหน้าต่าง
นกบางตัวแอบซุกฟางไว้ในกระถางต้นไม้
นกบางตัวเอาใบไม้ไปวางพาดบนหลังคาให้ดูรุงรัง
นกบางตัวเอาหญ้าเสียบเข้าไปในโคมไฟจนชี้โด่ชี้เด่...

วันแล้ววันเล่า...
บ้านของคุณตาก็เริ่มดู “ประหลาด” ขึ้นเรื่อย ๆ
จากบ้านที่ดูสวยงามอ่อนหวาน กลายเป็นบ้านที่ดูเหมือนมีผมยุ่ง ๆ ทิ่มกระจายอยู่เต็มหัว!.....

แต่คุณตาก็ยังไม่เห็น...
.....

ความเศร้าทำให้ใจปิด
และทำให้คุณตาลืมมองสิ่งต่าง ๆ รอบตัว.....

จนกระทั่งวันหนึ่ง
ในขณะที่คุณตาเดินเหม่อออกมานอกบ้าน

เมื่อแสงแดดอ่อน ๆ กระทบเข้าที่ใบหน้าของคุณตา
คุณตาเงยหน้าขึ้น... และแล้ว คุณตาก็สังเกตเห็นบางสิ่งบางอย่างอยู่ที่บนหลังคา

“เอ๊ะ...ทำไมมันมีอะไรชี้ ๆ อยู่ตรงนั้น?”
คุณตาหยีตามอง แล้วเดินไปที่โรงรถ

“โอ๊ย! ฟางเต็มไปหมดเลย ใครมาแกล้งอะไรชั้นเนี่ย?”
คุณตาบ่นเสียงดัง จากนั้น คุณตาก็เริ่มใช้ไม้กวาดเขี่ยฟางออก
....

ครั้นเมื่อคุณตาเดินไปดูรอบบ้าน
คุณตาก็เห็นฟางถูกเสียบถูกสอดไว้ตรงนั้นตรงนี้อีก

ไม่ว่ามองไปที่ไหน ก็มีแต่ฟาง...ฟาง...ฟาง

หน้าต่าง ซอกประตู ช่องระบายอากาศ
กระถางต้นไม้ โคมไฟ…เต็มไปด้วยหญ้าแห้งและฟาง
...
“โธ่เอ๊ย บ้านแสนรักของเรา”

คุณตาโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง คุณตาทั้งกวาด ทั้งปัด ทั้งดึง ทั้งเขี่ยฟางออก
แต่พอทำเสร็จ ก็ต้องนั่งหอบ เหงื่อไหลเป็นสายน้ำ..

แล้ววันรุ่งขึ้น...ฟางใหม่ก็กลับมาอีก!
คุณตาก็ต้องกวาด ปัด ดึง เขี่ยอีก

แล้ววันต่อมา...ฟางใหม่ก็กลับมาอีก

กลับมาอีก.....

กลับมาอีก.....

คุณตาเลยกลายเป็น “คุณตานักเขี่ยฟาง” ประจำบ้าน
ที่เชี่ยวชาญในการกวาด ปัด ดึง เขี่ย จนละเหี่ยใจ
.....

จนกระทั่งวันหนึ่ง คุณตาก็เริ่มรู้สึกว่า...

“ตั้งแต่ที่เริ่มกวาด ปัด ดึง เขี่ยฟาง เราก็ลืมความทุกข์ ความเศร้า ความเหงาไปเสียสนิท”
...

คุณตานั่งพักเหนื่อย แล้วมองไปรอบ ๆ บ้าน

บ้านที่เคยรกรุงรัง...เริ่มสะอาดขึ้น
ดอกไม้ในสวน...เริ่มฟื้นและผลิดอกอีกครั้ง
กลิ่นชาในครัวที่ตาชงดื่ม...เริ่มส่งกลิ่นหอมเหมือนตอนที่ยายยังอยู่
.....

คุณตาเงียบไปครู่หนึ่ง
แล้วหัวใจก็เหมือนถูกปัดฝุ่น...

“นกไม่ได้แกล้งเราหรอก”
คุณตาพึมพำ “แต่นกพยายามปลุกเราให้ตื่น...ให้ตื่นจากความทุกข์ เพื่อลุกขึ้นอีกครั้ง”.....

วันต่อมา คุณตาตื่นมาอบขนมและเตรียมอาหารเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อแบ่งให้นก
เหมือนอย่างที่คุณยายเคยทำ

คุณตาปลูกต้นไม้ดอกไม้เพิ่มอีกสองสามต้น
แล้วนำดอกไม้มาปักในแจกันข้างหน้าต่าง...จุดเดิมที่เคยวางให้คุณยาย
...

และทุกเช้า...
คุณตาจะยิ้มให้ดอกไม้
ยิ้มให้ท้องฟ้า
และยิ้มให้ชีวิตที่ยังคงมีความรักหลงเหลืออยู่
......

แม้คุณยายจะไม่ได้อยู่ข้าง ๆ คุณตาแล้ว
แต่คุณยาย...ยังคงอยู่ในบ้านหลังนี้
อยู่ในกลิ่นขนมที่ลอยออกมาจากครัว
อยู่ในเสียงนกร้องที่ข้างหน้าต่าง
และอยู่ในหัวใจของคุณตา...ตลอดไป

#นิทานนำบุญ

#คุณชอบนิทานเรื่องนี้ไหม

เผยแพร่ครัังแรกที่นี่นิทานญี่ปุ่นเรื่อง เจ้าหนูนักวาดแมว (The Boy Who Drew Cats) ...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว   ณ หมู่บ้านเ...
11/06/2025

เผยแพร่ครัังแรกที่นี่
นิทานญี่ปุ่นเรื่อง เจ้าหนูนักวาดแมว
(The Boy Who Drew Cats) ...
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ หมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น มีเด็กชายคนหนึ่งอาศัยอยู่ในครอบครัวที่ยากจน เขาเป็นเด็กขยันและมีน้ำใจ แต่เขาตัวเล็กจึงไม่ถนัดทำงานในไร่นาเหมือนกับพี่ ๆ วันทั้งวัน...เด็กชายจะเอาแต่นั่งวาดรูปแมว...แมว...แล้วก็แมว เขาวาดรูปแมวบนเศษกระดาษ เศษไม้ หรือแม้แต่บนกำแพงบ้าน เด็กชายวาดรูปแมวได้ทั้งวันแบบไม่รู้เบื่อ....
วันหนึ่ง พ่อกับแม่ของเด็กชายเห็นว่าเขาไม่ถนัดทำงานในไร่ในนา พ่อกับแม่จึงพาเขาไปฝากไว้ที่วัดใกล้ ๆ กับหมู่บ้าน โดยหวังให้เขาได้เป็นเณรน้อยช่วยงานที่วัด......
ณ วัดแห่งนั้น…เด็กชายตั้งใจจะเป็นเณรที่ดี แต่แล้ววันหนึ่ง เขากลับเผลอวาดรูปแมวจนเต็มกำแพงวัด เมื่อพระอาจารย์เห็นเข้า พระอาจารย์ก็ส่ายหน้า พร้อมกับบอกเด็กชายว่า “เจ้าหนูเอ๋ย… ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่เหมาะกับเจ้านักนะ”.......
เมื่อพระอาจารย์พูดเช่นนั้น เด็กชายจึงเก็บข้าวของ แล้วเดินออกจากวัดด้วยความรู้สึกผิด แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ยังคงรักการวาดรูปแมวอยู่ดี ..........
ระหว่างทาง เด็กชายเดินมาจนถึงวัดร้างที่อยู่ไม่ไกลจากวัดของพระอาจารย์นัก วัดแห่งนี้ดูเงียบสงัดและเหมือนไม่มีผู้คนอาศัยอยู่
ชาวบ้านบอกเด็กชายว่า วัดแห่งนี้ไม่มีคนกล้ามาอยู่เพราะกลัวปิศาจหนู
เด็กชายคิดในใจว่า "ปิศาจหนูคงไม่น่ากลัวเท่ากับ..การเป็นคนที่ไม่มีใครต้องการหรอกนะ"
เด็กชายรู้สึกน้อยใจในโชคชะตาของตัวเอง แต่เขาไม่อยากกลุ้มใจนานนัก เขาจึงตัดสินใจพักค้างคืนในวัดร้างแห่งนั้น......
ก่อนค่ำ เด็กชายมองไปรอบ ๆ เห็นผนังโบสถ์ดูโล่ง ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะหยิบพู่กันขึ้นมาวาดแมวอีกครั้ง การวาดรูปคือความสุขของเขา คราวนี้เขาวาดรูปแมวอย่างสนุก เขาวาด....วาด....แล้วก็วาด เด็กชายวาดรูปแมวจนเต็มผนัง รูปแมวที่เขาวาดมีทั้งแมวตัวใหญ่ แมวตัวเล็ก บางตัวยิ้ม บางตัวยิงฟัน บางตัวกล้ามใหญ่ บางตัวเล็บยาว บางตัวทำท่าเหยียดขา และบางตัวนอนหลับปุ๋ยดูน่ารักมาก....
ในคืนนั้น หลังจากที่เด็กชายวาดรูปแมวจนง่วง เขาก็หาที่นอนตรงมุมหนึ่งของโบสถ์ แล้วหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน.....
แต่ในขณะที่เด็กชายหลับอยู่ท่ามกลางความมืด จู่ ๆ เขาก็ได้เสียงฝีเท้าดังสนั่นหวั่นไหวเหมือนเสียงของสัตว์ร้ายที่มุ่งหน้าเข้ามาเพื่อล่าเหยื่อ .....
สัตว์ร้ายดังกล่าว คือ ปิศาจหนูตัวมหึมาที่ไล่ล่าผู้คน จนไม่มีใครกล้าอยู่ที่วัดแห่งนี้
ปิศาจหนูเดินเข้ามาในโบสถ์อย่างน่าสะพรึงกลัว
มันใช้จมูกดมกลิ่นมนุษย์ พลางกวาดตามองหาเหยื่อด้วยสายตาที่หิวโหย ........

ทันใดนั้นเอง…เด็กชายที่นอนตัวสั่นด้วยความกลัว ก็ได้ยินเสียงขู่ที่น่ากลัว ซึ่งในตอนแรกเขาคิดว่าเป็นเสียงของปิศาจหนู แต่เมื่อฟังให้ดี เขากลับพบว่าเสียงขู่นั้นดังมาจากรอบทิศ ตามด้วยเสียงข่วนผนังแกรก ๆ และเสียงร้องของแมวนับร้อย ๆ ตัวที่ดังขึ้นพร้อม ๆ กัน.......
เสียงของแมวเหล่านั้น คือ เสียงจากแมวที่เด็กชายวาดไว้บนกำแพง ที่จู่ ๆ พวกมันก็เริ่มเคลื่อนไหว แล้วแยกเขี้ยวกระโจนเข้าใส่ปิศาจหนูจากทุกทิศทุกทาง......
ปิศาจหนูร้องเจี๊ยก เหมือนลิงจ๋อ แล้วร้องเอ๋ง ๆ เหมือนหมาที่เจอเจ้าถิ่น มันรีบวิ่งหนีสุดชีวิต แต่พวกแมวก็ไม่ยอมให้มันหนีไปได้ง่าย ๆ การต่อสู้ที่ดุเดือดจึงเกิดขึ้น และสุดท้ายก็จบลงที่ ปิศาจหนูสะบักสะบอมถึงขั้นต้องร้องขอชีวิต และสัญญาว่าจะไม่กลับมารบกวนมนุษย์ที่วัดแห่งนี้อีก....
ในที่สุด พวกแมวก็ยอมปล่อยปิศาจหนูไป เด็กชายที่มองดูเหตุการณ์อยู่จึงค่อย ๆ คลายความตระหนก แล้วเขาก็ยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก จากนั้น เด็กชายก็ผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า......
เช้าวันต่อมา…พระอาจารย์ได้ทราบจากชาวบ้านว่า เด็กชายได้ไปพักอยู่ที่วัดร้างซึ่งมีปิศาจหนูคอยทำร้ายผู้คน และเมื่อคืน....เกิดเหตุเสียงดังเอะอะดูน่ากลัว พระอาจารย์รู้สึกผิดที่ให้เด็กชายออกจากวัด พระอาจารย์จึงรีบไปหาเด็กชายด้วยความเป็นห่วง ....
เมื่อพระอาจารย์มาถึง พระอาจารย์พบว่าเด็กชายกำลังหลับอยู่ในวัดร้างแห่งนั้นตามลำพัง และพบว่าเด็กชายวาดรูปแมวเอาไว้ที่ผนังโบสถ์เต็มไปหมด .....
เมื่อเด็กชายตื่นนอนและเห็นพระอาจารย์ เด็กชายจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พระอาจารย์ฟัง ...
เมื่อพระอาจารย์ได้ฟังจนจบ พระอาจารย์ก็ลูบหัวเด็กชายเบา ๆ พลางกล่าวว่า
“บางที การวาดแมวของเจ้าก็มีค่ามากกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีกนะ”.....
หลังจากวันนั้น พระอาจารย์ก็ให้เด็กชายกลับไปอยู่ที่วัด โดยท่านอนุญาตให้เด็กชายผู้รักการวาดแมว วาดแมวได้ แต่ต้องวาดในเศษกระดาษ ไม่ใช่วาดไปทั่ว...
เด็กชายดีใจและเข้าใจ เขารับปากพระอาจารย์และตามกลับไปอยู่ที่วัดดังเดิม......
ในที่สุด เรื่องราวของเด็กชายผู้รักการวาดรูปแมว ก็กลายเป็นนิทานที่เล่าขานสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน

10/06/2025

เพลงนิทานเวอร์ชั่นทำเล่น ๆ
ต้องปรับแก้อีกเยอะ 😅...
นิทานเรื่อง พรแห่งพระจันทร์และของขวัญแห่งพระอาทิตย์....
นานมาแล้ว ณ ดินแดนอันไกลโพ้น มีชนเผ่าเก่าแก่สองชนเผ่าตั้งรกรากอยู่ท่ามกลางธรรมชาติโดยมีภูเขาสูงกั้นขวางพวกเขาเอาไว้ ชนเผ่าทั้งสองไม่รู้ว่าอีกด้านหนึ่งของภูเขามีคนอาศัยอยู่เช่นเดียวกัน และผู้คนแต่ละเผ่าต่างก็มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ยากจนข้นแค้นไม่แพ้กัน......
ชนเผ่าที่อาศัยอยู่ทางฝั่งตะวันออกของภูเขาบูชาพระอาทิตย์เป็นเทพเจ้า พวกเขาศรัทธาในพลังสร้างสรรค์ของพระอาทิตย์ พวกเขาจึงตั้งใจที่จะใช้พลังสร้างสิ่งดีงามให้โลกเหมือนกับที่พระอาทิตย์ให้ทั้งแสงสว่างและความอบอุ่นแก่ทุกสรรพสิ่ง......
ส่วนชนเผ่าที่อยู่ทางฝั่งตะวันตกของภูเขานับถือพระจันทร์เป็นเทพเคารพ ทั้งนี้เพราะพวกเขาศรัทธาในดวงจันทร์ที่มอบความสว่างและสงบเย็นให้โลกในยามค่ำคืน พวกเขาจึงมุ่งมั่นที่จะใช้พลังสร้างความสุขสงบให้เกิดขึ้นแก่ทุกชีวิตเช่นเดียวกับพลังของพระจันทร์ และหวังว่าสักวันพระจันทร์ที่พวกเขาเคารพจะทำให้พวกเขามีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่......
วันหนึ่ง ชายหนุ่มผู้เป็นหัวหน้าเผ่าพระอาทิตย์ ฝันเห็นพระอาทิตย์หายวับไป เมื่อเขาตื่น เขาจึงนำเรื่องไปปรึกษาหมอผีประจำเผ่า หมอผีโยนท่อนไม้ทำนายเข้าไปในกองไฟ จากนั้น หมอผีก็แนะนำให้หัวหน้าเผ่าพาชาวเผ่าไปสร้างวิหารบูชาพระอาทิตย์บนยอดเขาสูง.....
ในเวลาเดียวกัน หญิงสาวผู้เป็นหัวหน้าเผ่าพระจันทร์ก็ฝันเห็นพระจันทร์หายวับไป เมื่อเธอนำเรื่องไปปรึกษาแม่หมอประจำเผ่า แม่หมอนักทำนายจึงใช้หินทำนายฝัน แล้วแนะนำให้หญิงสาวพาชาวเผ่าไปสร้างวิหารบูชาพระจันทร์บนยอดเขาเช่นกัน.....
แม้หัวหน้าเผ่าและชนเผ่าทั้งสองจะไม่เคยขึ้นไปบนยอดเขาเลย แต่เมื่อหมอผีทำนายเช่นนั้น ชาวเผ่าทุกคนซึ่งมีศรัทธาอันแรงกล้าจึงพร้อมใจกันขนเครื่องไม้เครื่องมือต่าง ๆ ขึ้นไปสร้างวิหารศักดิ์สิทธิ์บนยอดเขาที่สูงเทียมเมฆ......
ชาวเผ่าทั้งสองออกเดินทางในวันเดียวกันและเวลาเดียวกัน….ด้วยระยะทางที่เท่ากัน ท้ายที่สุด คนจากทั้งสองเผ่าจึงขึ้นไปถึงยอดเขาพร้อม ๆ กัน.....
เมื่อหัวหน้าเผ่าหนุ่มเห็นคนต่างเผ่าปรากฏตัวที่ยอดเขาอันเป็นจุดหมายปลายทางของพวกเขา หัวหน้าเผ่าหนุ่มจึงรีบอ้างว่าตนเป็นเจ้าของพื้นที่อันศักดิ์สิทธิ์แห่งนั้น แต่หญิงสาวผู้เป็นหัวหน้าเผ่าที่นับถือพระจันทร์กลับไม่ยอมอ่อนข้อให้ เธอรีบโต้แย้งพร้อมกับปักคทาประจำเผ่าลงบนพื้นดินอย่างไม่รอช้า.....
ทันทีที่หัวหน้าเผ่าทั้งสองแสดงท่าทีว่าต้องการครอบครองพื้นที่แห่งเดียวกันโดยไม่มีทีท่าว่าจะลดราวาศอก บรรยากาศจึงตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆ ชาวเผ่าบางคนเริ่มนำเครื่องใช้ในการสร้างวิหารออกมาถือแทนอาวุธ ผู้หญิงและเด็กต่างหยิบก้อนหินใกล้ตัวมาถือไว้ในมือเผื่อต้องใช้ในการต่อสู้ ผู้คนทั้งสองเผ่าลืมพลังสร้างสรรค์แห่งพระอาทิตย์และลืมพลังแห่งความอ่อนโยนของพระจันทร์ไปจนหมดสิ้น ต่างฝ่ายต่างคิดแต่จะใช้กำลังเข้าแย่งชิงพื้นที่ที่ตนเองหวังจะครอบครองเท่านั้น.....
ในขณะที่ผู้คนทั้งสองเผ่าตั้งท่าจะใช้กำลังประหัตประหารกัน พระอาทิตย์กับพระจันทร์จึงแสดงปาฏิหาริย์ให้ทุกคนได้เห็น โดยพระอาทิตย์ค่อย ๆ ทอนแสงลงจนมืดสนิท ส่วนพระจันทร์ก็ไม่ยอมขึ้นมาปรากฏตัวบนท้องฟ้า เวลาผ่านไปเนิ่นนาน ท้ายที่สุด ความมืดและความหนาวเย็นจึงปกคลุมไปทั่วทุกหนแห่ง......
เมื่อชนเผ่าทั้งสองได้เห็นปรากฏการณ์แปลกประหลาดที่เกิดขึ้น พวกเขาก็เริ่มรู้ตัวว่าพวกเขาลืมความศรัทธาที่มีต่อพลังแห่งพระอาทิตย์และพระจันทร์ไปด้วยความหลงผิด ทั้งยังลืมเป้าหมายหลักในการเดินทางที่พวกเขาต้องการสร้างวิหารแสดงความเคารพต่อพระอาทิตย์และพระจันทร์…ไม่ใช่การแย่งพื้นที่บนยอดเขามาเป็นของตนหรือใช้กำลังทำร้ายผู้อื่น.....
ชายหนุ่มหัวหน้าเผ่าพระอาทิตย์และหญิงสาวหัวหน้าเผ่าพระจันทร์จึงคิดได้พร้อม ๆ กันว่า หากพวกเขาร่วมมือกันสร้างวิหาร วิหารที่ได้ก็คงแข็งแรงและงดงามมากกว่าที่ตั้งใจไว้แต่แรก เพราะเป็นการรวมพลังกันทั้งสองเผ่า มิหนำซ้ำ ยังเป็นการใช้พลังเพื่อสร้างสรรค์ (ตามแบบพระอาทิตย์) และเป็นการใช้พลังสร้างสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจให้สงบเย็น (เช่นเดียวกับพระจันทร์) เมื่อหัวหน้าเผ่าทั้งสองคิดได้เช่นนั้น ทั้งคู่จึงขอโทษกันและกัน แล้วชวนทุก ๆ คนสร้างวิหารบูชาพระอาทิตย์และพระจันทร์ร่วมกัน...
ครั้นเมื่อความขัดแข้งยุติลง พระอาทิตย์จึงค่อย ๆ ฉายแสงขึ้นอีกครั้งพร้อม ๆ กับพระจันทร์ที่ทอแสงนวลตาให้ชนเผ่าทั้งสองได้ประจักษ์ แต่ความอัศจรรย์ไม่ได้จบลงแค่นั้น เพราะเมื่อชนเผ่าทั้งสองสร้างวิหารสำเร็จ ความงดงามจากศิลปะของสองชนเผ่าก็ผสมผสานกันจนวิหารดูสวยล้ำมีพลังแต่สงบเย็นอย่างวิเศษ ผู้คนจากทั่วทุกหนทุกแห่งจึงดั้นด้นมาเยี่ยมชมและสักการะพระอาทิตย์กับพระจันทร์กันอย่างล้นหลาม ทำให้เงินทองจากนักเดินทางหลั่งไหลมาเลี้ยงชีพชาวเผ่าทั้งสองจนผู้คนเริ่มมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น.....
หลังจากนั้นไม่นาน ชาวเผ่าทั้งสองก็ค่อย ๆ ผูกพันกันมากขึ้นเรื่อย ๆ จนหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันและกลายเป็นอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ที่แข็งแกร่งและเปี่ยมสุข....
ในที่สุด ความร่วมมือร่วมใจกันและการใช้พลังอย่างสร้างสรรค์ก็ก่อให้เกิดความสมบูรณ์พูนสุขขึ้น…ดั่งพรแห่งพระจันทร์และของขวัญแห่งพระอาทิตย์…ที่มอบแด่ผู้ซึ่งนับถือและศรัทธา

08/06/2025
30/05/2025

เพลงที่มีดนตรีแบบอินเดีย

26/05/2025

วันนี้ มีข้อความที่มีค่า ส่งมาทางเว็บไซต์
ขอบคุณคุณแม่ และขอบใจน้องเฟมมาก ๆ นะครับ
😊

ที่อยู่

Bangkok
10310

เบอร์โทรศัพท์

0815517100

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ นิทานนำบุญผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง นิทานนำบุญ:

แชร์

Our Story

นิทานโดย นำบุญ นามเป็นบุญ ประสานงานโดย คณิตศาสตร์ เสมานพรัตน์